ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554

สุดยอด “การประชุมนานาชาติ ของสหพันธ์เภสัชกรรมนานาชาติ ครั้งที่ 74”



สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ และ เภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คว้าสุดยอด “การประชุมนานาชาติของสหพันธ์เภสัชกรรมนานาชาติ ครั้งที่ 74”

รูปภาพจากซ้าย
1. นางสุประภา โมฬีรตานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมการประชุม สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน.
2. มร. ทอน ฮุก General Secretary and CEO สหพันธ์เภสัชกรรมนานาชาติ (เอฟไอพี)
3. นายธีระ ฉกาจนโรดม นายกสมาคม เภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมถ์ (ภ.ส.ท.)
4. นางสาวปนิษฐา บุรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและขาย ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ และ เภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ คว้าสุดยอด “การประชุมนานาชาติของสหพันธ์เภสัชกรรมนานาชาติ ครั้งที่ 74” ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ไบเทค ระหว่างวันที่ 30 ส.ค. ถึง 4 ก.ย. 2557 คาดการณ์นำรายได้เข้าประเทศกว่า 210 ล้านบาท
สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (สสปน.) ร่วมกับ เภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (ภ.ส.ท.) คว้าสุดยอด “การประชุมนานาชาติของสหพันธ์เภสัชกรรมนานาชาติ ครั้งที่ 74” งานประชุมใหญ่ระดับโลกด้านเภสัชกรรมและเภสัชศาสตร์ ปี 2557 ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค โดยคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าร่วมประชุมจากต่างชาติมากถึง 2,500 คน พร้อมนำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยกว่า 210 ล้านบาท อีกทั้งช่วยพัฒนาอุตสาหกรรมยาไทยให้ทัดเทียมทั่วโลก
มร. ทอน ฮุก General Secretary and CEO สหพันธ์เภสัชกรรมนานาชาติ (เอฟไอพี) กล่าวว่า “สหพันธ์เภสัชกรรมนานาชาติเป็นองค์กรระหว่างประเทศของสมาคมเภสัชกรและเภสัชศาสตร์แห่งชาติต่างๆ ซึ่งได้รับความร่วมมือจากองค์การอนามัยโลกอย่างเป็นทางการ มีสมาชิกจำนวน 124 องค์กร พร้อมทำหน้าที่เป็นตัวแทนและให้การสนับสนุนแก่แพทย์ รวมถึงนักวิทยาศาสตร์มากกว่า 2 ล้านคนทั่วโลก เอฟไอพีได้จัดงาน การประชุมนานาชาติของสหพันธ์เภสัชกรรมนานาชาติงานประชุมใหญ่ระดับโลกด้านเภสัชกรรมและเภสัชศาสตร์ขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยจัดมาแล้วกว่า 70 ครั้งในแต่ละประเทศทั่วโลกในแต่ละปี มีเภสัชกรเข้าร่วมกว่าสามพันคนจากทั่วทุกมุมโลก ทั้งยังได้รับการยอมรับและประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง ซึ่งในปี 2557 ได้เลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดงานครั้งแรก ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กรุงเทพฯ”
งานดังกล่าวมีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้เภสัชกรได้ศึกษาข้อมูลวิชาการใหม่ๆ และเพิ่มพูนทักษะด้านเภสัชศาสตร์ที่ทันสมัย รวมถึงได้แบ่งปันและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นต่างๆ ทั้งจากการบรรยาย การประชุมใหญ่ นิทรรศการ โปรแกรมต่างๆ ภายในงาน พร้อมทั้งสร้างเครือข่ายให้แก่กลุ่มเภสัชกรรุ่นใหม่ ที่จะได้รับประโยชน์อย่างเต็มเปี่ยมจากการเข้าร่วมงาน นอกจากนี้ยังมีการประชุมเชิงปฏิบัติการที่มุ่งเน้นถึงประเด็นและปัญหาด้านเภสัชกรรมที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน
“สำหรับบทบาทในอนาคต เอฟไอพีมีการกำหนดวิสัยทัศน์ ภารกิจ และการวางแผนเชิงกลยุทธ์ขึ้นมาใหม่ ที่ผสมผสานการทำงานของเอฟไอพีเข้าร่วมกับองค์กรต่าง ๆ ทั่วโลก เพื่อให้ความสนับสนุนในการตัดสินใจและการดำเนินการด้านสุขภาพ พร้อมทั้งร่วมพิจารณาเรื่องแพทยศาสตร์ระดับโลก โดยมีการพัฒนาเภสัชกรรมเชิงปฎิบัติและวิทยาศาสตร์ ทั้งนี้เพื่อให้ค้นพบตัวยาที่ปลอดภัย มีประสิทธิภาพ คุ้มค่า มีคุณภาพสูงกว่าปัจจุบันและนำมาใช้ทั่วโลก อีกทั้งยังได้พัฒนาการสร้างเครื่องมือต่างๆ ขึ้นมาใช้เพื่อบรรลุความพยายามในการเพิ่มความปลอดภัย เสริมสร้างสุขภาพและวิธีการดูแลสุขภาพที่ดีให้แก่ผู้ป่วย” มร. ฮุก กล่าวสรุป
นางสุประภา โมฬีรตานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมการประชุม สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. กล่าวว่า “สสปน. ร่วมสนับสนุนการดึงการจัดประชุมนานาชาติของสหพันธ์เภสัชกรรมนานาชาติ ครั้งที่ 74 โดยทำงานร่วมกับเภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ. 2551 ในการวางแผนกลยุทธ์ และเตรียมเอกสารสำหรับการประมูลสิทธิ์ เป็นหน่วยงานกลางในการประสานงานกับภาครัฐ ตลอดจนร่วมเป็นเจ้าภาพในการนำคณะทำงานจากสหพันธ์เภสัชกรรมนานาชาติเยี่ยมชมความพร้อมของประเทศไทยในการรองรับการจัดงานประชุมนานาชาติ”
การสนับสนุนการจัดประชุมนานาชาติของสหพันธ์เภสัชกรรมนานาชาติ ครั้งที่ 74 นับเป็นหนึ่งในเป้าหมายการดำเนินการที่สำคัญภายใต้โครงการ “Believe in Thailand หรือ มั่นใจเมืองไทยพร้อม” ซึ่งมุ่งเน้นความสำคัญของประเทศไทยในการเป็นจุดหมายปลายทางที่สำคัญของอุตสาหกรรมไมซ์ 3 ประการ ได้แก่ 1) ความพร้อมของประเทศไทยสำหรับธุรกิจไมซ์ ทั้งความเป็นมืออาชีพในการให้บริการ และสถานที่จัดการประชุมซึ่งได้มาตรฐานระดับสากล 2) ความหลากหลายของสถานที่จัดการประชุม และประการสุดท้ายคือ 3) โอกาสทางธุรกิจอื่นๆมากมาย ที่จะสามารถต่อยอดนำไปสู่การค้าและการลงทุน รวมถึงการสร้างรายได้ให้กับภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ
“สสปน. เล็งเห็นถึงความสำคัญของการจัดประชุมนานาชาติของสหพันธ์เภสัชกรรมนานาชาติ ครั้งที่ 74 และถือเป็นโอกาสอันดียิ่งในการตอกย้ำความเชี่อมั่นและศักยภาพของประเทศไทยในอุตสาหกรรมไมซ์ไปสู่สายตาของเภสัชกรและสื่อมวลชนจากทั่วโลก นอกจากนี้การประชุมดังกล่าว ยังก่อให้เกิดการถ่ายโอนความรู้ และวิทยาการในการพัฒนาวิชาชีพเภสัชกรรมระหว่างองค์กรสมาชิกในระดับนานาชาติ ซึ่งคาดการณ์ว่าจะมีผู้เข้าประชุมจากต่างชาติประมาณ 2,500 คน นำรายได้เข้าสู่ประเทศไทยกว่า 210 ล้านบาท และงานนี้ยังเป็นการยืนยันถึงความพร้อมของประเทศไทยในการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพการจัดงานใหญ่ระดับโลกอย่างเวิล์ดเอ็กซ์โปในปี 2020 ได้อีกด้วย”นางสุประภา กล่าวสรุป
นายธีระ ฉกาจนโรดม นายกสมาคม เภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมถ์ (ภ.ส.ท.) กล่าวว่า “เภสัชกรรมสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมถ์ รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้รับเกียรติให้เป็นเจ้าภาพในการจัด การประชุมนานาชาติของสหพันธ์เภสัชกรรมนานาชาติ ครั้งที่ 74 งานประชุมใหญ่ระดับโลกด้านเภสัชกรรมและเภสัชศาสตร์ ปี 2557 ซึ่งจะจัดขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทยที่ไบเทค เรามีความตั้งใจที่จะช่วยสนับสนุนการแลกเปลี่ยนความรู้และวิทยาการในการพัฒนาวิชาชีพเภสัชกรรมของประเทศไทยให้เกิดขึ้น ระหว่างองค์กรสมาชิกในระดับประเทศ ภูมิภาค และระดับนานาชาติ ในแต่ละสาขา อาทิ สาขาเภสัชกรรมโรงพยาบาล สาขาเภสัชกรรมชุมชน สาขาเภสัชกรรมอุตสาหกรรม และการศึกษาเภสัชศาสตร์”
สำหรับเหตุผลที่ได้รับความไว้วางใจจากเอฟไอพีนั้นเกิดจากการที่ภ.ส.ท. ได้เข้าร่วมเป็นสมาชิกและเข้าร่วมการประชุมใหญ่ประจำปีมาอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้รับความรู้และประสบการณ์ด้านเภสัชกรรมและเภสัชศาสตร์ทั่วโลก ทั้งในด้านการศึกษาและการอุตสาหกรรม รวมถึงการจัดงาน โดยในปี 2557 ที่ประเทศไทยจะเป็นเจ้าภาพในการจัดงานคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานทั้ง องค์กรภาคเอกชน หน่วยงานและภาครัฐ ผู้ประกอบการ ผู้ผลิตเภสัชภัณฑ์และสินค้าที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งเภสัชกรไทย และเภสัชกรจากประเทศต่างๆ ทั่วโลก
“จากการเข้าร่วมการประชุมระดับนานาชาติและเครือข่ายของเอฟไอพีในครั้งนี้ ภ.ส.ท. คาดว่าจะได้รับความร่วมมือเป็นอย่างดีจากประเทศสมาชิกต่อไปในอนาคต ซึ่งจะช่วยให้ประเทศไทยได้รับประโยชน์ในการพัฒนาอุตสาหกรรมยามากขึ้น เพื่อสนับสนุนให้เภสัชกรไทย รวมถึงหน่วยงานต่างๆ นำไปพัฒนาระบบสาธารณสุขของประเทศ ส่งเสริม วิจัย และประกอบวิชาชีพเภสัชกรรม ให้ก้าวทันวิทยาการอันทันสมัยจากบริษัทผู้ผลิตและผู้ประกอบการยาชั้นนำจากในประเทศและต่างประเทศ พร้อมทั้งยังส่งเสริมและพิทักษ์จรรยาบรรณแห่งวิชาชีพเภสัชกรรม และเป็นศูนย์ข้อมูลข่าวสารทางวิชาการอบรมและเผยแพร่ความรู้เพื่อให้บริการที่มีคุณภาพและมีมาตรฐานสูงไปสู่ประชาชน” นายธีระ กล่าวสรุป
นางสาวปนิษฐา บุรี ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาดและขาย ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค กล่าวว่า “ไบเทคมีความพร้อมในการเป็นสถานที่รองรับการจัดงานประชุมระดับนานาชาติทางด้านการแพทย์ ซึ่งเราเคยได้รับเลือกมาหลายครั้ง ตั้งแต่ก่อตั้งในปี 1997 จวบจนถึงปัจจุบัน ทั้งนี้ ห้องประชุมจำนวน 19 ห้อง ได้มีการออกแบบมาเพื่อสามารถปรับแต่งให้สอดคล้องตามรูปแบบความต้องการของลูกค้า ห้องนิทรรศการซึ่งไม่มีเสาค้ำยัน จุดลงทะเบียน พื้นที่ส่วนกลาง ระบบโสตทัศนูปกรณ์ ระบบรักษาความปลอดภัยตามมาตรฐานสากล รวมถึงพื้นที่จอดรถจำนวนมาก อีกทั้งเรายังมีความพร้อมในส่วนของบริการด้านอาหารและเครื่องดื่ม ที่พร้อมจัดทำเมนูอาหารที่หลากหลาย เพื่อสร้างความประทับใจให้แก่ผู้เข้าร่วมประชุมที่เดินทางมาจากทั่วโลก”
โดยที่ผ่านมา เราได้รองรับการจัดงานระดับนานาชาติมามากมาย อาทิ งานเฮอร์บาไลฟ์ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซ์ตร้าวาแกนซ่า 2011 งานประชุมด้านโภชนาการในระดับนานาชาติ (ICN 2009) งานประชุมระดับโลกของแพทย์ด้านประสาทวิทยาครั้งที่ 19 (WCN 2009) และ การประชุมวิชาการนานาชาติของสมาพันธ์สัตวแพทย์สัตวแพทย์สัตว์เล็กภูมิภาคเอเชีย (FASAVA 2009) เป็นต้น ซึ่งทำให้เรามีความใส่ใจ เข้าใจพฤติกรรมลูกค้า และเป็นกลยุทธ์ทำให้ลูกค้าเกิดความมั่นใจที่เลือกจัดงานระดับโลกที่ไบเทค อีกทั้งทีมงานมืออาชีพที่มีความพร้อมในการบริการ จึงเป็นจุดแข็งที่เราภาคภูมิใจ นอกจากนี้ เรายังมีงานระดับนานาชาติที่จัดขึ้นในอนาคต ได้แก่ งานสัมมนาวิชาการนานาชาติสำหรับวิชาการสัตวแพทย์ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค (APVC) ที่จัดขึ้นในเดือนตุลาคม ปี 2555 และ งานประชุมนานาชาติของสมาคมปลูกถ่ายอวัยวะ (ICTS) ที่จัดขึ้นในเดือนสิงหาคม ปี 2559” นางสาวปนิษฐา กล่าวสรุป




สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม โทร. 02-749 – 3939 ต่อ 3146, 2189 ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: ไทยพีอาร์ ดอทเน็ต

เปิด อาวียองซ์ ช็อป สาขา มหาสารคาม



มนต์ชัย เดโชจรัสศรี ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ ภาคธุรกิจผลิตภัณฑ์ชั้นสูง บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ร่วมกับคุณหมอกิตติศักดื์ คณาสวัสดิ์ นายกเทศมนตรีเมืองมหาสารคาม เป็นประธานเปิด ”อาวียองซ์ ช็อป สาขามหาสารคาม” เพื่ออำนวยความสะดวกแก่ผู้ร่วมธุรกิจอาวียองซ์ ให้สามารถหาซื้อผลิตภัณฑ์อาวียองซ์ได้อย่างทั่วถึง ณ อาวียองซ์ ช็อป สาขามหาสารคาม

หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ
บริษัท แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์ จำกัด โทร. 0-2434-8300, 0-2434-8547
สุจินดา, แสงนภา และอริสา

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: ไทยพีอาร์ ดอทเน็ต

นิวตรีริช เชิญร่วมสัมภาษณ์พิเศษ ผู้บริหาร บริษัท นิวตรีริช จำกัด แถลงผลประกอบการ



แถลงผลประกอบการล่าสุด




กับยอดขายสะดุดไม่เป็นไปตามเป้า เหตุรัฐอุ้มปุ๋ยเคมี

ไม่หวั่นรุกธุรกิจปูพรมขยายแฟรนไชส์ทั่วประเทศ

อวดโฉมร้านแฟรนไชส์พร้อมสัญญาแฟรนไชส์อย่างเป็นทางการ

ในงานมหกรรมชี้ช่องรวย

วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน เวลา 13.00-14.00 น.

ณ ห้องเวิร์กช็อปสัมมนา MCC Hall เดอะมอลล์ บางกะปิ

กำหนดการ

เวลา 12.30-13.00 น. ลงทะเบียนสื่อมวลชนพร้อมรับประทานอาหารว่าง

เวลา 13.00-13.45 น. สัมภาษณ์พิเศษ คุณเชน ใจซื่อ

ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นิวตรีริช จำกัด

แถลงผลประกอบการล่าสุด ชูวิสัยทัศน์ปูพรมขยายแฟรนไชส์ทั่วประเทศ พร้อมโชว์สัญญาแฟรนไชส์อย่างเป็นทางการ
เวลา 13.45-14.00 น. เยี่ยมชมและถ่ายรูปร้านแฟรนไชส์ตัวอย่างที่บูธดาวปูแดง

สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ ที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์ บริษัท พีเพิลมีเดีย จำกัด
นางสาวกัญญา จักรพีระ (หญิง) 0-2734 -1791 ต่อ 106

ที่มา : http://www.newswit.com

 

วันพุธที่ 29 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ประกาศผลการคัดเลือก นักเรียนทุนเอมสตาร์



นักเรียนทุนเอมสตาร์ระดับปริญญาโทต่อเนื่องถึงปริญญาเอกในต่างประเทศ รุ่นที่ 2 ประจำปี 2554 จำนวน 1 ทุน

ได้แก่ นายเคน อรรถเวชกุล วิศวกรรมศาสตร์บัณฑิต (เกียรตินิยมอันดับหนึ่ง) จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย

 

วันอังคารที่ 28 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เสน่ห์บนใบหน้าชาย ที่ มัดใจสาว



เสน่ห์บนใบหน้าของหนุ่มๆ ที่จะทำให้สาวๆ สะดุดตา ไม่จำเป็นต้องขึ้นอยู่กับหน้าตาอันหล่อเหลาเพราะผู้หญิงยุคใหม่มองความหล่อของผู้ชายแตกต่างหลากหลายกันไป และมีเสปคผู้ชายในอุดมคติที่เปิดกว้างมากขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผู้หญิงส่วนใหญ่เห็นตรงกันเกี่ยวกับเสน่ห์บนใบหน้าของผู้ชายก็คือ ผิวพรรณที่ดูดี ซึ่งบ่งบอกถึงความใส่ใจในการดูแลผิว
ภก.ดร.พงศกรพัฒน์ อรุโณทยานันท์ ผู้จัดการฝ่ายฝึกอบรม สถาบันการเรียนรู้และฝึกอบรม อาวียองซ์ อะคาเดมี แนะนำ 5 เคล็ดลับแบบง่ายๆ ที่จะช่วยสร้างเสน่ห์บนใบหน้าให้ผู้ชายดูดีได้
1.ความสะอาดต้องมาเป็นอันดับหนึ่ง ต่อให้หน้าตาหล่อแค่ไหน แต่ถ้าปล่อยให้ผิวหน้าสกปรก ใช้กระดาษเช็ดหน้าแล้วเจอแต่คราบดำจากเหงื่อไคล ความมัน ฝุ่น เขม่าควันรถ ก็คงจะไม่ดีแน่ๆ ผู้ชายบางคนเข้านอนโดยไม่ล้างหน้าด้วยซ้ำ ทำให้คราบสกปรกต่างๆ สะสมในผิวและส่งผลให้ดูหมองคล้ำในระยะยาว อาจเกิดสิวอักเสบตามมาอีกด้วย ดังนั้นการล้างหน้าเช้าเย็นด้วยโฟมล้างหน้าที่เหมาะกับผิวจึงเป็นเรื่องง่ายๆ ที่ต้องดูแลเป็นอย่างแรก และในระหว่างวันควรซับความมันบนหน้าด้วยกระดาษทิชชูเช็ดหน้าหรือกระดาษซับมัน
2.อยากผิวดีก็ต้องบำรุง ผิวหนังก็เหมือนอวัยวะอื่นๆ ของร่างกายที่จะต้องเสื่อมไปทุกวันตามอายุ ลองเริ่มต้นเลือกครีมบำรุงผิวดีๆ ชนิดไวท์เทนนิ่งที่ออกแบบมาสำหรับผู้ชายสักชิ้น ทาบำรุงทั้งเช้าและก่อนนอน ไม่ต้องกลัวหรอกว่ามันจะทำให้คุณดูขาวเป็นไก่ต้มเพราะผลิตภัณฑ์ ไวท์เทนนิ่งสำหรับผู้ชายมักออกแบบสูตรมาเพื่อปรับสีผิวให้ดูชุ่มชื่นสว่างสดใสมากกว่า ที่จะทำให้คุณดูขาวซีด
3.ระวังกระ ฝ้าจะทำให้หน้าด่างพร้อย ถึงคุณจะมีผิวสีเข้มก็ยังดูดีได้หากมีผิวสุขภาพดี แต่ถ้าสีผิวของคุณหมองคล้ำและไม่สม่ำเสมอ มีกระ ฝ้าชัดเจน มีริ้วรอยแก่ก่อนวัย ก็คงจะถูกมองผ่านแน่ๆ ควรทาโลชั่นกันแดดที่ให้ค่าการป้องกันแสงแดดครบทั้งรังสียูวีเอ (PA) ยูวีบี (SPF) และป้องกันอนุมูลอิสระ (RSF) เป็นขั้นตอนสุดท้ายก่อนออกจากบ้านตอนเช้า จะช่วยป้องกันปัญหาเหล่านี้ได้ในระยะยาว ผู้ชายส่วนใหญ่ยังคิดว่าการทาโลชั่นกันแดดเป็นเรื่องยุ่งยาก เสียเวลา เหนอะหนะ น่ารำคาญ แต่จริงๆ แล้วด้วยเทคโนโลยีที่ก้าวหน้าไปมาก ปัจจุบันจึงมีโลชั่นกันแดดดีๆ ที่ให้การปกป้องครอบคลุมโดยไม่ทิ้งคราบขาวและความมันเหนอะหนะให้ใช้กันแล้ว
4. โกนหนวด เรื่องง่ายๆ ที่อาจทำลายเสน่ห์บนใบหน้าคุณ หนวดและเคราเป็นได้ทั้งสิ่งที่สร้างหรือทำลายเสน่ห์ ถ้าคิดจะสร้างเสน่ห์บนหน้าด้วยหนวดเคราก็ต้องตัดแต่งให้ดูเป็นระเบียบอยู่เสมอ อย่าปล่อยให้สั้นบ้างยาวบ้างจนไม่เป็นทรง แต่หากอยากหล่อแบบเกลี้ยงเกลาก็ควรเลือกโกนหนวดอย่างถูกวิธีมากกว่าที่จะใช้วิธีการดึงหรือถอนหนวด ซึ่งจะทำให้ผิวอักเสบแดง ผิวไม่เรียบ และหนวดเคราขึ้นไม่สม่ำเสมอไม่น่าดูยิ่งกว่าเดิม การโกนหนวดเคราอย่างถูกวิธี ควรใช้มีดโกนใหม่ที่คมร่วมกับการใช้ครีมโกนหนวด เพราะการโกนหนวดแห้งๆ หรือใช้แค่น้ำเปล่าหรือสบู่ทั่วไปอาจโกนไม่เกลี้ยงเกลาและทำให้ผิวระคายเคือง บาดเจ็บจากใบมีด ถลอก แสบ เสี่ยงต่อการติดเชื้อ สิวอักเสบ การใช้ครีมโกนหนวดจะช่วยเปิดรูขุมขน หนวดเคราอ่อนตัวลง ฟองที่ลื่นละเอียดกว่าจะช่วยให้โกนง่าย เรียบขึ้น ปัจจุบันมีโฟมล้างหน้าสูตรพิเศษที่สามารถใช้เป็นครีมโกนหนวดได้ด้วย จึงช่วยให้คุณสะดวกกว่าและไม่ต้องอ้างอีกแล้วว่าไม่อยากซื้อครีมโกนหนวดเพิ่มอีกกระป๋องหนึ่งมาตั้งไว้ให้สนิมขึ้น
5. รอยยิ้ม เสน่ห์สุดท้ายที่ขาดไม่ได้บนใบหน้าของหนุ่มๆ สร้างได้โดยไม่ต้องลงทุน ไม่เปลืองเวลา ก็คือ รอยยิ้มสดใสที่แสดงความจริงใจ จะทำให้สาวๆ หัวใจละลายได้ไม่แพ้ผิวที่ดูดีของคุณเลยทีเดียว
การสร้างเสน่ห์บนใบหน้าง่าย ขนาดนี้แล้ว หนุ่มๆ จึงควรหันมาใส่ใจดูแลผิวพรรณเพื่อมัดใจสาวๆ

หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติมกรุณาติดต่อ บริษัท แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์ จำกัด
โทร. 0-2434-8300 / 0-2434-8547 คุณสุจินดา, คุณแสงนภา และคุณอริสา

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: ไทยพีอาร์ ดอทเน็ต

วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นักธุรกิจเอเชียนไลฟ์ มีเฮ!ปลายปี ประกาศเตรียมขายหุ้น สร้างตึก 10แห่ง



เอเชียนไลฟ์ส่งสัญญาณธุรกิจแรงครึ่งปีหลังเตรียมเข้าตลาดหลักทรัพย์พร้อมประกาศขายหุ้นโรงงานเดือน..นี้เฉพาะสมาชิกเอเชียนไลฟ์ก่อนใครพ่วงท้ายด้วยการจดสิทธิบัตรมังคุดสูตรมะเร็งและมังคุดสูตรช่วยผู้ป่วยที่มีปัญหาในเรื่องของภูมิคุ้มกันบกพร่องปลายปีมั่นใจแผนงานดังกล่าวเป็นอีกหนึ่งการจุดกระแสของเอเชียนไลฟ์แน่ย้ำ!ยุทธศาสตร์ปีนี้ยังคงเดินหน้าสร้างแบรนด์สินค้าต่อเนื่องพร้อมเตรียมผุดตึกเอเชียนไลฟ์ 10 แห่งก่อนปลายปีเชื่อสิ้นปีเป้าหมายยอดขาย 500 ล้านไม่ไกลเกินเอื้อม
นับเป็นปรากฏการณ์ครั้งสำคัญอีกหนึ่งก้าวความสำเร็จของธุรกิจเครือข่ายที่ชื่อ “เอเชียนไลฟ์” ที่ในปีนี้เตรียมที่จะสร้างความฮือฮาให้กับวงการขายตรงอีกครั้ง ด้วยการออกมาประกาศถึงความพร้อมและศักภาพครั้งสำคัญนั่นคือ การเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์พร้อมกับการขายหุ้นโรงงานให้กับสมาชิกของเอเชียนไลฟ์ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่สำคัญยังทุ่มงบประมาณอีกกว่า 100 ล้านบาท เพื่อสร้างตึกเป็นของบริษัทอีก 10 แห่งครอบคลุมทั่วภูมิภาคภายในปีนี้อีกด้วย
ซึ่งรายละเอียดของการเข็นธุรกิจเอเชียนไลฟ์ฯ สู่ตลาดหลักทรัพย์ในปลายปีนี้นั้น “ตลาดวิเคราะห์” ได้รับการเปิดเผยจาก นายกัมปนาท บุญราศรี ที่ปรึกษาฝ่ายบริหาร บริษัท เอเชียนไลฟ์ จำกัด ว่า สำหรับความพิเศษที่เรียกว่าจะสร้างกระแสของธุรกิจเอเชียนไลฟ์ในปีนี้ นั่นคือ การนำบริษัทเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งขณะนี้ได้รับการพิจารณาจากทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (กลต.) แล้ว โดยคาดว่าในช่วงเดือนพฤศจิกายน ทางบริษัทฯ ได้เตรียมที่จะมีการขายหุ้นให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องกับบริษัทรวมถึงสมาชิกของเอเชียนไลฟ์ก่อนด้วย
...“วันนี้เอเชียนไลฟ์ อาจเรียกได้ว่าเป็นธุรกิจขายตรงแห่งเดียว ที่สมาชิกสามารถมีสิทธิซื้อหุ้นโรงงานได้ ที่สำคัญยังเป็นโอกาสเดียวที่นักธุรกิจเอเชียนไลฟ์จะเป็นเจ้าของหุ้นโรงงานอีกด้วย ซึ่งเชื่อว่าหลังจากที่บริษัทฯ ประกาศที่จะขายหุ้นดังกล่าวในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ น่าที่จะได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสมาชิกได้ไม่น้อยเช่นกัน ที่สำคัญ ทาง ศ.ดร.พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา ยังเตรียมที่จะปันผลให้กับสมาชิกในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้าอีกด้วย”...เรียกได้ว่า การนำหุ้นเพื่อขายให้กับนักธุรกิจเอเชียนไลฟ์ในครั้งนี้นั้น ถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักธุรกิจได้ไม่น้อยทีเดียว
โดยการสร้างความเชื่อมั่นของธุรกิจ “เอเชียนไลฟ์” ไม่ได้หยุดเพียงแค่นี้ แต่ค่ายนี้ยังมีกลยุทธ์หลักๆ ที่สำคัญ เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่สู่เป้าหมายยอดขายสิ้นปีนี้ 500 ล้านบาทอีกด้วย โดยกลยุทธ์การยึดครองตลาดของ
“เอเชียนไลฟ์” นั้น เรียกได้ว่า “จี๊ด จ๊าด เผ็ด ร้อน” อย่างมาก ซึ่งกว่าที่จะบ่มเพาะกลยุทธ์เด็ดออกมาแต่ละตัวได้ ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายๆ อย่างเข้ามาผนวกผูกปมเข้ารวมกันนั่นเอง
ซึ่งทีเด็ดความพิเศษกลยุทธ์เข็นความสำเร็จของ “เอเชียนไลฟ์” นั้น “กัมปนาท” ได้เผยผ่าน “ตลาดวิเคราะห์” ว่า กลยุทธ์ที่สำคัญในปีนี้ของเอเชียนไลฟ์คือ การสร้างแบรนด์และทำให้คนรู้จักโปรดักส์ของบริษัทฯ มากขึ้น พร้อมกันนี้ ในช่วงกลางปีนี้เป็นต้นไป บริษัทฯ จะหันมาลงโฆษณาผ่านทางเคเบิ้ลทีวีมากขึ้น เพื่อช่วยส่งเสริมให้นักธุรกิจเอเชียนไลฟ์ได้ทำงานง่ายขึ้น รวมถึงการยื่นเรื่องขออนุญาตจากทาง สคบ. ในการที่จะมีโบนัสพิเศษให้กับสมาชิกด้วย
“โบนัสพิเศษตรงนี้ ถือเป็นรางวัลให้กับนักขายที่สามารถทำคุณวุฒิตามเงื่อนไขที่ทางบริษัทฯ กำหนด โดยใครที่ทำได้ก็จะได้รับเงินโบนัสพิเศษนั่นไปทันที ตั้งแต่เช็คโบนัสเงินสดใบละ 1 ล้านบาทจนถึง 5 ล้านบาท ซึ่งกลยุทธ์ดังกล่าวนี้ จะเป็นอีกหนึ่งแรงช่วยให้สมาชิกเกิดความฮึกเหิมในการทำงาน และสร้างความแข็งแกร่งในการทำงานสำหรับสมาชิกนั่นเอง”
“กัมปนาท” กล่าวต่ออีกว่า อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญ ของเอเชียนไลฟ์ คือ เรื่องของการท่องเที่ยว ซึ่งปัจจุบันมีนักขายแข่งขันกันทำคุณวุฒิ เพื่อต้องการไปท่องเที่ยวค่อนข้างเยอะทีเดียว โดยในเดือนสิงหาคมนี้ ทางบริษัทฯ มีแผนที่จะไปท่องเที่ยวที่เซินเจิ้น จูไห่ ที่มาเก๊า และอีกประมาณ 6 เดือนข้างหน้าช่วงต้นปี 2555 ทางบริษัทฯ จะนำนักขายที่ทำ คุณวุฒิได้ไปท่องเที่ยวประเทศเกาหลีในลำดับต่อไป
อีกหนึ่งหัวใจหลักที่สำคัญของการทำธุรกิจเครือข่ายให้สำเร็จนั่นคือ “การเทรนนิ่ง” โดยที่เอเชียนไลฟ์ ก็ได้ให้ความสำคัญในเรื่องดังกล่าวเสมอมา เรียกได้ว่าเข้มข้นอย่างมากทีเดียว เห็นได้จากวันนี้เอเชียนไลฟ์มีวิทยากรในการเทรนนิ่งมากขึ้น และทำอย่างต่อเนื่อง ด้วยระบบที่เรียกว่า “URTMS” ที่ทางบริษัทฯ ได้ทำต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 3 แล้ว และก็สัมฤทธิผลเป็นที่น่าพอใจอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ ยังได้ให้ความสำคัญในเรื่องของการจัดอีเว้นท์เพื่อพิสูจน์ถึงสินค้าที่ยอดเยี่ยมของเอเชียนไลฟ์นั่นคือกิจกรรม “ครีมมิ่งแฟนตาเซียร์” โดยการจัดแข่งขันนวดโชว์ทั่วประเทศ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์มากขึ้นด้วยการเห็นด้วยตา ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวจะเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ทางการตลาดที่จะทำให้นักธุรกิจทำตลาดในส่วนของผลิตภัณฑ์สลิมมิ่งง่ายขึ้น
อีกทั้งยังมีกิจกรรมการจัดอีเว้นท์ย่อยๆ ที่นักธุรกิจเอเชียนไลฟ์ทุกคนจะต้องทำ คือ การทำเฮ้าส์มีทติ้ง รวมถึงการออกไปพบ ปะกับผู้บริโภคตามบ้านให้มากขึ้น ซึ่งกิจกรรมดังกล่าวใช้ชื่อว่า “ครีมแอทโฮม” ที่นักธุรกิจเอเชียนไลฟ์จะไปสลายไขมันผู้บริโภคถึงที่บ้าน ซึ่งจากการจัดกิจกรรมเกี่ยวกับสินค้ากระชับสัดส่วนนี่เอง น่าที่จะส่งผลทำให้บริษัทฯ จะมีกลุ่มที่เป็นผู้หญิงเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน
...เรียกได้ว่า จากกลยุทธ์ที่กล่าวมานี้คืออีกหนึ่ง “หัวหอก” ที่สำคัญอย่างมากในการผลักดันธุรกิจเอเชียนไลฟ์ให้เติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งจากความเข้มข้นของการทำงานที่ “รุก-รบ-เร็ว” บวกกับ “กึ๋น” ของ “ทีมผู้บริหาร” ที่เต็มเปี่ยมนี่เอง ส่งผลให้ในภาพรวมธุรกิจของเอเชียนไลฟ์ในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมา เรียกว่าเติบโตเกินความคาดหมายทีเดียว
ซึ่งภาพรวมธุรกิจเอเชียน ไลฟ์ในช่วง 4-5 เดือนที่ผ่านมานั้น “กัมปนาท” ได้เปิดเผยว่า หากเทียบตัวเลขอัตราการเติบโตในช่วงเดือนเดียวกันกับปีที่แล้ว พบว่า บริษัทฯ มียอดขายเพิ่มขึ้น 10-15% ซึ่งถือเป็นผลงานที่น่าพอใจในระดับหนึ่ง ซึ่งเป้าหมายของบริษัทฯ สิ้นปีนี้นั้น อยากที่จะสร้างยอดขายอยู่ที่ 500 ล้านบาท จากปีที่ผ่านมามียอดขายอยู่ที่ 200 ล้านบาท
“จากเป้าหมายดังกล่าว จำเป็นอย่างยิ่งที่บริษัทฯ จะต้องสปีดตัวเองให้เร็วยิ่งขึ้นกว่านี้ ด้วยกลยุทธ์ต่างๆ มากมาย ทั้ง ลด แลก แจก แถม พร้อมกับรุกการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ มากขึ้น ซึ่งปัจจุบัน เอเชียนไลฟ์ ได้วางการประชาสัมพันธ์ธุรกิจไว้ 3 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนที่ 1. การประชาสัมพันธ์ผ่านนิตยสาร พวกชีวจิต คู่สร้างคู่สม นิตยสารสุขภาพ HealthToday เป็นต้น ส่วนที่ 2 ผ่านทางเคเบิ้ลทีวี ช่องทรูวิชั่น 8 ช่อง TNN 2 รายการ BIM 100 ส่วนที่  3. ผ่านเว็บไซต์ ที่ทางบริษัทฯ ได้ส่งเสริมให้สมาชิกได้มีเว็บเป็นของตัวเอง โดยทำเหมือนหน้าร้าน ที่สามารถช้อปปิ้งซื้อของได้ ชำระเงินได้เหมือนตระกร้าสินค้า ปัจจุบันมีสมาชิกที่เปิดเว็บไซต์ในลักษณะดังกล่าวอยู่ที่ 50 เว็บไซต์แล้ว และยังสามารถสร้างยอดขายได้หลายล้านบาททีเดียว”
“กัมปนาท” กล่าวเสริมต่อว่า ปัจจุบันเอเชียนไลฟ์มีศูนย์ที่แอคทีฟอยู่จำนวน 100 ศูนย์ จากทั้งสิ้น 500 ศูนย์ ซึ่งที่เหลืออีก 400 ศูนย์ยังไม่แอคทีฟ โดยในจำนวนศูนย์ที่แอคทีฟ 100 ศูนย์นั้น ทางบริษัทฯ ยังได้มีการส่งเสริมยกระดับศูนย์เหล่านี้ให้มีมาตรฐานมากขึ้น ด้วยโครงการที่ชื่อว่า BIM EXPERT (บิมเอ๊กซ์เปิร์ท) ที่จะเป็นศูนย์ที่เน้นเกี่ยวกับสุขภาพ โดยกำหนดให้มี 1 อำเภอ 1 ศูนย์ จำหน่ายเท่านั้น
“ในปีนี้บริษัทฯ ได้เตรียมที่จะเสริมความแกร่งของธุรกิจเอเชียนไลฟ์ ด้วยการวางงบลงทุนไว้ที่ 100 ล้านบาท ในการที่จะเพิ่มสาขาอีก 10 แห่ง ภายในสิ้นปีนี้ทุกจุดทั่วประเทศ โดยในเขตพื้นที่กรุงเทพฯ นั้น จะยึดพื้นที่ 4 มุมเมือง ซึ่งเชื่อว่าหลังจากที่สาขาทั้ง 10 แห่งพร้อม จะสามารถช่วยเอื้อประโยชน์ในการทำงานให้กับนักธุรกิจเอเชียนไลฟ์ได้อย่างมากทีเดียว”
นอกจากนี้ “กัมปนาท” ยังได้กล่าวทิ้งท้ายต่ออีกว่า สิ่งที่จะมาสร้างกระแสในช่วงปลายปี นอกเหนือจากการขายหุ้นให้กับนักธุรกิจเอเชียนไลฟ์แล้ว ทางบริษัทฯ ยังได้เตรียมที่จะจดสิทธิบัตรมังคุดสูตรมะเร็งและมังคุดสูตรช่วยผู้ป่วยที่มีปัญหาในเรื่องของภูมิคุ้มกันบกพร่อง คือ โรคเอดส์ โดยผลิตภัณฑ์ 2 สูตรนี้จะถูกจดสิทธิบัตรขึ้นในช่วงปลายปี และจะมีการประโคมข่าวตามช่องฟรีทีวีทุกช่อง เพื่อต้องการสื่อให้ผู้บริโภคได้รับรู้ว่า บริษัท
เอเชียน ไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด มหาชน มีศักยภาพที่มากพอในการส่งออกสินค้าไปต่างประเทศและมีผลวิจัยที่ได้มาตรฐาน ซึ่งคาดว่าประมาณเดือนตุลาคมนี้ ทางบริษัทฯ จะเริ่มมีการปล่อยกระแสตรงนี้ออกไป ก่อนที่จะมีการขายหุ้นโรงงานให้กับสมาชิกในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ ตลาดวิเคราะห์

ถอดรหัสยุทธศาสตร์ ‘จอย แอนด์ คอยน์’ ปฏิบัติการสานฝัน ‘สมาชิก’ ติดอาวุธครบมือ มุ่งสู่ความสำเร็จ!



เปลือยแผนยุทธศาสตร์สร้างสมาชิกมุ่งสู่ความสำเร็จจอยแอนด์คอยน์”...เดินหน้าทุ่มไม่อั้น! ลงทุนผุดสาขากรุยทางให้สมาชิกมุ่งสู่ความสำเร็จได้ง่ายขึ้น...พร้อมสร้างสรรค์ประติมากรรมชิ้นงามด้านเทคโนโลยีเสริมเขี้ยวเล็บองค์กรซัพพอร์ตด้านระบบฝึกอบรมสอนให้สมาชิกมีความรู้ความเข้าใจในการทำธุรกิจเพิ่มศักยภาพในการขยายฐานลูกค้าเดินหน้าสู่การเป็นนักธุรกิจอิสระมืออาชีพ...ชี้! วันนี้ทัพนักขายจอยแอนด์คอยน์ที่สำเร็จไม่เพียงคว้ารายได้แค่ 5 หลักแต่พุ่งทะยานไปถึง 7 หลักแถมยังสามารถเติบโตต่อไปได้อย่างต่อเนื่อง...!!!
...ท่ามกลางการแข่งขันในธุรกิจเครือข่ายขายตรงที่ทวีความรุนแรงเพิ่มอุณหภูมิสูงขึ้นทุกขณะ ส่งผลให้ภาพรวมของธุรกิจเติบโตเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะบริษัทที่มีการวางรากฐานไว้ดี สามารถเติบโตได้เป็นอย่างดี แม้จะเผชิญกับวิกฤตทางภัยธรรมชาติ แต่ก็ไม่กระทบต่อธุรกิจขายตรงมากนัก ซึ่งเชื่อว่าอัตราการเติบโตของแต่ละบริษัทน่าจะไม่ต่ำกว่า 15%
“บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทเครือข่ายขายตรง ที่มีการปูรากฐานธุรกิจไว้อย่างแข็งแกร่ง และมั่นคง เพื่อหมู่มวลสมาชิกได้ก้าวไปสู่ความสำเร็จง่ายขึ้น ภายใต้การทำธุรกิจที่ครบวงจร พร้อมอาวุธที่ครบมือให้เหล่ากองทัพนักรบเครือข่าย ได้เคลื่อนพลขยายอาณาจักรได้ง่ายขึ้น
ซึ่งที่ผ่านมาธุรกิจของ “จอย แอนด์ คอยน์” ถือว่า “มีความมหัศจรรย์” แฝงอยู่อย่างมากมาย ทำให้กองทัพนักรบเครือข่ายของค่ายนี้ สามารถสร้างผลผลิตทางด้านรายได้อย่าง “อัศจรรย์” จนทำให้อัตราการเติบโตของบริษัทเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
นอกจากความมหัศจรรย์ ที่สามารถสร้างผลผลิตด้านรายได้อย่างอัศจรรย์แล้ว การวางหมากยุทธศาสตร์ เพื่อบุกตลาดของ “จอย แอนด์ คอยน์” ก็เรียกว่า ไม่ธรรมดา เพราะมีแม่ทัพใหญ่ที่เชี่ยวชาญทางด้านธุรกิจเครือข่ายขายตรงอย่าง “ดร.สมชาย หัชลีฬหา” เป็นผู้คุมทัพบัญชาการรบ อยู่เบื้องหลัง จึงทำให้ “จอย แอนด์ คอยน์” ขยายอาณาเขตธุรกิจ ก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง...!!!
“ดร.สมชาย หัชลีฬหา”  ประธานกรรมการ บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 3-4 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ ถือว่า มีอัตราการเติบโตที่เกินเป้าหมายที่วางไว้ โดยมีอัตราค่าเฉลี่ยเติบโตร้อยละ 20% โดยที่ผู้จำหน่ายอิสระรายใหม่มีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น 30% นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของตัวเลขผู้ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งเติบโตสอดคล้องกัน นั่นหมายความว่า บริษัทฯ สามารถกระจายรายได้ให้กับผู้อิสระมากขึ้นอีก 30%

ผ่าแผนลงทุน!
ผุดสาขากรุยทางให้สมาชิก
“ดร. สมชาย” เปิดเผยต่อว่า ทุกครั้งที่บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตเพิ่มสูงขึ้น จะมีการนำไปลงทุนเพิ่ม โดยการลงทุนเพิ่มนั้น สิ่งแรกที่เริ่มทำ คือ การขยายสาขาในพื้นที่ที่มีจำนวนสมาชิกหนาแน่น ซึ่งล่าสุดได้มีการลงทุนเพิ่มที่ จ.ประจวบคีรีขันธ์ และ จ.สกลนคร โดยเป็นการเปิดสาขาเอง
นอกจากนี้ ยังมีการขยายตลาดไปยังพื้นที่ในพนม เปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่งพื้นที่ของสาขามีประมาณ 1,000 ตารางเมตร เพื่อไว้รองรับการเติบโตของสมาชิก
“เราคำนึงถึงความต้องการ และความจำเป็นของสมาชิกเป็นอันดับแรก เนื่องจากเราเชื่อว่า ธุรกิจขายตรงที่จะเติบโตได้ต้องมีมุมมอง วันนี้การทำธุรกิจขายตรง องค์ประกอบไม่ใช่ว่าสินค้าดีเพียงอย่างเดียว แต่ต้องคำนึงถึงสมาชิก ซึ่งการทำเพื่อให้สมาชิกเติบโตนั้น เราในฐานะที่เป็นผู้ประกอบการหรือบริษัทต้องทำตัวเป็นผู้ช่วยคือ ต้องมีเครื่องมือซัพพอร์ต ซึ่งเครื่องมือซัพพอร์ตที่ว่าคือ สาขา ซึ่งสาขาจะเป็นจุดกระจายสินค้า ศูนย์รวมแหล่งข้อมูลข่าวสาร เปรียบเสมือนมหาวิทยาลัย เป็นสถานที่ฝึกอบรมที่จะทำให้ผู้ลงทุนอิสระในพื้นที่นั้นๆ ได้เรียนรู้และเข้าใจ เพิ่มศักยภาพขีดความสามารถในการสร้างองค์กร และสามารถขยายตลาดได้”

ลุยสร้างเทคโนโลยี
เสริมเขี้ยวเล็บองค์กร
สำหรับกลยุทธ์การฝึกอบรมนั้น องค์ประกอบที่ขาดไม่ได้คือ เทคโนโลยีออนไลน์ เพราะสาขาที่มีอยู่ทั่วประเทศ ต้องใช้เทคโนโลยีเรียลไทม์ ซึ่งสามารถตอบโจทย์คือ มีระบบ ERP ที่สามารถเห็นถึงรีพอร์ทต่างๆ ที่จะทำให้เข้าถึงแหล่งข้อมูลและตัดสินใจในจอมอนิเตอร์ได้ว่า อะไรดีอะไรไม่ดี มียอดขายเท่าไร และจำนวนสมาชิกเป็นอย่างไรบ้าง สมาชิกคนใดสามารถทำยอดขายได้ดี และความต้องการของลูกค้าคืออะไร ซึ่งจะทำให้สมาชิกเองรู้ว่า ฐานลูกค้าเป็นอย่างไร และจะเข้าถึงกลุ่มลูกค้าได้อย่างไรบ้าง
เพราะฉะนั้น เทคโนโลยีจะต้องมีการพัฒนาขึ้นทุกวัน โดยเฉพาะเทคโนโลยีออนไลน์ และจะต้องผนวกกับสินค้าที่หลากหลายและมากมาย เพื่อที่จะรองรับกับความต้องการของลูกค้า
“วันนี้หากสมาชิกเดินเข้าไปหาลูกค้า และต้องการสินค้า แต่สมาชิกไม่มีให้ นั่นแสดงว่าไม่สามารถปิดการขายได้ ย่อมแสดงให้เห็นว่า ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ถ้าเรามีสินค้าทุกอย่างสามารถรองรับความต้องการของลูกค้าได้ก็จะสามารถทำให้ปิดการขายได้”
“ดร.สมชาย” เปิดเผยต่อว่า เมื่อมีสาขา เทคโนโลยี และระบบฝึกอบรมที่สอนให้สมาชิกมีความเข้าใจในการทำธุรกิจ ก็จะทำให้สมาชิกมีองค์ความรู้ และมีศักยภาพ ซึ่งจะส่งผลถึงศักยภาพขององค์กร เพิ่มความเติบโต ซึ่งวันนี้ขายตรงบริษัทไหนก็แล้วแต่ ถ้าไม่มีองค์ประกอบเหล่านี้ ก็จะเติบโตได้ยากในอนาคต
“เรารู้ว่าองค์ประกอบใดบ้างที่จะทำให้องค์กรเราเติบโต และเมื่อรู้ต้องมุ่งเน้นพัฒนาทุกวัน ไม่ว่าจะเป็น เทคโนโลยี การพัฒนาหาสินค้าใหม่ๆ เข้ามาทุกวัน และสร้างความได้เปรียบให้สินค้าของเราถูกลง อย่างสินค้าหลายรายการที่หลายบริษัทขึ้นราคา แต่ในส่วนของบริษัทยังคงยืนราคาเดิมไว้ไม่เคยปรับราคา ซึ่งทุกอย่างเพื่อสมาชิกและลูกค้าที่บริโภคโดยเฉพาะ”

ป้อนสินค้าทุกหมวด
สนองลูกค้า-สมาชิกครบวงจร
ดร.สมชาย เปิดเผยต่อว่า สิ่งสำคัญในการทำธุรกิจของบริษัทฯ คือ การขยายสินค้าให้ครบวงจร เรียกว่า อะไรที่คนอื่นมีเราพึงมี อะไรที่ไม่มี เราจะหามาให้ได้ ซึ่งตรงนี้ ทำให้บริษัทฯ มีความแตกต่างจากค่ายอื่น เพราะวันนี้มีพันธมิตรมากมาย และมีสินค้านับ 10,000 รายการ ไม่ว่าจะเป็น หมวดสุขภาพ และความงาม, อุปโภค-บริโภค, เกษตร และประกันภัย โดยมีสาขาจอยมาร์ทเป็นเครื่องมือในการกระจายสินค้า
ซึ่งปัจจุบันหมวดของสินค้าสุขภาพยังมาแรง เนื่องจากคนหันมารักษาสุขภาพมากขึ้น โดยที่ต้องการมีชีวิตที่ดีขึ้นในเรื่องสุขภาพ ซึ่งหลายคนเริ่มเห็นคุณค่า และความสำคัญ หันมาเอาใจใส่ดูแลสุขภาพมากขึ้น ส่วนสินค้าเกษตร เทรนด์แนวโน้มกระแสความต้องการสินค้าเกษตรยังเติบโตต่อเนื่อง ซึ่งที่ผ่านมาได้มีการพูดในรายการชี้ช่องรวย เสมอว่า วิกฤตคือโอกาส และปัจจุบันวิกฤตที่เกิดขึ้นในโลก มีมากมาย ไม่ว่าจะเป็น ภัยธรรมชาติ ที่ทำให้ต่างประเทศขาดแคลน เป็นโอกาสของประเทศไทยที่จะส่งออกไปยังต่างประเทศ ที่ยังมีความต้องการ โดยคาดการณ์ว่า ใน 2-3 ปี พืชผลเกษตรจะเติบโต และจะทำให้สินค้าที่เกี่ยวกับการเกษตรขยายตัวเพิ่มขึ้นตามไปด้วย  ด้านสินค้าอื่นๆ ก็ยังมีทิศทางที่ขยายตัวไปในทางที่ดีเช่นเดียวกัน
...ปัจจุบันทัพนักขายที่ประสบความสำเร็จใน “จอย แอนด์ คอยน์”  ที่มีรายได้ต่อเนื่อง ไม่มีเพียง 5 หลักเท่านั้น เพราะ คนที่มีรายได้ 6 หลักขึ้นไปก็มีจำนวนไม่น้อย และยังมีบางคนทะยานขึ้นไปมีรายได้ต่อเดือนถึง 7 หลัก ที่สำคัญคือ ยังสามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง
ซึ่งการเติบโตที่ว่าตรงนี่แหละคือ เครื่องพิสูจน์ให้เห็นว่า “จอย แอนด์ คอยน์” ได้พัฒนามาอย่างถูกทาง และเครื่องมือหรือ “อาวุธ” ต่างๆ เหล่านี้ สามารถตอบโจทย์สมาชิก และผู้บริโภคได้อย่างแท้จริง...!!!

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ ตลาดวิเคราะห์

 

‘ไทม์ลี่’ เคาะเครื่องธุรกิจ ครึ่งปีหลัง ใส่เกียร์หนึ่ง ขยายสาขา สร้างแรงเหวี่ยง



ไทม์ลี่ใส่เกียร์หนึ่งเดินเครื่องแรงครึ่งปีหลังเผย 1 ปีเศษที่โลดแล่นในสมรภูมิรบเครือข่ายกระแสตอบรับเยี่ยมดีเกินคาด...พร้อมแจงกลยุทธ์ครึ่งปีหลังเน้นตีตลาดต่างจังหวัดมากขึ้นเสริมความแกร่งด้านอบรมนำเสนอสินค้าโดนใจ...ล่าสุดเข็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไลท์เม็กซ์ตอบโจทย์ความต้องการสุภาพสตรีพร้อมผุดสำนักงานขายแห่งใหม่ถนนเลียบทางด่วนรามอินทรารองรับอัตราการเติบโตประกาศปีหน้าไทม์ลี่เตรียมจัดหนักทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อทีวีดาวเทียมพร้อมแผนสร้างสำนักงานใหญ่เสริมความมั่นคงของธุรกิจ
...“ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” คำพังเพยนี้คงใช้ได้ดีสำหรับเครือข่ายที่ชื่อ “ไทม์ลี่” อย่างแน่นอน ที่มีบอสหญิงอย่าง “กนกพร แซ่ตั้ง” นั่งกุมบังเหียนบัญชาเกมรบทางธุรกิจ พร้อมๆ กับทีมผู้บริหารที่มากด้วยความสามารถและแกนนำคนสำคัญอีก 10 ท่านในการช่วยผลักดันธุรกิจสู่เป้าหมาย
หากย้อนดูถึง “บริษัท ไทม์ลี่ จำกัด” ในวันนี้กับเมื่อครั้งเปิดตัวเมื่อช่วง 1 ปีเศษที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า มีพัฒนาการทางธุรกิจที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะไม่หวือหวาหรือมีกระแสที่พุ่งแบบติดจรวดเหมือนค่ายอื่นๆ ก็ตาม แต่ “ไทม์ลี่” เองก็ได้พิสูจน์ให้คนเครือข่ายได้รับรู้ว่า ของจริงไม่จำเป็นที่จะต้องมีกระแสที่ดังอย่างที่คิดเสมอไป ซึ่งหากทำธุรกิจที่โปร่งใสและถูกต้อง มีสินค้าที่โดนใจ รวมถึงแผนการตลาดที่เอื้อต่อการทำธุรกิจเท่านั้นก็เพียงพอ!!...
ตลอดระยะเวลา 1 ปีเศษที่ผ่านมา “ไทม์ลี่” ถือเป็นอีกหนึ่งเครือข่ายที่ได้ลิ้มรสชาติของธุรกิจขายตรงว่าเป็นสนามหินแค่ไหน?....ที่มีทั้ง “หลุมอุกกาบาต” คอยสร้างอุปสรรคในการทำธุรกิจ แต่หลุมอุปสรรคในธุรกิจขายตรงทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ก็ไม่ได้ทำให้เครือข่ายน้องใหม่ที่ชื่อ “ไทม์ลี่” สั่นไหวแต่อย่างใด
มาเปิดใจกับบอสหญิง “กนกพร แซ่ตั้ง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทม์ลี่ จำกัด กันดูว่า เส้นทางธุรกิจไทม์ลี่ในช่วงที่ผ่านมา เป็นเช่นไร และอนาคตนับจากนี้ทิศทางของธุรกิจจะเดินไปในทางไหน โดยบอสหญิงท่านนี้ได้เผยต่อ “ตลาดวิเคราะห์” ว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้เปิดดำเนินการมาได้ประมาณ 1 เดือนเศษ พบว่าภาพรวมของธุรกิจดีขึ้นตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของยอดขายที่เติบโตขึ้นทุกเดือนประมาณ 50% รวมถึงเริ่มมีสมาชิกเข้ามาสู่ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากที่เปิดดำเนินการธุรกิจในช่วงแรกที่มีสมาชิกอยู่ที่ 1,000 คน จนถึงปัจุจบันนี้บริษัทฯ มีสมาชิกอยู่ที่ 7,000 คน พร้อมกับมีสมาชิกที่เข้ามาสู่ธุรกิจเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 1,000 คน
...“ใน 1 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำหรับธุรกิจไทม์ลี่อย่างมาก ทั้งในส่วนของการเตรียมความพร้อมหลายๆ อย่าง ในการนำเข้ามาเติมเต็มธุรกิจ เพื่อให้สมาชิกทำงานง่ายขึ้น ซึ่งไทม์ลี่เอง อาจจะไม่ได้โดดเด่นเหมือนดังค่ายอื่นๆ แต่เราจะใช้สินค้าเป็นตัวนำเสียมากกว่า โดยเราเชื่อว่าสินค้าที่มีคุณภาพของไทม์ลี่ รวมถึงแผนธุรกิจที่มั่นคง พร้อมด้วยระบบที่มีประสิทธิภาพ น่าที่จะนำพาทุกคนได้ประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างแน่นอน”...
สำหรับกลยุทธ์การบุกตลาดครึ่งปีหลังนั้น “กนกพร” กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ จะเน้นการนำเอาระบบต่างๆ เข้ามาพัฒนาคน โดยการให้สมาชิกทุกคน สามารถทำงานเป็นและขยายเครือข่ายได้ รวมถึงเน้นการใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ด้วยการตีตลาดต่างจังหวัดให้หนักขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้ พร้อมกับการใช้สินค้าที่มีคุณภาพทำตลาด และโปรโมชั่นต่างๆ ที่ช่วยในการกระตุ้นยอดขายในแต่ละเดือนอีกด้วย
...อย่างล่าสุดอีกหนึ่ง “หัวจักร” ในการบุกตลาดในครึ่งปีหลังปีนี้ ที่ “ไทม์ลี่” ขอนำเสนอนั่นก็คือ การขยายฐานรบทางธุรกิจอีกหนึ่งแห่งเพื่อให้สมาชิกสามารถเดินทางได้สะดวกและง่ายขึ้น แถวถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา ซึ่งสำนักงานดังกล่าวได้เปิดดำเนินการไปแล้วเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา...เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องส่งสัญญาณว่า “ไทม์ลี่” พร้อมที่จะรุกตลาดเครือข่ายเต็มอัตราศึก ไปพร้อมๆ กับความพร้อมที่ได้สั่งสมมาตลอด 1 ปีเศษที่ผ่านมา!...
“เราเชื่อว่าภาพความชัดเจนของธุรกิจไทม์ลี่ หลังจากไตรมาสที่ 4 จนถึงต้นปีหน้า จะเริ่มเห็นภาพความชัดเจนของธุรกิจที่พร้อมมากขึ้น รวมถึงคนน่าที่จะเริ่มรู้จักธุรกิจไทม์ลี่มากขึ้นด้วย โดยที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าไทม์ลี่ค่อนข้างที่จะทำธุรกิจแบบคลื่นใต้น้ำ ทำแบบเงียบๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราเองไม่ได้เงียบแต่อย่างใด และในปี 2555 เราพร้อมที่จะโหมโรงธุรกิจเพื่อสร้างความเกรียงไกรของธุรกิจให้คนเครือข่ายได้ประจักษ์ต่อสายตาอีกด้วย”
แน่นอนที่สุด!...การทำธุรกิจเครือข่ายให้สำเร็จโดนใจผู้บริโภคและสมาชิก เรื่องของสินค้าถือเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่สำคัญของธุรกิจเช่นกัน โดยที่ “ไทม์ลี่” เองก็มีสินค้าที่หลากหลายกลุ่มพร้อมนำเสนอต่อผู้บริโภคและสมาชิกเช่นกัน...ซึ่ง “กนกพร” ได้บอกกับ “ตลาดวิเคราะห์” ว่า สินค้าของไทม์ลี่มีอยู่ด้วยกัน 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. กลุ่มทำความสะอาด 2. กลุ่มอุปโภคและบริโภค 3. กลุ่มผลิต ภัณฑ์เสริมอาหาร และ 4. กลุ่มเครื่องสำอาง โดยสินค้าแต่ละกลุ่มนั้น ต่างได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคและสมาชิกเป็นอย่างดี
ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับสุภาพสตรีที่ชื่อ “ไลท์ เม็กซ์” ซึ่งวันนี้ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคและสมาชิกเป็นอย่างดี โดยเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่จะสร้างยอดขายให้กับทางบริษัทฯ เป็นอย่างดีด้วยเช่นกัน พร้อมกันนี้ บริษัทฯ  ยังได้เตรียมที่จะนำสินค้าอีก 2 กลุ่มเข้ามาเสริมทัพในอีกเร็วๆ นี้ คือ กลุ่มสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างทดลองสินค้า
“การที่จะเลือกสินค้าเข้ามาสู่ธุรกิจเครือข่าย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความพิถีพิถันอย่างมาก ซึ่งหากเรานำสินค้าเข้ามาวางจำหน่ายแล้วไม่มีประสิทธิภาพ ผลที่ตามมา คือชื่อเสียงของบริษัทจบลงอย่างแน่นอน เพราะเราจะเน้นที่ชัวร์และได้ของที่ดีมีคุณภาพ ขณะเดียวกัน ในการนำเสนอสินค้าต่อผู้บริโภคทุกตัว เราจะมีการอบรมให้กับสมาชิกอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สมาชิกทุกท่านได้สามารถมีความรู้เรื่องของสินค้านำไปบอกกล่าวกับผู้บริโภคได้อย่างถูกต้อง และตรงตามความต้องการของผู้บริโภคนั่นเอง”
ส่วนทางด้านความพร้อมในการเคลื่อนทัพตีตลาดนับจากนี้ต่อไปนั้น “กนกพร” กล่าวย้ำอีกว่า วันนี้เครื่องไม้เครื่องมือทางธุรกิจของไทม์ลี่เรียกว่าครบหมด ทั้งในเรื่องของศูนย์สาขาที่มีกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ และพร้อมที่จะขยายการเติบโตในส่วนของสาขาเพิ่มมากขึ้นในอนาคต รวมถึงบริษัทฯ เองยังได้เตรียมที่จะสร้างแบรนด์ให้เกิดการรับรู้มากขึ้น ไปพร้อมๆ กับการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมถึงสื่อต่างๆ เข้ามาช่วยในการสร้างแบรนด์ อาทิ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อทีวีดาวเทียม เป็นต้น และในอนาคตอันใกล้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะสร้างสำนักงานใหญ่เป็นของตัวเองอีกด้วย โดยคาดว่าความชัดเจนน่าที่จะเห็นมากขึ้นในช่วงปีหน้าอย่างแน่นอน
“สำหรับทิศทางของธุรกิจไทม์ลี่ นับจากนี้ต่อไปนั้น เชื่อว่าจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ต้นปีหน้าอย่างแน่นอน เพราะช่วงปีนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการฟอร์มทีมก็ว่าได้ โดยเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาธุรกิจ และอยากจะบอกทุกคนว่าวันนี้ไทม์ลี่พร้อมแล้วที่จะบุกตลาดเครือข่ายแบบครบเครื่อง ซึ่งหากใครที่เห็นโอกาส ลองเข้ามาหยิบโอกาสที่นี้ดู ซึ่งเราอาจจะเป็นธุรกิจเครือข่ายเล็กๆ แต่เชื่อว่าเครือข่ายที่เล็กๆ นี่แหล่ะ จะเป็นธุรกิจที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับทุกคนได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมกับไม่มีหนี้สินได้”
...จะเห็นได้ว่า การที่ใครจะเข้ามาสู่ธุรกิจขายตรงได้นั้น กว่าที่จะสร้างแรงเหวี่ยงของธุรกิจให้แจ้งเกิดได้ ย่อมต้องเจอบททดสอบอีกมากมายหลายขุมทีเดียว ที่สำคัญ หากค่ายไหนไม่มีจุดเด่นของธุรกิจที่เพียงพอ ขอฟันธง! ได้เลยว่า “เจ็บตัว” แทบทุกราย!
แต่สำหรับขายตรงน้องใหม่ที่ชื่อ “ไทม์ลี่” แล้ว ตลอดระยะเวลา 1 ปีเศษที่ผ่านมา เริ่มที่จะ พิสูจน์กึ๋นความสามารถออกมาให้หลายๆ ท่านได้เห็นกันบ้างแล้ว เชื่อว่าวันนี้ “ไทม์ลี่” อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ของใครหลายคนก็เป็นได้!...

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ ตลาดวิเคราะห์

 

‘ไทม์ลี่’ เคาะเครื่องธุรกิจ ครึ่งปีหลัง ใส่เกียร์หนึ่ง ขยายสาขา สร้างแรงเหวี่ยง



ไทม์ลี่ใส่เกียร์หนึ่งเดินเครื่องแรงครึ่งปีหลังเผย 1 ปีเศษที่โลดแล่นในสมรภูมิรบเครือข่ายกระแสตอบรับเยี่ยมดีเกินคาด...พร้อมแจงกลยุทธ์ครึ่งปีหลังเน้นตีตลาดต่างจังหวัดมากขึ้นเสริมความแกร่งด้านอบรมนำเสนอสินค้าโดนใจ...ล่าสุดเข็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารไลท์เม็กซ์ตอบโจทย์ความต้องการสุภาพสตรีพร้อมผุดสำนักงานขายแห่งใหม่ถนนเลียบทางด่วนรามอินทรารองรับอัตราการเติบโตประกาศปีหน้าไทม์ลี่เตรียมจัดหนักทั้งสื่อสิ่งพิมพ์และสื่อทีวีดาวเทียมพร้อมแผนสร้างสำนักงานใหญ่เสริมความมั่นคงของธุรกิจ
...“ระยะทางพิสูจน์ม้า กาลเวลาพิสูจน์คน” คำพังเพยนี้คงใช้ได้ดีสำหรับเครือข่ายที่ชื่อ “ไทม์ลี่” อย่างแน่นอน ที่มีบอสหญิงอย่าง “กนกพร แซ่ตั้ง” นั่งกุมบังเหียนบัญชาเกมรบทางธุรกิจ พร้อมๆ กับทีมผู้บริหารที่มากด้วยความสามารถและแกนนำคนสำคัญอีก 10 ท่านในการช่วยผลักดันธุรกิจสู่เป้าหมาย
หากย้อนดูถึง “บริษัท ไทม์ลี่ จำกัด” ในวันนี้กับเมื่อครั้งเปิดตัวเมื่อช่วง 1 ปีเศษที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า มีพัฒนาการทางธุรกิจที่ดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งอาจจะไม่หวือหวาหรือมีกระแสที่พุ่งแบบติดจรวดเหมือนค่ายอื่นๆ ก็ตาม แต่ “ไทม์ลี่” เองก็ได้พิสูจน์ให้คนเครือข่ายได้รับรู้ว่า ของจริงไม่จำเป็นที่จะต้องมีกระแสที่ดังอย่างที่คิดเสมอไป ซึ่งหากทำธุรกิจที่โปร่งใสและถูกต้อง มีสินค้าที่โดนใจ รวมถึงแผนการตลาดที่เอื้อต่อการทำธุรกิจเท่านั้นก็เพียงพอ!!...
ตลอดระยะเวลา 1 ปีเศษที่ผ่านมา “ไทม์ลี่” ถือเป็นอีกหนึ่งเครือข่ายที่ได้ลิ้มรสชาติของธุรกิจขายตรงว่าเป็นสนามหินแค่ไหน?....ที่มีทั้ง “หลุมอุกกาบาต” คอยสร้างอุปสรรคในการทำธุรกิจ แต่หลุมอุปสรรคในธุรกิจขายตรงทั้งขนาดเล็ก กลาง ใหญ่ ก็ไม่ได้ทำให้เครือข่ายน้องใหม่ที่ชื่อ “ไทม์ลี่” สั่นไหวแต่อย่างใด
มาเปิดใจกับบอสหญิง “กนกพร แซ่ตั้ง” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ไทม์ลี่ จำกัด กันดูว่า เส้นทางธุรกิจไทม์ลี่ในช่วงที่ผ่านมา เป็นเช่นไร และอนาคตนับจากนี้ทิศทางของธุรกิจจะเดินไปในทางไหน โดยบอสหญิงท่านนี้ได้เผยต่อ “ตลาดวิเคราะห์” ว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้เปิดดำเนินการมาได้ประมาณ 1 เดือนเศษ พบว่าภาพรวมของธุรกิจดีขึ้นตามลำดับ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของยอดขายที่เติบโตขึ้นทุกเดือนประมาณ 50% รวมถึงเริ่มมีสมาชิกเข้ามาสู่ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จากที่เปิดดำเนินการธุรกิจในช่วงแรกที่มีสมาชิกอยู่ที่ 1,000 คน จนถึงปัจุจบันนี้บริษัทฯ มีสมาชิกอยู่ที่ 7,000 คน พร้อมกับมีสมาชิกที่เข้ามาสู่ธุรกิจเฉลี่ยต่อเดือนอยู่ที่ 1,000 คน
...“ใน 1 ปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความท้าทายสำหรับธุรกิจไทม์ลี่อย่างมาก ทั้งในส่วนของการเตรียมความพร้อมหลายๆ อย่าง ในการนำเข้ามาเติมเต็มธุรกิจ เพื่อให้สมาชิกทำงานง่ายขึ้น ซึ่งไทม์ลี่เอง อาจจะไม่ได้โดดเด่นเหมือนดังค่ายอื่นๆ แต่เราจะใช้สินค้าเป็นตัวนำเสียมากกว่า โดยเราเชื่อว่าสินค้าที่มีคุณภาพของไทม์ลี่ รวมถึงแผนธุรกิจที่มั่นคง พร้อมด้วยระบบที่มีประสิทธิภาพ น่าที่จะนำพาทุกคนได้ประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างแน่นอน”...
สำหรับกลยุทธ์การบุกตลาดครึ่งปีหลังนั้น “กนกพร” กล่าวเสริมว่า บริษัทฯ จะเน้นการนำเอาระบบต่างๆ เข้ามาพัฒนาคน โดยการให้สมาชิกทุกคน สามารถทำงานเป็นและขยายเครือข่ายได้ รวมถึงเน้นการใช้กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ด้วยการตีตลาดต่างจังหวัดให้หนักขึ้น เพื่อสร้างการรับรู้ พร้อมกับการใช้สินค้าที่มีคุณภาพทำตลาด และโปรโมชั่นต่างๆ ที่ช่วยในการกระตุ้นยอดขายในแต่ละเดือนอีกด้วย
...อย่างล่าสุดอีกหนึ่ง “หัวจักร” ในการบุกตลาดในครึ่งปีหลังปีนี้ ที่ “ไทม์ลี่” ขอนำเสนอนั่นก็คือ การขยายฐานรบทางธุรกิจอีกหนึ่งแห่งเพื่อให้สมาชิกสามารถเดินทางได้สะดวกและง่ายขึ้น แถวถนนเลียบทางด่วนรามอินทรา ซึ่งสำนักงานดังกล่าวได้เปิดดำเนินการไปแล้วเมื่อวันที่ 1 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา...เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งเครื่องส่งสัญญาณว่า “ไทม์ลี่” พร้อมที่จะรุกตลาดเครือข่ายเต็มอัตราศึก ไปพร้อมๆ กับความพร้อมที่ได้สั่งสมมาตลอด 1 ปีเศษที่ผ่านมา!...
“เราเชื่อว่าภาพความชัดเจนของธุรกิจไทม์ลี่ หลังจากไตรมาสที่ 4 จนถึงต้นปีหน้า จะเริ่มเห็นภาพความชัดเจนของธุรกิจที่พร้อมมากขึ้น รวมถึงคนน่าที่จะเริ่มรู้จักธุรกิจไทม์ลี่มากขึ้นด้วย โดยที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าไทม์ลี่ค่อนข้างที่จะทำธุรกิจแบบคลื่นใต้น้ำ ทำแบบเงียบๆ แต่ในความเป็นจริงแล้ว เราเองไม่ได้เงียบแต่อย่างใด และในปี 2555 เราพร้อมที่จะโหมโรงธุรกิจเพื่อสร้างความเกรียงไกรของธุรกิจให้คนเครือข่ายได้ประจักษ์ต่อสายตาอีกด้วย”
แน่นอนที่สุด!...การทำธุรกิจเครือข่ายให้สำเร็จโดนใจผู้บริโภคและสมาชิก เรื่องของสินค้าถือเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่สำคัญของธุรกิจเช่นกัน โดยที่ “ไทม์ลี่” เองก็มีสินค้าที่หลากหลายกลุ่มพร้อมนำเสนอต่อผู้บริโภคและสมาชิกเช่นกัน...ซึ่ง “กนกพร” ได้บอกกับ “ตลาดวิเคราะห์” ว่า สินค้าของไทม์ลี่มีอยู่ด้วยกัน 4 กลุ่ม ประกอบด้วย 1. กลุ่มทำความสะอาด 2. กลุ่มอุปโภคและบริโภค 3. กลุ่มผลิต ภัณฑ์เสริมอาหาร และ 4. กลุ่มเครื่องสำอาง โดยสินค้าแต่ละกลุ่มนั้น ต่างได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคและสมาชิกเป็นอย่างดี
ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการวางจำหน่ายผลิตภัณฑ์ใหม่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับสุภาพสตรีที่ชื่อ “ไลท์ เม็กซ์” ซึ่งวันนี้ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคและสมาชิกเป็นอย่างดี โดยเชื่อว่าจะเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่จะสร้างยอดขายให้กับทางบริษัทฯ เป็นอย่างดีด้วยเช่นกัน พร้อมกันนี้ บริษัทฯ  ยังได้เตรียมที่จะนำสินค้าอีก 2 กลุ่มเข้ามาเสริมทัพในอีกเร็วๆ นี้ คือ กลุ่มสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวัน และกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างทดลองสินค้า
“การที่จะเลือกสินค้าเข้ามาสู่ธุรกิจเครือข่าย จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีความพิถีพิถันอย่างมาก ซึ่งหากเรานำสินค้าเข้ามาวางจำหน่ายแล้วไม่มีประสิทธิภาพ ผลที่ตามมา คือชื่อเสียงของบริษัทจบลงอย่างแน่นอน เพราะเราจะเน้นที่ชัวร์และได้ของที่ดีมีคุณภาพ ขณะเดียวกัน ในการนำเสนอสินค้าต่อผู้บริโภคทุกตัว เราจะมีการอบรมให้กับสมาชิกอยู่ตลอดเวลา เพื่อให้สมาชิกทุกท่านได้สามารถมีความรู้เรื่องของสินค้านำไปบอกกล่าวกับผู้บริโภคได้อย่างถูกต้อง และตรงตามความต้องการของผู้บริโภคนั่นเอง”
ส่วนทางด้านความพร้อมในการเคลื่อนทัพตีตลาดนับจากนี้ต่อไปนั้น “กนกพร” กล่าวย้ำอีกว่า วันนี้เครื่องไม้เครื่องมือทางธุรกิจของไทม์ลี่เรียกว่าครบหมด ทั้งในเรื่องของศูนย์สาขาที่มีกระจายอยู่ตามภูมิภาคต่างๆ และพร้อมที่จะขยายการเติบโตในส่วนของสาขาเพิ่มมากขึ้นในอนาคต รวมถึงบริษัทฯ เองยังได้เตรียมที่จะสร้างแบรนด์ให้เกิดการรับรู้มากขึ้น ไปพร้อมๆ กับการนำเอาเทคโนโลยีที่ทันสมัย รวมถึงสื่อต่างๆ เข้ามาช่วยในการสร้างแบรนด์ อาทิ สื่อสิ่งพิมพ์ สื่อทีวีดาวเทียม เป็นต้น และในอนาคตอันใกล้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะสร้างสำนักงานใหญ่เป็นของตัวเองอีกด้วย โดยคาดว่าความชัดเจนน่าที่จะเห็นมากขึ้นในช่วงปีหน้าอย่างแน่นอน
“สำหรับทิศทางของธุรกิจไทม์ลี่ นับจากนี้ต่อไปนั้น เชื่อว่าจะเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ นับตั้งแต่ต้นปีหน้าอย่างแน่นอน เพราะช่วงปีนี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นการฟอร์มทีมก็ว่าได้ โดยเป็นการเตรียมความพร้อมเพื่อพัฒนาธุรกิจ และอยากจะบอกทุกคนว่าวันนี้ไทม์ลี่พร้อมแล้วที่จะบุกตลาดเครือข่ายแบบครบเครื่อง ซึ่งหากใครที่เห็นโอกาส ลองเข้ามาหยิบโอกาสที่นี้ดู ซึ่งเราอาจจะเป็นธุรกิจเครือข่ายเล็กๆ แต่เชื่อว่าเครือข่ายที่เล็กๆ นี่แหล่ะ จะเป็นธุรกิจที่สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับทุกคนได้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมกับไม่มีหนี้สินได้”
...จะเห็นได้ว่า การที่ใครจะเข้ามาสู่ธุรกิจขายตรงได้นั้น กว่าที่จะสร้างแรงเหวี่ยงของธุรกิจให้แจ้งเกิดได้ ย่อมต้องเจอบททดสอบอีกมากมายหลายขุมทีเดียว ที่สำคัญ หากค่ายไหนไม่มีจุดเด่นของธุรกิจที่เพียงพอ ขอฟันธง! ได้เลยว่า “เจ็บตัว” แทบทุกราย!
แต่สำหรับขายตรงน้องใหม่ที่ชื่อ “ไทม์ลี่” แล้ว ตลอดระยะเวลา 1 ปีเศษที่ผ่านมา เริ่มที่จะ พิสูจน์กึ๋นความสามารถออกมาให้หลายๆ ท่านได้เห็นกันบ้างแล้ว เชื่อว่าวันนี้ “ไทม์ลี่” อาจจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกใหม่ของใครหลายคนก็เป็นได้!...

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ ตลาดวิเคราะห์

 

วันอาทิตย์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ปุ๋ยอินทรี หมื่นล้าน วูบ50%



ปุ๋ยอินทรีย์หมื่นล้าน ยอดหดกว่า 50% หลังรัฐบาลส่งโครงการปุ๋ยลดต้นทุนมูลค่า 3,500 ล้านอุดหนุนภาคเกษตรกร ดาวปูแดง โอดได้รับผลกระทบหนักยอดวูบไปแล้วกว่า 60 ล้านบาท ขณะที่แฮ็ปปี้ เอ็มพีเอ็ม-ยูนิไลฟ์-กิฟฟารีน ชี้ไม่ได้รับผลกระทบ เนื่องจากเป็นสินค้าคนละกลุ่มเป้าหมาย
จากกรณีที่รัฐบาลได้เปิดตัวโครงการ"ปุ๋ยลดต้นทุน" ด้วยการสนับสนุนเงินจำนวน 3,500 ล้านบาทอุดหนุนปุ๋ยเคมี   ส่งผลให้ผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ได้รับผลกระทบอย่างหนัก เนื่องจากที่ผ่านมารัฐบาลมีนโยบายให้เกษตรกรหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์มากขึ้น เนื่องจากมีราคาที่ถูกกว่า โดยเรื่องดังกล่าว นายเชน  ใจซื่อ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นิวตรีริช จำกัด  ผู้ผลิตและจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์และผลิตภัณฑ์สินค้าเพื่อการเกษตร เปิดเผยกับ"ฐานเศรษฐกิจ"ว่า  ขณะนี้ผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว เนื่องจากรัฐบาลได้สนับสนุนแก่เกษตรกรที่ขึ้นทะเบียนโครงการประกันรายได้เกษตรกร ในการจ่ายเงินค่าชดเชยปุ๋ยให้เกษตรกรเป็นการแบ่งเบาภาระหรือลดต้นทุนการผลิตในอัตรา 1.50 บาทต่อกิโลกรัม หรือ 1,500 บาทต่อตันนั้น ประกอบกับสภาวะภัยธรรมชาติไม่ว่าจะเป็นน้ำท่วมหรือภัยแล้ง ส่งผลให้ยอดขายปุ๋ยอินทรีย์ของบริษัทลดลงกว่า 60 ล้านบาท ขณะที่ตลาดรวมของปุ๋ยอินทรีย์ที่มีมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท หรือมีส่วนแบ่งตลาดประมาณ 10% จากมูลค่าปุ๋ยทั้งระบบ 10,000 ล้านบาท คาดว่าจะมีสัดส่วนลดลง 50% หรือเหลือเพียง 5,000 ล้านบาทเท่านั้น
"แต่เดิมจากที่ผ่านมาราคาปุ๋ยเคมีปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกษตรกรมองหาทางเลือกในการลดต้นทุนด้วยการหันมาใช้ปุ๋ยอินทรีย์แทน ซึ่งคาดว่าส่วนแบ่งของตลาดปุ๋ยอินทรีย์จะเพิ่มขึ้น 1-2% หรือคิดเป็นมูลค่า 1,000-2,000 ล้านบาท แต่จากนโยบายดังกล่าวทำให้ผู้ประกอบการหรือผู้ผลิตได้รับผลกระทบอย่างหนัก แม้ว่าโครงการนี้จะเป็นโครงการระยะสั้น แต่จะส่งผลกระทบกับผู้ผลิตไม่น้อยกว่า 6 เดือนอย่างแน่นอน
ดังนั้นเพื่อเป็นการแก้ไขปัญหาดังกล่าว บริษัทหาวิธีการในการกระตุ้นยอดขายให้เพิ่มขึ้น โดยวางกลยุทธ์อัดแคมเปญสร้างแรงจูงใจให้สมาชิกที่ทำยอดขายได้ถึงเป้า ด้วยการเพิ่มทริปท่องเที่ยวต่างประเทศมากขึ้น รวมถึงผลประโยชน์ที่สมาชิกจะได้รับต้องมีความคุ้มค่า  รวมทั้งเร่งการปรับธุรกิจมาสู่ระบบแฟรนไชส์และตั้งเป้าเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ จะช่วยเสริมให้ธุรกิจมีความน่าเชื่อถือและเติบโตอย่างมั่นคง  พร้อมเปิดตัวอย่างเป็นทางการในงานมหกรรมชี้ช่องรวย 2011 ที่เดอะมอลล์ บางกะปิ ระหว่างวันที่ 30 มิ.ย.-3 ก.ค.นี้
อย่างไรก็ตาม บริษัทในฐานะผู้ประกอบการปุ๋ยอินทรีย์ต้องการขอให้ภาครัฐให้ช่วยสนับสนุนเกษตรอินทรีย์อย่างที่เคยทำมา  แม้ว่ารัฐบาลมีโครงการปุ๋ยลดต้นทุน เพื่อกระตุ้นให้เกษตรกรใช้ปุ๋ยเคมีอย่างถูกต้องเป็นเรื่องที่ดี  แต่ในขณะเดียวกันก็ควรส่งเสริมความรู้แนวทางเกษตรอินทรีย์ควบคู่ไปด้วย  เพื่อปูทางสู่เกษตรปลอดสารพิษอย่างยั่งยืน
ด้านนายพีรพงษ์ หลังปูเต๊ะ กรรมการบริการ บริษัท แฮ็ปปี้ เอ็ม พี เอ็ม จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับพืช กล่าวว่า นโยบายดังกล่าวส่งผลกระทบกับกลุ่มผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์อย่างแน่นอน แม้ว่าจะเป็นแค่ช่วงระยะเวลาสั้น เนื่องจากเป็นนโยบายที่แข่งขันกับภาคเอกชนที่ดำเนินธุรกิจปุ๋ยอินทรีย์ ซึ่งในส่วนของบริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายดังกล่าว เนื่องจากสินค้าที่จำหน่ายไม่ใช่ปุ๋ย แต่เป็นอาหารเสริมสำหรับพืช ที่ไม่ใช่ชนิดเดียวกันกับปุ๋ยที่รัฐบาลจัดโครงการ
ขณะที่นางปราณี พุทธิพิพัฒน์ขจร บริษัท ยูนิไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า นโยบายดังกล่าว ถือเป็นผลดีในการที่ภาคเกษตรกรจะได้ใช้ปุ๋ยเคมีที่มีราคาถูกลง แต่จะส่งผลกระทบกับผู้ผลิตปุ๋ยอินทรีย์ คาดว่าจะเป็นเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น ขณะที่ในส่วนของบริษัทนั้นผลิตปุ๋ยเกร็ด และผลิตภัณฑ์ที่ช่วยลดจำนวนปุ๋ยสำหรับใส่พืช จึงไม่ได้รับผลกระทบแต่อย่างใด
ส่วนดร.นารี  สุทธปรีดา รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้ดูแลผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเกษตร กล่าวว่า บริษัทไม่ได้รับผลกระทบจากนโยบายของภาครัฐแต่อย่างใด เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่จำหน่ายเป็นปุ๋ยน้ำที่ใช้สำหรับพ่น ไม่ใช่เป็นปุ๋ยที่ใช้ในดินเหมือนที่ภาครัฐบาลจัดโครงการปุ๋ยลดต้นทุน

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับที่ 2,646 23-25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วันเสาร์ที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2554

ลาชูเล่ ... เปิดขุมทรัพย์ แห่งการเรียนรู้



บริษัท ลาชูเล่ คอสเมติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงาน LOPP เปิดบ้านให้ความรู้เหล่าบรรดาสมาชิกทั้งเก่าและใหม่อย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา ณ สำนักงานใหญ่ รัชดา ภายในงานบริการปรึกษาปัญหาผิวพรรณจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มหัศจรรย์ใจไปกับการทดลองพลังแห่ง Nano CeraVit C อาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงผิวหน้าให้ขาวกระจ่างใส เรียนรู้เทคนิคการสร้างงานสร้างเงินจากนักขายดาวรุ่งแห่งปี คุณติ๊ก - วิมลรัตน์ สุทธิกมลกิจ พร้อมรับฟังข่าวคราวความเคลื่อนไหวโครงการ “ร้านเสริมสวยเงินล้าน” จาก ร.ต.ต. ดร.สุรเชษฐ์ เชื้อศรี ประธานกรรมการบริหาร ปิดท้ายด้วยพิธีมอบใบประกาศนียบัตรให้กับสมาชิกผู้เข้าร่วมหลักสูตรการบริการ การจัดการเป็นศูนย์ย่อย การบริการลูกค้า สมาชิก และการกระจายสินค้าลาชูเล่อย่างถูกต้องรุ่นที่ 4 ... รับประกันว่าเป็นงาน “ปลุกไฟใช้พลัง...ปลูกฝังความสำเร็จ” ของแท้!

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: บริษัท ลาชูเล่ คอสเมติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด

ลาชูเล่ ... เปิดขุมทรัพย์ แห่งการเรียนรู้



บริษัท ลาชูเล่ คอสเมติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดงาน LOPP เปิดบ้านให้ความรู้เหล่าบรรดาสมาชิกทั้งเก่าและใหม่อย่างต่อเนื่อง เมื่อวันที่ 25 มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมา ณ สำนักงานใหญ่ รัชดา ภายในงานบริการปรึกษาปัญหาผิวพรรณจากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ มหัศจรรย์ใจไปกับการทดลองพลังแห่ง Nano CeraVit C อาหารสำคัญที่ช่วยบำรุงผิวหน้าให้ขาวกระจ่างใส เรียนรู้เทคนิคการสร้างงานสร้างเงินจากนักขายดาวรุ่งแห่งปี คุณติ๊ก - วิมลรัตน์ สุทธิกมลกิจ พร้อมรับฟังข่าวคราวความเคลื่อนไหวโครงการ “ร้านเสริมสวยเงินล้าน” จาก ร.ต.ต. ดร.สุรเชษฐ์ เชื้อศรี ประธานกรรมการบริหาร ปิดท้ายด้วยพิธีมอบใบประกาศนียบัตรให้กับสมาชิกผู้เข้าร่วมหลักสูตรการบริการ การจัดการเป็นศูนย์ย่อย การบริการลูกค้า สมาชิก และการกระจายสินค้าลาชูเล่อย่างถูกต้องรุ่นที่ 4 ... รับประกันว่าเป็นงาน “ปลุกไฟใช้พลัง...ปลูกฝังความสำเร็จ” ของแท้!

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: ลาชูเล่ คอสเมติคส์ ประเทศไทย

บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด นำสมาชิกกว่า 3,500 คนเดินทางท่องเที่ยว ในรัฐปีนัง และ เกาะลังกาวี


กรุงเทพฯ--27 มิ.ย.--การท่องเที่ยวมาเลเซีย

บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด นำสมาชิกกว่า 3,500 คนเดินทางท่องเที่ยวในรัฐปีนังและเกาะลังกาวี ระหว่างวันที่ 24-27 มิถุนายนนี้ในโอกาสนี้สมาชิกขายตรงจะเดินทางไปร่วมสัมนาและเยี่ยมชมโรงงานและสำหนักงานใหญ่ของ ZHULIAN Marketing (M) Sdn Bhd (ZMMSB)ในรัฐปีนัง บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทในเครือของ ZHULIAN Marketing (M) Sdn Bhd (ZMMSB) ซึ่งเริ่มดำเนินกิจการในประเทสไทยตั้งแต่ปีพ.ศ. 2539 โดยสำนักงานในประเทศไทยตั้งอยู่ที่จังหวัดนนทบุรีและเป็นศุนย์กลางการกระจายสินค้าในเครือบริษัทซูเลียนประจำภูมิภาคเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบัน บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด มีสมชิกในระบบขายตรงมากกว่า 1,000,000 คน

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: http://www.newswit.com

 

วันศุกร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2554

เอมสตาร์ เล่นของใหญ่ ปักธงสหรัฐ ดีดตัวติด ท็อปสากล



“เอม สตาร์” เดินหน้าไต่บันไดฝัน ข้ามทวีปจัดการปักธงขยายสาขาเข้าเมืองลุงแซม ใช้แคลิฟอร์เนียเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์ ส่วนอินเดียยังต้องรอพิกัดตั้งสาขา ด้านโรงงาน ไทยยังมีปัญหาขีดเส้นต้องเสร็จทันปลายปี เป้าหมายยอดขาย ยังเสียงแข็ง ปีนี้ต้อง 1.5 หมื่นล้านบาทเท่านั้น
ท.ญ.ลพา วัชรศรีโรจน์ ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท เอมสตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้เอมสตาร์ได้ทำการเปิดสาขาในประเทศสหรัฐอเมริกาที่รัฐแคลิฟอร์เนียโดยมีการเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 2 มิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งสมาชิกสามารถสั่งซื้อสินค้า หรือสมัครสมาชิกได้ จากสาขานี้ได้เลย และกระแสการตอบรับ ถือว่าดีมาก เพราะเมื่อเปิดทำการวันแรกสินค้าของเอมสตาร์ขายหมดเกลี้ยง
สำหรับทุนการจดทะเบียนบริษัทที่อเมริกาอยู่ที่ 5 แสนเหรียญ โดยสินค้าที่ไปวางจำหน่ายตัวแรกคือ น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว สินค้าตัวต่อไปที่จะนำเข้ามา คือ สินค้ากลุ่ม แอสนี่ สกินแคร์ และกลุ่ม เพอร์ซันนอลแคร์ โดยสมาชิกสามารถโทร. สั่งซื้อสินค้า หรือสั่งทางระบบออนไลน์ได้ เพราะมีการเชื่อมโยงระบบและสามารถจัดส่งได้ทั่วอเมริกา แต่ต้องขึ้นอยู่กับระเบียบ การจัดส่งของแต่ละรัฐ
“ในส่วนของเรื่องแม่ทีม บริษัทยังให้ ความสำคัญกับผู้ที่เป็นคนไทย โดยอัพไลน์ ต้องเป็นคนไทยเท่านั้น เพราะเอมสตาร์มองว่าแม้ตลาดจะใหญ่แค่ไหน แต่ต้องมีต้นไม้หลักแค่ต้นเดียว อีกทั้งยังมองว่าตลาดที่อเมริกาถือว่าเป็นตลาดใหญ่ที่สุด ในการทำธุรกิจเครือข่าย เพราะว่าโครงสร้าง สามารถรองรับได้ทั่วโลก และประชาชนส่วนใหญ่ค่อนข้างเชื่อมั่นในตัวเองว่าเขาทำได้ ซึ่งตรงกับคอนเซปต์ของเรา คือ คุณ ลิขิตชีวิตคุณเอง โดยประชาชนที่อเมริกาตั้งเป้าหมายว่าเขาต้องอยู่ในระดับไดมอนด์ สตาร์เท่านั้น หรือต้องมีรายได้เฉลี่ยประมาณ 3 แสนบาทต่อเดือน” หมอลพา กล่าว
ขณะเดียวกัน เอมสตาร์มองเป้าหมาย ในการเปิดสาขาที่อเมริกาว่าเป็นอีกหนึ่งจุดที่จะขับเคลื่อนให้ธุรกิจเอมสตาร์ก้าวเข้า สู่ท็อปเทนของตลาดโลก ซึ่งจากการสำรวจ พบว่าประชาชนที่นั่นมีอยู่สองกลุ่มคือ กลุ่ม ที่เกลียดธุรกิจเครือข่าย กับกลุ่มที่เคยทำธุรกิจเครือข่ายแล้วไม่ประสบความสำเร็จ โดยเอมสตาร์ต้องพิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อเข้ามาทำธุรกิจนี้แล้วสามารถประสบความสำเร็จได้ไม่ยากอย่างที่คิด
“อย่างไรก็ดี การขยายสาขาในต่าง ประเทศย่อมมีความยากง่ายไม่เหมือนกัน อย่างเราเข้าไปเปิดสาขาที่ญี่ปุ่นกับอเมริกา ก็มีความแตกต่างกัน เพราะฐานประชาชน คนไทยที่อเมริกามีจำนวนมากกว่าที่ญี่ปุ่น อีกทั้งภาษาในการสื่อสารที่ญี่ปุ่นถือเป็นอุปสรรคในการเข้าไปขยายกลุ่มลูกค้า และ อัตราการเติบโตที่อเมริกาค่อนข้างโตได้ง่ายกว่าที่ญี่ปุ่น”
สำหรับสาขาที่ญี่ปุ่น ซึ่งก่อนหน้าที่มีเหตุการณ์แผ่นดินไหว ขณะนี้สถานการณ์ ที่ญี่ปุ่นอยู่ในสถานการณ์ปกติ โดยขณะนี้เอมสตาร์ได้ทำการขยายสำนักงานไปยัง ชิบูย่า แม้ประชาชนที่ญี่ปุ่นยังมีความเครียด และความกังวลกับเหตุการณ์แผ่นดินไหวสึนามิที่ผ่านมา
ส่วนการขยายสาขาที่อินเดียยังอยู่ในขั้นตอนการจัดหาสถานที่ เพื่อจัดทำเป็น สำนักงาน โดยใช้เงินการลงทุนจดทะเบียน ประมาณ 40 ล้านรูปีหรือ 30 ล้านบาท
อีกทั้งยังมีในส่วนของสาขาพนมเปญ ประเทศกัมพูชา ซึ่งไม่ได้รับผลกระทบจาก ความขัดแย้งระหว่างประเทศ และขณะนี้กำลังหาสถานที่เพื่อขยายสำนักงานใหม่ที่สามารถรองรับสมาชิกที่มีจำนวนเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันเอมสตาร์ยังต้องการขยายสาขาเข้าไปยังจีน ซึ่งเราต้องทำการบ้านอย่างหนัก เพราะธุรกิจขายตรงของคนไทย ยังไม่เป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในจีน
ดังนั้น จึงต้องเอาภาพความสำเร็จจากอเมริกา และญี่ปุ่นไปเป็นภาพประกอบ แม้การสั่งซื้อสินค้าในต่างประเทศจะเป็น การสั่งออนไลน์ หรือการโทร.สั่งสินค้าเป็น ส่วนใหญ่ แต่ก็ยังต้องมีการอบรมสมาชิกเช่นเดียวกับสมาชิกในไทย
ด้านผลประกอบการในไทยยังเป็นไปตามเป้าที่ตั้งไว้ โดยขณะนี้มีสมาชิกระดับ ไดมอนด์ สตาร์ อยู่ประมาณเกือบ 100 รหัส ซึ่งจากการเติบโตดังกล่าว จะเป็นการตอกย้ำ ถึงจุดยืนว่าบริษัทจะต้องสามารถทำเป้าหมายได้ถึง 1.5 หมื่นล้านบาท โดยมีเป้าหมายใหญ่ของเอมสตาร์ คือ ในปี 2558 เอมสตาร์จะขึ้นเป็นท็อปเทนของโลก ซึ่งตอนนี้เอมสตาร์อยู่อันดับที่ 60 กว่าของตลาดสากล ซึ่งถ้าต้องการขึ้นเป็นท็อปเทน อย่างน้อยต้องมีรายได้ประมาณ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ
อย่างไรก็ดี เอมสตาร์ได้มีโครงการขยายโรงงานให้มีขนาดใหญ่กว่าเดิม เพื่อรองรับกลุ่มสินค้าที่กำลังจะเพิ่มเข้ามาใหม่ รองรับเครื่องจักรที่นำเข้ามาเพื่อเพิ่มศักยภาพการผลิต และพัฒนาสินค้า ซึ่งต้องมีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างหลังคาอีก นิดหน่อย โดยคาดว่าปลายปีนี้น่าจะเสร็จสมบูรณ์
สำหรับผลกระทบที่จะมีการเปิดตลาดการค้าเสรี หรือ AEC ที่จะเข้ามาใน ปี 2558 เรามองว่าไม่มีผลกระทบต่อเอมสตาร์ และเห็นว่าเป็นผลดีกับเรามากกว่า เพราะทำให้มีการส่งออกที่ง่ายขึ้น และสะดวกมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยกระตุ้นทำให้ ตลาดใหญ่ขึ้น เนื่องจากมีความอิสระในการ ลงทุน โดยลดต้นทุนในส่วนของภาษี
อนึ่ง เอมสตาร์นับเป็นบริษัทของคนไทยที่สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ซึ่งทาง ท.ญ.ลพา มักกล่าวถึงตัวเลขหมื่นล้านเสมอ ซึ่งถึงแม้ปัจจุบันจะยังไม่สามารถ ทำได้ตามที่กล่าวก็ตาม แต่ต้องยอมรับว่าตัวเลขการเติบโตที่เพิ่มขึ้นในแต่ละปีนั้น ก็สร้างความวิตกให้คู่แข่งได้ โดยเฉพาะในปีที่ผ่านมาที่มีข่าวลือว่าบริษัทสามารถเดินไปตามเป้าหมายที่วางไว้

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ

‘เอเชีย สุพรีม’ คลื่นลูกใหม่! ทุนแกร่งทีมเก๋าปีแรกขอโกย 300 ล้าน


ธวัชชัย วงศ์ธนสารสิน ประธานกรรมการบริษัท
ไพบูลย์ สำราญภูติ ประธานกรรมการบริหาร/ประธานสถาบันธุรกิจเครือข่ายเอเชีย
อุชาเดช อุทยานานนท์ กรรมการ/ผู้จัดการทั่วไป

“..เรามุ่งขยายธุรกิจสู่ตลาดอินโดจีน เพื่อก้าวสู่การเป็น ธุรกิจเครือข่าย 1 ใน 5 ของเอเชีย..”

ร้างปรากฏการณ์ใหม่ ให้เกิดขึ้นในวงการขายตรงอีกระลอก! เมื่อวันที่ 9 มิถุนายนที่ผ่านมา บริษัทขายตรงน้องใหม่ได้ทำการแถลงข่าวเปิดตัวขึ้นอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางแขกและสื่อมวลชนที่เข้าร่วมงานมากกว่า 500 คน นั่นคือ “บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด” ที่มีแบ็คกราวไม่ธรรมดา พร้อมชูแผนการตลาด “สแตร์สเต็ป” สวนกระแสความแรงของไบนารี่ “BIZ RECORD” ฉบับนี้จึงพลาดไม่ได้ ที่จะนำความเคลื่อนไหวมารายงานให้ทุกท่านได้ติดตาม

รู้จัก‘เอเชีย สุพรีม’!

“ไพบูลย์ สำราญภูติ” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด / ประธานสถาบันธุรกิจเครือข่ายเอเชีย (Asia Network Business Institute) เปิดเผยว่า เอเชีย สุพรีม เป็นบริษัทขายตรงของคนไทย ที่ผู้บริหารมีประสบการณ์ในการวงการธุรกิจขายตรงมายาวนานกว่า 20 ปี พร้อมทั้งมีผู้เชี่ยวชาญทางด้านการขายตรงจากประเทศแคนาดาเข้าร่วมลงทุนด้วย โดยการมุ่งเน้นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ผ่านกระบวนการผลิตที่ได้มาตรฐานสากล ส่งตรงถึงมือผู้บริโภค
เอเชีย สุพรีม ดำเนินธุรกิจขายตรงโดยมีโรงงานการผลิตอยู่ที่ประเทศไทย มีกระบวนการผลิต เครื่องจักร และเทคโนโลยีที่ทันสมัยและถูกหลักตามมาตรฐานสากล ด้วยระบบ GMP, ISO 9001-2008 และ Halal ทั้งในเรื่องของผลิตภัณฑ์ความงาม และผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ อีกทั้งยังได้มีระบบการบริการการจัดการคลังสินค้า ระบบของการขนส่งโลจิสติกที่มีประสบการณ์กว่า 13 ปี เพื่อให้บริการแก่ผู้จำหน่ายและลูกค้าทั่วประเทศ พร้อมก้าวไปสู่ภูมิภาคเอเชียอย่างมั่นคง พร้อมสะท้อนความเป็น Asia Network (Asia + International investor) จุดยืนที่แข็งแกร่งของ เอเชีย สุพรีม ออกมาสู่สายตาผู้บริโภค
บริษัทฯ มีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจเครือข่าย ผลักดันให้นักธุรกิจที่ได้เข้าร่วมในทีมขายตรงทุกคนก้าวหน้าไปพร้อมกันกับเอเชีย สุพรีม มีการดำเนินธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซื่อสัตย์ มีจริยธรรม ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค ด้วยสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ พร้อมเป็นศูนย์กลางในการให้ความรู้ในด้านการดูแลสุขภาพอย่างถูกต้อง และสนับสนุนให้นักธุรกิจของ เอเชีย สุพรีม บรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จไปด้วยกัน
นอกจากนี้ เอเชีย สุพรีม ได้สร้างจุดเด่นในการบริหารธุรกิจ โดยการไม่มุ่งเน้นกำไรเพียงอย่างเดียว เพื่อเป็นการตอบแทนสังคม เอเชีย สุพรีม จึงพัฒนาสถาบันธุรกิจเครือข่ายเอเชีย (Asia Network Business Institute : ANBI ) เพื่อพัฒนาบุคคลากรในด้านการทำธุรกิจขายตรงที่มีคุณภาพ และทำธุรกิจขายตรงอย่างมีจรรยาบรรณ
ทั้งนี้บริษัทฯ มีผลิตภัณฑ์เด่นทำตลาดในช่วงแรกอันได้แก่
1. ASUPREME Green Lipped Mussel Oil ผลิตภัณฑ์สารสกัดจากหอยแมลงภู่ มาจากแหล่งธรรมชาติ ในประเทศนิวซีแลนด์รับประทานง่าย บรรจุในแคปซูลนิ่มหอยแมลงภู่ ในนิวซีแลนด์ประกอบด้วยสารอาหารและเกลือแร่หลายชนิด และมีส่วนประกอบของเอนไซม์ที่เป็นประโยชน์ต่อข้อต่อ และกล้ามเนื้อ
2.ASUPREME HERBAL COOL TOOTHPASTE ยาสีฟันผสมสมุนไพรสูตรเข้มข้นที่อุดมไปด้วยสมุนไพร 5 ชนิด Guava ใบฝรั่ง, Pennywort ใบบัวบก, Streblus asper ข่อย, Licorice ชะเอมเทศ และ Clove กานพลู
3.ASUPREME WILD ALASKAN SALMON FISH OIL ผลิตภัณฑ์ที่สกัดจากเนื้อปลาแซลมอนธรรมชาติ บรรจุอยู่แคปซูลนิ่ม อุดมด้วยกรดไขมันจำเป็นที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ในกลุ่มโอเมก้า 3 ที่ประกอบด้วยกรดไขมันจำเป็น 2 ชนิด ช่วยโรคหัวใจขาดเลือด ลดไขมันในเลือดชนิดไตรกลีเซอร์ไรด์ ลดความรุนแรงของโรคปวดข้อรูมาตอยด์ บำรุงสมอง
4.NOIRIS ANTI AGING DETOX CREAM ครีมบำรุงผิวหน้าที่อุดมไปด้วยสารที่ช่วยปรับโครงสร้างผิวให้แข็งแรงโดยการ กระตุ้นการสร้างคอลลาเจน อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้กับผิวทำให้ผิวเปล่งปลั่ง แลดูอ่อนเยาว์
5.NOIRIS BRIGHTENING SUNSCREEN ครีมกันแดด ที่ช่วยปกป้องผิวจากแสงแดดทั้ง UVA และ UVB ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงด้วยค่า SPF 50 และค่า PA +++
6.NOIRIS MTP ANTI MELASMA CREAM ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลปัญหาเรื่องฝ้า จุดด่างดำให้ดูจางลง ให้ผิวหน้าดูกระจ่างใส นวลเนียนอย่างเป็นธรรมชาติโดยไม่ทำลายเซลล์ผิว ช่วยแก้ไขปัญหาผิวที่เกิดฝ้า จุดด่างดำเฉพาะจุด ด้วยนวัตกรรมแห่งการปรนนิบัติผิวจาก MTP®
M ลดเลือนความหมองคล้ำของผิวด้วยประสิทธิภาพของ Microencapsulated ที่มีอนุภาคเล็ก สามารถซึมเข้าไปสู่ผิว ช่วยให้ผิวสว่างกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติ
T ลดการสร้างเมลานินไม่ให้ผลิตมากจนผิดปกติด้วย Tranexamic Acid สีผิวจึงเรียบเนียนสม่ำเสมอไร้จุดด่างดำ
P ดูแลผิวให้กระจ่างใสด้วย Potassium Azeloyl Diglycinate ที่ช่วยให้รอยผิวและรอยหมองคล้ำ จุดด่างดำค่อยๆ จางลง จึงเต็มเปี่ยมไปด้วยประสิทธิภาพในการลดการก่อตัวของเมลานินที่มากผิดปกติ

มุ่งสู่ธุรกิจเครือข่าย 1 ใน 5 เอเชีย

“ไพบูลย์ สำราญภูติ” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด/ ประธานสถาบันธุรกิจเครือข่ายเอเชีย (Asia Network Business Institute) เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจเครือข่ายหรือการสั่งซื้อสินค้าแบบขายตรงเป็นช่องทางใหม่ในการจับจ่ายใช้สอยสินค้าของผู้บริโภค ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ต่อเนื่องขึ้นทุกปี จึงเกิดการรวมตัวและร่วมทุนของทีม ผู้บริหารที่คร่ำหวอดในวงการธุรกิจขายตรงมากว่า 20 ปีที่มีเป้าหมายเดียวกัน มาร่วมก่อตั้งบริษัท “เอเชีย สุพรีม” ขึ้น
ให้เป็นบริษัทธุรกิจขายตรงด้วยระบบเครือข่ายชั้นนำของคนไทย ที่มีนักลงทุนจากต่างประเทศมาร่วมลงทุน และช่วยกันผลักดันธุรกิจเพื่อให้ก้าวไปเป็นผู้นำอันดับ 1 ในเมืองไทย และเรามุ่งขยายธุรกิจสู่ตลาดอินโดจีน เพื่อก้าวสู่การเป็น “ธุรกิจเครือข่าย 1 ใน 5 ของเอเชียอีกด้วย” เราต้องการเห็นเอเชีย สุพรีมเป็นบริษัทต้นแบบของธุรกิจเครือข่ายที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพให้กับผู้บริโภคและสังคม
“เราคาดหวังในการเป็นผู้นำในธุรกิจขายตรง เราต้องการความสำเร็จและเราต้องการแบ่งปันความสำเร็จนั้นให้กับสมาชิกและสังคมนอกจากนั้น เรายังให้ความสำคัญในเรื่องของการสร้างผู้นำให้แข็งแกร่งด้วย “การเทรนนิ่ง” โดยบริษัทฯเรามีสถาบันธุรกิจเครือข่ายเอเชีย หรือ Asia Network Institute เพื่อเป็นแหล่งรวมเครือข่ายด้านวิชาการ ข้อมูล ข่าวสารและบุคลากรทางด้านการขายและการตลาดโดยตรงเป็นแห่งแรกในประเทศไทยขึ้น ซึ่งจะเป็นเสมือนศูนย์รวมของวิทยากร ผู้บรรยาย ผู้จัดการสัมมนาเพื่อฝึกอบรม ฝึกฝนให้ผู้แทนจำหน่ายอิสระแต่ละท่านมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการทำธุรกิจเครือข่ายอย่างถูกต้อง เรามุ่งหวังที่จะพัฒนาบุคลากรในธุรกิจเครือข่ายการขายตรงให้เป็นคนดีและคนเก่ง มีศักดิ์ศรีที่สังคมยอมรับ มีจิตอาสาสาธารณะ อาสารับใช้สังคมและประเทศชาติต่อไป”

สุดแกร่งผนึกร่วมทุน‘ทีโอพีฯ’

ทางด้านประธานกรรมการบริษัท บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด “ธวัชชัย วงศ์ธนสารสิน” เปิดเผยว่า เอเชีย สุพรีมมีฐานการผลิตในประเทศ โดยการร่วมทุนกับบริษัท ทีโอพี คอสเมติค แอนด์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด ที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงงานผลิตที่มีอุปกรณ์การผลิตอันทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย จนได้รับรองมาตรฐานจาก GMP, ISO 9001-2008 และ Halal ภายใต้แบรนด์ NOIRIS ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาผิวพรรณ ป้องกันแสงแดด ริ้วรอยจุดด่างดำ ทำให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ของเราผ่านการควบคุมคุณภาพ และค้นคว้าวิจัยจากนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์กว่า 20 คน ซึ่งมีประสบการณ์ในวงการอุตสาหกรรมรวมกันมากกว่า 13 ปี เพื่อให้มั่นใจว่าได้มอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค
ทางบริษัทไม่ได้ตั้งเป้าหมายยอดขายไว้ที่เมืองไทยแต่เพียงอย่างเดียว เอเชีย สุพรีมยังตั้งเป้าในการขยายตลาดไปยังต่างประเทศ ทางบริษัทต้องการความเป็นเลิศในทุกๆ ด้าน สุดท้ายจึงตัดสินใจใช้ชื่อบริษัทว่า “เอเชีย สุพรีม”
“นอกจากนั้นเรายังร่วมมือกับหน่วยงานธุรกิจชั้นนำทั้งในและต่างประเทศคัดสรรวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์เพื่อให้ก้าวทันนวัตกรรมการผลิตอยู่เสมอ ล่าสุดทีมวิจัยสามารถค้นคว้านวัตกรรมใหม่จนได้ผลิตภัณฑ์ NOIRIS MTP ANTI MELASMA CREAM ขึ้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดูแลปัญหาเรื่องฝ้าให้จางลง รอยหมองคล้ำดูจางลง ทำให้ผิวเนียนสวยกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติด้วยนวัตกรรม Micro เอนแคปซูเลส ซึ่งมีอนุภาพขนาดเล็ก สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดี ช่วยให้สารสำคัญออกฤทธิ์ได้ดีที่มีประสิทธิภาพ” ธวัชชัย กล่าว

ผู้บริหารสุดเก๋า กับประสบการณ์ร่วม20ปี

“อุชาเดช อุทยานานนท์” กรรมการ / ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เอเชีย สุพรีม กล่าวว่า “ตัวผมเองมีประสบการณ์ในวงการมากว่า 20 ปีในธุรกิจขายตรงแบบหลายชั้น ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่า เอเชีย สุพรีมจะต้องเดินหน้าไปอย่างมั่นคง ผมไม่ได้มาคนเดียว ผมมากับผู้จำหน่ายที่เคยประสบความสำเร็จและติดตามเรามาเพื่อทำธุรกิจ เอเชีย สุพรีมด้วยกัน ตรงนี้เป็นจุดแข็งของเรา”
ในธุรกิจนี้มีองค์ประกอบสำคัญอยู่ 3 ส่วน คือ

1.ผู้จำหน่าย ซึ่งถือว่าผู้จำหน่ายเป็นบุคลากรอันมีค่าที่จะต้องดูแลให้ดี เพราะเมื่อผู้จำหน่ายประสบความสำเร็จ บริษัทก็จะประสบความสำเร็จเช่นกัน
2. สินค้าต้องเยี่ยม ต้องตอบโจทย์ได้ว่าเป็นสินค้าที่ใช้แล้วเห็นผล และ 3.แผนการตลาดสแตร์สเต็ป ที่มั่นคง จ่ายค่าตอบแทนคุ้มค่า ทำได้จริง และสามารถสนับสนุนให้นักธุรกิจเอเชียสุพรีม บรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จโดยเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจอย่างแท้จริง
ผู้จัดการทั่วไป เอเชีย สุพรีม ยังได้กล่าวปิดท้ายด้วยความมั่นใจอีกว่า “ส่วนแผนการตลาดในขั้นต้นนี้ เรามุ่งเน้นไปที่การจัด Road Show ไป 4 จังหวัด คือจังหวัดนครราชสีมา ขอนแก่น อุบลราชธานีและสุราษฎร์ธานี คาดสิ้นปีรายได้แตะ 300 ล้านบาท และจำนวนสมาชิกพุ่ง 2,000 คน นอกจากนั้น เรายังมีแนวทางที่ชัดเจนในการมุ่งตรงสู่ทั่วภูมิภาคเอเชีย ซึ่งในขณะนี้บริษัทได้มีฐานเครือข่ายนักธุรกิจอยู่ที่ประเทศพม่า และเวียดนาม ซึ่งคาดว่าอีก 2 – 3 ปีจะรุกขยายธุรกิจไปที่ประเทศอินโดนีเซียและจีนได้อย่างแน่นอน”
อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 8 ฉบับที่ 206 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16- 30 มิถุนายน 2554

วันพฤหัสบดีที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2554

SNatur ลั่นปีหน้าพาทีมขายท่องเที่ยวมุ่งตรงสู่ดูไบ



คุณสนั่น อังอุบลกุล (ที่ 3จากซ้าย) ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ บริษัทศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) และ คุณบัญชา เหมินทคุณ (ที่ 4 จากซ้าย) รองกรรมการผู้จัดการด้านธุรกิจเครือข่าย SNatur พร้อมทีมผู้บริหารเอสเนเจอร์ จัดงานสัมมนา SNatur Business Conference (SBC) ให้กับนักธุรกิจเอสเนเจอร์ทุกระดับ พร้อมประกาศพานักธุรกิจที่ทำยอดขายตามเป้าหมาย เดินทางสู่ประเทศดูไบ ชมความงดงามของตึก Burj Dubai ที่สูงที่สุดในโลก และหลากหลายสถานที่ท่องเที่ยวในต้นปี2555 ณ โรงแรมแอมบาสซาเดอร์ ซิตี้ จอมเทียน พัทยา เมื่อเร็วๆนี้

ติดต่อข้อมูลเพิ่มเติม : บ.นิโอ ทาร์เก็ต จำกัด คุณพจนีย์ บุญเจริญสุข โทร.02-631-2290-5 ต่อ 309

ที่มา : http://www.newswit.com

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

วอลลารา ประเทศไทย-Vollara Thailand เลื่อนเปิดไม่ถอยขึงธงไบนารี่หาฤกษ์ใหม่


“วอลลารา” เลื่อนเปิดตัวเป็นทางการ หลังแอบซุ่มฟอร์มทีมหลังม่าน อยู่นาน เหตุติดปัญหาเล็กน้อย ยืนยันชักธง “ไบนารี่” ไล่บี้ตลาด แหล่งข่าวนิรนามเผย ก่อนหน้ามีการพูดคุยขอแทรกตัวเป็นสมาชิก TDSA ชูไทยเป็นสาขาที่ 2 ต่ออเมริกา คาดฤกษ์เปิดใหม่ไม่น่าเกินเดือนหน้า
ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ธุรกิจขาย ตรงเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง ทั้งจากภาคประชาชนผู้บริโภค รวมถึงบรรดานายทุนเล็ก นายทุนน้อย ที่เฝ้าคอยวันเวลาที่จะมีส่วนร่วมกับธุรกิจเครือข่าย เนื่องจากผลวิจัยของทาง TDRI พบว่า ธุรกิจขายตรงเป็นธุรกิจที่ไม่เน้นเรื่องของการลงทุนมหาศาล แต่เน้นในการหาเครือข่ายเป็นหลัก ส่วนผู้ประกอบการที่จะเข้ามาร่วมแจมเค้กนั้น ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องนำเงินเป็นถุงเป็นถังในการเข้ามาลงทุน เพียงแต่ขอให้มีเงินทุนสำรองในการจ่ายค่าผลตอบแทนในช่วงต้นเท่านั้น
โดยเมื่อวันที่ 14 มิถุนายนที่ผ่านมา ก็เป็นอีกหนึ่งวัน ที่คนในวงการขายตรงพยายามจ้องมองไปที่การเปิดตัวของบริษัทใหม่ อย่าง “วอลลารา” ซึ่งเป็นแบรนด์ขายตรงน้องใหม่ล่าสุดของประเทศไทย แต่สำหรับอเมริกาที่เป็นแผ่นดินแม่ของบริษัท ชื่อนี้คงไม่ใหม่มากนัก
“เนื่องด้วยบริษัทวอลลารา ธุรกิจเครือข่ายของประเทศสหรัฐอเมริกา โดยเป็นบริษัทขายตรงอันดับที่ 39 ของ โลก ที่อยู่ในเครือของ Aerus Holding ที่มียอดขายกว่า 9 พันล้านบาทต่อปี ตลอดจนผลิตสินค้า ด้วยเทคโนโลยี แอ็กทีฟเพียว ที่ได้รับการคิดค้นและพัฒนาครั้งแรกในโครงการอวกาศ องค์การนาซ่า”
“ในการนี้ วอลลารา สหรัฐอเมริกา ได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศไทย จึงจะมาทำตลาดธุรกิจขายตรงของเมืองไทย ดังนั้นจึงได้กำหนดจะแถลงข่าวเปิดตัว วอลลารา บุกตลาดธุรกิจขายตรงครั้งแรกในประเทศไทย พร้อม ชูผลิตภัณฑ์สุดยอดเทคโนโลยีมาตรฐาน องค์กรนาซ่า โดยทีมผู้บริหาร Mr.Carl C. Christoff ประธานกรรมการ บริษัท วอลลารา ประเทศสหรัฐอเมริกา และ Mr.Bill Coyle ประธานกรรมการบริหารฝ่ายขาย พร้อมทั้งทีมผู้บริหารของประเทศไทย ได้แก่ นายโฆสิต สุวินิจจิต รองประธานกรรมการ และนางยุวดี บุญครอง ไดเรกเตอร์ บริษัท วอลลารา (ประเทศไทย) จำกัด ในวันที่ 14 มิ.ย. ณ บริษัท วอลลารา (ประเทศไทย) อาคารรสาทาวเวอร์ 1 ชั้น 3” ข้อความในหมายเชิญที่ถูกส่งต่อ
สุดท้ายทางบริษัท วอลลารา ต้องเลื่อนการแถลงข่าวออกไป เนื่องจากเหตุผลบางประการ ที่ได้รับการเปิดเผยจากแหล่งข่าวของบริษัทรายหนึ่งว่า การที่บริษัทต้องเลื่อนการเปิดตัวออกไป เนื่องจากมีสินค้า และความไม่สะดวกบางอย่างที่เปิดเผยไม่ได้ ถูกทางสคบ. ชะลอไว้ เนื่องจากติดในเรื่องของการอนุญาตอีกเล็กน้อย ซึ่งส่วนนี้ ไม่มีผลต่อการเปิดบริษัทมากนัก แต่ด้วยความต้องการที่จะให้เปิดอย่างเป็นทางการ และครบ สมบูรณ์แบบ ทางบริษัทจึงเห็นชอบที่จะชะลอการเปิดอย่างเป็นทางการไปก่อน
บริษัท วอลลารา เป็นบริษัทขายตรงที่เดินทางข้ามน้ำข้ามทะเลมาจากดินแดนเมืองลุงแซม หรือประเทศสหรัฐ อเมริกา ปัจจุบันมีสาขาอยู่ 2 แห่ง หากนับในไทย ซึ่งไทยเป็นสาขาที่ 2 ของบริษัท เนื่องจากเล็งเห็นถึงการเติบโตของตลาดเครือข่ายในไทย วอลลารา จึงเลือกพื้นที่แห่งนี้ในการขยายดินแดน
อย่างไรก็ดี วอลลารา เลือกที่จะใช้ “นายโฆสิต สุวินิจจิต” นั่งแท่นเป็นรองประธาน ซึ่งนายโฆสิต จัดว่าเป็นผู้หนึ่งที่อยู่ในวงการธุรกิจเครือข่ายมาได้ระยะหนึ่ง และมีความรู้ในส่วนของธุรกิจขายตรงบ้านเราเป็นอย่างดี ก่อนหน้าที่นายโฆสิต จะเข้ามาอยู่ที่วอลลารา ทีมข่าว “สยามธุรกิจ” พบว่า เดิมท่านผู้บริหารท่านนี้ เคยอยู่กับทาง “นูทรีเมติกส์” แบรนด์ขายตรงค่ายเล็กมาก่อน ส่วนที่มาที่ไปว่าอย่างไร นายโฆสิตถึงได้มานั่งแท่นในส่วนนี้ได้ ยังไม่ทราบแน่นอน
วอลลารา เป็นแบรนด์ขายตรงที่จะเน้นแผนการจ่าย ในแบบ “ไบนารี่” ซึ่งเป็นแผนการตลาดที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งในบ้านเราปัจจุบัน เนื่อง จากความที่แผนดังกล่าว สามารถจ่ายให้กับบรรดานักธุรกิจมากกว่า ความซับซ้อนน้อยกว่า ทำให้แผนนี้ได้รับความนิยมจากผู้ร่วมธุรกิจเป็นอย่างดี
“สยามธุรกิจ” ยังแอบสืบทราบมาว่า วอลลารา ก่อนหน้าที่จะถือกำหนด การเปิดอย่างเป็นทางการ และต้องเลื่อนออกไปนั้น ได้มีการวางแผน ตรวจ ตลาดมาตั้งแต่เดือนมีนาคมที่ผ่านมา เพื่อสำรวจสร้างความมั่นใจในการทำงาน และวางแผนงานที่รัดกุมก่อนเปิด
อย่างไรก็ดี แหล่งข่าวระดับสูงของ วอลลารา ยังเผยว่า บริษัทได้มีการยื่นเรื่องเข้าไปที่ TDSA หรือสมาคมการขายตรงแห่งประเทศไทย ว่าจะขอเข้าร่วมเป็นสมาชิก แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ก็ยังคงต้องรอการตอบรับ ซึ่งผลจะเป็นเช่นไร คงต้องรอฟังอีกที ส่วนฤกษ์ยามต่อไปที่บริษัทขีดไว้เพื่อเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ยังไม่มีกำหนด แต่คาดว่าไม่น่าจะเกินเดือนหน้าอย่างแน่นอน เพราะหากช้า คงได้แต่ตามหลังมองเลขทะเบียนของบริษัทใหม่ ที่เขาทยอยเปิดไปก่อนหน้า


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:  นสพ.สยามธุรกิจ  ฉบับที่ 1212 ประจำวันที่ 22-6-2011  ถึง 25-6-2011

วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อาร์ทิสทรีรุกต่อเนื่อง ตลาดเครื่องสำอางลดเลือนริ้วรอย



20 มิถุนายน 2554- “อาร์ทิสทรี อินเท็นซีฟ สกินแคร์ แอนตี้ - ริงเคิล เฟิร์มมิ่ง ซีรัม” ชูจุดเด่นแบรนด์แรกและแบรนด์เดียวที่ได้ลิขสิทธิ์จากม.มิชิแกนใช้เทคโนฯล่าสุด“ทาร์เก็ตติ้ง คอมเพล็กซ์” รวมส่วนผสมดูแลผิวหย่อนคล้อย มั่นใจสิ้นปียอดขายอาร์ทิสทรีเกิน 3,000 ล้านบาท ครองยอดขายสูงสุดพรีเมี่ยม

คุณกิจธวัช ฤทธีราวี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ อาร์ทิสทรี อินเท็นซีฟ สกินแคร์ แอนตี้-ริงเคิล เฟิร์มมิ่ง ซีรัม เป็นสกินแคร์เข้มข้นในกลุ่มลดเลือนริ้วรอยที่จะทยอยแนะนำสู่ตลาดทั่วโลก โดยเริ่มเปิดตัวเดือนมิถุนายนที่ประเทศไทยเป็นแห่งแรก มูลค่าตลาดเครื่องสำอางบำรุงผิวหน้าในกลุ่มพรีเมี่ยมแบรนด์สูงถึง 10,500 ล้านบาท และมีผลิตภัณฑ์เพื่อลดเลือนริ้วรอยเป็นสัดส่วนสูงถึง 30% ของตลาดบำรุงผิวหน้าทั้งหมด

สอดคล้องกับข้อมูลการสำรวจเทรนด์ของสาวเอเชียที่พบว่า ผู้หญิงภูมิภาคนี้มีเทรนด์ฮิตด้านความงามอยู่ 3-4 เทรนด์ หนึ่งในนั้นคือ “ปีเตอร์แพนเทรนด์” หรือ“เทรนด์กลัวดูแก่” นั่นเอง

"ผมมั่นใจว่าการให้ความสำคัญกับสินค้าความงามกลุ่มนี้ เป็นทิศทางที่ถูกต้องและจะทำให้แอมเวย์เติบโตได้ตามเป้าหมายโดยเฉพาะยอดขายของกลุ่มอาร์ทิสทรีที่น่าจะไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาทในปีนี้แน่นอน"

คุณรัตนา ชาญนรา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า วงการวิทยาศาสตร์ความงามยอมรับกันว่า เรตินอลเป็นส่วนผสมที่มีประสิทธิภาพสูงสุดชนิดหนึ่งที่ช่วยลดเลือนริ้วรอย ทำให้ผิวแลดูกระชับและอ่อนเยาว์ขึ้น โดยเทคโนโลยีทาร์เก็ตติ้ง คอมเพล็กซ์ จะมาช่วยควบคุมการออกฤทธิ์ของเรตินอลให้ทำงานได้มีประสิทธิภาพอย่างตรงจุด

นอกจากนั้น ซีรัมใหม่ชนิดนี้ยังนำส่วนผสมชั้นเลิศประกอบด้วยเรตินอลเข้มข้น วิตามินซี และเปปไทด์มารวมในสูตรเดียวกัน เพื่อความสมบูรณ์สูงสุดของผลลัพธ์ เมื่อผู้บริโภคได้ทดลองใช้เพียง 1 คืน จะสามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับผิวหน้า เราจึงมั่นใจอย่างยิ่งว่าผลิตภัณฑ์ใหม่ชนิดนี้จะสร้างความตื่นเต้นในตลาดเมืองไทยได้อีกครั้ง

“ความต้องการของผู้หญิงในการแก้ปัญหาริ้วรอยสมัยนี้ ต้องการผลิตภัณฑ์ที่เข้มข้น เห็นผลลัพธ์รวดเร็ว แต่อ่อนโยนและไม่ทำร้ายผิวหน้า ดังนั้นผลิตภัณฑ์อาร์ทิสทรีจึงตอบโจทย์ได้ตรงใจลูกค้าเป็นอย่างยิ่ง โดยคาดว่าซีรัมใหม่ชนิดนี้จะสร้างรายได้กว่า 170 ล้านบาทในครึ่งปีหลัง”

สำหรับกิจกรรมทางการตลาดเพื่อส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ใหม่นี้ บริษัทได้เตรียมแคมเปญต่างๆ อย่างครบวงจร โดยการใช้สื่อที่กลุ่มเป้าหมายให้ความเชื่อถือ ประกอบด้วยสื่อโฆษณาตามนิตยสารผู้หญิงชั้นนำ
สื่อออนไลน์ทั้งเว็บไซต์และโซเชียลมีเดีย (Social Media) เพื่อสื่อสารจุดแข็งของสินค้าและเปิดพื้นที่แบ่งปันประสบการณ์ให้ผู้ที่ได้ทดลองใช้สินค้าแล้วเห็นผลลัพธ์จริงมาแชร์ความรู้สึกที่มีต่อสินค้า

นอกจากนั้น ยังเตรียมจัดเวิร์คช็อปอบรมเรื่องเทคโนโลยีและความรู้เกี่ยวกับสินค้าชนิดใหม่นี้ให้กับนักธุรกิจแอมเวย์รวมกว่า 10,000 ที่นั่ง กระจายตาม 9 จังหวัดหลักทั่วประเทศ โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานใหญ่ให้นักวิทยาศาตร์เดินทางมาจัดฝึกอบรมด้วยตนเอง จึงมั่นใจได้ว่า นักธุรกิจแอมเวย์จะสามารถออกไปให้บริการลูกค้าได้อย่างมืออาชีพจริงๆ

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: http://www.brandage.com

 

วันพฤหัสบดีที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2554

นิวทริไลท์ ดับเบิ้ล เอ็กซ์ ส่งต่อความรักเพื่อน้องๆ ที่ขาดแคลน มอบเงินบริจาคแก่ มูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก



ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “นิวทริไลท์ ดับเบิ้ล เอ็กซ์” จากแอมเวย์ นำโดย นางชุมพฤนท์ ยุระยง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร (แถวหลัง, ที่ 3 จากซ้าย) บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด มอบรายได้จากการจำหน่าย “สลัด 5 สี ไฟโตนิวเทรียนท์เพื่อสุขภาพ” เพื่อส่งต่อสุขภาพที่ดีแก่น้องๆ ที่ขาดแคลนในสังกัดมูลนิธิเพื่อการพัฒนาเด็ก (มพด.) โดยมอบเงินทุนการศึกษาจำนวนทั้งสิ้น 50,000 บาท ให้แก่อาจารย์ฐิติมน นาคครุฑ ผู้อำนวยการโรงเรียนวัดดวงแข (แถวหลัง, ที่ 2 จากซ้าย) พร้อมนำผักผลไม้สดครบ 5 สี มอบเป็นอาหารกลางวันมื้อพิเศษแก่เด็กนักเรียนอีกด้วย

ที่มา : http://www.thaipr.net/nc/readnews.aspx?newsid=C5C9A3CBC95AEB9D6207652A27A12545&sec=all&query=4c3B4MfC7A==

‘นูทริเดอร์ม’ 7 เดือน แรงเกินพิกัด! แผลงฤทธิ์ยุทธศาสตร์ล้ำลึก สู่เป้าสิ้นปี 1 พันล้่าน



ผ่ากลศึกแผนพิชิตยอดนูทริเดอร์มเน้นสร้างความร่ำรวยสร้างคนให้มีหุ่นสวยสุขภาพดีและมีความสุขผ่านกลยุทธ์ Win Win Winพร้อมชูแผนการตลาดไบนารี่ที่เร้าใจเอาใจคนเครือข่ายเผย 4 เดือนที่ผ่านมาซดยอดขายไปแล้ว 200 กว่าล้านพร้อมตั้งเป้าสิ้นปีขอยอดแตะ 1,000 ล้าน...แย้มหลังปรับแผนภาพรวมธุรกิจดีขึ้นอย่างต่อเนื่องยอดการสมัครสมาชิกใหม่เติบโตขึ้นทุกเดือน...ระบุความพร้อมฐานรบ 96 แห่งทั่วประเทศพร้อมนำทุกท่านสู่ความสำเร็จ
...หากพูดถึง “นูทริเดอร์ม” ในวันนี้ที่ใช้แผนการตลาดเร้าใจในการนำทัพอย่างไบนารี่เทียบกับ “สุพรีเดอร์ม” เมื่อครั้งอดีตที่ใช้แผนสแตร์สเต็ปในการชูโรงธุรกิจ คงต้องบอกว่า “นูทริเดอร์ม” ณ ปัจจุบันนี้กับมาดใหม่ เริ่มที่จะส่องแสงเจิดจรัสในธุรกิจเครือข่ายอย่างน่ามองทีเดียว เห็นได้จากแรงเหวี่ยงของธุรกิจค่ายนี้เริ่มที่จะมีน้ำหนักที่ชัดเจนขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ทั้งในส่วนของยอดขายและในส่วนของจำนวนสมาชิก ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่ง ของความสำเร็จในก้าวแรกหลังจากที่เปลี่ยนแผนใหม่เลยก็ว่าได้
ซึ่งจากนโยบายของ “นูทริเดอร์ม” ที่ทางท่านประธานกรรมการ พ.ต.ท.นพ.มั่น ได้ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า ต้องการที่จะเน้นทำธุรกิจของนูทริเดอร์มด้วยการสร้างความร่ำรวย สร้างคนให้มีหุ่นสวย สุขภาพดีและมีความสุข ภายใต้การขับเคลื่อนที่ผ่านกลยุทธ์ Win Win Win ที่ทางนูทริเดอร์มได้ให้ความสำคัญกับคน 3 กลุ่มคือ
1. ผู้บริโภค 2. กลุ่มนักธุรกิจ และ 3. ตัวบริษัท พร้อมกับแผนการตลาดที่ทรงพลังอย่างไบนารี่นั้น เรียกว่าเริ่มที่จะสัมฤทธิ์ผลตรงเจนตนารมณ์บ้างแล้ว
และความเคลื่อนไหวของธุรกิจ “นูทริเดอร์ม” ในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้างนั้น “ตลาดวิเคราะห์” ได้รับการเปิดเผยจากนายธรรมนูญ สมบูรณ์สิน กรรมการบริหาร บริษัท นูทริเดอร์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ว่า หลังจากที่นูทริเดอร์มได้มีการปรับเปลี่ยนแผนการตลาดใหม่มาเป็นแบบไบนารี่ ผลปรากฏว่า ธุรกิจมีการเปลี่ยนแปลงที่เห็นได้ชัดมากขึ้น อาทิ นักธุรกิจให้ความกระตือรือร้นในการสร้างผลงาน สร้างเป้าการขาย มีการขยายทีมงานอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ทางนักธุรกิจเองมีรายได้ที่เพิ่มพูนขึ้นอย่างไม่มีขีดจำกัด ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนูทริเดอร์มมีสินค้าที่โดดเด่นหลายตัว เป็นสินค้าที่ไม่มีคู่แข่ง สินค้าหลากหลายกลุ่ม ด้วยเหตุนี้เอง จึงเป็นข้อได้เปรียบอย่างมากกับระบบไบนารี่
ทั้งนี้ ในส่วนของยอดขายช่วง 4 เดือนแรกที่ผ่านมาปีนี้ พบว่า นูทริเดอร์มสามารถสร้างยอดขายไปแล้วกว่า 200 กว่าล้านบาทเลยทีเดียว โดยในช่วงต้นปีที่ผ่านมาเรียกได้ว่าบริษัทฯ มียอดขายเติบโตค่อนข้างดี แต่พอมาช่วงเดือนเมษายนที่มีวันหยุดยาว ทางบริษัทฯ ก็ได้รับผลกระทบในส่วนของยอดขายที่ลดลงเช่นเดียวกัน จนกระทั่งมาถึงเดือนพฤษภาคมยอดขายเริ่มที่จะขยับดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งการส่งสัญญาณที่ดีทีเดียว
ในการที่จะพิชิตยอดขาย 1,000 ล้านบาทในสิ้นปีนี้
....หากถามว่าวันนี้อะไรคือกลยุทธ์ที่สำคัญ ในการผลักดันธุรกิจ “นูทริเดอร์ม” ให้ประสบความสำเร็จบ้าง นายธรรมนูญ เผยว่า สิ่งหนึ่งที่ถือว่านูทริเดอร์มโชคดี นั่นคือ บริษัทฯ มีคุณหมอมั่น อุดมพาณิชย์ เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านการดูแลสุขภาพเป็นพิเศษมากว่า 20 ปี อีกทั้งยังเป็นพ่อทัพในการคิดค้นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติที่ดี มีราคาที่ยุติธรรม และสามารถสนับสนุนให้สมาชิกทำงานง่ายขึ้น ซึ่งสิ่งเหล่านี้เอง ที่เป็นแรงผลักดันหลักที่ทำให้ธุรกิจ “นูทริเดอร์ม” สามารถขับเคลื่อนไปข้างหน้าได้อย่างไร้คู่แข่ง
นอกจากนี้ ทางบริษัทฯ  ยังมีความพร้อมในเรื่องของทีมงานที่มีศักยภาพด้านการอบรม สัมมนา และศูนย์ “นูทริเดอร์ม” ถึง 96 แห่งทั่วประเทศ ที่สามารถรองรับความต้องการของนักธุรกิจที่จะขยายงานได้อย่างเต็มที่ พร้อมกับมีห้องประชุมที่สะดวกสบายในการช่วยเหลือทีมงานในการทำงาน รวมถึงทางบริษัทฯ ยังได้จัดการแข่งขันไปท่องเที่ยวสำหรับนักธุรกิจนูทริเดอร์ม ที่สามารถเข้าแข่งขันได้อย่างง่ายๆ อีกด้วย ซึ่งคาดว่าด้วยโปรโมชั่นนี้ จะมีนักธุรกิจสามารถเดินทางไปท่องเที่ยวกับบริษัทฯ ได้ถึง 1,000 คนในครั้งนี้เลยทีเดียว
ในขณะเดียวกัน “นูทริเดอร์ม” ยังมีสินค้ามากมายที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคอีกด้วย อย่างปัจจุบันนี้บริษัทฯ มีสินค้าที่เป็นทัพหน้าอยู่ด้วยกัน 3 รายการ คือ เลซิทิน  มิกซ์ แคโรทีนอยด์, นูทรี วีต มิกซ์ แคโรทีนอยด์ และคลอโรฟิลล์  สินค้าทั้ง 3 ประเภท เหมาะกับผู้ที่ห่วงใยในสุขภาพ และดูแลสุขภาพอย่างสม่ำเสมอ  ซึ่งสินค้าเหล่านี้ด้วยคุณค่า ราคายุติธรรม และไม่มีคู่แข่งทางการตลาด จึงเป็นจุดแข็งของนูทริเดอร์ม ที่สามารถส่งเสริมให้นักธุรกิจสามารถปิดการขายกับผู้บริโภคได้ง่าย ซึ่งปัจจุบันสินค้าทั้ง 3 รายการเรียกได้ว่า มีกระแสการตอบรับที่ดีอย่างมาก
“จากการที่คุณหมอมั่น มีความเป็นห่วงในสุขภาพของคนไทย จึงได้คิดค้นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณค่าออกมาให้กับคน ไทยอย่างต่อเนื่อง เป็นการสนับสนุนให้นักธุรกิจมีผลิตภัณฑ์หลากหลาย พร้อมกับมีผลิต ภัณฑ์ที่มีคุณสมบัติที่โดดเด่น สำหรับเสนอผู้บริโภคมากขึ้น ส่งผลให้นักธุรกิจนูทริเดอร์มมีทางเลือกในการเสนอสินค้าที่หลากหลายมากขึ้นด้วย”
สำหรับความเคลื่อนไหวทางด้านสมาชิกของ “นูทริเดอร์ม” ในปัจจุบันนี้นั้น นายธรรมนูญ เผยว่า ปัจจุบันจำนวนนักธุรกิจในระบบ “Diamond Matching” ของนูทริเดอร์ม มีอยู่ถึง 150,000 คน พร้อมกันนี้ ยังมียอดการสมัครและทำธุรกิจที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องทุกๆ เดือน ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้คนหันมาสนใจในธุรกิจนูทริเดอร์มมากขึ้น ที่นอกเหนือจากสินค้าที่ดีมีคุณภาพแล้ว ในเรื่องของระบบการเทรนนิ่งของที่นูทริเดอร์มยังถือเป็นอีกหนึ่ง
แรงดูดให้คนเข้ามาสู่ธุรกิจด้วยเช่นกัน
“การเทรนนิ่งของ “นูทริเดอร์ม” นั้น จะเป็นการออกไปจัดประชุม และสัมมนา ถึงตัวนักธุรกิจทั้งใน กทม. และต่างจังหวัดทั่วประเทศ ด้วยการจัดงานเอ็กซ์โป เพื่อแสดงความมีศักยภาพของนูทริเดอร์ม ทั้งความพร้อมของสินค้า และวิทยากรที่มีประสบการณ์ด้านความสำเร็จ ที่มีรายได้เดือนละล้าน มาให้คำแนะนำการทำ ธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพถึงที่ ซึ่งจุดนี้เองที่ทำให้นักธุรกิจและผู้บริโภคต่างให้ความสนใจกับธุรกิจนูทริเดอร์มจนถึงทุกวันนี้”
จะเห็นได้ว่า ไม่ว่าจะกี่ปี “นูทริเดอร์ม” ภายใต้เงาของ “สุพรีเดอร์ม” ก็ยังคงใช้กลยุทธ์ในการสร้างจุดแข็งให้กับธุรกิจเช่นเดิม นั่นคือ ในเรื่องของการพัฒนาคนด้วยระบบการเทรนนิ่ง ที่ได้มีการวางแผนการอบรมคอร์สต่างๆ ไว้ตลอดทั้งปี เรียกได้ว่า การอบรมของที่นี้ค่อนข้างเน้นมากๆ ทีเดียว ในการที่จะสร้างคนสู่ความสำเร็จทั้งในเรื่องของรายได้ และความมั่นคงในชีวิต

นูทริเดอร์มเน้นคุณภาพนำ
ชี้แผนใหม่ดันผู้นำสำเร็จจริง
นอกจากนี้ ยังมีอีกหนึ่งส่วนที่เรียกว่าเป็นหัวจักรสำคัญเลยก็ว่าได้ ในการสร้างความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจนั่นคือฝ่ายปฏิบัติการศูนย์ โดยทางด้าน “จุฑามาส โตกพุดซา” ผู้ช่วยผู้จัดการฝ่ายปฏิบัติการศูนย์ บริษัท นูทริเดอร์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้เผยถึงภาพรวมธุรกิจนูทริเดอร์มหลังจากที่ได้มีการปรับเปลี่ยนแผนการตลาดใหม่ว่า หลังจากที่สุพรีเดอร์มฯ ได้มีการเปลี่ยนชื่อมาเป็นนูทริเดอร์มพร้อมกับมีการเปลี่ยนแผนการตลาดใหม่เป็นแผนไบนารี่นั้น เรียกได้ว่าทางบริษัทฯ จำเป็นต้องมีการปรับตัวในเรื่องของการทำงานใหม่หมด โดยสาขาทั้งหมด 96 สาขา ทางบริษัทฯ ได้มีการปรับเปลี่ยนรูปโฉมใหม่หมดเลย นอกจากนี้ ยังพบอีกว่ายอดขายมีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็นที่น่าพอใจ
ปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายในแต่ละสาขาเติบโตเป็นไปในทิศทางที่ดี โดยสาขาที่มียอดขายเติบโตมากที่สุด 5 อันดับแรกคือ 1. สมุทรปราการ 2. นวนคร 3. ท่าพระ 4. พระ ประแดง และ 5. ดอนเมือง ซึ่งยอดขายทั้งหมดเกิน 50% จะอยู่ที่กรุงเทพฯ เสียเป็นส่วนใหญ่
“วันนี้การทำตลาดของนูทริเดอร์มไม่ใช่เพียงแค่ตั้งรับและรอลูกค้าเพียงอย่างเดียว แต่เราจะมีการพัฒนาผู้นำให้มีความรู้พร้อมๆ กันไปด้วย ทั้งในเรื่องของการให้ความรู้เรื่องของผลิตภัณฑ์ การเรียกพนักงาน อบรมเป็นระยะๆ และมีการทดสอบ เพื่อให้พนักงานทุกคนแน่นในเรื่องของผลิตภัณฑ์ เนื่องจากจุดแข็งของนูทริเดอร์มคือ ในเรื่องของผลิตภัณฑ์ เพราะฉะนั้นเราจึงต้องมีการชูจุดแข็งตรงนี้ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับพนักงานในการนำเสนอเพื่อประโยชน์ต่อองค์กรมากที่สุด ส่วนในเรื่องของแผนนั้น ตนเองคิดว่าผู้นำหรือแม่ทีมของเราน่าจะชี้แนะหรือโมติเวทได้ดีกว่า ที่สำคัญทางบริษัทฯ ยังมีอีกหนึ่งเครื่องมือที่ช่วยให้สมาชิกได้ทำงานง่ายขึ้น คือ การโฆษณาผ่านทางเคเบิ้ลทีวีช่อง MV5 และ MV วาไรตี้ ด้วย”
“จุฑามาส” กล่าวต่ออีกว่า สำหรับเป้าหมายในการเพิ่มสาขาในอนาคตนั้น ทาง บริษัทฯ ตั้งเป้าหมายที่จะมีสาขาทั้งสิ้น 100 สาขา โดยอาจจะยังไม่ใช่ในปีนี้ เนื่องจากปัจจุบันบริษัทฯ ยังมีหลายอย่างที่จะต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ซึ่งอาจจะยังไม่เน้นในส่วนของปริมาณสาขามากเท่าไหร่ ซึ่งขอเน้นที่คุณภาพมากกว่า แต่หากจะเพิ่มจำนวนสาขาอีกคาดว่าน่าที่จะอยู่ในเขต กรุงเทพฯก่อน เพื่อเป็นการรองรับอัตราการเติบโตของผู้นำ ซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีจำนวนสมาชิกที่แอคทีฟอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นคนด้วยกัน พร้อมกับมีผู้นำที่มีรายได้ล้านกว่าบาทอยู่ 2 ท่าน และมีผู้นำที่มีรายได้หลักแสนบาทอยู่หลายท่านด้วยกัน เรียกว่าเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน่าพอใจทีเดียว
...ทั้งหมดนี้ คือ อีกหนึ่งความพร้อมที่เต็มพิกัดอย่างมากทีเดียวสำหรับค่าย “นูทริเดอร์ม” ที่หลายคนอาจจะมองว่าเป็นค่ายใหม่ก็จริง แต่หากได้เห็นถึงศักยภาพของ “สุพรีเดอร์ม” เก่าแล้วคงจะทราบว่าค่ายนี้นั้นมีลูกเก๋าเกมทางธุรกิจพอสมควร ซึ่งเพียงแค่เปลี่ยนชื่อใหม่กับปรับแผนการตลาดใหม่ที่เร้าใจมากกว่าเดิมเป็นแผนไบนารี่เท่านั้นเอง...เชื่อว่า “นูทริเดอร์ม” ในวันนี้คงเป็นที่ถูกอกถูกใจของใครหลายคนอย่างแน่นอน เห็นได้หลังภาพของอัตราการเติบโตเมื่อครั้งอดีตกับในปัจจุบันของค่ายนี้แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ซึ่งก็ต้องรอดูกันต่อไปว่า “นูทริ เดอร์ม” จะแผลงฤทธิ์ได้ตรงตามวัตถุประสงค์ที่ตั้งไว้หรือไม่ไว้อีกไม่กี่อึดใจทุกท่านได้รู้แน่!....

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ ตลาดวิเคราะห์

นู สกิน ย้ำจุดยืน บริษัทผู้นำด้านการต่อต้านความเสื่อมชรา



นางภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด จัดงาน “นู สกิน พลิกวัยต้านชรา” ตอกย้ำจุดยืน “บริษัทผู้นำด้านการต่อต้านความเสื่อมชรา” (Anti-Aging Company) พร้อมยกทัพผลิตภัณฑ์เพื่อการต่อต้านความเสื่อมชราที่ขายดีที่สุดของบริษัทฯ แนะนำตรงถึงผู้บริโภคเป้าหมาย โดยมีผู้สนใจเข้าร่วมชมงานกว่า 4,500 คน และเข้าร่วมกิจกรรมตรวจสภาพผิวและสุขภาพด้วยเครื่องมือระดับนวัตกรรม พร้อมเข้ารับบริการนวดหน้าด้วยเครื่องกัลวานิค สปา เป็นจำนวนมาก ณ แฟชัน ฮอลล์ ชั้น 1 ศูนย์การค้าสยาม พารากอน เมื่อเร็ว ๆ นี้

ที่มา : http://www.newswit.com

วันพุธที่ 15 มิถุนายน พ.ศ. 2554

‘แคนเดซ เอส แมทธิวส์’ เปิดปฏิบัติการณ์ ‘แอมเวย์’ ท้าชิงแชมป์โลก! แคนเดซ เอส แมทธิวส์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด แอมเวย์ คอร์ปอเรชั่น

เป้าหมายคือยอดขายทั่วโลก“แอมเวย์”ต้องได้ขึ้นเป็น “ผู้นำอันดับ1” ธุรกิจขายตรงของโลกในปี 2563



นับเป็นโอกาสอันดีที่ “กองบรรณาธิการ” ได้รับเกียรติเข้าร่วมงานแถลงข่าวของ “บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด” ซึ่งความพิเศษครั้งล่าสุด อยู่ตรงการมาเยือนของ “ผู้บริหารชั้นเซียน” มือการตลาดระดับโลก “แคนเดซ เอส แมทธิวส์” ประธานเจ้าหน้าที่บริหารฝ่ายการตลาด “แอมเวย์ คอร์ปอเรชั่น”

‘BIZ RECORD’ ฉบับนี้จึงขอนำทุกท่านไปทำความรู้จักกับนักบริหารระดับอินเตอร์ท่านนี้ ที่มาพร้อมกับ “กลยุทธ์เด็ด” ส่งแอมเวย์สู่ “แชมป์โลกขายตรง” ให้ได้ในอนาคตอันใกล้!!

ทักทาย‘แคนเดช’มือตลาด ‘แอมเวย์โลก’

“แคนเดซ แมทธิวส์” เกิดที่เมืองนิว ไบรท์ตัน, มลรัฐเพนซิลเวเนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา จบปริญญาตรีจากคณะวิทยาศาสตร์ สาขาวิศวกรรมโลหการและวิทยาการบริหาร และการจัดการจากมหาวิทยาลัยคาร์เนจี เมลลอน (Carnegie Mellon University) และจบการศึกษาในระดับปริญญาโท ด้านบริหารธุรกิจจากสแตนฟอร์ดบัณฑิตวิทยาลัยธุรกิจ

เป็นกำลังสำคัญในการวางกลยุทธ์ด้านการตลาด “แอมเวย์” ด้วยวิสัยทัศน์ที่มุ่งเน้นการตลาดระดับโลกในด้านผลิตภัณฑ์ความงาม สุขภาพและเครื่องใช้ในครัวเรือน รวมทั้งแบรนด์แอมเวย์ระดับโลก ดูแลด้านความต้องการที่แท้จริงของผู้บริโภคและตลาด อีกทั้งความรับผิดชอบต่อการเป็นพลเมืองที่ดีในสังคม และการสื่อสารองค์กรของแอมเวย์ทั่วโลกอีกด้วย

ก่อนที่จะเข้ามาร่วมงานกับ “แอมเวย์” ในปี 2550 แมทธิวส์เคยดำรงตำแหน่งเป็นประธานบริษัท ซอฟท์ชีน-คาร์สัน (SoftSheen-Carson) ฝ่ายสินค้าอุปโภคและบริโภคในเครือลอริอัล (L’OREAL) ประเทศสหรัฐอเมริกา และเคยเป็นรองประธานบริษัทฝ่ายผลิตภัณฑ์ใหม่และนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ และกรรมการผู้จัดการให้กับเครื่องดื่มประเภทที่ไม่ใช่เครื่องดื่มโคล่า ในเครือบริษัทโคคา-โคล่า (Coca-Cola)

นอกจากนี้ แมทธิวส์เคยดำรงตำแหน่งผู้บริหารระดับสูงสายการตลาดให้กับบริษัทซีบา วิชั่น (CIBA Vision), ผลิตภัณฑ์การดูแลช่องปาก บริษัท บอสช์ แอนด์ ลอมบ์ (Bausch + Lomb), ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางและน้ำหอม บริษัท พรอคเตอร์ แอนด์ แกมเบิล (Procter & Gamble) และบริษัท เจเนอรอล มิลส์ (General Mills) ซึ่งเป็นที่แรกที่แมทธิวส์ได้เริ่มงานด้านการตลาด

แมทธิวส์เป็นหนึ่งในสมาชิกของสภาผู้นำผู้บริหาร และปัจจุบันดำรงตำแหน่งคณะกรรมการให้กับหน่วยงานด้านเครื่องสำอางเฉพาะผู้หญิง (Cosmetic Executive Women), ธนาคารฟิฟธ์ เธิร์ด (Fifth Third) – มิชิแกนตะวันตก, องค์กรฟิชเกอร์ สเก็ตติ้ง อิน ฮาร์เล็ม (Figure Skating in Harlem), สวนสาธารณะและประติมากรรมเฟรดเดอริก เมย์เยอร์ (Frederik Meijer)

ก่อนหน้านี้เธอยังเคยเป็นหนึ่งในคณะกรรมมาธิการของมหาวิทยาลัยคาร์เนจี เมลลอน (Carnegie Mellon University) เมืองพิตต์สเบิร์ก และยังเคยร่วมเป็นคณะกรรมการที่ปรึกษาของสแตนฟอร์ดบัณฑิตวิทยาลัยธุรกิจ ประวัติการทำงานและความเสียสละต่อสาธารณชนของแมทธิวส์ ได้ลงตีพิมพ์ในสื่อสิ่งพิมพ์ชื่อดังหลายเล่ม เช่น อิบอนี (Ebony), เอสเซ็นส์ (Essence), แบล็ค เอ็นเตอร์ไพรส์ (Black Enterprise), กลาเมอร์ (Glamour), ซาลอน เซ็นส์ (Salon Sense) และ เดอะ วอลล์ สตรีท เจอร์นัล (The Wall Street Journal) ซึ่งนิตยสาร แบล็ค เอ็นเตอร์ไพร์ส (Black Enterprise) ยังแต่งตั้งให้เธอเป็นนักบริหารยอดเยี่ยมแห่งปี 2552 อีกด้วย

ลั่น!อีก9ปี‘แอมเวย์’ขึ้นแท่นอันดับ1โลก

เป้าหมายการดำเนินธุรกิจของแอมเวย์นับจากนี้ “แคนเดซ” ตอกย้ำว่า เป้าหมายคือยอดขายทั่วโลก “แอมเวย์” ต้องได้ขึ้นเป็น “ผู้นำอันดับ1” ธุรกิจขายตรงของโลกในปี “2563” หรือในอีก “9 ปีข้างหน้า” นี้ ด้วยการครองส่วนแบ่งมากกว่า “12 %” แทนที่แชมป์เดิมคือ “เอวอน” ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้นำตลาดขายตรงชั้นเดียว (SLM)

จากปัจจุบัน “แอมเวย์” มีส่วนแบ่ง “9.7%” นับว่าเป็นผู้นำตลาดธุรกิจขายตรงหลายชั้น (MLM) ของโลก อีกทั้งในปี 2553 ที่ผ่านมา “แอมเวย์ทั่วโลก” มีการเติบโต 0.2% หรือมีรายได้ “9.2 พันล้านเหรียญสหรัฐ”

“ยุทธศาสตร์” กับการก้าวสู่การเป็นผู้นำตลาดธุรกิจขายตรงทั่วโลกมุ่งเน้นโฟกัส “2 กลุ่มผลิตภัณฑ์” กลุ่มแรก คือ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ “นิวทริไลท์” ที่วางเป้าหมายก้าวสู่การเป็นผู้นำกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพในปี 2563 จากปัจจุบันที่ครองส่วนแบ่งอยู่ที่ 4.7%

กลุ่มถัดมา คือ ผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม เครื่องสำอาง “อาร์ทิสทรี” ซึ่งวางเป้าหมายว่าในปี 2563 จะขึ้นติดอันดับ 1 ใน 5 ของตลาด จากปัจจุบันครองส่วนแบ่งอยู่ที่ 1.7%

สำหรับแผนการรุกตลาดทั่วโลก “แคนเดซ” โฟกัสไปที่ “5 กลยุทธ์” สำคัญ คือ 1.สร้างความแข็งแกร่งใหักับแบรนด์-การบริการให้กับผลิตภัณฑ์หลักของแอมเวย์ 2.สร้างความใกล้ชิดของแบรนด์ผลิตภัณฑ์กับนักธุรกิจและผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่ม Gen-Y 3.พัฒนาโซลูชั่นครอบคลุมสินค้าและบริการ 4.เปลี่ยนแปลงประสบการณ์ผู้บริโภคและนักธุรกิจ 5.ขับเคลื่อนโดยพัฒนาธุรกิจสู่ความเป็นเลิศในด้านต่างๆ

เจาะคนรุ่นใหม่ผ่าน‘Social Network’

“แคนเดซ” กล่าวว่านอกจากนี้บริษัทได้เพิ่ม “งบการตลาด” มากขึ้น “2 เท่าตัว” นับตั้งแต่ในช่วง 4 ปีที่ผ่านมาที่ตนได้เข้ามาบริหารงาน เพื่อทำให้แบรนด์แอมเวย์เป็นที่รู้จักกลุ่มเป้าหมายในวงกว้าง ผ่านทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์ทั้งทางโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ รวมทั้งสื่อออนไลน์ ทาง “Social Network” ด้วยการเปิดแฟนเพจ 3 แบรนด์หลัก คือ แอมเวย์ อาร์ทิสทรี และนิวทริไลท์

กระทั่งสร้าง “Mobile Application” ช่วยให้นักธุรกิจสามารถบริหารจัดการธุรกิจได้บนโทรศัพท์เคลื่อนที่ การเปิดพัฒนาแอมเวย์ช็อป เพื่อให้สินค้าเข้าถึงผู้บริโภคได้ง่ายมากขึ้น และทำให้ผลิตภัณฑ์ใกล้ชิดกับผู้บริโภค ซึ่งประเทศไทยมี 48 สาขา ล่าสุดที่เพิ่งเปิดตัวไป คือ ที่ สยามดิสคัฟเวอรี่

สำหรับ “Mobile Application” ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมมากขณะนี้ โดยในส่วนของสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐอเมริกาได้มีการคิดค้น Application AMWAY for iPhone ออกสู่ท้องตลาดให้สมาชิกทำการดาวโหลดฟรีได้เป็นระยะเวลาหนึ่งแล้ว ซึ่งได้รับการตอบที่ดีมากติดอันดับ 4 ของโลก

“การดาวน์โหลด App. หรือ Application มาลงมือถือในปัจจุบัน ได้รับการตอบรับที่ดีมาก เพราะชีวิตประจำวันของผู้คนทุกวันนี้ อยู่กับการใช้โปรแกรมผ่านมือถือมากกว่าเครื่องคอมพิวเตอร์ ทำให้ยอดการโหลดได้รับความนิยมมากทั้งในสหรัฐอเมริกา เกาหลี ญี่ปุ่น ซึ่งน่าทึ่งว่า App. Amway นั้นได้รับความนิยมมากติด TOP 4 ของ App. ทั้งหมด อีกทั้งมีการใช้สูงกว่าการโทรสั่งสินค้า โดยการโหลดนั้นทำได้ง่ายดาย และสมาชิกไม่ต้องเสียค่าใช้จ่าย เมื่อเทรนด์มาในรูปแบบนี้ ทำให้ขณะนี้บริษัทกำลังพัฒนา App. สำหรับโทรศัพท์มือถือที่ใช้ระบบปฏิบัติการ Android เพิ่มเติม ซึ่งจะสามารถเปิดใช้ได้ในเร็วๆนี้”

‘แอมเวย์ไทย’ขานรับทิศทางรุก คาดโต10%

ส่วนทางด้าน “รัตนา ชาญนรา” ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แผนการตลาดของไทยปีนี้ ยังคงสอดคล้องไปในทิศทางเดียวกับแอมเวย์โลก คือมุ่งเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์ และเครื่องสำอางอาร์ทิสทรี เครื่องกรองน้ำอีสปริง และเครื่องกรองอากาศ แอทโมสเฟียร์ ซึ่งปัจจุบันการรับรู้ตราสินค้าของแบรนด์มีการรับรู้ 99 % และ 45 % ชื่นชอบผลิตภัณฑ์

ทั้งนี้ผลประกอบการ “ไตรมาสแรก” ของไทย “เติบโต 7-10 %” ตามเป้าหมาย ทำให้มั่นใจว่าในสิ้นปีนี้บริษัทจะสร้างยอดขายเติบโตได้ถึง 7-10 % จากปีที่ผ่านมามีรายได้ 14,370 ล้านบาท โดยแบ่งเป็นรายได้ กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์ 34 % เครื่องสำอางอาร์ทิสทรี 20 % และกลุ่มเครื่องกรองน้ำอีสปริง 20% จากปัจจุบันแอมเวย์เป็นผู้นำตลาดขายตรง ครองส่วนแบ่ง 27 % จากมูลค่ากว่า 5 หมื่นล้านบา
อ้างอิง : นสพ.เส้นทางนักขาย ปีที่ 8 ฉบับที่ 205 ปักษ์แรก ประจำวันที่ 1- 15 มิถุนายน 2554

วันเสาร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2554

“เอเชีย สุพรีม” ขายตรงไทยพันธุ์ใหม่ ชูจุดแข็ง ทุนแกร่ง ทีมเก๋า นวัตกรรมเจ๋ง เทรนนิ่งแรงเสริมฐานรบแกร่ง มั่นใจยอดขายพุ่ง 300 ล้าน








"เอเชียสุพรีม" ขายตรงไทยพันธุ์ใหม่ ชูจุดแข็ง

ทุนแกร่ง ทีมเก๋า นวัตกรรมเจ๋ง เทรนนิ่งแรง เสริมฐานรบแกร่ง มั่นใจยอดขายพุ่ง 300 ล้าน

 

บริษัท  เอเชียสุพรีม จำกัด บริษัทขายตรงน้องใหม่  ชูยุทธศาสตร์สำคัญคือ มีทุนที่แข็งแกร่งทั้งในและต่างประเทศ ทีมผู้บริหารมีประสบการณ์ในธุรกิจมากกว่า 20 ปี นวัตกรรมทันสมัยและเป็นที่ยอมรับของทั่วโลกและมี "สถาบันธุรกิจเครือข่ายเอเชีย"เพื่อสร้างผู้นำเลือดใหม่สู่มืออาชีพอย่างมีคุณธรรมเป็นแห่งแรกในประเทศไทย พร้อมลุยตลาดอินโดจีน คาดสิ้นปีรายได้แตะ 300 ล้านบาท



อาจารย์ไพบูลย์ สำราญภูติ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัดประธานสถาบันธุรกิจเครือข่ายเอเชีย (Asia Network Business Institute) เปิดเผยว่า “ปัจจุบันธุรกิจขายตรงหรือการสั่งซื้อสินค้าแบบไดเร็กซ์เซลเป็นช่องทางใหม่ในการจับจ่ายใช้สอยสินค้าของผู้บริโภค ซึ่งมีแนวโน้มการเติบโตที่ต่อเนื่องขึ้นทุกปี จึงเกิดการรวมตัวและร่วมทุนของทีมผู้บริหารที่คร่ำหวอดในวงการธุรกิจขายตรงมากว่า 20 ปีที่มีเป้าหมายเดียวกัน มาร่วมก่อตั้งบริษัท เอเชีย สุพรีม ขึ้น ให้เป็นบริษัทธุรกิจขายตรงด้วยระบบเครือข่ายชั้นนำของคนไทย ที่มีนักลงทุนจากต่างประเทศมาร่วมลงทุน และช่วยกันผลักดันธุรกิจเพื่อให้ก้าวไปเป็นผู้นำอันดับ 1 ในเมืองไทย รวมทั้งมุ่งขยายธุรกิจสู่ตลาดอินโดจีนและก้าวสู่การเป็นธุรกิจเครือข่าย 1 ใน 5 ของเอเชียอีกด้วย เราต้องการเห็นเอเชีย สุพรีมเป็นบริษัทต้นแบบของธุรกิจเครือข่ายที่จะสร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพให้กับผู้บริโภคและสังคม”

 

คุณธวัชชัย วงศ์ธนสารสิน ประธานกรรมการบริษัท  บริษัท เอเชียสุพรีม จำกัด เปิดเผยว่า "เอเชียสุพรีมมีฐานการผลิตในประเทศไทย โดยการร่วมทุนกับบริษัท ทีโอพี คอสเมติค แอนด์ แมนูแฟคเจอร์ จำกัด ที่ได้ชื่อว่าเป็นโรงงานผลิตที่มีอุปกรณ์การผลิตอันทันสมัยที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย จนได้รับรองมาตรฐาoจาก  GMP, ISO9001-2008 และ Halal ภายใต้แบรนด์ Noiris ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ดูแลรักษาผิวพรรณ ป้องกันแสงแดด ริ้วรอยจุดด่างดำ ทำให้มั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ของเราผ่านการควบคุมคุณภาพ และค้นคว้าวิจัยจากนักวิชาการ นักวิทยาศาสตร์กว่า 20 คน ซึ่งมีประสบการณ์ในวงการอุตสาหกรรมรวมกันมากกว่า 13 ปี เพื่อให้มั่นใจว่าได้มอบผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพที่ดีที่สุดให้กับผู้บริโภค"

"นอกจากนั้นเรายังร่วมมือกับหน่วยงานธุรกิจชั้นนำทั้งในและต่างประเทศ คัดสรรวัตถุดิบและบรรจุภัณฑ์เพื่อให้ก้าวทันนวัตกรรมการผลิตอยู่เสมอ ล่าสุดทีมวิจัยสามารถค้นคว้านวัตกรรมใหม่จนได้ผลิตภัณฑ์ Noiris MTP Anti Melasma  ครีมขึ้น ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ดูแลปัญหาเรื่องฝ้า ให้จางลง รอยหมองคล้ำดูจางลง ทำให้ผิวเนียนสวยกระจ่างใส อย่างเป็นธรรมชาติด้วยนวัตกรรม Micro เอนแคปซูเลส ซึ่งมีอุนภาพขนาดเล็ก สามารถซึมเข้าสู่ผิวได้ดี ช่วยให้สารสำคัญออกฤทธิ์ได้ดีที่มีประสิทธิภาพ" คุณธวัชชัย วงศ์ธนสารสิน กล่าว

"นอกจากนั้น เราก็ยังให้ความสำคัญในเรื่องของการสร้างผู้นำให้แข็งแกร่งด้วย "การเทรนนิ่ง" โดยบริษัทฯ เรามีสถาบันธุรกิจเครือข่ายเอเชีย หรือ Asia Network Institute เพื่อเป็นแหล่งรวมเครือข่ายด้านวิชาการ ข้อมูล ข่าวสาร และบุคลากรทางด้านการขายและการตลาดโดยตรงเป็นแห่งแรกในประเทศไทยขึ้น ซึ่งจะเป็นเสมือนศูนย์รวมของวิทยากร ผู้บรรยาย ผู้จัดการสัมมนา เพื่อฝึกอบรม ฝึกฝนให้ผู้แทนจำหน่ายอิสระแต่ละท่านมีความรู้ ความเข้าใจในเรื่องการธุรกิจการขายตรงอย่างถูกต้อง  เรามุ่งหวังที่จะพัฒนาบุคลากรในธุรกิจเครือข่ายการขายตรงให้มีเป็นคนดีและคนเก่ง มีศํกดิ์ศรีที่สังคมยอมรับ มีจิตอาสาสาธารณะ อาสารับใช้สังคมและประเทศชาติต่อไป" อาจารย์ไพบูลย์ สำราญภูติ กล่าวเสริม

 

นายอุชาเดช อุทยานานนท์ กรรมการ / ผู้จัดการทั่วไป  บริษัท เอเชียสุพรีม จำกัด กล่าวว่า "ตัวผมเองมีประสบการณ์ในวงการมากกว่า 20 ปี ในธุรกิจขายตรงแบบหลายชั้น ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่า เอเชียสุพรีมจะต้องเดินหน้าไปอย่างมั่นคง ผมไม่ได้มาคนเดียว ผมมากับผู้จำหน่ายที่เคยประสบความสำเร็จและติดตามเรามาเพื่อทำธุรกิจเอเชียสุพรีม ด้วยกัน ตรงนี้เป็นจุดแข็งของเรา ในธุรกิจนี้มีองค์กรประกอบสำคัญอยู่ 3 ส่วน คือผู้จำหน่าย เราถือว่าผู้จำหน่ายเป็นบุคลากรอันมีค่าที่เราจะต้องดูแลให้ดี เพราะเมื่อเค้าประสบความสำเร็จ บริษัทก็จะประสบความสำเร็จ เช่นกัน องค์ประกอบต่อไป คือสินค้าต้องเยี่ยม ต้องตอบโจทย์ได้ว่าเป็นสินค้าที่ใช้แล้วเห็นผล และสุดท้ายคือแผนการตลาดที่จ่ายค่าตอบแทนคุ้มค่า ทำได้จริงและสามารถสนับสนุนให้นักธุรกิจเอเชียสุพรีมทุกท่านบรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จโดยเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจอย่างแท้จริง"

"ส่วนแผนการตลาดในขั้นต้นนี้ เรามุ่งเน้นไปที่การจัดโรดโชว์ไป 4 จังหวัด คือ จังหวัดนครราชสีมา  ขอนแก่น อุบลราชธานี และสุราษฏร์ธานี คาดสิ้นปีรายได้แตะ 300 ล้านบาท และจำนวนสมาชิกพุ่ง 2,000 คน นอกจากนั้น เรายังมีแนวทางที่ชัดเจนในการมุ่งตรงสู่ทั่วภูมิภาคเอเชีย ซึ่งในขณะนี้บริษัทได้มีฐานเครือข่ายนักธุรกิจอยู่ที่ประเทศพม่า และเวียดนาม ซึ่งคาดว่าอีก 2 - 3 ปี จะรุกขยายธุรกิจไปที่ประเทศอินโดนีเซีย และจีนได้" นายอุชาเดช อุทยานานนท์ กล่าวปิดท้าย

 

บริษัท เอเชียสุพรีม จำกัด มีความตั้งใจและมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจเครือข่ายและพร้อมที่จะสนับสนุนให้นักธุรกิจเอเชียสุพรีม ประสบความสำเร็จอย่างสูงสุด เพื่อให้ผู้จำหน่ายทุกคนก้าวไปพร้อมกับเรา เป็นครอบครัวเดียวกันที่จะได้สิ่งที่ดีที่สุดในการสร้างธุรกิจเครือข่ายที่ถูกต้องร่วมกันก้าวสู่ภูมิภาคเอเชียอย่างมั่นคงและยั่งยืน






ที่มา : http://www.asiasupreme.co.th