ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันอังคารที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2555

ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จัดแคมเปญแข่งขันลดน้ำหนัก “Bios Life Slim Contest” ครั้งที่3



บริษัท ยูนิซิตี้ (มาร์เก็ตติ้ง) ไทยแลนด์ จำกัด จัดแคมเปญการแข่งขันลดน้ำหนัก “Bios Life Slim Contest” ครั้งที่3 โดยผลิตภัณฑ์ไบออส ไลฟ์ เอสเอ็กซ์ ชิงเงินรางวัลมูลค่ารวมกว่า2แสนบาท เพื่อเฟ้นหาบุคคลที่มีสุขภาพดี และมีรูปร่างได้สัดส่วน หุ่นเพรียวสวย ผู้สนใจสามารถสมัครได้ที่ บริษัท ยูนิซิตี้ (มาร์เก็ตติ้ง) ไทยแลนด์ จำกัด หรือ ตัวแทนจำหน่ายทั่วประเทศ ตั้งแต่วันนี้จนถึง 15 มีนาคม 2555 สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมติดต่อแผนกบีเอ เซอร์วิส 02-6859777 ต่อ 727-730

 

วันอาทิตย์ที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2555

รวมใจชาวแอมเวย์ ร่วมช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยผู้ประสบภัยน้ำท่วม



นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการน้ำท่วมใหญ่ เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา โดยเริ่มต้นจากภาคเหนือของประเทศ นับตั้งแต่นั้นมา บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้ระดมช่วยเหลือพี่น้องชาวไทยผู้ประสบภัยน้ำท่วม ผ่านการช่วยเหลือทุกช่องทางเท่าที่จะทำได้ เริ่มต้นด้วยการ ร่วมบริจาคเงินกว่า 100,000 บาท ผ่านหน่วยงานภายรัฐ อาทิ เช่น สำนักนายกรัฐมนตรี และกรมสรรพากร เป็นต้น พร้อมได้มอบเงินจากการเปิดบัญชี “บจก.แอมเวย์ (ประเทศไทย) ช่วยภัยน้ำท่วม” ซึ่งบริษัทได้เปิดขึ้นเพื่อให้นักธุรกิจแอมเวย์ พนักงาน รวมถึงประชาชนทั่วไป ร่วมบริจาคเพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยได้รับยอดบริจาคจากผู้มีจิตศรัทธาเป็นจำนวนทั้งสิ้น 1,000,000 บาท (นับยอด ณ วันที่ 25 ตุลาคม 2554) และบริษัทได้ร่วมบริจาคสมทบจำนวน 1,000,000 บาท รวมยอดเงินที่ได้รับทั้งสิ้น เป็นเงิน 2,000,000 บาท โดยเงินจำนวนดังกล่าวได้มอบให้แก่มูลนิธิชัยพัฒนา โดยมี ดร.สุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนาเป็นผู้รับมอบ ทั้งนี้ บัญชีดังกล่าวยังคงเปิดให้ผู้มีจิตศรัทธาร่วมบริจาคเพิ่มเติม โดย ณ ปัจจุบัน (15 ธันวาคม 2554) มียอดคงเหลือในบัญชีกว่า 700,000 บาท และทางบริษัทจะทำการส่งมอบให้หน่วยงานที่ช่วยฟื้นฟูผู้ประสบภัยน้ำท่วมต่อไป นอกจากนี้ แอมเวย์ประเทศไทยยังได้บริจาคข้าวขาวหอมมะลิแอมเวย์ 5 กิโลกรัม จำนวน 1,000 ถุง และผ้าอนามัย 5,700 ห่อ ให้แก่หน่วยงานราชการของจังหวัดพระนครศรีอยุธยา พร้อมติดตั้งเครื่องกรองน้ำอีสปริง จำนวน 23 จุด กระจายไปยังศูนย์อพยพต่างๆ รวมไปถึง ณ แอมเวย์ ช็อปหลายสาขา เพื่อให้บริการน้ำดื่มสะอาดฟรีและล่าสุด แอมเวย์ประเทศไทยได้จัดงาน “น้ำพัดพาอะไรไป… น้ำใจก็พัดกลับมา” เป็นงานระดมทุนและให้กำลังใจแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม โดยได้เงินสมทบบัญชี (บจก.แอมเวย์ (ประเทศไทย) ช่วยภัยน้ำท่วม) อีกเกือบ 2 แสนบาท

ความช่วยเหลือยังคงมีอย่างต่อเนื่อง ในฐานะที่บริษัทและนักธุรกิจแอมเวย์มีพันธสัญญาในความเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจต่อกัน บริษัทจึงได้ให้ความช่วยเหลือแก่นักธุรกิจแอมเวย์ในด้านต่างๆ อาทิ การแจกถุงน้ำใจให้นักธุรกิจแอมเวย์ในพื้นที่ประสบภัย จัดโปรโมชั่นพิเศษ และมอบความช่วยเหลือและเงินเพื่อสนับสนุนการดำเนินธุรกิจ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 90 ล้านบาท เป็นต้น
ทุกอุปสรรค เอาชนะได้ด้วยพลังใจที่เข้มแข็ง บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ขอเป็นกำลังใจให้ผู้ประสบภัยทุกท่าน

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด

ข่าวแอมเวย์ รวมพลังแบ่งปันโลหิต ครั้งที่ 21



แอมเวย์รวมพลังแบ่งปันโลหิต ครั้งที่ 21

บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดกิจกรรม “แอมเวย์รวมพลังแบ่งปันโลหิต” ครั้งที่ 21
เพื่อรณรงค์ให้นักธุรกิจแอมเวย์ สมาชิก พนักงาน ตลอดจนผู้สนใจทั่วไปในทุกภูมิภาคของประเทศ
ได้ร่วมกันทำความดีโดยบริจาคโลหิตเพื่อแบ่งปันให้แก่ผู้ป่วยและผู้ที่มีความจำเป็นต้องการโลหิตทั่วประเทศ
ตามรายละเอียด ดังนี้

เขตพื้นที่กรุงเทพมหานครและปริมณฑล (สำนักงานใหญ่ สยาม ดิสคัฟเวอรี่ สุขุมวิท
ดอนเมือง ธนบุรี พระราม 2 และนนทบุรี) เปิดรับบริจาคโลหิต ณ สำนักงานใหญ่แอมเวย์ กรุงเทพฯ
วันอังคารที่ 24 มกราคม 2555 ระหว่างเวลา 9.30 - 15.00 น. ผู้ประสงค์บริจาคโลหิต
สามารถติดต่อลงทะเบียนล่วงหน้าได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 20 มกราคม 2555 และในวันบริจาคโลหิต
กรุณาเดินทางถึงสำนักงานใหญ่แอมเวย์เพื่อลงทะเบียนกรอกประวัติภายในเวลา 13.00 น.
(หากเกินกำหนดเวลา บริษัทขออนุญาตมอบคิวที่ท่านได้สำรองไว้แก่ผู้บริจาคโลหิตท่านอื่นๆ)
ต่างจังหวัด เปิดรับบริจาคโลหิตที่โรงพยาบาลหรือหน่วยสภากาชาดประจำจังหวัด
ในพื้นที่ที่มีแอมเวย์ ช็อป เปิดให้บริการ ผู้ประสงค์บริจาคโลหิต สามารถติดต่อ
ลงทะเบียนล่วงหน้า ณ แอมเวย์ ช็อปทุกสาขา ได้ตั้งแต่วันที่ 1 – 13 มกราคม 2555
และท่านสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้จากประกาศ ณ แอมเวย์ ช็อปทุกสาขา
17 ม.ค. 55 นครปฐม / ลพบุรี / อยุธยา / สมุทรปราการ / กาญจนบุรี / สระบุรี / หาดใหญ่ / สุราษฎร์ธานี / ภูเก็ต / นครศรีธรรมราช / ชุมพร / ยะลา / ประจวบคีรีขันธ์ / กระบี่ / พัทลุง / พิษณุโลก / เชียวราย / แพร่ / ลำปาง / เพชรบูรณ์ / ตาก / สุโขทัย / อุตรดิตถ์ / พะเยา / ขอนแก่น / อุบลราชธานี / นครราชสีมา / สุรินทร์ / อุดรธานี / สกลนคร / ร้อยเอ็ด / ยโสธร / ศรีสะเกษ / บุรีรัมย์ / ปราจีนบุรี
18 ม.ค. 55 เพชรบุรี / ตรัง / กำแพงเพชร / เลย / ระยอง / จันทบุรี / ชลบุรี / ฉะเชิงเทรา
19 ม.ค. 55 ราชบุรี
20 ม.ค. 55 นครสวรรค์ / จันทบุรี
24 ม.ค. 55 เชียงใหม่
26 ม.ค. 55 สุพรรณบุรี
กรุณาติดตามรายละเอียดวัน เวลา-สถานที่บริจาคได้ที่ประกาศของบริษัท
ทุกท่านสามารถแจ้งความประสงค์บริจาคล่วง หน้าได้ตั้งแต่วันที่ 1 - 16 ตุลาคม 2554
ณ แผนกบริการธุรกิจและแอมเวย์ ช็อป ทั่วประเทศ หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่
คุณน้ำทิพย์ 0-2713-8000 ต่อ 8025

คุณสมบัติของผู้บริจาคโลหิต ตามระเบียบของสภากาชาดไทย

อายุระหว่าง 17 ปี ถึง 60 ปีบริบูรณ์
น้ำหนัก 45 กิโลกรัมขึ้นไป สุขภาพทั่วไปสมบูรณ์ดี
ไม่มีประวัติเป็นโรคตับอักเสบ หรือดีซ่าน ตัวเหลือง ตาเหลือง
ไม่เป็นไข้มาเลเรียมาในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา และไม่เป็นกามโรค โรคติดเชื้อต่างๆ ไอเรื้อรัง
ไอมีโลหิต โลหิตออกง่ายผิดปกติ โรคเลือดชนิดต่างๆ โรคหอบหืด โรคลมชัก โรคผิวหนังเรื้อรัง
โรคหัวใจ โรคไต โรคเบาหวาน โรคไทรอยด์
ไม่อยู่ในระหว่างรับประทานยาแก้อักเสบในระยะ 7 วันที่ผ่านมา
ไม่มีพฤติกรรมเสี่ยงทางเพศสัมพันธ์และไม่มีประวัติติดยาเสพย์ติด
งดการบริจาคโลหิตภายหลังการผ่าตัดหรือคลอดบุตร 6 เดือน
สตรีไม่อยู่ระหว่างมีประจำเดือนหรือตั้งครรภ์
ก่อนการบริจาคโลหิตล่วงหน้าอย่างน้อย 1 ชั่วโมง ควรรับประทานอาหารมาก่อนและเป็น
อาหารที่ย่อยง่ายไม่มีไขมัน
พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอในคืนก่อนวันบริจาคโลหิต อย่างน้อย 6 ชั่วโมง
ก่อนการบริจาคโลหิตล่วงหน้า 2 วัน ควรงดการรับประทานนิวทริไลท์ น้ำมันปลา นิวทริไลท์
พริมโรส พลัส และสมุนไพรขมิ้นชัน เพื่อป้องกันการเกิดภาวะน้ำมันในเลือดสูง ตามระเบียบ
ของสภากาชาดไทย
หมายเหตุ
* แจ้งชื่อลงทะเบียนล่วงหน้าได้ตั้งแต่ 1-13 ม.ค. 55 ณ แอมเวย์ ช็อป ในพื้นที่ของท่าน
* สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้โทร. 0-2713-8000 ต่อ 8025 (คุณน้ำทิพย์)

พิเศษ! สำหรับผู้บริจาคโลหิตทุกท่าน รับ “ยาสีฟันกลิสเทอร์
มัลติ-แอ็คชั่นฟลูออไรด์ขนาดทดลอง” เป็นที่ระลึก

แทนคำขอบคุณ สำหรับผู้บริจาคโลหิตอย่างต่อเนื่อง
5 ครั้ง: รับประกาศนียบัตร และสเปรย์ระงับกลิ่นปาก กลิสเทอร์ รสมินท์
10 ครั้ง: รับประกาศนียบัตร และนิวทริไลท์ แอคทีฟ 8 มิกซ์ (เครื่องดื่ม) รสส้ม
15 ครั้ง: รับประกาศนียบัตร และนิวทริไลท์ สปิแนช พลัส
20 ครั้ง: รับโล่ประกาศเกียรติคุณ และนิวทริไลท์ นิวทริ - โปรตีน

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด

คังเซน Chairman’s Vision @ Laos

คุณอิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ ประธานกรรมการบริหาร บจ.คังเซนฯ แสดงวิสัยทัศน์ ณ.คังเซน เน็ทเวิร์ค ประเทศลาว พร้อมผู้อำนวยการอาวุโส พงศ์ธณัช สุขเสถียรวงศ์ นำเสนอโครงการและตอบข้อซักถามเรื่อง Kangzen Global One ปิดท้ายด้วยผอ.ธีร์ฉัตรภัทร พิมพ์แสง ให้ความรู้เรื่องระบบESS มีสมาชิกครอบครัวคังเซนฯลาวเข้ารับฟังด้วยความสนใจมากมายเมื่อวันก่อน

[gallery]

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

คังเซนฯ งานจัดประชุมเปิดโอกาสทางธุรกิจ และประชุมผู้นำ @ โรงแรมมรกต จ.ชุมพร

การจัดประชุม BOP การสาธิตสินค้า การแชร์ประสบการณ์การทำงานของสมาชิก และแผนการตลาด พร้อมทั้งร่วมประชุมผู้นำเพื่อวางแผนการขับเคลื่อนระบบ ESS ได้อย่างมีประสิทธิภาพ

[gallery]

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

คังเซนฯ งาน MLM1 @ โรงแรมหาดทอง จ.ประจวบคีรีขันธ์

งานอบรมการพัฒนาบุคลิกภาพ, การพูดแนะนำตัวเอง การจัดประชุมเปิดโอกาสทางธุรกิจ เพื่อเตรียมความพร้อมก้าวสู่นักธุรกิจอย่างมืออาชีพ

[gallery]

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

คังเซนฯ ออกบูธ สวยใส สบาย สไตล์ คังเซนฯ@ห้างเทสโก้ โลตัส สาขาสตูล

ออกบูธสาธิตทำหน้า ด้วยผลิตภัณฑ์คังเซน ชุดพื้นฐาน, ชุดสปา และชุดออกซี่บั๊บเบิ้ล เพื่อให้ผิวสวยใส สไตล์คังเซนฯ พร้อมทั้งนำเครื่องดื่มคลอรอยบอส, ออร์แกนิค, กาแฟ ให้กับผู้ที่เข้ามาเยี่ยมชมบูธได้ลิ้มลองรสชาติ

[gallery]

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

คังเซนฯ TTT BTP - ATP @ นครรศรีธรรมราช

คังเซนฯ สาขานครศรีธรรมราช จัดอบรม TTT BTP-ATP ให้กับสมาชิก ได้เรียนรู้ ระบบ ESS และวิธีการขับเคลื่อนระบบอย่างจริงจัง เพื่อนำไปบริหารเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจคังเซนฯ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสมาชิกกว่า 125 ท่าน บรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นกันเอง ตลอดจนร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน ณ สาขานครศรีธรรมราช

[gallery]

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

คังเซนฯ TTT BTP - ATP @ นครราชสีมา

คังเซนฯ สาขาอุดรธานี จัดอบรม TTT BTP-ATP ให้กับสมาชิก ได้เรียนรู้ ระบบ ESS และวิธีการขับเคลื่อนระบบอย่างจริงจัง เพื่อนำไปบริหารเครือข่ายได้อย่างมีประสิทธิภาพ และประสบความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจคังเซนฯ ซึ่งได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสมาชิกกว่า 116 ท่าน บรรยากาศเต็มไปด้วยความเป็นกันเอง ตลอดจนร่วมทำกิจกรรมต่างๆ ร่วมกัน ณ โรงแรมวีวัน จ.นครราชสีมา

[gallery]

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

ข่าวดีเน็ทเวิร์ค ขยายแดน ถือธงหมายปัก กัมพูชา,เวียดนาม



นายสาคร ใสกมล ประธาน ผู้ก่อตั้ง บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด เปิดเผยว่า ทาง ดี เน็ทเวิร์คได้ขยายโอกาสทางธุรกิจไปยังประเทศลาว และประเทศกัมพูชา ที่ผ่านมาก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี สำหรับตลาดลาวนั้น มีการฟอร์มทีมขึ้นมาได้ 2-3 เดือนแล้ว ซึ่งจะมีการเปิดตลาดอย่างเป็นทางการในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ ส่วนกัมพูชาและเวียดนาม จะเป็นสเต็ปต่อไป

การที่บริษัทได้ทำการขยายสู่ต่างประเทศ นับเป็นเรื่องที่ดี เนื่องจากธุรกิจขายตรงของไทย นับวันยิ่งเป็นตลาดใหญ่ การแข่งขันค่อนข้างสูงขึ้นในทุกที การขยายออกสู่ประเทศเพื่อนบ้านดังที่กล่าว นับเป็นตลาดใหม่ของบริษัท รวมถึงธุรกิจ ขายตรงของประเทศเหล่านี้ ก็ยังไม่ค่อยใหญ่ การเข้าไปชิงพื้นที่ก่อนย่อมมีความได้เปรียบ

นอกจากนี้ หลังจากที่ทาง ดี เน็ทเวิร์ค ประสบความสำเร็จในการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ INNOVASKIN ไปเมื่อไม่นานมานี้ โดยมีการวางจำหน่ายเพียง 2 สัปดาห์ ก็สามารถจำหน่ายไปกว่า 5 พันชุด ซึ่งถือว่า ได้รับการตอบรับจากสมาชิกเป็นอย่างดี จึง ทำให้ทางบริษัทต้องทำการเสริมไลน์ผลิตภัณฑ์ ในกลุ่มสกินแคร์ เพิ่มขึ้นเพื่อตอบสนองความ ต้องการของผู้บริโภค

“เราจึงทำการเปิดตัวสินค้าใหม่ IDEBENOE MASK ซึ่งเป็น MASK รอบ ดวงตา เข้ามาเสริมแกร่งให้กับผลิตภัณฑ์กลุ่มนี้ ในอดีตที่ผ่านมาผลิตภัณฑ์สำหรับบำรุงรอบดวงตาจะเป็นครีมผสมวิตามินอี ต่อจากครีมได้พัฒนาเป็นเจล แต่ในปัจจุบัน ได้มีการพัฒนาสินค้าไปมากกว่านั้น และได้ สร้างความฮือฮามากที่สุด สินค้าตัวดังกล่าว คือ IDEBENOE MASK ซึ่งถือเป็นสินค้า ที่มีนวัตกรรมล้ำยุค


ประธานผู้ก่อตั้ง ดี เน็ทเวิร์ค กล่าวว่า ผลิตภัณฑ์ IDEBENOE MASK ถือเป็น ผลิตภัณฑ์ตัวที่ 20 ที่ได้ทำการเปิดตัวไปใน ปีนี้เป้าหมายการเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัท อยู่ที่ 30 รายการ สินค้าอีก 10 รายการ นั้นยังอยู่ในระหว่างการขอการอนุมัติจากทาง อย. และวันที่ 25 กันยายนที่จะถึงนี้ ทาง ดี เน็ทเวิร์ค จะทำการเปิดผลิตภัณฑ์ ใหม่ DBOON เป็นสินค้าเกี่ยวกับกระดูก คาดว่าน่าจะมีคนเข้าร่วมงานกว่า 3,000 คน เนื่องจากสินค้าดังกล่าวมีการวางจำหน่าย ได้สักระยะหนึ่งแล้ว ปรากฏว่าได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม มียอดขายกว่า 4,000 กล่องต่อเดือน

“IDEBENOE MASK เป็นสินค้าที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ ได้ใส่โกรว์ธแฟกเตอร์ ลงไป ซึ่งถือว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้เป็นเจ้าแรกของโลกและเป็นเจ้าแรกในเมืองไทย สำหรับดี เน็ทเวิร์ค ซึ่งสารตัวนี้ เป็นนวัตกรรมบำรุงผิวหน้าที่ได้รับความนิยมทั้งในเยอรมันและสหรัฐอเมริกา มีรางวัลโนเบลการันตีคุณภาพ”

ที่สำคัญ วันที่ 11 กันยายนที่ผ่านมา ทางบริษัทจะทำการเปิดตัวเว็บไซต์ของบริษัท ที่สามารถประชุมออนไลน์ ซึ่งถือว่า ดี เน็ทเวิร์ค เป็นเจ้าแรกที่ทำโดยเว็บไซต์ ดังกล่าวใช้เสิร์ฟเวอร์ของต่างประเทศ ทำให้ ลื่นไหลไม่มีสะดุด และได้ทดลองใช้มาแล้ว 7-8 เดือน เว็บไซต์ดังกล่าวจะทำสมาชิกได้รับข่าวสารที่รวดเร็ว และสมาชิกสามารถ เข้าถึงข้อมูลได้มากขึ้น ที่สำคัญเว็บไซต์นี้ยังสามารถใช้ในการสปอนเซอร์ได้ ดี เน็ทเวิร์ค ถือว่าเปิดมิติใหม่ของวงการขายตรง ในการนำเทคโนโลยีที่ล้ำสมัยแบบนี้มาใช้

ทางด้าน ภูมิสนอง หล้าสุด ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด กล่าวว่า คอนเซปต์ การเปิดตัวผลิตใหม่ของ บริษัทนั้น สินค้านั้นๆ จะต้องเป็นสินค้าที่ ทันสมัย ทันกระแส ใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ และทาง ดี เน็ทเวิร์ค ต้องเป็นเจ้าของ ลิขสิทธิ์เอง

สำหรับ IDEBENOE MASK นี่เป็น สินค้าที่โดดเด่น ลดเวลาเห็นผลลัพธ์ที่รวดเร็วกล่าวคือ 15 นาที ก็เห็นผลลัพธ์ได้ เนื่องจาก IDEBENOE MASK มีสารออก ฤทธิ์ใช้ฟื้นฟู กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตรอบดวงตา ด้วยเหตุนี้ทางบริษัทจึงได้นำผลิตภัณฑ์ ที่เปี่ยมด้วยคุณภาพนี้มาเพื่อ สมาชิกของดี เน็ทเวิร์คได้ใช้

อุทัย แจ่มฟ้า ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ดี เน็ทเวิร์คเวิลด์ไวด์ จำกัด กล่าวเสริมว่า ทางบริษัทเชื่อว่าผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสกินแคร์ มีการเติบโตเป็นอย่างมากในปัจจุบัน ทางบริษัทจึงทำ การเสริมทัพสินค้าในกลุ่มสกินแคร์ นักธุรกิจตื่นเต้น กับ INOVASKIN ไปแล้วด้วยเหตุนี้ ทางบริษัทจึงทำการเปิดสินค้าตัวใหม่ ที่เป็นสินค้าที่ดี สามารถขาย ตัวเองได้ ทางบริษัทจึงเชื่อเหลือเกินว่า IDEBE-NOE MASK จะเป็นสินค้าที่ประสบความสำเร็จเหมือนกับ INOVASKIN

ขอบคุณเนื้อหาจาก หนังสือพิมพ์สยามธุรกิจ

S Natur 2012 Big Change Big Success



เอสเนเจอร์ ได้จัดงานแถลงข่าว S Natur 2012 Big Change Big Success พร้อมทั้งเปิดตัว "เอสเนเจอร์ จีโนมิค แลป" คลินิคการแพทย์ ที่จะทำให้คุณ "รู้ก่อนป่วย กันก่อนเป็นโรค" เมื่อเช้าวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา โดยได้รับเกียรติจากคุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ บมจ.ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ พร้อมด้วยคุณบัญชา เหมินทคุณ และคณะผู้บริหารเอสเนเจอร์ เข้าร่วมแถลงความสำเร็จของธุรกิจเครือข่ายเอสเนเจอร์ ตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยมีการเติบโตของยอดขายถึง 165% ในปี 54 พร้อมชูกลยุทธ์ Greenovative บุกตลาดอาเซียน โดยเริ่มจากประเทศในกลุ่ม AEC นอกจากนี้ในปี 54 ยังมีแผนขยายสาขาในประเทศอีก 2 สาขา คือ สาขาอุดรธานี และสาขาในภาคใต้ และรุกตลาดต่างประเทศ คือ อินโดนีเซียและกัมพูชา

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: http://www.snatur.com

ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จัดงานแถลงข่าวสื่อมวลชน เอสเนเจอร์ ประกาศแผนนโยบาย/กลยุทธ์การตลาด ปีมังกรทอง 2012



วันพุธที่ 25 มกราคม 2555 (เวลา 10.30 น.)
เอสเนเจอร์ ผู้นำระบบขายตรงในเครือบริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จก.(มหาชน)นำโดยคุณสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและคุณบัญชา เหมินทคุณ รองกรรมการผู้จัดการ ขอเชิญสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าวสื่อมวลชน ประกาศแผนนโยบาย/กลยุทธ์การตลาดและเป้าหมายประจำปีมังกรทอง 2012 พร้อมเปิดตัวปฏิบัติการพลิกโฉมระบบขายตรงครั้งแรกในประเทศไทย ด้วย SNatur Genomic Lab บริการที่ก้าวไกลในเทคโนโลยีโดยผู้เชี่ยวชาญ การตรวจในระดับยีนส์ พร้อมเคลื่อนทัพผลิตภัณฑ์ใหม่เสริมไลน์บูมตลาดอาหารเสริมสุขภาพและความงาม พร้อมการขยายตลาดสู่อาเซียน ในวันพุธที่ 25 มก ราคม 2555 เวลา 10.00 น. ณ ห้องประชุม 1 เอสเนเจอร์ ชั้นล่าง อาคารภคินท์ ถ.รัชดาภิเษก (ติดเทสโก้โลตัส ฟอร์จูนทาวน์ ) ใกล้สี่แยก อสมท.

ข่าวยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Aestival Prime (เอสติวัล ไพรม์)

บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดตัวผลิตภัณฑ์ Aestival Prime (เอสติวัล ไพรม์) ผลิตภัณฑ์ช่วยลบเลือนริ้วรอย หยุดทุกปัญหาผิวได้ทันใจ ด้วยอนุภาคโมเลกุลเล็กและละเอียดอ่อน ปฎิวัติการดูแลผิวด้วยสูตรลับเฉพาะ ทำให้ผิวหน้าของคุณแลดูกระชับ สวยอย่างเป็นธรรมชาติ ช่วยเติมเต็มความชุ่มชื่นให้ผิว เส้นบางๆและริ้วรอยที่เกิดจากการแสดงสีหน้าและอารมณ์ต่างๆ ดูเลือนจางลง ตั้งแต่ครั้งแรกที่ใช้ รูขุมขนแลดูกระชับ สีผิวสม่ำเสมอ จุดด่างดำดูลบเลือนจางลง ด้วยส่วนผสมสูตรเข้มข้นจาก Edelweiss Extract, Lentil Extract, Spring Sea Water, Oryza Vitamin E, Aloe Vera Extract ที่ปรนนิบัติผิวของคุณได้อย่างมีประสิทธิภาพ

[gallery]

ข่าวยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จัดงาน Thailand Convention 2012

บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด บริษัทผลิตภัณฑ์นูทราซูติคัล (Nutraceutical) คุณภาพสูงและผู้นำธุรกิจเพื่อสุขภาพระดับโลกจากอเมริกา จัดงาน Thailand Convention 2012 พิธีประดับเข็มเกียรติยศประจำปี 2555 ภายใต้คอนเซปต์ “Live The Dream” เธอ คือ ความฝัน เดอะมิวสิคัล และถือเป็นการรวมตัวของบรรดานักธุรกิจยูนิซิตี้ทั้งในประเทศและต่างประเทศกว่า15,000คน เพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงความสำเร็จ ความเจริญเติบโตก้าวหน้า โดย มร.สจ๊วต ฮิวส์ CEO ร่วมด้วย มร. คริสโตเฟอร์ คิม President, Unicity Asia Pacific เป็นผู้ประดับเข็มเชิดชูเกียรติให้กับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จของบริษัท ณ อิมแพ็ค อารีนา เมืองทองธานี เมื่อวันที่21 มกราคม 2555ที่ผ่านมา

[gallery]

บก.ปคบ. นำทีมบุกลาดพร้าว ชี้ผิด ‘เยส ไอ แคน’ ไม่จดบริษัทสคบ.



กก. 1 บก.ปคบ. นำทีมทำงานภาคปฏิบัติ บุกตรวจค้น “บริษัท เยส ไอ แคน คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด” บริเวณห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว หลังเฝ้าติดตามข้อมูลร่วม 4 เดือน ชี้ความผิดไม่จดทะเบียนเป็นบริษัทขายตรงกับ สคบ. แต่ประกอบการรูปแบบขายตรง ยึดสินค้า/เอกสาร ตรวจหลายรายการ

เมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555 พ.ต.ท.สุรพันธ์ มั่นคงดี รองผู้กำกับ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ได้นำกำลังตำรวจบุกตรวจค้น “บริษัท เยส ไอ แคน คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด” ตั้งอยู่เลขที่ 2539 อิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว ชั้น 3 ตามหมายค้น

โดยมี พ.ต.ท. พีรวัส อุดมทรัพย์ สารวัตร กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ร่วมในการตรวจ ซึ่งได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า “ในการบุกเข้าตรวจค้นในครั้งนี้ เป็นการตรวจค้นบริษัท เนื่องจากมีผู้เข้าร้องเรียนในช่วงก่อนหน้า ว่าบริษัทดังกล่าวไม่มีการจดทะเบียน เป็นบริษัทขายตรงกับทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.”

“ซึ่ง บริษัท เยส ไอ แคนฯ นี้ มีการจดทะเบียนบริษัทกับกรมพัฒนาการธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการจดทะเบียนเป็นบริษัทขายตรงกับ สคบ. ตามพ.ร.บ. ขายตรงและตลาดแบบตรง ทั้งที่ในการจดทะเบียนกับกรมพัฒนาการธุรกิจฯ มีการระบุว่า วัตถุประสงค์ในการเปิดบริษัทต้องการที่จะประกอบการธุรกิจในรูปแบบขายตรง” พ.ต.ท.พีรวัส เผย

โดยในข้อมูลการจดทะเบียนของบริษัท ที่ได้จดแจ้งกับกรมพัฒนาการธุรกิจระบุทุนการจดทะเบียนไว้ที่ 1 ล้านบาท มีคณะกรรมการ 2 ท่านคือ น.ส.อรณิชชา หมื่นภักดี และนายวรเชษฐ์ หะยีอาลี ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2554

“หลังจากที่มีการจดทะเบียนบริษัทในเดือนสิงหาคม ทางเยส ไอ แคน ก็เริ่มตั้งบริษัทที่อิมพีเรียล ลาดพร้าว เปิดดำเนินการมาตั้งแต่เดือนส.ค.2554 ซึ่งหลังจากนั้น ก็มีผู้ร้องเรียนมายัง บก.ปคบ. โดยเจ้าหน้าที่ก็ได้เริ่มทำการตรวจสอบเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายน ซึ่งมีการติดต่อไปยัง สคบ. และพบว่า บริษัทดังกล่าวยังไม่มีการ จดแจ้งเป็นบริษัทขายตรงกับทางสคบ.แต่อย่างใด” พ.ต.ท. พีรวัส กล่าว

โดย พ.ต.ท.พีรวัส ยังกล่าวต่อว่า “ในการเข้าตรวจค้นตามหมายศาลในครั้งนี้ พบ น.ส.อรณิชชา หมื่นภักดี ที่มีชื่อเป็นกรรมการของบริษัทในการยื่นจดทะเบียนเปิดบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจฯ แต่เจ้าตัวอ้างว่าไม่ทราบเรื่องว่า บริษัทได้จดทะเบียนเป็น ขายตรงหรือไม่อย่างไร เนื่องจากตนเป็นเพียงพนักงานของบริษัท จึงไม่ทราบเรื่องต่างๆ ที่ตำรวจได้ยื่นมาให้ทราบข้อกล่าวหา อีกทั้ง นายวรเชษฐ์ หะยีอาลี ซึ่งเป็นกรรมการอีกคนก็ไม่อยู่ เนื่องจากเดินทางไปต่างจังหวัด”

อย่างไรก็ดี ในการตรวจค้นในครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ยึดสินค้าของบริษัท ที่พนักงานอ้างว่าเป็นสินค้าทดลอง ที่ยังไม่มีการจำหน่ายแต่อย่างใดกลับมาเพื่อตรวจสอบว่า มีการจำหน่ายไปแล้วหรือไม่อย่างไร และสินค้าต่างๆ ที่บริษัทเก็บไว้เหล่านี้ ผ่าน การอนุญาตจากทางอย.แล้วหรือไม่ ซึ่งมีอยู่ ด้วยกันทั้งหมด 5 รายการสินค้า ซึ่งจะเป็น ในส่วนของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และสินค้าเสริมอาหารพืช ที่ใช้ในทางการเกษตร

นอกจากนี้ ในการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ ยังพบใบสมัครสมาชิก ใบแสดงข้อมูล ผลิตภัณฑ์ ใบรายการราคาสินค้า ซึ่งแสดง ราคาสินค้าในการขาย และคะแนนที่จะได้รับหลังซื้อสินค้า โดยในใบดังกล่าว มีรายการ สินค้าอยู่ทั้งหมด 16 รายการ และ 4 รายการ เป็นสินค้าชุดสมัคร รวมแล้วมีทั้งหมด 20 รายการสินค้า ซึ่งในส่วนของสินค้าชุดสมัคร นี้ มีการระบุราคาไว้ที่ 350 บาท เลือกหนึ่ง ชุดอย่างใดอย่างหนึ่งในการสมัคร นอกเหนือ จากเอกสารที่กล่าวมา ในการตรวจค้นของ เจ้าหน้าที่ ยังพบใบแสดงแผนการตลาดของ บริษัทอีกด้วย

ในการตรวจค้นดังกล่าว พ.ต.ท.พีรวัส ได้กล่าวต่อว่า “ในความผิดเบื้องต้นของ บริษัท เยส ไอ แคนฯ คือ การไม่จดทะเบียน บริษัทเป็นธุรกิจขายตรงกับทางสคบ. แต่มีการเปิดตั้งสำนักงาน ถึงแม้ว่าพนักงานของ บริษัทจะอ้างว่าบริษัทยังไม่มีการจำหน่ายสินค้า หรือรับสมัครสมาชิกก็ตาม แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากเมื่อดูจากระยะเวลาที่เปิดสำนักงานมา จนถึงบัดนี้รวม แล้ว 5 เดือน จึงต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จ จริงกันต่อไป”

ในการตรวจค้นครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดเอกสารบางอย่างของบริษัทไว้ เพื่อทำการตรวจสอบ และได้เชิญ น.ส.อรณิชชา หมื่นภักดี ไปที่กองบก.ปคบ. เพื่อรับ ทราบข้อกล่าวหา และติดต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าให้การต่อไป

ทั้งนี้ พ.ต.ท.พีรวัส อุดมทรัพย์ ยังได้เผยถึงการทำงานว่า ในกรณีของ บริษัท เยส ไอ แคนฯ นี้ ทางเจ้าหน้าที่ ได้รับเรื่องร้องเรียนมา จึงได้ทำการยื่นเรื่องตรวจสอบไปที่ ทางสคบ. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 และ ได้ใช้เวลาในการสืบข้อมูลรวบรวมหลักฐานร่วม 4 เดือนจึงได้ทำการขออนุมัติหมาย ศาลในการบุกตรวจค้นดังที่กล่าวมา

“ซึ่งในช่วงต้น ยังไม่แน่ใจว่า ในการเอาผิดจะออกมาในรูปแบบใด ซึ่งคงเป็นเรื่อง ของคดี โดยอาจเป็นการปรับตามวันเวลาที่เปิดบริษัทซึ่งยังไม่มีการจดทะเบียนเป็นบริษัทขายตรงกับสคบ. โดยที่ทางบริษัท เยส ไอ แคนฯ อ้างว่าในเดือนมกราคมนี้จะได้รับ การอนุญาตจากทางสคบ. ซึ่งในตอนนี้ ก็จะ เป็นการสั่งหยุดกิจการชั่วคราวก่อน หลังจาก ที่คดีคืบหน้าไปกว่านี้ จึงจะสามารถยืนยันเอาผิดอีกครั้ง” สารวัตรกอง กก.1 เผย

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ

่ข่าวเอสเนเจอร์ เดิมพัน 150 ล. วางทุนเปิดอาเซียนรับ AEC



“เอสเนเจอร์” ธุรกิจเครือข่ายขายตรง ในเครือ “ศรีไทยซุปเปอร์แวร์” โชว์ผลงานปี 2554 ยอดขายทะลุเป้า 353 ล้านบาท คิดเป็นอัตรา เติบโต 165% ประกาศนโยบาย รุกตลาดปีมังกร Big Change, Big Success พลังขับเคลื่อน อย่างสร้างสรรค์สู่ความสำเร็จ ที่ยั่งยืน เข็มมุ่งยอดขาย 460 ล้านบาท พร้อมกลยุทธ์ขยายสาขารองรับประชาคมอาเซียน (Asian Economic Community, AEC) บอกขายตรงปี 55 เดือดแน่!

นายบัญชา เหมินทคุณ รองกรรมการผู้จัดการ ด้านธุรกิจเครือข่าย เอสเนเจอร์ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในวาระครบรอบ 3 ปี ของเอสเนเจอร์ (S Nature) เราประสบ ความสำเร็จอย่างดียิ่ง จากยอดขายเริ่มต้น 65 ล้านบาท ในปี 2552 พุ่งสูงขึ้นกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ด้วยยอดขาย 133 ล้านบาท ในปี 2553, และในปี 2554 ยอดขายก้าวกระโดดเป็น 353 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเป็นประวัติการณ์ ถึง 165% โดย มียอดสมาชิกปีที่ผ่านมา 70,000 รหัส โดยในส่วนของยอดขายปี 54 ที่ผ่าน มา สามารถแบ่งยอดขายเป็นเขตตลาดของบริษัทได้ดังนี้ คือ ไทย 320 ล้านบาท พม่า 20 ล้านบาท และลาว 3 ล้านบาท

สำหรับเป้าหมายในปี 2555 เอสเนเจอร์ตั้งเป้าหมาย 460 ล้านบาท และยอดสมาชิกรวมมากกว่า 100,000 รหัส เอสเนเจอร์ ด้วยนโยบายการตลาด 2012 Big Change, Big Success เรามีเป้าหมายในการเป็น Top 3 Most Admired brand สร้างแบรนด์เอสเนเจอร์ให้ครองใจ ตลาดอาเซียน (AEC) ซึ่งกลยุทธ์หลักของ เราคือการชูความเป็น Greenovative หมายถึง การนำผลิตภัณฑ์ที่ก้าวหน้ามีนวัตกรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างสรรค์ กิจกรรมส่งเสริมการขายที่เป็น Most attractive promotion, โปรโมชั่นการท่องเที่ยว และการจัดอีเวนต์ต่างๆ งบประมาณสื่อสารการตลาด 50 ล้านบาทซึ่งจะสนับสนุนให้นักธุรกิจเอสเนเจอร์ทำงานบรรลุเป้าหมายได้ง่าย สามารถ รีครูตคนใหม่และสร้างเครือข่ายที่เปี่ยมพลังยิ่งขึ้น

ทั้งนี้ ในการบุกตลาดต่างประเทศเราได้ทำการวิจัยธุรกิจ (Business Research) ในประเทศเอเชียที่เราได้เข้าไปทำ การลงทุนว่าพฤติกรรมการบริโภคเป็นอย่างไร มีความต้องการสินค้าในรูปแบบใด บ้าง อย่างเช่น ในประเทศพม่านั้นเราได้ศึกษาวิจัยอย่างละเอียดแล้วว่า ประเทศพม่านั้นมีการทำเกษตรกรรมเป็นหลัก เรา จึงได้นำผลิตภัณฑ์เอสแมทริกซ์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับพืช ทำให้พืช โตเร็ว ทนต่อสภาพดินฟ้าอากาศ ซึ่งทำให้ นักธุรกิจเอสเนเจอร์ในพม่านั้นมีความได้เปรียบทางธุรกิจและประสบความสำเร็จมากกว่าค่ายอื่นๆ ที่เข้าไปเปิดตลาด นอกจาก นี้ เรายังได้ผลิตนิตยสาร S MAG เป็นสื่อ ประชาสัมพันธ์ช่วยสนับสนุนการขายให้กับนักธุรกิจเอสเนเจอร์ให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้”

อย่างไรก็ดี บริษัทยังมีแผนที่จะเปิด ขยายสาขาสู่ต่างประเทศให้มากขึ้น โดยเฉพาะในส่วนของแถบประเทศเพื่อนบ้านในเขตเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เนื่องจากบริษัทต้องการที่จะเปิดตลาดส่วนนี้ เพื่อเป็นการรองรับตลาดการค้าเสรี ที่จะเกิดขึ้นในปี 2555 โดยเตรียมงบประมาณในการขยายสาขาในต่างประเทศไว้ที่ประมาณ 150 ล้านบาท

นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของการขยาย ในประเทศ โดยในช่วงปลายไตรมาสที่หนึ่ง ของปีนี้ บริษัทจะขยายสาขาไปที่อุดรธานี และภาคใต้ในช่วงต่อไป ซึ่งเอสเนเจอร์ยัง เลือกพื้นที่ของการลงสาขาเพิ่มอยู่ นายบัญชา เหมินทคุณ รองกรรมการผู้จัดการ ด้านธุรกิจเครือข่าย, เอสเนเจอร์ กล่าวว่า “แนวโน้มปี 2012 ของตลาดระบบเครือข่าย (Multi-Level Marketing) ขณะนี้นั้น มีการแข่งขันอย่างดุเดือด เนื่องจากมี MLM หลายค่ายจากต่างประเทศ เข้ามาบุกตลาด แต่เอสเนเจอร์เราก็มีความ พร้อมในการที่จะนำพานักธุรกิจเอสเนเจอร์ ให้ก้าวสู่ระดับโลกได้อย่างแน่นอน”

ด้านเภสัชกร ยอดชาย ตั้งใจดีบริสุทธิ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด กล่าวว่า “ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์เอสเนเจอร์ มี 4 กลุ่มสินค้า ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์เอสเนเจอร์ที่ทำรายได้สูงสุดคิดเป็นสัดส่วนของยอดขายรวมตามลำดับ คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร (Health Care Products) 65% ของยอดขายรวม, ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว (Skin Care Products) 17%, ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ ส่วนตัว (Personal Care Products) 10%, ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน (Home Care Products) 8% สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2555 จะเป็น Greenovative Product ผลิตภัณฑ์ที่ก้าวล้ำด้วยนวัตกรรมได้แก่ ชุดชั้นในปรับสรีระ S-curve Nasara by S Natur และ Magnetic Pen ซึ่งเป็นปากกากดจุดนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น นอกจากนั้นแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์เหยือกปรับสภาพน้ำ S Aqualife ซึ่งนำเข้าจากประเทศเยอรมนี นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์ อีกมากมายที่จะวางตลาดต่อเนื่องตลอดปี 2555

ช่องทางการจัดจำหน่ายของเอสเนเจอร์ (S Natur) สมาชิกสามารถใช้บริการได้จาก 15 สาขาทั่วประเทศ ได้แก่ สาขารัชดาภิเษก, หนองแขม, สุขสวัสดิ์, รังสิต, สุพรรณบุรี, พิษณุโลก, ลพบุรี, นครราชสีมา, ขอนแก่น, หาดใหญ่, สุราษฎร์ธานี, ชลบุรี, สกลนคร, ร้อยเอ็ด, เชียงใหม่ นอกจากนี้ ยังมีบริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ ผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ

ปรับ ครม.ขายตรงหน่าย พ.ร.บ. ฉบับใหม่รอต่อไป



การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ล่าสุด จากที่มีการเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี รวมทั้งเปลี่ยนผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในส่วนดูแลวงการขายตรง ทำให้ผู้บริหารหลายท่านเกิดความวิตกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ จะทำให้ การเติบโตของธุรกิจเครือข่ายถูกชะงักหรือไม่ อย่างไร

ซึ่งจากที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ขณะนี้ วงการขายตรงกำลังเฝ้ารอ พ.ร.บ. ขายตรงและตลาดแบบตรงฉบับใหม่ เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนแผน การตลาดให้อยู่ในกฎเกณฑ์ที่กำลังจะออก เพื่อที่จะมุ่งไปที่การทำงานรอรับการเปิดประชาคมการค้าเสรีอาเซียนในปี 58 แต่เหมือนกับว่า สิ่ง ที่เฝ้ารอต้องสะดุด เนื่องจากรัฐมนตรีที่ดูแลมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งผู้บริหารหลายฝ่ายเกรงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ จะทำให้ธุรกิจขายตรงต้องเดิน ไปข้างหน้าแบบพะวงข้างหลัง ไม่ทราบว่า เมื่อไหร่กฎหมายใหม่จะออก และเมื่อกฎใหม่ถูกบังคับใช้ บริษัทแต่ละแห่งต้องปรับอะไรบ้าง ซึ่งจะทำให้เกิดการทำงานที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง

>> ‘อีซี่ ฟาร์แมกซ์’ วอนรัฐกระตุ้นภาพลักษณ์

นายศุภชาติ อังคสุวรรณศิริ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีซี่ ฟาร์แม็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศ ไทย) จำกัด กล่าวกับ “สยามธุรกิจ” ว่า ผลกระทบในแง่หนึ่งเมื่อมีการเปลี่ยนตัวคณะรัฐมนตรี คงจะเป็นเรื่องความต่อเนื่องของการจัดร่าง พ.ร.บ.การขายตรงใหม่ที่อาจทำให้เกิดความล่าช้าไป แต่อย่างไรก็ดี การ เปลี่ยนแปลงต่างๆ ตนมองว่าก็ยังคง ขึ้นอยู่กับความจริงใจของคณะรัฐบาล ชุดนี้ ว่ามีความจริงใจในการดำเนิน งานในธุรกิจขายตรงเพียงใด

“ดังนั้น ภาพรวมในขณะนี้ตนมองว่าการเปลี่ยน ครม.ชุดใหม่ยังไม่ มีผลกระทบใดๆ ต่อการดำเนินงานในธุรกิจเครือข่ายมากนัก เพราะผู้ที่จะมาทำหน้าที่ดูแลในส่วนพ.ร.บ. ขายตรงยังไม่มีนโยบายใดๆ ออกมา ซึ่งส่วนนี้เราผู้เกี่ยวข้องทุกคนจึงยังคงต้องช่วยกันจับตามองต่อไป”

อย่างไรก็ตาม ตนอยากฝากให้ครม. ชุดใหม่ที่เข้ามา พยายามเร่งพัฒนาวิชา ชีพขายตรงให้เป็นที่ยอมรับของผู้คนใน วงกว้าง เพราะตนคิดว่าธุรกิจเครือข่ายเป็น อีกอาชีพหนึ่งที่ส่งเสริมรายได้ให้ผู้คนในหลายระดับ แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่าธุรกิจ นี้ยังคงเป็นสีเทาอยู่ เช่น ผู้ที่ไม่เข้าใจงาน เครือข่ายอย่างแท้จริง แล้วไปบิดเบือนเจตนา ทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจติดลบ ก่อให้เกิดความเสียหาย ดังนั้นหากรัฐบาลใช้การบังคับ กฎหมายให้ทุกอย่างมีความชัดเจน ให้ทุกคนปฏิบัติตามกติกา หรืออยู่ในกรอบของกฎหมายที่กำหนดไว้ ก็จะทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจนี้สูงขึ้น ทำให้ประชาชนทั่วไปเกิดความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาร่วมงานกับเรา

>> “ดีเน็ทเวิร์ค” เร่งพ.ร.บ. ชูธุรกิจ

ด้านนายสาคร ใสกมล ประธาน ผู้ก่อตั้ง บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด เปิดเผยว่า ในประเด็นที่รัฐบาลปรับเปลี่ยนโผ ครม.ชุดใหม่ ซึ่งทำให้รัฐมนตรีที่ เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านธุรกิจเครือ ข่ายต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ตนมอง ว่า ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ย่อมเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่จะส่งผลกระทบไป ในรูปแบบใดนั้น ต้องขึ้นอยู่กับตัวบุคลากร ที่เข้ามาทำหน้าที่บริหาร คือ หากบุคลากร คนใหม่ที่เข้ามาให้ความใส่ใจในธุรกิจขายตรงมากขึ้น ก็ย่อมทำให้ธุรกิจขายตรงก้าว เข้าสู่ยุคที่ 4 หรือยุคซึ่งแยกธุรกิจสีขาวและ ดำได้อย่างชัดเจนเร็วขึ้นเท่านั้น

เนื่องจากในมุมมองของตน คิดว่าธุรกิจนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ยุคหลักๆ ยุคแรก คือ ยุคผูกขาด ถือเป็นช่วงเริ่มแรก ของวงการเครือข่ายไทย ซึ่งจะมีไม่กี่บริษัท ยุคที่ 2 คือ ยุคของการแข่งขัน ที่มีนายทุน ต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วม จนก่อให้เกิดความ เสียหายมากมาย ยุคที่ 3 คือยุคปัจจุบัน ที่ถือเป็นยุคของมืออาชีพ ซึ่งผู้ทำธุรกิจเครือ ข่ายทุกคนต้องมีความเป็นมืออาชีพ ธุรกิจ จึงจะเติบโต และอยู่รอดได้ และยุคที่ 4 เป็น ยุคที่สามารถแยกธุรกิจสีขาวและดำได้ชัดเจน คือ ประชาชนทั่วไปสามารถแยกแยะ ด้วยตนเองได้ว่าธุรกิจเครือข่ายค่ายนี้ดำเนินตามกรอบของกฎหมาย เป็นธุรกิจที่เชื่อถือได้จริงหรือไม่

ทั้งนี ในกรณีที่ครม.ชุดเก่ากำลังดำเนินการจัดทำพ.ร.บ.ขายตรงใหม่อยู่นั้น เมื่อมีการเปลี่ยนครม.ใหม่ ก็อาจจะมีผลให้ เกิดความล่าช้าบ้าง เนื่องจากเมื่อมีคนใหม่ ก็ต้องเข้ามานั่งศึกษาใหม่ เรียนรู้ใหม่ หรือ จัดตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ในการพิจารณา ดังนั้นตนจึงอยากจะให้ครม.ชุดใหม่นี้ เร่งออกกฎหมายขายตรงให้เร็วที่สุด เพราะว่าขายตรงในยุคที่ผ่านมาทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ในธุรกิจนี้มาก

>> “แซน สยาม” หวั่นเปลี่ยนครม.บ่อยขายตรงโตช้า.

นายปธิกร โยทองยศรองกรรมการ ผู้จัดการ บริษัท แซนสยาม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวกับ “สยามธุรกิจ” ถึงประเด็นดังกล่าวว่า “ตนมองว่าในปัจจุบัน ประชาชนทั่วไปเริ่มที่จะเข้าใจในระบบเครือข่ายมากขึ้น ฉะนั้น แม้ว่ารัฐบาลจะมี การเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลก็ไม่น่าจะมีผลเสีย และไม่น่าจะส่งผลให้ธุรกิจเครือข่ายดีขึ้นกว่าเดิม เพราะตนมั่นใจว่าธุรกิจนี้จะ ดีขึ้นก็ด้วยตัวของธุรกิจเอง ด้วยโอกาสที่บริษัทขายตรงต่างๆ จะรีบเข้าไปดำเนินการดึงประชาชนที่เดือดร้อน จากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ เช่น ค่าครองชีพที่สูงขึ้นมากกว่า” นายปธิกร กล่าว

นอกจากนี้ แม้ครม.ชุดเก่ากำลังดำเนินการจัดทำพ.ร.บ.ขายตรงใหม่อยู่นั้น ตนก็ยังมองว่าการเปลี่ยนแปลงครม.ใหม่ก็ไม่น่าจะทำให้การดำเนินธุรกิจขายตรงมี ปัญหา เพราะแม้ตัวบทกฎหมายจะมีความ สำคัญ แต่เราก็ต้องหันกลับมามองด้วยว่า พ.ร.บ.ใหม่จะออกมาในรูปแบบไหน ถ้า พ.ร.บ.ที่ออกมาใหม่เป็นไปในทางบวก หรือ ช่วยส่งเสริม รักษาสิทธิให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ในธุรกิจเครือข่าย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไป แต่หากจัดทำพ.ร.บ.ใหม่แล้วยังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ตนคิดว่าก็มีค่าเท่ากัน

ทั้งนี้ ตนก็อยากจะฝากถึงรัฐบาลต่อ การปรับเปลี่ยนครม.ชุดใหม่ว่า อยากให้มีรัฐมนตรีที่เข้าใจในธุรกิจเครือข่ายเข้าดูแลเพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจนี้ได้พัฒนาไป ในทิศทางที่ดีขึ้น เป็นที่พึ่งของประชาชนมากขึ้น คือ รัฐบาลควรสรรหารัฐมนตรีที่เข้าใจในระบบเครือข่ายเข้ามาดูแล เพราะ รัฐมนตรีถือเป็นบุคคลสำคัญที่มีหน้าที่ในการดูแล ควบคุม ตรวจสอบธุรกิจเครือข่าย โดยภาพรวม ดังนั้น หากได้คนที่เข้าใจในธุรกิจนี้มาบริหารงาน ก็จะทำให้ขายตรงไทยสามารถพัฒนาก้าวสู่ความเป็นสากล เป็นที่ยอมรับของประชาชนในประเทศ และต่างประเทศ และประการสำคัญคือจะ ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศชาติ เนื่องจากจะเห็นได้ว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว หลายๆ ประเทศ ธุรกิจเครือข่ายก็เป็นอีก ธุรกิจหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศชาติของเขาได้

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ

วันศุกร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2555

ยอดขายรวมของธุรกิจขายตรงเติบโตสูงถึง 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐในปี 2010



การขายตรงโลก WFDSA ระบุชัดยอดขายรวมของธุรกิจขายตรงในปี 2010 เติบโตขึ้นสูงถึง 120,000 ล้านเหรียญสหรัฐซึ่งนั้นยังไม่นับรวมตลาดประเทศจีนที่มีความใหญ่โตมาก เป็นการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับปี 2008 ที่มียอดขาย 110,000 ล้านเหรียญ ซึ่งเป็นการเติบโตที่เพิ่มขึ้นถึง 18% ในขณะที่ตัวเลขนักขายตรงที่หันมาทำธุรกิจเครือข่ายเป็นอาชีพหลักก็เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างต่อเนื่องเช่นกันจาก 60 ล้านคนในปี 2008 เพิ่มเป็น 90 ล้านคนในปี 2010 นั้นแสดงว่าธุรกิจเครือข่ายขายตรงเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างอาชีพอย่างยั่งยืนให้กับผู้คนได้—อีกทั้งธุรกิจขายตรงยังช่วยลดภาวการณ์ว่างงานของแต่ละประเทศอีกด้วย ยกตัวอย่างเช่น อัตราการว่างงานของประชากรทั่วโลกในปี 2008 มีจำนวนถึง 230 ล้านคน และตัวเลขนี้ลดจำนวนลงเหลือเพียง 190 ล้านคนในปี 2010 ที่ผ่านมา นี้คือตัวเลขข้อมูลขององค์กรแรงงานระหว่างประเทศที่ระบุไว้อย่างชัดเจน

ข้อมูลจากงานประชุม WFDSA Regional Conference 2011 ของสมาพันธ์ขายตรงโลก World Federation of Direct Selling Associations (WFDSA) ประจำปี 2011 ในปีนี้สมาคมการขายตรงประเทศตุรกีได้เป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุมในครั้งนี้และจัดขึ้นที่ “เมืองอิสตัลบูล “ ถายใต้ธีมงานที่ว่า EAST MEETS WEST …ตะวันออกพบตะวันตก ซึ่งการจัดงานในปีนี้ มีบริษัท Amway,AVON,HERBALIFE และNATURA เป็นผู้ให้การสนับสนุนในระดับแพลทตินั่ม มีบริษัท NUSKIN และORIFLAME ให้การสนับสนุนระดับโกลด์ และเทียนส์ บริษัทขายตรงยักใหญ่ของประเทศจีนให้การสนับสนุนระดับซิลเวอร์ โดยมีซีอีโอของบริษัทขายตรงที่เป็นสมาชิกสมาคมและคณะผู้บริหารสมาคมขายตรงจากประเทศต่างๆทั่วโลกเดินทางกันเข้ามาร่วมฟังการเสวนาและแลกเปลี่ยนความคิดเป็นกันเป็นจำนวน 300 คน
แอนเดรียจุง อดีดประธานสมาพันธ์ขายตรงโลก กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมาสภาพแวดล้อมทางด้านเศรษฐกิจระดับมหาภาคมีความเปลี่ยนแปลง ตลอดตั้งแต่ปี 2008 ที่ผ่านมา โดยเฉพาะที่อเมริกาและยุโรป ประสบปัญหาภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ ภาวะหนี้สาธารณะที่เพิ่มสูงขึ้น ปัญหาการว่างงานที่มีอยู่มากมาย ไม่เว้นแม้กระทั้งประเทศที่กำลังพัฒนาอย่างประเทศญี่ปุ่นที่เกิดสึนามิ เกิดภาวะเศรษฐกิจเงินเฟ้อ และการใช้มาตรการทางด้านการเงินที่มีความเข้มงวดจากรัฐบาล ส่งผลให้ราคาสินค้าอุปโภค-บริโภค มีราคาสูงขึ้น ฉะนั้นภาพที่เห็นและปัจจัยต่างๆที่เกิดขึ้นในหลายประเทศทั่วโลกจึงดูไม่ค่อยสวยงามเท่าใดนัก ถ้ามองในแง่เศรษฐกิจระดับมหาภาค
ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจทั่วโลกอยู่ในภาวะตกต่ำแต่ก็เป็นที่น่าแปลกใจว่า อุตสาหกรรมขายตรงของพวกเรากลับเติบโตขึ้นอย่างโดดเด่นและเป็นสถิติการเติบโตที่เหนือกว่าการตลาดค้าปลีกเสียด้วยซ้ำไป
โดยมุ่งเน้นสำคัญ 2จุด กล่าวคือ
ต้องนำเอาหลักจรรยาบรรณทางธุรกิจไปใช้อย่างเคร่งครัดเพื่อหนุนทางด้านชื่อเสียงธุรกิจ และต้องการบอกว่าการฝ่าฝืนหลักจรรยาบรรณทางธุรกิจจะต้องถูกลงโทษอย่างทันที
ต้องแบ่งปันเรื่องราวของธุรกิจการขายตรงของเราว่าเป็นธุรกิจที่เป็นทางออกสำหรับเศรษฐกิจที่มีปัญหาเพราะฉะนั้นการมีพันธะสัญญาช่วยเหลือของสมาคมต่างๆทั่วโลก นอกเหนือไปจากนั้น แผนยุทธศาสตร์ของเราต้องการให้สมาคมการขายตรงทั่วโลกมีมาตรฐานในการจัดการทรัพยากรต่างๆอย่างมืออาชีพ ซึ่งจะทำให้นักธุรกิจของเรามีความเป็นมืออาชีพมากยิ่งขึ้น
ในขณะที่ อเลสซานโดร คาร์ลุชชี ประธานสมาพันธ์การขายตรงโลกคนใหม่ ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริหาร บริษัท เนทูร่า คอสเมติกส์ เอส.เอ เปิดเผยว่าเป้าหมายของสมาพันธ์การขายตรงโลกคือช่วยเหลือและยกระดับบริษัทซึ่งเป็นสมาชิกของสมาคมในแต่ละประเทศให้ทำธุรกิจขายตรงอย่างถูกต้องและเป็นตามหลักจรรยาบรรณของสมาพันธ์ที่กำหนดขึ้นโดยไม่เอาเปรียบสมาชิกและผู้บริโภค รวมถึงการให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวของกับธุรกิจของเราอย่างเต็มที่รวมถึงให้ความช่วยเหลือทางด้านสังคมซึ่งเป็นสิ่งที่เรายึดมั่นและกระทำร่วมกันโดยตลอด
ขอขอบคุณข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์ leadertime

ข่าวเอปูเซ่ ขวัญใจคนขายตรง “ชูคุณธรรม นำธุรกิจ”



...นับตั้งแต่ “ธุรกิจเครือข่ายขายตรง” ได้รับกระแสการยอมรับจากผู้คน ขยายวงกว้างเพิ่มมากขึ้น ทำให้เกิดบริษัทต่างๆ ผุดขึ้นมามากมายราวดอกเห็ด ส่งผลถึงสมรภูมิการแข่งขัน ทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนเกิดการพลิกเกมรบต่างๆ ที่นำมาฟาดฟันกันอย่างดุเดือดในตลาด ไม่ว่าจะเป็นการปรับแผนการตลาดให้โดดเด่น หรืออัดฉีดโปรโมชั่นและทุ่มผลตอบแทนเพื่อดึงดูดลูกค้าหรือสมาชิก...!!!
แต่หากจะโฟกัสบริษัทที่เน้นแผนการทำธุรกิจที่แตกต่าง และสร้างความโดดเด่นจนเป็นที่น่าจับตามองในปัจจุบัน คงหนีไม่พ้น “บริษัท เอปูเซ่ (ประเทศไทย) จำกัด” ที่ดำเนินธุรกิจภายใต้แนวทาง “คุณธรรม นำธุรกิจ” มาโดยตลอด นับตั้งแต่ก่อร่างสร้างตัวขึ้นมาในธุรกิจ
วิถีทางในการทำธุรกิจของ “เอปูเซ่” จุติขึ้นมา อย่างเด่นชัด เมื่อทีมบริหาร ต้องการที่จะสร้างธุรกิจที่ยั่งยืน เพื่ออยู่คู่สมาชิก ซึ่งจุดเริ่มต้นต้องย้อนไปเมื่อปี พ.ศ.2549 ที่ “บริษัท เอปูเซ่ (ประเทศไทย) จำกัด” ได้ก่อตั้งขึ้น และเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการเมื่อเดือนสิงหาคม พ.ศ.2550 จากประสบการณ์ในการเป็นผู้บริหารบริษัทเอกชนชั้นนำเกือบ 20 ปี และประสบการณ์ตรงในฐานะผู้บริหารธุรกิจเครือข่ายของประธานกรรมการบริหาร ภายใต้สโลแกนของ “เอปูเซ่” นั่นคือ “We will reach to success together” หรือ “เราจะบรรลุความสำเร็จร่วมกัน”
ซึ่งคอลัมน์ “ตลาดวิเคราะห์” ปักษ์นี้ จะไล่เรียงความพร้อมในการทำธุรกิจของ “เอปูเซ่” จาก “มนตรี ฉิมมณีภัทธ” ประธานกรรมการบริหาร ที่จะมาเล่าสู่กันฟังถึงเรื่องราวที่ผ่านมา และแผนที่จะรุกตลาดในอนาคตข้างหน้า
โดย “มนตรี” เผยถึงแนวคิดการทำธุรกิจเครือข่ายที่แตกต่างว่า การทำธุรกิจของ “เอปูเซ่” ไม่ใช่บริษัทที่ประกอบธุรกิจขายตรง หากแต่ประกอบธุรกิจจำหน่ายสินค้าอุปโภคและบริโภค ผ่านช่องทางระบบเครือข่ายขายตรง ที่เน้นผู้บริโภคเป็นอันดับหนึ่ง นี่จึงเป็นเหตุผลที่
“เอปูเซ่” พยายามควบคุมสินค้า ควบคุมการผลิต และควบคุมการเลือกสารสกัดจากธรรมชาติมาเป็นตัวหลักในการทำสินค้า เพราะผู้บริโภคจะต้องได้สินค้าที่มีคุณภาพ และปลอดภัย ซึ่งอยู่ในปรัชญาของบริษัทที่ว่า “คุณธรรม นำธุรกิจ”

ซึ่งล่าสุด บริษัทกำลังที่จะสร้างโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง เพื่อที่จะควบคุมคุณภาพการผลิต และการเลือกสารสกัดจากธรรมชาติได้สะดวกมากขึ้น พร้อมกันนี้ ยังมีแนวทางที่จะกระจายรายได้ให้กับสมาชิกที่เข้าสู่ธุรกิจให้มีรายได้กระจายทั่วทุกคน
...ด้านการแข่งขันในธุรกิจขายตรงที่มีการแข่งขันกันอย่างรุนแรงในปัจจุบัน และมีหลายบริษัทเปิดตัวเข้ามา “มนตรี” ได้มองว่า การทำธุรกิจที่ดีนั้น ผู้ประกอบการต้องไม่กลัวการแข่งขัน เพราะการแข่งขันเป็นเรื่องปกติและเป็นสิ่งที่ดี เนื่องจากจะทำให้ผู้ประกอบการรู้จักกระตุ้นและพัฒนาตัวเองอยู่ตลอดเวลา โดยอยู่บนพื้นฐานการแข่งขัน ที่ขาวสะอาด เมื่อเริ่มต้นเข้าสู่ธุรกิจ เชื่อว่าผู้ประกอบการทุกคนต้องมีแนวทางในการที่จะนำพาธุรกิจไปสู่จุดมุ่งหมาย อยู่ที่ว่าแผนงานที่วางไว้สอดคล้องกับลักษณะธุรกิจ และตัวสินค้าสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบันหรือไม่
ในปีที่ผ่านมา “เอปูเซ่” ได้วางเป้าไว้ที่ 350 ล้านบาท โดยช่วงต้นปีที่ผ่านมา ก็ได้นำประสบการณ์จากปัญหาน้ำท่วมช่วงกลางปีในภาคใต้ ซึ่งมีฐานสมาชิกอยู่เป็นจำนวนมาก บริษัทจึงวางแผนรองรับน้ำท่วมและคาดว่าหากเกิดปัญหาน้ำท่วมขึ้นอีก ตัวเลขที่ทำได้จะอยู่ที่ 300 ล้านบาท
สำหรับสถานการณ์น้ำท่วมที่เกิดขึ้นในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้ส่งผลกระทบกับธุรกิจ “เอปูเซ่” อยู่บ้าง อย่างไรก็ตาม “เอปูเซ่” ก็พยายามตรวจสอบสมาชิกในพื้นที่ที่ประสบปัญหาน้ำท่วมอยู่ตลอดเวลา และหากพื้นที่ไหนกระทบมากก็จะเข้าไปดูแล ช่วยเหลือ เพราะถือว่าสมาชิกทุกคนคือคนในครอบครัว
ซึ่งที่ผ่านมา ก็มีการจัดระดมทรัพย์สิน และการบริจาคลงพื้นที่ช่วยเหลือผู้ประสบภัย เพราะนี่คือสิ่งที่บริษัท จะคืนให้กับสังคม และถือเป็นสิ่งสำคัญส่วนหนึ่งที่ “เอปูเซ่” เน้นทำมาโดยตลอด
“มนตรี” ยังได้เล่าถึงแผนการทำงานให้ฟังว่า “ในอดีต “เอปูเซ่” มีการวางแผนทั้งระยะสั้นและแผนระยะยาว ซึ่งปัจจุบันบริษัทให้ความสำคัญกับแผนระยะสั้นมากกว่า เพราะในอนาคตไม่รู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้น อย่างเช่น ในช่วงครึ่งปีสุดท้ายสถานการณ์ไม่นิ่ง จึงไม่ได้ทำแผนระยะยาว แต่ก็เตรียมความพร้อมด้วยการทำแผนแบบรายเดือน ซึ่งในฐานะประธานกรรมการบริหาร “มนตรี” สามารถตัดสินใจได้ด้วยตัวเอง ดังนั้น จึงมีความคล่องตัวสูงในการตัดสินใจและบริหารงาน
ส่วนทิศทางของธุรกิจขายตรงในปี 2555 นี้ “มนตรี” มองว่า ต้องมุ่งหาสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค และทำอย่างไรให้สินค้า มีการซื้อซ้ำ ซึ่งกลุ่มสินค้าที่ใช้ในชีวิตประจำวันคือ สินค้าหลักที่ต้องเป็นหัวใจสำคัญ ในสมัยก่อนตลาดเป็นของผู้ขาย แต่ปัจจุบันตลาดเป็นของผู้บริโภค ซึ่งในส่วนของธุรกิจที่มีสินค้าเป็นหัวใจ สิ่งหนึ่งที่ทิ้งไม่ได้คือผู้บริโภคและผู้ทำหน้าที่ในการขาย เหตุผลคือ ถ้าขายสินค้าแล้วไม่มีผู้ใช้สินค้า สินค้าจะอยู่ที่ไหน หรือถ้าขายสินค้าแล้วไม่มีผู้นำสินค้าไปขาย ใครจะทำหน้าที่ขายแทน
สิ่งที่ “เอปูเซ่” พยายามจะปลูกฝัง คือ คิดองค์ประกอบของธุรกิจให้ครบก่อนว่า ต้องมีผู้นำองค์กร ผู้นำกลุ่มธุรกิจ และผู้นำทีมธุรกิจ มีคนทำหน้าที่ในการขายและผู้บริโภค นี่คือพื้นฐานของการทำธุรกิจที่มีสินค้าเป็นตัวกำหนด ทุกองค์กรที่มีธุรกิจเกี่ยวกับการขายสินค้า ต้องมีโครงสร้างนี้
อย่างไรก็ตาม “เอปูเซ่” ก็นับเป็นอีกทางเลือกหนึ่งสำหรับผู้ที่ต้องการ สร้างรายได้ และจะเป็นธุรกิจที่สร้างอนาคตอันสวยงาม ดังชื่อภาษาฝรั่งเศสของ “เอปูเซ่” (APUSE) ที่หมายถึง “เจ้าสาว” ภาพของหญิงสาวแสนสวยที่อยู่ในชุดเจ้าสาวขาวบริสุทธิ์ ดุจเจ้าหญิงในเทพนิยายนั้น เป็น
ความใฝ่ฝันและความปรารถนาอันสูงสุดของผู้หญิงทุกคน...
ได้ทราบความคิด ทัศนคติ วิสัยทัศน์การดำเนินงานจากหัวเรือใหญ่ไปแล้ว ต่อไปจะเป็นคิวของนักรบ “เอปูเซ่” ที่จะมาบอกเล่าถึงชีวิตและจิตวิญญาณของคนทำงานเครือข่าย...!!!
เริ่มที่ผู้นำเบอร์หนึ่งที่ติดอันดับหนึ่งในสุดยอดนักขายของเมืองไทย และเป็นหัวหอกสำคัญ ที่ทำให้ “เอปูเซ่” ก้าวมาถึงจุดนี้ได้อย่าง “สันติศักดิ์ ครุฑธามาศ” ที่บอกกับ “ทีมงานตลาดวิเคราะห์” ว่า ระยะเวลา 3-4 ปีที่อยู่กับ “เอปูเซ่” ความสำเร็จที่เกิดขึ้น ถือเป็นเรื่องเกินคาด โดยเป้าหมายส่วนตัวที่ตั้งเอาไว้ แสดงให้เห็นถึงความจริงใจในการนำพาบริษัทและสมาชิกทุกคนสู่ความสำเร็จ โดยเขาสัญญา ว่าจะอุทิศทั้งแรงกายแรงใจ เพื่อนำพา “เอปูเซ่” ไปสู่เป้าหมายยอดขายทะลุ 500 ล้านให้ได้
“นั่นคือ การลั่นวาจาทิ้งเอาไว้ของสุดยอดนักขายระดับขั้นเทพของเมืองไทย ที่มีนามว่า สันติศักดิ์ ครุฑธามาศ”
จากจอมยุทธ์อันดับหนึ่ง ถัดมาเป็น ผู้ซึ่งอุทิศเวลาทั้งหมดให้กับการทำธุรกิจ “เอปูเซ่” อย่าง “พินิตย์ ศรียาลัย” กันบ้าง ซึ่งเขาได้พูดถึงการทำธุรกิจที่นี่เอาไว้อย่างน่าสนใจว่า “ช่วงที่บริษัทประสบกับวิกฤติในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ก็อาจส่งผลกระทบต่อยอดขายบ้าง แต่ด้วยความที่ไม่ย่อท้อ จึงใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส ด้วยการทำงานและลงพื้นที่หนักขึ้น สิ่งสำคัญคือ ต้องรู้จักการปรับเปลี่ยนวิธีทำงานให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน อย่างเช่น ช่วงที่หลายพื้นที่เกิดน้ำท่วมหนัก ก็ต้องหันมาทุ่มเทปักหลักให้กับการทำงานที่กรุงเทพฯ จัดประชุมที่ต่างจังหวัด ไม่ได้ ก็ต้องจัดที่กรุงเทพฯ แทน และต้องทำอย่างต่อเนื่อง”
ผู้นำที่ดีต้องมีเป้าหมายในการทำงาน สำหรับ “พินิตย์” ภายใต้การทำงานร่วมกับ “เอปูเซ่” ก็ได้ตั้งเป้าหมายเอาไว้ว่า ตัวเขาต้องขึ้นตำแหน่ง GPD ซึ่งมีรายได้ 5 แสนบาทต่อเดือน ให้จงได้ แม้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคมากมายแค่ไหนก็ตามที ด้วยการลงมือทำงานให้หนัก อย่างต่อเนื่อง มองไปยังเป้าหมาย หากเป้าหมายชัดเจน ความสำเร็จไม่ไกลเกินเอื้อม และสำหรับบ้านที่เรียกว่า “เอปูเซ่” แห่งนี้ พร้อมเปิดพื้นที่ให้ทุกคนเข้ามาเรียนรู้และลงมือทำอย่างจริงจัง ด้วยปัจจัยส่งเสริมการทำงานจากบริษัท โอกาสแห่งความสำเร็จย่อมเปิดประตูรอทุกคนอยู่
ผู้นำระดับแถวหน้า ซึ่งถือเป็นบุคคลสำคัญในรายถัดมาคือ “กรวีร์ น้อยลัทธี” ที่หลงรักการทำงานเครือข่ายอย่างถอนตัวไม่ขึ้น นับตั้งแต่ที่เธอมาร่วมงานกัน “เอปูเซ่” ความสำเร็จที่ได้มาก็เป็นอย่างก้าวกระโดด และปัจจุบันเธอมีตำแหน่ง GPD โดยมีเป้าหมายสูงสุดว่าจะต้องขึ้นสู่ตำแหน่ง DPD ให้ได้ภายในสิ้นปี
ท่ามกลางวิกฤติอันเกิดจากอุทกภัยในหลายพื้นที่ “กรวีร์” กลับไม่มองว่าน้ำท่วมเป็นอุปสรรคในการทำงานแม้แต่น้อย เพราะเธอบอกว่าสินค้าเอปูเซ่ เป็นเรื่องของปัจจัย 4 ที่ทุกคนจำเป็นต้องกิน -ใช้ โดยเฉพาะสินค้าตัวเอกอย่าง “คาวาริ” ซึ่งไม่ว่าฝนจะตก แดดจะออก ผู้คนที่ให้ความสำคัญกับสุขภาพ ก็ยังขวนขวายหาซื้อมารับประทานอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ดังนั้น เมื่อเพิ่มความขยันทำงานลงไปอีกนิด ยอดขายจึงอยู่ในระดับคงที่ สำหรับผู้ที่สนใจอยากทราบเคล็ดลับการทำงานให้ประสบความสำเร็จ “กรวีร์” ก็ยินดีที่จะเปิดเผยวิธีการทำงานของเธอให้ฟังว่า อันดับแรก ต้องมีความกล้าที่จะเปลี่ยนชีวิตตัวเองไปในทางที่ดีขึ้น ที่สำคัญต้องพกความตั้งใจจริงในสิ่งที่จะทำ วางเป้าหมายของตัวเองให้ชัดเจน คุณสมบัติเบื้องต้นที่กล่าวมาทั้ง 3 ข้อ จะเป็นพลังสำคัญในการขับเคลื่อนทุกคนให้ไปถึงจุดหมายได้อย่างแน่นอน

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 313 ประจำวันที่ 1-15 กุมภาพันธ์ 2555

‘นู สกิน’ประกาศศักดาความสำเร็จ คว้า2รางวัลบริษัทชั้นนำระดับโลกปี2011



“นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส อิงค์” ตอกย้ำบริษัทชั้นนำระดับโลก ล่าสุดคว้า 2 รางวัล การันตีคุณภาพความสำเร็จ จากการจัดอันดับของ อินเวสเตอร์ส์ บิสซิเนส เดลี่ หรือ ไอบีดี ให้เป็น1 ใน 100 บริษัทที่ดีที่สุดประจำปี 2011 และเป็น 1 ใน 1,000 บริษัทมหาชน ที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในโลกจาก ดิ อินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส ไทมส์ หรือไอบีที พร้อมย้ำ! เป้าหมายความสำเร็จในปี’55 ยังคงมุ่งพัฒนาและแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ภายใต้เทคโน โลยีเอจล็อคที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ นู สกิน เข้าสู่ตลาด ด้าน นู สกิน ประเทศไทย พร้อมดำเนินตามนโยบายจากบริษัทแม่
มร.ทรูแมน ฮันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส อิงค์ อเมริกา เผยว่า ในการดำเนินธุรกิจที่ผ่านมา
นู สกิน เป็นบริษัทฯ ที่ประสบความสำเร็จและได้รับการยอมรับจากทั่วโลก เป็นผลมาจากนโยบายและแผนการดำเนินงานที่สอดประสานกันเป็นอย่างดีเยี่ยมของคณะผู้บริหารและผู้แทนจำหน่ายของ นู สกิน ทั่วโลก ที่เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพและความสามารถ ทำให้ปีนี้ นู สกิน ได้รางวัลแห่งความสำเร็จนี้มาครอบครองอีกครั้ง ด้วยการได้รับการจัดอันดับจาก หนังสือพิมพ์อินเวสเตอร์ส์ บิสซิเนส เดลี่ หรือ ไอบีดี (Investor’s Business Daily’s or IBD) ให้เป็น 1 ใน 100 บริษัทที่ดีที่สุด (Best of 2011) โดย นู สกิน ได้รับการจัดให้อยู่ในอันดับที่ 51 ด้วยราคาของหุ้นประจำปีที่มีอัตราการเติบโตมากกว่า 60%
นอกจากนั้น ยังได้รับการจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 1,000 บริษัทมหาชน ที่มีการเติบโตเร็วที่สุดในโลก ประจำปี 2555 จาก เดอะอินเตอร์เนชั่นแนล บิสซิเนส ไทมส์ หรือไอบีที (The International Business Times or IBT) โดยมีอัตราการเติบโตของรายได้ในช่วงระยะเวลา 3 ปี อยู่ที่ 10.1 เปอร์ เซ็นต์และติดอันดับท็อปเท็นสำหรับบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ส่วนบุคคลที่มีการเติบโตเร็วที่สุด
ทั้งนี้ มร.ทรูแมน ฮันท์ ยังได้กล่าวถึงความสำเร็จในครั้งนี้อีกว่า การที่ นู สกิน ได้รับรางวัลครั้งนี้ ถือเป็นเกียรติอย่างสูง และเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงพลังความแข็งแกร่งและศักยภาพอันโดดเด่นของผู้แทนจำหน่ายจาก
นู สกิน ทั่วโลก โดยปัจจัยความสำเร็จส่วนหนึ่งมาจากผลิตภัณฑ์ต่อต้านความเสื่อมชรา เอจล็อค ที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะ และด้วยโอกาสทางธุรกิจที่ทรงประสิทธิ ภาพของ นู สกิน ทำให้ นู สกิน ได้มาซึ่งความสำเร็จก้าวใหม่อีกขั้น จนสามารถสร้างสถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ติดต่อกันเป็นเวลา 2 ปีซ้อน และคาดว่าจะสามารถทำสถิติต่อเนื่องได้เป็นปีที่ 3 ในปีนี้
สำหรับเป้าหมายความสำเร็จในปี 2555 บริษัทฯ ยังคงมุ่งพัฒนาและแนะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ภายใต้เทคโนโลยีเอจล็อคที่เป็นลิขสิทธิ์เฉพาะของ นู สกิน เข้าสู่ตลาด ซึ่งจะสามารถสร้างอัตราการเติบโตของยอดขาย ขยายฐานผู้บริโภคในตลาดใหม่ รวมทั้งสร้างผลกำไรและสถานะทางการเงินของเราให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปอีก
นอกจากนี้ นางภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด ยังได้กล่าวเสริมต่อว่า สำหรับ นู สกิน ประเทศไทย ที่ผ่านมา ได้ดำเนินแผนการตลาดตามนโยบายของบริษัทแม่มาโดยตลอด ในการผลักดันและประกาศจุดยืนของการเป็นบริษัทผู้นำด้านการต่อต้านความเสื่อมชรา ไม่ว่าจะเป็นการนำผลิตภัณฑ์เอจล็อค ทรานส์ฟอร์เมชั่น มาใช้เป็นสินค้าหลักในการทำตลาด รวมทั้งการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาดต่างๆ ซึ่งได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างดีเยี่ยม เห็นได้จาก ยอดขายของผลิตภัณฑ์เอจล็อคที่เติบโตอย่างต่อเนื่องนับจากการเปิดตัวไปเมื่อปี 2010 จนถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ยอดขายโดยรวมของบริษัทเติบโตไปด้วยเช่นกัน
สำหรับสองรางวัลที่บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพรส์ อิงค์ ได้รับในครั้งนี้ ถือเป็นความสำเร็จครั้งยิ่งใหญ่ ที่เกิดจากการทุ่มเททั้งแรงกายแรงใจ และความมุ่งมั่น ของทั้งผู้บริหาร ผู้แทนจำหน่าย ตลอดจนพนักงานของ นู สกิน ทั่วโลก รวมทั้ง นู สกิน ประเทศไทยเช่นเดียวกัน ซึ่งถือเป็นการสร้างความเชื่อมั่นและสะท้อนให้เห็นถึงแนวโน้มการเติบโตที่ดีขึ้นของบริษัทฯ
และล่าสุดบริษัทฯ ได้ลงทุนกว่า 350 ล้านบาท ในการซื้อกรรมสิทธิ์ครอบครองสถาบันไลฟ์เจน เทคโนโลยี รวมทั้งทรัพย์สินทางปัญญาที่เกี่ยวกับการค้นคว้าวิจัยยีนส์เพื่อการต่อต้านความเสื่อมชรา เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่อต้านความเสื่อมชราระดับสุดยอดนวัตกรรมเข้าสู่ตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเป็นการช่วยเสริมความแข็งแกร่งในจุดยืนของบริษัทฯ และสร้างความมั่นใจอย่างเต็มเปี่ยมว่า นู สกิน จะมีการเติบโตที่ดี และก้าวสู่ความสำเร็จอย่างต่อเนื่องแน่นอน

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 313 ประจำวันที่ 1-15 กุมภาพันธ์ 2555

‘เอสเนเจอร์’อัดอาวุธครบมือรับปีมังกร สาดกลยุทธ์เด็ดเขย่าวงการเครือข่ายเพียบ



“เอสเนเจอร์” ปี’55 รุกตลาดครบเครื่อง พร้อมชูกลยุทธ์ BIG CHANGE, BIG SUCCESS รับปีมังกรทอง…ล่าสุดพลิกประวัติศาสตร์วงการขายตรงด้วยการเปิดตัว “เอสเนเจอร์ จีโนมิก แล็บ” ก้าวไกลด้วยเทคโนโลยีการตรวจสุขภาพระดับดีเอ็นเอ พร้อมตั้งเป้ายอดสมาชิก 1 แสนรหัส ยอดขาย 460 ล้าน สิ้นปี’55...แย้มเตรียมรุกตลาดเพื่อนบ้านอีก 2 ประเทศ เสริมศักยภาพด้านธุรกิจ
หากพูดถึงขายตรง “เอสเนเจอร์” ภายใต้เครือข่ายบริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) นั้น ต้องบอกว่า เป็นอีกหนึ่งเครือข่ายที่น่าจับตามองอย่างยิ่งที่เดียวในช่วงเวลานี้ ซึ่งหากดูถึงผลประกอบการในปี 2554 ที่ผ่านมาของเอสเนเจอร์แล้ว พบว่า สามารถทำยอดขายอยู่ที่ 353 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตสูงถึง 165 เปอร์เซ็นต์ด้วยกัน
อย่างไรก็ตาม ทิศทางธุรกิจของเอสเนเจอร์ ที่สำคัญในปี 2555 นี้นั้น ทางด้านนายบัญชา เหมินทคุณ รองกรรมการผู้จัดการ ด้านธุรกิจเครือข่าย เอสเนเจอร์ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยว่า ในวาระครบรอบ 3 ปี ของเอสเนเจอร์ ถือได้ว่าบริษัทฯ ประสบความสำเร็จอย่างดียิ่ง เห็นได้จากยอดขายเริ่มต้น 65 ล้านบาท ในปี 2552 พุ่งสูงขึ้นกว่า 100 เปอร์เซ็นต์ ด้วยยอดขาย 133 ล้านบาท ในปี 2553 และในปี 2554 ยอดขายก้าวกระโดดเป็น 353 ล้านบาท คิดเป็นอัตราการเติบโตเป็นประวัติการณ์ ถึง 165 เปอร์เซ็นต์ โดยมียอดสมาชิกปีที่ผ่านมา 70,000 รหัส
สำหรับเป้าหมายในปี 2555 เอสเนเจอร์ตั้งเป้าหมาย 460 ล้านบาท และยอดสมาชิกรวมมากกว่า 100,000 รหัส เอสเนเจอร์ ฉลองปีมังกรทอง ด้วยนโยบายการตลาด 2012 Big Change, Big Success เรามีเป้าหมายในการเป็น Top 3 Most Admired brand สร้างแบรนด์เอสเนเจอร์ให้ครองใจตลาดอาเซียน (AEC)
ซึ่งกลยุทธ์หลักของบริษัทฯ คือ การชูความเป็น Greenovative หมายถึง การนำผลิตภัณฑ์ที่ก้าวหน้ามีนวัตกรรมและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม สร้างสรรค์กิจกรรมส่งเสริมการขายที่เป็น Most attractive promotion, โปรโมชั่นการท่องเที่ยว และการจัดอีเว้นท์ ต่างๆ ด้วยงบประมาณสื่อสารการตลาด 50 ล้านบาท ซึ่งจะสนับสนุนให้นักธุรกิจเอสเนเจอร์ทำงานบรรลุเป้าหมายได้ง่าย สามารถรีครูทคนใหม่และสร้างเครือข่ายที่เปี่ยมพลังยิ่งขึ้น
นายบัญชา ยังกล่าวต่ออีกว่า ในการบุกตลาดต่างประเทศของเอสเนเจอร์นั้น ยังได้ทำการวิจัยธุรกิจ ในประเทศเอเซียที่บริษัทฯ ได้เข้าไปทำการลงทุนว่า พฤติกรรมการบริโภคเป็นอย่างไร มีความต้องการสินค้าในรูปแบบใดบ้าง อย่างเช่น ในประเทศพม่านั้น บริษัทฯ ได้ศึกษาวิจัยอย่างละเอียดแล้วว่า ประเทศพม่านั้นมีการทำเกษตรกรรมเป็นหลัก ส่งผลบริษัทฯ จึงได้นำผลิตภัณฑ์เอสแมทริกซ์ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับพืชเข้ามาทำตลาดในประเทศดังกล่าว
“เราเชื่อว่าด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ จะช่วยให้นักธุรกิจเอสเนเจอร์ในพม่านั้นมีความได้เปรียบทางธุรกิจและประสบความสำเร็จมากกว่าค่ายอื่นๆ ที่เข้าไปเปิดตลาด นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้ผลิตนิตยสาร S MAG เป็นสื่อประชาสัมพันธ์ช่วยสนับสนุนการขายให้กับนักธุรกิจเอสเนเจอร์ให้เติบโตได้ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้อีกด้วย”
นอกจากนี้นายบัญชา ยังได้กล่าวถึงแนวโน้มการแข่งขันในธุรกิจขายตรงปี 2555 อีกว่า “ตนเองเชื่อว่า แนวโน้มตลาดขายตรงในปี 2012 นี้ จะมีการแข่งขันอย่างดุเดือดแน่นอน เนื่องจากมี MLM หลายค่ายจากต่างประเทศเข้ามาบุกตลาดอย่างมาก แต่ในขณะเดียวกัน ทางเอสเนเจอร์เอง ก็มีความพร้อมในการที่จะนำพานักธุรกิจเอสเนเจอร์ให้ก้าวสู่ระดับโลกได้อย่างแน่นอน”
ด้านเภสัชกร ยอดชาย ตั้งใจดีบริสุทฺธิ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด กล่าวเสริมต่อว่า ปัจจุบันนี้ ผลิตภัณฑ์ภายใต้แบรนด์เอสเนเจอร์ มีอยู่ด้วยกัน 4 กลุ่มสินค้า ซึ่งกลุ่มผลิตภัณฑ์เอสเนเจอร์ที่ทำรายได้สูงสุดคิดเป็นสัดส่วนของยอดขายรวมตามลำดับ คือ 1. ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร 65% ของยอดขายรวม 2. ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว 17% 3. ผลิตภัณฑ์เครื่องใช้ส่วนตัว 10% และ 4.ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน 8%
สำหรับผลิตภัณฑ์ใหม่ในปี 2555 นี้ ทางบริษัทจะเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ที่ก้าวล้ำด้วยนวัตกรรม ได้แก่ ชุดชั้นในปรับสรีระ S-curve Nasara by S Natur และ Magnetic Pen ซึ่งเป็นปากกากดจุดนำเข้าจากประเทศญี่ปุ่น นอกจากนั้นแล้ว ยังมีผลิตภัณฑ์เหยือกปรับสภาพน้ำ S Aqualife ซึ่งนำเข้าจากประเทศเยอรมันนี รวมถึงผลิตภัณฑ์อีกมากมายที่จะวางตลาดต่อเนื่องตลอดปี 2555 กว่า 20 รายการ
ส่วนช่องทางการจัดจำหน่ายของเอสเนเจอร์ในปัจจุบันนี้นั้น เอสเนเจอร์มีสาขาอยู่ทั้งสิ้น 15 สาขาทั่วประเทศ ได้แก่ สาขารัชดาภิเษก, หนองแขม, สุขสวัสดิ์, รังสิต, สุพรรณบุรี, พิษณุโลก, ลพบุรี, นครราชสีมา, ขอนแก่น, หาดใหญ่, สุราษฏร์ธานี, ชลบุรี, สกลนคร, ร้อยเอ็ด, เชียงใหม่ พร้อมกับตั้งเป้าหมายที่จะเปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นอีก 2 แห่งในปี 2555 นี้ คือที่จังหวัดอุดรธานี ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการตกแต่ง และทางภาคใต้อีก 1 แห่ง นอกจากนี้ เอสเนเจอร์ ยังได้มีบริการสั่งซื้อสินค้าออนไลน์ผ่านทางเว็บไซต์ www.snatur.com เพิ่มความสะดวกแก่คนทำงานและคนรุ่นใหม่อีกด้วย
นอกจากนี้ ทางด้านอาจารย์ศุภชัย จารุสมบูรณ์ ผู้อำนวยการเอสเนเจอร์ จีโนมิก แล็บ ยังได้กล่าวถึงความแข็งแกร่งทางธุรกิจของเอสเนเจอร์ในปี 2555 นี้อีกว่า ล่าสุดบริษัทฯ ได้มีการทุ่มงบลงทุนมูลค่า 30 ล้านบาท เปิดตัว “เอสเนเจอร์ จีโนมิก แล็บ” ที่ถือเป็นครั้งแรกของวงการตลาดขายตรงในประเทศไทยเลยก็ว่าได้ ที่ตั้งอยู่ที่สำนักงานรัชดาภิเษก โดยจะเป็นศูนย์บริการสุขภาพแบบครบวงจร โดยผู้เชี่ยวชาญก้าวล้ำด้วยเทคโนโลยีการตรวจสุขภาพในระดับยีนและการตรวจสุขภาพทั่วไป พร้อมทำบลูปริ้นท์สุขภาพ และ Health Plan เป็นรายบุคคล
“วันนี้ ศูนย์เอสเนเจอร์ จีโนมิก แล็บ ค่อนข้างมีเครื่องไม้เครื่องมือที่ครบครันด้วยเทคโนโลยีการแพทย์อย่างมาก โดยสามารถตรวจหาร่องรอยก่อนโรคร้ายจะมาเยือนด้วยอุปกรณ์การแพทย์ที่ก้าวล้ำ เช่น Dark field Analysis and Enzyme Therapy ประกอบด้วย Transformation Microscopy กล้องพิเศษตรวจเม็ดเลือดเพื่อหาความผิดปกติของระบบย่อยอาหารและภาวะโภชนาการหรือความผิดปกติของร่างกาย เพียงเจาะเลือดปลายนิ้วและตรวจสอบเม็ดเลือดสดผ่านกล้องและสามารถแปลผลเพื่อประโยชน์ต่อการดูแลสุขภาพอย่างถูกวิธี, เครื่องมือ MRIT เป็นระบบนาโนเทคโนโลยี ใช้ตรวจสภาวะเซลล์ในร่างกาย โดยใช้คลื่นสั่นสะเทือน ช่วยตรวจคัดกรองสภาพร่างกายในปัจจุบันและอนาคต เป็นต้น”
อาจารย์ศุภชัย เผยต่ออีกว่า “เอสเนเจอร์ จีโนมิก แล็บ” จะเน้นการให้ความรู้เพื่อป้องกันโรคร้ายจากการดำรงชีวิตที่ผิดวิธี ค้นหาปัจจัยเสี่ยง และแนวทางป้องกันโรคจากต้นเหตุ ด้วยโปรแกรมเฉพาะบุคคล,เน้นให้ความรู้เพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตให้มีความสุขมากขึ้น,เน้นดูแลรักษาโรคในระยะยาว รวมถึงวางแผนดูแลโรคที่ไม่อาจหายขาด,รักษาโรคตั้งแต่คุณยังไม่ป่วย และทางเลือกในการรักษาเพื่อลดผลข้างเคียง และเสริมสร้างร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ เพื่อซ่อมแซมร่างกาย และเพิ่มภูมิคุ้มกันโรค

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 313 ประจำวันที่ 1-15 กุมภาพันธ์ 2555

วัดกึ๋น ขายตรง ปี 2555 น้องใหม่ปีมังกร หงายไพ่หมดหน้าตักเดิมพันหวังแจ้งเกิด


ขอดเกล็ดเครือข่ายขายตรงน้องใหม่ปี’55...หลังพบต้นปี หลายค่ายส่งไม้เด็ดออกอาวุธครบมือเพียบ...เผย “สินค้า-แผนการตลาด-โปรโมชั่น” ยังถือเป็นใบเบิกทางขับเคลื่อนธุรกิจได้เป็นอย่างดี...แย้มเตรียมจับตาน้องใหม่หลายค่ายเปิดเกมรบหมดหน้าตัก หวังเขย่าธุรกิจเพื่อแจ้งเกิด...ชี้! เครือข่ายที่จะแจ้งเกิดได้กึ๋น ของผู้บริหารต้องดีพอด้วยเช่นกัน
โหมโรงกันแบบสนุกทีเดียวในช่วงต้นปีสำหรับ “ธุรกิจขายตรงน้องใหม่” ที่พบว่า มีหลายค่ายออกมาประกาศเตรียมเปิดซิงทางธุรกิจแบบเป็นทางการในช่วงต้นปีพรึบ!...นั่นก็หมายความว่า ปรากฏการณ์ชิงพื้นที่รบพร้อมชิงผู้นำในธุรกิจเครือข่ายเริ่มที่จะเห็นชัดในช่วงต้นปี 2555 นี้แล้ว ซึ่งถามว่าทำไม ณ ปัจจุบัน ธุรกิจขายตรงจึงเกิดขึ้นอย่างมากมาย อาจเป็นเพราะคนเริ่มที่จะหันมาสนใจในธุรกิจขายตรงมากขึ้นกว่าในอดีตนั่นเอง...ลองมาดูกันว่า มีขายตรงน้องใหม่ค่ายไหนบ้างที่ชูจุดเด่นได้ครบเครื่อง ซึ่งทีมข่าว “ตลาดวิเคราะห์” มีรายละเอียดให้ท่านได้ติดตามดังนี้


เปิดแฟ้มขายตรงน้องใหม่
เข็นจุดเด่นบวกจุดแข็งชิงชัย
...เบิกฤกษ์ศักราชใหม่ ช่วงต้นปี พร้อมส่องกล้องผ่าเลนส์ธุรกิจเครือข่ายแล้ว พบว่า เริ่มที่จะกลับเข้ามาสู่ภาวะปกติอีกครั้ง หลังจากที่ซบเซาไปชั่วขณะหนึ่ง เมื่อช่วง “มหาอุทกภัย” ในช่วงที่ผ่านมา...ทั้งนี้ หลังจากที่ทีม “ตลาดวิเคราะห์” ได้เริ่มสำรวจความเคลื่อนไหวของธุรกิจขายตรงในช่วงต้นปี 2555 พบว่า มีขายตรงน้องใหม่เกิดขึ้นมากมายทีเดียว พร้อมกันนี้ แต่ละค่ายยังเริ่มออกหมัดเด็ดเพื่อสร้างความน่าสนใจ สร้างจุดดึงดูดต่างๆ ออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของแผนการตลาด สินค้าที่มีความโดดเด่นและมีความทันสมัย รวมถึงเรื่องของโปรโมชั่นที่นำออกมาเรียกน้ำย่อย เพื่อหวังเป็นอีกหนึ่งใบเบิกทางสำหรับคนเครือข่ายได้หันมาสนใจ
เห็นได้อย่าง “บริษัท แอมริช กรุ๊ป จำกัด” ที่นำโดยหัวเรือใหญ่ “เอกพิสิฐ บุญชนะ” ประธานกรรมการ ที่เข็นทัพสินค้าออกมาบี้ตลาดเครือข่ายอย่างอุ่นหนาฝาคั่งกันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “เชียงดาวคาวตอง”, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร กลูตาคอลลา-ซี หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารมาวิน สำหรับท่านชาย เป็นต้น
นอกจากนี้ ค่ายนี้ยังใช้ในส่วนของโปรโมชั่นออกมากระชากใจผู้ที่สนใจจะร่วมธุรกิจในช่วงที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนกุมภาพันธ์นี้อีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกท่านใดที่สามารถปิดตำแหน่ง E โดยใช้เงินเพียง 12,000 บาท พร้อมรับ 1 สิทธิ์ในการจับรางวัล ในวันเปิดตัว คือ รางวัลที่ 1 เงินสด 1 ล้านบาท รางวัลที่ 2 รถยนต์ Toyota Vios 1 คัน รางวัลที่ 3 ทองคำ 1 บาท 10 รางวัล รางวัลที่ 4 ทองคำ 2 สลึง 20 รางวัล และรางวัลที่ 5 ทองคำ 1 สลึง 40 รางวัล
ทั้งสำคัญ ค่าย “แอมริช” ยังจัดหนักอีกว่า หากสมาชิกท่านใดแนะนำสมาชิกปิดตำแหน่ง E ได้ครบ 15 คน ภายใน 3 เดือน จะได้เที่ยวฮ่องกง 1 ที่นั่ง และหากสมาชิกมีรายได้รวมกันตั้งแต่เดือน ม.ค.-มี.ค. 2555 มากกว่า 150,000 บาท รวม 3 เดือน ได้รับท่องเที่ยวอีก 1 ที่นั่ง พร้อมกับจะได้รับรางวัลเป็น
ผู้บริหารดีเด่น และรับโล่ประกาศเกียรติคุณในงานเปิดตัวอีกด้วย...เรียกได้ว่า ขายตรงน้องใหม่อย่าง “แอมริช” จัดหนัก จัดเต็มเรียกน้ำย่อยช่วงต้นปีกันเลยทีเดียว
...เช่นเดียวกับขายตรงน้องใหม่ “ไทยเฮลท์” ที่นำโดย พันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ CEO หนุ่มไฟแรง ก็ได้ออกมาเปิดฉากแรงอย่างดุดัน ด้วยการจัดงานฉลองความยิ่งใหญ่ พร้อมกับประกาศที่จะเติบโตแบบก้าวกระโดดในปี 2555 ด้วยกลยุทธ์ปลุกธุรกิจจากพลังเครือข่ายวิทยุ ที่จะใช้เป็นหัวหอกที่สำคัญในการรุกทำตลาดปี 2555 รวมถึงการกระจายความรวยทั่วทั้งประเทศกว่า 200 คลื่น เพื่อยึดหัวหาดหวังก้าวขึ้นสู่จ้าวตลาดน้ำเห็ดเพื่อสุขภาพ พร้อมกันนี้ ยังได้มีการเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์นั่นก็คือ “อ.วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์” อีกด้วย
...ที่สำคัญในปี 2555 นี้ ทางด้าน “ไทยเฮลท์” ยังเตรียมที่จะลุยตลาดเครือข่ายแบบครบเครื่องด้วยการเปิดตัวสินค้าสำหรับผู้หญิง อย่าง “ยู เลดี้” ที่จะช่วยแก้ปัญหาหนักใจ คืนความสาวและความมั่นใจ และสินค้าสำหรับท่านชายอย่าง “วี-เอ็ม พลัส” ที่จะช่วยคืนชีวิตรักที่ขาดหายให้กลับมาสุขอย่างที่เคยสุขด้วยเช่นกัน...นับว่าความร้อนแรงของธุรกิจขายตรงน้องใหม่ที่เกิดขึ้นมาไม่นานในช่วงเวลานี้ กำลังที่จะแสดงแสนยานุภาพออกมาเพื่อปลุกยอดขายในช่วงต้นปีให้ตื่นขึ้นมานั่นเอง
รวมถึงทางด้าน “มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค” ขายตรงน้องใหม่ ที่ออกมาขยับแข้งขยับขาโลดแล่นอยู่ในธุรกิจเครือข่ายเช่นกัน โดยมี “สุมิตร วชโรดมทรัพย์” เป็นหัวหอกที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเมื่อจูนคลื่นทางธุรกิจของค่ายนี้แล้ว พบว่า ได้มีการฟอร์มทีมนักขายไปบ้างแล้ว พร้อมๆ กับการเข็นสินค้าที่มีความแตกต่างจากค่ายอื่นๆ ถึง 4 หมวดด้วยกัน คือ 1. หมวดของดูแลสุขภาพ 2. การใช้ภายนอก 3. สินค้าที่ใช้ในครัวเรือน และ 4.สินค้าที่เป็นนวัตกรรมเทคโนโลยี
โดยสินค้าที่เป็นพระเอกของค่ายนี้ นั่นก็คือ “เครื่องดื่มโสมสกัด” และมีสินค้าพระรองอย่างในหมวดเครื่องสำอาง เป็นไฟโตรสเต็มเซลล์นวัตกรรมใหม่ที่จะใช้เป็นใบเบิกทางธุรกิจในช่วงแรกนั่นเอง พร้อมกันนี้ ยังมีโปรโมชั่นต่างๆ มากมายออกมายั่วน้ำลายด้วยเช่นกัน...เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งน้องใหม่ขายตรงที่เตรียมพร้อมที่จะแจ้งเกิดในสมรภูมิรบขายตรงอีกหนึ่งค่าย ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไป


จับตาพลังเครือข่ายใหม่
บุกธุรกิจเต็มแรงหวังเกิด
...ถือเป็นอีกหนึ่งช่วงที่น่าจับตามองทีเดียวสำหรับเครือข่ายที่เกิดขึ้นมาใหม่ ณ ขณะนี้ เพราะต้องบอกว่าแต่ละค่ายที่สร้างกระแส สร้างการรับรู้เพื่อหวังที่จะแย่งชิงพื้นที่รบในสมรภูมิรบเครือข่ายในปัจจุบันนี้นั้น ค่อนข้างมีไม้เด็ดออกมาให้คนเครือข่ายได้เสียวสันหลังอยู่ตลอดเวลา เช่นเดียวกับขายตรงน้องใหม่ที่ชื่อ “บริษัท แม็กเน็ต เน็ตเวิร์ค จำกัด” ที่เพิ่งคลอดตัวโผล่ขึ้นมาสร้างสีสันให้กับธุรกิจเครือข่ายเมื่อช่วงปลายปี 2554 ที่ผ่านมาเท่านั้นเอง ภายใต้การขับเคลื่อนธุรกิจของ “ชุมพล พิมลบุตร” กรรมการผู้จัดการ ที่มีฐานรบตั้งอยู่ที่ถนนแจ้งวัฒนะ
และจากการสำรวจความเคลื่อนไหวของธุรกิจค่ายนี้แล้ว พบว่า เริ่มที่จะจุดฉนวนทางธุรกิจให้คนเครือข่ายได้ประจักษ์บ้างแล้วเช่นกัน เห็นได้จากการจัดงานปีใหม่ของค่ายนี้ เมื่อช่วงที่ผ่านมา ที่เริ่มเห็นมีเหล่าผู้นำมากหน้าหลายตาเข้ามาซบอกค่ายนี้อย่างอุ่นหนาฝาคั่งทีเดียวทั้งคนใหม่และคนเก่า ที่เรียกว่าคนเครือข่ายต่างคุ้นตากันเป็นอย่างดี
ในขณะเดียวกัน ยังพบอีกว่า ค่ายนี้ยังเขย่าความน่าตื่นเต้น สร้างความน่าสนใจเหมือนเช่นดังขายตรงที่เกิดขึ้นมาใหม่ด้วยเช่นกัน นั่นก็คือ การออกโปรโมชั่นที่เร้าใจ ทั้งโปรโมชั่นท่องเที่ยวต่างประเทศ โปรโมชั่นสินค้าลด แลก แจก แถมมากมาย รวมถึงการนำเสนอแผนการตลาดที่น่าสนใจ และการเติมเต็มองค์ความรู้ด้วยการฝึกอบรมที่เข้มข้นจากนักขายฝีมือชั้นแนวหน้าของเมืองไทย ที่มีการโพสต์รูปขึ้นผ่านทางเว็บไซต์ของบริษัท
พร้อมกันนี้ “แม็กเน็ต เน็ตเวิร์ค” ยังเตรียมสินค้ามากมายออกมาเขย่าตลาดเครือข่ายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นกาแฟสำเร็จรูปผสมใบหม่อน, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเอ็นไซม์ SP22, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเซิ่นเป่า, ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเบต้าเบอรี่ เป็นต้น...ถือเป็นอีกหนึ่งเครือข่ายที่ต้องจับตามองทีเดียว ว่าจะสามารถสร้างสีสันให้กับธุรกิจเครือข่ายได้มากน้อยไหนปี 2555 นี้
...เช่นเดียวกับขายตรงน้องใหม่อย่าง “บริษัท วิคตอรี่ ซัคเซส (2011) จำกัด” ที่มี “ณัฐศักดิ์ มอไธสง” ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร ซึ่งค่ายนี้ ต้องบอกว่าชื่อเสียงเรียงนามอาจจะยังไม่คุ้นหูชินตาคนเครือข่ายอย่างแน่นอน เพราะเพิ่งถือกำเนิดบนถนนเครือข่ายได้ไม่นานเท่านั้นเอง
ทั้งนี้ เมื่อล้วงลึกเข้าไปดูถึงกลยุทธ์ในการสร้างแรงเหวี่ยงของเครือข่ายขายตรงค่ายนี้แล้วล่ะก็ พบว่า จะเป็นการนำเสนอในเรื่องของโปรโมชั่นที่หลากหลาย เพื่อสร้างแรงดึงดูดของธุรกิจเหมือนเช่นดังขายตรงค่าย อื่นๆ พร้อมกันนี้ ยังมีการชูสินค้าที่มีความโดดเด่นที่ไม่เหมือน
ใคร รวมถึงชูแผนการสร้างรายได้ที่มั่นคง นั่นก็คือ 1. รายได้จากการค้าปลีก 20-30% 2.โบนัสขยายองค์กร 50-100% จ่ายลึกถึง 9 ชั้น 3. โบนัสบริหารทีมแข็ง 10% 4. โบนัสบริหารทีมอ่อน 10-30% 5.โบนัสแมทชิ่งทีมแข็ง 100-200% 6.โบนัสผู้นำจากยอดขายทั่วประเทศ 10%...นับเป็นอีกหนึ่งบริษัทเครือข่ายน้องใหม่ที่ต้องบอกว่ากำลังเดินเครื่องเต็มลูกสูบทีเดียว ส่วนจะหมู่หรือจ่าเวลาคือเครื่องพิสูจน์เท่านั้น...
...เหมือนกับเครือข่ายขายตรงน้องใหม่อีกหนึ่งค่าย ที่กำลังโหมกระหน่ำแผนรบทางธุรกิจเพื่อหวังเขย่าตลาดเครือข่ายนั่นก็คือ “บริษัท ไฮไลฟ อินเตอร์เมท กรุ๊ป จำกัด” ซึ่งค่ายนี้จัดตั้งขึ้นจากการร่วมมือร่วมใจระหว่างกลุ่มแพทย์แผนโบราณจีน-ไทยรวมถึงกลุ่มแพทย์และเภสัชกรแผนปัจจุบัน พร้อมทั้งกลุ่มนักวิชาการและนักเศรษฐศาสตร์ที่มีความเชี่ยวชาญ ด้วยวิสัยทัศน์เพื่อสืบสานตำนานตำรับยาจีนโสมพันปี ซึ่งสำนักงานใหญ่ของค่ายนี้ตั้งอยู่ที่จังหวัดพิษณุโลก และมีสาขาอยู่ที่กรุงเทพฯอีกด้วย
โดยบริษัท ไฮไลฟ อินเตอร์เมท กรุ๊ป จำกัด มีทีมผู้บริหารดังนี้คือ ท่านซินแสสุทธิชัย เหลืองตระกูล ดำรงตำแหน่งประธานบริษัท, แพทย์แผนไทยเภสัชสุธัญญา เหลืองตระกูล ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร, แพทย์หญิงสิตานันทน์ เหลืองตระกูล ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการผู้จัดการ, ชวสรร เหลืองตระกูล ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ และณัฐพัชร์ เฑียรธนบดินทร์ ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการทั่วไป
ขณะเดียวกันค่ายนี้ยังชูแผนการตลาดที่เมื่อสมาชิกท่านใดเข้ามาสู่ธุรกิจนี้แล้ว สามารถรับสิทธิประโยชน์ถึง 5 ทางด้วยกัน คือ 1. กำไรขายปลีกจากส่วนลด 20-30% 2. โบนัสขยายธุรกิจ 40% ตั้งแต่ MB. 3. โบนัสบริหารองค์กร 50% 4. โบนัสบริหารทีมงาน 40% และ 5. โบนัสพัฒนาธุรกิจกองทุน 2%-5% BV ทั่วประเทศ
นอกจากนี้ ยังได้มีการชูจุดขายในเรื่องของสินค้าที่มีความโดดเด่นไม่ว่าจะเป็นยาน้ำโสมหยิ่งเซียม ที่ถือเป็นสินค้าเอกของค่ายนี้ ยาน้ำโหยวลี่แดง, ยาน้ำโสมเหมย เหมย เป็นต้น...เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งค่ายที่น่าจับตามองทีเดียว
ขณะเดียวกัน “บริษัท พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค จำกัด” ก็เป็นอีกหนึ่งเครือข่ายหน้าใหม่ที่เตรียมออกมาสร้างการรับรู้ให้กับคนเครือข่ายได้รับทราบ โดยค่ายนี้ต้องบอกว่าเป็นการรังสรรค์ความโดดเด่นในเรื่องของแผนการตลาดที่จะมาสร้างแรงดึงดูด พร้อมด้วยการนำเสนอในเรื่องของระบบการฝึกอบรมที่สำเร็จแล้วในการขับเคลื่อนองค์กร
นอกจากนี้ ค่ายนี้ ยังได้ชูจุดเด่นของธุรกิจไว้ 9 เหตุผลด้วยกัน คือ 1. ความเสี่ยงต่ำ 2. สินค้ามีคุณภาพ 3. รายได้ไม่จำกัด 4. ไม่ต้องจ้างคนงาน 5. ระบบทันสมัย 6. ทุนการจัดการต่ำ 7. Win-win relationship 8. ครอบคลุมรายจ่ายประจำวัน และ 9. การได้รับอิสรภาพ พร้อมกับสินค้าในการเคลื่อนทัพ 3 หมวดหมู่ด้วยกัน คือ 1. หมวดผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง 2. หมวดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และ 3. หมวดผลิตภัณฑ์ยาสามัญ
ที่สำคัญยังตอกย้ำด้วยแผนธุรกิจที่โดดเด่น ไม่ว่าจะเป็น1. กำไรจากการขายปลีกผลิตภัณฑ์ 20-30% 2. โบนัสสาขา 20% 3. โบนัสส่วนบุคคล 20% 4. โบนัสทีมอ่อน 20% 5.โบนัสทีมแข็ง 10-13% 6. โบนัสสตาร์แมทชิ่ง ทีมลูก 100% และ 7. โบนัสสตาร์แมทชิ่งทีมหลาน 50%
...นับได้ว่าในช่วงต้นปี 2555 นี้ หากใครที่สังเกตเห็นคงจะพบว่า บริษัทขายตรงน้องใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นได้ไม่นาน เริ่มที่จะวาดลวดลาย สร้างแรงเหวี่ยงทางธุรกิจตั้งแต่ต้นปีกันเลยทีเดียว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการที่จะสร้างฐานทางธุรกิจเพื่อให้เกิดความแข็งแกร่งนั่นเอง โดยสิ่งที่สร้างแรงดึงดูด เมื่อมองดูแล้ว ก็ไม่ได้มีความแตกต่างอะไรกันมากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะคล้ายๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นการชูในเรื่องของสินค้า แผนการตลาด เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าหากกึ๋นของผู้บริหารค่ายไหนที่มีดีพอ ก็นับได้ว่ามีชัยไปกว่าครึ่งอย่างแน่นอน แต่หากค่ายไหนที่เข้ามาเพื่อสร้างสีสันแล้วจากไป ต้องบอกว่า เป็นเรื่องที่น่ารังเกียจอย่างยิ่งที่เข้ามาสู่ธุรกิจนี้


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 313 ประจำวันที่ 1-15 กุมภาพันธ์ 2555

‘นีโอ ไลฟ์’ตอกย้ำธุรกิจเครือข่ายเบอร์1 ประกาศปี’56ยึดหัวหาดภูมิภาคอาเซียน



“นีโอ ไลฟ์” แสดงแสนยานุภาพไม่เลิก ย้ำ!ความพร้อมชั่วโมงนี้ฐานรบแน่นปึ้ก หลังพบ 11 ปีที่ผ่านมาอัตราการเติบโตอยู่ในระดับน่าพอใจ...พร้อมประกาศเป้าใหญ่ปี’56 เตรียมยึดพื้นที่ภูมิภาคอาเซียนส่งต่อความรวย...แย้มไม่เกิน 5 ปีขอมุ่งสู่ตลาด หลักทรัพย์หวังยกระดับธุรกิจสู่สากล...ชี้!รางวัลแห่งความสำเร็จที่ผ่านมา การันตีตัวตนที่แท้จริงของธุรกิจนีโอไลฟ์ชัดเจน
หากพูดถึงเครือข่ายพันธุ์ไทยที่ชื่อ “บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” ภายใต้การนำทัพของ “ดร.นพรุจ เวชกุล” ประธานกรรมการบริหาร และ “บอสรัชนี มหานิยม” ประธานบริหารฝ่ายสมาชิก แล้วล่ะก็ ต้องยอมรับว่า 2 ผู้บริหารท่านนี้ เป็นอีกหนึ่งผู้บริหารฝีมือดีระดับแถวหน้า ที่น่าจับตามองอย่างมากทีเดียว ในยุคนี้ พ.ศ.นี้
เพราะเห็นได้จาก ตลอดระยะเวลากว่า 11 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ “นีโอ ไลฟ์” เริ่มที่จะเข้าไปอยู่ในใจของพี่น้องคนไทยเกือบทั่วทุกประเทศแล้ว ที่สำคัญยังถือเป็นบริษัทเครือข่ายพันธุ์ไทยที่เข็นผู้ประสบความสำเร็จมากเป็นอันดับ 1 ของเมืองไทยในขณะนี้เลยก็ว่าได้ นอกจากนี้ “นีโอ ไลฟ์” เอง ยังไม่ได้จำกัดหรือวางกรอบขอบเขตเพียงแค่ผู้คนในสังคมไทยให้ประสบความสำเร็จเท่านั้น แต่ยังเป็นธุรกิจขายตรงสัญชาติไทยที่พร้อมจะสานฝันต่อไปยังตลาดโลกในภูมิภาคอาเซียนอีกด้วย
และจากความตั้งใจที่ต้องการผงาดในภูมิภาคอาเซียนนี่เอง ทำให้ “นีโอ ไลฟ์” จึงได้เตรียมความพร้อมในเรื่องของการพัฒนาคน พัฒนาสินค้าอย่างต่อเนื่องมาโดยตลอด เห็นได้จาก ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นีโอ ไลฟ์ ได้ติวเข้มจัดหนักทั้งหลักสูตรการอบรมบุคลากรภายใน และสมาชิกนักธุรกิจ การพัฒนาสินค้าและบรรจุภัณฑ์ พร้อมกับ ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้มีหลากหลายสอดรับกับความต้องการของผู้บริโภคที่เป็นสมาชิกอย่างแท้จริง
ทั้งนี้ ทางด้าน “ดร.นพรุจ เวชกุล” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยังได้กล่าวว่า หากให้ย้อนดูจากอดีตสู่ปัจจุบัน พบว่า แท่งสถิติอัตราการเติบโตของนีโอไลฟ์ อยู่ในระดับน่าพึงพอใจ ไล่เรียงมาตั้งแต่จำนวนของสมาชิกที่ประสบความสำเร็จในการทำธุรกิจขายตรง ที่ถือได้ว่ามีตัวเลขของสมาชิกที่ประสบความสำเร็จมากทีเดียว เฉลี่ยเดือนละกว่าพันรหัส
นับตั้งแต่ตำแหน่งหัวหน้าฝ่ายการตลาด, ผู้จัดการฝ่ายการตลาด, ผู้จัดการอาวุโสฝ่ายการตลาด, ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด, ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายการตลาด, รองประธานฝ่ายการตลาด และประธานฝ่ายการตลาด หรือตำแหน่งเพรสซิเด้นท์ เรียกได้ว่า มีจำนวนสมาชิกที่ประสบความสำเร็จ เพิ่มมากขึ้นตามลำดับ
ซึ่งปัจจุบันนีโอ ไลฟ์มีสมาชิกที่แอคทีฟ (Active )และ นัน-แอคทีฟ (Non Active) รวมกว่าล้านรหัสทั่วประเทศ รวมถึงมีศูนย์สาขาที่รองรับความต้องการการทำธุรกรรมของสมาชิกจำนวน 35 ศูนย์หลัก และมีศูนย์ย่อยที่เป็นอาคารเช่าอีก 30 ศูนย์ ขณะที่ตัวเลขการซื้อขายในระบบแฟรนไชส์ที่เป็นจุดบริการสินค้า นีโอ ไลฟ์ ช็อป (Neo life Shop) มีจำนวนมากกว่า 1,500 จุดบริการ…นับได้ว่า ทั้งหมดที่ถูกกล่าวมานี้ อาจจะเรียกได้ว่า ตอกย้ำถึงความพร้อมกับการก้าวสู่เวทีของประชาคม ASEAN ในวันนี้เลยก็ว่าได้
“ดร.นพรุจ” ยังกล่าวต่ออีกว่า ขณะนี้ทางบริษัทฯ ได้มีการปูฐานตลาดบนเวทีประชาคม ASEAN บ้างแล้ว ด้วยการเริ่มชิมลางกับประเทศเพื่อนบ้านอย่างประเทศลาวเป็นแห่งแรก ซึ่งในภาคปฏิบัติการนั้น ต้องยอมรับว่า นีโอ ไลฟ์ ต้องพบเจอกับปัญหามากมาย ไม่ว่าจะเป็นความแตกต่างทางด้านภาษาและวัฒนธรรม มุมมองและแนวความคิด การบริหาร การจัดการระหว่างเจ้าของพื้นที่กับสมาชิกนักธุรกิจของไทย กว่า 2 ปีในประเทศลาวที่ นีโอ ไลฟ์ บุกเบิกถากถาง ทำงานอย่างหนัก เพื่อพิสูจน์ตนเอง ส่งผลให้วันนี้ นีโอ ไลฟ์ จึงเริ่มเป็นที่ยอมรับในตลาดของประเทศลาว และมีศูนย์สาขาอยู่ในประเทศลาวถึง 4 ศูนย์ด้วยกัน คือ ศูนย์สาขาเวียงจันทร์, ศูนย์สาขาสหวันเขต, ศูนย์สาขาจำปาสัก และศูนย์สาขาอุดมชัย
...จากความสำเร็จในประเทศเพื่อนบ้านลาวดังกล่าว ทำให้ “นีโอ ไลฟ์” จึงได้ใช้แนวความคิดเดียวกันนี้เป็นยุทธวิธีในการรุกตลาดประเทศเวียดนาม, เซี่ยงไฮ้ และสิงคโปร์ไปพร้อมกัน และหมายมั่นปั้นมือคาดการณ์ว่าภายในปี 2556 นีโอ ไลฟ์ จะสามารถเปิดศูนย์สาขาในภูมิภาคอาเซียนได้สำเร็จครบทุกประเทศอย่างแน่นอน
“ดร.นพรุจ” กล่าวอีกว่า นอกเหนือจากความพร้อมทางด้านแผนการตลาด วิสัยทัศน์ที่กว้างและลึกของผู้บริหาร บวกกับความพร้อมทางด้านระบบบริหารจัดการ ที่เป็นเหตุและปัจจัยสำคัญ ในการส่งผลให้ความสำเร็จเกิดขึ้นกับนีโอ ไลฟ์แล้วนั้น นีโอ ไลฟ์ เอง ยังมีระบบการจัดการที่ดีเยี่ยม เป็นสากล ไม่ว่าจะเป็นการจัดอบรมพัฒนาศักยภาพ การเสริมสร้างทักษะให้กับบุคลากรทีมงานและสมาชิกนักธุรกิจอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่องอีกด้วย โดยมีเป้าหมายหลักที่ชัดเจน คือ ให้บริษัทเติบโตได้อย่างสง่างาม พร้อมกับมีแผนต่อไป ที่จะนำพาบริษัท นีโอ ไลฟ์ฯ เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ใน 5 ปีข้างหน้าหรือทันที เมื่อบริษัทฯ บรรลุเป้าหมายหมื่นล้านเป็นผลสำเร็จ
...นับได้ว่า สิ่งหนึ่งที่จะยืนยันความสำเร็จของธุรกิจขายตรง “นีโอ ไลฟ์” ได้เป็นอย่างดีนั้น นอกเหนือจากแผนด้านต่างๆ ที่ถูกวางรัดกุม 360 องศา นั่นคือ รางวัลความสำเร็จที่ นีโอ ไลฟ์ได้รับ เริ่มตั้งแต่ในปี 2546 ได้รับรางวัล “ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพดีเด่น” ในปี 2552 ผู้บริหารขึ้นรับรางวัลอีกครั้งในรางวัล “สร้างงาน สร้างอาชีพ จากธุรกิจเครือข่ายดีเด่น” ในปี 2553 รับรางวัล “สร้างงาน สร้างอาชีพอย่างยั่งยืน” โดยมีนายอภิสิทธ์ เวชชาชีวะ ซึ่งในขณะนั้นดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรี เป็นผู้มอบ
และล่าสุด บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ยังได้รับรางวัลอันทรงเกียรติอีกครั้ง ในงานสมาคมช่างภาพข่าวสื่อมวลชนประจำปี 2554 ถึง 2 รางวัล คือ “คืนชีวิตใหม่สู่สังคมไทย” และรางวัล “นักบริหารหญิงยอดเยี่ยม” ซึ่งผู้ที่ได้รับรางวัลหลังคือ คุณรัชนี มหานิยม ประธานบริหารฝ่ายสมาชิกของบริษัทฯ ผู้ที่สร้างแบรนด์เครื่องสำอาง “เพียวเซ็นเต้” นั่นเอง!...มาจับตาดูกันว่า ขายตรงพันธุ์ไทยที่ชื่อ “นีโอ ไลฟ์” จะสามารถผงาดขึ้นมาได้ตามเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ ซึ่งระยะเวลาคือเครื่องพิสูจน์เท่านั้น

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 313 ประจำวันที่ 1-15 กุมภาพันธ์ 2555

วันพฤหัสบดีที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555

บก.ปคบ. นำทีมบุกลาดพร้าว ชี้ผิด ‘เยส ไอ แคน’ ไม่จดบริษัทสคบ.

กก. 1 บก.ปคบ. นำทีมทำงานภาคปฏิบัติ บุกตรวจค้น “บริษัท เยส ไอ แคน คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด” บริเวณห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว หลังเฝ้าติดตามข้อมูลร่วม 4 เดือน ชี้ความผิดไม่จดทะเบียนเป็นบริษัทขายตรงกับ สคบ. แต่ประกอบการรูปแบบขายตรง ยึดสินค้า/เอกสาร ตรวจหลายรายการ

เมื่อวันที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2555 พ.ต.ท.สุรพันธ์ มั่นคงดี รองผู้กำกับ กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ได้นำกำลังตำรวจบุกตรวจค้น “บริษัท เยส ไอ แคน คอร์ปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด” ตั้งอยู่เลขที่ 2539 อิมพีเรียลเวิลด์ ลาดพร้าว ชั้น 3 ตามหมายค้น

โดยมี พ.ต.ท. พีรวัส อุดมทรัพย์ สารวัตร กองกำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ร่วมในการตรวจ ซึ่งได้เปิดเผยต่อสื่อมวลชนว่า “ในการบุกเข้าตรวจค้นในครั้งนี้ เป็นการตรวจค้นบริษัท เนื่องจากมีผู้เข้าร้องเรียนในช่วงก่อนหน้า ว่าบริษัทดังกล่าวไม่มีการจดทะเบียน เป็นบริษัทขายตรงกับทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.”

“ซึ่ง บริษัท เยส ไอ แคนฯ นี้ มีการจดทะเบียนบริษัทกับกรมพัฒนาการธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์ เพียงอย่างเดียว โดยไม่มีการจดทะเบียนเป็นบริษัทขายตรงกับ สคบ. ตามพ.ร.บ. ขายตรงและตลาดแบบตรง ทั้งที่ในการจดทะเบียนกับกรมพัฒนาการธุรกิจฯ มีการระบุว่า วัตถุประสงค์ในการเปิดบริษัทต้องการที่จะประกอบการธุรกิจในรูปแบบขายตรง” พ.ต.ท.พีรวัส เผย

โดยในข้อมูลการจดทะเบียนของบริษัท ที่ได้จดแจ้งกับกรมพัฒนาการธุรกิจระบุทุนการจดทะเบียนไว้ที่ 1 ล้านบาท มีคณะกรรมการ 2 ท่านคือ น.ส.อรณิชชา หมื่นภักดี และนายวรเชษฐ์ หะยีอาลี ลงวันที่ 24 มิถุนายน 2554

“หลังจากที่มีการจดทะเบียนบริษัทในเดือนสิงหาคม ทางเยส ไอ แคน ก็เริ่มตั้งบริษัทที่อิมพีเรียล ลาดพร้าว เปิดดำเนินการมาตั้งแต่เดือนส.ค.2554 ซึ่งหลังจากนั้น ก็มีผู้ร้องเรียนมายัง บก.ปคบ. โดยเจ้าหน้าที่ก็ได้เริ่มทำการตรวจสอบเมื่อช่วงปลายเดือนกันยายน ซึ่งมีการติดต่อไปยัง สคบ. และพบว่า บริษัทดังกล่าวยังไม่มีการ จดแจ้งเป็นบริษัทขายตรงกับทางสคบ.แต่อย่างใด” พ.ต.ท. พีรวัส กล่าว

โดย พ.ต.ท.พีรวัส ยังกล่าวต่อว่า “ในการเข้าตรวจค้นตามหมายศาลในครั้งนี้ พบ น.ส.อรณิชชา หมื่นภักดี ที่มีชื่อเป็นกรรมการของบริษัทในการยื่นจดทะเบียนเปิดบริษัทกับกรมพัฒนาธุรกิจฯ แต่เจ้าตัวอ้างว่าไม่ทราบเรื่องว่า บริษัทได้จดทะเบียนเป็น ขายตรงหรือไม่อย่างไร เนื่องจากตนเป็นเพียงพนักงานของบริษัท จึงไม่ทราบเรื่องต่างๆ ที่ตำรวจได้ยื่นมาให้ทราบข้อกล่าวหา อีกทั้ง นายวรเชษฐ์ หะยีอาลี ซึ่งเป็นกรรมการอีกคนก็ไม่อยู่ เนื่องจากเดินทางไปต่างจังหวัด”

อย่างไรก็ดี ในการตรวจค้นในครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ยึดสินค้าของบริษัท ที่พนักงานอ้างว่าเป็นสินค้าทดลอง ที่ยังไม่มีการจำหน่ายแต่อย่างใดกลับมาเพื่อตรวจสอบว่า มีการจำหน่ายไปแล้วหรือไม่อย่างไร และสินค้าต่างๆ ที่บริษัทเก็บไว้เหล่านี้ ผ่าน การอนุญาตจากทางอย.แล้วหรือไม่ ซึ่งมีอยู่ ด้วยกันทั้งหมด 5 รายการสินค้า ซึ่งจะเป็น ในส่วนของผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง และสินค้าเสริมอาหารพืช ที่ใช้ในทางการเกษตร

นอกจากนี้ ในการตรวจค้นของเจ้าหน้าที่ ยังพบใบสมัครสมาชิก ใบแสดงข้อมูล ผลิตภัณฑ์ ใบรายการราคาสินค้า ซึ่งแสดง ราคาสินค้าในการขาย และคะแนนที่จะได้รับหลังซื้อสินค้า โดยในใบดังกล่าว มีรายการ สินค้าอยู่ทั้งหมด 16 รายการ และ 4 รายการ เป็นสินค้าชุดสมัคร รวมแล้วมีทั้งหมด 20 รายการสินค้า ซึ่งในส่วนของสินค้าชุดสมัคร นี้ มีการระบุราคาไว้ที่ 350 บาท เลือกหนึ่ง ชุดอย่างใดอย่างหนึ่งในการสมัคร นอกเหนือ จากเอกสารที่กล่าวมา ในการตรวจค้นของ เจ้าหน้าที่ ยังพบใบแสดงแผนการตลาดของ บริษัทอีกด้วย

ในการตรวจค้นดังกล่าว พ.ต.ท.พีรวัส ได้กล่าวต่อว่า “ในความผิดเบื้องต้นของ บริษัท เยส ไอ แคนฯ คือ การไม่จดทะเบียน บริษัทเป็นธุรกิจขายตรงกับทางสคบ. แต่มีการเปิดตั้งสำนักงาน ถึงแม้ว่าพนักงานของ บริษัทจะอ้างว่าบริษัทยังไม่มีการจำหน่ายสินค้า หรือรับสมัครสมาชิกก็ตาม แต่ทางเจ้าหน้าที่ไม่ปักใจเชื่อ เนื่องจากเมื่อดูจากระยะเวลาที่เปิดสำนักงานมา จนถึงบัดนี้รวม แล้ว 5 เดือน จึงต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จ จริงกันต่อไป”

ในการตรวจค้นครั้งนี้ ทางเจ้าหน้าที่ได้ทำการยึดเอกสารบางอย่างของบริษัทไว้ เพื่อทำการตรวจสอบ และได้เชิญ น.ส.อรณิชชา หมื่นภักดี ไปที่กองบก.ปคบ. เพื่อรับ ทราบข้อกล่าวหา และติดต่อผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้าให้การต่อไป

ทั้งนี้ พ.ต.ท.พีรวัส อุดมทรัพย์ ยังได้เผยถึงการทำงานว่า ในกรณีของ บริษัท เยส ไอ แคนฯ นี้ ทางเจ้าหน้าที่ ได้รับเรื่องร้องเรียนมา จึงได้ทำการยื่นเรื่องตรวจสอบไปที่ ทางสคบ. เมื่อวันที่ 30 กันยายน 2554 และ ได้ใช้เวลาในการสืบข้อมูลรวบรวมหลักฐานร่วม 4 เดือนจึงได้ทำการขออนุมัติหมาย ศาลในการบุกตรวจค้นดังที่กล่าวมา

“ซึ่งในช่วงต้น ยังไม่แน่ใจว่า ในการเอาผิดจะออกมาในรูปแบบใด ซึ่งคงเป็นเรื่อง ของคดี โดยอาจเป็นการปรับตามวันเวลาที่เปิดบริษัทซึ่งยังไม่มีการจดทะเบียนเป็นบริษัทขายตรงกับสคบ. โดยที่ทางบริษัท เยส ไอ แคนฯ อ้างว่าในเดือนมกราคมนี้จะได้รับ การอนุญาตจากทางสคบ. ซึ่งในตอนนี้ ก็จะ เป็นการสั่งหยุดกิจการชั่วคราวก่อน หลังจาก ที่คดีคืบหน้าไปกว่านี้ จึงจะสามารถยืนยันเอาผิดอีกครั้ง” สารวัตรกอง กก.1 เผย

อ้างอิง : นสพ. สยามธุรกิจ

แฮ็ปปี้ เอ็มพีเอ็ม เปิดแผนที่ ปักธงโมบายทุกอำเภอปั้นแบรนด์

"แฮ็ปปี้ เอ็มพีเอ็ม" ครวญ ยอดขายปีที่ผ่านมาไม่เป็นอย่างฝัน เหตุสินค้า หัวหอกทางการเกษตรโดนพิษน้ำท่วมเล่น งาน ส่งผลให้ยอดขายรวมปลายปีลดฮวบ 20% ปี 55 ฟ้าใหม่เตรียมใช้แผนขยายธุรกิจ ภายใต้นโยบาย หนึ่งอำเภอ หนึ่งโมบาย มั่นใจแผนนี้ สามารถสร้างยอดขายเพิ่มขึ้นจากเดิมได้ 100%

นายพีรพงษ์ หลังปูเต๊ะ กรรมการบริหาร บริษัท แฮ็ปปี้ เอ็มพีเอ็ม จำกัด เปิดเผยกับ "สยามธุรกิจ" ว่า ยอดขายโดย รวมของบริษัทในปีที่แล้วต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ถึง 20% เพราะแผนการดำเนินงานสำคัญหลายอย่างของบริษัทต้องหยุดชะงักไป เนื่องจากปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงปลายปี 2554

"ลูกค้าที่ใช้สินค้าทางการเกษตรส่วนใหญ่ของบริษัทอยู่ในพื้นที่ซึ่งได้รับความ เสียหายโดยตรง บริษัทจึงได้รับผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งจากการประเมินความเสียหาย ในช่วงนั้นพบว่ายอดขายของ บริษัทลดลงถึงประมาณ 35-40%"

ทั้งนี้ แม้บริษัทจะต้องเผชิญกับเหตุการณ์ ไม่คาดฝันอย่างกรณีอุทกภัยครั้งประวัติศาสตร์ ดังกล่าว แต่บริษัทก็ไม่คิดที่จะท้อถอย หรือ นำสิ่งไม่ดีมาใส่ใจ เพราะในปีนี้ แฮ็ปปี้ เอ็มพีเอ็ม ยังคงนโยบายการรุกตลาดเครือข่าย อย่างต่อเนื่อง คือภายในปี 55 บริษัทมี นโยบายหลักที่จะเน้นการขยายธุรกิจ ด้วยการสร้างหุ้นส่วน เปิดโมบายทั่วประเทศ

"เพราะในอดีตบริษัทจะมีแต่ผู้ขาย ส่วนผู้ขยายเครือข่ายค่อนข้างมีน้อยมาก ซึ่งแผนการดำเนินงานที่วางไว้บริษัทจะกำหนด ให้หนึ่งอำเภอต้องมีโมบายของแฮ็ปปี้ เอ็ม-พีเอ็ม อย่างน้อยหนึ่งโมบาย ซึ่งหากนโยบาย ดังกล่าวเป็นไปตามวัตถุประสงค์ เชื่อว่าในส่วนของยอดขายน่าที่จะเติบโตเพิ่มขึ้นกว่าเดิมถึงเท่าตัว หรือ 100% เต็ม" นายพีรพงษ์กล่าว

ส่วนแผนงานในเรื่องของสินค้า บริษัท กำหนดไว้ว่าปีนี้ เราจะนำสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดประมาณ 2 กลุ่ม ส่วนแรกจะเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับเครื่องยนต์ เพื่อรองรับกับอุปกรณ์เครื่องยนต์รุ่นใหม่ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องยนต์ที่ใช้ระบบคอมมอนเรล หรือใช้ระบบก๊าซเอ็นจีวีในการขับเคลื่อน ส่วนกลุ่ม สินค้าอีกชนิดหนึ่ง ก็คือ ผลิตภัณฑ์ Slack ซึ่งเป็นสินค้าในกลุ่มลดน้ำหนัก ที่จะนำมาโมดิฟายใหม่ เพิ่มคุณภาพ และเปลี่ยนรูปลักษณ์ เพื่อดึงดูดใจสมาชิก

ขณะเดียวกันในเรื่องของแผนโปรโมชั่น ในปีนี้บริษัทกำหนดว่า ในช่วงครึ่งปีแรก เราจะนำสมาชิกไปท่องเที่ยวหลายประเทศ ด้วยกัน ซึ่งประเดิมประเทศแรกในปลายเดือน มกราคมนี้ด้วยการนำสมาชิกทัวร์ลาวใต้ ถัดจากนั้นในช่วงเดือนพฤษภาคม บริษัทจะขนขบวนสมาชิกท่องเที่ยว 3 ประเทศดัง กล่าวไม่ว่าจะเป็น ฮ่องกง มาเก๊า และ เสิ่นเจิ้น ประเทศจีน ส่วนผู้ที่เปิดโมบายใหม่ เมื่อ ซื้อสินค้าครบตามที่บริษัทกำหนด จะมีการแถมสินค้าพิเศษให้ เช่น ซื้อสินค้าครบ 4 ชิ้น ได้สินค้าราคาพิเศษ 1 ชิ้น เพราะนอกจากสมาชิกจะได้ซื้อสินค้าราคาประหยัดแล้ว ยังถือเป็นการโปรโมตโมบายไปด้วยในตัว

นายพีรพงษ์ ยังเผยถึงแผนการทำงาน ภายในปีนี้ต่อไปอีกว่า ในส่วนของการฝึกอบรมนั้น ขณะนี้บริษัทได้นำเอาหลักสูตรเดิม ที่เคยมีอยู่แล้วนำมาปรับปรุงใหม่ พร้อมๆ กับเติมเต็มหลักสูตรใหม่เข้ามาเสริมองค์ความรู้ด้วย ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีหลักสูตรเส้น ทางรวยเพิ่มเติมเข้ามา โดยจะบ่งบอกถึงการ ทำงานในแฮ็ปปี้ เอ็มพีเอ็ม ให้ประสบความ สำเร็จและสร้างความร่ำรวยในอนาคตนั้นทำอย่างไร ซึ่งบริษัท ได้มีการเขียนโปรแกรม ขึ้นมาใหม่และจัดอบรมใหม่เพื่อหลักสูตรนี้โดยเฉพาะ โดยบริษัทคาดว่าจากแผนงานดังกล่าวจะสามารถดึงดูดใจให้ประชาชนเข้าร่วมเป็นสมาชิกของ แฮ็ปปี้ MPM ได้ 100%

อ้างอิง : นสพ. สยามธุรกิจ

เปิดผลงานไต่ฝันยักษ์ใหญ่ชิงพื้นที่TOP 10 อันดับขายตรง



ช่วงปี 2554 ที่ผ่านมา หลายท่านคงกำลังเฝ้ารอติดตามว่า ยอดขายของบริษัท ใด จะสร้างความฮือฮาให้กับวงการได้บ้าง ซึ่งทีมข่าว “สยามธุรกิจ” จึงได้ทำการรวบรวมข้อมูลนำเสนอความน่าจะเป็นในส่วนของรายรับระดับท็อปเทนประจำปีกระต่าย เพื่อเป็นการเรียกน้ำย่อย ในช่วงพ.ศ.แห่งวิกฤตการณ์ที่ผ่านมา

>> “แอมเวย์” กอดเก้าอี้แน่น

บริษัทขายตรงแบรนด์แรกที่ น่าจับตามอง คงเป็นใครอื่นไม่ได้ นอกเสียจาก “บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด” ซึ่งจากที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า “แอมเวย์” เปรียบเสมือนพี่บิ๊กของวงการ เนื่องจากยอด ขายที่ครองความเป็นเบอร์หนึ่งมาอย่างยาวนานหลายปีติดต่อกัน และ การเป็นแบรนด์ที่ประชาชนทั่วไป รู้จักกันมากที่สุด เมื่อถามถึงบริษัทขายตรง

“แอมเวย์” มีการวาดความฝันชิ้นโตมาโดยตลอดในทุกปี และทุกความฝันที่ผุดขึ้นดูจะเป็นเรื่องจริงมา โดยตลอด ซึ่งในปลายปีนี้ก็เช่นกันที่บริษัทได้ตั้งเป้ามาตั้งแต่เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ว่า ปี 2555 บริษัทจะสามารถทำยอด ขายให้ถึง 2 หมื่นล้านให้จงได้

แต่ที่สุดจะเป็นอย่างไรคงต้องคอยดูผลงานของ “กิจธวัช ฤทธีราวี” แม่ทัพคนใหม่ของบริษัท ที่ขึ้นมาแทน ตำนานของบริษัทอย่าง “ปรีชา ประกอบกิจ” ที่ลงจากตำแหน่งด้วยเรื่องของการเกษียณไปเมื่อวันที่ 31 ธ.ค. 2554 ที่ผ่านมา ส่วนยอดขายในปีนี้ แอมเวย์น่าจะปิดยอดขายหรูที่ 1.5 หมื่นล้านบาท โตจากปีก่อนประมาณ 10% เมื่อเทียบกับปี 54 ที่ปิดไว้ที่ 14,370 ล้านบาท

>> “กิฟฟารีน” ไหวตัวหนีน้ำได้ผล

หมายเลข 2 คงไม่มีการขยับเปลี่ยนชื่อ “บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด” ยังน่าจะเป็นเบอร์ 2 ต่ออีกปี เนื่องจากแม่ทัพหญิงอย่าง “พ.ญ.นลินี ไพบูลย์” หรือที่รู้จักกันในวงการอย่าง “หมอต้อย” นับเป็นผู้นำหญิงที่ดูจะมีความสามารถไม่แพ้ผู้บริหารชายเก่งๆ เลย เมื่อดูจากผลงาน ช่วงหลายปีที่ผ่านมาของบริษัท

“กิฟฟารีน” ใช้กลยุทธ์ Gift for Life หรือที่เรียกว่า การส่งต่อความสุขมาตั้งแต่ช่วงปี 2553 และดูว่าแคมเปญการให้ของบริษัทดูจะเป็นตัวสร้างแบรนด์ที่ดี ซึ่งผู้บริหารหญิง ได้ใช้กลยุทธ์ดังกล่าวหาเสียงผ่านทาง สื่อต่างๆ อย่างได้ผล ผู้คนหลงเสน่ห์การให้ หลั่งไหลเข้ามาร่วมธุรกิจกันอย่างหนาตา

อย่างไรก็ดี ในวิกฤติน้ำท่วมปลายปีก็ได้พิสูจน์ความฉกาจของผู้นำหญิงท่านนี้ โดยทำการย้ายโรงงานที่ตั้งอยู่ในนิคมนวนคร มาผลิตสินค้าที่นิคมอมตะ เพื่อรักษายอดการผลิตได้ อย่างทันท่วงที ทำให้ความฝัน 5.5 พัน ล้านในปีนี้ของ “กิฟฟารีน” ไม่น่าจะพลาดเป้าไปไกล บวกลบดูแล้วน่าจะเติบโตอยู่ที่ 10% เมื่อเทียบกับ 4,912 ล้านบาทในปี 53

>> “ซูเลียน” มาเงียบๆ มาเรื่อยๆ

ดูเป็นบริษัทขายตรงที่ไม่ค่อยจะออกสื่อมากนัก สำหรับ “บริษัท ซูเลียน (ประเทศ ไทย) จำกัด” แต่แบรนด์ขายตรงนามนี้ ก็ถือว่าเป็นแบรนด์ที่ค่อนข้างได้รับความนิยม จากคนไทย อีกทั้งยังเป็นที่รู้จักกันในวงกว้างพอสมควร จากการใช้สื่อป้ายโฆษณา และการผุดศูนย์สาขา ทำให้ “ซูเลียน” กลายเป็นแบรนด์ขายตรงที่เกาะพื้นที่ 1 ใน 5 ของวงการขายตรงได้อย่างต่อเนื่อง

แม้ในวิกฤติน้ำท่วมที่ผ่านมา บริษัทจะถูกปิดกั้นอย่างเบ็ดเสร็จ เนื่องจากอยู่ใน พื้นที่บางบัวทอง แต่ดูเหมือนไม่ได้ทำให้บริษัท ขายตรงนามนี้สะดุดในส่วนของยอดขายมากนักจากปี 53 ที่ปิดยอดขายไว้ที่ 4.4 พัน ล้านบาท มาปีนี้การเติบโตแตะ 5 พันล้าน บาท ของ “ซูเลียน” ไม่น่าจะเป็นเรื่องเกินไปนัก

>> “นีโอ ไลฟ์” ไต่ระดับ

ปี 54 ที่ผ่านมา นับเป็นปีทองปีหนึ่ง ของ “บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” เพราะดูจากความยิ่งใหญ่ของแบรนด์ ขายตรงนามนี้ ที่ฉายตัวอยู่คู่กับสื่อมาตลอด ทั้งจากทีวี สิ่งพิมพ์ และสื่ออื่นๆ โดย “ดร. นพรุจ เวชกุล” จัดว่าเป็นผู้บริหารที่สร้าง “นีโอ ไลฟ์” ให้เติบโตอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ไต่อันดับของวงการอย่างต่อเนื่อง ในทุกปี

การทำตลาดของบริษัทเน้นในเรื่องของการกระจายศูนย์สาขา การวางระบบ เทรนนิ่งถี่ยิบ เพื่อสร้างนักขายที่มีประสิทธิภาพ บวกการจัดงานประดับเข็มที่พร้อมให้ในทุกครั้งที่จุดพลุงานในแต่ละเดือน ซึ่ง รวมไปถึงการสร้างภาพลักษณ์ผ่านสื่อ ทำ ให้ขายตรงแบรนด์นี้ไม่น่าจะมียอดขายที่น้อย กว่าความฝัน 3.5 พันล้านบาทไปได้ ส่วนในเรื่องของอันดับคงไต่มาอยู่ในที่ 4 ได้ไม่ยาก

>> “เอมสตาร์” เน้นตลาดนอก

“บริษัท เอมสตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด” ผู้สร้างสถิติทำให้วงการขายตรงบ้านเราได้ สั่นสะเทือนเมื่อปี 53 โดยสามารถปิดยอด ขายในชนิดก้าวกระโดด เติบโตจากปี 52 ถึง 150% แตะตัวเลข 4,901 ล้านบาท ด้วย กลยุทธ์การสร้างสีสันให้วงการ รวมถึงการ จัดงาน The winner ที่ระเบิดขึ้นในทุกเดือน ทำให้แบรนด์ไทยรายนี้ กลายเป็นบทพิสูจน์ให้เห็นว่า คนที่ฝันใหญ่เท่านั้น ที่ จะยิ่งใหญ่

โดยเป้าหมายในปีนี้ของ “ท.ญ.ลพา วัชรศรีโรจน์” ยังอยู่ที่ตัวเลข 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายหลักของบริษัทมาโดยตลอด แต่เมื่อดูจากกระแสในปีที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า “เอมสตาร์” ภายใต้การนำทัพของหญิงแกร่งผู้นี้ ดูจะไม่ครึกครื้นเหมือนปีก่อนๆ โดยบริษัทเน้นไปที่การขยาย สู่โลกสากลเป็นหลัก ซึ่งมีอเมริกาเป็นพื้นที่ หลักแห่งใหม่ของแบรนด์ ทำให้ยอดขายใน ไทยน่าจะเติบโตแบบเป็นขั้นบันไดมากกว่า โตในชนิดก้าวกระโดดอย่างปีก่อนๆ ที่ผ่านมา

>> “นู สกิน” จับสาวกลัวแก่เห็นผล

อีกแบรนด์ที่มีผู้บริหารเป็นผู้หญิง “บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศ ไทย) จำกัด” ซึ่งแบรนด์ขายตรงนามนี้ จัด ว่าเป็นแบรนด์ขายตรงที่เน้นในเรื่องของการเป็นเอกในส่วนของความงามสำหรับผู้หญิงเป็นสำคัญ และดูจะมาถูกทางเสียด้วย เมื่อกลุ่มสินค้าชะลอริ้วรอยความชรา อย่าง “เอจ ล็อค” ดูจะเข้าตาหญิงสาว แห่เป็นสมาชิกใช้สินค้ากันทั่วฟ้าเมืองไทย โดย เฉพาะสาวในเมือง

“นู สกิน” เน้นเรื่องของสินค้าเป็นสำคัญ เน้นการทำโรดโชว์แสดงนวัตกรรม สินค้าสร้างแบรนด์ อีกทั้งการสร้างภาพลักษณ์ให้แบรนด์อยู่ในระดับพรีเมี่ยมทำให้ ผู้คนที่เดินเข้ามา มีกำลังซื้อพอที่จะทำให้ยอดขายของบริษัทเติบโตขึ้นจากปีที่ผ่านมาประมาณ 500 ล้านบาท จากเดิมที่ปิดตลาดปี 53 ไว้ที่ 2 พันล้านบาท ปี 54 คง ไม่น่าจะน้อยกว่า 2.5 พันล้านบาทเป็นแน่

>> “คังเซน-เคนโก” ทรงตัว

ถึงแม้การจากไปของผู้สร้าง “บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” อย่าง “คมศักดิ์ธนา อำพันธ์ยุทธ์” จะเกิด ขึ้น แต่ด้วยการขึ้นมาแทนของ “อิทธิศักดิ์ อำพันธ์ยุทธ์” ก็น่าจะเป็นตัวแทนที่เหมาะสมที่จะทำให้แบรนด์ขายตรงพันธุ์ไทยรายนี้ น่าจะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 2 พันล้าน บาท ถึงแม้การเติบโตจะไม่มากนัก การทรงตัวถือว่าดีกว่า

“คังเซน-เคนโก” นับเป็นแบรนด์ไทยที่สร้างชื่อเสียงในเรื่องของการส่งต่อรายได้สู่ลูกหลานได้อย่างเป็นรูปธรรมแบรนด์ขายตรงรายนี้จึงได้รับการตอบรับ เป็นอย่างดีในช่วงกว่า 18 ปีที่ผ่านมา โดย บริษัทเครือข่ายรายนี้ พยายามใช้นวัตกรรม สินค้าเสริมอาหารเป็นตัวชูโรงในการสร้าง ยอดขายอย่างต่อเนื่อง

>> J&C ใช้จอยมาร์ทอัพยอดขาย

คงคุ้นหูกันในชื่อของ “เจริญโอสถ” สำหรับ “บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด” ที่มี “ดร.สมชาย หัชลีฬหา” ผู้สร้างตำนานขายตรงสะดวกซื้อของเมืองไทย “จอย แอนด์ คอยน์” นับเป็นแบรนด์ขายตรงที่อยู่ในวงการมาอย่าง ยาวนาน เน้นกลยุทธ์หลักในส่วนของการ เป็นขายตรงสะดวกซื้อ

การขายสินค้าในรูปแบบคล้ายกับมินิมาร์ต โดยใช้ชื่อว่า “จอย มาร์ท” นับเป็นอาวุธที่บริษัทเน้นย้ำต่อผู้บริโภคสร้าง จุดขายให้แบรนด์ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งบริษัทยังต้องการที่จะทำให้มินิมาร์ตของตัวเองนี้ ก้าวขึ้นแย่งลูกค้าในห้างใหญ่ที่กระจายตัวอยู่ทั่วเมือง โดยยอดขายในปีนี้ น่าจะแตะที่ 2 พันล้านบาท จากปีก่อนที่ปิดไว้ที่ 1.5 พันล้านบาท

>> “ยูนิซิตี้” ยังเกาะกลุ่ม

มองข้ามไม่ได้สำหรับอดีตแบรนด์ม้ามืดเมื่อหลายปีก่อน อย่าง “บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด” ที่มี “มร.คริสโตเฟอร์ คิม” นั่งดูแลกุมบังเหียน โดยบริษัทขายตรงค่ายนี้ ตั้งแต่เปิดบริษัท ขึ้นมาก็พยายามสร้างกระแส กวาดนักขาย กลุ่มคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี จนสามารถก้าวขึ้นมายืนอยู่ในระดับท็อปของกลุ่มบริษัทขายตรง และดูจะสามารถเกาะตาราง ท็อปเทนได้อย่างเหนียวหนึบ

ยูนิซิตี้ เน้นการสร้างระบบเทรนนิ่ง สร้างผู้นำขึ้นมากวาดยอดขายเป็นหลัก โดยไม่สนว่าบริษัทใดจะเข้ามาขย่มเก้าอี้หนึ่งในบริษัทผู้นำ โดยยอดขายปี 54 น่าจะเป็นอีกแบรนด์ที่จะสามารถเกาะยอดขาย 2 พันล้านบาท ยืนทรงตัวจากปี 53 ได้อย่างแน่นอน

>> “อาวียองซ์” ย้ำพรีเมี่ยมแบรนด์ปั่นรายรับ

บริษัทสุดท้ายที่น่าจะเป็นแบรนด์ ท็อปเทน ก็ไม่น่าจะหนีค่าย “อาวียองซ์” ค่ายขายตรงแบรนด์ในเครือกลุ่ม “ยูนิลีเวอร์” ซึ่งค่ายขายตรงแบรนด์นี้ เน้นสินค้าในกลุ่มพรีเมี่ยม ลูกค้าส่วนใหญ่เป็น กลุ่มคนชั้นกลางถึงบน สร้างแบรนด์ด้วยกิจกรรมทางสังคม เพื่อชูภาพลักษณ์ของตัวเอง

“อาวียองซ์” มีวิธีการสร้างผู้นำด้วยระบบเทรนนิ่งที่มีไม่เว้นแต่ละวัน ทุนของบริษัทคงไม่ต้องกล่าวถึง เนื่องจากมีฐานบริษัทแม่ที่ใหญ่ การทำตลาดจึงอยู่ที่ให้สินค้าขายตัวเอง ผ่านนักขายที่ผ่านการ เทรนนิ่งมาเป็นอย่างดีโดยยอดขายไม่น่าจะต่ำกว่า 1.5 พันล้านบาท

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1269 ประจำวันที่ 25-1-2012 ถึง 27-1-2012

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

MonaVie Blast Off 2012



บริษัทโมนาวีขอเรียนเชิญผู้แทนจำหน่ายประเทศไทยทุกท่านเข้าร่วมงาน “MonaVie Blast off 2012!” เพื่อเปิดศักราชปีใหม่ของธุรกิจของท่านให้พุ่งไปสู่ความสำเร็จอย่างรวดเร็ว มาร่วมเป็นสักขีพยานและรับฟัง “วิสัยทัศน์ที่เปลี่ยนชีวิต” ซึ่งนำมาสู่แผนการสนับสนุนการเติบโตและขยายตัวของธุรกิจของท่านในปีใหม่นี้ โดยจะมีข่าวสารและนโยบายที่น่าตื่นเต้นจากบริษัท ที่จะช่วยให้ท่านเข้าใจถึงบทบาทสำคัญและความโดดเด่นของบริษัทโมนาวีใน อุตสาหกรรมธุรกิจเครือข่ายของโลก!

ทั้งนี้จะมีการประกาศโปรโมชั่นใหม่ที่จะทำให้ทุกท่านตื่นเต้นและร่วมทำ คุณสมบัติเพื่อรางวัลที่คุ้มค่า และที่ดีมากยิ่งขึ้นไปกว่านั้น บริษัทจะให้โอกาสท่านได้ใช้คะแนนที่ท่านสะสมตั้งแต่วันที่ 15 ม.ค.ที่ผ่านมา มานับรวมในการทำคุณสมบัติของโปรโมชั่นใหม่ที่จะประกาศในงานอีกด้วย! สำหรับผู้ที่ผ่านคุณสมบัติของโปรโมชั่นขึ้นตำแหน่ง Gold ที่ผ่านมา บริษัทขอเชิญท่านรับมอบรางวัล iPad2ได้ในงานนี้เช่นกัน!

อย่าพลาดโอกาสที่จะเป็นผู้ร่วมรับฟังเรื่องราวดีๆมากมายที่บริษัทได้เตรียมไว้ในงาน MonaVie Blast Off 2012 ที่เดียวเท่านั้น!

วันจัดงาน : อาทิตย์ที่ 29 มกราคม 2555
เวลา : 13.00 – 15.30 น. (เริ่มลงทะเบียน 12.30 น.)
สถานที่ : ห้อง บอลรูม โรงแรม คอนราด กรุงเทพ (Conrad Bangkok) ถ.วิทยุ เขตปทุมวัน

สามารถติดต่อขอรับบัตรเข้ารวมงาน จากผู้นำของท่านหรือติดต่อที่สำนักงานชั่วคราวบริษัทโมนาวี ชั้น 1A ตึกเทรนดี้ ซ.สุขุมวิท 13 ได้ ระหว่างเวลาทำการ 10.00-18.00 น. ตั้งแต่วันพุธที่ 18 ม.ค. ถึง วันศุกร์ที่ 27 ม.ค. ศกนี้

วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555

‘ดาวปูแดง’ มองเกมข้ามปี ออกตัวชิงพื้นที่ค้าเสรีอาเซียน



“ดาวปูแดง” แบรนด์ขายตรงทางการเกษตร เปิดยุทธศาสตร์รับมือชิงพื้นที่ตลาดอาเซียน เล็งพื้นที่เป้าหมายใหญ่ ตลาดอินโดนีเซีย แถมขณะนี้ยังมุ่งมั่นเตรียมการ หวังเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ แม้ปี 54 จะปิดยอด ขายเพียง 200 ล้านบาท มั่นใจปลายปี 55 ได้ป้ายชื่อเป็นมหาชน เชื่อมั่นหากรัฐบาลสนับสนุนตลาดปุ๋ยอินทรีย์ บริษัทมีโอกาสได้เค้กก้อนโตพันล้าน

นายเชน ใจซื่อ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นิวตริริช จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายปุ๋ยอินทรีย์ “ดาวปูแดง” และผลิตภัณฑ์การเกษตรแบบครบวงจร เปิดเผยต่อ “สยามธุรกิจ” ถึงภาพรวมของธุรกิจ “ดาวปูแดง” ในปี 2554 ที่ผ่านมาว่า “ในปีที่ผ่านมา ปัญหาใหญ่สุดที่บริษัท ต้องเผชิญ คือ กรณีอุทกภัยครั้งใหญ่ ซึ่งกระทบต่อแผนการดำเนินงานต่างๆ มากมาย ทำให้ยอดขายในช่วงนั้นไม่โตตามเป้าหมาย แต่อย่างไรก็ดี ยอดขายก็ไม่ได้ตกมากนัก ซึ่งผลสรุปในช่วงปลายปีบริษัทสามารถปิดยอดการขายได้ที่ 200 ล้านบาท เติบโต ขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 10%”

ส่วนแผนกลยุทธ์ในปี 55 นั้น นายเชน กล่าวว่า บริษัทมุ่งมั่นเตรียมการ เพื่อสร้างธุรกิจการเกษตรให้ครบวงจร เนื่องจากดาวปูแดงเติบโตจากเรื่องการ เกษตร ดังนั้นจึงต้องทำจุดนี้ให้ดีที่สุด โดยปี 2555 นี้บริษัทจะเน้นการสร้างนวัตกรรมทางสินค้าที่แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร โดยเริ่มต้นประเดิมตัวแรกด้วยการนำเข้าผลิตภัณฑ์ ใหม่จากเยอรมนี ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับ ฮอร์โมนพืช ที่ชื่อว่า Oxin ซึ่งตนคาดว่าสินค้าตัวนี้จะเป็นสินค้าที่สร้างความฮือฮา ได้อีกครั้งหนึ่งอย่างแน่นอน

“ส่วนแผนงานถัดไป อันถือเป็นนโยบายสำคัญที่สุดของบริษัทในปีนี้ คือ การตั้งเป้าเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ และเตรียมความพร้อมเพื่อการเข้าสู่ตลาดอาเซียน โดยนโยบายเพื่อเข้าเป็นบริษัทมหาชนนั้น ขณะนี้ดาวปูแดงกำลังเตรียมความพร้อมต่างๆ เพื่อให้เข้ากับหลักเกณฑ์ ของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งตนมั่นใจว่าไม่เกินปีหน้าบริษัทก็น่าจะจดทะเบียนเป็นมหาชนได้อย่างแน่นอน”

“โดยส่วนการเตรียมความพร้อมเพื่อเข้าสู่ตลาดอาเซียนนั้น ขณะนี้บริษัทก็ประเดิมแผนงานแรก ด้วยการจัดเตรียม การเปิดตัวบูธดาวปูแดงในงานแมตชิ่งธุรกิจแฟรนไชส์ ซึ่งจะจัดขึ้นที่ไบเทคบางนา ประมาณปลายเดือนมกราคมนี้ มีมูลค่า บูธจัดแสดงประมาณ 2 แสนบาท โดยบริษัทได้จัดเตรียมทีมงานที่สามารถพูดภาษาจีน ภาษาอังกฤษไว้รอรับลูกค้า โดย เฉพาะสมาชิกประชาคมอาเซียน หรือ AEC ที่จะเข้ามาร่วมงาน ซึ่งเป้าหมายที่ตั้งไว้ บริษัทจะมุ่งไปที่ตลาดในประเทศกัมพูชา ลาว และมาเลเซีย เป็นอันดับแรกก่อน อย่างไร ก็ดี บริษัทอาจโชคดีได้เป้าหมายที่ใหญ่กว่านั้น เช่น ตลาดในอินโดนีเซียด้วย ซึ่งเรื่อง นี้คงต้องรอดูกันต่อไป” นายเชน กล่าว

ทั้งนี้ ด้านการขยายสาขาภายในประเทศ นายเชน เปิดเผยว่า จริงๆ แล้ว ตอนนี้บริษัทเปิดดำเนินการในเรื่องของแฟรนไชส์ 100% แต่การจ่ายเงินปันผล ยัง คงเหมือน MLM อยู่ และในส่วนของสำนักงานขณะนี้บริษัทได้เปิดสำนักงานแห่งใหม่ที่เชียงใหม่ มีมูลค่ากว่าร้อยล้านบาท เมื่อต้นเดือนมกราคมที่ผ่านมา นอกจาก นี้ บริษัทยังได้เตรียมที่จะเปิดตัวในหาดใหญ่ อีกแห่งหนึ่ง ซึ่งจากภาพรวมแผนการดำเนินงานทั้งหมดภายในปีนี้ ทำให้ตนคาดการณ์ว่าบริษัทดาวปูแดง น่าจะมียอด ขายเติบโตขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 10%

นอกจากนี้ นายเชน ยังแสดงทรรศนะ ถึงทิศทางของธุรกิจเกี่ยวกับการเกษตรว่า “จากการที่สินค้าทางการเกษตรมีมูลค่าการตลาดประมาณแสนล้านต่อปี ทำให้ตนเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมเรื่องปุ๋ยเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่นอน เพราะประชาชน ต้องใช้อยู่ตลอด เป็นสินค้ามหาชนที่ประชาชนกลุ่มใหญ่ใช้ และขาดไม่ได้”

อย่างไรก็ดี ถ้ารัฐบาลส่งเสริมปุ๋ยอินทรีย์ แทนปุ๋ยเคมี ตนมองว่าต้องส่งผล ดีต่อบริษัทอย่างแน่นอน เพราะสัดส่วนแสนล้านต่อปี แบ่งเป็นปุ๋ยเคมีประมาณ 90% ปุ๋ยอินทรีย์แค่ 10% ซึ่งปุ๋ยอินทรีย์ 1% คือพันล้านบาท ถ้ารัฐบาลสนับสนุนบริษัท คงได้ส่วนแบ่งการตลาดเพิ่มขึ้น จึงถือว่าดีต่อธุรกิจของดาวปูแดงมาก

ทั้งนี้ หากกล่าวถึงธุรกิจเครือข่ายโดยภาพรวม นายเชนกล่าวว่า “ตนเองมองความเป็นไปได้ของอัตราการเติบโต โดยยึดถือตามหลักสถิติ เพราะเชื่อว่าสถิติ ไม่เคยหลอกใคร ซึ่งที่ผ่านมาสถิติของธุรกิจ เครือข่าย พบว่าบริษัทที่เปิดขึ้นมาใหม่จะสำเร็จประมาณ 5% หรือ 95% หายไปจากตลาด

โดยบริษัทที่จดทะเบียนเปิดบริษัทใหม่ในแต่ละเดือนมีจำนวนมาก ซึ่งในส่วน นี้จะมีอยู่เพียง 5% ที่จะอยู่รอด จากทั้งหมด ที่เปิดขึ้นมา คือ บริษัทไหนที่ดำเนินธุรกิจซึ่งสามารถตอบโจทย์ชีวิตให้แก่ประชาชน ได้อย่างแท้จริง บริษัทนั้นก็จะคงอยู่ตลอด ไป โดยสถิติเหล่านี้จะปรากฏเป็นเส้นกราฟ เช่น ปีที่ 2 ยอดขายของทุกบริษัทจะตกลง มา และเมื่อถึงปีที่ 3 95% ของบริษัทขาย ตรงยอดขายจะกลายเป็นเส้นกราฟแนวนอน แต่ขณะนั้นบริษัทดาวปูแดงมีลักษณะ กราฟเป็นรูปตัวยู แสดงว่าอยู่ได้อย่างแน่นอน เนื่องด้วยบริษัทมีศักยภาพพร้อมที่จะนำ พาสมาชิกไปสู่ความสำเร็จได้อย่างแท้จริง นั่นเอง” นายเชน ให้เหตุผล

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1268 ประจำวันที่ 21-1-2012 ถึง 24-1-2012

‘มิลค์กี้ เวย์’ ชักธงสู่ยอดเสา เดินหน้าแจมเค้กวางระบบเป็นตัวนำ



เปิดศักราชใหม่ “มิลค์กี้ เวย์” เปิดตัวติดป้ายชื่อน้องใหม่รายล่าสุด วางสินค้า 25 รายการ 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์นำทัพ พร้อมวางระบบ เป็นตัวนำ ชี้ต้องการเข้ามา สร้างมิติใหม่ให้วงการ ย้ำชัดฐานแน่นไม่มีเปิดแล้วปิด ชี้ปีแรกขอ 100 ล้านบาท แผนระยะยาวแถวหน้าขายตรงไทย

คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ธุรกิจขายตรง ในปัจจุบันเป็นธุรกิจที่ได้รับความนิยมเพียง ใด ซึ่งในวงการนี้ จัดได้ว่าเป็นธุรกิจที่มีเงิน หมุนเวียนเปลี่ยนมืออยู่ไม่น่าจะน้อยกว่า 1 แสนล้านบาท และคงจะเป็นเรื่องยากที่จะ ไม่มีชื่อบริษัทใหม่เกิดขึ้นในแขนงวงการ ล่าสุด “มิลค์กี้ เวย์ เน็ทเวิร์ค” คือน้องใหม่ ล่าสุดประจำปี 2555

นายสุมิตร วชโรดมทรัพย์ กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท มิลค์กี้ เวย์ เน็ทเวิร์ค จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจขายตรงนับเป็นธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งทั้งจากส่วนของภาครัฐ และเอกชน รวมถึงประชาชนผู้บริโภค ที่ให้ความสำคัญ เกี่ยวกับธุรกิจ จึงทำให้ตนต้องการเข้ามามีส่วนร่วมในธุรกิจ

“จากเดิมตนเป็นนักธุรกิจที่ประกอบ กิจการในส่วนของการส่งออกสินค้า ซึ่งธุรกิจดังกล่าวเป็นธุรกิจของครอบครัว ซึ่ง วันนี้ ธุรกิจส่งออกของตนก็จัดว่าเป็นธุรกิจ ที่มีฐานที่แข็งแกร่ง กำไรในแต่ละปีอยู่ที่กว่า พันล้านบาท โดยเมื่อธุรกิจนี้มีความเจริญก้าวหน้าไปในทิศทางที่ดีแล้ว ทำให้คิดถึงการทำธุรกิจอื่น” สุมิตร เผย

จากที่กล่าวมานี้เอง ทำให้ “สุมิตร” มีความต้องการที่จะตั้งบริษัทในธุรกิจแขนง อื่นขึ้น โดยมีขายตรงเป็นตัวเลือกอันดับหนึ่ง “ธุรกิจขายตรงนับเป็นธุรกิจที่กำลังได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่งในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นประชาชนที่เกี่ยวข้องในธุรกิจ รวมทั้งเม็ดเงินที่หมุนเวียนอยู่ในแขนง ทำให้ตนพยายามเข้ามาศึกษา หาความรู้เพื่อวันนี้จะได้เปิดบริษัทขายตรง”

ทั้งนี้ จากการศึกษาหาความรู้ ดังที่ กล่าวมา “บริษัท มิลค์กี้ เวย์ เน็ทเวิร์ค จำกัด” จึงได้ถูกจัดตั้งขึ้น โดยมีงบลงทุนในช่วงต้นอยู่ที่ 40 กว่าล้านบาท ซึ่งจัดว่าเป็น เงินทุนที่สูงสำหรับค่ายขายตรงเปิดใหม่ในปัจจุบัน โดยบริษัทได้มีการวางแผน เตรียมงานอย่างจริงจังมากว่า 6 เดือน โดย สามารถจดทะเบียนเป็นบริษัทขายตรง จาก ทางสคบ. ได้เมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมา

ขณะนี้บริษัทมีสินค้าที่เป็นของบริษัทอยู่ถึง 25 รายการ จัดเป็น 2 กลุ่มผลิตภัณฑ์ ได้แก่ สินค้าเสริมอาหาร และความงาม ซึ่งทั้ง 2 หมวด สินค้าก็มีสินค้าให้เลือกมากมาย โดยเฉพาะสินค้า เสริมอาหาร ที่มี “ดราก้อน ไทเกอร์” เป็นสินค้า เอก ที่บริษัทมีความมั่นใจว่า ในอีกไม่นาน สินค้าชนิดนี้ จะเป็นสินค้าที่ผู้บริโภคให้การตอบรับที่ดี เนื่องจากเป็นสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการทั้งชาย และหญิง โดยเป็นน้ำสมุนไพรที่สกัดจากโสม และคาวตอง ช่วยในเรื่องของระบบการทำงานของอวัยวะในร่างกายมนุษย์ให้ดีเป็นปกติ

ในส่วนของสมาชิกเอง หลังจากที่บริษัทได้รับสคบ.มา ก็มีสมาชิกมากหน้าหลายตา เดินเข้ามาในบริษัท ซึ่งมิลค์กี้ เวย์ ได้มีการคาดหวังในปลายปีว่า รหัสสมาชิกจะสามารถแตะถึง 2 หมื่นรหัสได้ เมื่อจบปี 2555 นี้

“จากที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญในเรื่องของการส่งออกสินค้า ในอนาคต บริษัทยังต้องการที่จะขยายเขตสาขาทั้งในและต่างประเทศ โดยในไทยบริษัทได้มีการวางแผนในส่วนของการตั้งศูนย์หลัก อยู่ที่ย่านรัชดา ซึ่งมีการมองพื้นที่กันบ้างแล้ว แต่ยังไม่เจาะจงสถานที่แต่อย่างใด อีกทั้งยังต้องการเปิดสาขาในกรุงเทพฯ อีก 2-3 สาขา”

ส่วนเรื่องของต่างประเทศนั้น ในอีก ประมาณไม่กี่ปีข้างหน้า บริษัทยังต้องการ ขยายบริษัทสู่ประเทศอื่นๆ อาทิ อินเดีย ซึ่งทาง “สุมิตร” ได้กล่าวว่า “เหตุที่ตนต้องการ ที่จะขยายธุรกิจสู่ประเทศอินเดีย ก็เนื่องจาก การมีเครือข่ายที่ตนรู้จักเป็นการส่วนตัว อยู่ที่นั่น ทำให้การขยายสู่อินเดียน่าจะเป็น พื้นที่ที่เหมาะที่สุดสำหรับมิลค์กี้ เวย์”

โดยหลังจากที่ขยายสู่ทางอินเดียได้ ตามที่คาดหวัง “มิลค์กี้ เวย์” จึงจะเริ่มกลับ เข้ามาขยายในส่วนของประเทศเพื่อนบ้าน ในแถบภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ อย่างไรก็ดี ในส่วนของยอดขายของ บริษัท ทางผู้บริหารของ มิลค์กี้ เวย์ ได้เผยว่า “ในเรื่องของยอดขายของบริษัทเมื่อดูจากการเดินเข้ามาของตัวนักขาย และแม่ทีมที่ให้ความสนใจอยู่ในขณะนี้แล้ว ตนคาดว่า ในช่วงปลายปีนี้ บริษัทจะสามารถคว้ายอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดขายที่บริษัทเชื่อว่าไม่มากไม่น้อยจนเกินไป เมื่อดูจากความนิยมของประชาชนที่มีต่อวงการขายตรง บ้านเรา”

ทั้งนี้ เมื่อถามถึงความเห็นเกี่ยวกับการเกิดขึ้นของบริษัทขายตรงหน้าใหม่ แล้วต้องปิดตัวลง ทางกรรมการผู้จัดการแบรนด์น้องใหม่นามนี้ ก็ได้กล่าวว่า “บรรดาบริษัทขายตรงที่เกิดขึ้นมาใหม่ ไม่ว่าจะมีกระแสในช่วงต้นดีมากน้อยเพียง ใดแล้วต้องปิดตัวลง ก็เพราะว่าบริษัทเหล่านั้น มีฐานของบริษัทที่ไม่แข็งแกร่ง ขาดความรู้จริงในธุรกิจ ไม่มีความพร้อมที่ ดีพอ อีกทั้งยังไม่มีความจริงใจในการบริหาร ทำให้การปิดตัวเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้ง”

“ในส่วนของ มิลค์กี้ เวย์ เอง เรามีความมุ่งมั่นที่จะสร้าง วางรากฐานของบริษัทให้มีความแข็งแกร่ง มีประสิทธิภาพ ที่มั่นคง และจากการที่บริษัทมีฐานเงินทุน ที่ดีรองรับ มีการศึกษาธุรกิจมานาน ทำให้ บริษัทมีความมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่า บริษัท มิลค์กี้ เวย์ จะสามารถเดินไปข้างหน้าได้อย่างมั่นคงในอนาคต” หัวเรือ มิลค์กี้ เวย์ เผย

บริษัท มิลค์กี้ เวย์ เป็นบริษัทขายตรงที่ใช้แผนการตลาดแบบ วิสสตรองค์ โดยในช่วงต้นของบริษัทในปีแรกนี้ ทางมิลค์กี้ เวย์ ได้วางงบการตลาดไว้ที่ 40-50 ล้านบาท ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อ ให้บริษัทมีชื่อเป็นที่รู้จัก โดยในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ บริษัทจะทำการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ

“ปัจจุบันขายตรงเป็นที่รู้จักกันในวงกว้าง ทั้งจากภาครัฐและเอกชน สิ่งที่จะ ทำให้บริษัทอยู่ได้ คือความจริงใจ ซื่อสัตย์ ในการทำธุรกิจ และที่สุดคือความรู้ในการ ดำเนินธุรกิจ ซึ่ง มิลค์กี้ เวย์ มีความต้องการ ที่จะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของวงการธุรกิจขายตรง ซึ่งบริษัทมีความมั่นใจว่าจะทำ ให้บริษัทเดินไปข้างหน้าได้เป็นอย่างดี เพราะความพร้อมในหลายๆ ด้านของ บริษัท” สุมิตร กล่าว

ทั้งนี้ มิลค์กี้ เวย์ จัดเป็นบริษัทขาย ตรงนามล่าสุดที่เกิดขึ้นมาในวงการ โดยบริษัทมีความคาดหวังที่จะสร้างมิติใหม่ให้เกิดขึ้นในวงการเครือข่าย ซึ่งผู้บริหารของบริษัทคาดฝันว่า ในอีกระยะเวลา 2-3 ปีหลังจากนี้ บริษัทจะกลายเป็นบริษัทพันล้านให้จงได้

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1268 ประจำวันที่ 21-1-2012 ถึง 24-1-2012