ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555

เปิดบันทึกเส้นทางนักขาย‘ดีไลฟ์’ ‘ธนเดช ทองดีเลิศ’นักสู้ผู้ไม่ถอยหลัง



...คนเราเมื่อเกิดมาแทบทุกคน ล้วนมีเป้าหมายในชีวิตที่จะประสบความสำเร็จ และอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นเป็นแน่...เมื่อเป้าหมายของชีวิตคือความสำเร็จ ฉะนั้นเราทุกคนต้องรู้จักบริหารชีวิตอย่างมีกลยุทธ์มากขึ้น เพราะคนหลายคนปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปกับเข็มนาฬิกา ปล่อยให้โอกาสล่องลอยไป แล้วก็มานั่งเสียดายทีหลัง...
นับตั้งแต่ “ธุรกิจเครือข่าย” ได้กำเนิดเกิดขึ้นมากมายในยามนี้ ก็มีหลากหลายบริษัทที่ได้มอบโอกาสให้กับคนทุกอาชีพ ทุกระดับการศึกษาและทุกฐานะ ได้เป็นเจ้าของธุรกิจและสามารถสร้างความสำเร็จ ความร่ำรวย ให้เกิดขึ้นกับชีวิตตนได้...จึงทำให้ธุรกิจเครือข่าย เป็นอาชีพที่ตอบโจทย์ให้กับใครหลายๆ คนในเวลานี้...
เช่นเดียวผู้นำที่มากความสามารถ และคร่ำหวอดอยู่ในวงการเครือข่ายท่านนี้ “ธนเดช ทองดีเลิศ” แห่งค่าย “ดีไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ที่หอบเอาความฝันและความหวังที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพเครือข่าย และแล้วเขาก็สามารถทำความฝันนั้นให้เป็นจริงได้...

...“ธนเดช” ผู้ซึ่งอุทิศตนและทุ่มเทให้กับธุรกิจเครือข่าย มาตลอดระยะเวลา 4 ปี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงเปิดใจกับธุรกิจเครือข่ายตั้งแต่นั้นมา...แต่แล้วลิขิตฟ้าก็มอบโอกาสให้กับ “ธนเดช” ด้วยการที่ “อ.เทวัญ ดีใจงาม” ได้ชักชวนให้ “ธนเดช” เข้าร่วมธุรกิจกับบริษัทดีไลฟ์...เมื่อโอกาสที่จะทำให้ “ธนเดช” ร่ำรวยและประสบความสำเร็จนั้นมาถึง เขาจึงไม่รีรอที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้ เพราะมีความเชื่อและศรัทธาในตัวท่านประธาน

ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีก่อนที่ “ธนเดช” จะมาร่วมกับธุรกิจเครือข่าย เขาเคยประกอบอาชีพอื่นมาก่อน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ โดย “ธนเดช” บอกว่า เมื่อก่อนประกอบอาชีพรับราชการครูมาเป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีความมั่นคง แต่เงินไม่พอใช้ จึงตัดสินใจไปทำธุรกิจอสังหา
ริมทรัพย์ เพราะคิดว่าจะสร้างความสำเร็จให้ชีวิตได้ แต่ก็ต้องมาเจอวิกฤตฟองสบู่เมื่อปี พ.ศ. 2540 ทำให้เขาถูกฟ้องหนี้กว่าร้อยล้านบาท

...“ธนเดช” ใช้เวลากว่า 5 ปี จึงสามารถแก้ปัญหาหนี้สินได้หมด โดยเขามองว่าอาชีพราชการไม่สามารถดลบันดาลความร่ำรวยให้กับเขาได้ จึงตัดสินใจลาออก และมองหาธุรกิจที่ลงทุนน้อย ไม่เสี่ยง แต่รวยได้ และจึงได้มาพบกับอาชีพธุรกิจเครือข่าย ที่สามารถตอบโจทย์และให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้ ดั่งเช่นปัจจุบัน...

หากถามถึงความมั่นใจ ที่ “ธนเดช” เข้าร่วมกับธุรกิจเครือข่าย “ดีไลฟ์” นั้น เขาบอกว่า “วิเคราะห์จากเจ้าของบริษัทเพียงข้อเดียว คือเจ้าของบริษัทต้องมีประสบการณ์ มีวิสัยทัศน์ เข้าใจธุรกิจเครือข่าย เข้าใจสมาชิก ทำอย่างไรที่จะนำพาสมาชิกให้ประสบความสำเร็จได้ นี่แหละเป็นเรื่องสำคัญ…ตัวผมผ่านธุรกิจมาแล้ว 2 – 3 บริษัท แต่ก็ไม่สำเร็จ และมั่นใจว่าถ้าเราร่วมธุรกิจกับบริษัทที่ดี ถึงแม้ยากลำบากหน่อย มีขวากหนามมากมาย แต่ถ้าเราถากถางหนามแล้วปุ๋ยต้องดี จึงเชื่อว่าถ้าเราได้มาเป็นรุ่นแรก จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้”

โดย “ธนเดช” ใช้เวลาเก็บเกี่ยวความสำเร็จกับ “ดีไลฟ์” มาเป็นระยะเวลากว่า 7 ปี เรียกได้ว่า เขาร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่
คู่กับ อ.เทวัญ มาอย่างยาว นาน...จนบัดนี้ “ดีไลฟ์” ได้โลดแล่นและสามารถสยายปีกในวงการธุรกิจเครือข่ายได้ ด้วยยอดขายที่โตเพิ่มขึ้นทุกปี...

แม้ว่า “ธนเดช” จะเลือกเส้นทางสายนี้ได้ถูกทาง แต่ชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะการเป็นหนี้สินในอดีต ทำให้เขาสูญเสียเครดิต ที่จะทำให้คนอื่นๆ เชื่อในตัวเขา...
“ต้นทุนทางธุรกิจผมไม่มีเลย สิ่งหนึ่งที่หมดไปเลยคือเรื่องเครดิต เพราะเป็นหนี้เยอะมาก ผมเข้ามาทำที่ดีไลฟ์ ไม่มีรถขับ ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ต้องอาศัยบ้านที่ถูกยึด นั่งรถเมล์มาทำงาน เชื่อว่าไม่สามารถทำให้คนรู้จักเชื่อในตัวเราได้ เพราะในช่วงที่เป็นหนี้นั้นคนรู้จักเดินหนีเราหมด เราจึงต้องเริ่มทำงานกับคนใหม่ๆ หาคนใหม่อย่างเดียว”
“แม้ว่าจะไม่มีคนที่เห็นด้วยกับเรา เราก็พยายามพูดในเรื่องอนาคตเป็นหลัก พยายามให้เขาเข้าใจว่าเรื่องของโอกาสเป็นเรื่องสำคัญ วันนี้เราต้องยอมลำบากก่อนเพื่อสบายทีหลัง...เพราะความลำบากไม่เคยฆ่าใคร ความสบายสิฆ่าคน เราลำบากวันนี้ เราต้องสบายวันหน้า…ฉะนั้นผมจึงพยายามขายความคิด เปิดโอกาสนี้ให้คนใหม่ๆ โดยมีท่านประธานคอยให้แง่คิด ให้มุมมองใหม่ๆ ให้มุมมองในเรื่องธุรกิจใหม่ จึงช่วยเปิดใจให้กับคนใหม่ๆ ได้”


…“ถึงแม้เราชวนใครแล้วไม่สำเร็จ ก็คิดเสมอว่า เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องธรรมดาในธุรกิจเครือข่าย มั่นใจว่าสักวันต้องเจอคนที่เห็นด้วยกับเรา ในที่สุดก็เจอ จากคนๆ เดียวก็ขยายเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น จนปัจจุบันมีเป็นแสนคน”…

อย่างไรก็ดี แม้ชีวิตจะต้องเจอกับอุปสรรค และความขื่นข่มมามากมาย แต่ “ธนเดช” ก็ไม่เคยย่อท้อ ด้วยความคิดที่ว่า “ถ้าอยากประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย ทัศนคติต้องแข็งแรง ไม่ว๊อกแว๊ก คิดเสมอว่าถ้าไม่สำเร็จ ก็ไม่เลิก แม้เจออุปสรรคอะไรก็ข้ามไป” เขาจึงมีวันนี้
มีชีวิตที่ดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ

...เรียกได้ว่าความสำเร็จของ “ธนเดช” ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากรายได้เพียง 80 บาท มาสู่ 800 และ 8,000 ใช้เวลา 5 ปี ได้รับ 80,000 จนปัจจุบันกว่า 7 ปี มีรายได้ 420,000 บาท

ทั้งนี้ “ธนเดช” ได้ทิ้งท้ายถึงเคล็ดลับความสำเร็จไว้ว่า “ธุรกิจไม่ได้ง่ายเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป เราต้องเรียนรู้บวกกับการลงมือทำ ที่บริษัทดีไลฟ์ มีโรงเรียนสอนธุรกิจ เข้าโรงเรียนเพื่อรู้วิธีการดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง มีเป็นคอร์ส เป็นขั้นๆ ผมเชื่อว่าธุรกิจเครือข่าย ความเก่ง ความสามารถไม่สำคัญ หากเรารักษาทัศนคติดี เดินตามขั้นตอน ตามที่ได้ไปเรียนรู้มาและลงมือทำ ไม่ช้าก็เร็วสำเร็จแน่นอน...”

หลายๆ คน ต้องมีความฝัน มีเป้าหมายที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต หากโอกาสมาถึงก็จงคว้าเอาไว้ แม้ว่าต้องเดินบนเส้นทางที่ผิดบ้างถูกบ้าง หากเราไม่ย่อท้อ ขยัน อดทน พร้อมทั้งเรียนรู้และลงมือทำ เชื่อว่าสักวันความฝันนั้น ไม่ไกลเกินเอื้อม...!!!

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1295 ประจำวันที่ 28-4-2012 ถึง 1-5-2012       

เปิดบันทึกเส้นทางนักขาย‘ดีไลฟ์’ ‘ธนเดช ทองดีเลิศ’นักสู้ผู้ไม่ถอยหลัง



...คนเราเมื่อเกิดมาแทบทุกคน ล้วนมีเป้าหมายในชีวิตที่จะประสบความสำเร็จ และอยากมีชีวิตที่ดีขึ้นเป็นแน่...เมื่อเป้าหมายของชีวิตคือความสำเร็จ ฉะนั้นเราทุกคนต้องรู้จักบริหารชีวิตอย่างมีกลยุทธ์มากขึ้น เพราะคนหลายคนปล่อยเวลาให้ล่วงเลยไปกับเข็มนาฬิกา ปล่อยให้โอกาสล่องลอยไป แล้วก็มานั่งเสียดายทีหลัง...
นับตั้งแต่ “ธุรกิจเครือข่าย” ได้กำเนิดเกิดขึ้นมากมายในยามนี้ ก็มีหลากหลายบริษัทที่ได้มอบโอกาสให้กับคนทุกอาชีพ ทุกระดับการศึกษาและทุกฐานะ ได้เป็นเจ้าของธุรกิจและสามารถสร้างความสำเร็จ ความร่ำรวย ให้เกิดขึ้นกับชีวิตตนได้...จึงทำให้ธุรกิจเครือข่าย เป็นอาชีพที่ตอบโจทย์ให้กับใครหลายๆ คนในเวลานี้...
เช่นเดียวผู้นำที่มากความสามารถ และคร่ำหวอดอยู่ในวงการเครือข่ายท่านนี้ “ธนเดช ทองดีเลิศ” แห่งค่าย “ดีไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ที่หอบเอาความฝันและความหวังที่จะประสบความสำเร็จในอาชีพเครือข่าย และแล้วเขาก็สามารถทำความฝันนั้นให้เป็นจริงได้...

...“ธนเดช” ผู้ซึ่งอุทิศตนและทุ่มเทให้กับธุรกิจเครือข่าย มาตลอดระยะเวลา 4 ปี แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ จึงเปิดใจกับธุรกิจเครือข่ายตั้งแต่นั้นมา...แต่แล้วลิขิตฟ้าก็มอบโอกาสให้กับ “ธนเดช” ด้วยการที่ “อ.เทวัญ ดีใจงาม” ได้ชักชวนให้ “ธนเดช” เข้าร่วมธุรกิจกับบริษัทดีไลฟ์...เมื่อโอกาสที่จะทำให้ “ธนเดช” ร่ำรวยและประสบความสำเร็จนั้นมาถึง เขาจึงไม่รีรอที่จะคว้าโอกาสนั้นไว้ เพราะมีความเชื่อและศรัทธาในตัวท่านประธาน

ซึ่งแรกเริ่มเดิมทีก่อนที่ “ธนเดช” จะมาร่วมกับธุรกิจเครือข่าย เขาเคยประกอบอาชีพอื่นมาก่อน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ โดย “ธนเดช” บอกว่า เมื่อก่อนประกอบอาชีพรับราชการครูมาเป็นระยะเวลา 10 ปี ซึ่งอาชีพครูเป็นอาชีพที่มีเกียรติ มีความมั่นคง แต่เงินไม่พอใช้ จึงตัดสินใจไปทำธุรกิจอสังหา
ริมทรัพย์ เพราะคิดว่าจะสร้างความสำเร็จให้ชีวิตได้ แต่ก็ต้องมาเจอวิกฤตฟองสบู่เมื่อปี พ.ศ. 2540 ทำให้เขาถูกฟ้องหนี้กว่าร้อยล้านบาท

...“ธนเดช” ใช้เวลากว่า 5 ปี จึงสามารถแก้ปัญหาหนี้สินได้หมด โดยเขามองว่าอาชีพราชการไม่สามารถดลบันดาลความร่ำรวยให้กับเขาได้ จึงตัดสินใจลาออก และมองหาธุรกิจที่ลงทุนน้อย ไม่เสี่ยง แต่รวยได้ และจึงได้มาพบกับอาชีพธุรกิจเครือข่าย ที่สามารถตอบโจทย์และให้ในสิ่งที่เขาต้องการได้ ดั่งเช่นปัจจุบัน...

หากถามถึงความมั่นใจ ที่ “ธนเดช” เข้าร่วมกับธุรกิจเครือข่าย “ดีไลฟ์” นั้น เขาบอกว่า “วิเคราะห์จากเจ้าของบริษัทเพียงข้อเดียว คือเจ้าของบริษัทต้องมีประสบการณ์ มีวิสัยทัศน์ เข้าใจธุรกิจเครือข่าย เข้าใจสมาชิก ทำอย่างไรที่จะนำพาสมาชิกให้ประสบความสำเร็จได้ นี่แหละเป็นเรื่องสำคัญ…ตัวผมผ่านธุรกิจมาแล้ว 2 – 3 บริษัท แต่ก็ไม่สำเร็จ และมั่นใจว่าถ้าเราร่วมธุรกิจกับบริษัทที่ดี ถึงแม้ยากลำบากหน่อย มีขวากหนามมากมาย แต่ถ้าเราถากถางหนามแล้วปุ๋ยต้องดี จึงเชื่อว่าถ้าเราได้มาเป็นรุ่นแรก จะทำให้เราประสบความสำเร็จได้”

โดย “ธนเดช” ใช้เวลาเก็บเกี่ยวความสำเร็จกับ “ดีไลฟ์” มาเป็นระยะเวลากว่า 7 ปี เรียกได้ว่า เขาร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่
คู่กับ อ.เทวัญ มาอย่างยาว นาน...จนบัดนี้ “ดีไลฟ์” ได้โลดแล่นและสามารถสยายปีกในวงการธุรกิจเครือข่ายได้ ด้วยยอดขายที่โตเพิ่มขึ้นทุกปี...

แม้ว่า “ธนเดช” จะเลือกเส้นทางสายนี้ได้ถูกทาง แต่ชีวิตก็ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะการเป็นหนี้สินในอดีต ทำให้เขาสูญเสียเครดิต ที่จะทำให้คนอื่นๆ เชื่อในตัวเขา...
“ต้นทุนทางธุรกิจผมไม่มีเลย สิ่งหนึ่งที่หมดไปเลยคือเรื่องเครดิต เพราะเป็นหนี้เยอะมาก ผมเข้ามาทำที่ดีไลฟ์ ไม่มีรถขับ ไม่มีเงิน ไม่มีบ้าน ต้องอาศัยบ้านที่ถูกยึด นั่งรถเมล์มาทำงาน เชื่อว่าไม่สามารถทำให้คนรู้จักเชื่อในตัวเราได้ เพราะในช่วงที่เป็นหนี้นั้นคนรู้จักเดินหนีเราหมด เราจึงต้องเริ่มทำงานกับคนใหม่ๆ หาคนใหม่อย่างเดียว”
“แม้ว่าจะไม่มีคนที่เห็นด้วยกับเรา เราก็พยายามพูดในเรื่องอนาคตเป็นหลัก พยายามให้เขาเข้าใจว่าเรื่องของโอกาสเป็นเรื่องสำคัญ วันนี้เราต้องยอมลำบากก่อนเพื่อสบายทีหลัง...เพราะความลำบากไม่เคยฆ่าใคร ความสบายสิฆ่าคน เราลำบากวันนี้ เราต้องสบายวันหน้า…ฉะนั้นผมจึงพยายามขายความคิด เปิดโอกาสนี้ให้คนใหม่ๆ โดยมีท่านประธานคอยให้แง่คิด ให้มุมมองใหม่ๆ ให้มุมมองในเรื่องธุรกิจใหม่ จึงช่วยเปิดใจให้กับคนใหม่ๆ ได้”


…“ถึงแม้เราชวนใครแล้วไม่สำเร็จ ก็คิดเสมอว่า เป็นเรื่องธรรมชาติ เป็นเรื่องธรรมดาในธุรกิจเครือข่าย มั่นใจว่าสักวันต้องเจอคนที่เห็นด้วยกับเรา ในที่สุดก็เจอ จากคนๆ เดียวก็ขยายเป็นร้อย เป็นพัน เป็นหมื่น จนปัจจุบันมีเป็นแสนคน”…

อย่างไรก็ดี แม้ชีวิตจะต้องเจอกับอุปสรรค และความขื่นข่มมามากมาย แต่ “ธนเดช” ก็ไม่เคยย่อท้อ ด้วยความคิดที่ว่า “ถ้าอยากประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย ทัศนคติต้องแข็งแรง ไม่ว๊อกแว๊ก คิดเสมอว่าถ้าไม่สำเร็จ ก็ไม่เลิก แม้เจออุปสรรคอะไรก็ข้ามไป” เขาจึงมีวันนี้
มีชีวิตที่ดีขึ้นจากหน้ามือเป็นหลังมือ

...เรียกได้ว่าความสำเร็จของ “ธนเดช” ค่อยๆ เพิ่มขึ้นอย่างเห็นได้ชัด จากรายได้เพียง 80 บาท มาสู่ 800 และ 8,000 ใช้เวลา 5 ปี ได้รับ 80,000 จนปัจจุบันกว่า 7 ปี มีรายได้ 420,000 บาท

ทั้งนี้ “ธนเดช” ได้ทิ้งท้ายถึงเคล็ดลับความสำเร็จไว้ว่า “ธุรกิจไม่ได้ง่ายเหมือนโรยด้วยกลีบกุหลาบ แต่ก็ไม่ได้ยากจนเกินไป เราต้องเรียนรู้บวกกับการลงมือทำ ที่บริษัทดีไลฟ์ มีโรงเรียนสอนธุรกิจ เข้าโรงเรียนเพื่อรู้วิธีการดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง มีเป็นคอร์ส เป็นขั้นๆ ผมเชื่อว่าธุรกิจเครือข่าย ความเก่ง ความสามารถไม่สำคัญ หากเรารักษาทัศนคติดี เดินตามขั้นตอน ตามที่ได้ไปเรียนรู้มาและลงมือทำ ไม่ช้าก็เร็วสำเร็จแน่นอน...”

หลายๆ คน ต้องมีความฝัน มีเป้าหมายที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต หากโอกาสมาถึงก็จงคว้าเอาไว้ แม้ว่าต้องเดินบนเส้นทางที่ผิดบ้างถูกบ้าง หากเราไม่ย่อท้อ ขยัน อดทน พร้อมทั้งเรียนรู้และลงมือทำ เชื่อว่าสักวันความฝันนั้น ไม่ไกลเกินเอื้อม...!!!

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1295 ประจำวันที่ 28-4-2012 ถึง 1-5-2012       

พลิกมิติวงการขายตรงไทย ‘ไอยรา (Aiyara Planet)’ปลุกธุรกิจสีขาวปั้นเศรษฐี


น้องใหม่ “ไอยรา แพลนเน็ต” เปิดตำราเด็ด เข็นสมาชิกปิดฉากความจน...งัดสูตรยุทธวิธีการทำงาน สร้างเม็ดเงินที่จับต้องได้ป้อนสมาชิก พิชิตรายได้ที่ยั่งยืนบนพื้นฐานธุรกิจเครือข่ายสีขาว...มั่นใจ! Aiyara Academy ปั้นนักธุรกิจพิชิตความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง...ปลื้ม! ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า...จับตา! ปลายปีนี้ ตีปีกคว้ายอดขายทะลุ 100 ล้าน สร้างนักขายเงินแสน ไม่น้อยกว่า 150 คนต่อเดือน ยอดสมาชิกทะลุ 15,000 รหัส…!!!

...ถูกจับตามองจากสายตาคนในวงการขายตรงหลายพันคู่ สำหรับ “บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด” ขายตรงน้องใหม่ที่ทีมงานบริหาร
ไม่ใหม่ในวงการ เพราะชื่อเสียงเรียงนามของประธานกรรมการ “กัมปนาท บุญราศี” เป็นที่รู้จักกันดีในวงกว้าง เพราะเรียนรู้และเข้าใจธุรกิจเครือข่ายขายตรงอย่างแตกฉาน เรียกว่า เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ขายตรงในยุคนี้ก็ว่าได้

ดีกรีที่ไม่ธรรมดาของ “ประธานบริษัท” ทำให้น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานรายนี้ เป็นที่จับจ้องของคนในวงการอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะการตัดสินใจสวมบทแม่ทัพใหญ่ ลงกรำศึกในสนามขายตรงของ “กัมปนาท บุญราศี” ย่อมมีทีเด็ดที่น่าสนใจ หรือกลยุทธ์ใหม่ๆ สร้างจุดขายเรียกสมาชิก ออกมาโชว์ให้เห็นกันทั้งวงการอย่างแน่นอน...!!!



จุดกำเนิด“ไอยรา”

ฝันที่เป็นจริงอิงธุรกิจสีขาว

...สำหรับต้นกำเนิดของบริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด “กัมปนาท บุญราศี” ประธานกรรมการ เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นที่ก่อตั้งบริษัทฯ แห่งนี้ ขึ้นมาคือ การทำตามความ ฝันที่ต้องการเห็นบริษัทขายตรงที่เป็นสีขาวจริงๆ และมีองค์ประกอบที่เพียบพร้อม ภายใต้การดำเนินธุรกิจโดยเป็นขายตรงของคนไทย

“จากประสบการณ์ที่ผมคิดว่าทำได้ และคนเรามีความฝัน และมั่นใจว่าทำได้ จึงอยากเปิดบริษัทดีๆ ขึ้นมา และมองเห็นช่องว่างทางการตลาดที่เกิดขึ้นในระบบขายตรง ขณะเดียวกัน เรามีสินค้าที่มีศักยภาพสูง เป็นสินค้าที่มีนวัตกรรม ซึ่งปัจจุบันสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและสมาชิกได้เป็นอย่างดี รวมกับผู้นำที่รู้จักกันมาและให้การสนับสนุนเดินเคียงข้างกันมาตลอด จึงเกิดเป็น ไอยรา ขึ้นมาในวันนี้”

“กัมปนาท” เปิดเผยต่อว่า สิ่งแรกที่ต้องยึดเป็นหลักของบริษัทแห่งนี้ คือ ต้องเป็นธุรกิจเครือข่ายสีขาว ซึ่งธุรกิจสีขาว ที่ว่านั้น ต้องเริ่มต้นจากสินค้าที่มีคุณภาพ ประโยชน์ตกอยู่ที่ผู้บริโภค โดยมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถยืนยันได้ชัดเจนว่า มีประโยชน์จริงๆ สิ่งสำคัญราคา ผู้บริโภคต้องซื้อได้ด้วย ถึงจะทำให้การตลาดเกิด

ส่วนในเรื่องของการทำธุรกิจต้องมีระบบปันผลที่แน่ชัด และยึดหลักความยุติธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถึงจะสามารถตอบสนองนักธุรกิจได้จริง

“แผนบางแผน อาจดูเหมือนง่าย แต่เมื่อลงมือทำกลับสลับซับซ้อน ทำให้สับสน ไม่สามารถจับเซกเมนต์แก่นักธุรกิจได้ว่า คนกลุ่มนี้เป็นแบบไหน อาทิ นักธุรกิจกลุ่มขายเก่ง ควรมีแผนไปตอบโจทย์โดยเฉพาะ ส่วนกลุ่มคนที่เน้นรีครูทเก่ง ต้องมีแผนไปตอบโจทย์ให้ได้เช่นกัน แม้แต่คนที่เป็นแม่ทีม มีความต้องการที่จะบริหารเครือข่าย ก็ต้องตอบโจทย์ได้ว่าจะบริหารเครือข่ายอย่างไรให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด ฯลฯ”



มั่นใจ “Aiyara Academy”

ปั้นเศรษฐีประดับวงการเพียบ

“กัมปนาท” เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีความพร้อมอย่างเต็มที่ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ และจำนวนสมาชิกที่จะหลั่งไหลเข้ามาร่วมธุรกิจกับบริษัทฯ โดยเฉพาะในเรื่องของระบบการฝึกอบรม ที่บริษัทฯ ไม่ได้มองเพียงแค่ว่าทักษะดี ถึงจะสามารถสำเร็จได้ แต่มองลึกไปถึงอุปนิสัยที่ต้องเป็นคนดีของสังคม และสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลคนในสังคมได้ด้วย ถึงจะกลายเป็นระบบของบริษัทฯ

“ถือเป็นความโชคดีที่เราได้ อ.ชาญวิทย์ เมธาชัยวุฒิ มาดูแลในเรื่องของการฝึกอบรมใน “Aiyara Academy” ที่ถือเป็นส่วนสำคัญ ที่จะผลักดันให้สมาชิกประสบความสำเร็จ โดยเรียนจากคอร์สของ อ.ชาญวิทย์ ซึ่งมีประสบการณ์จริงและสร้างมนุษย์เงินล้านมาจนประสบความสำเร็จมากมาย และใน “Aiyara Academy” ยังสอนในสิ่งที่จำเป็นที่ต้องเรียนรู้ เข้าใจง่าย ทำได้เลย แม้หลายคนจะเรียนรู้มาแล้วทุกอย่าง แต่ในทางปฏิบัติ กลับไม่ประสบความสำเร็จ แต่ที่บริษัทเราสามารถทำให้คนเหล่านั้น ประสบความสำเร็จได้ จากการทำให้รู้ความต้องการของตัวเอง”



สำหรับเป้าหมายของบริษัทฯ ในปีนี้ ตั้งใจที่จะทำให้คนรู้จักมากที่สุด พยายามที่จะสร้างแบรนด์ไอยราฯ อย่างต่อเนื่องตามช่องทางต่างๆ โดยยึดหลักความเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพ สามารถทำให้คนประสบความสำเร็จได้ ส่วนยอดขายคาดว่า สิ้นปีนี้จะมียอดขายประมาณ 100 ล้านบาท และจำนวนสมาชิกจะมีถึง 15,000 รหัส และจำนวนสมาชิกที่ได้รับเงิน 1 แสนบาท ไม่น้อยกว่า 150 คนต่อเดือน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1295 ประจำวันที่ 28-4-2012 ถึง 1-5-2012       

พลิกมิติวงการขายตรงไทย ‘ไอยรา (Aiyara Planet)’ปลุกธุรกิจสีขาวปั้นเศรษฐี


น้องใหม่ “ไอยรา แพลนเน็ต” เปิดตำราเด็ด เข็นสมาชิกปิดฉากความจน...งัดสูตรยุทธวิธีการทำงาน สร้างเม็ดเงินที่จับต้องได้ป้อนสมาชิก พิชิตรายได้ที่ยั่งยืนบนพื้นฐานธุรกิจเครือข่ายสีขาว...มั่นใจ! Aiyara Academy ปั้นนักธุรกิจพิชิตความสำเร็จอย่างต่อเนื่อง...ปลื้ม! ผลิตภัณฑ์ตอบโจทย์ความต้องการลูกค้า...จับตา! ปลายปีนี้ ตีปีกคว้ายอดขายทะลุ 100 ล้าน สร้างนักขายเงินแสน ไม่น้อยกว่า 150 คนต่อเดือน ยอดสมาชิกทะลุ 15,000 รหัส…!!!

...ถูกจับตามองจากสายตาคนในวงการขายตรงหลายพันคู่ สำหรับ “บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด” ขายตรงน้องใหม่ที่ทีมงานบริหาร
ไม่ใหม่ในวงการ เพราะชื่อเสียงเรียงนามของประธานกรรมการ “กัมปนาท บุญราศี” เป็นที่รู้จักกันดีในวงกว้าง เพราะเรียนรู้และเข้าใจธุรกิจเครือข่ายขายตรงอย่างแตกฉาน เรียกว่า เป็นหนึ่งในปรมาจารย์ขายตรงในยุคนี้ก็ว่าได้

ดีกรีที่ไม่ธรรมดาของ “ประธานบริษัท” ทำให้น้องใหม่ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานรายนี้ เป็นที่จับจ้องของคนในวงการอย่างเลี่ยงไม่ได้ เพราะการตัดสินใจสวมบทแม่ทัพใหญ่ ลงกรำศึกในสนามขายตรงของ “กัมปนาท บุญราศี” ย่อมมีทีเด็ดที่น่าสนใจ หรือกลยุทธ์ใหม่ๆ สร้างจุดขายเรียกสมาชิก ออกมาโชว์ให้เห็นกันทั้งวงการอย่างแน่นอน...!!!



จุดกำเนิด“ไอยรา”

ฝันที่เป็นจริงอิงธุรกิจสีขาว

...สำหรับต้นกำเนิดของบริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด “กัมปนาท บุญราศี” ประธานกรรมการ เปิดเผยว่า จุดเริ่มต้นที่ก่อตั้งบริษัทฯ แห่งนี้ ขึ้นมาคือ การทำตามความ ฝันที่ต้องการเห็นบริษัทขายตรงที่เป็นสีขาวจริงๆ และมีองค์ประกอบที่เพียบพร้อม ภายใต้การดำเนินธุรกิจโดยเป็นขายตรงของคนไทย

“จากประสบการณ์ที่ผมคิดว่าทำได้ และคนเรามีความฝัน และมั่นใจว่าทำได้ จึงอยากเปิดบริษัทดีๆ ขึ้นมา และมองเห็นช่องว่างทางการตลาดที่เกิดขึ้นในระบบขายตรง ขณะเดียวกัน เรามีสินค้าที่มีศักยภาพสูง เป็นสินค้าที่มีนวัตกรรม ซึ่งปัจจุบันสามารถตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าและสมาชิกได้เป็นอย่างดี รวมกับผู้นำที่รู้จักกันมาและให้การสนับสนุนเดินเคียงข้างกันมาตลอด จึงเกิดเป็น ไอยรา ขึ้นมาในวันนี้”

“กัมปนาท” เปิดเผยต่อว่า สิ่งแรกที่ต้องยึดเป็นหลักของบริษัทแห่งนี้ คือ ต้องเป็นธุรกิจเครือข่ายสีขาว ซึ่งธุรกิจสีขาว ที่ว่านั้น ต้องเริ่มต้นจากสินค้าที่มีคุณภาพ ประโยชน์ตกอยู่ที่ผู้บริโภค โดยมีงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ที่สามารถยืนยันได้ชัดเจนว่า มีประโยชน์จริงๆ สิ่งสำคัญราคา ผู้บริโภคต้องซื้อได้ด้วย ถึงจะทำให้การตลาดเกิด

ส่วนในเรื่องของการทำธุรกิจต้องมีระบบปันผลที่แน่ชัด และยึดหลักความยุติธรรม โปร่งใส ตรวจสอบได้ สิ่งต่างๆ เหล่านี้ถึงจะสามารถตอบสนองนักธุรกิจได้จริง

“แผนบางแผน อาจดูเหมือนง่าย แต่เมื่อลงมือทำกลับสลับซับซ้อน ทำให้สับสน ไม่สามารถจับเซกเมนต์แก่นักธุรกิจได้ว่า คนกลุ่มนี้เป็นแบบไหน อาทิ นักธุรกิจกลุ่มขายเก่ง ควรมีแผนไปตอบโจทย์โดยเฉพาะ ส่วนกลุ่มคนที่เน้นรีครูทเก่ง ต้องมีแผนไปตอบโจทย์ให้ได้เช่นกัน แม้แต่คนที่เป็นแม่ทีม มีความต้องการที่จะบริหารเครือข่าย ก็ต้องตอบโจทย์ได้ว่าจะบริหารเครือข่ายอย่างไรให้ได้ผลประโยชน์สูงสุด ฯลฯ”



มั่นใจ “Aiyara Academy”

ปั้นเศรษฐีประดับวงการเพียบ

“กัมปนาท” เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทมีความพร้อมอย่างเต็มที่ เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจ และจำนวนสมาชิกที่จะหลั่งไหลเข้ามาร่วมธุรกิจกับบริษัทฯ โดยเฉพาะในเรื่องของระบบการฝึกอบรม ที่บริษัทฯ ไม่ได้มองเพียงแค่ว่าทักษะดี ถึงจะสามารถสำเร็จได้ แต่มองลึกไปถึงอุปนิสัยที่ต้องเป็นคนดีของสังคม และสามารถช่วยเหลือเกื้อกูลคนในสังคมได้ด้วย ถึงจะกลายเป็นระบบของบริษัทฯ

“ถือเป็นความโชคดีที่เราได้ อ.ชาญวิทย์ เมธาชัยวุฒิ มาดูแลในเรื่องของการฝึกอบรมใน “Aiyara Academy” ที่ถือเป็นส่วนสำคัญ ที่จะผลักดันให้สมาชิกประสบความสำเร็จ โดยเรียนจากคอร์สของ อ.ชาญวิทย์ ซึ่งมีประสบการณ์จริงและสร้างมนุษย์เงินล้านมาจนประสบความสำเร็จมากมาย และใน “Aiyara Academy” ยังสอนในสิ่งที่จำเป็นที่ต้องเรียนรู้ เข้าใจง่าย ทำได้เลย แม้หลายคนจะเรียนรู้มาแล้วทุกอย่าง แต่ในทางปฏิบัติ กลับไม่ประสบความสำเร็จ แต่ที่บริษัทเราสามารถทำให้คนเหล่านั้น ประสบความสำเร็จได้ จากการทำให้รู้ความต้องการของตัวเอง”



สำหรับเป้าหมายของบริษัทฯ ในปีนี้ ตั้งใจที่จะทำให้คนรู้จักมากที่สุด พยายามที่จะสร้างแบรนด์ไอยราฯ อย่างต่อเนื่องตามช่องทางต่างๆ โดยยึดหลักความเป็นแบรนด์ที่มีคุณภาพ สามารถทำให้คนประสบความสำเร็จได้ ส่วนยอดขายคาดว่า สิ้นปีนี้จะมียอดขายประมาณ 100 ล้านบาท และจำนวนสมาชิกจะมีถึง 15,000 รหัส และจำนวนสมาชิกที่ได้รับเงิน 1 แสนบาท ไม่น้อยกว่า 150 คนต่อเดือน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1295 ประจำวันที่ 28-4-2012 ถึง 1-5-2012       

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

แอมเวย์รุกตลาดความงาม ส่ง ‘ยุน อึน เฮ’ เสริมทัพ อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ดันยอดขายอาร์ทิสทรีโต 5 % ภายในสิ้นปี

แอมเวย์รุกตลาดความงาม ส่ง ‘ยุน อึน เฮ’ เสริมทัพ อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์


ดันยอดขายอาร์ทิสทรีโต 5 % ภายในสิ้นปี


                นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ (ที่ 2 จากขวา) นางรัตนา ชาญนรา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (ซ้าย) และนางชุมพฤนท์ ยุระยง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร (ขวา) บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว ‘ยุน อึน เฮ’ (ที่ 2 จากซ้าย) ซูเปอร์สตาร์ระดับเอเชียในฐานะแบรนด์ เอนดอสเซอร์คนล่าสุดสำหรับผลิตภัณฑ์ “อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์” ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย จีน และไต้หวัน เพื่อรุกตลาดความงาม และต้อนรับเทรนด์ผิวขาวกระจ่างใสของสาวเอเชียและผู้บริโภคในกลุ่มเจ็นวาย มั่นใจสามารถสร้างยอดขายอาร์ทิสทรีสิ้นปีโต 5%


 


[gallery link="file" columns="2"]


 


อาร์ทิสทรีรุกตลาดความงาม ชิงเค้กเครื่องสำอางเพื่อผิวขาวใส


ส่งซูเปอร์สตาร์เกาหลี “ยุน อึน เฮ” เสริมทัพ ครองแชมป์พรีเมี่ยมแบรนด์


 


เครื่องสำอางอาร์ทิสทรีจากแอมเวย์รุกหนักตลาดความงาม ดึงซูเปอร์สตาร์เกาหลี ‘ยุน อึน เฮ’ เสริมทัพ  นำอาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ชิงเค้กกลุ่มเครื่องสำอางเพื่อผิวขาว ตอบรับเทรนด์นิยมผิวกระจ่างใสของสาวเอเชียและผู้บริโภคกลุ่มเจ็นวาย มั่นใจสิ้นปีดันยอดขายอาร์ทิสทรีครองแชมป์เครื่องสำอางพรีเมี่ยมแบรนด์อีกสมัย


 


นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดความงามเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงและมีการแข่งขันกันอย่างหนัก โดยปี 2554 ที่ผ่านมาตลาดเครื่องสำอางบำรุงผิวหน้าของไทยในกลุ่มพรีเมี่ยมแบรนด์มีมูลค่าสูงกว่า 11,000ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากเทรนด์ของสาวเอเชียที่ให้ความสำคัญกับความขาวใสของผิวเป็นอันดับต้นๆ ดังนั้น ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้อาร์ทิสทรีจึงเตรียมบุกตลาดเครื่องสำอางเพื่อผิวขาวหรือไวท์เทนนิ่ง (Whitening Products) เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้ากลุ่ม     อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ที่มีความโดดเด่นในการมอบสมดุลความกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการขาวกระจ่างใสให้กับผู้บริโภคได้อย่างเห็นผลดีเยี่ยม


 


นายกิจธวัชกล่าวเสริมว่า “นอกจากนั้น ยังพบว่า ผู้บริโภคในกลุ่มเจ็นวาย (Generation Y)เป็นกลุ่มที่ใส่ใจปัญหา เรื่องผิวหมองคล้ำ มีการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสสูงกว่าผู้บริโภคกลุ่มอื่นๆ ดังนั้นอาร์ทิสทรีมองเห็นโอกาสการขยายตลาดกับผู้บริโภคกลุ่มนี้ จึงเริ่มแผนการตลาดในปีนี้ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ โดยเชิญ ยุน อึน เฮ (Yoon Eun Hye) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นเจ้าหญิงซีรีส์เกาหลี มาเยือนเมืองไทยในฐานะแบรนด์ เอ็นดอสเซอร์คนล่าสุดของ อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านภาพลักษณ์ในระดับสากล กระตุ้นความสนใจ และสร้างความเชื่อมั่นที่ดีต่อแบรนด์ให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มเจ็นวายอีกด้วย”


 


“เครื่องสำอางอาร์ทิสทรีได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย โดยล่าสุดมียอดขายทั้งในกลุ่มสกินแคร์และสีสันสูงติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกในกลุ่มเครื่องสำอางพรีเมี่ยม สำรวจโดยยูโรมอนิเตอร์ และปี 2554 ที่ผ่านมา อาร์ทิสทรีมียอดขายสูงถึง 3,000 ล้านบาทในประเทศไทย ครองแชมป์เป็นเครื่องสำอางพรีเมี่ยม   แบรนด์อันดับ 1 ของเมืองไทยเช่นกัน และเชื่อมั่นว่าในสิ้นปี 2555 นี้ อาร์ทิสทรีจะยังสามารถรักษาตำแหน่งแชมป์นี้ไว้ได้ โดยคาดว่าจะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 5% ตามอัตราการเติบโตของตลาดเครื่องสำอางบำรุงผิวหน้า” นายกิจธวัชกล่าวทิ้งท้าย


 


นางรัตนา ชาญนรา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัดเปิดเผยว่า ‘ยุน อึน เฮ’ เป็นตัวแทนที่ดีมากๆ ของกลุ่มคนเจ็นวาย นอกจากจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง รักษาและดูแลผิวพรรณอย่างดี เธอยังเป็นหนึ่งในคนที่รักและชื่นชอบแบรนด์อาร์ทิสทรีอย่างแท้จริงอีกด้วย เราจึงไม่ลังเลในการเชิญมาร่วมงานในฐานะแบรนด์เอ็นดอสเซอร์ให้กับอาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ในครั้งนี้ โดยแผนการตลาดเน้นที่การใช้ภาพยนตร์โฆษณาซึ่งแสดงโดย‘ยุน อึน เฮ’ เพื่อแนะนำประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ ผนวกกับแคมเปญออนไลน์และจัดกิจกรรมการมาเยือนประเทศไทยภายใต้คอนเซ็ปต์ “ออร่า ปริ๊นเซส” พร้อมกับการแนะนำสินค้าใหม่เสริมทัพอีก 2 รายการ ได้แก่ ครีมกันแดด‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ยูวี โพรเท็คท์ เอสพีเอฟ 50 พีเอ+++’ และมาสค์เจล ‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ เพาเวอร์ เรเดียนซ์ มาสค์’


 


“นอกจากนั้นอาร์ทิสทรีได้จัดกิจกรรมสำหรับสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อคนรุ่นใหม่และคนวัยทำงานปัจจุบัน โดยจัดประกวด “อาร์ทิสทรี ออร่า ปริ๊นเซส”(Artistry Aura Princess) ผ่านแอพพลิเคชั่นเก๋ๆ ทางเฟซบุ๊คอาร์ทิสทรี เพื่อเฟ้นหาสาวผิวสวยกระจ่างใส ชิงรางวัลมูลค่า 150,000 บาท พร้อมลุ้นเข้าร่วมมีทแอนด์กรีทสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับยุน อึน เฮ ในงานวันเปิดตัว 27 เมษายนนี้ ที่สยามพารากอน เพียง 2 สัปดาห์ มีผู้สนใจเยี่ยมชมกิจกรรมออร่า ปริ๊นเซส สูงกว่า 52,500 ครั้ง ทำให้ขณะนี้แฟนเพจของเฟซบุ๊คอาร์ทิสทรีเพิ่มขึ้นเป็น 47,035 ไลค์ หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาถึง 84% นับเป็นสัญญาณการเริ่มต้นแคมเปญที่ดีมากๆทีเดียว” นางรัตนากล่าว


 


นางรัตนากล่าวต่อไปว่า สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มอาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี“เพียว ไวท์ บาลาน-ซิ่ง คอมเพล็กซ์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำ ด้วยแนวทางการดูแลสมดุลผิวแบบองค์รวม ทั้งป้องกัน บำรุง และปกป้องผิว จึงช่วยลดเลือนความหมองคล้ำ ให้ผิวดูมีสุขภาพดี พร้อมกันนี้ อาร์ทิสทรีได้เตรียมแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเพียว ไวท์ ที่จะเริ่มจำหน่ายในปลายเดือนพฤษภาคมนี้อีก 2 รายการ ได้แก่            ‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ยูวี โพรเท็คท์ เอสพีเอฟ 50 พีเอ+++’ (Artistry Pure White UV Protect SPF 50 PA+++) ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากมลภาวะ และ ‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ เพาเวอร์ เรเดียนซ์ มาสค์’ (Artistry Pure White Power Radiance Mask) มาสค์เจลประสิทธิภาพสูงเพื่อการบำรุงผิวให้ดูกระจ่างใส


 

แอมเวย์รุกตลาดความงาม ส่ง ‘ยุน อึน เฮ’ เสริมทัพ อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ดันยอดขายอาร์ทิสทรีโต 5 % ภายในสิ้นปี

แอมเวย์รุกตลาดความงาม ส่ง ‘ยุน อึน เฮ’ เสริมทัพ อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์


ดันยอดขายอาร์ทิสทรีโต 5 % ภายในสิ้นปี


                นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ (ที่ 2 จากขวา) นางรัตนา ชาญนรา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (ซ้าย) และนางชุมพฤนท์ ยุระยง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร (ขวา) บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดตัว ‘ยุน อึน เฮ’ (ที่ 2 จากซ้าย) ซูเปอร์สตาร์ระดับเอเชียในฐานะแบรนด์ เอนดอสเซอร์คนล่าสุดสำหรับผลิตภัณฑ์ “อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์” ใน 3 ประเทศ ได้แก่ ประเทศไทย จีน และไต้หวัน เพื่อรุกตลาดความงาม และต้อนรับเทรนด์ผิวขาวกระจ่างใสของสาวเอเชียและผู้บริโภคในกลุ่มเจ็นวาย มั่นใจสามารถสร้างยอดขายอาร์ทิสทรีสิ้นปีโต 5%


 


[gallery link="file" columns="2"]


 


อาร์ทิสทรีรุกตลาดความงาม ชิงเค้กเครื่องสำอางเพื่อผิวขาวใส


ส่งซูเปอร์สตาร์เกาหลี “ยุน อึน เฮ” เสริมทัพ ครองแชมป์พรีเมี่ยมแบรนด์


 


เครื่องสำอางอาร์ทิสทรีจากแอมเวย์รุกหนักตลาดความงาม ดึงซูเปอร์สตาร์เกาหลี ‘ยุน อึน เฮ’ เสริมทัพ  นำอาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ชิงเค้กกลุ่มเครื่องสำอางเพื่อผิวขาว ตอบรับเทรนด์นิยมผิวกระจ่างใสของสาวเอเชียและผู้บริโภคกลุ่มเจ็นวาย มั่นใจสิ้นปีดันยอดขายอาร์ทิสทรีครองแชมป์เครื่องสำอางพรีเมี่ยมแบรนด์อีกสมัย


 


นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดความงามเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงและมีการแข่งขันกันอย่างหนัก โดยปี 2554 ที่ผ่านมาตลาดเครื่องสำอางบำรุงผิวหน้าของไทยในกลุ่มพรีเมี่ยมแบรนด์มีมูลค่าสูงกว่า 11,000ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากเทรนด์ของสาวเอเชียที่ให้ความสำคัญกับความขาวใสของผิวเป็นอันดับต้นๆ ดังนั้น ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้อาร์ทิสทรีจึงเตรียมบุกตลาดเครื่องสำอางเพื่อผิวขาวหรือไวท์เทนนิ่ง (Whitening Products) เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้ากลุ่ม     อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ที่มีความโดดเด่นในการมอบสมดุลความกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการขาวกระจ่างใสให้กับผู้บริโภคได้อย่างเห็นผลดีเยี่ยม


 


นายกิจธวัชกล่าวเสริมว่า “นอกจากนั้น ยังพบว่า ผู้บริโภคในกลุ่มเจ็นวาย (Generation Y)เป็นกลุ่มที่ใส่ใจปัญหา เรื่องผิวหมองคล้ำ มีการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสสูงกว่าผู้บริโภคกลุ่มอื่นๆ ดังนั้นอาร์ทิสทรีมองเห็นโอกาสการขยายตลาดกับผู้บริโภคกลุ่มนี้ จึงเริ่มแผนการตลาดในปีนี้ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ โดยเชิญ ยุน อึน เฮ (Yoon Eun Hye) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นเจ้าหญิงซีรีส์เกาหลี มาเยือนเมืองไทยในฐานะแบรนด์ เอ็นดอสเซอร์คนล่าสุดของ อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านภาพลักษณ์ในระดับสากล กระตุ้นความสนใจ และสร้างความเชื่อมั่นที่ดีต่อแบรนด์ให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มเจ็นวายอีกด้วย”


 


“เครื่องสำอางอาร์ทิสทรีได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย โดยล่าสุดมียอดขายทั้งในกลุ่มสกินแคร์และสีสันสูงติดอันดับ 1 ใน 5 ของโลกในกลุ่มเครื่องสำอางพรีเมี่ยม สำรวจโดยยูโรมอนิเตอร์ และปี 2554 ที่ผ่านมา อาร์ทิสทรีมียอดขายสูงถึง 3,000 ล้านบาทในประเทศไทย ครองแชมป์เป็นเครื่องสำอางพรีเมี่ยม   แบรนด์อันดับ 1 ของเมืองไทยเช่นกัน และเชื่อมั่นว่าในสิ้นปี 2555 นี้ อาร์ทิสทรีจะยังสามารถรักษาตำแหน่งแชมป์นี้ไว้ได้ โดยคาดว่าจะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 5% ตามอัตราการเติบโตของตลาดเครื่องสำอางบำรุงผิวหน้า” นายกิจธวัชกล่าวทิ้งท้าย


 


นางรัตนา ชาญนรา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัดเปิดเผยว่า ‘ยุน อึน เฮ’ เป็นตัวแทนที่ดีมากๆ ของกลุ่มคนเจ็นวาย นอกจากจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง รักษาและดูแลผิวพรรณอย่างดี เธอยังเป็นหนึ่งในคนที่รักและชื่นชอบแบรนด์อาร์ทิสทรีอย่างแท้จริงอีกด้วย เราจึงไม่ลังเลในการเชิญมาร่วมงานในฐานะแบรนด์เอ็นดอสเซอร์ให้กับอาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ในครั้งนี้ โดยแผนการตลาดเน้นที่การใช้ภาพยนตร์โฆษณาซึ่งแสดงโดย‘ยุน อึน เฮ’ เพื่อแนะนำประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ ผนวกกับแคมเปญออนไลน์และจัดกิจกรรมการมาเยือนประเทศไทยภายใต้คอนเซ็ปต์ “ออร่า ปริ๊นเซส” พร้อมกับการแนะนำสินค้าใหม่เสริมทัพอีก 2 รายการ ได้แก่ ครีมกันแดด‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ยูวี โพรเท็คท์ เอสพีเอฟ 50 พีเอ+++’ และมาสค์เจล ‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ เพาเวอร์ เรเดียนซ์ มาสค์’


 


“นอกจากนั้นอาร์ทิสทรีได้จัดกิจกรรมสำหรับสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อคนรุ่นใหม่และคนวัยทำงานปัจจุบัน โดยจัดประกวด “อาร์ทิสทรี ออร่า ปริ๊นเซส”(Artistry Aura Princess) ผ่านแอพพลิเคชั่นเก๋ๆ ทางเฟซบุ๊คอาร์ทิสทรี เพื่อเฟ้นหาสาวผิวสวยกระจ่างใส ชิงรางวัลมูลค่า 150,000 บาท พร้อมลุ้นเข้าร่วมมีทแอนด์กรีทสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับยุน อึน เฮ ในงานวันเปิดตัว 27 เมษายนนี้ ที่สยามพารากอน เพียง 2 สัปดาห์ มีผู้สนใจเยี่ยมชมกิจกรรมออร่า ปริ๊นเซส สูงกว่า 52,500 ครั้ง ทำให้ขณะนี้แฟนเพจของเฟซบุ๊คอาร์ทิสทรีเพิ่มขึ้นเป็น 47,035 ไลค์ หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาถึง 84% นับเป็นสัญญาณการเริ่มต้นแคมเปญที่ดีมากๆทีเดียว” นางรัตนากล่าว


 


นางรัตนากล่าวต่อไปว่า สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มอาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี“เพียว ไวท์ บาลาน-ซิ่ง คอมเพล็กซ์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำ ด้วยแนวทางการดูแลสมดุลผิวแบบองค์รวม ทั้งป้องกัน บำรุง และปกป้องผิว จึงช่วยลดเลือนความหมองคล้ำ ให้ผิวดูมีสุขภาพดี พร้อมกันนี้ อาร์ทิสทรีได้เตรียมแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเพียว ไวท์ ที่จะเริ่มจำหน่ายในปลายเดือนพฤษภาคมนี้อีก 2 รายการ ได้แก่            ‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ยูวี โพรเท็คท์ เอสพีเอฟ 50 พีเอ+++’ (Artistry Pure White UV Protect SPF 50 PA+++) ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากมลภาวะ และ ‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ เพาเวอร์ เรเดียนซ์ มาสค์’ (Artistry Pure White Power Radiance Mask) มาสค์เจลประสิทธิภาพสูงเพื่อการบำรุงผิวให้ดูกระจ่างใส


 

อาร์ทิสทรีรุกตลาดความงาม ชิงเค้กเครื่องสำอางเพื่อผิวขาวใส ส่งซูเปอร์สตาร์เกาหลี “ยุน อึน เฮ” เสริมทัพ ครองแชมป์พรีเมี่ยมแบรนด์

[gallery link="file" columns="2"]


อาร์ทิสทรีรุกตลาดความงาม ชิงเค้กเครื่องสำอางเพื่อผิวขาวใส


ส่งซูเปอร์สตาร์เกาหลี “ยุน อึน เฮ” เสริมทัพ ครองแชมป์พรีเมี่ยมแบรนด์


 


เครื่องสำอางอาร์ทิสทรีจากแอมเวย์รุกหนักตลาดความงาม ดึงซูเปอร์สตาร์เกาหลี ‘ยุน อึน เฮ’ เสริมทัพ  นำอาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ชิงเค้กกลุ่มเครื่องสำอางเพื่อผิวขาว ตอบรับเทรนด์นิยมผิวกระจ่างใสของสาวเอเชียและผู้บริโภคกลุ่มเจ็นวาย มั่นใจสิ้นปีดันยอดขายอาร์ทิสทรีครองแชมป์เครื่องสำอางพรีเมี่ยมแบรนด์อีกสมัย


 


นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดความงามเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงและมีการแข่งขันกันอย่างหนัก โดยปี 2554 ที่ผ่านมาตลาดเครื่องสำอางบำรุงผิวหน้าของไทยในกลุ่มพรีเมี่ยมแบรนด์มีมูลค่าสูงกว่า 11,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากเทรนด์ของสาวเอเชียที่ให้ความสำคัญกับความขาวใสของผิวเป็นอันดับต้นๆ ดังนั้น ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้อาร์ทิสทรีจึงเตรียมบุกตลาดเครื่องสำอางเพื่อผิวขาวหรือไวท์เทนนิ่ง (Whitening Products) เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้ากลุ่ม     อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ที่มีความโดดเด่นในการมอบสมดุลความกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการขาวกระจ่างใสให้กับผู้บริโภคได้อย่างเห็นผลดีเยี่ยม


 


นายกิจธวัชกล่าวเสริมว่า “นอกจากนั้น ยังพบว่า ผู้บริโภคในกลุ่มเจ็นวาย (Generation Y) เป็นกลุ่มที่ใส่ใจปัญหา เรื่องผิวหมองคล้ำ มีการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสสูงกว่าผู้บริโภคกลุ่มอื่นๆ ดังนั้นอาร์ทิสทรีมองเห็นโอกาสการขยายตลาดกับผู้บริโภคกลุ่มนี้ จึงเริ่มแผนการตลาดในปีนี้ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ โดยเชิญ ยุน อึน เฮ (Yoon Eun Hye) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นเจ้าหญิงซีรีส์เกาหลี มาเยือนเมืองไทยในฐานะแบรนด์ เอ็นดอสเซอร์คนล่าสุดของ อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านภาพลักษณ์ในระดับสากล กระตุ้นความสนใจ และสร้างความเชื่อมั่นที่ดีต่อแบรนด์ให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มเจ็นวายอีกด้วย”


 


“เครื่องสำอางอาร์ทิสทรีได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย โดยล่าสุดมียอดขายทั้งในกลุ่มสกินแคร์และสีสันสูงติดอันดับ1 ใน 5 ของโลกในกลุ่มเครื่องสำอางพรีเมี่ยม สำรวจโดยยูโรมอนิเตอร์ และปี 2554 ที่ผ่านมา อาร์ทิสทรีมียอดขายสูงถึง 3,000 ล้านบาทในประเทศไทย ครองแชมป์เป็นเครื่องสำอางพรีเมี่ยม   แบรนด์อันดับ 1 ของเมืองไทยเช่นกัน และเชื่อมั่นว่าในสิ้นปี 2555 นี้ อาร์ทิสทรีจะยังสามารถรักษาตำแหน่งแชมป์นี้ไว้ได้ โดยคาดว่าจะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 5% ตามอัตราการเติบโตของตลาดเครื่องสำอางบำรุงผิวหน้า” นายกิจธวัชกล่าวทิ้งท้าย


 


นางรัตนา ชาญนรา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ‘ยุน อึน เฮ’ เป็นตัวแทนที่ดีมากๆ ของกลุ่มคนเจ็นวาย นอกจากจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง รักษาและดูแลผิวพรรณอย่างดี เธอยังเป็นหนึ่งในคนที่รักและชื่นชอบแบรนด์อาร์ทิสทรีอย่างแท้จริงอีกด้วย เราจึงไม่ลังเลในการเชิญมาร่วมงานในฐานะแบรนด์เอ็นดอสเซอร์ให้กับอาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ในครั้งนี้ โดยแผนการตลาดเน้นที่การใช้ภาพยนตร์โฆษณาซึ่งแสดงโดย ‘ยุน อึน เฮ’ เพื่อแนะนำประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ ผนวกกับแคมเปญออนไลน์และจัดกิจกรรมการมาเยือนประเทศไทยภายใต้คอนเซ็ปต์ “ออร่า ปริ๊นเซส” พร้อมกับการแนะนำสินค้าใหม่เสริมทัพอีก 2 รายการ ได้แก่ ครีมกันแดด‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ยูวี โพรเท็คท์ เอสพีเอฟ 50 พีเอ+++’ และมาสค์เจล ‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ เพาเวอร์ เรเดียนซ์ มาสค์’


 


“นอกจากนั้นอาร์ทิสทรีได้จัดกิจกรรมสำหรับสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อคนรุ่นใหม่และคนวัยทำงานปัจจุบัน โดยจัดประกวด “อาร์ทิสทรี ออร่า ปริ๊นเซส” (Artistry Aura Princess) ผ่านแอพพลิเคชั่นเก๋ๆ ทางเฟซบุ๊คอาร์ทิสทรี เพื่อเฟ้นหาสาวผิวสวยกระจ่างใส ชิงรางวัลมูลค่า 150,000 บาท พร้อมลุ้นเข้าร่วมมีทแอนด์กรีทสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับยุน อึน เฮ ในงานวันเปิดตัว 27 เมษายนนี้ ที่สยามพารากอน เพียง 2สัปดาห์ มีผู้สนใจเยี่ยมชมกิจกรรมออร่า ปริ๊นเซส สูงกว่า 52,500 ครั้ง ทำให้ขณะนี้แฟนเพจของเฟซบุ๊คอาร์ทิสทรีเพิ่มขึ้นเป็น 47,035 ไลค์ หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาถึง 84% นับเป็นสัญญาณการเริ่มต้นแคมเปญที่ดีมากๆทีเดียว” นางรัตนากล่าว


 


นางรัตนากล่าวต่อไปว่า สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มอาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี “เพียว ไวท์ บาลาน-ซิ่ง คอมเพล็กซ์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำ ด้วยแนวทางการดูแลสมดุลผิวแบบองค์รวม ทั้งป้องกัน บำรุง และปกป้องผิว จึงช่วยลดเลือนความหมองคล้ำ ให้ผิวดูมีสุขภาพดี พร้อมกันนี้ อาร์ทิสทรีได้เตรียมแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเพียว ไวท์ ที่จะเริ่มจำหน่ายในปลายเดือนพฤษภาคมนี้อีก 2รายการ ได้แก่            ‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ยูวี โพรเท็คท์ เอสพีเอฟ 50 พีเอ+++’ (Artistry Pure White UV Protect SPF 50 PA+++) ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากมลภาวะ และ ‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ เพาเวอร์ เรเดียนซ์ มาสค์’ (Artistry Pure White Power Radiance Mask) มาสค์เจลประสิทธิภาพสูงเพื่อการบำรุงผิวให้ดูกระจ่างใส

อาร์ทิสทรีรุกตลาดความงาม ชิงเค้กเครื่องสำอางเพื่อผิวขาวใส ส่งซูเปอร์สตาร์เกาหลี “ยุน อึน เฮ” เสริมทัพ ครองแชมป์พรีเมี่ยมแบรนด์

[gallery link="file" columns="2"]


อาร์ทิสทรีรุกตลาดความงาม ชิงเค้กเครื่องสำอางเพื่อผิวขาวใส


ส่งซูเปอร์สตาร์เกาหลี “ยุน อึน เฮ” เสริมทัพ ครองแชมป์พรีเมี่ยมแบรนด์


 


เครื่องสำอางอาร์ทิสทรีจากแอมเวย์รุกหนักตลาดความงาม ดึงซูเปอร์สตาร์เกาหลี ‘ยุน อึน เฮ’ เสริมทัพ  นำอาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ชิงเค้กกลุ่มเครื่องสำอางเพื่อผิวขาว ตอบรับเทรนด์นิยมผิวกระจ่างใสของสาวเอเชียและผู้บริโภคกลุ่มเจ็นวาย มั่นใจสิ้นปีดันยอดขายอาร์ทิสทรีครองแชมป์เครื่องสำอางพรีเมี่ยมแบรนด์อีกสมัย


 


นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันตลาดความงามเป็นตลาดที่มีมูลค่าสูงและมีการแข่งขันกันอย่างหนัก โดยปี 2554 ที่ผ่านมาตลาดเครื่องสำอางบำรุงผิวหน้าของไทยในกลุ่มพรีเมี่ยมแบรนด์มีมูลค่าสูงกว่า 11,000 ล้านบาท และมีแนวโน้มที่จะเติบโตอย่างต่อเนื่องจากเทรนด์ของสาวเอเชียที่ให้ความสำคัญกับความขาวใสของผิวเป็นอันดับต้นๆ ดังนั้น ไตรมาสที่ 2 ของปีนี้อาร์ทิสทรีจึงเตรียมบุกตลาดเครื่องสำอางเพื่อผิวขาวหรือไวท์เทนนิ่ง (Whitening Products) เพราะเชื่อมั่นในคุณภาพของสินค้ากลุ่ม     อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ที่มีความโดดเด่นในการมอบสมดุลความกระจ่างใสอย่างเป็นธรรมชาติที่สมบูรณ์แบบ ทำให้สามารถตอบสนองความต้องการขาวกระจ่างใสให้กับผู้บริโภคได้อย่างเห็นผลดีเยี่ยม


 


นายกิจธวัชกล่าวเสริมว่า “นอกจากนั้น ยังพบว่า ผู้บริโภคในกลุ่มเจ็นวาย (Generation Y) เป็นกลุ่มที่ใส่ใจปัญหา เรื่องผิวหมองคล้ำ มีการใช้ผลิตภัณฑ์เพื่อช่วยให้ผิวขาวกระจ่างใสสูงกว่าผู้บริโภคกลุ่มอื่นๆ ดังนั้นอาร์ทิสทรีมองเห็นโอกาสการขยายตลาดกับผู้บริโภคกลุ่มนี้ จึงเริ่มแผนการตลาดในปีนี้ด้วยการเสริมความแข็งแกร่งให้กับกลุ่มผลิตภัณฑ์อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ โดยเชิญ ยุน อึน เฮ (Yoon Eun Hye) ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็นเจ้าหญิงซีรีส์เกาหลี มาเยือนเมืองไทยในฐานะแบรนด์ เอ็นดอสเซอร์คนล่าสุดของ อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งด้านภาพลักษณ์ในระดับสากล กระตุ้นความสนใจ และสร้างความเชื่อมั่นที่ดีต่อแบรนด์ให้แก่ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายหรือกลุ่มเจ็นวายอีกด้วย”


 


“เครื่องสำอางอาร์ทิสทรีได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคทั้งในระดับโลกและในประเทศไทย โดยล่าสุดมียอดขายทั้งในกลุ่มสกินแคร์และสีสันสูงติดอันดับ1 ใน 5 ของโลกในกลุ่มเครื่องสำอางพรีเมี่ยม สำรวจโดยยูโรมอนิเตอร์ และปี 2554 ที่ผ่านมา อาร์ทิสทรีมียอดขายสูงถึง 3,000 ล้านบาทในประเทศไทย ครองแชมป์เป็นเครื่องสำอางพรีเมี่ยม   แบรนด์อันดับ 1 ของเมืองไทยเช่นกัน และเชื่อมั่นว่าในสิ้นปี 2555 นี้ อาร์ทิสทรีจะยังสามารถรักษาตำแหน่งแชมป์นี้ไว้ได้ โดยคาดว่าจะเติบโตขึ้นอีกประมาณ 5% ตามอัตราการเติบโตของตลาดเครื่องสำอางบำรุงผิวหน้า” นายกิจธวัชกล่าวทิ้งท้าย


 


นางรัตนา ชาญนรา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ‘ยุน อึน เฮ’ เป็นตัวแทนที่ดีมากๆ ของกลุ่มคนเจ็นวาย นอกจากจะเป็นคนที่มีชื่อเสียง รักษาและดูแลผิวพรรณอย่างดี เธอยังเป็นหนึ่งในคนที่รักและชื่นชอบแบรนด์อาร์ทิสทรีอย่างแท้จริงอีกด้วย เราจึงไม่ลังเลในการเชิญมาร่วมงานในฐานะแบรนด์เอ็นดอสเซอร์ให้กับอาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ในครั้งนี้ โดยแผนการตลาดเน้นที่การใช้ภาพยนตร์โฆษณาซึ่งแสดงโดย ‘ยุน อึน เฮ’ เพื่อแนะนำประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ ผนวกกับแคมเปญออนไลน์และจัดกิจกรรมการมาเยือนประเทศไทยภายใต้คอนเซ็ปต์ “ออร่า ปริ๊นเซส” พร้อมกับการแนะนำสินค้าใหม่เสริมทัพอีก 2 รายการ ได้แก่ ครีมกันแดด‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ยูวี โพรเท็คท์ เอสพีเอฟ 50 พีเอ+++’ และมาสค์เจล ‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ เพาเวอร์ เรเดียนซ์ มาสค์’


 


“นอกจากนั้นอาร์ทิสทรีได้จัดกิจกรรมสำหรับสื่อออนไลน์และโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีอิทธิพลอย่างมากต่อคนรุ่นใหม่และคนวัยทำงานปัจจุบัน โดยจัดประกวด “อาร์ทิสทรี ออร่า ปริ๊นเซส” (Artistry Aura Princess) ผ่านแอพพลิเคชั่นเก๋ๆ ทางเฟซบุ๊คอาร์ทิสทรี เพื่อเฟ้นหาสาวผิวสวยกระจ่างใส ชิงรางวัลมูลค่า 150,000 บาท พร้อมลุ้นเข้าร่วมมีทแอนด์กรีทสุดเอ็กซ์คลูซีฟกับยุน อึน เฮ ในงานวันเปิดตัว 27 เมษายนนี้ ที่สยามพารากอน เพียง 2สัปดาห์ มีผู้สนใจเยี่ยมชมกิจกรรมออร่า ปริ๊นเซส สูงกว่า 52,500 ครั้ง ทำให้ขณะนี้แฟนเพจของเฟซบุ๊คอาร์ทิสทรีเพิ่มขึ้นเป็น 47,035 ไลค์ หรือเพิ่มขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาถึง 84% นับเป็นสัญญาณการเริ่มต้นแคมเปญที่ดีมากๆทีเดียว” นางรัตนากล่าว


 


นางรัตนากล่าวต่อไปว่า สำหรับผลิตภัณฑ์กลุ่มอาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ โดดเด่นด้วยเทคโนโลยี “เพียว ไวท์ บาลาน-ซิ่ง คอมเพล็กซ์ ช่วยลดความเสี่ยงในการเกิดผิวหมองคล้ำและจุดด่างดำ ด้วยแนวทางการดูแลสมดุลผิวแบบองค์รวม ทั้งป้องกัน บำรุง และปกป้องผิว จึงช่วยลดเลือนความหมองคล้ำ ให้ผิวดูมีสุขภาพดี พร้อมกันนี้ อาร์ทิสทรีได้เตรียมแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเพียว ไวท์ ที่จะเริ่มจำหน่ายในปลายเดือนพฤษภาคมนี้อีก 2รายการ ได้แก่            ‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ ยูวี โพรเท็คท์ เอสพีเอฟ 50 พีเอ+++’ (Artistry Pure White UV Protect SPF 50 PA+++) ครีมกันแดดเพื่อปกป้องผิวจากมลภาวะ และ ‘อาร์ทิสทรี เพียว ไวท์ เพาเวอร์ เรเดียนซ์ มาสค์’ (Artistry Pure White Power Radiance Mask) มาสค์เจลประสิทธิภาพสูงเพื่อการบำรุงผิวให้ดูกระจ่างใส

ผู้ประกอบการขายตรงย้ำไม่ขึ้นราคาสินค้าปีนี้ หลังนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ300บาทมีผลบังคับใช้


“เหล่าผู้ประกอบการขายตรง” ประกาศพร้อมใจไม่ปรับราคาสินค้าจนกว่าจะแบกรับไม่ไหว เผยหากจะปรับราคาสินค้าต้องเป็นไปตามกลไกธุรกิจ ชี้!นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา คาดว่าจะส่งผลกระทบในระยะยาวแน่นอน หลังพบมีขายตรงบางค่ายเริ่มมีการเตรียมแผนรองรับบ้างแล้ว

จากนโยบายการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 300 บาท ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2555 ที่ผ่านมานั้น ส่งผลให้ในหลายๆ ธุรกิจ มีการเคลื่อนไหวและเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เช่นเดียวกับทางด้าน “ผู้ประกอบการขายตรง” ก็ได้ออกมาให้ความเห็นในประเด็นดังกล่าวในหลากหลายแง่มุม?... เห็นได้จาก ทางด้าน บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “มิสทิน” เอง ได้ออกมายอมรับว่า นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่มีผลตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ เชื่อว่าจะทำให้มีเม็ดเงินสะพัดในตลาด พร้อมยังจะช่วยให้พฤติกรรมการจับจ่ายดีขึ้นอีกด้วย รวมถึงยังมองอีกว่า ในแง่ของค่าครองชีพ คาดว่าจะมีแนวโน้มที่สูงขึ้นตามไปด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตและสินค้าสำเร็จรูปที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 3-10% เมื่อเทียบค่าแรงที่ปรับขึ้น 40% นั่นเอง

ในขณะเดียวกัน ทาง “มิสทิน” ยังมองอีกว่า สิ่งที่น่ากังวลในขณะนี้ นั่นคือ เรื่องของต้นทุนค่าแรง ที่คาดว่าจะทำให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะที่ส่งออกต้องปรับตัวเปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคนหรือย้ายฐานการผลิต

พร้อมกันนี้ ทาง “มิสทิน” ยังบอกอีกว่า ปัจจุบันนี้ ต้นทุนวัตถุดิบของมิสทินคิดเป็นสัดส่วน 80% ต้นทุนค่าแรง 20% หลักๆ เป็นค่าแรงในกลุ่มสกินแคร์และแป้งมีสัดส่วน 10% และต้นทุนค่าแรงกลุ่มเมคอัพมีสัดส่วนเฉลี่ย 7-9% โดยการขึ้นค่าแรงในครั้งนี้ จะทำให้ต้นทุนค่าแรงในกลุ่มสินค้าเมกอัพเพิ่มขึ้น 4-5% ส่วนต้นทุนค่าแรงในกลุ่มแป้งและสกินแคร์เพิ่มขึ้น 6-7% ทำให้สินค้าใหม่ที่จะออกมาทำตลาดในอีก 1-2 เดือนข้างหน้าอาจมีราคาที่สูงขึ้น แต่ทั้งนี้ มิสทิน ได้ยืนยันว่า จะไม่มีแผนที่จะปรับขึ้นราคาภายในปีนี้อย่างแน่นอน แต่จะทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าเฉลี่ย 2-5% โดยดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปครั้งละ 2% ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ต้นปี 2556 เป็นต้นไป

...เช่นเดียวกับทางด้าน “กิฟฟารีน” ก็ได้ออกมาบอกว่า ไม่มีนโยบายที่จะปรับราคาสินค้าขึ้นแต่อย่างใด โดยจะยังคงตรึงสินค้าเดิมไว้อีก 5 ปี เนื่องจากปัจจุบันนี้พบว่า ซัพพลายเออร์วัตถุดิบยังไม่มีรายใดที่ปรับขึ้นราคา อีกทั้งบริษัทฯ เอง ยังเตรียมวางแผนซื้อวัตถุดิบเป็นวอลุ่มใหญ่ไว้อีกด้วย พร้อมกับกล่าวย้ำอีกว่า หากทิศทางต้นทุนวัตถุดิบขึ้นราคาและบริษัทฯ รับไม่ไหว ตรงนี้จำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้าด้วยเช่นกัน แต่ตอนนี้ยังไม่มี โดยต้องรอดูครึ่งปีหลังก่อน

ด้าน “อาวียองซ์” ก็ออกมายอมรับว่า นโยบายขึ้นค่าแรงถือเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการพิจารณาประเด็นดังกล่าวไว้เหมือนกัน แต่ยังไม่มีแผนปรับขึ้นราคา และเบื้องต้นอาจจะยังตรึงราคาไว้ก่อน

…ส่วนทางด้าน “แอมเวย์” ก็ได้พูดถึงในเรื่องของค่าแรง 300 บาท ที่จะมีผลต่อการปรับราคาสินค้าของบริษัทฯ หรือไม่นั้น ทางด้าน “กิจธวัช ฤทธีราวี” กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศ ไทย) จำกัด ก็ได้เปิดเผยว่า เรื่องของการขึ้นค่าแรง 300 บาท จะมีผลต่อการปรับราคาสินค้าของแอมเวย์หรือไม่นั้น คงต้องบอกว่า ก่อนหน้าที่จะมีนโยบายการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 300 บาทนั้น แอมเวย์เองได้มีการปรับขึ้นสินค้าบางรายการบ้างแล้ว ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ด้าน “ตาฮิเตียน โนนิ” ก็ได้บอกว่า ในการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 300 บาทนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อธุรกิจขายตรงเลย โดยเป็นการส่งผลดีด้วยซ้ำ ในขณะนี้เดียวกัน “ตาฮิเตียน โนนิ” ก็ไม่ได้มีแผนใดๆ มารองรับในจุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปรับราคาสินค้า หรือการปรับเปลี่ยนแผนโปรโมชั่นต่างๆ โดยในส่วนของราคาสินค้านั้น ทาง “ตาฮิเตียน โนนิ” จะมีการปรับตามมาตรฐานของสำนักงานใหญ่อเมริกาเป็นหลัก และในปีนี้ จึงไม่มีแผนที่จะปรับขึ้นราคาสินค้าแต่อย่างใด

...เช่นเดียวกับ “คังเซน เคนโก” ที่ได้พูดถึงการปรับขึ้นค่าแรงว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจขายตรงแต่อย่างใด ซึ่งน่าที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโรงงานเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากต้องมีการปรับขึ้นค่าแรงให้กับพนักงานจำนวนมาก โดยกรณีดังกล่าวนี้ ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตสินค้าสูงขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องมาปรับราคาสินค้ากับผู้บริโภค เหมือนกับเป็นลูกโซ่ สะท้อนมาสู่ผู้บริโภคอีกต่อหนึ่งนั่นเอง แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อมีการปรับราคาสินค้าในท้องตลาด หรืออัตราค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม ก็จะส่งผลให้ประชาชนจำนวนมาก ต้องการมีรายได้เสริมเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าทุกอย่างจะมีการสอดคล้องเกี่ยวเนื่องกันหมด

...จะเห็นได้ว่า การปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท นี้ ค่อนข้างที่จะเกี่ยวเนื่องกับทุกธุรกิจ ทุกอุตสาหกรรม แต่แม้ว่าธุรกิจขายตรงเอง ที่หลายๆ ผู้ประกอบการ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่กระทบ แต่ท้ายสุดแล้วเชื่อว่า ย่อมกระทบหมดทุกอย่างแน่นอนไม่เชื่อค่อยดู!

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1295 ประจำวันที่ 28-4-2012 ถึง 1-5-2012       

ผู้ประกอบการขายตรงย้ำไม่ขึ้นราคาสินค้าปีนี้ หลังนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ300บาทมีผลบังคับใช้


“เหล่าผู้ประกอบการขายตรง” ประกาศพร้อมใจไม่ปรับราคาสินค้าจนกว่าจะแบกรับไม่ไหว เผยหากจะปรับราคาสินค้าต้องเป็นไปตามกลไกธุรกิจ ชี้!นโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่มีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เม.ย.ที่ผ่านมา คาดว่าจะส่งผลกระทบในระยะยาวแน่นอน หลังพบมีขายตรงบางค่ายเริ่มมีการเตรียมแผนรองรับบ้างแล้ว

จากนโยบายการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 300 บาท ที่เริ่มมีผลบังคับใช้ตั้งแต่ 1 เมษายน 2555 ที่ผ่านมานั้น ส่งผลให้ในหลายๆ ธุรกิจ มีการเคลื่อนไหวและเตรียมความพร้อมที่จะรับมือกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้นี้ เช่นเดียวกับทางด้าน “ผู้ประกอบการขายตรง” ก็ได้ออกมาให้ความเห็นในประเด็นดังกล่าวในหลากหลายแง่มุม?... เห็นได้จาก ทางด้าน บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด หรือ “มิสทิน” เอง ได้ออกมายอมรับว่า นโยบายการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำที่มีผลตั้งแต่เดือนเมษายนนี้ เชื่อว่าจะทำให้มีเม็ดเงินสะพัดในตลาด พร้อมยังจะช่วยให้พฤติกรรมการจับจ่ายดีขึ้นอีกด้วย รวมถึงยังมองอีกว่า ในแง่ของค่าครองชีพ คาดว่าจะมีแนวโน้มที่สูงขึ้นตามไปด้วย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้นทุนวัตถุดิบในการผลิตและสินค้าสำเร็จรูปที่มีแนวโน้มปรับตัวสูงขึ้นเฉลี่ย 3-10% เมื่อเทียบค่าแรงที่ปรับขึ้น 40% นั่นเอง

ในขณะเดียวกัน ทาง “มิสทิน” ยังมองอีกว่า สิ่งที่น่ากังวลในขณะนี้ นั่นคือ เรื่องของต้นทุนค่าแรง ที่คาดว่าจะทำให้ผู้ประกอบการโดยเฉพาะที่ส่งออกต้องปรับตัวเปลี่ยนมาใช้เครื่องจักรแทนแรงงานคนหรือย้ายฐานการผลิต

พร้อมกันนี้ ทาง “มิสทิน” ยังบอกอีกว่า ปัจจุบันนี้ ต้นทุนวัตถุดิบของมิสทินคิดเป็นสัดส่วน 80% ต้นทุนค่าแรง 20% หลักๆ เป็นค่าแรงในกลุ่มสกินแคร์และแป้งมีสัดส่วน 10% และต้นทุนค่าแรงกลุ่มเมคอัพมีสัดส่วนเฉลี่ย 7-9% โดยการขึ้นค่าแรงในครั้งนี้ จะทำให้ต้นทุนค่าแรงในกลุ่มสินค้าเมกอัพเพิ่มขึ้น 4-5% ส่วนต้นทุนค่าแรงในกลุ่มแป้งและสกินแคร์เพิ่มขึ้น 6-7% ทำให้สินค้าใหม่ที่จะออกมาทำตลาดในอีก 1-2 เดือนข้างหน้าอาจมีราคาที่สูงขึ้น แต่ทั้งนี้ มิสทิน ได้ยืนยันว่า จะไม่มีแผนที่จะปรับขึ้นราคาภายในปีนี้อย่างแน่นอน แต่จะทยอยปรับขึ้นราคาสินค้าเฉลี่ย 2-5% โดยดำเนินการแบบค่อยเป็นค่อยไปครั้งละ 2% ซึ่งจะเริ่มตั้งแต่ต้นปี 2556 เป็นต้นไป

...เช่นเดียวกับทางด้าน “กิฟฟารีน” ก็ได้ออกมาบอกว่า ไม่มีนโยบายที่จะปรับราคาสินค้าขึ้นแต่อย่างใด โดยจะยังคงตรึงสินค้าเดิมไว้อีก 5 ปี เนื่องจากปัจจุบันนี้พบว่า ซัพพลายเออร์วัตถุดิบยังไม่มีรายใดที่ปรับขึ้นราคา อีกทั้งบริษัทฯ เอง ยังเตรียมวางแผนซื้อวัตถุดิบเป็นวอลุ่มใหญ่ไว้อีกด้วย พร้อมกับกล่าวย้ำอีกว่า หากทิศทางต้นทุนวัตถุดิบขึ้นราคาและบริษัทฯ รับไม่ไหว ตรงนี้จำเป็นต้องขึ้นราคาสินค้าด้วยเช่นกัน แต่ตอนนี้ยังไม่มี โดยต้องรอดูครึ่งปีหลังก่อน

ด้าน “อาวียองซ์” ก็ออกมายอมรับว่า นโยบายขึ้นค่าแรงถือเป็นต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งบริษัทฯ ได้มีการพิจารณาประเด็นดังกล่าวไว้เหมือนกัน แต่ยังไม่มีแผนปรับขึ้นราคา และเบื้องต้นอาจจะยังตรึงราคาไว้ก่อน

…ส่วนทางด้าน “แอมเวย์” ก็ได้พูดถึงในเรื่องของค่าแรง 300 บาท ที่จะมีผลต่อการปรับราคาสินค้าของบริษัทฯ หรือไม่นั้น ทางด้าน “กิจธวัช ฤทธีราวี” กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศ ไทย) จำกัด ก็ได้เปิดเผยว่า เรื่องของการขึ้นค่าแรง 300 บาท จะมีผลต่อการปรับราคาสินค้าของแอมเวย์หรือไม่นั้น คงต้องบอกว่า ก่อนหน้าที่จะมีนโยบายการขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 300 บาทนั้น แอมเวย์เองได้มีการปรับขึ้นสินค้าบางรายการบ้างแล้ว ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

ด้าน “ตาฮิเตียน โนนิ” ก็ได้บอกว่า ในการปรับขึ้นค่าแรงขึ้นต่ำ 300 บาทนั้น ไม่ได้ส่งผลกระทบใดๆ ต่อธุรกิจขายตรงเลย โดยเป็นการส่งผลดีด้วยซ้ำ ในขณะนี้เดียวกัน “ตาฮิเตียน โนนิ” ก็ไม่ได้มีแผนใดๆ มารองรับในจุดนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการปรับราคาสินค้า หรือการปรับเปลี่ยนแผนโปรโมชั่นต่างๆ โดยในส่วนของราคาสินค้านั้น ทาง “ตาฮิเตียน โนนิ” จะมีการปรับตามมาตรฐานของสำนักงานใหญ่อเมริกาเป็นหลัก และในปีนี้ จึงไม่มีแผนที่จะปรับขึ้นราคาสินค้าแต่อย่างใด

...เช่นเดียวกับ “คังเซน เคนโก” ที่ได้พูดถึงการปรับขึ้นค่าแรงว่า ไม่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจขายตรงแต่อย่างใด ซึ่งน่าที่จะส่งผลกระทบต่อผู้ประกอบการโรงงานเป็นส่วนใหญ่ เนื่องจากต้องมีการปรับขึ้นค่าแรงให้กับพนักงานจำนวนมาก โดยกรณีดังกล่าวนี้ ส่งผลให้ต้นทุนในการผลิตสินค้าสูงขึ้น ผู้ประกอบการจึงต้องมาปรับราคาสินค้ากับผู้บริโภค เหมือนกับเป็นลูกโซ่ สะท้อนมาสู่ผู้บริโภคอีกต่อหนึ่งนั่นเอง แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อมีการปรับราคาสินค้าในท้องตลาด หรืออัตราค่าครองชีพที่เพิ่มสูงขึ้นกว่าเดิม ก็จะส่งผลให้ประชาชนจำนวนมาก ต้องการมีรายได้เสริมเพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน เรียกได้ว่าทุกอย่างจะมีการสอดคล้องเกี่ยวเนื่องกันหมด

...จะเห็นได้ว่า การปรับขึ้นค่าแรง 300 บาท นี้ ค่อนข้างที่จะเกี่ยวเนื่องกับทุกธุรกิจ ทุกอุตสาหกรรม แต่แม้ว่าธุรกิจขายตรงเอง ที่หลายๆ ผู้ประกอบการ ต่างบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าไม่กระทบ แต่ท้ายสุดแล้วเชื่อว่า ย่อมกระทบหมดทุกอย่างแน่นอนไม่เชื่อค่อยดู!

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1295 ประจำวันที่ 28-4-2012 ถึง 1-5-2012       

‘คิงส์ เฮลท์ตี้(KINGS HEALTHY)’ ชี้แจงกระแสข่าวฉาว ย้ำ!สินค้าดีพร้อมพิสูจน์ความจริง


คิงส์ เฮลท์ตี้” ออกโรงชี้แจงปัญหาสินค้า ย้ำ!ไม่มีสารปนเปื้อนแน่นอน พร้อมท้าพิสูจน์ส่งสินค้าไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์ เชื่อไม่นานผลออกมาได้รู้แน่ ประกาศความเชื่อมั่นทุ่มงบ 500 ล้าน เนรมิตโรงงานใหม่ แย้มเตรียมขยายไลน์ธุรกิจใหม่เพิ่มอีก 2 ธุรกิจ หวังช่วยต่อยอดธุรกิจให้สมาชิกอีกทางหนึ่ง ล่าสุดปล่อยสินค้าใหม่ ชากุหลาบ Rose Tea เอาใจคนรักสุขภาพ


นับได้ว่าเวลานี้ “ธุรกิจเครือข่าย” ต่างเปิดเกมรบกันอย่างดุเดือด หากใครมีดีตรงไหน ก็ต้องหยิบยกขึ้นมาเพื่อสร้างจุดขายให้กับแบรนด์ของตนเอง...เพราะด้วยจำนวนของบริษัทเครือข่ายขายตรง ที่ทยอยผุดขึ้นมากมายในตอนนี้ ทำให้หลายๆ บริษัททั้งเก่าและใหม่ต้องรักษายอดกันอย่างครึกโครม เพื่อให้บริษัทของตนนั้นได้ไปต่อ และโลดแล่นอยู่ในวงการเครือข่ายได้อย่างภาคภูมิ...


และถ้าหากบริษัทไหน ทำยอดขายได้มาก ก็ต้องมีผู้ไม่หวังดีออกมาโจมตีในทุกรูปแบบ เหมือนดั่งจะเขย่าเก้าอี้ให้พลัดตกลงมาก็ว่าได้...เช่นเดียวกับ “บริษัท คิงส์ เฮลท์ตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” ที่ขณะนี้อาจจะเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงของ “ลูกผี ลูกคน” เลยก็ว่าได้


แต่ถึงกระนั้น เส้นทางในวงการธุรกิจเครือข่ายของ “คิงส์ เฮลท์ตี้” ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะต้องเจอกับข่าวคราวมาก มายที่ถูกโจมตีในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงมีสินค้าปลอมออกมาวางจำหน่ายในท้องตลาดมากมาย ทำให้ภาพลักษณ์ของ “คิงส์ เฮลท์ตี้” ต้องเสียไปในช่วงขณะหนึ่ง...


โดย “กฤษณ์ ศรีวะรมย์” รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท คิงส์ เฮลท์ตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ออกมาชี้แจ้งว่า “ปัจจุบันนี้ในเรื่องของสินค้า ที่มีการตรวจเจอสารปนเปื้อน ในข่าวจะพบว่าล็อตที่ส่งไปตรวจนั้น ถูกส่งไปเมื่อประมาณเดือนมีนาคม สินค้าเป็นสินค้าที่ถูกผลิตเมื่อปี 2554 แต่ทางบริษัทฯ มีสินค้าไม่พอจำหน่ายมาตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว ดังนั้นสินค้าที่เป็นล็อตเก่าจึงแทบจะไม่มีอยู่ในตลาด แต่เนื่องจากวันนี้สินค้าของบริษัทฯ ขาดตลาด จึงมองว่าสินค้าที่มีอยู่ในท้องตลาดน่าที่จะเป็นสินค้าปลอม ซึ่งมีการขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเพื่อเป็นการพิสูจน์ ทาง “คิงส์ เฮลท์ตี้” จึงส่งสินค้าไปตรวจที่กรมวิทยา ศาสตร์ เชื่อว่าไม่นานน่าจะมีผลออกมายืนยันตรงนี้แน่นอน”…


...ปัจจุบันนี้ “คิงส์ เฮลท์ตี้” มีโรงงานผลิตสินค้าเอง และบริษัทฯ ก็ไม่ได้เพิ่งก่อตั้ง ไม่ได้ผลิตเพื่อป้อนให้กับบริษัทของเราเองเพียงอย่างเดียว แต่มีการผลิตเพื่อป้อนให้กับบริษัทขายตรงอื่นๆ ด้วยกว่า 200 บริษัท และสินค้าเหล่านั้นก็มีการขายอยู่ในท้องตลาด...การมีสินค้าปลอมออกมาเราไม่กลัว เพราะทุกอย่างพิสูจน์กันด้วยเรื่องจริง และข่าวที่เกิดขึ้น ทางสมาชิกยังเชื่อมั่นกับบริษัทอยู่...


ทั้งนี้ด้าน “นพธีรา ประสพ” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คิงส์ เฮลท์ตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวเสริมว่า “ปัจจุบันนี้สินค้าของบริษัทฯ ผลิตวันต่อวัน เมื่อผลิตเสร็จก็จะถูกส่งออกไปทันที ฉะนั้นล็อตสินค้าจะเป็นวันต่อวัน บริษัทจึงตรวจสอบได้ว่าสินค้าล็อตไหนถูกส่งไปที่ใด...พร้อมทั้งยืนยันว่าสินค้าของบริษัทฯไม่มีสารปนเปื้อนแน่นอน...”


อย่างไรก็ตาม เมื่อสินค้าปลอมยังมีอยู่ในท้องตลาด ซึ่งสินค้าปลอมกับสินค้าของแท้ราคาก็ไม่แตกต่างกันมาก แต่ในเรื่องความปลอดภัย ต้องบอกว่า “คิงส์ เฮลท์ตี้” มีให้มากกว่า...ในขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็ได้มุ่งเน้นที่สมาชิก รวมถึงกลุ่มผู้บริโภค ในช่วงที่สินค้าของบริษัทฯ ขาดตลาด โดยบริษัทฯ เอง ก็ได้บอกให้สมาชิกและผู้บริโภค หันไปบริโภคกาแฟอื่นๆ ในท้องตลาดทานก่อน โดยอย่าไปหาซื้อของปลอมมาทาน...และให้ซื้อสินค้ากับสมาชิกเท่านั้น เพื่อความมั่นใจว่าจะได้รับสินค้าของแท้แน่นอน...
...และถึงแม้ “คิงส์ เฮลท์ตี้” จะต้องเจอกับปัญหาต่างๆ แต่ทางบริษัทฯ ก็ได้ตอกย้ำถึงความเป็นมืออาชีพในเรื่องของการผลิตสินค้า ด้วยการจัดงานฉลองครบรอบ 1 ปี โรงงานคิงส์ เฮลท์ตี้ เนเจอร์ โปรดักส์ ณ จ.สุพรรณบุรี ในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2555 นี้ ...


ซึ่งทางด้าน “นพธีรา” ได้เปิดเผยว่า “ขณะนี้โรงงานของ “คิงส์ เฮลท์ตี้” มีการลงเครื่องจักรใหม่ และทุ่มงบไปกว่า 20 ล้านบาท พร้อมทั้งมีการสร้างห้องประชุม และอาคารใหม่เพิ่มเติม รวมการลงทุนทั้งสิ้น 500 ล้านบาท เรียกได้ว่าค่อนข้างครบวงจรทีเดียว”


...สำหรับแผนรองรับกับจำนวนยอดขายและตัวเลขของสมาชิกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นภายในสิ้นปีนี้นั้น ทางบริษัทฯ ได้วางระบบการทำงานให้กับสมาชิกไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เพื่อช่วยให้สมาชิกทำงานได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ทุกคนที่เข้ามาในช่วงนี้จะประสบความสำเร็จเร็วขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขยายไลน์ธุรกิจใหม่เข้ามาเพิ่มอีก 2 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจทัวร์ และธุรกิจรีสอร์ท ซึ่งสามารถต่อยอดธุรกิจให้สมาชิกได้อีกทางหนึ่งด้วย...


“นพธีรา” ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “เหตุที่บริษัทฯ เติบโตได้มาก ส่วนหนึ่งมาจากการผลิตที่เราได้เปรียบในเรื่องต้นทุน ที่เราสามารถผลิตสินค้าและควบคุมเองได้...ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้มีเงินมหาศาล ไม่ได้มีในเรื่องต้นทุนที่ดี แต่เรามีโรงงาน มีสินค้า และบริษัทฯ จะบอกกับสมาชิกเสมอว่า แม้บริษัทฯ ไม่มีทุนแต่มีสินค้าให้ขาย แล้วทุกอย่างก็จะเข้าสู่ระบบ...


ขณะเดียวกัน “กฤษณ์” ยังได้กล่าวถึงนโยบายการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ต่อไปว่า วันนี้ต้องบอกว่า “คิงส์ เฮลท์ตี้” เติบโตมาได้จากสินค้า แผนการตลาด และโครงสร้างทางธุรกิจ ซึ่งสิ่งที่บริษัทฯ จะทำต่อจากนี้ คือ การประชา สัมพันธ์บริษัทและสินค้าผ่านสื่อต่างๆ ให้เป็นที่รู้จัก และชัดเจนมากขึ้น เพื่อสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นแก่บริษัทให้มากยิ่งขึ้น...


นอกจากนี้ “คิงส์ เฮลท์ตี้” ยังได้มีการเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มสุขภาพอีกด้วย นั่นก็คือ ชากุหลาบ Rose Tea ที่มีการผสมสารสกัดจากธรรมชาติมากมาย ช่วยในการล้างพิษ และต่อต้านอนุมูลอิสระ...ซึ่งคาดว่าสินค้าใหม่นี้ จะเป็นที่ตอบรับในตลาดคนรักสุขภาพ และสามารถทำยอดขายให้กับ “คิงส์ เฮล์ท์ตี้” ได้อย่างไม่น้อยหน้าสินค้ากลุ่มอื่นด้วยเช่นกัน...


...เรียกได้ว่าสินค้าปลอมไม่ใช่อุปสรรคต่อการขยายธุรกิจของ “คิงส์ เฮลท์ตี้” แม้แต่น้อย เพราะบริษัทเชื่อว่าการมีสินค้าดี โรงงานดี และบริษัทดี จะเป็นตัวพิสูจน์ให้ผู้บริโภคได้เห็นเอง...งานนี้ถือเป็นบททดสอบบทใหญ่ของ “คิงส์ เฮลท์ตี้” เลยก็ว่าได้ ว่าจะสามารถต่อสู้และฝ่าฟันอุปสรรคนี้ไปอย่างไร เพื่อให้ตัวเลขของยอดขายและสมาชิกเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ต่อไป...!!!


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1295 ประจำวันที่ 28-4-2012 ถึง 1-5-2012       

‘คิงส์ เฮลท์ตี้(KINGS HEALTHY)’ ชี้แจงกระแสข่าวฉาว ย้ำ!สินค้าดีพร้อมพิสูจน์ความจริง


คิงส์ เฮลท์ตี้” ออกโรงชี้แจงปัญหาสินค้า ย้ำ!ไม่มีสารปนเปื้อนแน่นอน พร้อมท้าพิสูจน์ส่งสินค้าไปตรวจที่กรมวิทยาศาสตร์ เชื่อไม่นานผลออกมาได้รู้แน่ ประกาศความเชื่อมั่นทุ่มงบ 500 ล้าน เนรมิตโรงงานใหม่ แย้มเตรียมขยายไลน์ธุรกิจใหม่เพิ่มอีก 2 ธุรกิจ หวังช่วยต่อยอดธุรกิจให้สมาชิกอีกทางหนึ่ง ล่าสุดปล่อยสินค้าใหม่ ชากุหลาบ Rose Tea เอาใจคนรักสุขภาพ


นับได้ว่าเวลานี้ “ธุรกิจเครือข่าย” ต่างเปิดเกมรบกันอย่างดุเดือด หากใครมีดีตรงไหน ก็ต้องหยิบยกขึ้นมาเพื่อสร้างจุดขายให้กับแบรนด์ของตนเอง...เพราะด้วยจำนวนของบริษัทเครือข่ายขายตรง ที่ทยอยผุดขึ้นมากมายในตอนนี้ ทำให้หลายๆ บริษัททั้งเก่าและใหม่ต้องรักษายอดกันอย่างครึกโครม เพื่อให้บริษัทของตนนั้นได้ไปต่อ และโลดแล่นอยู่ในวงการเครือข่ายได้อย่างภาคภูมิ...


และถ้าหากบริษัทไหน ทำยอดขายได้มาก ก็ต้องมีผู้ไม่หวังดีออกมาโจมตีในทุกรูปแบบ เหมือนดั่งจะเขย่าเก้าอี้ให้พลัดตกลงมาก็ว่าได้...เช่นเดียวกับ “บริษัท คิงส์ เฮลท์ตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” ที่ขณะนี้อาจจะเรียกได้ว่าอยู่ในช่วงของ “ลูกผี ลูกคน” เลยก็ว่าได้


แต่ถึงกระนั้น เส้นทางในวงการธุรกิจเครือข่ายของ “คิงส์ เฮลท์ตี้” ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะต้องเจอกับข่าวคราวมาก มายที่ถูกโจมตีในหลากหลายรูปแบบ รวมถึงมีสินค้าปลอมออกมาวางจำหน่ายในท้องตลาดมากมาย ทำให้ภาพลักษณ์ของ “คิงส์ เฮลท์ตี้” ต้องเสียไปในช่วงขณะหนึ่ง...


โดย “กฤษณ์ ศรีวะรมย์” รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท คิงส์ เฮลท์ตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ออกมาชี้แจ้งว่า “ปัจจุบันนี้ในเรื่องของสินค้า ที่มีการตรวจเจอสารปนเปื้อน ในข่าวจะพบว่าล็อตที่ส่งไปตรวจนั้น ถูกส่งไปเมื่อประมาณเดือนมีนาคม สินค้าเป็นสินค้าที่ถูกผลิตเมื่อปี 2554 แต่ทางบริษัทฯ มีสินค้าไม่พอจำหน่ายมาตั้งแต่เดือนมกราคมแล้ว ดังนั้นสินค้าที่เป็นล็อตเก่าจึงแทบจะไม่มีอยู่ในตลาด แต่เนื่องจากวันนี้สินค้าของบริษัทฯ ขาดตลาด จึงมองว่าสินค้าที่มีอยู่ในท้องตลาดน่าที่จะเป็นสินค้าปลอม ซึ่งมีการขายทั้งในประเทศและต่างประเทศ และเพื่อเป็นการพิสูจน์ ทาง “คิงส์ เฮลท์ตี้” จึงส่งสินค้าไปตรวจที่กรมวิทยา ศาสตร์ เชื่อว่าไม่นานน่าจะมีผลออกมายืนยันตรงนี้แน่นอน”…


...ปัจจุบันนี้ “คิงส์ เฮลท์ตี้” มีโรงงานผลิตสินค้าเอง และบริษัทฯ ก็ไม่ได้เพิ่งก่อตั้ง ไม่ได้ผลิตเพื่อป้อนให้กับบริษัทของเราเองเพียงอย่างเดียว แต่มีการผลิตเพื่อป้อนให้กับบริษัทขายตรงอื่นๆ ด้วยกว่า 200 บริษัท และสินค้าเหล่านั้นก็มีการขายอยู่ในท้องตลาด...การมีสินค้าปลอมออกมาเราไม่กลัว เพราะทุกอย่างพิสูจน์กันด้วยเรื่องจริง และข่าวที่เกิดขึ้น ทางสมาชิกยังเชื่อมั่นกับบริษัทอยู่...


ทั้งนี้ด้าน “นพธีรา ประสพ” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คิงส์ เฮลท์ตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวเสริมว่า “ปัจจุบันนี้สินค้าของบริษัทฯ ผลิตวันต่อวัน เมื่อผลิตเสร็จก็จะถูกส่งออกไปทันที ฉะนั้นล็อตสินค้าจะเป็นวันต่อวัน บริษัทจึงตรวจสอบได้ว่าสินค้าล็อตไหนถูกส่งไปที่ใด...พร้อมทั้งยืนยันว่าสินค้าของบริษัทฯไม่มีสารปนเปื้อนแน่นอน...”


อย่างไรก็ตาม เมื่อสินค้าปลอมยังมีอยู่ในท้องตลาด ซึ่งสินค้าปลอมกับสินค้าของแท้ราคาก็ไม่แตกต่างกันมาก แต่ในเรื่องความปลอดภัย ต้องบอกว่า “คิงส์ เฮลท์ตี้” มีให้มากกว่า...ในขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็ได้มุ่งเน้นที่สมาชิก รวมถึงกลุ่มผู้บริโภค ในช่วงที่สินค้าของบริษัทฯ ขาดตลาด โดยบริษัทฯ เอง ก็ได้บอกให้สมาชิกและผู้บริโภค หันไปบริโภคกาแฟอื่นๆ ในท้องตลาดทานก่อน โดยอย่าไปหาซื้อของปลอมมาทาน...และให้ซื้อสินค้ากับสมาชิกเท่านั้น เพื่อความมั่นใจว่าจะได้รับสินค้าของแท้แน่นอน...
...และถึงแม้ “คิงส์ เฮลท์ตี้” จะต้องเจอกับปัญหาต่างๆ แต่ทางบริษัทฯ ก็ได้ตอกย้ำถึงความเป็นมืออาชีพในเรื่องของการผลิตสินค้า ด้วยการจัดงานฉลองครบรอบ 1 ปี โรงงานคิงส์ เฮลท์ตี้ เนเจอร์ โปรดักส์ ณ จ.สุพรรณบุรี ในวันที่ 2 พฤษภาคม พ.ศ.2555 นี้ ...


ซึ่งทางด้าน “นพธีรา” ได้เปิดเผยว่า “ขณะนี้โรงงานของ “คิงส์ เฮลท์ตี้” มีการลงเครื่องจักรใหม่ และทุ่มงบไปกว่า 20 ล้านบาท พร้อมทั้งมีการสร้างห้องประชุม และอาคารใหม่เพิ่มเติม รวมการลงทุนทั้งสิ้น 500 ล้านบาท เรียกได้ว่าค่อนข้างครบวงจรทีเดียว”


...สำหรับแผนรองรับกับจำนวนยอดขายและตัวเลขของสมาชิกที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นภายในสิ้นปีนี้นั้น ทางบริษัทฯ ได้วางระบบการทำงานให้กับสมาชิกไว้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็นเครื่องไม้เครื่องมือต่างๆ เพื่อช่วยให้สมาชิกทำงานได้ง่ายขึ้น ดังนั้น ทุกคนที่เข้ามาในช่วงนี้จะประสบความสำเร็จเร็วขึ้น นอกจากนี้ บริษัทฯ ได้ขยายไลน์ธุรกิจใหม่เข้ามาเพิ่มอีก 2 ธุรกิจ ได้แก่ ธุรกิจทัวร์ และธุรกิจรีสอร์ท ซึ่งสามารถต่อยอดธุรกิจให้สมาชิกได้อีกทางหนึ่งด้วย...


“นพธีรา” ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า “เหตุที่บริษัทฯ เติบโตได้มาก ส่วนหนึ่งมาจากการผลิตที่เราได้เปรียบในเรื่องต้นทุน ที่เราสามารถผลิตสินค้าและควบคุมเองได้...ต้องยอมรับว่าเราไม่ได้มีเงินมหาศาล ไม่ได้มีในเรื่องต้นทุนที่ดี แต่เรามีโรงงาน มีสินค้า และบริษัทฯ จะบอกกับสมาชิกเสมอว่า แม้บริษัทฯ ไม่มีทุนแต่มีสินค้าให้ขาย แล้วทุกอย่างก็จะเข้าสู่ระบบ...


ขณะเดียวกัน “กฤษณ์” ยังได้กล่าวถึงนโยบายการดำเนินธุรกิจนับจากนี้ต่อไปว่า วันนี้ต้องบอกว่า “คิงส์ เฮลท์ตี้” เติบโตมาได้จากสินค้า แผนการตลาด และโครงสร้างทางธุรกิจ ซึ่งสิ่งที่บริษัทฯ จะทำต่อจากนี้ คือ การประชา สัมพันธ์บริษัทและสินค้าผ่านสื่อต่างๆ ให้เป็นที่รู้จัก และชัดเจนมากขึ้น เพื่อสร้างภาพลักษณ์และความเชื่อมั่นแก่บริษัทให้มากยิ่งขึ้น...


นอกจากนี้ “คิงส์ เฮลท์ตี้” ยังได้มีการเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มสุขภาพอีกด้วย นั่นก็คือ ชากุหลาบ Rose Tea ที่มีการผสมสารสกัดจากธรรมชาติมากมาย ช่วยในการล้างพิษ และต่อต้านอนุมูลอิสระ...ซึ่งคาดว่าสินค้าใหม่นี้ จะเป็นที่ตอบรับในตลาดคนรักสุขภาพ และสามารถทำยอดขายให้กับ “คิงส์ เฮล์ท์ตี้” ได้อย่างไม่น้อยหน้าสินค้ากลุ่มอื่นด้วยเช่นกัน...


...เรียกได้ว่าสินค้าปลอมไม่ใช่อุปสรรคต่อการขยายธุรกิจของ “คิงส์ เฮลท์ตี้” แม้แต่น้อย เพราะบริษัทเชื่อว่าการมีสินค้าดี โรงงานดี และบริษัทดี จะเป็นตัวพิสูจน์ให้ผู้บริโภคได้เห็นเอง...งานนี้ถือเป็นบททดสอบบทใหญ่ของ “คิงส์ เฮลท์ตี้” เลยก็ว่าได้ ว่าจะสามารถต่อสู้และฝ่าฟันอุปสรรคนี้ไปอย่างไร เพื่อให้ตัวเลขของยอดขายและสมาชิกเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ต่อไป...!!!


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1295 ประจำวันที่ 28-4-2012 ถึง 1-5-2012       

แกะรอยสองนักธุรกิจอิสระมือฉมัง แบกหัวใจมาล่าฝัน...! ลุยสร้างตำนานบทใหม่ที่‘มิลค์กี้ เวย์’


...การเลือกสังกัดบริษัทขายตรงสักแห่ง สิ่งที่ขาดไม่ได้ของนักขาย หรือนักธุรกิจอิสระในปัจจุบันคือ “สายตาที่แหลมคม” มององค์ประกอบโดยรวมรอบด้าน ประเมินสถานการณ์ความพร้อมของบริษัท จับจ้องอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะช่วย “เสริมเขี้ยวเล็บ” ให้ทำงานง่ายมากขึ้น เพื่อความสำเร็จที่จะตามมาในเร็ววัน...

ตามตำราพิชัยสงครามของจีนบทหนึ่ง เขียนบันทึกเอาไว้ว่า “หากใครต้องการมีชื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ต้องเลือกยืนให้ถูกข้าง เพราะชื่อเสียงเรียงนามของคุณจะถูกกล่าวขานถึงตำนานความยิ่งใหญ่ไปจนชั่วลูกชั่วหลาน เพราะถือเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อสร้างตำนานใหม่ให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน”

ระยะเวลาผ่านพ้นไปหลายพันปีตำราบทนี้ ยังใช้ได้ผลเสมอ โดยเฉพาะปัจจุบันกับการทำธุรกิจ หากใครต้องการสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จัก ต้องจับจังหวะเลือกยืนให้ถูกข้าง ถูกที่ ถูกเวลา ถูกธุรกิจหรือบริษัท ถึงจะสามารถสร้างตำนานของตัวเองขึ้นมาได้...!!!

ยิ่งธุรกิจเครือข่ายขายตรง โดยเฉพาะ “แม่ทัพนักขาย-นักธุรกิจอิสระ” ที่กำลังเล็งปักธง “ล่าความฝัน” ที่มีจุดหมายปลายทางที่ยิ่งใหญ่ มีรายได้ที่มั่นคง “สลัดคราบความจน” ออกให้หมดสิ้น...สิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวผลักดันให้ “ฝันเป็นจริง” ขึ้นมาได้ คงไม่พ้น การตัดสินใจเลือกยืนอยู่ข้างบริษัทที่มีความพร้อมทุกด้าน เพราะอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่เพียบพร้อมจะเป็นแรงส่งสำคัญ ที่จะทำให้ถึงฝั่งฝันได้เร็วมากขึ้น

ในทางกลับกัน หากยืนผิดที่ ผิดโอกาส อาจเสียเวลา เสียจังหวะ พลาดสิ่งดีๆ ที่จะเข้ามาก็เป็นได้...!!! ฉะนั้น การเลือกสังกัดบริษัทขายตรงสักแห่ง สิ่งที่ขาดไม่ได้ของนักขาย หรือนักธุรกิจอิสระในปัจจุบันคือ “สายตาที่แหลมคม” มององค์ประกอบโดยรวมรอบด้าน ประเมินสถานการณ์ความพร้อมของบริษัท จับจ้องอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะช่วย “เสริมเขี้ยวเล็บ” ให้ทำงานง่ายมากขึ้น เพื่อความสำเร็จที่จะตามมาในเร็ววัน...ซึ่งปัจจุบัน มีหลายบริษัทที่มีความพร้อมเช่นนี้ ให้เลือกสรรกันอย่างมากมาย ขึ้นอยู่กับ “นักขาย” หรือ “นักธุรกิจอิสระ” แล้วว่า จะชื่นชอบใน “ตัวแม่ทัพใหญ่” หรือ “ระบบการทำงาน” ของบริษัทสไตล์ไหน...?

ซึ่ง “ตลาดวิเคราะห์” คอลัมน์เฉพาะกิจ เกาะติดความเคลื่อนไหว ตีแผ่ตำรายุทธศาสตร์กำลังภายในธุรกิจเครือข่ายขายตรงฉบับนี้...ขอนำเสนอเรื่องราวของ “ธนนท์ ยิ้มนุช” บุรุษมาดนิ่ง ที่มีรอยยิ้มน่าค้นหา แฝงด้วยตำราวิชาความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายที่ล้ำลึก กลั่นออกมาจากประสบการณ์จริงล้วนๆ และ “ณฐกร คงอัครฐากูร” หรือคนในวงการเรียกขานกันในนาม “บิ๊กแจ๊ก” นักบริหารการเงินมือฉมัง ที่หลงมนต์เสน่ห์ธุรกิจเครือข่ายเข้าอย่างจัง หลังค้นพบ “ความมหัศจรรย์” ที่ไม่มีวันสิ้นสุด...!!! สองหนุ่ม สองมุม สองบุคลิก สองขั้วแนวความคิด ที่มีเป้าหมายปลายทางเดียวกันคือ ความสำเร็จที่มั่นคงและยั่งยืนในชีวิต...มาติดอกติดใจ ร่วมงานกันใน “บริษัท มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค จำกัด” ได้อย่างไร? ทั้งที่บริษัทแห่งนี้ เพิ่งตั้งไข่ ได้ไม่นาน ชื่อเสียงเรียงนามแทบจะไม่ต้องเอ่ยถึง เพราะแทบจะไม่มีใครรู้จักอยู่แล้ว

แต่เหตุใด? สองนักธุรกิจอิสระมือฉมัง ที่มีชื่อเสียงเรียงนามไม่ธรรมดา แถมยังเป็นที่ต้องการของบริษัทเครือข่ายขายตรงหลายแห่ง ถึงกล้ามาปรากฏตัวที่นี่ และตัดสินใจเลือกยืนอยู่ข้างบริษัทแห่งนี้ พร้อมประกาศลั่นที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ “จารึกตำนานบทใหม่” ให้กำเนิดในวงการขายตรง...!!!

ความฝันของทั้งคู่ “เป็นจริงได้?” หรือ “แค่ละเมอ?”...น้องใหม่ที่ไม่เคยลงสนามสัมผัสความโหดร้ายในเกมการแข่งขัน ที่ต้องวัดกันด้วยกึ๋นแบบช็อตต่อช็อต บางครั้งต้องวาง “เดิมพันกันด้วยใจ” มีดีอะไร? ถึงดึงดูดให้ “สองนักธุรกิจอิสระมือฉมัง” ที่ละเอียดในการหาบริษัทร่วมรบ โดดเข้าร่วมงานอย่างฉับไว “ไม่แยแส” ถึงเรื่อง คำว่าใหม่เอี่ยมอ่องในสนาม แถมกล้าเอาตัวเองการันตีความยิ่งใหญ่...!!!

เวทมนต์อะไร? ที่ “มิลค์กี้ เวย์ฯ” ใช้สะกด “สองนักธุรกิจอิสระมือฉมัง” ให้แบกหัวใจมาล่าฝัน ตั้งมั่นที่จะสร้างตำนานบทใหม่ให้เกิดขึ้นในวงการขายตรง...เรื่องราวทั้งหมด กำลังจะถูกแกะรอย เพื่อจารึกไว้ในทุ่งกระดาษผืนนี้...!!!

…เริ่มเรื่องราวที่ “ธนนท์ ยิ้มนุช” บุรุษมาดนิ่ง ที่วิ่งตามความฝันบนน่านน้ำขายตรงมานานกว่า 10 ปี ผ่านเรื่องราวประสบการณ์ความยิ่งใหญ่มานับไม่ถ้วน ซึ่งแต่ละก้าวย่างแห่งความสำเร็จ ล้วนแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายที่ทุ่มเทลงไป เพื่อความฝันอันแสนไกล ตามเป้าหมายที่เขาบัญญัติเอาไว้นั่นคือ “ความสำเร็จที่มั่นคงและยั่งยืน” ด้วยความทุ่มเทผนวกกับความมุ่งมั่นที่จะไล่ตามความฝันบนเส้นทางแห่งนี้ หนุ่มใหญ่หัวใจแกร่งรายนี้ เฟ้นหาทุกยุทธวิธี เพื่อตีปีกบินไปสู่ความสำเร็จให้ได้ในเร็ววัน...!!! ตำราทุกหน้า เคล็ดวิชาทุกเล่มที่เกี่ยวข้องกับการไล่ล่าความสำเร็จ “ธนนท์” ศึกษาอย่างละเอียด ไปพร้อมกับการลงพื้นที่คลุกสนามอย่างจริงจัง ทำให้ระยะเวลาเพียงไม่นาน ชื่อเสียงเรียงนามของ “บุรุษมาดนิ่ง ที่มีรอยยิ้มน่าค้นหา” รายนี้ โด่งดังขึ้นมาในทุ่งหญ้าขายตรง จนทำให้หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่เมื่อชะตาชีวิต ขีดให้ “ธนนท์” ต้องเปลี่ยนบริษัทที่เคยสร้างชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ “นักสู้ที่มีหัวใจเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม” รายนี้ จึงล่องเรือออกทะเลหาฝั่งที่เป็นผืนแผ่นดินใหม่ ที่เขาจะลงหลักปักฐาน สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตัวเองอีกครั้ง...!!!

“ผมเป็นคนที่คิดเร็ว ทำเร็ว ไม่เว้นแม้แต่การตัดสินใจ เลือกเข้าสังกัดไหน จะใช้เวลาเพียง 2-3 วัน เพราะประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการ ทำให้เราเห็นภาพ และประเมินได้ว่า บริษัทนี้ใช่ หรือไม่ใช่ ส่วนหลักเกณฑ์ที่นำมาใช้ สิ่งแรกคือ ต้องเลือกบริษัทที่มีความพร้อม ซึ่งความพร้อมที่ว่า ต้องเป็นรูปธรรม มีความมั่นคงที่ชัดเจน ขณะเดียวกัน ต้องเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีตัวอย่างให้เห็น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของผลิตภัณฑ์สินค้า ที่ต้องเป็นที่ต้องการของตลาด และสามารถเข้าถึงได้ทุกกลุ่ม ส่วนเรื่องของแผนการตลาดต้องไม่ยากเกินไป ต้องง่ายและเร็ว โดยเฉพาะในยุคนี้”

แม้จะมีหลักเกณฑ์วางตั้งเอาไว้ บวกกับสไตล์ที่เป็นคนคิดเร็ว ทำเร็ว แต่ “ธนนท์” ก็ยังล่องเรือออกทะเลไปเรื่อยๆ แม้ที่ผ่านมาเขาจะจอดเรือขึ้นฝั่งในบางแผ่นดิน แต่ก็ยังไม่คิดที่จะลงหลักปักฐาน สร้างรากฐานที่มั่นคงสักแห่ง

กระทั่ง โชคชะตานำพาให้ “ธนนท์” มาค้นพบผืนแผ่นดินใหม่ ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสรรพสิ่งต่างๆ ที่เขาสามารถ “ก่อร่างสร้างตัว” ได้ไม่ยาก และที่สำคัญ เป็นแผ่นดินที่เขาค้นหามานาน เพื่อที่จะทำตามความฝัน คือ การสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับชีวิต...!!!

“สิ่งแรกที่สัมผัสบริษัทแห่งนี้คือ การพบปะพูดคุยกับประธาน คุณสุมิตร วชโรดมทรัพย์ ก็ประทับใจในหลายสิ่ง ทั้งภาพลักษณ์ความสำเร็จในชีวิตที่มีรูปธรรม มีความเป็นนักธุรกิจอยู่เต็มตัว ใจกว้าง มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล แม้บริษัทเพิ่งจะก่อตัวขึ้นไม่นาน แต่ด้วยความมั่นอกมั่นใจในตัวประธาน ผมจึงกล้าตัดสินใจก้าวเข้ามาร่วมธุรกิจโดยไม่ลังเล และกล้าที่จะทุ่มเทหัวใจก้าวไปข้างหน้าเคียงข้างท่านประธาน และร่วมสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับบริษัทแห่งนี้”

แวบแรกที่ “ธนนท์” สัมผัสกับประธานบริษัทฯ แห่งนี้ ก็รับรู้ได้ถึง ความยิ่งใหญ่ในเวทีธุรกิจที่ไม่ธรรมดา แถมถ้อยคำพูดจา ล้วนแฝงไปด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มองภาพธุรกิจได้แตกฉาน กล้าคิด กล้าทำในสิ่งใหม่ๆ และความตั้งใจแน่วแน่ที่แฝงด้วยความมุ่งมั่น ก่อเกิดพลังทำให้เห็นภาพความยิ่งใหญ่ของ “มิลค์กี้ เวย์” ในอนาคตได้ชัดเจน...เสียง “เพลงศรัทธา” ของ วงหิน เหล็ก ไฟ ก็ดังขึ้นในใจ “ธนนท์” ทันที และมั่นใจว่า “ธุรกิจมิลค์กี้” สามารถตอบโจทย์เข้าได้ทั้งหมด...!!!

...จากเส้นทางนักธุรกิจอิสระมาดนิ่งที่ชีวิตพลิกผัน ทำให้ต้องวิ่งตามความฝันครั้งใหม่ จนมาเจอสิ่งที่ใช่! กับใจที่ชอบ ถึงขั้น “ถอดหัวใจ” มอบให้ “มิลค์กี้ เวย์” ในวันนี้ หันมาที่ “ณฐกร คงอัครฐากูร” หรือคนในวงการ ต่างเรียกขานกันในนาม “บิ๊กแจ๊ก” หนุ่มใหญ่ที่ชีวิตไม่เคยออกห่างจาก “เงิน” เพราะนอกจากจะประกาศตัว โชว์ผลงาน สร้างชื่อในยุทธจักรขายตรงแล้ว บุรุษผู้นี้ ยังมีดีกรีเป็นนักบริหารการเงินมือฉมัง ที่ช่ำชองในวงการนี้มานานหลาย 10 ปีพ่วงอีกตำแหน่งด้วย

แต่ความสวยงามที่น่าอัศจรรย์ของวงการขายตรง ส่งกลิ่นยั่วยวนให้หนุ่มใหญ่อัธยาศัยดีรายนี้ เข้ามาสัมผัส ถึงขั้นลุ่มหลงมนต์เสน่ห์ธุรกิจนี้เข้าอย่างจัง ก่อเกิด “จิตวิญญาณ” ความอยากรู้อยากเห็นเปล่งประกายขึ้นมาทันที ทำให้บุรุษที่มีนามว่า “บิ๊กแจ๊ก” รายนี้ มุ่งมั่น เรียนรู้ ศึกษาตำรายุทธอย่างต่อเนื่อง เพื่อออกท่องยุทธจักรเครือข่ายขายตรง แสวงหาความท้าทาย ที่ชายผู้นี้ เชื่อว่า “ความมหัศจรรย์ของธุรกิจเครือข่ายขายตรง ไม่มีวันสิ้นสุด จุดจบของความสำเร็จก็ไม่มีเส้นชัย เพราะคนเราเมื่อก้าวไปถึงขั้นบันไดแห่งความสำเร็จที่ตั้งเอาไว้ ไม่มีใครที่ไม่อยากก้าวไปสู่ความสำเร็จในขั้นต่อๆ ไป”

นับจากวันที่เข้ามาเรียนรู้ขายตรง หนุ่มใหญ่ที่มีใจมุ่งมั่น เรียนรู้ความมหัศจรรย์ของธุรกิจ เดินทางออกท่องยุทธจักรขายตรงแห่งนี้ ผ่านพ้นมาแล้ว 20 ปี ในเรื่องดีกรีความสำเร็จ คงไม่ต้องพูดถึง เพราะ “ฝากฝีไม้ลายมือ” ประทับสร้างชื่อเอาไว้กับหลายสำนัก เรื่องพลังวัตร หรือเคล็ดวิชาความสำเร็จ คงไม่ต้องบรรยาย เพราะวิชาที่แก่กล้าที่ฝึกฝนมายาวนาน ความรู้ความเข้าใจที่ติดตัว ทำให้มีหลายสำนักต้องการดึง “บิ๊กแจ๊ก” เข้าไปเป็นอาจารย์ หรือกุนซือ เพื่อวางหมากขยายอำนาจในยุทธจักรขายตรงแห่งนี้...!!!

ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา หากบริษัทหรือสำนักไหน ที่มีชื่อ “บิ๊กแจ๊ก” โผล่เข้าไป มาจะเป็นบริษัทขายตรงน้องใหม่ ที่เพิ่งตั้งไข่แทบทั้งสิ้น แต่เส้นทางการโบยบินของบริษัทต่างๆ เหล่านั้นกลับไม่ธรรมดาในธุรกิจแห่งนี้ เพราะอัตราการเติบโตในแต่ละปีไม่ขี้ริ้วขี้เหล่ มีกำไรให้หยิบสอยได้ไม่ขาดมือ ส่วนสมาชิกไม่ต้องกังวล เพิ่มเลเวลอย่างต่อเนื่องทุกปี...!!!

แต่ด้วยวิถีที่ชอบค้นหาความท้าทาย บวกกับชะตาชีวิตที่มักจะขีดให้เข้าไปร่วมสร้างสำนัก หรือบริษัทที่เจ้าของ มักอ่อนไหว ใจโลเล วิสัยทัศน์ไม่นิ่ง ทำให้วิถีทางบนถนนสายนี้ของ “บิ๊กแจ๊ก” จำเป็นที่จะต้องออกเดินทาง แสวงหาสำนักใหม่ที่มีเจ้าสำนักที่เข้าใจ และพร้อมที่จะเปิดเวทีให้เขา “ปั้นลูกศิษย์ลูกหา” หรือนักขายเงินล้าน ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบเศรษฐีมาประดับวงการเพิ่มมากขึ้น...!!!

ความปรารถนาอันแรงกล้า ที่ต้องการแสวงหาสำนักหรือบริษัทที่พักพิง เพื่อสร้างนักธุรกิจให้ประสบความสำเร็จให้มากที่สุด ทำให้ “บิ๊กแจ๊ก” แบกความฝันไปเยือนสำนักต่างๆ ที่เข้าตา แต่สำนักหรือบริษัทขายตรงต่างๆ เหล่านั้น ไม่โดนใจ หรือมีอะไร? ไปกระตุ้นต่อมความท้าทาย ที่น่าค้นหาของบุรุษผู้นี้ได้

ในที่สุดจุดจบของเส้นทางแห่งการท่องยุทธภพขายตรง เพื่อมองหาสำนักเข้าสังกัดของ “บิ๊กแจ๊ก” ก็จบลง เมื่อโจทย์ความฝันที่เขาแบกขึ้นหลังไปเยือนบริษัทต่างๆ “ถูกตีแตก” พร้อมกับแนวทางที่จะสร้างฝันของเขาให้สำเร็จเร็วขึ้น และยังมีแนวทางการในต่อยอดความฝันไม่สิ้นสุด บุรุษที่มีหัวใจแกร่งดั่งหินผา มีแนวคิดรอบคอบก่อนตัดสินใจทำอะไร? โดยเฉพาะการเลือกสำนักเข้าสังกัด ต้องใช้ระยะเวลาเป็นเดือน เพื่อความมั่นอกมั่นใจ เพราะที่แห่งนั้น ต้องถักทอฝันเขาให้สำเร็จได้...และบริษัทที่เป็นจุดจบของการเดินทางในครั้งนี้ นั่นก็คือ “มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค” หลายคนคงอยากรู้ว่า อะไร? คือ กุญแจที่ทำให้ “มิลค์กี้ เวย์” สามารถไขความฝัน นักธุรกิจอิสระมือฉมังรายนี้ออก...!!!

“บิ๊กแจ๊ก” บอกกับ “ตลาดวิเคราะห์” ในทำนองที่ว่า “การแบกหัวใจที่เต็มไปด้วยความฝันมาตั้งมั่นที่ มิลค์กี้ เวย์ ในครั้งนี้ เพราะมั่นใจในความเป็นนักธุรกิจของท่านประธาน ที่สามารถสร้างความยิ่งใหญ่ให้ธุรกิจส่งออกไปต่างประเทศเติบโตมาตลอด ซึ่งมีความยากกว่าธุรกิจ MLM ด้วยซ้ำ เพราะต้องแข่งขันกับคู่แข่งมากมาย ทั้งในและนอกประเทศ แต่ประธานก็ทำสำเร็จ นับประสาอะไร กับธุรกิจ MLM”

เชื้อเพลิงที่สุ่มความมั่นใจให้ “บิ๊กแจ๊ก” มีเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่นลุกโชนขึ้นไปอีก นั่นคือ การได้สัมผัสวิสัยทัศน์ ที่แหลมคม แนวคิดที่รอบรู้ และความตั้งใจที่จะทำธุรกิจให้เติบใหญ่

กลายเป็นแรงผลักดันให้ บุรุษที่มีชื่อเสียงที่โด่งดังในยุทธภพขายตรงรายนี้ เลื่อมใส และ “มอบหัวใจให้ทั้งดวง” ร่วมเดินควงคู่สู้รบในสนาม เพื่อสร้างตำนาน “มิลค์กี้ เวย์” ให้ก่อเกิดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า...!!!

...ทุกคนคงทราบกันแล้วว่า “มิลค์กี้ เวย์” ไม่มีเวทมนต์อันใด? ที่นำมาร่ายสะกดความต้องการของนักธุรกิจอิสระมือฉมัง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการขายตรงให้ลุ่มหลง จนกระโดดเข้ามาร่วม ตั้งแต่บริษัทเพิ่งตั้งไข่ ยังไม่หัดคลานด้วยซ้ำไป...แต่สิ่งที่ดึงดูดสองบุรุษสุดยอดนักขายให้มาไล่ล่าความฝันครั้งใหม่ ที่ยิ่งใหญ่มหาศาล จากการวางเดิมพันบนหน้าตักที่สูงลิ่วในครั้งนี้ ล้วนมาจากบุรุษที่มีชื่อว่า “สุมิตร วชโรดมทรัพย์” แม่ทัพใหญ่ ที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊...

และเมื่อ “ตลาดวิเคราะห์” จับ “บริษัท มิลค์กี้ เวย์” เข้าเครื่องสแกน ตรวจเช็คความพร้อมก่อนเดินบนเส้นทางนี้ พบว่า ทั้ง แม่ทัพ ขุนศึก ขุนพล หัวหมู่ทะลวงฟัน ทัพหน้าทัพหลัง ทหารกองหนุน เสบียง กองคลัง ฯลฯ ต่างพร้อมอย่างเต็มที่ และเลือดทุกหยดที่ไหลเวียนที่นี่ ล้วนเป็น “เลือดของนักสู้” ที่พร้อมบุกเบิกความยิ่งใหญ่ สร้างตำนานบทใหม่ จารึกชื่อ “มิลค์กี้ เวย์” ไว้ในลำดับต้นๆ ในวงการขายตรง ที่ “สร้างคนให้รวย ทุกพื้นที่”...!!!

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1295 ประจำวันที่ 28-4-2012 ถึง 1-5-2012       

แกะรอยสองนักธุรกิจอิสระมือฉมัง แบกหัวใจมาล่าฝัน...! ลุยสร้างตำนานบทใหม่ที่‘มิลค์กี้ เวย์’


...การเลือกสังกัดบริษัทขายตรงสักแห่ง สิ่งที่ขาดไม่ได้ของนักขาย หรือนักธุรกิจอิสระในปัจจุบันคือ “สายตาที่แหลมคม” มององค์ประกอบโดยรวมรอบด้าน ประเมินสถานการณ์ความพร้อมของบริษัท จับจ้องอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะช่วย “เสริมเขี้ยวเล็บ” ให้ทำงานง่ายมากขึ้น เพื่อความสำเร็จที่จะตามมาในเร็ววัน...

ตามตำราพิชัยสงครามของจีนบทหนึ่ง เขียนบันทึกเอาไว้ว่า “หากใครต้องการมีชื่อจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ ต้องเลือกยืนให้ถูกข้าง เพราะชื่อเสียงเรียงนามของคุณจะถูกกล่าวขานถึงตำนานความยิ่งใหญ่ไปจนชั่วลูกชั่วหลาน เพราะถือเป็นหนึ่งในผู้ร่วมก่อสร้างตำนานใหม่ให้เกิดขึ้นในแผ่นดิน”

ระยะเวลาผ่านพ้นไปหลายพันปีตำราบทนี้ ยังใช้ได้ผลเสมอ โดยเฉพาะปัจจุบันกับการทำธุรกิจ หากใครต้องการสร้างชื่อให้เป็นที่รู้จัก ต้องจับจังหวะเลือกยืนให้ถูกข้าง ถูกที่ ถูกเวลา ถูกธุรกิจหรือบริษัท ถึงจะสามารถสร้างตำนานของตัวเองขึ้นมาได้...!!!

ยิ่งธุรกิจเครือข่ายขายตรง โดยเฉพาะ “แม่ทัพนักขาย-นักธุรกิจอิสระ” ที่กำลังเล็งปักธง “ล่าความฝัน” ที่มีจุดหมายปลายทางที่ยิ่งใหญ่ มีรายได้ที่มั่นคง “สลัดคราบความจน” ออกให้หมดสิ้น...สิ่งสำคัญที่จะเป็นตัวผลักดันให้ “ฝันเป็นจริง” ขึ้นมาได้ คงไม่พ้น การตัดสินใจเลือกยืนอยู่ข้างบริษัทที่มีความพร้อมทุกด้าน เพราะอาวุธยุทโธปกรณ์ ที่เพียบพร้อมจะเป็นแรงส่งสำคัญ ที่จะทำให้ถึงฝั่งฝันได้เร็วมากขึ้น

ในทางกลับกัน หากยืนผิดที่ ผิดโอกาส อาจเสียเวลา เสียจังหวะ พลาดสิ่งดีๆ ที่จะเข้ามาก็เป็นได้...!!! ฉะนั้น การเลือกสังกัดบริษัทขายตรงสักแห่ง สิ่งที่ขาดไม่ได้ของนักขาย หรือนักธุรกิจอิสระในปัจจุบันคือ “สายตาที่แหลมคม” มององค์ประกอบโดยรวมรอบด้าน ประเมินสถานการณ์ความพร้อมของบริษัท จับจ้องอาวุธยุทโธปกรณ์ที่จะช่วย “เสริมเขี้ยวเล็บ” ให้ทำงานง่ายมากขึ้น เพื่อความสำเร็จที่จะตามมาในเร็ววัน...ซึ่งปัจจุบัน มีหลายบริษัทที่มีความพร้อมเช่นนี้ ให้เลือกสรรกันอย่างมากมาย ขึ้นอยู่กับ “นักขาย” หรือ “นักธุรกิจอิสระ” แล้วว่า จะชื่นชอบใน “ตัวแม่ทัพใหญ่” หรือ “ระบบการทำงาน” ของบริษัทสไตล์ไหน...?

ซึ่ง “ตลาดวิเคราะห์” คอลัมน์เฉพาะกิจ เกาะติดความเคลื่อนไหว ตีแผ่ตำรายุทธศาสตร์กำลังภายในธุรกิจเครือข่ายขายตรงฉบับนี้...ขอนำเสนอเรื่องราวของ “ธนนท์ ยิ้มนุช” บุรุษมาดนิ่ง ที่มีรอยยิ้มน่าค้นหา แฝงด้วยตำราวิชาความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายที่ล้ำลึก กลั่นออกมาจากประสบการณ์จริงล้วนๆ และ “ณฐกร คงอัครฐากูร” หรือคนในวงการเรียกขานกันในนาม “บิ๊กแจ๊ก” นักบริหารการเงินมือฉมัง ที่หลงมนต์เสน่ห์ธุรกิจเครือข่ายเข้าอย่างจัง หลังค้นพบ “ความมหัศจรรย์” ที่ไม่มีวันสิ้นสุด...!!! สองหนุ่ม สองมุม สองบุคลิก สองขั้วแนวความคิด ที่มีเป้าหมายปลายทางเดียวกันคือ ความสำเร็จที่มั่นคงและยั่งยืนในชีวิต...มาติดอกติดใจ ร่วมงานกันใน “บริษัท มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค จำกัด” ได้อย่างไร? ทั้งที่บริษัทแห่งนี้ เพิ่งตั้งไข่ ได้ไม่นาน ชื่อเสียงเรียงนามแทบจะไม่ต้องเอ่ยถึง เพราะแทบจะไม่มีใครรู้จักอยู่แล้ว

แต่เหตุใด? สองนักธุรกิจอิสระมือฉมัง ที่มีชื่อเสียงเรียงนามไม่ธรรมดา แถมยังเป็นที่ต้องการของบริษัทเครือข่ายขายตรงหลายแห่ง ถึงกล้ามาปรากฏตัวที่นี่ และตัดสินใจเลือกยืนอยู่ข้างบริษัทแห่งนี้ พร้อมประกาศลั่นที่จะสร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ “จารึกตำนานบทใหม่” ให้กำเนิดในวงการขายตรง...!!!

ความฝันของทั้งคู่ “เป็นจริงได้?” หรือ “แค่ละเมอ?”...น้องใหม่ที่ไม่เคยลงสนามสัมผัสความโหดร้ายในเกมการแข่งขัน ที่ต้องวัดกันด้วยกึ๋นแบบช็อตต่อช็อต บางครั้งต้องวาง “เดิมพันกันด้วยใจ” มีดีอะไร? ถึงดึงดูดให้ “สองนักธุรกิจอิสระมือฉมัง” ที่ละเอียดในการหาบริษัทร่วมรบ โดดเข้าร่วมงานอย่างฉับไว “ไม่แยแส” ถึงเรื่อง คำว่าใหม่เอี่ยมอ่องในสนาม แถมกล้าเอาตัวเองการันตีความยิ่งใหญ่...!!!

เวทมนต์อะไร? ที่ “มิลค์กี้ เวย์ฯ” ใช้สะกด “สองนักธุรกิจอิสระมือฉมัง” ให้แบกหัวใจมาล่าฝัน ตั้งมั่นที่จะสร้างตำนานบทใหม่ให้เกิดขึ้นในวงการขายตรง...เรื่องราวทั้งหมด กำลังจะถูกแกะรอย เพื่อจารึกไว้ในทุ่งกระดาษผืนนี้...!!!

…เริ่มเรื่องราวที่ “ธนนท์ ยิ้มนุช” บุรุษมาดนิ่ง ที่วิ่งตามความฝันบนน่านน้ำขายตรงมานานกว่า 10 ปี ผ่านเรื่องราวประสบการณ์ความยิ่งใหญ่มานับไม่ถ้วน ซึ่งแต่ละก้าวย่างแห่งความสำเร็จ ล้วนแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกายที่ทุ่มเทลงไป เพื่อความฝันอันแสนไกล ตามเป้าหมายที่เขาบัญญัติเอาไว้นั่นคือ “ความสำเร็จที่มั่นคงและยั่งยืน” ด้วยความทุ่มเทผนวกกับความมุ่งมั่นที่จะไล่ตามความฝันบนเส้นทางแห่งนี้ หนุ่มใหญ่หัวใจแกร่งรายนี้ เฟ้นหาทุกยุทธวิธี เพื่อตีปีกบินไปสู่ความสำเร็จให้ได้ในเร็ววัน...!!! ตำราทุกหน้า เคล็ดวิชาทุกเล่มที่เกี่ยวข้องกับการไล่ล่าความสำเร็จ “ธนนท์” ศึกษาอย่างละเอียด ไปพร้อมกับการลงพื้นที่คลุกสนามอย่างจริงจัง ทำให้ระยะเวลาเพียงไม่นาน ชื่อเสียงเรียงนามของ “บุรุษมาดนิ่ง ที่มีรอยยิ้มน่าค้นหา” รายนี้ โด่งดังขึ้นมาในทุ่งหญ้าขายตรง จนทำให้หลายคนรู้จักกันเป็นอย่างดี แต่เมื่อชะตาชีวิต ขีดให้ “ธนนท์” ต้องเปลี่ยนบริษัทที่เคยสร้างชื่อเสียงที่ยิ่งใหญ่เอาไว้ “นักสู้ที่มีหัวใจเปี่ยมไปด้วยรอยยิ้ม” รายนี้ จึงล่องเรือออกทะเลหาฝั่งที่เป็นผืนแผ่นดินใหม่ ที่เขาจะลงหลักปักฐาน สร้างความยิ่งใหญ่ให้กับตัวเองอีกครั้ง...!!!

“ผมเป็นคนที่คิดเร็ว ทำเร็ว ไม่เว้นแม้แต่การตัดสินใจ เลือกเข้าสังกัดไหน จะใช้เวลาเพียง 2-3 วัน เพราะประสบการณ์ที่คร่ำหวอดในวงการ ทำให้เราเห็นภาพ และประเมินได้ว่า บริษัทนี้ใช่ หรือไม่ใช่ ส่วนหลักเกณฑ์ที่นำมาใช้ สิ่งแรกคือ ต้องเลือกบริษัทที่มีความพร้อม ซึ่งความพร้อมที่ว่า ต้องเป็นรูปธรรม มีความมั่นคงที่ชัดเจน ขณะเดียวกัน ต้องเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ มีตัวอย่างให้เห็น นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของผลิตภัณฑ์สินค้า ที่ต้องเป็นที่ต้องการของตลาด และสามารถเข้าถึงได้ทุกกลุ่ม ส่วนเรื่องของแผนการตลาดต้องไม่ยากเกินไป ต้องง่ายและเร็ว โดยเฉพาะในยุคนี้”

แม้จะมีหลักเกณฑ์วางตั้งเอาไว้ บวกกับสไตล์ที่เป็นคนคิดเร็ว ทำเร็ว แต่ “ธนนท์” ก็ยังล่องเรือออกทะเลไปเรื่อยๆ แม้ที่ผ่านมาเขาจะจอดเรือขึ้นฝั่งในบางแผ่นดิน แต่ก็ยังไม่คิดที่จะลงหลักปักฐาน สร้างรากฐานที่มั่นคงสักแห่ง

กระทั่ง โชคชะตานำพาให้ “ธนนท์” มาค้นพบผืนแผ่นดินใหม่ ที่อุดมสมบูรณ์ไปด้วยสรรพสิ่งต่างๆ ที่เขาสามารถ “ก่อร่างสร้างตัว” ได้ไม่ยาก และที่สำคัญ เป็นแผ่นดินที่เขาค้นหามานาน เพื่อที่จะทำตามความฝัน คือ การสร้างความมั่นคงและยั่งยืนให้กับชีวิต...!!!

“สิ่งแรกที่สัมผัสบริษัทแห่งนี้คือ การพบปะพูดคุยกับประธาน คุณสุมิตร วชโรดมทรัพย์ ก็ประทับใจในหลายสิ่ง ทั้งภาพลักษณ์ความสำเร็จในชีวิตที่มีรูปธรรม มีความเป็นนักธุรกิจอยู่เต็มตัว ใจกว้าง มีวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล แม้บริษัทเพิ่งจะก่อตัวขึ้นไม่นาน แต่ด้วยความมั่นอกมั่นใจในตัวประธาน ผมจึงกล้าตัดสินใจก้าวเข้ามาร่วมธุรกิจโดยไม่ลังเล และกล้าที่จะทุ่มเทหัวใจก้าวไปข้างหน้าเคียงข้างท่านประธาน และร่วมสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับบริษัทแห่งนี้”

แวบแรกที่ “ธนนท์” สัมผัสกับประธานบริษัทฯ แห่งนี้ ก็รับรู้ได้ถึง ความยิ่งใหญ่ในเวทีธุรกิจที่ไม่ธรรมดา แถมถ้อยคำพูดจา ล้วนแฝงไปด้วยวิสัยทัศน์ที่กว้างไกล มองภาพธุรกิจได้แตกฉาน กล้าคิด กล้าทำในสิ่งใหม่ๆ และความตั้งใจแน่วแน่ที่แฝงด้วยความมุ่งมั่น ก่อเกิดพลังทำให้เห็นภาพความยิ่งใหญ่ของ “มิลค์กี้ เวย์” ในอนาคตได้ชัดเจน...เสียง “เพลงศรัทธา” ของ วงหิน เหล็ก ไฟ ก็ดังขึ้นในใจ “ธนนท์” ทันที และมั่นใจว่า “ธุรกิจมิลค์กี้” สามารถตอบโจทย์เข้าได้ทั้งหมด...!!!

...จากเส้นทางนักธุรกิจอิสระมาดนิ่งที่ชีวิตพลิกผัน ทำให้ต้องวิ่งตามความฝันครั้งใหม่ จนมาเจอสิ่งที่ใช่! กับใจที่ชอบ ถึงขั้น “ถอดหัวใจ” มอบให้ “มิลค์กี้ เวย์” ในวันนี้ หันมาที่ “ณฐกร คงอัครฐากูร” หรือคนในวงการ ต่างเรียกขานกันในนาม “บิ๊กแจ๊ก” หนุ่มใหญ่ที่ชีวิตไม่เคยออกห่างจาก “เงิน” เพราะนอกจากจะประกาศตัว โชว์ผลงาน สร้างชื่อในยุทธจักรขายตรงแล้ว บุรุษผู้นี้ ยังมีดีกรีเป็นนักบริหารการเงินมือฉมัง ที่ช่ำชองในวงการนี้มานานหลาย 10 ปีพ่วงอีกตำแหน่งด้วย

แต่ความสวยงามที่น่าอัศจรรย์ของวงการขายตรง ส่งกลิ่นยั่วยวนให้หนุ่มใหญ่อัธยาศัยดีรายนี้ เข้ามาสัมผัส ถึงขั้นลุ่มหลงมนต์เสน่ห์ธุรกิจนี้เข้าอย่างจัง ก่อเกิด “จิตวิญญาณ” ความอยากรู้อยากเห็นเปล่งประกายขึ้นมาทันที ทำให้บุรุษที่มีนามว่า “บิ๊กแจ๊ก” รายนี้ มุ่งมั่น เรียนรู้ ศึกษาตำรายุทธอย่างต่อเนื่อง เพื่อออกท่องยุทธจักรเครือข่ายขายตรง แสวงหาความท้าทาย ที่ชายผู้นี้ เชื่อว่า “ความมหัศจรรย์ของธุรกิจเครือข่ายขายตรง ไม่มีวันสิ้นสุด จุดจบของความสำเร็จก็ไม่มีเส้นชัย เพราะคนเราเมื่อก้าวไปถึงขั้นบันไดแห่งความสำเร็จที่ตั้งเอาไว้ ไม่มีใครที่ไม่อยากก้าวไปสู่ความสำเร็จในขั้นต่อๆ ไป”

นับจากวันที่เข้ามาเรียนรู้ขายตรง หนุ่มใหญ่ที่มีใจมุ่งมั่น เรียนรู้ความมหัศจรรย์ของธุรกิจ เดินทางออกท่องยุทธจักรขายตรงแห่งนี้ ผ่านพ้นมาแล้ว 20 ปี ในเรื่องดีกรีความสำเร็จ คงไม่ต้องพูดถึง เพราะ “ฝากฝีไม้ลายมือ” ประทับสร้างชื่อเอาไว้กับหลายสำนัก เรื่องพลังวัตร หรือเคล็ดวิชาความสำเร็จ คงไม่ต้องบรรยาย เพราะวิชาที่แก่กล้าที่ฝึกฝนมายาวนาน ความรู้ความเข้าใจที่ติดตัว ทำให้มีหลายสำนักต้องการดึง “บิ๊กแจ๊ก” เข้าไปเป็นอาจารย์ หรือกุนซือ เพื่อวางหมากขยายอำนาจในยุทธจักรขายตรงแห่งนี้...!!!

ช่วงระยะเวลาที่ผ่านมา หากบริษัทหรือสำนักไหน ที่มีชื่อ “บิ๊กแจ๊ก” โผล่เข้าไป มาจะเป็นบริษัทขายตรงน้องใหม่ ที่เพิ่งตั้งไข่แทบทั้งสิ้น แต่เส้นทางการโบยบินของบริษัทต่างๆ เหล่านั้นกลับไม่ธรรมดาในธุรกิจแห่งนี้ เพราะอัตราการเติบโตในแต่ละปีไม่ขี้ริ้วขี้เหล่ มีกำไรให้หยิบสอยได้ไม่ขาดมือ ส่วนสมาชิกไม่ต้องกังวล เพิ่มเลเวลอย่างต่อเนื่องทุกปี...!!!

แต่ด้วยวิถีที่ชอบค้นหาความท้าทาย บวกกับชะตาชีวิตที่มักจะขีดให้เข้าไปร่วมสร้างสำนัก หรือบริษัทที่เจ้าของ มักอ่อนไหว ใจโลเล วิสัยทัศน์ไม่นิ่ง ทำให้วิถีทางบนถนนสายนี้ของ “บิ๊กแจ๊ก” จำเป็นที่จะต้องออกเดินทาง แสวงหาสำนักใหม่ที่มีเจ้าสำนักที่เข้าใจ และพร้อมที่จะเปิดเวทีให้เขา “ปั้นลูกศิษย์ลูกหา” หรือนักขายเงินล้าน ก้าวขึ้นสู่ทำเนียบเศรษฐีมาประดับวงการเพิ่มมากขึ้น...!!!

ความปรารถนาอันแรงกล้า ที่ต้องการแสวงหาสำนักหรือบริษัทที่พักพิง เพื่อสร้างนักธุรกิจให้ประสบความสำเร็จให้มากที่สุด ทำให้ “บิ๊กแจ๊ก” แบกความฝันไปเยือนสำนักต่างๆ ที่เข้าตา แต่สำนักหรือบริษัทขายตรงต่างๆ เหล่านั้น ไม่โดนใจ หรือมีอะไร? ไปกระตุ้นต่อมความท้าทาย ที่น่าค้นหาของบุรุษผู้นี้ได้

ในที่สุดจุดจบของเส้นทางแห่งการท่องยุทธภพขายตรง เพื่อมองหาสำนักเข้าสังกัดของ “บิ๊กแจ๊ก” ก็จบลง เมื่อโจทย์ความฝันที่เขาแบกขึ้นหลังไปเยือนบริษัทต่างๆ “ถูกตีแตก” พร้อมกับแนวทางที่จะสร้างฝันของเขาให้สำเร็จเร็วขึ้น และยังมีแนวทางการในต่อยอดความฝันไม่สิ้นสุด บุรุษที่มีหัวใจแกร่งดั่งหินผา มีแนวคิดรอบคอบก่อนตัดสินใจทำอะไร? โดยเฉพาะการเลือกสำนักเข้าสังกัด ต้องใช้ระยะเวลาเป็นเดือน เพื่อความมั่นอกมั่นใจ เพราะที่แห่งนั้น ต้องถักทอฝันเขาให้สำเร็จได้...และบริษัทที่เป็นจุดจบของการเดินทางในครั้งนี้ นั่นก็คือ “มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค” หลายคนคงอยากรู้ว่า อะไร? คือ กุญแจที่ทำให้ “มิลค์กี้ เวย์” สามารถไขความฝัน นักธุรกิจอิสระมือฉมังรายนี้ออก...!!!

“บิ๊กแจ๊ก” บอกกับ “ตลาดวิเคราะห์” ในทำนองที่ว่า “การแบกหัวใจที่เต็มไปด้วยความฝันมาตั้งมั่นที่ มิลค์กี้ เวย์ ในครั้งนี้ เพราะมั่นใจในความเป็นนักธุรกิจของท่านประธาน ที่สามารถสร้างความยิ่งใหญ่ให้ธุรกิจส่งออกไปต่างประเทศเติบโตมาตลอด ซึ่งมีความยากกว่าธุรกิจ MLM ด้วยซ้ำ เพราะต้องแข่งขันกับคู่แข่งมากมาย ทั้งในและนอกประเทศ แต่ประธานก็ทำสำเร็จ นับประสาอะไร กับธุรกิจ MLM”

เชื้อเพลิงที่สุ่มความมั่นใจให้ “บิ๊กแจ๊ก” มีเปลวไฟแห่งความมุ่งมั่นลุกโชนขึ้นไปอีก นั่นคือ การได้สัมผัสวิสัยทัศน์ ที่แหลมคม แนวคิดที่รอบรู้ และความตั้งใจที่จะทำธุรกิจให้เติบใหญ่

กลายเป็นแรงผลักดันให้ บุรุษที่มีชื่อเสียงที่โด่งดังในยุทธภพขายตรงรายนี้ เลื่อมใส และ “มอบหัวใจให้ทั้งดวง” ร่วมเดินควงคู่สู้รบในสนาม เพื่อสร้างตำนาน “มิลค์กี้ เวย์” ให้ก่อเกิดในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า...!!!

...ทุกคนคงทราบกันแล้วว่า “มิลค์กี้ เวย์” ไม่มีเวทมนต์อันใด? ที่นำมาร่ายสะกดความต้องการของนักธุรกิจอิสระมือฉมัง ที่มีชื่อเสียงโด่งดังในวงการขายตรงให้ลุ่มหลง จนกระโดดเข้ามาร่วม ตั้งแต่บริษัทเพิ่งตั้งไข่ ยังไม่หัดคลานด้วยซ้ำไป...แต่สิ่งที่ดึงดูดสองบุรุษสุดยอดนักขายให้มาไล่ล่าความฝันครั้งใหม่ ที่ยิ่งใหญ่มหาศาล จากการวางเดิมพันบนหน้าตักที่สูงลิ่วในครั้งนี้ ล้วนมาจากบุรุษที่มีชื่อว่า “สุมิตร วชโรดมทรัพย์” แม่ทัพใหญ่ ที่เก่งทั้งบุ๋นและบู๊...

และเมื่อ “ตลาดวิเคราะห์” จับ “บริษัท มิลค์กี้ เวย์” เข้าเครื่องสแกน ตรวจเช็คความพร้อมก่อนเดินบนเส้นทางนี้ พบว่า ทั้ง แม่ทัพ ขุนศึก ขุนพล หัวหมู่ทะลวงฟัน ทัพหน้าทัพหลัง ทหารกองหนุน เสบียง กองคลัง ฯลฯ ต่างพร้อมอย่างเต็มที่ และเลือดทุกหยดที่ไหลเวียนที่นี่ ล้วนเป็น “เลือดของนักสู้” ที่พร้อมบุกเบิกความยิ่งใหญ่ สร้างตำนานบทใหม่ จารึกชื่อ “มิลค์กี้ เวย์” ไว้ในลำดับต้นๆ ในวงการขายตรง ที่ “สร้างคนให้รวย ทุกพื้นที่”...!!!

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1295 ประจำวันที่ 28-4-2012 ถึง 1-5-2012       

‘แซนสยาม’ทุ่มงบ5ล.เปิดบ้านหลังใหม่ เติมเต็มภาพลักษณ์องค์กรสู่ความยั่งยืน

 


 


“แซนสยาม” เผยผลประกอบการปี’54 ตรงตามเป้า หลังยอดแตะไปเกือบ 300 ล้าน ชี้!เหตุยอดเติบโตดีเกิดจากแคมเปญมอบโชคยกลัง ที่กระตุ้นกำลังซื้อ พร้อมลั่นเป้าหมายสิ้นปีขอโตประมาณ 4-5 เท่าหรือ 1,000 ล้าน แจงเตรียมรุกตลาดต่างประเทศอีก 5 ประเทศหวังสร้างแรงเหวี่ยงธุรกิจแจ้งเกิด...ล่าสุดปรับภาพลักษณ์ใหม่ด้วยการมีสำนักงานแห่งใหม่บนถนนรัชดาภิเษก เนื้อที่ 600 ตร.ม. ด้วยเงินลงทุนเกือบ 5 ล้าน พร้อมเปิดอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ เผยแผน Q2 เตรียมเข็นสินค้าใหม่แจ้งเกิด 3 รายการ พร้อมอัดโปรโมชั่นล่อใจสมาชิกเพียบ


นายปธิกร โยทองยศ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แซนสยาม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เผยว่า ผลประกอบการในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 3 เท่า ซึ่งถือว่าตรงตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ โดยปิดยอดไปเกือบ 300 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างต่อพอใจนั้น เป็นเพราะด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นนั้นเอง พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้วางเป้าหมายในปีนี้ที่จะสร้างรายได้มากกว่าปีที่ผ่านมาประมาณ 4-5 เท่าตัวหรือ 1,000 ล้านบาทอีกด้วย รวมถึงการรุกตลาดในต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งปีนี้คาดว่าจะขยายอีก 5 ประเทศด้วยกัน



“ตั้งแต่แซนสยามดำเนินธุรกิจขายตรงมา บอกได้เลยว่าสินค้าถือเป็นจุดแข็งของเรา ที่ทำให้บริษัทฯ สามารถเติบโตจนถึงทุกวันนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมา เราไม่เน้นการทำธุรกิจที่หวือหวา โดยจะเน้นการเติบโตแบบมั่นคงและยั่งยืนมากกว่า อีกทั้งผู้นำของที่นี้ ยังเป็นผู้นำจริงๆ รวมถึงมีกลุ่มผู้บริโภคจริงๆ ด้วย โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสมาชิกอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นกว่าคน ซึ่งเป็นผู้นำจริงๆ อยู่ที่ประมาณหลักร้อย และเป็นในส่วนของผู้บริโภคสินค้าอยู่ที่หลักพัน โดยตลาดส่วนใหญ่ของเรานั้น จะเติบโตอยู่ที่ต่างจังหวัดเสียมากกว่า”


นอกจากนี้ ทางด้านนายสมชาย อินทิราวรนนท์ กรรมการบริหาร บริษัท แซนสยาม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยังได้กล่าวเสริมต่ออีกว่า ขณะนี้บริษัทฯ ได้เตรียมที่จะปรับภาพลักษณ์ของธุรกิจแซนสยามใหม่ด้วยการมีสำนักงานแห่งใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม บนถนนรัชดาภิเษก ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการตกแต่งก่อสร้าง โดยจะมีพื้นที่ทำการอยู่ด้วยกัน 2 ชั้น รวมเนื้อที่ 600 ตร.ม. ด้วยเงินลงทุนเกือบ 5 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมิถุนายนนี้


“วันนี้ต้องบอกว่า หากใครที่ได้เข้ามาสัมผัสที่ธุรกิจแซนสยาม ก็จะรู้ว่าเรามีมาตรฐาน ทั้งในเรื่องของสินค้าที่มีความโดดเด่น แผนการตลาดที่ยอดเยี่ยม และมีคนที่ทำรายได้ได้จริง ประสบความสำเร็จจริง ด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้มีคนหันมาสนใจในธุรกิจแซนสยามมากขึ้น”


นายปธิกร เผยต่อว่า ไตรมาสที่ 2 ปีนี้ บริษัทฯ ยังได้เตรียมที่จะเพิ่มไลน์สินค้าใหม่อีก 2-3 รายการอีกด้วย คือ “เฟโมลา” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ชนิดแคปซูลเพื่อความสมดุลของผู้หญิงโดยเฉพาะ มีส่วนประกอบจากสมุนไพรธรรมชาติที่มีคุณสมบัติเป็นไฟโตเอสโตรเจน ช่วยให้มีสุขภาพดีและมีฮอร์โมนที่สมดุล


รวมถึงผลิตภัณฑ์ “เจียวกู่หลาน” ที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเครียด แก้หวัดลดไข้ ต้านอนุมูลอิสระ ลดคอเลส เตอรอล ลดความดันเลือด ลดอาการเสี่ยงของโรคหัวใจ ลดอาการหอบหืด บำรุงประสาทและสมอง และเครื่องดื่มฟื้นฟูกำลัง “เพาเวอร์แซน” เป็นต้น


...ซึ่งนอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ที่จะนำเข้ามาสู่ตลาดเครือข่ายแล้วนั้น ทางแซนสยามยังได้ มีโปรโมชั่นการขึ้นตำแหน่งและมีรางวัลอีกมากมายสำหรับสมาชิก เช่น ใครที่สามารถขึ้นตำแหน่งสูงสุด Crown Diamond ก็จะได้รถ Mercedes-Benz รุ่น C-Class มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท ตำแหน่ง Emerald ได้รับรถนิสสันนาวารา โดยในปีนี้ มีผู้ทำสำเร็จขึ้นตำแหน่ง Emerald แล้ว คือ อ.บุญเลิศ วิเศษ เป็นผู้นำสมาชิก จ.นครราชสีมา และจะมารับรถในเดือนมิถุนายนนี้


พร้อมกันนี้ แซนสยามยังได้มีรางวัลพิเศษ เป็นรางวัลท่องเที่ยวต่างประเทศให้อีกปีละ 2 ครั้ง ซึ่งล่าสุดแซนสยามได้นำคณะสมาชิกไปประเทศเกาหลีเมื่อวันที่ 27-31 มีนาคม ที่ผ่านมา และปลายปีนี้ได้เตรียมวางโปรแกรมพาสมาชิกไปเที่ยวประเทศเวียดนามในลำดับต่อไป


นอกจากนี้ ทางด้านนายสมชาย ยังได้กล่าวถึง รายการแคมเปญมอบโชคยกลัง ในช่วงที่ผ่านมาว่า แคมเปญดังกล่าว ถือได้ว่าได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยต่อไปทางบริษัทฯ คาดว่า จะมีการจัดแคมเปญดีดีให้อีก ซึ่งอาจจะจัดให้ได้ทุกๆ ปี เพื่อให้สมาชิกและลูกค้าของเรามีสิทธิ์ลุ้นรับโชค ซึ่งถือว่าเป็นการกสร้างความพึงพอใจและให้ความสำคัญแก่สมาชิกของเรา


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1295 ประจำวันที่ 28-4-2012 ถึง 1-5-2012       

‘แซนสยาม’ทุ่มงบ5ล.เปิดบ้านหลังใหม่ เติมเต็มภาพลักษณ์องค์กรสู่ความยั่งยืน

 


 


“แซนสยาม” เผยผลประกอบการปี’54 ตรงตามเป้า หลังยอดแตะไปเกือบ 300 ล้าน ชี้!เหตุยอดเติบโตดีเกิดจากแคมเปญมอบโชคยกลัง ที่กระตุ้นกำลังซื้อ พร้อมลั่นเป้าหมายสิ้นปีขอโตประมาณ 4-5 เท่าหรือ 1,000 ล้าน แจงเตรียมรุกตลาดต่างประเทศอีก 5 ประเทศหวังสร้างแรงเหวี่ยงธุรกิจแจ้งเกิด...ล่าสุดปรับภาพลักษณ์ใหม่ด้วยการมีสำนักงานแห่งใหม่บนถนนรัชดาภิเษก เนื้อที่ 600 ตร.ม. ด้วยเงินลงทุนเกือบ 5 ล้าน พร้อมเปิดอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมิถุนายนนี้ เผยแผน Q2 เตรียมเข็นสินค้าใหม่แจ้งเกิด 3 รายการ พร้อมอัดโปรโมชั่นล่อใจสมาชิกเพียบ


นายปธิกร โยทองยศ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แซนสยาม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เผยว่า ผลประกอบการในปีที่ผ่านมา บริษัทฯ มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 3 เท่า ซึ่งถือว่าตรงตามเป้าหมายที่ได้วางไว้ โดยปิดยอดไปเกือบ 300 ล้านบาท ซึ่งส่วนหนึ่งที่ทำให้บริษัทฯ เติบโตได้อย่างต่อพอใจนั้น เป็นเพราะด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่นนั้นเอง พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้วางเป้าหมายในปีนี้ที่จะสร้างรายได้มากกว่าปีที่ผ่านมาประมาณ 4-5 เท่าตัวหรือ 1,000 ล้านบาทอีกด้วย รวมถึงการรุกตลาดในต่างประเทศอีกด้วย ซึ่งปีนี้คาดว่าจะขยายอีก 5 ประเทศด้วยกัน



“ตั้งแต่แซนสยามดำเนินธุรกิจขายตรงมา บอกได้เลยว่าสินค้าถือเป็นจุดแข็งของเรา ที่ทำให้บริษัทฯ สามารถเติบโตจนถึงทุกวันนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมา เราไม่เน้นการทำธุรกิจที่หวือหวา โดยจะเน้นการเติบโตแบบมั่นคงและยั่งยืนมากกว่า อีกทั้งผู้นำของที่นี้ ยังเป็นผู้นำจริงๆ รวมถึงมีกลุ่มผู้บริโภคจริงๆ ด้วย โดยปัจจุบันบริษัทฯ มีสมาชิกอยู่ที่ประมาณ 2 หมื่นกว่าคน ซึ่งเป็นผู้นำจริงๆ อยู่ที่ประมาณหลักร้อย และเป็นในส่วนของผู้บริโภคสินค้าอยู่ที่หลักพัน โดยตลาดส่วนใหญ่ของเรานั้น จะเติบโตอยู่ที่ต่างจังหวัดเสียมากกว่า”


นอกจากนี้ ทางด้านนายสมชาย อินทิราวรนนท์ กรรมการบริหาร บริษัท แซนสยาม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยังได้กล่าวเสริมต่ออีกว่า ขณะนี้บริษัทฯ ได้เตรียมที่จะปรับภาพลักษณ์ของธุรกิจแซนสยามใหม่ด้วยการมีสำนักงานแห่งใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม บนถนนรัชดาภิเษก ซึ่งขณะนี้อยู่ในระหว่างการตกแต่งก่อสร้าง โดยจะมีพื้นที่ทำการอยู่ด้วยกัน 2 ชั้น รวมเนื้อที่ 600 ตร.ม. ด้วยเงินลงทุนเกือบ 5 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จพร้อมเปิดอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนมิถุนายนนี้


“วันนี้ต้องบอกว่า หากใครที่ได้เข้ามาสัมผัสที่ธุรกิจแซนสยาม ก็จะรู้ว่าเรามีมาตรฐาน ทั้งในเรื่องของสินค้าที่มีความโดดเด่น แผนการตลาดที่ยอดเยี่ยม และมีคนที่ทำรายได้ได้จริง ประสบความสำเร็จจริง ด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้เป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้มีคนหันมาสนใจในธุรกิจแซนสยามมากขึ้น”


นายปธิกร เผยต่อว่า ไตรมาสที่ 2 ปีนี้ บริษัทฯ ยังได้เตรียมที่จะเพิ่มไลน์สินค้าใหม่อีก 2-3 รายการอีกด้วย คือ “เฟโมลา” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ชนิดแคปซูลเพื่อความสมดุลของผู้หญิงโดยเฉพาะ มีส่วนประกอบจากสมุนไพรธรรมชาติที่มีคุณสมบัติเป็นไฟโตเอสโตรเจน ช่วยให้มีสุขภาพดีและมีฮอร์โมนที่สมดุล


รวมถึงผลิตภัณฑ์ “เจียวกู่หลาน” ที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเครียด แก้หวัดลดไข้ ต้านอนุมูลอิสระ ลดคอเลส เตอรอล ลดความดันเลือด ลดอาการเสี่ยงของโรคหัวใจ ลดอาการหอบหืด บำรุงประสาทและสมอง และเครื่องดื่มฟื้นฟูกำลัง “เพาเวอร์แซน” เป็นต้น


...ซึ่งนอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ที่จะนำเข้ามาสู่ตลาดเครือข่ายแล้วนั้น ทางแซนสยามยังได้ มีโปรโมชั่นการขึ้นตำแหน่งและมีรางวัลอีกมากมายสำหรับสมาชิก เช่น ใครที่สามารถขึ้นตำแหน่งสูงสุด Crown Diamond ก็จะได้รถ Mercedes-Benz รุ่น C-Class มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท ตำแหน่ง Emerald ได้รับรถนิสสันนาวารา โดยในปีนี้ มีผู้ทำสำเร็จขึ้นตำแหน่ง Emerald แล้ว คือ อ.บุญเลิศ วิเศษ เป็นผู้นำสมาชิก จ.นครราชสีมา และจะมารับรถในเดือนมิถุนายนนี้


พร้อมกันนี้ แซนสยามยังได้มีรางวัลพิเศษ เป็นรางวัลท่องเที่ยวต่างประเทศให้อีกปีละ 2 ครั้ง ซึ่งล่าสุดแซนสยามได้นำคณะสมาชิกไปประเทศเกาหลีเมื่อวันที่ 27-31 มีนาคม ที่ผ่านมา และปลายปีนี้ได้เตรียมวางโปรแกรมพาสมาชิกไปเที่ยวประเทศเวียดนามในลำดับต่อไป


นอกจากนี้ ทางด้านนายสมชาย ยังได้กล่าวถึง รายการแคมเปญมอบโชคยกลัง ในช่วงที่ผ่านมาว่า แคมเปญดังกล่าว ถือได้ว่าได้รับการตอบรับที่ดีมาก โดยต่อไปทางบริษัทฯ คาดว่า จะมีการจัดแคมเปญดีดีให้อีก ซึ่งอาจจะจัดให้ได้ทุกๆ ปี เพื่อให้สมาชิกและลูกค้าของเรามีสิทธิ์ลุ้นรับโชค ซึ่งถือว่าเป็นการกสร้างความพึงพอใจและให้ความสำคัญแก่สมาชิกของเรา


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1295 ประจำวันที่ 28-4-2012 ถึง 1-5-2012       

‘ดีไลฟ์’ เดินเครื่องเขย่าตลาดภูธร เปิดสาขาใหม่ขอนแก่นกระชับพื้นที่


“ดีไลฟ์” เปิดเกมรุกตลาดภูธร หวังสร้างฐานธุรกิจกรุยทางสู่อาเซียน...ล่าสุดเปิดสาขาแห่งใหม่ที่จังหวัดขอนแก่นหวังสร้างการรับรู้แก่ผู้บริโภค...เผยปีนี้ ดีไลฟ์เตรียมบุกตลาดแบบเต็มอัตราศึก ทั้งในส่วนของการขยายสาขา การขยายโรงเรียนสอนธุรกิจ DNA ตามภูมิภาคต่างๆ พร้อมรุกสื่อแบบครบเครื่องทั้งเคเบิ้ลทีวี สื่อวิทยุ สื่อออนไลน์และสิ่งพิมพ์ หมายพิชิตเป้าสิ้นปี 500 ล้าน...ลั่น! ปี’57 เป้า 1,000 ล้านไม่ไกลเกินฝัน

ปัจจุบันนี้ หากพูดถึงเกมการแข่งขันใน “ธุรกิจขายตรง” แล้วล่ะก็ จะพบว่า เป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีการช่วงชิงความได้เปรียบทางธุรกิจกันอย่างสนุกทีเดียว ที่สำคัญ ต้องบอกว่า ธุรกิจนี้หากใครที่เปิดเกมรุกทางธุรกิจที่โดนใจสมาชิกหรือผู้บริโภคเมื่อไหร่แล้ว เชื่อได้เลยว่า โอกาสที่จะเติบโตแบบยิ่งใหญ่ในธุรกิจนี้ก็มีสูงด้วยเช่นกัน!...

เช่นเดียวกับธุรกิจขายตรงที่ชื่อ “บริษัท ดีไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” ภายใต้การนำทัพของ “เทวัญ ดีใจงาม” ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้ง และ “ต้องจิต ฆโนทัย” กรรมการผู้จัดการ ซึ่งต้องบอกว่า ปีนี้ถือเป็นอีกหนึ่งปีที่ 2 ผู้บริหารท่านนี้ เตรียมที่จะสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับธุรกิจดีไลฟ์ เพื่อการเติบโตก้าวสู่ปีที่ 7 อย่างยิ่งใหญ่ทีเดียว...เห็นได้จาก ในเวลานี้ “ดีไลฟ์” เอง เริ่มที่จะออกมาเขย่าธุรกิจกันตั้งแต่ต้นปีด้วยการประกาศจัดทัพมุ่งสู่ตลาดภูธรมากขึ้นกว่าในปีที่ผ่านมานั่นเอง

…จะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลาการดำเนินธุรกิจของค่ายนี้นั้น พร้อมที่จะมีการเคลื่อนทัพธุรกิจอยู่ทุกเมื่อ หากทุกอย่างมีความพร้อมจริง และสัมผัสได้จริง!...เห็นได้จากในช่วง 6 ปีที่ผ่านมาและกำลังก้าวสู่ปีที่ 7 นั้น ค่ายนี้ประสบความสำเร็จมาอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญยังถือเป็นบริษัทขายตรง ที่ในช่วงที่ผ่านมา เรียกได้ว่าไม่ค่อยจะมีการโฆษณา ผ่านสื่อต่างๆ มากนัก แต่สามารถยืนหยัดอยู่ในวงการขายตรงนี้ได้ นั่นก็หมายความว่า “ดีไลฟ์” ย่อมต้องมีดีจริงอย่างแน่นอน!!...

เห็นได้จาก ล่าสุดของดีที่กำลังจะแผ่กระจายไปทั่วภูมิภาคของประเทศไทย นั่นก็คือ การเปิดเกมรุกตลาดภูธรแบบเต็มแรง เพื่อหวังที่จะสร้างฐานธุรกิจให้เติบโตและยิ่งใหญ่ ด้วยการเปิดสาขาแห่งใหม่ในภาคอีสานที่จังหวัดขอนแก่นนั่นเอง

...“ปีนี้ ดีไลฟ์ เตรียมที่จะบุกตลาดแบบเต็มอัตราศึก ทั้งในส่วนของการขยายสาขา และการขยายโรงเรียนสอนธุรกิจ DNA ตามภูมิภาคต่างๆ โดยในปีนี้ ดีไลฟ์จะมุ่งเน้นไปที่ภาคอีสานเสียส่วนใหญ่ ที่ถือเป็นเป้าหมายหลักของบริษัทฯ โดยสาขาที่จะเปิดใหม่ในปีนี้นั้น ประกอบด้วย ขอนแก่น, อุบลราชธานี และร้อยเอ็ด ซึ่งสาขาแห่งใหม่ล่าสุดในจังหวัดขอนแก่นนั้น ตั้งอยู่บนห้างโลตัสขอนแก่น และเชื่อว่าสาขาดังกล่าวนี้ น่าที่จะเป็นอีกหนึ่งแห่งที่จะช่วยสร้างธุรกิจดีไลฟ์ ให้ผู้บริโภคได้รู้จักด้วยเช่นกัน”...

โดยการเลือกเปิดสาขาแห่งใหม่ที่จังหวัดขอนแก่นนั้น นายเทวัญ ดีใจงาม บอสใหญ่ค่าย “ดีไลฟ์” ได้เล่าว่า...“สาเหตุที่เลือกเปิดสาขาใหม่ที่จังหวัดขอนแก่นนั้น มองว่าในพื้นที่ดังกล่าวค่อนข้างมีขายตรงที่เข้ามาเปิดน้อยมาก ในขณะเดียวกัน การเปิดสาขาที่ขอนแก่น ถือเป็นการสร้างความมั่นใจว่าธุรกิจดีไลฟ์ เป็นธุรกิจที่มีความมั่นคง รากฐานแข็งแกร่ง และต้องบอกว่า การที่เราเลือกเปิดสาขาที่ห้างโลตัสนั้น ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปิดได้ เนื่องจากต้องผ่านหลายขั้นตอนพอสมควร และการที่ดีไลฟ์เข้ามาเปิดธุรกิจขายตรงที่ห้างโลตัสได้ ยอมต้องเป็นธุรกิจที่ไม่ธรรมดาด้วยเช่นกัน”

นายเทวัญ บอกต่ออีกว่า ในปีนี้ที่ ดีไลฟ์ฯ มุ่งเน้นทำตลาดในภาคอีสานเป็นหลัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสมาชิกส่วนใหญ่ของดีไลฟ์เป็นคนภาคอีสาน ในขณะเดียวกันยังเห็นว่าภาคอีสานน่าที่จะเป็นประตูสำคัญสู่ตลาดอาเซียนในปี 2558 นี้ได้ด้วย

...เรียกได้ว่า การรุกตลาดเครือข่ายสู่ห้างดังของค่าย “ดีไลฟ์” เป็นอีกหนึ่งก้าวย่างที่สำคัญของธุรกิจอย่างมากทีเดียว เพราะหากก้าวเดินได้อย่างตรงจุด และตรงกลุ่มเป้าหมาย อนาคตของธุรกิจที่จะยิ่งใหญ่ก็ย่อมเป็นเรื่องที่ง่ายเช่นกัน…เหมือนอย่างที่ค่าย “ดีไลฟ์” กำลังทำอยู่นั่นเอง!...พร้อมกันนี้ ทางบอสใหญ่ “ดีไลฟ์” ยังประกาศที่จะขยายสาขาบนห้างดังในอนาคตอันใกล้นี้อีกด้วย!..รวมถึงตั้งเป้าที่จะมีศูนย์กระจายสินค้าเกิดขึ้นในปีนี้ประมาณ 1,000 แห่ง

นอกจากนี้ เครื่องมือในการสร้างความยิ่งใหญ่ของ “ดีไลฟ์” ไม่ใช่มีเพียงแค่การรุกเปิดสาขาใหม่ตามภูมิภาคต่างๆ เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหนึ่งหัวหอกที่สำคัญ ในการสร้างผู้นำสู่ความเป็นมืออาชีพในธุรกิจขายตรงนี้ด้วยนั่นก็คือ “โรงเรียนสอนธุรกิจ” ที่ปัจจุบัน “ดีไลฟ์” ได้เปิดให้มีโรงเรียนดังกล่าวไปบ้างแล้ว อาทิ พิษณุโลก, เชียงใหม่, อุบลราชธานี, อุดรธานี,นครราชสีมา และชลบุรี เป็นต้น

...“จุดเด่นที่ทำให้ “ดีไลฟ์” ก้าวมาสู่จุดนี้ได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรามีสินค้าที่ครอบคลุมทุกกลุ่ม รวมถึงมีแผนการตลาดที่ยอดเยี่ยม เพราะเห็นได้จากการเปลี่ยนแผนจากสแตร์สเต็ปเป็นวีคสตรอง ยอดขายมีอัตราการเติบโตถึง 300% ทีเดียว นอกจากนี้ ดีไลฟ์ ยังมีจุดเด่นในเรื่องของการฝึกอบรมที่มีโรงเรียนสอนธุรกิจให้สมาชิกดีไลฟ์มีความเป็นมืออาชีพ และหากวันนี้ดีไลฟ์ไม่มีจุดเด่นที่เพียงพอ เชื่อว่าธุรกิจคงไม่อยู่ถึงวันนี้อย่างแน่นอน”...

ส่วนเป้าหมายยอดขายสิ้นปีนี้นั้น “เทวัญ” กล่าวย้ำว่า ขอพิชิตยอดขายที่ 500 ล้านบาท พร้อมกับมียอดขายแตะอยู่ที่ 1,000 ล้านบาท ในปี 2557...ซึ่งเป้าหมายที่ “ดีไลฟ์” วางไว้นั้น ถือเป็นการพิสูจน์กึ๋นของค่ายนี้ได้เลยว่า จะสามารถทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้หรือไม่ ซึ่งเชื่อว่าคงไม่น่าที่จะเกินเป้าหมายคว้าของทั้ง 2 ผู้บริหารค่ายนี้อย่างแน่นอน

เห็นได้จากการเตรียมโหมโรงธุรกิจด้วยการที่จะใช้สื่อทีวีดาวเทียมเป็นหัวหอกที่สำคัญในการทำตลาดนับจากนี้ต่อไป พร้อมกับสื่อวิทยุชุมชนและการประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ต่างๆ รวมถึงการทำตลาดผ่านสื่อออนไลน์เพื่อรีครูทคนกลุ่มใหม่เข้ามาสู่ธุรกิจดีไลฟ์อีกด้วย

...“ที่ผ่านมา ดีไลฟ์ ถือได้ว่า ไม่ค่อยที่จะใช้สื่ออะไรมากนัก โดยในปีนี้ ดีไลฟ์พร้อมที่จะรุกสื่ออย่างเต็มที่ ซึ่งตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา ต้องบอกว่าดีไลฟ์ต่างเจออุปสรรคต่างๆ มามากมายทีเดียว แต่ก็ยังสามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มาได้ โดยวันนี้เหลือเพียงแค่การรุกสื่ออย่างเดียวที่เรายังทำไม่เต็มที่ แต่เชื่อว่า นับจากนี้เป็นต้นไป ดีไลฟ์จะหันมารุกสื่อต่างๆ มากขึ้น เพื่อเป็นการตอกย้ำความมั่นคงของธุรกิจให้แก่ผู้บริโภคได้รับรู้”...

นับได้ว่า จากความพร้อมของ “ดีไลฟ์” ที่เริ่มก่อตัวให้เห็นภาพชัดเจนมากขึ้นนี้เอง จึงทำให้บอสใหญ่อย่าง “เทวัญ” จึงได้เล็งเห็นว่า การใช้สื่อคือ อีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยทำให้ธุรกิจเกิดการรับรู้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง...โดย “เทวัญ” ยังกล่าวย้ำต่ออีกว่า “วันนี้บริษัทฯ ต้องการที่จะสร้างแบรนด์ให้ผู้บริโภคเกิดการรับรู้ ด้วยการใช้สื่อต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นสื่อวิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์ และรวมไปถึงการโฆษณาผ่านเคเบิ้ลทีวี และเชื่อว่าหลังจากที่บริษัทฯ รุกสื่ออย่างเต็มที่ในปีนี้แล้ว เป้าหมายทุกอย่างที่บริษัทฯ ได้วางไว้ก็น่าที่จะตรงตามเป้าหมายด้วยเช่นกัน”

นอกจากนี้ “ดีไลฟ์” ยังเตรียมที่จะเน้นการใช้สินค้านำร่องตลาด ด้วยสินค้าพระเอกคือ โสมสกัดเม็ด “ดีไลฟ์ จินสโรเจน” ในการปูทางธุรกิจ ไปพร้อมๆ กับสินค้าในหมวดความงาม อย่างล่าสุดดีไลฟ์ ได้เปิดตัวสินค้าใหม่ที่ชื่อ “เดอ ลูคอง ซีรั่ม ซันสกรีน SPF PA+++” เป็นซีรัมกันแดดเมื่อไม่นานมานี้เอง ซึ่งได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมทีเดียว

…โดยทางด้าน “ต้องจิต ฆโนทัย” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ดีไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยังได้พูดถึงในส่วนของผลิตภัณฑ์ดีไลฟ์อีกว่า “นโยบายหลักของดีไลฟ์จะเน้นในเรื่องของผลิตภัณฑ์เป็นหลัก โดยคุณภาพจะต้องมาก่อน สินค้าทุกตัวจะต้องตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ และมีความหลากหลาย รวมถึงต้องมีคุณภาพ เพราะเราเชื่อว่าหากสินค้ามีคุณภาพ ธุรกิจก็จะสามารถอยู่ได้ในระยะยาว ที่สำคัญ สินค้าของดีไลฟ์ทุกตัวราคาไม่แพงด้วย”

“ต้องจิต” เผยต่ออีกว่า ก่อนที่ “ดีไลฟ์” จะออกสินค้าแต่ละตัวนั้น จะมีการสำรวจความต้องการของสมาชิกก่อนว่า อยากที่จะได้อะไร และสินค้าทุกตัวเรียกได้ว่าค่อนข้างมีมาตรฐานอย่างมาก เพราะจะมีการจดลิขสิทธิ์ รวมถึงสูตรที่จะมีการจดในกรมทรัพย์สินทางปัญญาที่ถือเป็นแบรนด์ของดีไลฟ์ ทำให้สมาชิกสามารถมั่นใจได้เลยว่า ไม่มีใครที่จะสามารถเอาสินค้าของดีไลฟ์ไปละเมิดลิขสิทธิ์ได้อย่างแน่นอน

... “เทวัญ” กล่าวเสริมต่ออีกว่า ธุรกิจดีไลฟ์จะมีความพิเศษตรงที่ว่า จะไม่มีการแบ่งพรรคแบ่งพวกกัน เพราะมองว่ากลุ่มคนจำพวกนี้เมื่อทำธุรกิจในระยะยาวแล้วจะล้มเหลวอย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้เองที่ทำให้บริษัทฯ จึงได้มีการปลูกฝังไว้ตั้งแต่เริ่มต้นว่า สมาชิกทุกคนควรที่จะต้องช่วยเหลือกัน ด้วยการสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ดี และสามารถส่งต่อความสำเร็จจากรุ่นหนึ่งไปสู่อีกรุ่นหนึ่งได้ด้วย

“การที่ดีไลฟ์มีการสร้างคนคนหนึ่งให้ประสบความสำเร็จได้นั้น ต้องบอกว่า เรามีจุดเด่นตรงที่มีโรงเรียนสอนธุรกิจ ที่สามารถสร้างคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย ให้เขานั้นได้มาเป็นนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จและเป็นมืออาชีพ ซึ่งตรงนี้เอง ถือเป็นหัวใจของดีไลฟ์เลยที่ได้มีการพิสูจน์มาโดยตลอด และวันนี้ดีไลฟ์ ก็ได้พิสูจน์ว่ามีคนที่ จบ ป.4 และสามารถมีรายได้เดือนละเป็นแสนได้ ซึ่งเราเองขอสัญญาว่าจะไม่หยุดที่จะสร้างคนให้สำเร็จเพียงแค่นี้อย่างแน่นอน และพร้อมที่จะมีการพัฒนาไปเรื่อยๆ อีกด้วย”

...เรียกได้ว่า วันนี้ “ทุกบริษัท” ต่างมี “จุดหมายปลายทาง” เป็นของตนเองแทบทั้งนั้น ขึ้นอยู่กับว่า “ค่ายไหน บริษัทไหน” จะสามารถไต่ระดับและถีบตนเองไปถึงฝั่งฝันได้หรือไม่เท่านั้นเอง ที่สำคัญ “ฝีมือต้องดี” และ “ฐานที่มั่นต้องแกร่ง” ถึงจะอยู่ในสนามรบได้อย่าง “สง่าผ่าเผย”

เฉกเช่นค่าย “ดีไลฟ์” ที่ ณ ชั่วโมงนี้ได้พิสูจน์ถึง “กึ๋นทางธุรกิจ” แล้วว่าไม่ใช่ธรรมดาทีเดียว..อย่างไรก็ตาม หากวันนี้ “ดีไลฟ์” ถ้า “คิดจะยิ่งใหญ่” ใน “สมรภูมิขายตรง” มากกว่านี้ต้อง “กล้าได้ กล้าเสีย” และ “บ้าบิ่น” พอสมควร เชื่อว่า ถ้าค่ายนี้ “สู้แบบยิบตา” อนาคตที่จะยิ่งใหญ่มากกว่านี้ก็มีสิทธิ์เป็นไปได้เช่นกัน!...

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1295 ประจำวันที่ 28-4-2012 ถึง 1-5-2012