ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันศุกร์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข่าวแอมเวย์ (Amway Thailand) : โครงการ "One by One: เปิดโลกกว้างทางปัญญา"


หนึ่งเสียงของท่าน สรรค์สร้างความรู้ สู่ผู้พิการทางสายตา
กับโครงการ "One by One: เปิดโลกกว้างทางปัญญา"
กิจกรรมหนังสือเสียง

มูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทยขอเรียนเชิญท่านที่ผ่านการฝึกอบรมทักษะการอ่านหนังสือเสียง
กับมูลนิธิ ร่วมลงทะเบียนเลือกวัน เวลา และเรื่องหนังสือที่ประสงค์จะอ่านบันทึกเสียง
เพื่อผู้พิการทางสายตา


ร่วมลงทะเบียนจองอ่านหนังสือเสียงเพื่อผู้พิการทางสายตา
ได้ตั้งแต่วันที่ 4 - 20 ก.ย. 55

กำหนดวันที่เปิดให้มีการอ่านบันทึกเสียง
คือ วันอังคาร วันพุธ วันศุกร์ และวันเสาร์ของทุกสัปดาห์
โดยเริ่มตั้งแต่ วันที่ 9 ต.ค. - 4 ธ.ค. 55
(ยกเว้นวันอังคารที่ 23 ต.ค. 55 และวันเสาร์ที่ 1 ธ.ค. 55)

อ่านบันทึกเสียง ณ ห้องบันทึกเสียง
บริเวณอาคารสำนักงาน ชั้น 1 บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด
เลขที่ 1199/1 ถนนรามคำแหง หัวหมาก บางกะปิ กรุงเทพฯ 10240


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด

วันพฤหัสบดีที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข่าวกิฟฟารีน (Giffarine Thailand) : Giffarine Champs of the Champs ก้าวนำอย่างแตกต่างในทุกมิติ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด

ข่าวกิฟฟารีน (Giffarine Thailand) : ร่วมงานเสวนาส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs

[gallery link="file" columns="2"]


พ.ญ. นลินี ไพบูลย์ ได้รับเชิญร่วมงานเสวนาส่งเสริมการพัฒนาศักยภาพผู้ประกอบการ SMEs ร่วมด้วยดร.วราทัศน์ วงศ์สุรไกร ประธานกรรมการบริหาร บริษัทโรงเส้นหมี่ชอเฮง จำกัด คุณโชค บูลกุล กรรมการผู้จัดการ กลุ่มบริษัทฟาร์มโชคชัย และคุณวศินบุรี สุพานิชวรภาชน์ ผู้บริหาร ห้างหุ้นส่วนเถ้าฮงไถ่ (ผู้ผลิตเซรามิค และโอ่งราชบุรี) ร่วมงานเสวนา ภายใต้หัวข้อ Innovation : A New Era of AEC นวัตกรรมนำไทยกล้า...ท้า AEC โดยได้รับเกียรติจาก ท่านรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง เป็นองค์แสดงปาฐกถาพิเศษในหัวข้อ AEC: โอกาสของธุรกิจไทย พร้อมทั้งมีการออกบูธแสดงผลิตภัณฑ์นวัตกรรม ณ โรงแรมสยามเคมปินสกี้ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด

ข่าวกิฟฟารีน (Giffarine Thailand) : พ.ญ. นลินี ไพบูลย์ ร่วมบรรยายพิเศษให้กับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ

[gallery link="file" columns="2"]


พ.ญ. นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ได้รับเชิญเป็นวิทยากรบรรยายพิเศษ ภายใต้หัวข้อ ประสบการณ์ มุมมอง และวิสัยทัศน์ จากผู้บริหาร สู่งานวิจัย โดยได้แสดงวิสัยทัศน์ เกี่ยวกับการบริหารงาน พร้อมแลกเปลี่ยนประสบการณ์ มุมมอง และความคาดหวังของภาคอุตสาหกรรมต่องานวิจัยไทย โดยมี ดร. ทวีศักดิ์ กออนันตกูล ผู้อำนวยการสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ ให้เกียรติเป็นประธานกล่าวต้อนรับ พร้อมผู้บริหารและเจ้าหน้าที่จาก สวทช. กว่า 100 คน เข้าร่วมฟังบรรยาย ณ ห้อง Auditorium อาคารสำนักงานกลาง (CO113) อุทยานวิทยาศาสตร์ประเทศไทย สำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ เมื่อเร็วๆ นี้


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด

ข่าวกิฟฟารีน (Giffarine Thailand) : ขอแสดงความยินดีกับ พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ เข้ารับพระราชทานปริญญาปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์

[gallery link="file"]


พ.ญ. นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เข้ารับพระราชทานปริญญาบัตรปรัชญาดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ สาขาวิชาการจัดการเทคโนโลยีจากมหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร เมื่อวันที่ 16 สิงหาคม 2555 ณ สวนอัมพร โดยมีคุณวิเชียร วงษ์สุรไพฑูรย์ ที่ปรึกษาด้านสินค้าสวัสดิการ คุณชุติมา นิ่มสุวรรณ ผู้อำนวยการฝ่ายตรวจสอบภายใน คุณพงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการตลาด พร้อมทั้งตัวแทนผู้บริหาร และพนักงานจาก บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด มอบช่อดอกไม้ร่วมแสดงความยินดี


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด

ข่าวกิฟฟารีน (Giffarine Laos) : พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ เปิดโชว์รูมกิฟฟารีนแห่งใหม่ ณ นครเวียงจันทน์ สปป.ลาว

[gallery link="file" columns="2"]


บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด นำโดย พ.ญ. นลินี ไพบูลย์ (ที่ 3จากขวา) ประธานกรรมการ เปิดโชว์รูมกิฟฟารีนแห่งใหม่ ณ นครเวียงจันทน์ สาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวเพื่อเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการกระจายสินค้าให้แก่สมาชิกและผู้บริโภค โดยได้รับเกียรติจากท่านสมสะหวาด เล่งสะหวัด(ที่ 3 จากซ้าย) รองนายกรัฐมนตรีจาก สปป.ลาว ท่านบุญกอง สีหะวงศ์(ซ้ายสุด) รองรัฐมนตรีสาธารณสุข จากสปป.ลาวท่านวิทวัส ศรีวิหค(ที่ 2 จากขวา) เอกอัคราชทูตไทยประจำสปป.ลาวน.พ.กระแส ชนะวงศ์ (ที่ 2 จากซ้าย) นายกสภามหาวิทยาลัยนเรศวรอดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ผู้ได้รับรางวัลรามอน แมกไซไซ สาขาผู้นำชุมชน และท่านนิวรณ์ เนียวสายคำ หัวหน้ากรมส่งเสริมบรรยากาศการลงทุน จากสปป.ลาว (ขวาสุด) ร่วมแสดงความยินดีณ โรงแรม ลาวพลาซ่า เวียงจันทน์เมื่อเร็วๆ นี้


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด

วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ไบโอครอป เซ็นเตอร์ (BioCrop Center): สัมภาษณ์อาจารย์ชัยโรจน์ เจาะลึกแบบถึงแกร่นกับ "ไบโอครอป เซ็นเตอร์"








อาทิตย์ที่แล้วทีมงาน ไทยเอ็มแอลเอ็มนิวส์ดอทคอม(www.thaimlmnews.com) มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้มีโอกาสสัมภาษณ์กับอาจารย์ชัยโรจน์ ผู้บริหาร ไบโอครอป เซ็นเตอร์(BioCrop Center) ผู้ซึ่งมุ่งหวังอย่างแท้จริงให้คนไทยได้ใช้สินค้าที่มีคุณภาพที่ดีและสร้างอาชีพที่มีรายได้อย่างยั่งยืนให้แก่คนไทยทั้งประเทศ









1.ขอถามอาจารย์ชัยโรจน์ ถึงความเป็นมาของทางบริษัทไบโอครอปก่อนครับว่ามีความเป็นเช่นไรบ้าง


บริษัทของเรามีความชำนาญในการผลิตปุ๋ยและเคยจัดจำหน่ายระบบซิงเกิ้ลมาก่อนมาเป็นเวลาไม่น้อยกว่า 15 ปี และมาจัดทำระบบธุรกิจเครือข่ายในเดือนมิถุนายนปี 2554 สาเหตุที่เข้ามาระบบธุรกิจเครือข่ายวัตถุประสงค์ของเราคืออยากเอาความชำนาญด้านประสิทธิภาพของปุ๋ยเราส่งให้ถึงมือพี่น้องชาวเกษตรกรพร้อมบริการที่ดีเยี่ยมโดยให้ความรู้ความเข้าใจต่อพี่น้องชาวเกษตรกรอย่างแท้จริงและสามารถสร้างรายได้ให้แก่ผู้อื่นได้อีกด้วย



2.ในมุมมองของอาจารย์ระหว่างตลาดซิงเกิ้ลกับธุรกิจเครือข่ายของปุ๋ยอันไหนมีความยากง่ายกว่ากันครับ


ถ้าในเรื่องของซิงเกิ้ลค่อนข้างจะง่ายกว่าเล็กน้อยเพราะ เป้าหมายนั้นคือผู้บริโภคโดยตรงแต่ถ้าเป็นระบบเครือข่ายคือมีความหลากหลายกว่าในหลายๆ ด้าน เช่น การที่จะหาอุดมการณ์เดียวกับเราจริงๆ พร้อมที่จะก้าวเดินไปกับไบโอครอปค่อนข้างจะหายากกว่า แต่ไม่ใช่ปัญหาที่ยากเท่าไหร่ซึ่งข้อดีของตลาดเครือข่ายเนี่ยเราเปิดมาปีเศษๆ ระบบเครือข่ายมีการเจริญเติบโตรวดเร็วกว่าตลาดซิงเกิ้ลมากๆ ถ้าเทียบในเวลาที่เท่ากัน



3.รบกวนเล่าความเป็นมาของท่านประธานไบโอครอปให้ทราบโดยสังเขปทีครับ


ท่านบุญศักดิ์ เจริญคุปต์ ประธานไบโอครอปนั้น เป็นนักเรียนนอกจบจากมหาวิทยาลัยต่างประเทศ (ญี่ปุ่น) มาในสาขาวิศวกรไฟฟ้าและถือได้ว่าเป็นนักธุรกิจเกี่ยวกับงานไฟฟ้าแนวหน้าของประเทศไทย แต่หันมาทำธุรกิจปุ๋ยจนมีชื่อเสียงและมองว่าเครือข่ายไม่ค่อยมีคู่แข่งที่แท้จริงซักเท่าไหร่นัก เพราะฉะนั้นท่านจึงทำอย่างเต็มที่และใช้สารตั้งต้นในการผลิตปุ๋ยอินทรีย์ทีมีประสิทธิภาพและแตกต่างกว่าบริษัทอื่นๆ ซึ่งสามารถจะทำตลาดได้โดยง่ายกว่าบริษัทอื่นๆ เหมือนเป็นอาวุธให้กับทางแม่ทีม ซึ่งของเรามีปุ๋ยนวัตกรรมใหม่มีสารพีเนอเจอติกเป็นปุ๋ยพลังงานคลื่นความถี่ มันเป็นการเกษตรที่นำยุคไปแล้ว ถ้าจะทำการเกษตรแบบเดิมๆ คงสู้เขาไม่ได้และเรายังมีโรงงานผลิตสินค้าของเราเองอีกด้วย



4.อยากถามเป้าหมายของทางบริษัทไบโอครอป


ปกติแล้วทางขายตรงทั่วไปมองยอดขายรวมการจำหน่ายสินค้าเป็นหลัก แต่ทางบริษัทไบโอครอปมองถึงตัวแทนจำหน่ายที่เกิดขึ้นเป็นหลักมากกว่า ซึ่งทางเราเล็งเห็นถึงการสร้างตัวแทนจำหน่ายเป็นหลักโดยเฉพาะช่วงต้นปีจนถึงช่วงสิงหาคมนี้มีการขยายถึงมากกว่า 70 แห่ง ทางเราไม่ไช่เปิดศูนย์เซ็นเตอร์ของบริษัทเองแต่เกิดจากตัวแทนจำหน่ายมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของเราและเข้ามาร่วมลงทุนอย่างแท้จริงทำได้เพราะคุณภาพของปุ๋ย
ไบโอครอปล้วนๆ เพราะถ้าเกษตรกรได้ลองใช้สินค้าของเราแล้วได้ผลผลิตที่ดีจึงเล็งเห็นว่าสินค้าเรานั้นดีจริงจึงอยากเข้ามาร่วมลงทุนด้วย 1.ตัวเองได้ใช้ 2.ได้ให้กับคนรอบข้างได้ใช้สินค้าที่ดี 3.ได้สร้างรายได้ให้แก่ชุมชนอีกด้วย และที่สำคัญทางเราเล็งเห็นถึงการสร้างระบบเครือข่ายที่ยั่งยืนได้ ซึ่งส่วนแบ่งการตลาดปุ๋ยในประเทศไทยมีมากกว่าแสนล้านบาท ทางเรามองว่าจะแชร์ออกมาเพียง 1% ( ก็พันล้านแล้วครับ ) ก็ไม่ใช่เรื่องยากและไม่ไกลกับไบโอครอปเลยแม้แต่นิดเดียวซึ่งถ้ามองไปอีก 3 ปีข้างหน้า ส่วนระบบการพัฒนาคน ทางบริษัทไบโอครอปเน้นเป็นสำคัญควบคู่ไปกับตลาดเลยทีเดียวครับ



5.แผนการตลาดที่จะช่วยประชาสัมพันธ์สินค้าของทางไบโอครอป ไม่ทราบว่ามีสื่อไหนบ้างเพื่อช่วยกระตุ้นยอดขายให้กับตัวแทนของเรา


เรามีลงโฆษณากับทางนิตยสารเพื่อการเกษตรต่างๆ โดยเฉพาะนิตยสาร ไม่ลองไม่รู้ ที่เป็นนิตยสารอยู่คู่กับเกษตรกรมายาวนานมากกว่า 10 ปีและยังมี คลื่นวิทยุชุมชน อีกซึ่งถ้าใครเปิดสาขาตัวแทนจำหน่ายกับทางเราสามารถยื่นขอสิทธิ์ประชาสัมพันธ์ผ่านคลื่นวิทยุชุมชนได้ ซึ่งทางเราเป็นฝ่ายให้การสนับสนุนด้วยซึ่งทางเราจะมีการทำส่วนอื่นๆ ถ้าใครร่วมลงทุนแล้วจึงมั่นใจได้อีกว่าทางไบโอครอปได้ประชาสัมพันธ์ให้เป็นที่รู้จักไปทั่วประเทศอย่างแน่นอน ซึ่งเราจะมีงาน รวมใจชาวไบโอครอป ประจำแต่ละภาคเป็นประจำซึ่งภาคไหนจำหน่ายได้ 200 ตันทางเราจะมีการจัดเลี้ยงให้อย่างดีเหมือนเป็นการปูพื้นให้กับตัวแทนเป็นที่รู้จักในพื้นที่ภูมิภาคมากยิ่งขึ้น



6.ตอนนี้ตั้งเป้ากระจายสินค้าไปยังตลาดต่างประเทศบ้างหรือยังครับ


ตลาดธุรกิจเครือข่ายต่างประเทศ หลายประเทศที่มีแม่ทีมขยายออกไป เช่น ลาว มาเลเซีย เขมร พม่า น่าจะเปิดตลาดได้ดีในอนาคตอันใกล้นี้ครับ



7.ในส่วนของตลาด AEC ที่จะเกิดขึ้นในอนาคตมีแผนที่จะรับมือกับส่วนนี้อย่างไรบ้างครับ


ด้วยสินค้าของเราได้รับการยอมรับจากหลายๆ ประเทศอยู่แล้วและประเทศไทยก็ขึ้นชื่อว่าเป็นประเทศแห่งการเกษตรและมีผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรแข็งแกร่งกว่าประเทศอื่นๆ อยู่แล้วซึ่งเรามีนักวิจัยที่ดี มีโรงงานที่ดี มีวัตถุดิบที่ดี เพราะฉะนั้นในส่วนนี้เราไม่รู้สึกวิตกกังวลแม้แต่น้อยทางฝ่ายประเทศอื่นๆ ต้องกลัวเรามากกว่าเพราะเราจะไปเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับเขาอีก 3 ปีข้างหน้า



8.ถามหน่อยครับ ทำไมตัวแทนจำหน่ายหรือว่าแม่ทีมต่างๆ ถึงต้องเข้ามาร่วมกับทางไบโอครอปครับ มีข้อดีอย่างไรบ้าง


แม่ทีมตั้งแต่รุ่นแรกจนถึงปัจจุบันนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ส่วนนี้สืบเนื่องจากสินค้าของเรามีคุณภาพโดยเฉพาะผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร เขาไม่ได้มองตัวแผนการตลาดเป็นหลัก ผู้บริโภคได้นำสินค้าของเราไปใช้แล้วมีคุณภาพลูกค้าติดใจโทรหาแม่ทีมเองเลย สินค้าของเราขายง่ายทำให้แม่ทีมของเราติดใจในส่วนนี้เป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นการซื้อซ้ำตลอด และมีแนะนำให้ผู้อื่นรู้จักโดยปากต่อปากว่าสินค้าเราดีมีคุณภาพ ซึ่งหากสินค้าเราไม่ได้มารตฐานลูกค้าซื้อสินค้ากับเราเพียงครั้งเดียวก็จบสมาชิกเราก็จะขายลำบาก



9.ตรงนี้ขอทราบราคาของสินค้าไบโอครอปหน่อยได้ไหมครับ ถ้าเปรียบเทียบกับทางตลาดทั่วไปแล้วถูกหรือแพงมากกว่ากัน


สินค้าไบโอครอปถ้าเทียบกับปุ๋ยอินทรีย์ตามท้องตลาดแล้วราคาพอกัน แต่สำหรับเราไบโอครอบ เราเชื่อว่าถูกกว่า เพราะขบวนการผลิตตรงนี้เรามีที่มาที่ไปเพราะปุ๋ยอินทรีย์ เรามีสารตั้งต้นเหมือนทั่วๆ ไปก็จริง แต่ไบโอครอป
ยังมี แร่อะโซไมท์ แร่ไคลน๊อพติโลไลท์ เป็นสารตั้งต้น ซึ่งสารตั้งต้น 2 ตัวนี้เรานำมาจากต่างประเทศได้แก่รัสเซียและอเมริกา ส่วนสารตั้งต้นพีเนอเจอติกก็นำมาจากอเมริกาเช่นกัน ซึงสารตั้งต้นตัวนี้โรงงานอื่นๆ ไม่มีเหมือนเช่นโรงงานเรา เรากล้าพูดได้เลยว่าเปิดมา 1 ปี สินค้าเรายังไม่เคยถูกตีคืนเลย



10.ไม่ทราบว่าโรงงานผลิตปุ๋ยของทางไบโอครอปตั้งอยู่ที่ไหน แล้วสามารถเข้าชมโรงงานได้ไหมครับ


โรงงานตั้งอยู่ที่อำเภอกำแพงแสน จังหวัดนครปฐม ถ้าหากใครสนใจสามารถเข้ามาชมโรงงานได้เลยครับ และปกติแม่ทีมก็จะพาผู้ที่สนใจไปชมโรงงานทุกเดือน ซึ่งเสาร์ที่สองของเดือนก็จะเข้ามาชมโรงงานกันตลอด ถ้าหากท่านใดสนใจเข้าขมโรงงานสามารถติดต่อกับแม่ทีมไบโอครอปได้ทั่วประเทศ ส่วนชื่อโรงงานมีชื่อว่า กำแพงแสนอโกรเทค ซึ่งโรงงานเรามีกำลังการผลิตถึงวันละ 500 - 600 ตัน แถมยังได้รับการส่งเสริมจาก BOI แล้วผ่านการรับรองจาก ISO 9001 - 9002 อีกด้วย



11.สุดท้ายแล้วมีอะไรอยากจะฝากทิ้งท้ายบ้างใหม่ครับ


แนวทางของท่านประธานคุณบุญศักดิ์ เจริญคุปต์ ท่านอยากนำผลิตภัณฑ์เกษตรกรรมที่ดีมอบให้แก่ผู้บริโภคอย่างแท้จริง โดยไม่มองถึงผลกำไรแต่เพียงอย่างเดียว ท่านอยากให้ทุกคนได้ใช้ผลิตภัณฑ์ของท่านที่คิดค้นสูตรมาอย่างยาวนานและอย่างรู้จริงเพื่อให้เกิดประโยชน์ที่สุดและสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้เกษตรกรไทยอีกด้วย อันนี้คือปณิธานอย่างแท้จริงของท่านประธาน และตอนนี้เราจะมีสินค้าเพื่อสุขภาพเข้ามาอีก 4 รายการด้วยกันมีสินค้าประเภทลดความอ้วนได้รับการรับรองจาก อย. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว กาแฟสำหรับผู้ชายซึ่งกำลังขอ อย. อยู่ แล้วยังมีผลิตภัณฑ์ Apple Stemcell แบบชงดื่มซึ่งทางเราจะไม่ใช้แบบทา เพราะมันจะทำให้เห็นผลค่อนข้างช้าซึ่งสินค้าทั้งหมดนำเข้ามาจากมาเลเซียและที่จะฝากทิ้งท้ายไว้คือ เราอยากจะสร้างองค์กรที่ดี สร้างความมั่นคงและสังคมธุรกิจเครือข่ายที่ดีมั่นคงและยั่งยืนอย่างแท้จริงครับ

ข่าวนีโอ ไลฟ์ (Neo Life) : จัดงานมอบเข็มเกียรติยศผู้ประสบความสำเร็จประจำเดือนกรกฏาคม 2555


แรงไม่หยุด ฉุดไม่อยู่!! กับงานมอบเข็มเกียรติยศผู้ประสบความสำเร็จประจำเดือน กรกฎาคม 2555 สมาชิกแห่ร่วมงานทะลักกว่าหมื่นคน พร้อมร่วมแสดงความยินดีกับ ผู้ประสบความสำเร็จขึ้นรับตำแหน่งอันทรงเกียรติอีกกว่า 1,800 ตำแหน่ง


บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จัดงานมอบเข็มเกียรติยศประจำเดือนประกาศศักดาความสำเร็จ อย่างต่อเนื่อง สมาชิกทั่วประเทศต่างแห่เข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่ง เมื่อวันที่ 31 กรกฎาคม 2555 ณ อาคาร เอ็กซิบิชั่น ฮอลล์ 2 เมืองทองธานี นำทัพแห่งความสำเร็จ โดย ท่านประธาน ดร.นพรุจ เวชกุล ประธานกรรมการ บริหาร, ท่านประธาน ดร.รัชนี มหานิยม ประธานกรรมการบริหารฝ่า ยสมาชิก/กรรมการผู้จัดการ , นิโรธ เจริญประกอบ ประธานที่ปรึกษาบริษัท, พิศิษฐ์ แทนทิว ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ และ บดินทร์ ดุ๊ก รองผู้อำนวยการ นีโอ ทีวี นสพ. สยามธุรกิจ ร่วมแสดงความยินดีกับนักธุรกิจ นีโอ ไลฟ์ อย่างยิ่งใหญ่ นับว่าเป็นการพิสูจน์ถึงความมั่นคงของบริษัท ที่สามารถสร้างผู้ประสบความสำเร็จได้อย่างมากมายมาอย่างยาวนาน โดยในเดือนกรกฎาคมนี้มีผู้ประสบความสำเร็จ กว่า 1,800 ตำแหน่ง และยังมีผู้ประสบความสำเร็จในระดับสูงสุดของบริษัท คือ ตำแหน่งประธานฝ่ายการตลาดถึง 3 ท่าน ผู้ประสบความสำเร็จในตำแหน่งรองประธานฝ่ายการตลาดอีก 4 ท่าน


ไม่เพียงแค่นั้นยังเปิดตัวรถสปอร์ตสุดหรู Super Car คันใหม่ล่าสุด Lamborghini รุ่น 560 LP Spyder มูลค่ามหาศาลกว่า 23 ล้านบาท โดยเจ้าของไม่ใช่ใครอื่นใด แต่มาจากผู้ประสบความสำเร็จคนแรกของ บริษัท นีโอ ไลฟ์ฯ คือ ท่านประธาน ดร.รชั นี มหานยิ ม ประธานกรรมการบริหารฝ่ายสมาชิก/กรรมการผ้จู ัดการ ตอกย้ำถึงศักยภาพ ของบริษัทที่สามารถทำให้ทุกคนสร้างฝันให้เป็นจริงตามที่ต้องการอย่างแน่นอน และปลุกไฟแห่งความสำเร็จให้กับ สมาชิกผู้เข้าร่วมงาน แบบที่เรียกกันว่า ลุกท่วมเป็นทะเลเพลิงกันเลยทีเดียว


ยิ่งไปกว่านั้นทางบริษัทเปิดเวทีให้เยาวชนรุ่นใหม่มากความสามารถ ได้เข้ามาร่วมประกวดในโครงการ Neo Star Project 1 ซึ่งเปิดตัวโครงการไปเมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2555 ซึ่งได้รับความสนใจจากเยาวชนที่จะเข้ามาแสดง ความสามารถอย่างล้นหลามกว่า 200 คน โดยได้มีโอกาสขึ้นมาแนะนำตัวผู้สมัครบนเวทีอันทรงเกียรติครั้งนี้ด้วย ถือว่า เป็นโครงการที่เริ่มต้นครั้งแรกก็ประสบความสำเร็จอย่างน่าปลาบปลื้มใจเป็นอย่างมาก ตามด้วยมินิคอนเสิร์ตจากศิลปิน ชื่อดัง เอ๊ะ-จิรากร เจ้าของบทเพลง ใจกลางความรู้สึกดีๆ ที่มาให้ความสนุกสนานและสร้างสีสันให้กับสมาชิก นีโอ ไลฟ์


ปิดท้ายด้วยการมอบรางวัลมากมายให้กับสมาชิกผู้เข้าร่วมงาน อาทิ กิฟต์วอยเชอร์ สร้อยคอทองคำ และ รางวัลใหญ่ในครั้งนี้ คือ รถยนต์ นิสสัน มาร์ช จำนวน 1 คัน ที่ นีโอ ไลฟ์ ได้มอบให้กับสมาชิกที่เข้ามาร่วมงาน และผู้โชคดีที่ได้รับรถยนต์ในครั้งนี้ คือ วีรวิทย์ วิวาห์สุข จังหวัดตรัง พร้อมด้วยการจับรางวัลของหนังสือพิมพ์ สยามธุรกิจ คือ รถยนต์ นิสสัน มาร์ช อีก 1 คัน ในโครงการ 18 ปี แจกรถ 18 คัน และในครั้งนี้เป็นครั้งที่ 2 ผู้โชคดี คือ ประทิน เฉิดฉิน จังหวัดชลบุรี บอกได้คำเดียวเลยว่างานในครั้งนี้สุดอลังการเหนือคำบรรยายเลยจริงๆ


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 205 วันที่ 16 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข่าวซินเนอร์จี้ เวิล์ดไวด์ (Synergy Worldwide) : บทสัมภาษณ์ เจาะลึกกับ คุณ ศุภพงศ์ จันทรวีระกุล


ตลาดน่าจะคึกคักมากขึ้น เพราะมีบริษัทใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายบริษัททำให้การ แข่งขันเพิ่มมากขึ้น ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดี แต่ทั้งนี้ต้องฝากให้หน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบบริษัทเหล่านี้เพราะบางทีมีหลายบริษัทที่เปิดดำเนิน ธุรกิจแบบไม่ถูกต้อง และก็ทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจขายตรงเสียไปด้วย

เป็นอีกหนึ่งบริษัทขายตรงจากแดนมะกัน ที่เข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทยแล้ว หลายปี แม้ว่าที่ผ่านมาจะเจอมรสุมจนแทบตั้งรับไม่ทัน แต่มาวันนี้ ซินเนอร์จี้ ภายใต้การนำ ของ ศุภพงศ์ จันทรวีระกุล ที่เริ่มอยู่ตัวและเป็นไปในทิศทางที่ดีแม้ว่าธุรกิจจะค่อยเป็น ค่อยไป และไม่หวือหวาเหมือนบริษัทอื่นๆ แต่ก็ยังคงดำเนินต่อไป ซึ่งวันนี้หัวเรือใหญ่ได้มา ประกาศแผนว่าจากนี้ไปจะขับเคลื่อนธุรกิจไปในทิศทางใด

ภาพรวมธุรกิจครึ่งปีแรกที่ผ่านมาเป็นไงบ้าง
ครึ่งแรกของปีธุรกิจเป็นที่น่าพอใจ เพราะบริษัทสามารถทำยอดขายได้เกินเป้า 5% จากเป้าเดิมที่ตั้งไว้ 180 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยที่ทำให้บริษัทไปถึงเป้าหมายได้นั้นมา จากการสั่งซื้อสินค้าของกลุ่มผู้บริโภคที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นจากปกติที่มียอด สั่งซื้อเฉลี่ย 4,000-5,000 บาทต่อรหัส ปัจจุบันเพิ่มเป็น 6,000 บาท

ที่ผ่านมาบริษัทได้จัดโปรโมชั่นให้แก่สมาชิกที่ต้องการรักษายอดอย่างต่อเนื่อง ซึ่ง โปรโมชั่นนี้จะเป็นโปรโมชั่น 6 เดือนและ 12 เดือน กล่าวคือ ถ้าสมาชิกรักษายอดติดต่อกัน จนครบ 6 เดือน จะได้รับสินค้าพิเศษเพิ่ม และเมื่อรักษาครบ 12 เดือน จะได้รับโบนัสเพิ่ม 1-3% โดยโปรโมชั่นนี้การสั่งซื้อแต่ละครั้งต้องมีคะแนน 80 คะแนนขึ้นไป อีกหนึ่งสาเหตุ คือ คุณภาพของสินค้าที่ผู้บริโภคหรือสมาชิกได้ซื้อไปใช้แล้วเห็นผล ทำให้ เกิดการซื้อซ้ำ โดยสินค้าที่มียอดขายสูงสุดในขณะนี้ คือ Pro Agi-9 ซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถ ทำยอดขายได้ถึง 40% จากสินค้าทั้งหมด และมีสินค้า อีกหนึ่งตัวที่กำลังได้รับความนิยมคือ Noni Blend (น้ำลูกยอ) ที่บริษัทเพิ่งปรับสูตรใหม่ เป็นสินค้า ที่ติดอันดับ Top 5 สินค้าขายดีอีกด้วย

ปีนี้จะมีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดเพิ่ม หรือไม่
ในเร็วๆ นี้บริษัทจะมีสินค้าออก ใหม่อีก 1 ตัว เป็นโอเมก้า 3 สินค้าตัวนี้ เป็นการพัฒนามาจากน้ำมันปลาตัวเดิมของ บริษัทที่มีฐานลูกค้าอยู่พอสมควร และได้รับ การยอมรับจากสมาชิกเป็นอย่างดี ซึ่งตอนนี้ โอเมก้า 3 ตัวนี้ ได้รับการตรวจสอบจากสำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เป็นที่ เรียบร้อยแล้ว นอกจากนี้บริษัทยังมี แผนที่จะทำตลาดสินค้า ในกลุ่ม เสริมอาหารควบคุมน้ำหนัก แต่ทั้งนี้ต้องใช้เวลา เนื่องจากเป็นสินค้าที่มี สูตรเฉพาะของ ซินเนอร์จี้ต้องผ่านกระบวนการการตรวจสอบหลายขั้นตอนจากองค์กรที่เกี่ยวข้อง

ครึ่งหลังบริษัทได้วางแผนการตลาดไว้อย่างไรบ้าง
ครึ่งหลังบริษัทได้วางแผนที่จะประชาสัมพันธ์มากขึ้น ล่าสุดบริษัทได้ทำรายการทีวี เพื่อให้ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพ ผ่านทรูวิชั่น ช่อง TNN ซึ่งบริษัทใช้งบประมาณกว่า 1 ล้านบาท ในการทำรายการดังกล่าว ขณะนี้รายการได้เริ่มออกอากาศไปแล้วประมาณเดือน กว่าๆ นอกจากบริษัทยังได้จัดตั้งแผนกขึ้นมาใหม่อีกหนึ่งแผนก เพื่อเป็นการฟอร์มทีมงาน ขึ้นมาใหม่ โดยทีมงานนี้จะเป็นทีมงานของคนที่รักสุขภาพและต้องการที่จะมีรายได้เสริม แต่ทั้งนี้ต้องเป็นบุคคลที่ไม่เคยผ่านธุรกิจเครือข่ายมาก่อน ทั้งนี้ บริษัทไม่ต้องการที่จะไป รีครูตบุคคลจากที่อื่นเข้ามา

คาดว่าแผนกใหม่นี้จะช่วยบริษัทได้อย่างไรบ้าง
คาดว่าเมื่อแผนกนี้จัดตั้งขึ้นอย่างสมบูรณ์ บริษัทจะสามารถขยายฐานของสมาชิก กลุ่มใหม่ได้เพิ่มมากขึ้น และเพื่อเป็นการป้องกันบุคคลที่แอบแฝงเข้ามาในวงการ เพราะถ้า เป็นคนในวงการเครือข่ายก็จะเวียนวนไปตามบริษัทต่างๆ อยู่เรื่อยๆ ทำให้เป็นเรื่องยุ่งยาก ในการดูแล แต่ถ้าเป็นคนที่ไม่เคยทำมาก่อนจะดูแลง่ายกว่า โดยบริษัทได้วางเป้าหมายภายใน 3 ปี จะต้องมีสมาชิกกลุ่มคนรักสุขภาพที่ไม่เคยทำธุรกิจเครือข่ายมาก่อนไม่น้อยกว่า 30% ของสมาชิกทั้งหมด

เป้าหมายในปีนี้วางไว้อย่างไร
ถ้าในส่วนของยอดขายบริษัทได้วางเป้าไว้ที่ 500 ล้านบาท ส่วนของรายได้บริษัท มีความตั้งใจที่จะมีสมาชิกที่รับรายได้หลักแสนบาทต่อเดือน 50 คน และเป้าหมายที่จะมี สมาชิกใหม่ 20,000 รหัส

ตอนนี้มีการจัดโปรโมชั่นท่องเที่ยวอย่างไรบ้าง
ขณะนี้บริษัทได้จัดโปรโมชั่นท่องเที่ยวต่างประเทศ 2 โปรโมชั่น ได้แก่ โปรโมชั่น ราย 3 เดือน จะเป็นการท่องเที่ยวในประเทศสิงคโปร์ และรายปี ไปท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น และฝรั่งเศส

มองภาพรวมของตลาดธุรกิจเครือข่ายอย่างไร
ตลาดน่าจะคึกคักมากขึ้น เพราะมีบริษัทใหม่ๆ เกิดขึ้นหลายบริษัททำให้การแข่งขัน เพิ่มมากขึ้น ซึ่งนับเป็นสัญญาณที่ดี แต่ทั้งนี้ต้องฝากให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาตรวจสอบ บริษัทเหล่านี้ เพราะบางทีมีหลายบริษัทที่เปิดดำเนินธุรกิจแบบไม่ถูกต้อง และก็ทำให้ ภาพลักษณ์ของธุรกิจขายตรงเสียไปด้วย

มีความคิดเห็นอย่างไรกับการที่ สคบ. ต้องการให้บริษัทขายตรง มีตราสัญลักษณ์คุ้มครองผู้บริโภค
นโยบายการใช้ตราสัญลักษณ์นับว่าเป็นความคิดที่ดี และเป็นการแสดงออกถึงการ ใส่ใจต่อผู้บริโภค แต่เหมือนเป็นการทำงานที่ซ้ำซ้อนกับ อย. แต่ถ้าจะให้ดี สคบ. และ อย. ควรทำงานร่วมกันและเข้มงวดตั้งแต่ทีแรก ควรดูแลตั้งแต่ต้นน้ำ ไม่ใช่มาดูแลที่ปลายน้ำ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 205 วันที่ 16 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข่าวอาวียองซ์ (Aviance Thailand) : จัดงาน U-Success Day


อีกครั้งกับความสำเร็จครั้งใหม่ในงาน U-Success Day คุณทำได้...เราทำได้ จัดโดย อาวียองซ์ แบรนด์ ความงามระดับพรีเมี่ยม และแม่ทัพหญิงคนสวย สุชาดา ธีรวชิรกุล ประธานบริหาร อาวียองซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด อยู่เบื้องหลังความสำเร็จ เปิดเวทีต้อนรับ ชุมพล เหลืองบรรเจิด อดีตวิศวกรหนุ่มก้าวขึ้นสู่ ตำแหน่ง Area Executive Business Associate พร้อมด้วยการเปิดตัวทริปท่องเที่ยวสุดอลังการ ณ ประเทศอังกฤษ ที่สร้างเสียงฮือฮาได้ดังกึกก้อง ก่อนจบงานในครั้งนี้ยังได้ถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึก ร่วมกัน พร้อมรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และเสียงบูม เชียร์ จากผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดีอย่างกึกก้อง ณ ห้องประชุมมหิศร ไทยพาณิชย์ ปาร์ค พลาซ่า


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 205 วันที่ 16 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข่าวคิงส์ เฮล์ทตี้ (King Healthy) : บุกตลาดย่านธุรกิจ รุกเปิดสาขาหาดใหญ่ พร้อมจัดงาน "Kings Healthy Business Road Show"

ยิ่งใหญ่สมการรอคอย...สู่ความสำเร็จอีกขั้น คิงส์ เฮล์ทตี้ บุกตลาดย่านธุรกิจ รุกเปิดสาขาหาดใหญ่พร้อมจัดงาน Kings Healthy Business Road Show เติมฝัน เติมไฟ ในธุรกิจเงินล้าน



วันที่ 8 เดือน 8 ปี 2555 คิงส์ เฮล์ทตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล รุกเปิดตลาด ภาคใต้เต็มตัว ชูนโยบายธุรกิจที่มุ่งเน้นการเติบโตอย่างไม่หยุดยั้ง ลุยเปิดสาขา ใหม่ ประจำหาดใหญ่ ด้วยบรรยากาศสุดแสนอบอุ่น เป็นกันเอง ในแบบ คิงส์ เฮล์ทตี้ คือ บ้านของพวกเรา โดยได้รับเกียรติจาก ท่านนายอำเภอเสรี พานิชย์กุล และท่านประธาน นพธีรา ประสพ มาเป็นประธานเปิดงานในครั้งนี้ โดยในช่วงเช้ามีการทำบุญตักบาตร เลี้ยงพระ เพื่อเป็นศิริมงคลแก่บริษัทใหม่ สมาชิกทุกท่าน และพนักงานทุกคน โดยภายในงานเต็มไปด้วยสมาชิกที่มาร่วม แสดงความยินดีกับการเปิดสาขาใหม่อย่างล้นหลาม ทำเอางานนี้ท่านประธาน นพธีรา ประสพ ยิ้มไม่หุบเลยทีเดียว งานนี้อิ่มทั้งบุญ อิ่มทั้งใจ แบบนี้ เร็วๆ นี้ สงสัยต้องมีข่าวการขยายสาขาในภูมิภาคอื่นอีกเป็นแน่ ต่อด้วยงานช่วงบ่าย Kings Healthy Business Road Show ณ ศูนย์การค้าสยามนครินทร์ใจกลางเมือง หาดใหญ่กับบรรยากาศสุดพิเศษ ทั้ง แสง สี เสียง การแสดง อีกเช่นเคย พร้อม กับการรับฟังทัศนคติ เสริมความมุ่งมั่น จากแขกปราศรัยรับเชิญ ที่มาเผยเคล็ดลับ สู่ความสำเร็จในธุรกิจของ คิงส์ เฮล์ทตี้ พร้อมกับพิธีกรเจ้าประจำ พีเค-ปิยะวัฒน์ เข็มเพชร พร้อมเหล่าสมาชิกล้นงานอีกเช่นเคย เป็นเสียงตอบรับความสำเร็จ ที่ไม่ต้องสร้างภาพใดๆ ในแบบ คิงส์ เฮล์ทตี้ จริงๆ...!!


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 205 วันที่ 16 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

อัศวิน ยันไม่ร่วมสังฆกรรม TDIA ลุยสร้างแบรนด์ โดกุดามิ (Dokudami) เต็มสูบ


อัศวิน พ้อหลังลาออกและคืนเก้าอี้นายก TDIA ให้ สมาคมฯ พร้อมถอนชื่อทั้ง 2 บริษัทออกจากสมาคมเป็น ที่เรียบร้อย ยันเจอปัญหานานัปการ และจะไม่เปิดสมาคมใหม่ แน่นอน ระบุความตั้งใจจากนี้ไป จะกลับไปบริหารแบรนด์ โดกุดามิ ให้ได้รับการยอมรับจากนานาชาติ แย้มที่ผ่านมา ได้รับรางวัลมากมาย แถมบริษัทนอกบินเจรจาร่วมธุรกิจ หลายราย

อัศวิน วัฒนปราโมทย์ ประธานกรรมการ บริษัท โดกุดามิ เอเชีย จำกัด เปิดเผยว่า หลังประกาศลาออกจากการ เป็นนายกสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย (TDIA) ด้วยเหตุผล ที่ไม่สามารถทำงานได้อย่างที่ตั้งใจไว้นั้น จึงประกาศถอดรายชื่อ ทัง้ 2 บรษิ ทั คอื บริษัท โดกิดามิ จำกัด และ บริษัท ทอร์ท- เทอร์น โพรไบโอติค จำกัด ที่เป็นสมาชิกของสมาคมอุตสาหกรรม ขายตรงไทย

เหตุผลการถอดชื่อบริษัทออกจากการเป็นสมาชิกนั้น เพราะผมไม่สามารถสร้างวัฒนธรรมให้เกิดขึ้นในสมาคมได้ ที่ผ่านมาทุกคนอาจจะเห็นรายชื่อบริษัทสมาชิกในสมาคมฯ ที่เปิดทำธุรกิจขายตรงแต่ไม่ได้ทำแล้ว แต่ยังมีรายชื่อในสมาคม และนั่งบริหารงานในสมาคม ผมอยากทำให้ตัวอย่างว่าเมื่อไม่ได้ ทำขายตรงแล้วก็ควรจะลาออกไปดีกว่า ไม่อย่างนั้นไม่ควรใช้คำว่าสมาคมอุตสาหกรรมขายตรง แต่ควรเป็นสมาคมผู้ขายสินค้า ทั่วไปมากกว่า

ทั้งนี้ หลังการลาออกจากการเป็นนายกสมาคมฯ แล้วจะมี การจัดตั้งสมาคมใหม่หรือไม่นั้น ตอบได้เลยว่าไม่มี แต่หากมี สมาคมอื่นเข้ามาเชิญชวนให้เข้าร่วมก็อาจจะเข้าร่วม แต่คงต้องดู ก่อนว่าสมาคมขายตรงนั้นมีแนวความคิดที่สอดคล้องและเป็นไป ในทิศทางเดียวกันหรือไม่ แต่ถึงไม่มีใครมาเชิญชวนก็มีแนวทาง ที่จะดำเนินงานต่ออยู่แล้ว ด้วยการสร้างแบรนด์ โดกุดามิ ให้เป็น แบรนด์ที่ได้รับความเชื่อถือ และได้รับการยอมรับจากนานาชาติ มากขึ้น ด้วยการนำระบบซอฟต์แวร์ที่ครอบคลุมเน็ตเวิร์กทั่วโลก มาใช้ในการบริหารจัดการ

ล่าสุด บริษัทได้รับรางวัลจากการมุ่งมั่นทำงานจริงจัง จนทำให้ได้รับรางวัล Best Manager Of The year จาก สภาธุรกิจแห่งยุโรป (Europe Business Assembly) ซึ่งรางวัล ดังกล่าวได้รับพร้อมกับรางวัลบริษัทดีเด่น นับเป็นบริษัทแรกใน ประเทศไทยที่ได้รับรางวัลดังกล่าว และล่าสุดในประเทศได้รับ รางวัลระฆังทองในสาขาทำประโยชน์เพื่อสังคม ซึ่งบริษัทได้รับ เมื่อเดือนมีนาคม 2555 ที่ผ่านมา และมีอีก 2 รางวัล ที่จะได้รับ ในเร็วๆ นี้ จากรางวัลที่ได้รับทั้งหมด 7 รางวัล

นอกจากนี้ยังมีบริษัทต่างประเทศ หลายบริษัทได้ให้ความสนใจเข้ามาเจรจาขอรว่ มธุรกิจ เช่น ประเทศนอร์เวย์ ไดติ้ดต่อ เข้ามายังบริษัท เพื่อเข้ามาเจรจาในการร่วมงาน ซึ่งหากมี แนวทางธุรกิจที่ตรงกันก็จะเซ็นสัญญาทางธุรกิจร่วมกัน นอกจากนี้ยังมีอีกหลายบริษัทได้ทยอยเข้ามาเจรจาขอร่วม ธุรกิจและก่อนหน้านี้อีกหลายบริษัท อัศวิน กล่าว

ข่าวเฮอร์บาไลฟ์ (Herbalife) : ตลาดเอเชียแปซิฟิกโตก้าวกระโดด เฮอร์บาไลฟ์ สาน 3 ยุทธศาสตร์หลัก


เฮอร์บาไลฟ์ โอ่ 4 ปีที่ผ่านมา ตลาดเอเชีย แปซิฟิก โตพุ่ง หลังงัด 3 กลยุทธ์หลัก ทำงานประกบ ผู้จำหน่ายอิสระ ชี้ปี 2555 พร้อมบุกตลาดไทย กับการสานต่อ 3 แผน บุกตลาดทั่วทุกภาค ระบุ ปี 2556 เล็งแผนเปิดศูนย์ธุรกิจแห่งแรก พร้อม สยายปีกสินค้าใหม่ 2-3 รายการ กลุ่มเสริมอาหาร เผยครึ่งแรกของปีตลาดโตกว่า 27% ทุบสถิติใหม่ ของทุกไตรมาส


วิลเลี่ยม ราห์น รองประธานอาวุโสและ กรรมการผู้อำนวยการ ภาคพื้นเอเชียแปซิฟิก เฮอร์- บาไลฟ์ กล่าวถึงภาพรวมตลาดเฮอร์บาไลฟ์ ภูมิภาค เอเชียแปซิฟิกว่า ในช่วง 3-4 ปีที่ผ่านมา ตลาดดังกล่าว ประสบความสำเร็จไม่น้อย โดยในปี 2008 เฮอร์บาไลฟ์ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ปิดยอดขายได้ 410 ล้าน- เหรียญสหรัฐ ในปี 2009 ปิดยอดขายสูงถึง 938 ล้าน- เหรียญสหรัฐ และมีจำนวนผู้แทนจำหน่ายเพิ่มขึ้นถึง 3 เท่า โดยเฉพาะตลาดไต้หวัน อินเดีย มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ประสบความสำเร็จเป็นอย่างสูง


สำหรับปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อความสำเร็จ ในช่วงหลายปีที่ผ่านมามีด้วยกัน 3 ข้อหลัก ได้แก่ 1.การโฟกัสในด้านสินค้า 2.การรับสมัครผู้จำหน่ายใหม่ และ 3.การให้ความสำคัญกับการฝึกอบรมให้กับ สมาชิกได้มีความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการทำธุรกิจ มากขึ้น ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดคือการทำงานอย่างใกล้ชิด ระหว่างผู้จำหน่ายอิสระและบริษัท ที่จะเป็นแรง ผลักดันให้บริษัทเติบโตอย่างก้าวกระโดด


ทั้งนี้ แผนยุทธศาสตร์จากนี้ไปอีก 2 ปีข้างหน้า เฮอร์บาไลฟ์จะให้ความสำคัญกับตลาดไทยมากขึ้นโดย เริ่มตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไปจะมีการทำงานอย่างใกล้ชิดกับจักรพันธ์ สุทธโทธน กรรมการผู้อำนวยการ เฮอร์- บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด เนื่องจากมองว่าตลาด MLM ไทยยังมีโอกาสขยายตัว อีกสูง


นอกจากนี้ เฮอร์บาไลฟ์ เตรียมกลยุทธ์สำคัญ 3 ข้อหลักมาใช้ในตลาดไทย หลังจากได้ผลักดันให้มี การใช้มาแล้วในหลายๆ ประเทศ และประสบความ- สำเร็จเป็นอย่างมาก ดังนั้น เฮอร์บาไลฟ์ ก็จะมีการ ขับเคลื่อนและขยายธุรกิจไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่ว- ประเทศไทย ด้วยการทำงานร่วมกับผู้จำหน่ายอิสระ อย่างใกล้ชิด รวมถึงการเตรียมแผนเปิดศูนย์ธุรกิจ เฮอร์บาไลฟ์ไทยในปี 2556 โดยเล็งพื้นที่ โคราช และ ขอนแก่น อีกทั้งยังเตรียมแผนเปิดตัวสินค้าใหม่อีก 2-3 รายการ ได้แก่ แคลเซียม และเชค เสริมอาหารเพื่อ สุขภาพ ที่ขณะนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบสินค้าจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย.


เหตุผลที่เพิ่งมาโฟกัสตลาดไทยในปีนี้ เพราะว่า ที่ผ่านมาเราต้องใช้เวลาในการทำงานร่วมกับผู้แทน จำหน่ายอย่างจริงจัง และการทำงานร่วมกันนั้นทำให้ เราประสบความสำเรจ็ เปน็ อย่างมาก ปีนี้จึเป็นโอกาส ของตลาดไทย หลังจากปีที่ผ่านมาไทยยังไม่พร้อม เพราะเจอเหตุการณ์น้ำท่วม ทำให้แผนการบุกตลาด ไทยอย่างจริงจังจึงต้องเริ่มในปีนี้


ในส่วนของภาพรวมตลาดเฮอร์บาไลฟ์ภูมิภาค เอเชียแปซิฟิก ในช่วงครึ่งแรกของปีเติบโต 27.5% ซึ่ง เป็นสถิติใหม่ของการเติบโตในทุกไตรมาส และเมื่อ เทียบกับภูมิภาคอื่นๆ ภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกเป็นตลาด ที่มียอดขายสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ในแง่ยอดขาย ขณะที่ ยอดผู้จำหน่ายอิสระนั้นยังคงเป็นอันดับ 2


ราห์น กล่าวต่อว่า เฮอร์บาไลฟ์ ไม่มีแผนที่จะ ปรับราคาสินค้าขึ้น หากยังไม่เกิดภาวะเงินเฟ้อ และ ค่าเงินบาทยังแตะอยู่ที่ระดับ 35 บาท ขณะที่ แผนการตั้งโรงงานใหม่นั้น เฮอร์บาไลฟ์ ยังไม่มีแผน แม้ว่าสินค้าส่วนใหญ่จะนำเข้าจากบริษัทแม่ ที่อเมริกาทั้งหมด อย่างไรก็ดี ในอนาคตหากยอดขาย เติบโตอย่างต่อเนื่อง เฮอร์บาไลฟ์ อาจจะพิจารณา การรีแพ็กสินค้าที่ประเทศไทย หรือการก่อสร้าง โรงงาน โดยต้องรอความพร้อมในด้านอัตรา การเติบโตอีกด้วย


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 205 วันที่ 16 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข่าวเอสเนเจอร์ (Snatur) : ปั้นสินค้าเกษตรลงสนามครึ่งหลัง เอสเนเจอร์ ลุยยกระดับสมาชิก


เอสเนเจอร์ อัดแผนครึ่งปีหลัง ส่งสินค้าเกษตร เอส-แมททริกซ์ ต่อยอด ล่าสุดส่งสูตร 4 ครอบคลุม อาหารพืช พร้อมเดินหน้าจัด กิจกรรมอย่างต่อเนื่อง ชูแผน ยกระดับสมาชิกให้เกิดการซื้อซ้ำ หวังดันเป้าการเพิ่มสมาชิกใหม่ 3,000 คนต่อเดือน

บัญชา เหมินทคุณ รองกรรมการผ้จู ดั การด้านธรุ กิจ เครือข่ายเอสเนเจอร์ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมธุรกิจขายตรงในช่วงครึ่งแรกของ ปี เติบโตแบบไม่หวือหวา ขณะที่เอสเนเจอร์กลับมียอดขาย เติบโตได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยในเดือนพฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา มียอดขายเติบโตมากที่สุดเมื่อเทียบกับเดือนก่อน หรือมีอัตราการเติบโต 25% จากปกติที่เติบโต 10-15% ต่อเดือน

สำหรับปัจจัยสำคัญที่ทำให้เอสเนเจอร์เติบโต มาจาก 2 ปัจจัยหลัก คือ การจัดโปรโมชั่นส่งเสริมการขายอย่าง ต่อเนื่อง และอีกหนึ่งปัจจัย คือ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ สินค้าดาวเด่น The Star ออกสู่ตลาด กลุ่มนวัตกรรม ผลิตภัณฑ์เพื่อการเกษตร เอส-แมททริกซ์ อาหารพืช ออร์แกนิก ที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด และถือเป็นตัวหลักที่ ผลักดันให้ธุรกิจเติบโตเป็นอย่างสูง

สินค้าตัวนี้ เป็นสินค้าที่ผลิตขึ้นเพื่อตอบโจทย์ความ ต้องการของประเทศไทย เพราะไทยเป็นแหล่งเกษตรกรรม อย่างที่ผ่านมาเกษตรกรส่วนใหญ่จะเลือกใช้ปุ๋ยเคมี และ เข้าใจว่าอาหารพืชที่สร้างการเจริญเติบโตและให้ผลผลิตที่ มากนั้น มาจากสาร N P K แท้จริงแล้วการเติบโตของพืชและ การให้ผลผลิตจากงานวิจัยพบว่า มาจากตัวคาร์บอน และ ผลิตภัณฑ์ เอส-แมททริกซ์ เป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ได้อย่าง ครบถ้วน

ทั้งนี้ ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เอสเนเจอร์ ได้ เปิดตัวสูตร 4 ซึ่งเป็นสูตรใหม่ ตอบโจทย์ความต้องการของ เกษตรกรได้อย่างสมบูรณ์แบบ ซึ่งปัจจุบัน เอส-แมททริกซ์ มีด้วยกัน 3 สูตร ได้แก่ สูตร 1 ช่วยปรับสภาพดิน และ สิ่งแวดล้อม สูตร 2 ทดแทนปุ๋ย สูตร 3 ป้องกันโรคพืช และ เชื้อรา แบคทีเรีย ไวรัส และสูตร 4 ใช้ในการป้องกันแมลง คุมไม่ให้ไข่ของแมลงเจริญเติบโต ควบคุมแมลงไม่ให้ กินอาหาร ซึ่งผลิตภัณฑ์เกษตรทั้งหมดเป็นสินค้าออร์แกนิก เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอย่างแท้จริง

นอกจากผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรที่ได้รับการตอบรับ ที่ดีแล้ว ยังมีอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างยอดขาย ให้เติบโต คือกาแฟควบคุมน้ำหนัก เซเว่นเดย์ สลิม ที่ครอง ยอดขายเป็นอันดับ 1 มาหลายเดือนติดต่อกัน ซึ่งการทำ ตลาดในช่วงครึ่งหลังของปี จะเน้นรุกผลิตภัณฑ์เกษตรกลุ่ม The Star เพื่อเป็นการขยายธุรกิจ นอกจากนี้ จะมีการ เปิดตัวสินค้าใหม่ 2-3 รายการ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ดูแลสุขภาพมาเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งของธุรกิจ อีกด้วย

บัญชา กล่าวต่อว่า เพื่อเป็นการเพิ่มศักยภาพ นักธุรกิจเอสเนเจอร์เตรียมแผนการทำธุรกิจด้วยการสร้าง รายได้ให้กับสมาชิกอย่างยั่งยืน และรักษาฐานสมาชิกให้ อยู่กับเอสเนเจอร์ให้นานที่สุด โดยจะเน้นยกระดับสมาชิก จากระดับ C Class สมาชิกที่เข้ามาทดลองใช้สินค้า ก้าวสู่ ระดับ S Class กลุ่มสมาชิกที่พร้อมในการเริ่มทำธุรกิจอย่าง จริงจัง

ขณะเดียวกัน เอสเนเจอร์ จะกระต้นุ ให้สมาชิกในกล่มุ S Class มียอดการสั่งซื้อทุกเดือนโดยจะมีการออก Program เพื่อให้สมาชิกมีการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะมีโปรแกรม เฉพาะให้สมาชิกสามารถสั่งซื้อสินค้าล่วงหน้าทุกเดือน และ เมื่อถึงเวลาจะทำการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าถึงบ้าน ถือเป็น มิติใหม่ในการจำหน่ายสินค้า โดยที่สมาชิกไม่ต้องกังวลว่า จะไม่ได้รับสินค้า

อย่างไรก็ดี จากแผนดังกล่าว หลังจากที่ได้ทดลองทำ มาแล้วปรากฏว่าได้รับผลการตอบที่ดีจากสมาชิก จากปกติ ที่มีสมาชิกใหม่เข้ามาในระบบประมาณ 2,000 คนต่อเดือน เพิ่มเป็น 2,500 คนในเดือนพฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา และ เอสเนเจอร์มีเป้าหมายที่จะเพิ่มสมาชิกใหม่เข้า 3,000 คน ต่อเดือน นับจากนี้ไป

ที่ผ่านมาเอสเนเจอร์ ได้ปรับกลุ่มสินค้าใหม่ เพื่อ สานต่อแนวคิดการผลิตสินค้านวัตกรรม Greenovative โดยสินค้าที่ปรับแบ่งเป็น 7 กลุ่ม ประกอบด้วย กลุ่ม เสริมอาหาร, กลุ่มอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ, กลุ่ม เครื่องมือเครื่องใช้เพื่อสุขภาพ, กลุ่มผลิตภัณฑ์ยาและ เวชภัณฑ์, กลุ่มเพื่อความงาม, กลุ่มเครื่องใช้ในครัวเรือน, และกลุ่มสินค้าที่เพิ่งเปิดใหม่ ที่ถือเป็นตัวสร้างสีสัน และยอดขายสูงสุด คือ กลุ่มนวัตกรรมผลิตภัณฑ์เพื่อ การเกษตร เพื่อสร้างความชัดเจนของสินค้ามากขึ้น บัญชา กล่าว


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 205 วันที่ 16 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข่าวฟิวเจอร์ไลฟ์ (Future life Network) ส่ง A4U รุกตลาด "ชะลอวัย"


ฟิวเจอร์ไลฟ์ สานต่อธุรกิจส่ง A4U และ GAMMA Q10 Plus Alphalipoic ลงตลาด Anti Aging รุกกลุ่มอายุ 35 ทั้งชายและหญิง เผยแค่ลง ตลาด 2 เดือน ผลตอบรับดีเกินคาด พร้อมใช้งบกว่า 20 ล้านบาท ลุย ตลาดคลุมทุกสื่อ หวังสร้างเครือข่าย ทั่วประเทศ


ภก.มาวิน หลีเส็น ประธานบริหาร บริษัท ฟิวเจอร์ ไลฟ์ เน็ทเวิร์ค จำกัด เปิดเผยกับ เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ว่า หลังจากที่บริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Cosmedo เวชสำอางระดับพรีเมี่ยมจากประเทศญี่ปุ่น ไปแลว้ ผลปรากฏวา่ ไดรั้บการตอบรบั ทีด่ จี ากผบู้ รโิ ภค บรษิ ทั จึงได้สานต่อกลุ่มผลิตภัณฑ์ Health & Beauty ด้วย เสริมอาหาร กลุ่ม Anti Aging ที่ชื่อ A4U และ GAMMA Q10 Plus Alphalipoic acid ซึ่งทั้งสองผลิตภัณฑ์นี้จะอยู่ภายใต้ แบรนด์ Green Life


การที่เราเลือกกลุ่ม Anti Ageing ทำตลาด เพราะ ได้เล็งเห็นว่าคนไทยในกลุ่มอายุ 25 ปีขึ้นไป ต้องประสบกับ ปัญหาเรื่องสุขภาพ อาการแก่ก่อนวัย รวมถึงปัจจุบันผู้บริโภค ให้ความสนใจในการดูแลสุขภาพและอาการแก่กว่าวัยมาก ขึ้น โดยกลุ่มเป้าหมายหลักของสินค้าดังกล่าวจะเป็นกลุ่มคน ที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขั้นไป ทั้งชายและหญิง


ทั้งนี้ บริษัทได้เริ่มทำการตลาดผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ตัว ใน ช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา พบว่าได้รับการตอบรับจากสมาชิกเป็น อย่างดี และยังพบอีกว่าผู้ใช้กว่า 90% มีความสุขขึ้นในการ ได้ใช้ผลิตภัณฑ์ของบริษัท โดยบริษัทตั้งเป้าการจำหน่าย ผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ไว้ที่ 80,000-100,000 กล่อง ภายในระยะเวลา 12 เดือน


พร้อมกันนี้บริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใน กลุ่มสุขภาพมากยิ่งขึ้น คาดว่าเร็วๆ นี้ จะมีสินค้าเกี่ยวกับ การควบคุมน้ำหนักออกสู่ตลาด ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการขอ ใบอนุญาตจาก อย. และในอนาคตคาดว่าจะมีผลิตภัณฑ์ เพื่อสุขภาพอีกหลายรายการที่จะทยอยเข้ามาเสริมทัพให้กับ บริษัท


ในส่วนของช่องทางการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ปัจจุบันบริษัทมีศูนย์ธุรกิจของผู้นำครอบคลุมทั่วทุกภาค ของประเทศ ได้แก่ ภาคเหนือ ที่จังหวัดพิษณุโลก เชียงราย เพชรบูรณ์ พะเยา ภาคกลาง กาญจนบุรี สุพรรณบุรี นครปฐม สระบุรี และพระนครศรีอยุธยา ภาคตะวันออก ระยอง และ ชลบุรี ภาคอีสาน สุรินทร์ อุดรธานี ขอนแก่น หนองคาย และ หนองบัวลำภู และภาคใต้ที่หาดใหญ่ ภูเก็ต สตูล ปัตตานี ยะลา และนราธิวาส


นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมงบประมาณกว่า 20 ล้านบาท ในการทำการตลาดอย่างครบวงจร เช่น สื่อวิทยุ, วิทยุชุมชน, โทรทัศน์, สื่อสิ่งพิมพ์, อีเว้นต์ทั่วทุกภูมิภาค และรวมไปถึงทริปการท่องเที่ยวต่างประเทศ ในเดือน สิงหาคมนี้ บริษัทจะจัดงานอีเว้นต์ครั้งใหญ่ที่จังหวัด พิษณุโลก และต้นปีหน้าบริษัทจะจัดงานเปิดตัวบริษัท อย่างเป็นทางการ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้ จะมีสมาชิก ไม่ต่ำกว่า 5,000 รหัสภก.มาวิน กล่าว


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 205 วันที่ 16 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข่าวอีซี่ ฟาร์แม็กซ์ (Easy Phamax) ผุด 2 แคมเปญกระทุ้งยอด เร่งหา GM รับทิศทางตลาดโตพุ่ง


อีซี่ ฟาร์แม็กซ์ ลุยเฟส 2 หลังลงสนามแผน ไฮบริด ชู 2 กิจกรรม เน้นสินค้าเพื่อสุขภาพ พร้อม จัดกิจกรรมออนทัวร์ประกบสมาชิกทั่วไทย หวัง ผลักดันยอดให้ได้ 1,000 ล้านบาท ใน 12 เดือน ลั่น! ตุลาคมนี้ สมาชิก อีซี่ ฟาร์แม็กซ์ ได้เฮ บริษัทประกาศจัดงานเปิดตัว เป็นทางการ พร้อมกระทบไหล่ ดาโต๊ะ เย่ ประธานผู้ก่อตั้ง อีซี่ ฟาร์- แม็กซ์ คาดคนร่วมงาน 3,000 คน


ศุภชาติ อังคสุวรรณศิริ ประธานคณะกรรมการที่ปรึกษา บริษัท อีซี่ ฟาร์แม็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภายหลังเฟสแรกที่บริษัทใช้เวลาในการวางรากฐานตลาดไทยมาเป็นเวลา 2 ปี จนก้าวเข้าสู่เฟสที่ 2 บริษัทได้รุกตลาดอย่างจริงจังในปีนี้ ด้วย การปรับแผนการจ่ายผลตอบแทนใหม่ เป็นแผนไฮบริดเพื่อ รับกับการแข่งขันที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ซึ่งแผนดังกล่าวได้รับ การอนุมัติจาก สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. แล้วเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน 2555 ที่ผ่านมา


ทั้งนี้ หลังการปรับแผนในช่วงหนึ่งเดือนแรกมีสมาชิก ใหม่เข้าร่วมธุรกิจกับบริษัทเพิ่มขึ้น 1,000 คน จากที่ผ่านมา มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 10,000 คน ขณะที่ยอดขายเติบโตถึง 100% หรือจะกล่าวได้ว่าก่อนที่จะมีการปรับแผนการจ่าย ผลตอบแทน บริษัทรับรายได้ต่อเดือนประมาณ 10 ล้านบาทดังนั้น จากนี้ไปอีก 12 เดือน (นับจากเดือนกรกฎาคม 2555) บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 400 ล้านบาท และเมื่อมีการปรับ แผนใหม่ผู้นำได้วางเป้ารายได้ในระยะเวลา 12 เดือน ไว้ที่ 1,000 ล้านบาท


ในส่วนของแผนการตลาดจากนี้ไปจนถึงสิ้นปี บริษัท จะเน้นอบรมสัมมนา เน้นเข้าถึงสมาชิกทั่วประเทศ รวมถึง การเปิดตัวแคมเปญใหม่ล่าสุด 2 แคมเปญหลักส่งท้ายปี โดย แคมเปญแรกบริษัทจัดขึ้น เน้นสินค้าเสริมอาหารเวลคัมดริ๊ง ต้นอ่อนจากข้าวสาลี วีทกราสพาวเดอร์ และวีทกราสฮันนี่ ที่บริษัทเปิดโอกาสให้สมาชิกส่งซองผลิตภัณฑ์ดังกล่าว มาร่วมชิงโชค เพื่อชิงรางวัลไปร่วมสัมมนาที่ไต้หวันในเดือน พฤศจิกายนนี้ เดือนละ 2 รางวัล ซึ่งแคมเปญนี้ได้รับผล ตอบรับเป็นอย่างดีภายหลังเปิดตัวแคมเปญไม่นาน สต๊อก สินค้าวีทกราสพาวเดอร์ และฮันนี่ ขายหมดเกลี้ยง 20,000 กล่องภายใน 2 สัปดาห์


ขณะที่แคมเป็นที่ 2 เป็นแคมเปญที่ผู้นำจัดขึ้น โดยเน้นเสริมอาหารดีท็อกซ์ โซอีซี่ ที่มี 4 ชุดด้วยกัน ได้แก่ ชุดปรับสมดุลในร่างกาย, ชุดสารอาหารครบ 5 หมู่, ชุดขับ ล้างสารพิษ และชุดไฟเบอร์ ที่มีการจัดแคมเปญ So Easy So Slim โดยให้สมาชิกทุกคนเข้าสู่การแข่งขันด้วยการ ควบคุมน้ำหนัก กับการจัดออนทัวร์ทั่วประเทศที่เริ่มขึ้นแล้ว ในเดือนสิงหาคมนี้ และก่อนที่จะเปิดตัวแคมเปญอย่าง เป็นทางการบริษัทได้ทดลองกับผู้นำจำนวน 100 คนไปแล้ว และเมื่อการแข่งขันเสร็จสิ้นผู้ชนะจะได้รับรางวัลที่ผู้นำ ได้จัดขึ้น


นอกจากนี้ ในวันที่ 14 เดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ บริษัท เตรียมแผนจัดงานเปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการที่ศูนย์ ประชุมศูนย์ราชการ ถนนแจ้งวัฒนะ และแม้ว่าบริษัท จะดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมาแล้วหลายปี แต่ยังไม่เคย จัดงานเปิดตัวบริษัท ดังนั้น การจัดงานดังกล่าวจะมี ดาโต๊ะ เย่ เส้าเฉวียน ผู้ก่อตั้งบริษัทจากมาเลเซียจะมาเป็นประธาน เปิดงาน นอกจากนี้ยังมีประธาน บริษัท อีซี่ ฟาร์แม็กซ์ฯ จาก ประเทศต่างๆ เข้าร่วมงาน ซึ่งคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานครั้งนี้ จำนวน 3,000 คน


ทิศทางจากนี้ไปจะเน้นรักษาสมาชิกเก่า และ วางแผนเพื่อชักชวนสมาชิกใหม่เข้ามาในระบบ และเมื่อ จำนวนสมาชิกและผู้นำเพิ่มขึ้น ก็ต้องหาวิธีหล่อหลวมรวม ผู้นำให้เป็นหนึ่งเดียวกัน และ นี่เป็นความท้าทายจะสร้างให้ เกิดการยอมรับซึ่งกันและกัน เรื่องนี้เราต้องมองการสร้าง วัฒนธรรมให้เหมือนกัน และคงต้องใช้เวลาในการปลูกฝัง และต้องใช้เวลาในการขับเคลื่อน


อย่างไรก็ตาม จากนี้ไปบริษัทเตรียมรับสมัคร บุคลากรเพิ่มขึ้น จากปัจจุบันมีจำนวนบุคลากร 17 คน ซึ่ง เพิ่มขึ้นจากเดิมที่มีจำนวน 13 คน นอกจากนี้บริษัทยัง เตรียมรับสมัครตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปคนใหม่เพื่อเข้ามา ร่วมบริหารงานใน 2555 ทั้งนี้ เพื่อรองรับการขยายตัว ธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคต


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 205 วันที่ 16 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข่าวบีฮิบ (Bhip Thailand) : กลับลำ "ชนิดา" ยังอยู่ ผุดงานบิ๊กสยบข่าวมั่วปลายปี


ชัยวัฒน์ โต้ ชนิดา ย้ายบ้าน ยันทัพใหญ่ยัง อยู่ ส่วนข่าวสมาชิกไหลออกแค่คนไม่มีผลงาน ยัน ข่าวลือต่างๆ ทั้งการถูกถอนหุ้นจากบริษัทแม่ สินค้ามีปัญหากับ อย. การย้ายออกของสมาชิก นั้นแค่ข่าวโคมลอย เตรียมจัดงานคอนเวนชั่น ปลายปี พร้อมโชว์ความอลังการ ผู้นำบีฮิบจาก นานาประเทศร่วมงานที่ไทย คาดเป็นหลัก 10,000 คน ตบเท้าเปิดตัวสินค้าใหม่พร้อม พัฒนาเว็บไซต์เอาใจสมาชิก

ชัยวัฒน์ ชัยจินดาวัธน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีฮิบ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยกับ เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ถึงข่าวลือการถอนหุ้นของบริษัทแม่ที่สหรัฐ- อเมริกาว่า ข่าวที่ออกมานั้นไม่ทราบมาก่อน แต่ขอยืนยันว่า ข่าวนี้ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด ในทางตรงกันข้ามบริษัท แม่กลับเข้ามาถือหุ้นในสัดส่วนที่เพิ่มมากขึ้น จากอดีตที่บริษัท ที่อเมริกาไม่ได้มีหุ้นในไทยเลยแต่ปัจจุบันเข้ามาถือหุ้นถึง 49%

ในส่วนของสินค้าที่มีข่าวว่ามีปัญหากับ สำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. และถูกถอนใบ- อนุญาตนั้น ชัยวัฒน์ ยอมรับว่ามีจริงแต่เป็นเรื่องของ การประชาสัมพันธ์สินค้าผ่านทางอินเทอร์เน็ต และในเว็บไซต์ ของสมาชิกที่ได้ใช้สินค้าแล้วเห็นผลจริงจนดูเหมือนเป็น การโฆษณาชวนเชื่อมากเกินไปและนำไปโพสต์ผ่านระบบ อินเทอร์เน็ตและเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งตอนนี้บริษัทได้สั่งให้ปิด เว็บไซต์เหล่านั้นไปหมดแล้ว และในส่วนของข่าวการถูกถอน หมายเลขใบอนุญาตนั้นไม่เป็นความจริง ซึ่งหากต้องการ ตรวจสอบสามารถเข้าไปที่เว็บไซต์ของ อย. และจะพบว่า สินค้าของบริษัททุกรายการยังขึ้นคำว่า คงอยู่

สำหรับข่าวลือที่ทำงานและผ้นูำ ออกไปทำธุรกิจที่อืน่ นั้น มองว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของธุรกิจหรือการทำงานของ แต่ละคนที่มีความคิดและอุดมการณ์ที่แตกต่างกันไป อย่างไร ก็ตาม การย้ายออกไปนั้นไม่ได้ส่งผลกระทบกับยอดขาย สินค้า เพราะแมท่ มี ทีย้ายออกไปนัน้ ขณะยังทำอยู่ที่บริษัท ก็ไม่ได้สร้างผลงานที่โดดเด่นอะไร ซึ่งจากเหตุการณ์ดังกล่าว ได้ส่งผลกระทบต่อสมาชิกที่ยังอยู่ ซึ่งบริษัทได้ชี้แจงเรื่อง ดังกล่าวให้กับสมาชิกเรียบร้อยแล้ว

ถ้าถามถึง คุณชนิดาว่าตอนนี้ยังทำงานที่บีฮิบ หรือ ไม่คำตอบ คือ ยังอยู่ แต่เป็นช่วงที่ไม่ได้แอคทีฟตัวเอง แต่ใน ช่วง 6 เดือนที่ผ่านมานั้น คุณชนิดายังคงได้รับโบนัสจาก บีฮิบทุกเดือน แต่อาจจะไม่ได้มีโบนัสมากเท่าที่ผ่านมา เรื่องนี้จะเห็นได้ว่าผู้นำระดับใหญ่ อย่าง คุณชนิดา คุณธเนตร คุณนิติ หรือหลายๆ คนที่มีชื่อเสียงในวงการขายตรง หากเขา จะไปไหน เขาจะไม่ไปเงียบๆ เขาต้องประกาศให้คนรู้ว่า ตอนนี้ไปอยู่ไหนแล้ว

ชัยวัฒน์ กล่าวต่อว่า จากนี้ไปบริษัทจะเน้นพัฒนา บริษัทให้เติบโตยิ่งขึ้น ซึ่งขณะนี้บริษัทกำลังปรับเว็บไชต์ ด้วย การพัฒนาระบบต่างๆ ให้ทันสมัยและง่ายต่อการทำงาน ยิ่งขึ้น พร้อมกันนี้บริษัทเตรียมแผนเปิดตัวสินค้าใหม่กลุ่ม เสริมอาหารเพิ่ม ซึ่งจะเปิดตัวในงาน Convention งาน ประจำปีของบริษัท ที่จะจัดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนนี้ ที่ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี โดยงานนี้จะมีสมาชิก ทุกประเทศเข้าร่วมงาน และคาดว่าจะมีผู้เข้าร่วมงานทั้งสิ้น ประมาณ 10,000 คน

อย่างไรก็ตาม การที่บริษัทเลือกประเทศไทย ในการจัดงานดังกล่าวเนื่องจากสมาชิกในหลายๆ ประเทศ ได้เล็งเห็นว่า บีฮิบ ประเทศไทย เป็นประเทศที่น่าสนใจ ในการทำธุรกิจ ผนวกกับความพร้อมของสถานที่ที่สามารถ รองรับสมาชิกได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งบริษัทต้องการ ที่จะให้ต่างประเทศได้เข้ามาท่องเที่ยวในประเทศไทย โดย บริษัทได้เตรียมความพร้อมด้วยการจัดโปรแกรมการ ท่องเที่ยวไว้สำหรับสมาชิกต่างประเทศในราคาพิเศษแล้ว ชัยวัฒน์ กล่าว


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 205 วันที่ 16 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข่าวเรียลเน็ตเวิร์ค (Real Network) : แจงทรูเลิกสัญญา โว! ไม่กระทบธุรกิจเล็งค่คู้ารายใหม่


เรียลเน็ตเวิร์ค เจอศึกหนัก หลังทรูเลิกสัญญาขายซิม ด้วยเหตุผลคนละอย่าง เรียลฯ แจงทรูไม่เข้าใจธุรกิจ เดินหน้าหาพาร์ตเนอร์รายใหม่ ไลน์ธุรกิจเดียวกัน ย้ำชัดธุรกิจ เดินหน้าต่อไป พร้อมรับผิดชอบกับความเสียหายที่เกิดขึ้น 100% แจ้งสมาชิกรับรู้ การยกเลิกขายซิมทรู ห้ามขายสินค้า ใช้ตรา พร้อมกิจกรรมส่งเสริมการขายทันที


สุรพันธ์ เมฆวิบูลย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เรียลเน็ตเวิร์ค (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวกับ เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ถึงกรณีการ ยกเลิกสัญญาการจำหน่ายซิมทรูว่า บริษัท ทรู ดิสทริบิวชั่นส์ แอนด์ เซลส์ จำกัด ได้ยกเลิก สัญญาต่อกันกับ บริษัท ตั้งแต่ เดือนกรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา อันเนื่องมาจากความไม่เข้าใจเกี่ยวกับ ธุรกิจเครือข่าย แม้ว่าก่อนหน้านี้บริษัท และบริษัท ทรูฯ นั้นได้ร่วมเป็นพันธมิตรทางธุรกิจกันเป็นเวลา 1 ปี ทั้งนี้ ภายหลังการยกเลิกสัญญา บริษัทได้ ประกาศให้สมาชิกรับทราบเกี่ยวกับปัญหาดังกล่าว และประกาศยืนยันการดำเนินธุรกิจต่อไป ซึ่งขณะนี้ บริษัทอยู่ระหว่างการพิจารณาสินค้าใหม่เข้ามาแทน ซิมทรูมูฟ ซัคเซส ซึ่งสินค้าดังกล่าวยังอยู่ในกลุ่มสินค้า เดิม คาดว่าจะได้ข้อสรุปเร็วๆนี้ สำหรับการยกเลิกสัญญาดังกล่าว บริษัทได้ประกาศ ให้สมาชิกได้รับทราบทั้งทางประชุมระดับผู้นำ การประชุม สมาชิกกลุ่มย่อย และการประกาศทาง www.realnetwork. co.th ซึ่งเนื้อหาสำคัญมีด้วยกัน 3 ข้อหลัก คือ 1.การยกเลิก สัญญาครั้งนี้ บริษัทและสมาชิกต้องยุติการจำหน่ายซิมทรูมูฟ ซัคเซสซิม ทันที 2.บริษัทได้ชี้แจงกับสมาชิกให้ยุติการ กล่าวอ้างการเป็นตัวแทนจำหน่ายจาก บริษัท ทรูฯ และ 3.ให้สมาชิกยุติ การใช้ตราสัญลักษณ์ เครื่องหมายการค้า และรายการส่งเสริมการขายผลิตภัณฑ์ ในกล่มุ ทรูและบริษัท ในเครือ ทันที


นอกจากนี้บริษัทยังตระหนักถึงความรับผิดชอบ เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวด้วยการรับผิดชอบต่อสมาชิก ซึ่งสินค้าใหม่ที่ยังไม่เปิดใช้สามารถนำมาคืนได้ที่บริษัท และ สมาชิกจะได้รับเงินคืนเต็มจำนวน อีกทั้งสมาชิกที่ซื้อสินค้า ในเดือนกรกฎาคม บริษัทจะยังคงจ่ายผลตอบแทนให้ตาม ปกติ และใช้โปรโมชั่นการโทรจนสิ้นสุดรอบของแต่ละ หมายเลข เนื่องจากการยกเลิกสัญญาดังกล่าวเกิดขึ้น สิ้นเดือนกรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา


ก่อนการเลิกสัญญาเรามีสินค้าแพ็กเกจการโทรศัพท์ ที่ขายในระบบ คือ ซิมทรูมูฟ ซัคเซสซิม ราคาเริ่มตั้งแต่ 500 บาท 700 บาท 1,000 บาท และ 3,000 บาท ซึ่งการเริ่มต้น ทำธุรกิจมีสมาชิกสนใจไม่น้อย แต่เรามาเจอสถานการณ์ น้ำท่วมเลยสะดุดไปบ้าง แต่ตั้งแต่ต้นปีเราได้จัดสัมมนาทาง ธุรกิจอย่างต่อเนื่อง มีผู้ที่ประสบความสำเร็จมีด้านรายได้ จำนวนมาก มีผู้ประสบความสำเร็จในเกียรติตำแหน่งต่างๆ ถึง 200 กว่ารหัส นอกจากนั้นเรายังจัดทริปท่องเที่ยว ต่างประเทศแล้วถึง 2 ทริป คือ เกาะมัลดีฟส์ มีผู้ที่ได้ไปร่วม ทริปนี้ 15 คน ส่วนทริปที่ 2 ที่ประสบความสำเร็จเป็น อย่างมาก เราได้พาสมาชิกบินลัดฟ้าไปสัมมนาที่เกาะฮ่องกง ในเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา จำนวน 100 คน จนกลายเป็น กระแสการยอมรับของนักธุรกิจเครือข่าย และผู้สนใจทั่วไป เข้าร่วมธุรกิจเรียลเน็ตเวิร์คเพิ่มขึ้นอย่างมากในทุกเดือน


ในส่วนของแผนการจ่ายผลตอบแทนปัจจุบันบริษัท ใช้แผนแบบไบนารี่ โดยสมาชิกสามารถรับรายได้หลัก 2 ส่วน คือ 1.การสปอนเซอร์นักธุรกิจใหม่ 5 ชั้นลึก ตั้งแต่ชั้น ลูก หลาน เหลน โหลน และลื้อ และ 2.ค่าบริหารองค์กรสำหรับ คะแนน RV (Real Value) ข้างอ่อน รวมถึงโปรโมชั่น ที่จ่าย ให้กับสมาชิกถึง 25% ซึ่งแผนมาตรฐานจ่าย 10% โดยจ่าย สูงสุดไม่เกิน 2 ล้านบาท นอกจากนี้นักธุรกิจเรียลเน็ตเวิร์ค ยังมีรายได้จากส่วนลดการจำหน่ายสินค้า การสะสมคะแนน Point Plus และรายได้จากเกียรติตำแหน่ง ปัจจุบันที่บริษัท มีจำนวนสมาชิกทั้งสิ้น 60,000 คน


อย่างไรก็ตาม ในช่วงปลายปีนี้บริษัทยังมีอีก 1 ทริป การสัมมนาที่ประเทศสิงคโปร์ ซึ่งปัจจุบันมีผู้ทำคะแนน คุณสมบัติผ่านแล้วและรอการพิจารณาเข้าร่วมทริปถึง 150 คน ซึ่งการจัดทริปดังกล่าวถือเป็นการการันตีความสำเร็จของ สมาชิก และความเชื่อมั่นของบริษัทว่ายังคงเดินหน้ากับ แผนธุรกิจต่อไป แม้ว่าจะเกิดปัญหาในช่วงเวลานี้ และคาดว่า ปัญหาดังกล่าวจะได้รับการแก้ไขอย่างเร็วที่สุด


อนึ่ง กรณีดังกล่าว ที่เกิดความเข้าใจผิด รวมถึงมี รายงานผ่านสื่อบางฉบับว่า บริษัทในกลุ่มทรู เป็นเจ้าของ หรือมีส่วนเกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจขายตรง โดยมี บริษัท เรียลเน็ตเวิร์ค (ประเทศไทย) จำกัด เป็นผู้ดำเนิน ธุรกิจดังกล่าวนั้น ทรู คอร์ปอเรชั่น ได้ส่งจดหมายชี้แจง ผ่านสื่อมวลชน โดยระบุว่า ข้อมูลดังกล่าวไม่ถูกต้อง เนื่องจาก บริษัท เรียลเน็ตเวิร์คฯ เป็นบริษัทที่ดำเนินธุรกิจ เป็นตัวแทนจำหน่ายซิมมือถือของทรูมูฟ โดยได้รับการแต่ง ตั้งจากบริษัท ทรู ดิสทริบิวชั่นส์ แอนด์ เซลส์ จำกัด ซึ่ง เป็นการทำธุรกิจร่วมกันเช่นที่ทรูมูฟได้ดำเนินการกับ ตัวแทนจำหน่าย และพันธมิตรคู่ค้าอื่นๆ เช่นกัน ซึ่งการ ทำตลาดของตัวแทนจำหน่ายจะขึ้นอยู่กับตัวแทนจำหน่าย แต่ละราย ทรูมูฟ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการทำธุรกิจของ ตัวแทนจำหน่ายแต่อย่างใด โดย บริษัท เรียลเน็ตเวิร์คฯ ขอยืนยันว่า มิได้เป็นบริษัทในกลุ่มบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น และมิได้เป็นบริษัทในเครือเจริญโภคภัณฑ์ รวมทั้งมิได้มี ส่วนเกี่ยวข้องกับผู้บริหารในเครือแต่อย่างใด


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 205 วันที่ 16 - 31 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ปคบ.ลุยโฆษณาทีวีดาวเทียมยื่นอย. 50 เรื่องเข้าข่ายผิดดึง "กสทช.-สคบ." ร่วมตรวจสอบเข้ม


ปคบ.ฟิตจัด! หลังตั้งศูนย์เฝ้าระวังรายการ โทรทัศน์และโฆษณา เพียง 1 เดือน ส่ง 50 โฆษณา ให้อย.ตรวจสอบ แล้ว เผย ไดเรกต์เซลล์ มีมากสุด สินค้าอาหารเสริมยอดนิยมเข้าข่ายผิดเพียบ เตรียมผนึก กสทช. และสคบ.หา มาตรการคุมเข้มอีกชั้นหนึ่ง ยันพร้อมใช้กฎหมายเล่นงานผู้ประกอบการไม่ใช่ให้ลูกน้องมา "เป็นแพะ"

พ.ต.อ.พฤทธิพงษ์ ประยูรศิริ ผกก. 4 กองบังคับการปราบปรามการกระทำ ความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (ปคบ.) เปิดเผย กับสยามธุรกิจ ว่า หลังจากที่ทาง ปคบ. ได้ตั้งศูนย์เฝ้าระวังรายการ โทรทัศน์ และโฆษณาที่ถ่ายทอดออกอากาศ ผ่านสื่อทีวีดาวเทียมมาเป็นระยะเวลากว่า 1 เดือน ขณะนี้ ทางศูนย์สามารถส่งโฆษณา และรายการทีวีที่เข้าข่ายผิดกฎหมายส่งไปยังอย.ได้แล้ว

"จนถึงขณะนี้ ทางหน่วยปคบ. สามารถ บันทึกเทปรายการ และโฆษณาที่ฉายผ่าน ทางทีวีดาวเทียม ซึ่งเข้าข่ายต้องสงสัยว่า กระทำความผิด ส่งต่อไปยังคณะกรรมการ อาหารและยา หรือ อย. แล้วกว่า 50 ชิ้น ที่ทางหน่วยได้บันทึก และส่งไปให้อย. ตรวจสอบต่อไป" ผู้กำกับ ปคบ.กล่าว

จากการเฝ้าระวังติดตามของทาง ปคบ. เกี่ยวกับรายการ และโฆษณาที่ออก อากาศผ่านทางทีวีดาวเทียม ทางปคบ. จะบันทึก และส่งต่อไปยังอย.ในทุกวันวันละ ประมาณ 3-4 เทป ที่เข้าข่ายกระทำความ ผิด แต่อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ส่งเทปรายการไปยังอย. ตอนนี้เรื่องของความคืบหน้า ก็ไม่มีอะไรมาก

โดยจากจำนวนกว่า 50 เรื่องที่ทาง ปคบ.ส่งไปยังอย.ให้มีการตรวจสอบนั้น ส่วนใหญ่เป็นโฆษณา และรายการทีวี ที่มี รูปแบบของตลาดแบบตรง โดยเป็นการโฆษณาสินค้า และเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคโทรศัพท์มาสั่งซื้อตามเบอร์ที่ระบุ ซึ่งในส่วน นี้ค่อนข้างที่จะเอาผิดยาก แต่ถือว่าเข้าข่าย การกระทำความผิด

"การโฆษณาของธุรกิจตลาดแบบตรงเข้าข่ายการกระทำความผิดเรื่องของ การอวดอ้างสรรพคุณ เพื่อให้ผู้บริโภคเกิด ความรู้สึกคล้อยตาม นำไปสู่การโทร.สั่งซื้อ โดยในรายละเอียดของโฆษณาซึ่งเอาผิดยาก เนื่องจากผู้ประกอบการมักใช้คำในโฆษณาบางคำที่เป็นการเปลี่ยนจากผิด เป็นไม่ผิด ทำให้ทางหน่วยงานรัฐเข้าไปดำเนินคดีลำบาก ซึ่งทางปคบ. พยายามที่จะหารือ เพื่อหาข้อแก้ไขในการเอาผิดผู้ประกอบการเหล่านี้อยู่ โดยจะร่วมมือกับ คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการ โทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในการหามาตรการ ขึ้นมาควบคุม อีกทั้งหาวิธีการที่จะใช้กฎหมายมาเอาผิดให้ได้ โดยการเอาผิดจะ ต้องเป็นการลงโทษไปยังผู้ประกอบการโดยตรง ไม่ใช่แพะ หรือคนที่มีตำแหน่ง น้อย ซึ่งบริษัทนั้นๆ นำขึ้นมารับโทษแทน" พ.ต.อ.พฤทธิพงษ์ กล่าว

ส่วนในเรื่องของกลุ่มสินค้าโฆษณา ที่เข้าข่ายต้องสงสัยกระทำผิด ส่วนใหญ่ก็จะเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งนิยมนำมาโฆษณาผ่านทางทีวีดาวเทียมเป็น อย่างมาก ทำให้เรื่องที่ส่งต่อไปให้อย. ส่วนใหญ่ ก็จะเป็นกลุ่มสินค้าเสริมอาหารเหล่านี้

การทำงานของกองปคบ.ในการตั้งศูนย์จับตาเฝ้าระวังรายการทีวี และโฆษณา โทรทัศน์ผ่านช่องทีวีดาวเทียมที่สุ่มเสี่ยง จะมีรูปแบบการทำงานโดยหน่วยปคบ.จะรับเรื่องว่า ช่องอะไร หรือรายการใดที่เสี่ยง ในการกระทำผิด ทางหน่วยก็จะเฝ้าระวังจับตากัน 24 ชั่วโมง ซึ่งหลังจากที่เปิดศูนย์ บัญชาการดังกล่าวขึ้นมา ถือว่าได้ผลเป็น อย่างยิ่ง แต่ก็ยังติดในเรื่องของงบประมาณ ที่ยังน้อย ซึ่งปัจจุบันทางศูนย์ฯ ก็มีโทรทัศน์ เพียงเครื่องเดียวเท่านั้น ซึ่งดูจะไม่เพียงพอ ที่จะตรวจสอบช่องรายการทีวีดาวเทียมที่มีกว่า 100 ช่อง
โดยการทำงานของปคบ. จะเน้นไป 2 เรื่องหลัก คือ เรื่องโฆษณาที่ไม่ผ่านการ ขออนุญาตจากทางอย. และ 2.เรื่องของการ โฆษณาสินค้าในรูปแบบที่โอ้อวดเกินจริง

พ.ต.อ.พฤทธิพงษ์ ได้กล่าวเตือนว่าอยากให้ผู้ประกอบการมีความจริงใจกับ ผู้บริโภค ยึดถือจรรยาบรรณในการทำธุรกิจเป็นสำคัญ ไม่เอาเปรียบประชาชนผู้บริโภค โดยเฉพาะเรื่องของสินค้าเสริมอาหาร ซึ่งมักจะพบว่า ผู้ประกอบการใส่ยา แผนปัจจุบันลงไปผสม อย่างเช่น ผสมยาพาราเซตามอล เพื่อบรรเทาอาการปวด ผู้บริโภคซื้อไปกินก็จะรู้สึกว่าหายจากอาการป่วย ซึ่งจะมีผลกระทบในอนาคต เมื่อรับเข้าไปจำนวนมาก ซึ่งผู้บริโภคต้อง ไตร่ตรองก่อนซื้อสินค้า เพื่อไม่ให้เป็นเหยื่อ ของคนที่กระทำความผิด


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1330 ประจำวันที่ 29-8-2012 ถึง31-8-2012

ข่าวยูนิซิตี้ (Unicity Thailand) : เปิดห้องรับแขกหรู "ยูนิซิตี้ เพรสทีจ คลับ (Unicity Prestige Club)" โชว์รวยย้ำภาพยอดขายโต 7 เดือนแรกรายรับขยาย 40%

[gallery link="file"]


ยูนิซิตี้ เปิดตัวห้องรับแขกใหม่ ยูนิซิตี้ เพรสทีจ คลับ (Unicity Prestige Club) หวังใช้รับรองผู้มาเยือนระดับวีไอพี เปิดโอกาสให้นักขาย ตำแหน่งเพรซิเดนท์เข้าใช้ คาดงบลงทุน กว่า 10 ล้านบาท บอกเป็นการตอบแทน สาขาไทย หลังยอดขาย 2 ไตรมาสแรกโต 40% ย้ำไม่หวั่นสถานการณ์ภายนอก แต่ที่กลัวคือการแข่งขันภายใน


มร.คริสโตเฟอร์ คิม ประธานกรรมการผู้จัดการใหญ่ ยูนิซิตี้ ประจำภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางบริษัท ยูนิซิตี้ สาขาประเทศไทย ได้ทำการเปิดตัวห้องรับรองระดับวีไอพีใหม่ขึ้น โดยใช้ งบประมาณค่อนข้างสูงในการสร้างห้อง ดังกล่าว เพื่อเป็นห้องรับรองแขกระดับวีไอพี โดยที่นักธุรกิจของบริษัทในตำแหน่งเพรซิเดนท์เท่านั้น ที่จะได้เข้ามาใช้บริการห้องรับรองสุดหรูนี้


"ยูนิซิตี้ เพรสทีจ คลับ ได้เปิดบ้านต้อนรับแขกระดับวีไอพีอย่างเป็นทางการ เพื่อฉลองความสำเร็จและมอบสิทธิพิเศษสำหรับนักธุรกิจตั้งแต่ระดับเพรซิเดนท์ ขึ้นไปของบริษัท และเพื่อใช้เป็นที่รับรองนักธุรกิจด้วยความมั่นใจในศักยภาพของ ยูนิซิตี้ ธุรกิจขายตรงที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องมากว่า 10 ปี"


โดย ยูนิซิตี้ เพรสทีจ คลับ แบ่งออกเป็น 5 โซน โซนแรกจะเป็นประวัติการก่อตั้ง ยูนิซิตี้ ความสำเร็จของแต่ละปี และวีดิทัศน์ ความสำเร็จของนักธุรกิจยูนิซิตี้ระดับเพรซิเดนท์ ส่วนในโซนที่สองจะเป็นห้องจัดแสดง ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ของยูนิซิตี้ ทั้งผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และผลิตภัณฑ์ดูแลผิว โซนถัดมาจะเป็นพื้นที่สำหรับนักธุรกิจยูนิซิตี้ในการนัดพบหรือวางแผนงานร่วมกับทีมงาน ในโซนที่สี่จะเป็นบาร์เครื่องดื่ม และโซนที่ห้า จะเป็นส่วนของการให้บริการความงามและตรวจเช็กสุขภาพร่างกายและผิวหน้า โดยจะแบ่งเป็น 3 ห้อง คือห้องตรวจสุขภาพ ผิวหน้าด้วยเครื่อง Skin Pro Analysis การ ตรวจหาค่าดัชนีมวลกาย BMI โดยจะมี ผู้เชี่ยวชาญของยูนิซิตี้เป็นผู้ให้บริการและคำแนะนำ และท้ายสุดห้องนวดหน้า มีบริการทั้งนวดกดจุดผิวหน้าเพื่อสร้างความ กระชับและผ่อนคลาย ใช้เวลาประมาณ 15 นาที และบริการการนวดแบบเต็มขั้นตอน (Full Course) ด้วยผลิตภัณฑ์ Be Premium ซึ่งจะช่วยฟื้นฟูสภาพผิวให้มีสุขภาพดีและกระชับยิ่งขึ้น


ยูนิซิตี้ เพรสทีจ คลับ ตกแต่งโดยเน้น สีเอิร์ธโทนให้ความรู้สึกอบอุ่น เพื่อให้บรรยากาศโปร่งสบายและผ่อนคลาย นอกจากนั้น ภายใน ยังมี wifi เพื่อให้บริการอินเตอร์เน็ต และใช้นวัตกรรมสุดล้ำด้วยการสแกนใบหน้า ในการเข้าใช้บริการ ซึ่งถือว่ายูนิซิตี้ เป็นบริษัทขายตรง บริษัทแรกและบริษัทเดียวในประเทศไทยที่มีห้องรับรองสุดหรูสำหรับบริการนักธุรกิจยูนิซิตี้


อย่างไรก็ดี ในส่วนของห้องรับรองใหม่ที่กล่าวมานี้ มร.คริสโตเฟอร์ คิม กล่าวว่า นี่เป็นห้องรับรองสุดหรู ที่แรกและที่เดียวที่มีของทุกสาขาทั่วโลก แม้กระทั่งสำนักงาน ใหญ่ของบริษัทที่สหรัฐอเมริกาก็ยังไม่มี โดยเหตุที่เลือกไทยในการสร้าง เพรสทีจ คลับ ก็เป็นผลมาจากเรื่องของการเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจ ที่มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ในทุกปี บริษัทจึงต้องการตอบแทนความเยี่ยมยอดของนักธุรกิจยูนิซิตี้ในประเทศไทย


ในส่วนของการลงทุนในตัวออฟฟิศหรูนี้ ทางยูนิซิตี้ไม่ได้บอกถึงตัวเลขที่ชัดเจน บอกแต่เพียงอยู่ที่ประมาณ 20 ล้านบาท ซึ่งเหตุที่ไม่มีการเปิดเผยตัวเลขก็เนื่องจากบริษัทยังไม่มียอดจ่ายที่แน่นอน เพราะห้องนี้ ยังคงต้องลงทุนต่อเนื่อง ซึ่งยังไม่เสร็จสมบูรณ์ 100%
นอกเหนือจากเรื่องของตัวออฟฟิศใหม่นี้แล้ว ทางยูนิซิตี้ยังได้กล่าวถึงยอดขาย ในช่วงเดือน ก.ค.ที่ผ่านมาว่า ยอดขายของ สาขาในไทย ช่วงเดือนก.ค. เป็นช่วงเดือนที่มีการเติบโตมากที่สุดในรอบ 10 ปีของบริษัท นับตั้งแต่เข้ามาในประเทศไทยเลยทีเดียว ซึ่งก็ไม่ทราบว่าเกิดจากสาเหตุใด


ปกติ ยูนิซิตี้ในประเทศไทย จะมียอดขายดีที่สุดในช่วงเดือน ม.ค.-มิ.ย. หรือ ช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี ซึ่งหลังจากนั้นยอดขายก็จะไม่หวือหวาค่อยเป็นค่อยไป แต่ในปีนี้ในช่วงเดือน ก.ค. ยอดขายของบริษัทโตขึ้นเป็นอย่างมาก ซึ่งเป็นผลมาตั้งแต่ช่วง ไตรมาส 2 ลากยาวมา โดยบริษัทมองว่า อาจเป็นเพราะความมั่นใจของนักธุรกิจของ บริษัทที่มีความมั่นใจในตัวบริษัทมากขึ้น ทำให้เกิดแรงกระตุ้นในการทำงาน นายใหญ่ ยูนิซิตี้ไทย เผยในช่วง 2 ไตรมาสแรกของปี ยูนิซิตี้ มีอัตราการเติบโตประมาณ 40% จากการเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา โดยนอกจากในส่วนของความมั่นใจของนักธุรกิจแล้ว ยังมีเรื่องของโปรโมชั่นที่บริษัทจะนำนักธุรกิจของไทยไปร่วมงานประชุมใหญ่ของบริษัทที่ประเทศเกาหลีใต้ ซึ่งนี่อาจ เป็นสิ่งหนึ่งที่ทำให้นักธุรกิจเกิดความต้องการ ที่จะเข้าร่วมประชุม และท่องเที่ยวทำให้ยอด ขายของบริษัทดีขึ้นตาม


โดยงานประชุมดังกล่าว ยูนิซิตี้คาดว่าจะมีนักธุรกิจของไทยพิชิตโปรฯ และสามารถร่วมเดินทางไปกับบริษัทได้ประมาณ 1.5-2 พันคน ทั้งนี้ มร.คริสโตเฟอร์ คิม ยังได้กล่าว ถึงผลกระทบภายนอกที่อาจเกิดขึ้นในอนาคตว่า เรื่องผลกระทบจากภายนอก ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเมืองหรือน้ำท่วม เป็นสิ่งที่บริษัทไม่สามารถควบคุมได้ แต่อย่างหนึ่งคือ บริษัทไม่ได้มีความวิตกในเรื่อง นี้มากนัก เพราะบริษัทให้ความสำคัญกับปัจจัยภายในมากกว่า โดยบริษัทมีการ แข่งขันกับตัวเองโดยตลอด และพยายามที่ จะสร้างยอดขายให้ดีกว่าเดิมในทุกๆ ปี


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1330 ประจำวันที่ 29-8-2012 ถึง31-8-2012

ข่าวขายตรง (MLM) : "นาคาญ์ ทวิชาวัฒน์" นั่งนายก "TDIA" ดื้อ! รวมสมาคมตั้งสมาพันธ์


ตามโผ นาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ นั่งเป็น นายหัวคนใหม่ สมาคมอุตสาหกรรมขายตรง ไทย (TDIA) หลังจากนายกคนเก่า อัศวิน วัฒนปราโมทย์ ทำบิ๊กเซอร์ไพรส์ ประกาศลาออกจากตำแหน่ง หลังนั่งเก้าอี้ได้เพียง 6 เดือน นายกใหม่ลั่น! สานต่อนโยบายสำคัญ รวมสมาคมเป็นหนึ่งสมาพันธ์ แต่พลิกแพลงเป็นสมาพันธ์ทางใจ พร้อม วอนให้นายกสมาคมขายตรงทุกคนปรองดองกัน


นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย (TDIA) เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาอาจมีกระแสข่าว เกี่ยวกับความขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้นภายในสมาคม แต่ตนในฐานะนายกสมาคมคนใหม่ขอยืนยันว่า สมาชิกทุกคนของสมาคม อุตสาหกรรมขายตรงไทยไม่มีปัญหาความขัดแย้งใดๆ กันทั้งสิ้น แม้แต่นายกสมาคมคนเก่าที่ท่านได้ลาออกไป ก็ไม่ได้เกิดจากปัญหาภายใน ท่านมีเหตุผลของท่านที่เราทุกคนต้องยอมรับ ส่วน นโยบายสำคัญเกี่ยวกับการรวมสมาคมขายตรงไทยเป็นหนึ่งสมาพันธ์ ตนเองก็ยังคงสานต่อความตั้งใจนี้ของนายกสมาคมคนเก่าต่อไป เพราะถือเป็นนโยบายที่เกิดขึ้นเพื่อสานประโยชน์ให้แก่ส่วนรวมอย่างแท้จริง


อย่างไรก็ดี ตนมองว่าหากนายกสมาคมต่างๆ ของธุรกิจขายตรงในประเทศ ไทยมีความสามัคคีปรองดองกัน คือ สามารถ ปรึกษาพูดคุยกันได้ในทุกๆ เรื่องเกี่ยวกับ แวดวงธุรกิจขายตรง ตนคิดว่า สมาพันธ์ขายตรงไทยก็จะกลายเป็นแค่ชื่อ เพราะเมื่อทุกคนมีความรัก ความสามัคคี จริงใจ ต่อกัน ก็จะเกิดเป็นสมาพันธ์ในตัวอยู่แล้ว ดังนั้นในความคิดเห็นส่วนตัว สมาคมขาย ตรงไทยจะเกิดขึ้นมาอีกกี่สมาคมก็ได้ จะเป็น 10 สมาคมก็ไม่มีปัญหา แต่จุดเน้นที่สำคัญ คือ ทุกสมาคมต้องไม่ขัดแย้ง หรือ ชิงดีชิงเด่นกัน ต้องสร้างความสามัคคี มีนโยบายเพื่อสานประโยชน์ให้แก่สังคมร่วมกัน


ในฐานะที่ตนก้าวขึ้นมาดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทยคนใหม่ ตนและคณะกรรมการทุกฝ่ายได้ร่วมกันร่างโครงการโดยลงมติร่วมกันในที่ ประชุม ซึ่งในวาระนี้มีหลายโครงการเร่งด่วน ได้แก่ โครงการพัฒนาหลักสูตรขายตรงระดับปริญญาโทร่วมกับทางมหาวิทยาลัย ต่างๆ เพื่อเผยแพร่ความรู้และพัฒนาหลักสูตรระดับปริญญาโทเกี่ยวกับอุตสาหกรรมขายตรง โดยผู้ที่เข้ารับการศึกษา อาจเป็นผู้ประกอบการ ผู้จำหน่ายอิสระหรือ ผู้ที่สนใจเกี่ยวกับธุรกิจนี้ที่ต้องการแสวงหา ความรู้ ความเข้าใจ เพื่อนำไปใช้ประโยชน์ สำหรับการทำธุรกิจของตนเองต่อไป โดย ผู้สมัครเข้าศึกษาจะได้รับวุฒิปริญญาโทเกี่ยวกับหลักสูตรขายตรงโดยเฉพาะ


นอกจากนี้ สมาคมฯ ยังได้ประสาน ความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยต่างๆ ในการจัดอบรมความรู้เกี่ยวกับธุรกิจขายตรง ให้กับผู้ประกอบการใหม่ๆ หรือผู้สนใจที่อยากเปิดธุรกิจ ซึ่งล่าสุดเราได้รับการ ตอบรับจากมหาวิทยาลัย พัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ที่ได้ร่วมเปิดสอนหลักสูตรการฝึกอบรมดังกล่าว โดยผู้ประกอบการใหม่ๆ ที่สนใจเข้ารับการฝึกอบรม สามารถ สมัครได้ที่สมาคมฯ ซึ่งโครงการนี้จะเปิดสอนฟรี ใช้เวลาเรียนรวมทั้งหมด 60 ชั่วโมง เปิดสอนในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์ ประมาณ เดือนธันวาคมเป็นต้นไป


ที่ผ่านมาทางสมาคมฯ ได้พิสูจน์ ตัวเองอยู่เสมอว่า ทุกกิจกรรมของสมาคมฯ ได้ดำเนินการเพื่อประโยชน์ต่อส่วนรวมอย่างแท้จริง ไม่ได้ดำเนินกิจกรรมใดๆเพียงเพราะอยากจะสร้างภาพ หรือมิได้เอื้อประโยชน์แก่บริษัทใดบริษัทหนึ่ง หรือ บุคคลใดบุคลหนึ่ง โดยตลอดระยะเวลา 12 ปี ของการก่อตั้งสมาคมฯ หลายภาคส่วนอาจจะมองว่าสมาคมนี้ดูเหมือนจะไม่มี ความเคลื่อนไหวใดๆ เป็นสมาคมเล็กๆ ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อสร้างสีสันให้กับวงการขายตรง แต่ตนอยากจะบอกว่า สมาคมเราเล็ก แต่ใจใหญ่ การที่ไม่ชอบออกสื่อไม่ได้หมาย ความว่าเราละเลยหน้าที่ ตลอดเวลาที่ผ่าน มา สมาคมฯ ได้ร่วมปกป้องอุตสาหกรรมขายตรงเสมอมา เช่น การประสานงานกับ ทางภาครัฐในการจัดการกับแชร์ลูกโซ่ มันนี่ เกม และบริษัทที่กระทำการผิดกฎหมาย และได้ร่วมเผยแพร่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจขายตรง จนเป็นที่ยอมรับของภาครัฐบาลว่าเป็นสมาคมที่ตั้งขึ้นเพื่อ ช่วยเหลือสังคมจริงๆ นาคาญ์ กล่าว


ความสำเร็จดังกล่าว ตนเชื่อเสมอมาว่าเกิดจากการที่สมาชิกในสมาคมของเรามีความจริงจัง และจริงใจ ให้แก่กัน ไม่มีการแบ่งชนชั้น ว่าตนคือ บริษัทเล็ก บริษัทใหญ่ ทุกคนอยู่กันด้วยความรักความสามัคคีเกื้อกูลซึ่งกันและกัน และการบริหารงานก็ใช้มติที่ประชุม ของคณะกรรมการโดยเน้นเสียงข้างมากเป็นหลัก โดยมอบหมายให้นายกสมาคมฯ เป็นประธานในการดำเนินการในโครงการ ทำกิจกรรมต่างๆ คือเป็นประธานและเป็นศูนย์รวมของสมาชิกในการดำเนินการตามมติของที่ประชุมนายกสมาคมฯ ไม่สามารถดำเนินการใดๆ โดยปราศจาก มติที่ประชุมได้ เพราะสมาคมฯ ถือเป็นองค์กรที่เป็นส่วนรวมของสมาชิกทุกบริษัท


อนึ่ง ปัจจุบันสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย มีสมาชิกรวมทั้งสิ้น 24 บริษัท และมีบริษัทที่กำลังจะเข้าร่วมอีก 3 บริษัท โดยในวาระการดำรงตำแหน่งของนายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ตั้งเป้าหมายว่าจะต้อง มีบริษัทสมาชิกเกินกว่า 50 บริษัท


รายชื่อคณะกรรมการชุดใหม่ของสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย มีดังต่อไปนี้


- นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ ดำรงตำแหน่ง นายกสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย


- นายสุกิจ สัตย์เพริศพราย ดำรงตำแหน่ง อุปนายกสมาคมฯ คนที่ 1


- พ.อ.สิงห์ พรสุรบดี ดำรงตำแหน่ง อุปนายกสมาคมฯ คนที่ 2


- นางบุปผา มหาพิรุณ ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการสมาคมฯ


- นางรุษญา พระสินชัย ดำรงตำแหน่ง ผู้จัดการสมาคมฯ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1330 ประจำวันที่ 29-8-2012 ถึง31-8-2012

วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2555

มิลค์กี้เวย์ เน็ตเวิร์ค(Milky Way Network): สัมภาษณ์เปิดวิสัยทัศน์และแนวคิดใหม่กับท่านประธาน สุมิตร วชโรดมทรัพย์


วันนี้เว็บไซต์ไทยเอ็มแอลเอ็มนิวส์ดอทคอม(www.thaimlmnews.com) ได้มีโอกาสเข้ามาสัมภาษณ์ประธานกรรมการบริษัท ขายตรงน้องใหม่มาแรง มิลย์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค(Milky Way Network)คุณสุมิตร วชโรดมทรัพย์ ที่เพิ่งเปิดตัวก็ทำ Break Event ไปแล้ว ซึ่งทางทีมงาน ไทยเอ็มแอลเอ็มนิวส์ ยืนยันว่าแนวคิดท่านไม่เหมือนใครและมีมุมมองที่กว้างไกลมากๆ ท่าใครอยากรู้อ่านกันได้เลย


ความเป็นมาของทางมิลย์กี้เวย์เน็ทเวิร์คมีความเป็นอย่างไรบ้างครับ


มิลย์กี้เวย์ เน็ทเวิร์ค เพิ่งเปิดตัวเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2555 ที่ผ่านมาและตั้งเป้าที่จะทำเป็นบริษัทตัวอย่างที่ทำธุรกิจเครือข่ายอย่างแท้จริง วัตถุประสงค์และเป้าหมายหลักของเราก็คือการสร้างแบรนด์ธุรกิจเครือข่ายของคนไทย ให้เป็นศูนย์รวมของสมาชิกคนไทยทั้งหมดเข้ามาใช้บริการเป็นหลักและมองว่าธุรกิจเครือข่ายของเราเป็นเพียงโปรดักส์หนึ่งที่จะส่งออกไปยังตลาดต่างประเทศ เท่านั้น


ทำไมท่านประธานสุมิตรถึงคิดเข้ามาสู่วงการธุรกิจเครือข่ายได้


ทางประธานสุมิตรมีความเห็นว่า "คำถามคำถามนี้ ผมมองว่าท่ามองในมุมบริหารและนักการตลาด จะมองว่าเป็นคำถามที่คนยังไม่เข้าใจในระบบการทำธุรกิจ เพราะว่าจริงๆ แล้วคำว่าธุรกิจเครือข่ายมันก็คือโปรดักส์ ตัวหนึ่งเท่านั้น ท่าหากมองในมุมนักการตลาดจริงๆ แล้ว มันง่ายมากในการทำ แต่ที่สำคัญคุณบริหารธุรกิจเป็นหรือไม่ นี่คือโจทย์ที่จะต้องตอบให้แก่สมาชิกทุกคนที่เคยมีความคิดผิดๆ ว่าคนที่จะมาทำธุรกิจเครือข่ายต้องรู้เรื่องเครือข่ายมันไม่จำเป็นเสมอไป คนที่จะมาทำงานด้านธุรกิจเครือข่ายนั้นต้องนักบริหารที่เป็นและเป็นนักการตลาดที่ถูกต้องกับโปรดักส์ นั้น วันนี้ผมมาทำธุรกิจเครือข่ายผมมองว่าธุรกิจนี้เป็นเพียงโปรดักส์ โปรดักส์หนึ่งเท่านั้น ส่วนวิธีการทำให้โปรดักส์ส่วนนี้ประสบความสำเร็จและได้รับความนิยมนั้น ต้องทำอย่างไรนี่คือหน้าที่ของผู้บริหารอย่างผมที่จะต้องตีโจทย์ตรงนี้ให้แตก และในส่วนประวัติการทำธุรกิจของผมที่ผ่านมานั้น ล้วนประสบความสำเร็จมาตลอด เพราะฉะนั้นจะมองเห็นว่าคนทำธุรกิจเครือข่ายเข้าใจผิดมาเยอะว่าผู้บริหารต้องเคยผ่านงานเครือข่ายมาก่อน แต่ผมมองว่าไม่จำเป็นที่สำคัญคือต้องเข้าใจถึงธุรกิจเครือข่ายมากกว่าแต่ในความรู้ลึกซึ้งในธุรกิจตัวนี้คุณไม่สามารถเข้าใจได้จนหมด แต่มันขึ้นอยู่กับว่าคุณจะเรียนรู้กับมันได้มากน้อยขนาดไหนและนำไปปรับใช้ว่าคุณจะทำการตลาดกับโปรดักส์ตัวนี้อย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ท่าสำเร็จแสดงว่าคุณมีความใจในหลักของการบริหารธุรกิจ แต่ท่าไม่ประสบความสำเร็จนั้นมีหลายปัจจัยแต่ปัจจัยหลักๆ ที่คนส่วนใหญ่มักพลาดตกม้าตายกันนั้น คือมีความรู้ด้านธุรกิจเครือข่ายจริง แต่กับบริหารธุรกิจไม่เป็นมองกลยุทธ์การตลาดไม่ขาดก็เลยไม่พบความสำเร็จ แต่ในจุดนี้ของบริษัท มิลค์กี้เวย์ บอกได้เลยว่าเราเข้าใจมันทั้งหมด ตรงนี้เรากล้าพูดได้เลยว่า เพราะผมมองว่าธุรกิจตัวนี้เป็นเพรียงแค่โปรดักส์หนึ่งเท่านั้น"


เพราะเหตุใดจึงไม่นำตลาดแบบ Single และเป็น Mass Product มาใช้ในส่วนของบริษัทนี้


การทำตลาดแบบซิงเกิ้ล กับการทำตลาดแบบเครือข่ายนั้นสุดท้ายจุดหมายสำคัญก็อยู่ที่จุดเดียวกันนั่นก็คือตัวผู้บริโภคนั่นเอง เพียงแต่ว่าจะเข้าหาตัวผู้บริโภคด้วยกลยุทธ์ไหนเพียงเท่านั้นเอง สุดท้ายแบบตลาดซิงเกิ้ลกับตลาดแบบเครือข่ายนั้น ผู้ประบริหารหรือนักการของทั้งสองฝั่งจะทำอย่างไรให้สินค้าของเรานั้นเข้าถึงมือผู้บริโภคให้ได้เร็วที่สุดและมีคุณภาพที่สุดเพียงเท่านั้นเอง และมันคือการสร้างโอกาสทางรายได้ให้คนนั้นตลาดซิงเกิ้ลก็ทำได้น้อยกว่าแต่กลับกันธุรกิจเครือสามารถทำรายได้ให้คนธรรมดาที่มุ่งหวังในรายได้และมอบสิ่งที่ดีให้แก่ผู้อื่น สามารถสร้างรายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำนั่นเอง


ท่านประธานสุมิตรมั่นไม่หวั่น AEC


ตรงนี้ต้องกล่าวก่อนตัวผมนั้นมีประสบการณ์ในการส่งออกสินค้าเป็นอย่างดี เพราะผมทำธุรกิจด้านนี้มาทั้งชีวิตตั้งแต่ทำงานมา แต่ในส่วนนี้จริงอยู่ที่มันยังไม่เกิดแต่ในตัวผมนั้นเคยผ่านประสบการณ์สนามพวกนี้มาเยอะมากแล้วไม่ว่าจะเป็น AFTA หรือ อื่นๆ อีกมากมายผมว่าทางมิลย์กี้ เวย์ คงไม่ต้องทำอะไรมากมายเพราะปัจจุบันทางผมก็ทำอยู่แล้วเป็นชีวิตประจำวันกับการค้าระหว่างประเทศผมมองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็ก เพราะมีเพรียงเรื่องการขนส่ง เรื่องของภาษี เรื่องของการส่งเสริมเท่านั้น ขึ้นอยู่กับความสามารถว่าคุณจะไปหาผลประโยชน์จากส่วนนี้ได้มากแค่ไหน ผมขอบอกว่าคนจะทำตลาดส่งออกทำไมจะต้องมานั่งรอเรื่องนี้ เรื่องพวกนี้คุณต้องช่วยตัวเองก่อนต่อให้เขาช่วยคุณจนสุดความสามารถแต่ท่าคุณไม่มีองค์ความรู้ในการทำให้องค์กรคุณพร้อมในการส่งออกไปต่างประเทศและไม่เข้าใจวัฒนธรรมของแต่ละประเทศคุณก็ไม่มีความสามารถในการทำให้มันประสบความสำเร็จได้


กังวัลไหมครับที่ผู้ลงทุนต่างประเทศจะมาตีตลาดเราได้


ผมอยากจะบอกว่าปัจจุบันนี้ก็มีอยู่แล้ว แล้วถามว่าเขาเข้ามาในรูปแบบไหน คนที่เข้ามาลงทุนจริงสร้างแบรนด์จริงมีเพียงไม่กี่บริษัทนอกนั้นก็มาแบบฉาบฉวยซึ่งเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ตลาดต่างประเทศนั้นจะได้เปรียบอยู่ หนึ่ง คือแบรนด์ อิมเมจ แต่ว่าเขาจะมาหาผลประโยชน์ในเมืองไทยเรานั้นได้มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับการบริหารของแต่ผมมองว่าอย่างไรก็ตามคนไทยก็จะได้สิทธิ์มากกว่า สรุปก็คือต้องต่อสู้ด้วยกำลังและปัจจัยในการต่อสู้กันเพื่อโหมกระแส


เครื่องมือทางการตลาดที่จะใช้เป็นอาวุธแก่ทางสมาชิกของมิลย์กี้ เวย์


เราใช้ปัจจัยทางราคาตามท้องตลาดมาเป็นเครื่องมือช่วยโดยให้สุขภาพที่ในราคาที่เหมาะ โดนไม่อัพราคาเยอะเกินจริงอย่างที่เจ้าอื่นๆ มักจะใช้กัน เรากำหนดราคาที่เหมาะสมและมอบสุขภาพที่ดีให้แก่ผู้บริโภคโดยประโยชน์จากสินค้าเรานั้นก็ไม่แพ้แบรนด์ดังๆ ที่ขายราคาแพงเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนที่สองคือแผนการจ่ายผลตอบแทนคือของเราจะไม่ทำกลไกลไม่ให้ยากและเข้าใจง่ายทำจริงได้จริงไม่มีหมกเม็ดทั้งสิ้น และทางเราจะไม่ใช้โปรโมชั่นในการลดสินค้าแถมสินค้ามาเป็นตัวกระตุ้นอย่างที่ค่ายอื่นๆ นั้นใช้กันเป็นประจำ ทางเราจะทำทุกวิถีเพื่อให้ทางสมาชิกได้รับสิทธิ์ประโยชน์อย่างเต็มที่เพราะผมมองว่าหากทีมงานอยู่ไม่ได้แล้วบริษัทจะอยู่ได้อย่างไรเราเล็งเห็นถึงจุดนี้เป็นมากที่สุด แ ละเราใช้สื่อทุกสื่ออย่างแน่นอนแต่ขึ้นอยู่แต่โอกาส


ถามท่านประธานถึงความยากง่ายในการบริหารธุรกิจเครือข่ายกับธุรกิจทั่วตรงนี้อยากทราบว่ามีความยากง่ายต่างกันไหมครับ


ทุกธุรกิจที่เราเข้ามาทำเราต้องเข้าใจถึงสินค้าก่อนเป็นอันดับแรก สินค้าก็คือ P ที่ Product พอเราเข้าใจสินค้าของเรา เราก็จะสามารถต่อยอดไปถึงหลัก 5 P ได้คือ 1. Product 2. Potential market 3. Point in Time 4. Plan 5. Promotion ซึ่งวันนี้ผมเข้ามาเพื่อปรับใน P1 และต่อยอดไปถึงขั้นตอนอื่น ซึ่งก็ไม่ยากสำหรับตัวผมเลย และจริงๆ แล้วคอนเซ๊ป ของผมจะต่างจากบริษัทอื่นๆ ค่อนข้างเยอะ เป้าหมายของผมคือการทำให้คนที่เข้ามาร่วมธุรกิจกับผมรู้สึกมีความปลอดภัย ปลอดภัยในที่นี้ไม่ได้หมายถึงพอมีพอใช้ แต่ในความหมายนี้คุณอาจรวยจนรู้สึกปลอดภัยก็ได้ และทางมิลย์กี้ เวย์ ก็จะให้ความปลอดภัยอีกอย่างคือพอคุณประสบความสำเร็จคุณสามารถมีความปลอดภัยอีกอย่างคือมั่นใจได้ว่ามิลย์กี้ เวย์ จะอยู่คู่กับคุณก้าวเดินไปกับคุณอย่างมั่นคง เพราะอย่างงี้ทางมิลย์กี้ เวย์ที่เพิ่งเปิดตัวได้ไม่นานสามารถสร้างความมั่นใจให้กับผู้สนใจร่วมธุรกิจเข้ามาร่วมกับเราอย่างมากมาย ซึ่งคอนเซ๊ปของผมไม่ใช่คอนเซ๊ปที่ขายฝันเลย


ในมุมมองของท่านประธานคิดว่าขายตรงถึงขั้น Red Ocean แล้วหรือยังครับ


ตรงนี้ผมมองว่าบางคนอาจคิดวิตกกังวลว่าขายตรงบ้านเราเข้าไปสู่จุดนั้นแล้วแต่ในความคิดผมไม่เลยแม้แต่น้อย ซึ่งตอนนี้คนลงมาทำตลาดบ้านเราเยอะมาก แต่ผมกับมองกลับกันว่าผมอยู่อย่างโดดเดี่ยวใน White Ocean ซึ่งไม่ได้มีใครมาแข่งอะไรกับผมเลย คือผมแข่งกับตัวผมเองคนเดียวคู่แข่งอยากทำอะไรทำไปเพราะอะไรถึงผมคิดแบบนี้ ต่อให้คู่แข่งประสบความสำเร็จแบบสุดยอด หรือจะล้มเหลวไม่เป็นท่ามันก็ไม่เกี่ยวอะไรกับธุรกิจของผมทั้งนั้น แต่เวลามิลย์กี้ เวย์ ก้าวเดินไปในตลาดเครือข่ายนั้นใช่ว่าจะเดินเพียงลำพังเพียงคนเดียวแต่มิลย์กี้ เวย์ พยายามร่วมเดินไปกับค่ายอื่นๆ ที่มีอุดมการณ์เดียวกันมากกว่า และที่นี่ให้ความสำคัญกับวัตณธรรมองค์กรมากเหมือนกับการบริหารธุรกิจท่าหากคุณติดกระดุมเม็ดแรกผิดเม็ดต่อๆ ไปคุณก็จะผิดตลอดและจะต้องกับมาแก้ที่จุดเริ่มต้นใหม่ เพราะฉะนั้นเราจึงไม่มุ่งนำผลประโยชน์มาเป็นที่ตั้งแต่เราจะมุ่งมั่นกับคนที่มีอุดมการณ์เดียวกันก่อนเพราะท่านำคนเข้าต่างอุดมการณ์เข้ามาร่วมท่าเยอะๆ เข้าในไม่ช้าก็จะทำให้องค์กรไปไม่รอด และคำพูดผมไม่ใช่คำพูดที่ฟังดูสวยหรูแต่ทำจริง คุณเคยเห็นบริษัทขายตรงร่วมจับมือกันแล้วหรือยัง เชื่อไม่เชื่อเราทำ Opp ร่วมกับบริษัทอื่นๆ ซึ่งไม่มีใครเขาทำกันซึ่งทำมาได้ 3 เดือนแล้ว เราอย่ามองว่าขายตรงเจ้าอื่นๆ คือคู่แข่งของคุณแต่คุณต้องมองให้เป็นพันธมิตรที่มีอุดมการณ์ร่วมกัน อย่างเช่นตอนผมทำงานส่งออกผ้าไหมผมไม่เคยมองว่าผู้ส่งออกรายอื่นคือคู่แข่งแม้แต่น้อยอย่างน้อยใหม่เข้ามาในตลาดเราก็จะร่วมจับมือช่วยเหลือเกื้อหนุน จับมือกันให้แน่นเข้าไว้ทุกสิ่งทุกอย่างจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอนผมอยากขอเล่าย้อนกับไปถึงสมัยพึ่งมี พรบ. ขายตรงออกมาส่วนแบ่งทางการตลาดนั้นอยู่ราว 65,000 ล้าน 75,000 ล้านบาท และวันนี้ผมมั่นใจว่าสถิติขายตรงมากกว่า แสนล้านไปแล้ว อัตราการเติบโตของธุรกิจอยู่ที่ 10-15% ต่อปีขนาดปีที่น้ำท่วมก็ยังโตแต่อาจไม่โตแรงเท่าปีอื่นๆ เพราะฉะนั้นจะเกี่ยวโยงถึงกรณี Red Ocean ก็ต่อเมื่อผ่านพ้นไปซัก 20 ปี เพราะว่าการเติบโตของตลาดได้หยุดลง จะยกตัวอย่างที่เป็น Red Ocean คือประเทศญี่ปุ่นที่คน คนหนึ่งถือกรมธรรม 1-3 ฉบับ อย่างงี้ถือว่าเข้าขั้นวิกฤษอย่างแท้จริง ซึ่งประเทศไทยยังห่างไกลกับจุดนี้ค่อนข้างมากแต่ตรงนี้ขึ้นอยู่กับการให้องค์ความรู้คนด้วย


มิลย์กี้ เวย์ ในตลาดซิงเกิ้ล


สินค้าที่มีตลาดซิงเกิ้ลนั้น วันนี้เราขายสินที่ถูกมากๆ ถูกกว่าตามท้องตลาดทั่วไปค่อนข้างเยอะ ซึ่งโอกาสที่เราจะเจอการตัดราคานั้นแทบเป็นไปไม่ได้เลย แต่เรายุทธวิธีในการใช้ตลาดเครือข่ายซ้อนซิงเกิ้ลซึ่งสามารถนำสินค้านี้ไปวางไว้ตามที่จำหน่ายได้โดยมีส่วนต่างที่จะได้รับเข้ามาอีกครั้งหนึ่งซึ่งเหมาะสำหรับคนขายมากๆ


แผนเรื่องการขยายฐานการตลาดเป็นเช่นไรบ้างครับ


เรามีแผนอีกสามปีข้างหน้าจะขยายไปต่างประเทศ ส่วนในประเทศท่าส่วนไหนพร้อมแล้วก็จะขยายตลาดไปทันทีเพื่อกระจายความสะดวกสบายให้ได้มากที่สุด และอีกจุดหนึ่งผ่านมาสามเดือนเราเซ๊ทไปหลายที่แล้วทางภาคเหนือก็จะมีเชียงใหม่กับพิษณุโลก ส่วนภาคใต้ก็จะมีทาง หาดใหญ่ สุราษฎร์ธานี ปัตตานี ภูเก็ต และพังงา ตอนนี้กำลังเล็งที่จะกะจายไปยังภาคอีสาน ส่วนตลาดต่างประเทศตอนนี้ก็กำลังจะขยายเซ็นเตอร์ไปยังประเทศลาว เขมร และเวียดนามแล้ว


ถามถึงจุดเด่น มิลย์กี้ เวย์ ทำไมถึงตอบโจทย์สำหรับผู้นำ ทำไมถึงตอบโจทย์กับผู้หาโอกาส และทำไมถึงตอบโจทย์แก่ผู้บริโภคครับ


ทุกสิ่งทุกอย่าง ทางทีมผู้บริหารมีความเข้าใจอย่างแท้จริงและมองโปรดักส์ของเราอย่างชัดเจนว่ามันคือสินค้าชนิดหนึ่งที่จะจัดการตลาดอย่างไรให้เหมาะสมที่สุดแค่นั้นยังไม่พอองค์กรของเรายังแสดงถึงความจริงใจให้เห็นว่าเรามีเป้าหมายหลักอย่างไรจะทำเพื่ออะไรบ้าง ซึ่งผมเป็นคนพูดอย่างไรทำอย่างนั้นท่าหากคุณไม่เชื่อทุกสิ่งทุกอย่างสามารถชี้วัดกันได้ด้วยเวลาและเวลาจะเป็นตัวตอบโจทย์ทั้งหมดเอง


จัดทำและเรียบเรียงโดยทีมงาน www.Thaimlmnews.com

วันศุกร์ที่ 24 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ผู้ค้าวอน "จิรชัย มูลทองโร่ย" ตั้งกรมขายตรงผลักดัน พ.ร.บ.ตัวใหม่ ยกระดับธุรกิจ


หลังจากที่คณะรัฐมนตรี มีมติแต่งตั้งให้ นายจิรชัย มูลทองโร่ย ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และได้มีการวางแผนงานสำคัญ ด้วยการออกพันธกิจ เร่งเดินหน้าคุ้มครองผู้บริโภค 360 องศา เพื่อสานต่อการดำเนินงานตาม นโยบาย ของ นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงศึกษาธิการ และอดีตเลขาธิการคนเดิม นายนิโรธ เจริญประกอบ

ซึ่งในส่วนของธุรกิจขายตรง รัฐบาลก็ได้ให้ความสนใจ เร่งออกนโยบายสำคัญในการคุ้มครองผู้บริโภคของกลุ่มธุรกิจนี้ ดังนั้นทีมข่าวสยามธุรกิจ จึงไม่รอช้าสอบถามไปยังผู้ประกอบการธุรกิจขายตรง ว่าในยุคของ จิรชัย มูลทองโร่ย อยากให้รัฐบาลรีบเร่งรัด ดำเนินการในเรื่องใดเป็นพิเศษ เพื่อยกระดับมาตรฐานธุรกิจขายตรงไทย

> กิฟฟารีน เสนอเพิ่มบุคลากร

แพทย์หญิงนลินี ไพบูลย์ ประธาน กรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยกับสยามธุรกิจว่า จริงๆ แล้วตนเองไม่มีข้อเรียกร้องให้หน่วยงาน สคบ.เร่งรัดการดำเนินงานเรื่องใดเป็นกรณีพิเศษ เพราะที่ผ่านมาตนเชื่อว่าเลขาฯ สคบ.ทุกท่าน และเจ้าหน้าที่ทุกฝ่ายปฏิบัติ งานอย่างดีที่สุดแล้ว โดยเฉพาะการดำเนินงานเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงก็ได้มีการประสานงานด้วยดีกันมาโดยตลอด มีการปรึกษาพูดคุย รับฟังความคิดเห็นซึ่งกันและกัน

อย่างไรก็ดี อาจจะมีปัญหาบ้างตรงที่ สคบ.อาจขาดแคลนบุคลากร ทำให้การ ทำงานต่างๆ มีความล่าช้าไปบ้าง ตรงส่วน นี้ตนจึงอยากเสนอให้มีการเลือกสรร บุคลากรที่จะมาทำหน้าที่ดูแลรับผิดชอบการดำเนินงานต่างๆ ให้มากขึ้น ส่วนกระแส ความต้องการที่อยากจะให้สคบ.มีการ จัดตั้งหน่วยงาน ซึ่งเทียบเท่ากรมขึ้นมาดูแลธุรกิจขายตรงโดยเฉพาะ ในเรื่อง ดังกล่าวตนก็เห็นด้วย หากสามารถดำเนิน การได้จริง แต่ในความคิดเห็นส่วนตัว การ จัดตั้งหน่วยงานดังกล่าวอาจจะมีความยุ่งยาก และต้องใช้ระยะเวลานาน และนัยยะสำคัญของการจัดตั้งกรมธุรกิจขายตรง ก็เพื่อให้มีบุคลากรกลุ่มหนึ่งก้าวขึ้นมาดูแลธุรกิจนี้อย่างเป็นรูปธรรมนั่นเอง ฉะนั้นอาจไม่จำเป็นต้องมีกรมใดเกิดขึ้นก็ได้ แต่ขอให้มีบุคลากรที่เข้ามาดูแลงานในส่วนธุรกิจขายตรงให้มากขึ้น

> คังเซนฯ บอกเร่งออก พ.ร.บ. ขายตรง

นายอิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ ประธาน กรรมการบริหาร บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยกับสยามธุรกิจ ว่า ท่านเลขาฯ จิรชัย มูลทอง-โร่ย ถือเป็นอีกบุคคลหนึ่งที่มีความรู้ ความ เข้าใจในธุรกิจขายตรงเป็นอย่างดี เพราะในฐานะที่ท่านเคยเป็นอดีตรองเลขาฯ สคบ.ก็ได้เข้ามาดำเนินงานดูแลเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงมาโดยตลอด ตนจึงเชื่อว่า ภายใต้การดูแลของคุณจิรชัย จะสามารถ ยกระดับมาตรฐานธุรกิจขายตรงให้เข้าสู่สากล และธุรกิจนี้จะเป็นที่ยอมรับของทุกฝ่ายได้ต่อไป

โดยสิ่งที่ตนในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจขายตรง อยากให้คณะทำงานของเลขาฯ สคบ.คนใหม่ รีบเร่งรัดดำเนินการมากที่สุด คงหนีไม่พ้นเรื่องพ.ร.บ.ขายตรง ที่ปัจจุบันยังไม่เป็นรูปธรรม โดยอยากให้ยุคของคุณจิรชัย พยายามรีบเร่งดำเนินการตรงนี้ร่วมกับคณะกรรมการร่างพ.ร.บ. ขายตรง จัดทำตัวบทกฎหมายขายตรงให้มีความชัดเจนโดยเร็วที่สุด เพราะตนเชื่อว่า หากกฎหมายดังกล่าวสำเร็จเป็นรูปธรรมจะนำประโยชน์มาสู่วงการธุรกิจเครือข่ายได้อย่างมากมาย โดยเฉพาะประโยชน์ต่อผู้บริโภค ที่พวกเขาจะมีหลักประกันความเสี่ยง ซึ่งสามารถจับต้องได้

นอกจากนี้ ตนยังอยากให้ สคบ.ได้มีการออกกฎระเบียบสำหรับการลงโทษผู้กระทำความผิดธุรกิจขายตรงให้มีความรัดกุม และชัดเจนมากกว่านี้ เพื่อควบคุมหลายบริษัทขายตรงที่ยังคงหาช่องว่างทางระเบียบ จรรยาบรรณ เอาเปรียบ ผู้บริโภคอยู่ ดังนั้น เพื่อให้ธุรกิจนี้ปราศจากบริษัทสีดำหรือสีเทา ตนจึงอยากให้รัฐบาลพิจารณาแก้ไข ออกกฎระเบียบการ ลงโทษผู้กระทำความผิดต่อผู้บริโภคในธุรกิจนี้ให้มีความเด็ดขาด หรือชัดเจนมากกว่านี้

และเรื่องที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่ตนอยากเสนอให้เลขาฯ สคบ.คนใหม่ พิจารณา คือ การจัดตั้งกรมธุรกิจขายตรงที่จะเข้ามา ควบคุมดูแลธุรกิจนี้โดยเฉพาะ เสมือนกับ ธุรกิจประกันฯ ที่มีกรมการประกันภัยเป็น หน่วยงานหลักในการดูแลธุรกิจให้เป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง ซึ่งตนเชื่อว่าเรื่อง ดังกล่าวจะช่วยลดภาระของรัฐบาลไปได้อย่างมาก

จริงๆ แล้ว แนวคิดที่อยากจะให้รัฐบาลมีการจัดตั้งหน่วยงานหลักที่เข้ามา ควบคุมดูแลธุรกิจขายตรงนั้นมีมานานแล้ว ซึ่งหลายฝ่ายเห็นด้วยว่าเราจำเป็นต้องมี กรมธุรกิจขายตรง แต่ตนก็เข้าใจว่าเรื่องดังกล่าวเป็นข้อเสนอที่ค่อนข้างยุ่งยาก และต้องใช้เวลาในการดำเนินงานพอสมควร อย่างไรก็ดี หากหน่วยงานนี้สามารถเป็นไปได้จริงๆ เชื่อว่าจะสร้างประโยชน์ให้กับทุกฝ่ายได้จริงๆ

> โมรินดา แนะตั้งกรมธุรกิจ ขายตรง

นางวิภารัตน์ รัตนพรหมมา ผู้จัดการ ประจำประเทศไทย บริษัท โมรินดา เวิร์ลไวด์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่า สิ่งที่ตนต้องการให้ยุคของ คุณจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการ สคบ. คนใหม่ เร่งดำเนินการมากที่สุด มีอยู่ 2 เรื่องหลักๆ เรื่องแรก คือการเร่งผลักดัน พ.ร.บ.ขายตรงให้ออกมาอย่างเป็นรูปธรรม โดยเร็วที่สุด เพราะตนมีความเห็นว่า หาก ธุรกิจขายตรงมีบทกฎหมายที่ชัดเจน เป็น รูปธรรมจะสามารถช่วยควบคุมหรือคัดสรร บริษัทขายตรงที่เป็นสีเทาให้ออกไปจากธุรกิจนี้ได้อย่างจริงจังเสียที

ตนในฐานะผู้ประกอบการธุรกิจขายตรง รอคอยความชัดเจนในเรื่องตัวบทกฎหมายขายตรงมาตลอด ซึ่งที่ผ่านมา ตนมองว่าเรื่องดังกล่าวค่อนข้างที่จะผ่านมือเลขาฯสคบ.มาหลายคนแล้ว ฉะนั้นในยุคของคุณจิรชัย ตนเองจึงมีความคาดหวัง ว่า พ.ร.บ.ตัวนี้จะมีความเป็นรูปธรรม ที่สามารถนำมาใช้ปฏิบัติได้โดยเร็วที่สุด

อีกเรื่องหนึ่ง ที่ตนอยากเสนอให้เลขาฯ สคบ.คนใหม่รับไว้พิจารณา คือ การ จัดตั้งหน่วยงานที่จะเข้ามาควบคุมดูแลธุรกิจขายตรงโดยเฉพาะ โดยมีลักษณะเช่นเดียวกับกรมการประกันภัย เพราะตนมองว่า ในปัจจุบันธุรกิจขายตรงเป็นธุรกิจที่มีมูลค่าทางการตลาดมหาศาล ปัจจุบันมีตัวเลขผลประกอบการโดยรวมทั้งอุตสาหกรรมหลายหมื่นล้านบาท มีบริษัทขายตรงที่จดทะเบียนกับทาง สคบ. แล้วกว่า 800 บริษัท และจะยิ่งเพิ่มจำนวน มากขึ้นเรื่อยๆ

จากภาพรวมของธุรกิจที่มีการเติบโต อย่างต่อเนื่อง และโดยเฉพาะประชาชนจำนวนมากให้ความสนใจอาชีพขายตรงมากขึ้นเรื่อยๆ ตนจึงมองว่าการที่เรามีหน่วยงานที่เทียบเท่ากรมขึ้นมาสักหน่วยงานหนึ่งเพื่อดูแลอุตสาหกรรมขายตรงโดยเฉพาะ จะสามารถช่วยลดภาระการทำงานของรัฐบาล และที่สำคัญจะช่วยให้ การดำเนินงาน คัดสรรบริษัทขายตรงที่ดีมีความเป็นไปได้สูง สิ่งดังกล่าวจะช่วยยกระดับมาตรฐานอุตสาหกรรมนี้ให้เป็นที่เชื่อมั่นของผู้บริโภคได้ต่อไป วิภารัตน์กล่าว


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่1329 ประจำวันที่ 25-8-2012 ถึง28-8-2012

ข่าวไอยรา แพลนเน็ต (Aiyara Planet) : ทำตลาดตามตำรา MLM ผุดสินค้าเกษตรจัดโปรฯ เที่ยวช่วยขาย


ไอยรา อุ่นเครื่อง 4 เดือนแรก ธุรกิจโตตามเป้า อัดโปรโมชั่นสินค้า เน้น ไปที่เสริมอาหาร และกลุ่มความงามของ บริษัท ส่วนครึ่งปีหลังงัดสินค้าเกษตรจับตลาดคนรากหญ้า มัดใจคนกลุ่มใหญ่ ของประเทศ ใช้โปรโมชั่นท่องเที่ยวเพิ่ม จำนวนเครือข่าย พร้อมอัดหลักสูตรอบรมนักขาย ดันยอดสมาชิกแตะ 1.5 หมื่นรหัสก่อนสิ้นปี ด้านรายรับขอ 200 ล้านบาท

นายกัมปนาท บุญราศรี ประธาน กรรมการ บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่บริษัทไอยราเพิ่งเปิดตัวไปเมื่อประมาณ 4 เดือนที่ผ่านมา ขณะนี้พบว่าสินค้าของบริษัทมีกระแสตอบรับ จากผู้บริโภคดีเกินคาด แผนการดำเนินงาน เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ทุกอย่าง ดังนั้น สิ้นปีนี้ตนจึงเชื่อมั่นว่า ไอยราจะสามารถทำยอดขายทะลุ 200 ล้านบาท และยอดสมาชิกเกินกว่า 1.5 หมื่นรหัส ตามที่ได้ประกาศไว้อย่างแน่นอน

แม้ผลงานในช่วงครึ่งปีแรก จะเป็น ไปตามเป้าที่วางไว้ทุกอย่าง แต่ตนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ เพราะอะไรๆ อาจจะเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น ดังนั้นในส่วนของครึ่งปีหลังบริษัทจึงได้วางกลยุทธ์สำคัญไว้หลายด้านด้วยกัน เริ่มตั้งแต่แผนการโปรโมตผลิตภัณฑ์หลักๆ ของบริษัท โดยเฉพาะสินค้าเสริมอาหาร อินมูร่า สารสกัดเซซามินจากงาดำ ที่เป็น สินค้าเรือธงของบริษัท นอกจากนี้ ยังมีสินค้าในกลุ่มความงาม ทั้งหมด 4 รายการ ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์กันแดด ผลิตภัณฑ์ดีท็อกซ์หน้า ครีมบำรุงผิวหน้าทั้งกลางวันและกลางคืน และผลิตภัณฑ์ สเติมเซลล์ โดยแบรนด์ไอยราจะเน้น การใช้สารสกัดที่ได้มาจากธรรมชาติ ทั้งหมด กัมปนาท กล่าว

โดยในครึ่งปีหลังบริษัทจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์กลุ่มใหม่ 2 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มสินค้าทาง การเกษตรและสินค้ากระชับสัดส่วน โดยสินค้าทางการเกษตร บริษัทจะไม่จำหน่าย ปุ๋ย แต่จะเน้นเป็นผลิตภัณฑ์จำพวกอะมิโน ฉีดบำรุงพืชมากกว่า ทั้งนี้ นายกัมปนาทก็ได้ให้เหตุผลถึงการที่บริษัทไอยราหันมาจับตลาดในกลุ่มนี้ว่า ตนคิดว่าสินค้าทาง การเกษตรเป็นสินค้ามวลชน เพราะประเทศ ไทยถือเป็นเมืองเกษตร ประชากรที่มีอาชีพ ทำไร่ ทำสวน มีมากกว่าครึ่งของประชากร ทั้งหมด ดังนั้น หากเราต้องการให้ประชากร กลุ่มนี้หันมาสนใจผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ซึ่งเป็นสินค้าหลักของบริษัท เราก็จำเป็นต้องมีสินค้าทางการเกษตรเป็นใบเบิกทาง ให้ชื่อของบริษัทไอยราได้เข้าไปนั่งอยู่ในใจเขาก่อน และเมื่อเขารับรู้ว่าบริษัทคัดสรร แต่สิ่งที่ดีๆ มานำเสนอ เขาก็จะหันมาสนใจ สินค้าอื่นๆ ของบริษัทได้นั่นเอง

ส่วนสินค้ากระชับสัดส่วนจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่เป็นเม็ดแคปซูล มีคุณสมบัติในการช่วยเร่งการเผาผลาญไขมันในร่างกาย มีชื่อว่า คาลิดัส ผู้บริโภคที่ต้องการรูปร่างที่สวย กระชับ สามารถมั่นใจได้เลยว่า สินค้าของบริษัทไม่มีสารต้องห้าม ผู้บริโภคทานไปก็จะไม่มีอาการ ใจสั่น ใจหวิว คอแห้ง หรือนอนไม่หลับ เพราะ ไอยราเน้นย้ำถึงความปลอดภัยของผู้บริโภค เป็นหลัก ทั้งนี้บริษัทได้กำหนดไว้ว่า ปลาย ปีนี้จะต้องพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ให้ ได้ประมาณ 12-15 รายการ

กลยุทธ์ที่สำคัญอีกเรื่องหนึ่งที่บริษัท กำลังเร่งดำเนินการอยู่ในขณะนี้ คือ ระบบ การฝึกอบรม ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรม นักธุรกิจรายใหม่ การฝึกอบรมทีมเวิร์ก และ การฝึกอบรมวิทยากร โดยเฉพาะหลักสูตร โปรวิทยากร บริษัทได้มีการจัดฝึกอบรมไปแล้ว 4 รุ่น รุ่นละ 25 คน รวมทั้งหมด 100 คน ซึ่งเหตุที่ตนหันไปเน้นในหลักสูตรนี้ เนื่องจากมีความคิดว่า วิทยากรจะเป็นเสมือนกระบอกเสียง หรือผู้ที่สามารถประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้องให้กับผู้บริโภค และนักธุรกิจรายใหม่ได้โดยที่ผ่านมาจัดอบรมไปแล้ว 4 รุ่นจำนวน 100 คน และมีแผนจะเปิดการอบรมอีก 4 รุ่น จำนวน 100 คนเช่นเดิม ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นบริษัทก็จะ มีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญ ที่จะช่วยประชาสัมพันธ์ ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้องให้กับบริษัทถึง 200 คนด้วยกัน

ส่วนกลยุทธ์ด้านอื่นๆ ก็จะเป็นส่วน ของโปรโมชั่นส่งเสริมการขาย โดยเฉพาะ โปรฯท่องเที่ยว ซึ่งภายในประเทศก็จะมีโปรแกรมไปเที่ยวจังหวัดกาญจนบุรี ส่วนต่างประเทศเป็นโปรฯท่องเที่ยวประเทศฮ่องกงที่จะมีขึ้นในช่วงปลายปี นอกจากนี้ ยังมีการเน้นจัดอีเวนต์ ตามภูมิภาคต่างๆ โดย 4 เดือนที่ผ่านมาบริษัทได้ไปลงพื้นที่ภาคใต้ เนื่องจากเป็นฐานเดิมของตนเองที่มีทีมงานอยู่เป็นจำนวนมาก จึงทำให้ง่าย ต่อการดำเนินงาน และขณะนี้จะเริ่มรุกไล่ ไปที่ในภาคอีสาน ภาคตะวันออก และภาค เหนือ ตามลำดับ กัมปนาท เปิดเผย


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่1329 ประจำวันที่ 25-8-2012 ถึง28-8-2012

ข่าวประชาสัมพันธ์ พระราม 9 เน็ตเวิร์ค(Praram9 Network) รถยนต์ ทองคำ แจกไม่อั้น








 


พบกับโปรโมชั่นร้อนแรงแห่งปีของบริษัท พระราม9 เน็ตเวิร์ค จำกัด


ท้า!!!สุดยอดผู้นำ คุณทำได้ เราให้เลย

ทั้งรถยนต์ระดับผู้นำ ทองคำแท่ง และรถจักรยานยนต์มากมายแจกเต็มพิกัด ให้คุณไปเลยฟรี!!!!ร่วมสร้างปรากฏการณ์แห่งปีกับพระราม9 เน็ตเวิร์ค

โดยการร่วมสร้างยอดขายทั้งบริษัท กว่า 4 เดือน สิ้นสุด 31 ธันวาคม 2555


สอบถามข้อมูลได้ที่ เบอร์โทร 02-6942001-5

วันพุธที่ 22 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ขายตรงโลกฉลุย! ผ่านหลัก 1.5 แสนล้าน นักขายเฉียด 100 ล้านคน / เอเชีย มาร์เก็ตแขร์เพิ่ม


สมาพันธ์สมาคมการขายตรงโลก (World Federation of Direct Selling Association : WFDSA) เปิดผลงานอุตสาหกรรมขายตรงโลก ค.ศ. 2011 หรือปี 2554 มียอดขายทั้งสิ้น 153,727 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1 ดอลลาร์สหรัฐประมาณ 31 บาท) เพิ่มขึ้น 16.26% เทียบกับปี 2553 ที่มียอดขาย 132,222 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่นักธุรกิจอิสระหรือนักขายมีจำนวนถึง 91,533,825 คน เพิ่มขึ้น เกือบ 4 ล้านคน


เอเชีย ตอดส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขยับเป็น 44% ยอดขายกว่า 6 หมื่นล้าน


เอเชีย แปซิฟิกยังคงรักษาความเป็นผู้นำ ครองดันดับหนึ่งภูมิภาคที่มีส่วนแบ่งตลาด (มาร์เก็ตแชร์) มากที่สุดในตลาดโลกด้วยส่วนแบ่งตลาด 44% เพิ่มขึ้น 2% เทียบกับปี 2553 โดยมียอดขายรวม 66,871 ล้านดอลลาร์สหรัฐนักขาย 52,007,014 คน
รองลงมาคืออเมริกา (รวมสหรัฐอเมริกา) มียอดขาย 60,429 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแบ่งตลาด 39% นักขาย 26,774,908 คน
อันดับสามยุโรป ประกอบด้วยยุโรปตะวันตก , ตะวันออก และตอนกลาง มียอดขาย 32,760 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแบ่งตลาด 21.31% นักขาย 20,118,985 คน
อันดับสี่ละตินอเมริกาประกอบด้วยอเมริกากลางและอเมริกาใต้ มียอดขาย 28,336 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแบ่งตลาด 18.43% นักขาย 10,439,086 คนและภูมิภาคสุดท้ายคือแอฟริกาและตะวันออกกลางมียอดขาย 1,431 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแบ่งตลาด 1% ไม่มีข้อมูลจำนวนนักขาย


ท็อปเทน ยอดขายเพิ่ม 13% เกาหลี ขึ้นที่ 4 แซงบราซิล


สำหรับผลงานในกลุ่มประเทศที่มียอดขายสูงสุด 10 อันดับ TOP TEN มียอดขายรวมกัน 117,031 ล้านบาทส่วนแบ่งตลาด 76% โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 13% เทียบกับปี 2553 ที่มียอดขาย 103,877 ล้านดอลลาร์สหรัฐก็จริงแต่ส่วนแบ่งตลาดในปี 2554 น้อยกว่า ปี 2553 ที่มีสัดส่วนถึง 79% อจจะเนื่องจากตลาดขายตรงมีขนาดใหญ่ขึ้นและประเทศลำดับรองลงไปสามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้ ซึ่งทั้ง 10 ประเทศมาจาก เอเชีย 3 ประเทศ ยุโรป 4 ประเทศ ละตินอเมริกา 2 ประเทศ และ อเมริกา 1 ประเทศ


ที่น่าสนใจในกลุ่มประเทศผู้นำ 10 อันดับเกือบทุกประเทศมียอดขายเพิ่มขึ้นมาก ทำให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น แต่อีกหลายประเทศมีมาร์เก็ตแชร์ลดลงทั้งที่ยอดขายเพิ่มขึ้น รวมถึงมีการสลับตำแหน่งกันอยู่หลายดันดับทีเดียวโดย
อันดับหนึ่งยังคงเป็นสหรัฐอเมริกามียอดขาย 29,870 ล้านดอลลาร์สหรัฐเพิ่มขึ้น 4.6% ส่วนแบ่งตลาด 20% ลดลง 2% เทียบกับปี 2553 จำนวนนักขาย 15,600,000 คน
อันดับสองญี่ปุ่น มียอดขาย 23,857 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 5.25% ส่วนแบ่งตลาด 16% ลดลง 1% จากปี 2553 จำนวนนักขาย 3,380,000 คน
อันดับสามจีน มียอดขาย 16,254 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 29.81% ส่วนแบ่งตลาด 11% เพิ่มขึ้น 2% เทียบกับปี 2553 จำนวนนักขายยังคงไม่มีข้อมูล
สำหรับอันดับสี่และห้า เป็นการสลับตำแหน่งกันระหว่างเกาหลีใต้และบราซิล โดยเกาหลีได้สร้างผลงานได้โดดเด่นจนแซงบราซิลขยับขึ้นมาอยู่อันดับสี่ได้สำเร็จด้วยยอดขาย 12,935 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 45.63% ทำให้ส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 7% เป็น 8% นักขาย 4,200,853 คน ขณะที่บราซิลตกจากอันดับสี่ไปอยู่ดันหับห้าแทนด้วยยอดขาย 11,972 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 10.57% ส่วนแบ่งตลาด 8% เท่าเดิม นักขาย 2,832,654 คน


ท้ายกลุ่มแย่งอันดับอุตลุต ฝรั่งเศส โตสูงสุดเกิน 100%


อันอับหกยังคงเป็นเจ้าเดิมคือ เม็กซิโก มียอดขาย 6,311 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 12.09% ส่วนแบ่งตลาด 4% เท่าเดิม นักขาย 2,200,000 ล้านคน
อันดับเจ็ดฝรั่งเศส กระโดดขึ้นมาจากอันดับสิบ ด้วยยอดขาย 5,139 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 114.39% หรือ กว่าเท่าตัวส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 2% เป็น 3% นักขาย 480,000 คน
อันดับแปด เยอรมัน หล่นลงไปจากอันดับเจ็ดมียอดขาย 3,743 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 1% ส่วนแบ่งตลาดลดลงจาก 3% เหลือ 2% นักขาย 284,906 คน
อันดับเก้า รัสเซีย หล่นจากอันดับ เจ็ดมียอดขาย 3,589 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.06% ส่วนแบ่งตลาดลดลงจาก 3% เหลือ 2% นักขาย 4,077,181 คน
อันดับสิบ อิตาลี หล่นจากอันดับเก้ามียอดขาย 3,364 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 4.89% ส่วนแบ่งตลาด 2% เท่าเดิม นักขาย 405,894 คน


เครื่องสำอาง / เพอร์ซันนัลแคร์ แรงสุด ลดน้ำหนักจี้ติดส่วนแบ่งตลาดเพิ่มอีก


ผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายมากที่สุดยังคงเป็นกลุ่มเดิมคือกลุ่มเครื่องสำอางและเพอร์ซันนัล แคร์ มีส่วนแบ่งตลาด 30% ลดลงจากปี 2553 ที่มีสัดส่วน 36% ขณะที่ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการลดน้ำหนักที่มีส่วนแบ่งตลาดตามมาเป็นอันดับสองที่ 25% เพิ่มขึ้นจากปี 2553 ที่มีสัดส่วน 22% ตามมาด้วยเครื่องใช้ภายในบ้านและสินค้าคงทน 17% ลดลง 1% เสื้อผ้าและเครื่องอันดับ 9% เพิ่มขึ้น 1% หนังสือ ของเล่น เครื่องเขียน อาหาร เครื่องดื่ม บริการทางการเงินอย่างละ 3% อย่างไรก็ดี หากเจาะเป็นภูมิภาคจะแตกต่างกันไปหากเป็นเอเชีย แปซิฟิก ผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนแล่งตลาดมากที่สุดคือลดน้ำหนัก 34% รองลงมาคือเครื่องสำอางและเพอร์ซันนัล แคร์ 28% เครื่องใช้ภายในบ้านและสินค้าคงทน 16% ส่วนเสื้อผ้าและเครื่องประดับ หนังสือประเภทละ 4% ส่วนอเมริกา เครื่องสำอาง และ เพอร์ซันนัล แคร์ ครองอันดับหนึ่งส่วนแบ่งตลาด 29% ลดน้ำหนัก 21% เสื้อผ้าและเครื่องประดับ สินค้าภายในบ้าน 17%


ยุโรปตะวันตก เครื่องสำอางและ เพอร์ซันนัล แคร์ ครองอันดับหนึ่งเช่นกัน ส่วนแบ่งตลาด 36% รองลงมาเครื่องใช้ภายในบ้าน 16% และลดน้ำหนัก 14% ขณะที่ยุโรปตะวันออก สินค้าขายดียังคงเป็นเครื่องสำอางและเพอร์ซันนัลที่มีส่วนแบ่งตลาดสูงมากถึง 79% รองลงมาคือลดน้ำหนัก 11% เครื่องใช้ภายในบ้านและสินค้าคงทน 6% ละตินอเมริกา เครื่องสำอาง และเพอร์ซันนัล แคร์ครองอันดับส่วนแบ่งตลาด 49% รองลงมาคือเสื้อผ้าและเครื่องประดับ 24% และลดน้ำหนัก 15%


ผู้หญิง-โมเดล MLM 2 หัวหอกกุมอนาคตขายตรงโลก


ส่วนนักขาย แกนหลักยังคงเป็นผู้หญิงมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอีก 1% เป็น 75% ของนักขายทั้งหมด ที่เหลือเป็นผู้ชายแผนการตลาดที่ได้รับความนิยามมากที่สุดในธุรกิจขายตรงทั่วดลกยังคงเป็นระบบเครือข่ายหลายชั้น (MLM) กุมส่วนแบ่งตลาด 56% ของยอดขายทั้งหมด ลดลง 1% เทียบกับปี 2553 ขณะที่ขายตรงชั้นเดียว (SLM) มีส่วนแบ่งตลาด 42% เพิ่มขึ้น 2% อีก 2% เป็นรูปแบบอื่นๆ ส่วนวิธีการเสนอขายเป็นแบบบุคคลต่อบุคคล 77% อีก 29% เป็นแบบปาร์ตี้ ที่เหลือเป็นรูปแบบอื่นๆ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:นสพ.ธุรกิจเครือข่ายขายตรง ฉบับที่ 234 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16-31 สิงหาคม 2555

ข่าวเอวอน (AVON) : วิกฤต! ยอดขายตก-กำไรลด 70% ซีอีโอใหม่ลุยกู้ปรับสินค้า-อัดฉีดแม่ทีม

 



 


สำนักข่าวเอพีรายงานบริษัท เอวอน โปรดักส์ อิงค์ ขายตรงเครื่องสำอาง ขนาดใหญ่อันดับหนึ่งของโลกประกาศผลประกอบการในไตรมาสสองมีรายได้ 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1 ดอลลาร์ประมาณ 31 บาท) ลดลง 9% เมื่อคิดเป็นสกุลท้องถิ่นหากคิดเป็นเงินดอลลาร์ลดลง 1 % เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่มีรายได้ 2,860 ล้านดอลลาร์สหรัฐต่ำกว่าตัวเลขที่นักวิเคราะห์ในตลาดหุ้นคาดการณ์กันไว้ที่ประมาณ 2,680 ล้านดอลลาร์สหรัฐ


กำไรสุทธิลดลงถึง 70% หรือคิดเป็นมูลค่า 61.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาที่ทำได้ 206 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ฉุดราคาหุ้นตกลงต่ำกว่าสุดในรอบมากกว่า 3 ปี


ทั้งนี้สินค้าทุกกลุ่มมียอดขายลดลงไม่ว่าจะเป็น
กลุ่มความงามลดลง 9% กลุ่มน้ำหอมลดลง 8% กลุ่มเครื่องสำอาง 9% และกลุ่มบำรุงผิวและ เพอร์ซันเนิล แคร์ ลดลงมากที่สุด 10% ตามลำดับ เมื่อคิดเป็นเงินดอลลาร์ ขณะที่นักขายแท็คทีฟลดลง 3 %


ผลงานในไตรมาสสองไม่ค่อยดีสะท้องถึงสิ่งท้าทายที่มีความซับซ้อน มากๆ ที่เรากำลังเผชิฐอยู่ตอนนี้ เราทำงานอย่างหนักเพื่อฟื้นฟูกำไรให้กลับมาเสถียรเหมือนเดิมปรับโครงสร้างราคาและปั๊มเงินสดสร้างวินัยทางด้านการบัญชี เชอรี่ เอส แม็คคอย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอ๊โอ) เอวอนที่เข้ามารับตำแหน่งแทน แอน เดรีย จุง เริ่มทำงานเมื่อปลายเดือนเมษยนที่ผ่านมากล่าว


นับตั้งแต่ปี 2549-2554 เอวอนมีผลกำไรติดลบถึง 2 ปี คือ ปี 2552 ติดบล 24.9 % และปี 2554 ติดลบ 20.4% เป็นผลงานท่ำแย่มาก ขณะที่ยอดขายแม้ยังเติบโตได้ 3.9 % ในปีที่ผ่านมาแต่เป็นอัตราที่ต่ำมากยิ่งฉุดกำไรถดถอยลงมากขึ้นเป็นเหตุผลที่ทำให้ แอนเดรีย จุง ต้องก้าวลงจากตำแหน่งหาซีอีโอคนนอกเข้ามากุมบังเหียนท่ามกลางมรสุมจากเรื่องอื้อฉาวกรณีติดสินบนเจ้าหน้าที่จีนและอีกหลายประเทศและกับใบอนุฐาตประกอบธุรกิจในประเทศนั้นๆ ที่กำลังถูกอัยการสหรัฐสอบสวนกระทำผิดกฏหมายคอรัปชั่นต่างประเทศ


แม็คคอยกล่าวว่า เพื่อปรับปรุงผลประกอบการให้ดีขึ้นบริษัทจะโฟกัสไปที่นักขายอิสระและลูกค้ามากขึ้นโดยจะปรับผลิตภัณฑ์ การวางตลาดให้มีประสิทธิภาพมากกว่าเดิม จ่ายผลประโยชน์ให้กับนักขายระดับแม่ทีมมากขึ้น รวมถึงลดต้นทุนในการดำเนินงานและลงทุนด้านเทโนโลยี


แม้บริษัทจะเจอปัญหาสารพัดเรายังมั่นใจในโมเดลขายตรง เป็นโมเดลที่ยังคงมีประสิทธิภาพมากในหลายๆ ประเทศ ยังคงเติบโตได้ทั่วดลกเป็นเลขหลักเดียวกลางๆ


สำหรับรายได้ที่ลดลงไปมากนั้นแม็คคอย กล่าวว่า กิจการของเอวอนในทุกภูมิภาคมีผลงานตกลง อย่างละตินอเมริกาซึ่งเป็นพื้นที่ที่ทำยอดขายมากที่สุดของกลุ่มมีกรายได้ลดลง 9% โดยเฉพาะที่บราซิลซึ่งเป็นตลาดหลักกำลังประสบปัญหาด้านการแข่งขันรุนแรงและจำนวนนักขายลดลงมากโดยออกไปอยู่กับคู่แข่ง โชคดีที่ตลาดเวเนซูเอล่ามีผลงานดีรายได้เพิ่มขึ้น 26% ทำให้ละตินอเมริการวมถึงรายได้รวมของบริษัทไม่ลงลงมากกว่านี้


ส่วนยุโรป ตะวันออกกลางและแอฟริการายได้ลดลง 14% เนื่องจากตลาดรัสเซีย ตุรกีและอังกฤษย่ำแย่ อีกทั่งรัสเซียเป็นตลาดใหญ่อีกแห่งหนึ่งกำลังประสบปัญหาจากการแข่งขันที่รุนแรงมากและเศรษฐกิจในประเทศและยุโรปส่งผลกระทบต่อยอดขายลดลงมากเช่นกัน


สำหรับอเมริกาเหนือรายได้ลดลง 6% เนื่องจากนักขายลดลงและธุรกิจเครื่องประดับเพชรพลอยแบรนด์ ซิลปาดา ที่ซื้อมาก่อนหน้านี้ผลงานไม่ดี ขณะที่เอเชีย แปซิฟิกไม่ดีกว่าภูมิภาคอื่นรายได้ลดลง 4% เนื่องจากปรับรูปแบบธุรกิจในจีนทำให้รายได้ลดลง 21%


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:นสพ.ธุรกิจเครือข่ายขายตรง ฉบับที่ 234 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16-31 สิงหาคม 2555

บุกตลาดขายตรงอาเซียน อย่าประมาทจุดแข็ง มาเลย์


การเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ในปี 2558 ที่จะถึงนี้ถือเป็นประเด็นสำคัญที่มีผลต่อระบบเศรษฐกิจและการตลาด และเป็นโอกาสสำคัญทางธุรกิจและระบบเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศ ไปในตัวด้วย เพราะวันนี้ประชากรในกลุ่ม AEC รวมแล้วมีไม่ต่ำกว่า 600 ล้านคนหรือคิดเป็นร้อยละ 10 ของประชากรทั้งโลก ประเทศสมาชิกที่มีประชากรมากที่สุด คือ อินโดนีเซีย มี 245 ล้านคน รองลงมา คือ ฟิลิปปินส์ 101 ล้านคน เวียดนาม 90 ล้านคน ไทย 66 ล้านคน พม่า 53 ล้านคน มาเลเซีย 28 ล้านคน กัมพูชา 14 ล้านคน สปป.ลาว 6 ล้านคน สิงคโปร์ 5 ล้านคน และ บรูไน 0.4 ล้านคน


ในจำนวน 10 ประเทศสมาชิกนี้ สิงคโปร์ และ บรูไน ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้สูง กำลังซื้อสูงและมีรสนิยมสูงในการบริโภคสินค้าโดยเฉพาะแบรนด์เนมจากต่างประเทศ ขณะ มาเลเซีย นั้นถูกจัดในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปากนลาง ถึงระดับสูง ผู้บริโภคส่วนใหญ่อยู่ใน วัยทำงาน กว่า 10 ล้านคน มีความสนใจใน เทคโนโลยี สารสนเทศ เป็นพิเศษและมีรสนิยมไม่แตกต่างจาก สิงคโปร์ และ บรูไน คือ ชอบใช้จ่าย ซื้อสินค้าแบรนด์เนมหรือสินค้านำเข้า


ส่วนประเทศที่มีสัดส่วนการใช้จ่าสยเพื่อการบริโภคสูงสุดเอเทียบกับผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศหรือ GDP คือ ฟิลิปปินส์ คิดเป็นร้อยละ 74 เวียดนาม ร้อยละ 67 อินโดนีเซีย ร้อยละ 59 ไทย ร้อยละ 55 มาเลเซีย ร้อยละ 50 และสิงคโปร์ ร้อยละ 41 ซึ่งในกลุ่มประเทศ สมาชิก AEC นี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า มาเลเซีย คือ 1 ใน 10 ประเทศที่น่าจับตามองในการประกอบธุรกิจเครือข่ายขายตรง


ศก.โต-กำลังซื้อสูง จุดแข็ง ขายตรงมาเลย์ บูม


จะว่าไปแล้ว ธุรกิจขายตรง ในทัศนคติของ ชาวมาเลเซีย แล้ว ค่อนข้างเป็นบวกต่ออาชีพนี้อาจด้วยเพราะช่วงเกิดภาวะวิกฤตเศรษฐกิจโลกส่งผลให้ ชาวมาเลเซีย มีอัตราการว่างงานที่สูงเพิ่มขึ้นจากเดิม อาชีพ ธุรกิจขายตรง เลยกลายเป็นอาชีพเสริมที่สร้างรายได้มากเป็นกอบเป็นกำให้กับ ชาวมาเลเซีย และได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งข้อมูลล่าสุดของ ยูนิลีเวอร อาวียองซ์ มาเลเซีย ระบุไว้ว่ามี ชาวมาเลเซีย หลั่งไหลเข้าสู่อาชีพนี้แล้วไม่ต่ำกว่า 4 ล้านคน มีมูลค่าตลาดรวมขายตรงประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ


ขณะ สมาพันธ์สมาคมการขายตรงโลก หรือ WFDSA ได้บันทึกประวัติศาสตร์ให้ ขายตรงมาเลเซีย ตติดยอดขายดันดับ 15 ของโลกและอันดับ 5 ในภูมิภาคเอเชีย เมื่อรวมปัจจัยบวกจากบทวิเคราะห์ของ The Economist Intelligence Unit (EIU) ที่ได้ประเมินภาวะ เศรษฐกิจของ มาเลเซีย ไว้ได้อย่างน่าสนใจว่า ในปี 2555 จะมีอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 4 เป็นร้อยละ 6 ในปี 2559 โดยให้เหตุผลว่าเป็นตลาดที่มีกำลังซื้อสูงมีรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีในปี 2554 สูงถึง 9,250 ดอลลาร์สหรัฐ เทียบกับไทยอยู่ที่ 5,110 ดอลลาร์สหรัฐ


นอกจากนี้รัฐบาลมาเลเซียยังมีแผนเพิ่มรายได้เฉลี่ยต่อคนต่อปีเป็น 15,000 ดอลลาร์สหรัฐเพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเป็นประเทศที่พัฒนาแล้วภายในปี 2563 ให้ได้ ขณะข้อมูลของ สมาคมการขายตรงมาเลเซีย (Direct Selling Association of Malaysia : DSAM) ปี 2554 ที่พบว่า ธุรกิจขายตรงในมาเลเซียมียอดขายรวมประมาณ 4,500 ล้านริงกิตมาเลเซียหรือ ประมาณ 45,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 35 เมื่อเทียบกัยปี 2552 ที่มียอดขายเพียง 3,320 ล้านริงกิตหรือประมาณ 33,200 ล้านบาท และประมาณร้อยละ 70 ของยอดขายทั้งหมดก็มาจาก 56 บริษัทขายตรงของสมาชิกสมาคมฯ


ฉะนั้นการขยายธุรกิจใน มาเลเซีย ก่อนเปิด AEC ปี 2558 จึงนับเป็นโอกาสที่มีพื้นที่ขนาดใหญ่ขยายตลาดได้อีกมหาศาล


ไม่ประมาทบนกลยุทธ์การตลาดช่วยให้เป็นต่อได้


ที่ผ่านมาตลาดขายตรงมาเลเซียมีหลายบริษัททั้งที่ประสบความสำเร็จและไม่ประสบความสำเร็จบางรายอาทิ ดีเอ็กซ์เอ็น โฮลดิ้งส์ บีเอชดี บริษัทขายตรงอาหารเครื่องดื่มและอาหารเสริมรายใหญ่ของมาเลเซียมียอดขายที่ลดลงมองว่า มาจากตลาดอิ่มตัวก็เบนเข็มไปขยายธุรกิจในประเทศอื่นแทน


ขณะบริษัทขายตรงยักษ์ใหญ๋ของโลก แอมเวย์ (มาเลเซีย) โฮลดิ้งส์ บีเอชดี ที่ออก ผลิตภัณฑ์ใหม่กลุ่มบำรุงผิว และ เครื่องสำอาง มาเพิ่มยอดขายปรากฏว่าผล ประกอบการออกมาประสบความสำเร็จล้นเหลือ อย่างบริษัท โททัลไลฟ์ (มาเลเซีย) เอสดีเอ็น บีเอชดี ในเครือโททัลไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จาก ไต้หวัน มองเห็นโอกาสของ ตลาดขายตรงมาเลเซีย ว่ายังมีช่องว่างที่จะเติบโตได้อีกมากหารพัฒนาสินค้าให้เหมาะกับตลาดเฉพาะกลุ่ม (นิช มาร์เก็ต) แต่ต้องศึกษาและทำความเข้าใจสภาพตลาดซึ่ง จะช่วยให้ต่อยอดและพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ดียิ่งขึ้นไปได้


นอกจากนี้ยังมี อาวียองซ์ อินเตอร์ เนชั่นแนล ธุรกิจขายตรงสัญชาติอังกฤษ เปิดตัว ยูนิลีเวอร์ อาวียองซ์ มาเลเซีย อย่างเป็นทางการไปแล้วโดยเปิดตัวปีแรกมีประชาชนหลั่งไหลเข้าร่วมเป็นสมาชิกกว่า 20,000 รหัสซึ่งในทางการตลาดแล้ว ยูนิลีเวอร์ อาวียองซ์ มาเลเซีย นับว่าประสบความสำเร็จ สามารถอ่านใจ ชาวมาเลเซีย ได้ถูกจุดที่นอกจากนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวข้องกับความงามและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคชาวมาเลเซียได้แล้วยังเข้าถึงไลฟ์สไตล์ของประชากรที่นี่


ซึ่งจากข้อมูลสำรวจของ มาสเตอร์ การ์ด พบว่า ชาวมาเลเซียกว่า ร้อยละ 50 นิยมซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ ยูนิลีเวอร์ อาวียองซ์ มาเลเซีย ก็ได้พัฒนาระบบเทคโนโลยีออกมาให้ตรงกับไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคมาเลเซีย


อย่างไรก็ตามบนกลยุทธ์ทางการตลาดทุกอย่างก้าวต้องไม่ประมาท เนื่องจากเทคโนโลยีมีการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว มีอินเตอร์เน็ตมาช่วยให้ ผู้บริโภครับรู้ข้อมูลเร็วขึ้น มีข้อมูลเกี่ยวกับคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์มากขึ้นจากในเว็บไซต์ และสามารถเปรียบเทียบและตัดสินใจเลือกซื้อผลิตภัณฑ์ได้ด้วยตนเองได้ ฉะนั้น ธุรกิจขายตรง ที่สนใจเข้ามาก็จะต้องปรับตัวปรับกลยุทธ์ให้ทันและตอบสนองของความต้องการของลูกค้าให้ได้รวดเร็ว สามารถวิ่งตามกระแส Demand ได้ทันเพื่อเป็นต่อในธุรกิจต่อไปพร้อมๆ กับเป็นส่วนหนึ่งในการร่วมผลักดันยอดขายปี 2558 ให้ได้ 10,000 ล้านริงกิตมาเลเซียหรือประมาณ 100,000 ล้านบาท ตามเป้าที่ทางกระทรวงการค้าภายในประเทศและคุ้มครองงผู้บริโภค ของมาเลเซียได้ออกมาประกาศไว้


การประกอบธุรกิจขายตงในมาเลเซียด้วยกลยุทธ์ White Ocean เพื่อหลอมจิตใจนักธุรกิจขายตรงให้มีจรรยาบรรณและธรรมาภิบาล ในการประกอบธุรกิจควบคู่ไปกับกลยุทธ์ทางการตลาดแบบ Blue Ocean ด้วยนวัตกรรมใหม่ๆ สร้างมูลค่าและความแตกต่างแทนการแข่งขันอย่างดุเดือดเลือดพล่านหรือที่เรียกว่า Red Ocean จะช่วยสร้างโอกาสให้ธุรกิจขายตรงประสบความสำเร็จและยั่งยืนในต่างแดนใต้


ปัจจุบันรัฐบาลมาเลเซียได้ประกาศใช้ พ.ร.บ. ขายตรง ฉบับใหม่ที่มีความเข้มงวดมากกว่าเดิมโดยมีวัตถุประสงค์เพื่อกำกับดูแลธุรกิจให้ธุรกิจมีความโปร่งใสและเป็นมาตรฐานสากล รวมถึงส่งเสริมธุรกิจขายตรงภายในประเทศให้เติบโตอย่างมีคุณภาพในอนาคต และสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน


สำหรับเคล็ดลับที่ ธุรกิจขายตรง จะต้องศึกษาให้เข้าใจถ่องแท้ก่อนดำเนินกิจการอาทิ เรื่องของคำนิยามทีททางการมาเลเซียได้เพิ่มเข้าไปเพื่อให้เห็นความแตกต่างของคำว่า MLM หรือ ปิระมิด และหากไม่ปฏิบัติตามกฏหมายทั้ง บริษัท และ นักธุรกิจขายตรง จะถูกดำเนินคดีหนักขึ้นจากกฏหมายเดิมคือ เพิ่มโทษปรับ เมื่อให้ระบบ ปิระมิด หลอกลวงประชาชน หากเป็น นักธุรกิจขายตรง มีวงเงินค่าปรับเพิ่มขึ้นจากเดิมอยู่ที่ 250,000 ริงกิตมาเลเวีย หรือ ประมาณ 2,500,000 บาท สูงสุดเป็น 1 ล้านริงกิตมาเลเซียหรือประมาณ 10 ล้านบาท คิดเป็น 4 เท่าเลยทีเดียว หรืออาจถูก จำคุก ไม่เกิด 5 ปีหรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วน บริษัทขายตรง มีโทษหนักมากกว่า นักธุรกิจขายตรง โดยเพิ่มวงเงินค่าปรับเป็น 5 ล้านริงกิตมาเลเซียหรือประมาณ 50 ล้านบาท) สูงกว่าวงเงินปัจจุบันที่ปรับสูงสุดไม่เกิน 500,000 ริงกิตมาเลเซีย หรือประมาณ 5 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10 เท่าไม่เพียงเท่านี้ กฏหมายได้เปิดช่องให้ทางการมาเลเซียสามารถยึดทรัพย์สินที่ได้จากการดำเนินธุรกิจที่ผิดกฏหมาย แม้จะมีการโยกย้ายถ่ายโอนทรัพย์สินไปอยู่ในบัญชีของบุคคลอื่นก็ตาม


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:นสพ.ธุรกิจเครือข่ายขายตรง ฉบับที่ 234 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16-31 สิงหาคม 2555