ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันพุธที่ 29 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

ก้าวสู่ชัยชนะ‘กันยากร มะลิสา’ ดาวค้างฟ้าแห่ง...‘คิงส์เฮิร์บ’



“ทุกอย่างถ้าเราสู้ ขอให้ใจเราสู้อย่างเดียว อุปสรรคเป็นบททดสอบของเรา เพราะฉะนั้นบททดสอบที่เราจะก้าวผ่านหรือไม่ผ่าน ในแต่ละช่วงที่เราเจอปัญหาและอุปสรรค นั่นคือ บททดสอบที่สำคัญที่สุด ว่าคุณจะก้าวผ่านหรือไม่ ถ้าคุณก้าวผ่านได้ นั่นคือ ชัยชนะของคุณ”…
ในธุรกิจเครือข่ายขายตรง ย่อมมีการแข่งขันกันเป็นเรื่องธรรมดา เพราะในเวลานี้มีธุรกิจเครือข่ายขายตรง ทั้งค่ายเล็กค่ายใหญ่ ต่างผุดขึ้นมามากมายราวดอกเห็ด...หากได้ก้าวเข้าสู่สมรภูมิรบแล้ว คงไม่มีใครที่ไม่ต้องการคำว่า “ชัยชนะ” ซึ่งบททดสอบที่ดีที่สุด คือ การชนะใจตัวเอง เป็นสิ่งสำคัญ...!!
เฉกเช่นดั่งนักขายท่านนี้ ที่ได้พิสูจน์ให้ใครหลายๆ คนได้เห็นถึงบททดสอบที่แสนยากเย็นและต้องพบเจอกับอุปสรรคมากมายในการทำงาน จนเธอได้รับชัยชนะ และความสำเร็จ...นั่นก็คือ “กันยากร มะลิสา” ดาวค้างฟ้า แห่ง “บริษัท คิงส์เฮิร์บ เวิลด์ 1999 จำกัด”
ซึ่งปักนี้ทีมข่าว “ตลาดวิเคราะห์” ขอพาท่านผู้อ่าน ไปร่วมเปิดม่านความสำเร็จของสาวสวยอารมณ์ดีผู้นี้ ที่กว่าจะประสบความสำเร็จในปัจจุบันนี้ได้ ต้องก้าวผ่านอุปสรรคอะไรมาบ้าง และเธอผู้นี้มีเคล็ดลับที่จะนำพาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จได้อย่างไร มาร่วมเปิดบันทึกความสำเร็จกันได้ดังนี้...
ทั้งนี้ หากย้อนดูถึงชีวิตส่วนตัวของเธอท่านนี้แล้วล่ะก็ ค่อนข้างที่จะรักงานขายเป็นชีวิตจิตใจ เนื่องจากในอดีตเธอผู้นี้มีอาชีพเป็นแม่ค้าขายของตามตลาดนัด ขายมาแล้วหลายอย่าง ทั้งเสื้อผ้า เครื่องประดับ และตอนหลังก็มีมาเปิดเนอร์สเซอรี่ และร้านอาหาร ซึ่งอาชีพดังกล่าวก็ยังไม่สามารถสร้างรายได้ที่แน่นอนให้กับเธอได้...
…“กันยากร” บอกต่ออีกว่า “เพราะความที่เป็นเด็กบ้านนอก ความฝันที่เราจะพลิกชีวิต มีอยู่ในใจเราอยู่แล้ว ซึ่งตรงนี้ต้องขอบคุณพ่อแม่ ที่ทำให้เรามีความอดทน อดกลั้น จนทำให้เกิดแรงที่จะสู้ต่อไป”...
และ “กันยากร” ยังบอกอีกว่า จริงๆ แล้ว ตนจบทางด้านเกษตรจากสุพรรณบุรีมา แต่ด้วยความที่ชอบด้านงานขาย โดยเฉพาะระบบเครือข่ายที่เธอมองว่า เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์...จึงทำให้เธอได้เข้ามาสู่อาชีพธุรกิจเครือข่าย และเธอเองก็ได้ทำมาอยู่หลายค่ายด้วยกัน ซึ่งก็ล้มลุกคลุกคลานมาโดยตลอด
“ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า ทุกอย่างไม่ได้ตอบโจทย์เราได้อย่างดีพอ บางครั้งบริษัทใหญ่ๆ ก็ไม่ใช่สำหรับตัวเรา เพราะฉะนั้นเรามาเริ่มต้นกับบริษัทเล็กๆ ที่สินค้าใช่ แผนการตลาดเอื้ออำนวยจะดีกว่า ซึ่งเมื่อทุกอย่างใช่ ความสำเร็จก็จะเกิดขึ้นตามมาเองด้วยเช่นกัน”
...จากความคิดนี้เอง ที่ทำให้ “กันยากร” ได้เริ่มมองหาค่ายเล็กๆ ที่สินค้าโอเค นี่จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่เธอได้เข้ามาทดลองที่ “คิงส์เฮิร์บ” โดยที่นี่เป็นการทำงานที่ไม่ต้องมีตำแหน่ง ซึ่งเธอบอกว่า… “การไม่มีตำแหน่งก็ดีตรงที่เราไม่ต้องมีหัวโขนมาสวม ทุกอย่างถ้าคุณทำได้ตามแผนของบริษัท คุณก็รับเงินตามที่คุณทำไป และถึงแม้ “คิงส์เฮิร์บ” จะเป็นบริษัทเล็กๆ แต่ในเรื่องของผลตอบแทนและสินค้า ไม่ได้เล็กเลย”
โดย “กันยากร” ยังบอกด้วยว่า “การจะทำอะไรก็แล้วแต่ เรื่องของใจต้องมาก่อนเป็นอันดับแรก ไม่ว่าจะทำอาชีพอะไรก็แล้วแต่ ให้ประสบความสำเร็จ ถ้าใจเราไม่มาเต็มร้อย อะไรๆ ก็จะไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร...ฉะนั้นเมื่อใจมาแล้ว ในเรื่องของการทำทีม ก็ต้องสำคัญด้วย...
นอกจากนี้ “กันยากร” เอง ยังได้บอกถึงเป้าหมายทางธุรกิจของตัวเองนับจากนี้ต่อไปว่า ต้องการปั้นผู้นำที่แตะหลักแสนให้ได้มากที่สุด เพราะนั่นจะหมายถึงความมั่นคงในชีวิตของเราด้วย...
พร้อมกันนี้ “กันยากร” ยังได้เปิดบ้านหลังงาม ที่เธอซื้อมาเกือบ 20 ปีแล้ว แต่เธอก็ยังดูแลและตกแต่งให้บ้านหลังนี้น่าอยู่ และไม่เก่าไปตามกาลเวลา...ซึ่งเมื่อก้าวเข้ามายังบริเวณบ้าน ก็ได้สัมผัสกับต้นไม้ที่ร่มรื่นมาก เพราะเจ้าของบ้านเป็นคนชอบต้นไม้ และชอบใช้เวลาไปกับการปลูกและดูแลต้นไม้ เพราะสิ่งนี้จะทำให้รู้สึกสงบ และสดชื่นได้มากทีเดียว...
ซึ่งภายในบ้านหลังงามหลังนี้ มีการตกแต่งด้วยโทนสีเขียวเกือบทั้งหลัง ทั้งห้องนั่งเล่น ห้องนอน หรือแม้แต่ห้องน้ำ พร้อมทั้งเฟอร์นิเจอร์ ผ้าม่าน ก็ยังไม่วายที่จะเป็นสีเขียวตามสไตล์และความชอบของสาวเกิดวันพุธอย่าง “กันยากร” ด้วยเช่นกัน...
อีกทั้งบริเวณชั้นสองของบ้าน ยังมีห้องพระ ที่ “กันยากร” บอกว่า “ในช่วงท้อหรือเหนื่อย เธอจะเข้ามานั่งที่ห้องพระ และใช้เวลาเพื่อสำรวจใจตัวเอง”…ซึ่งถือได้ว่าห้องพระเป็นห้องที่ทุกบ้านนั้นมี เพื่อเป็นสิ่งที่ไว้ยึดเหนี่ยวจิตใจนั่นเอง…
นอกจากบ้านหลังนี้แล้ว “กันยากร” ยังมีบ้านที่ได้ซื้อร่วมกับพี่สาว และคอนโดมีเนียม ที่เอาไว้ใช้ร่วมพูดคุย สังสรรค์ และวางแผนการทำงานกับเพื่อนๆ และลูกทีมอีกด้วย…ซึ่งทรัพย์สินทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นบ้าน และรถยนต์ ล้วนเป็นสิ่งที่เธอได้มาจากการทำธุรกิจเครือข่ายขายตรงทั้งสิ้น...
ต้องบอกว่า ชีวิตความเป็นอยู่ของ “กันยากร” ทุกวันนี้ เรียกได้ว่า พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือ ชีวิตความเป็นอยู่ดีขึ้น เพราะเธอสามารถสร้างรายได้หลักล้านให้กับตัวเธอเองได้...โดย “กันยากร” มองว่า “ถ้าเราต้องการให้ทุกอย่างพลิกชีวิต มันอยู่ที่ใจเรา ทุกอย่างอยู่ที่เรา อย่างอื่นเป็นแค่ส่วนประกอบ”…
...วันนี้ในหลักของการทำธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจอะไร และโดยเฉพาะธุรกิจขายตรง ต้องถามใจตัวเองก่อนว่า สู้หรือไม่ พร้อมหรือไม่ ในการจะรับสิ่งต่างๆ ที่จะเข้ามา ไม่ว่าจะเป็นอุปสรรค ปัญหา ถ้าคุณก้าวผ่านเส้นนั้นมาได้ คุณก็จะประสบผลสำเร็จดังเช่นเธอผู้นี้ ได้อย่างแน่นอน...!!

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 315 ประจำวันที่ 1 - 15 มีนาคม 2555

ไขปริศนาความสำเร็จ5นักขาย‘เลิฟยู’ เดินทางอย่างมีจุดหมาย...ทุกความฝันสำเร็จแน่!



ชีวิตคนเรากว่าที่จะก้าวมาสู่ความสำเร็จ และนำพาตัวเองสู่ความยิ่งใหญ่ได้นั้น คงไม่ใช่เรื่องง่าย และก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นเดียวกัน เพราะทุกคนมีความใฝ่ฝันที่จะหยิบจับ “เงินล้าน” ได้เช่นกัน หากเราเปิดมุมมองใหม่ๆ แสวงหาโอกาส “ความใฝ่ฝัน” นั้น ก็อยู่ไม่ไกลเกินเอื้อม หากมีใจที่มุ่งมั่น เอาชนะอุปสรรคที่อยู่ตรงหน้า มีความขยัน อดทน มีความเพียรพยายาม เชื่อว่า!! เส้นทางที่ทอดยาวสู่ความสำเร็จยังจุดหมายปลายทางนั่นคือ การ “หยิบจับเงินล้าน” มาครองนั้นก็ไม่ใช่เรื่องที่ยากเช่นกัน
ปัจจุบันนี้ต้องบอกว่า “ธุรกิจเครือข่าย” นับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจแห่งโอกาส ที่จะสามารถนำพาทุกท่านไปยังเป้าหมายที่ตั้งไว้ได้ ด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้ใครหลายๆ คน เริ่มมีความสนใจในธุรกิจขายตรงมากขึ้น เมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา เหมือนเช่นดั่ง 5 นักขาย “บริษัท เลิฟยู (ประเทศไทย) จำกัด” ที่มองว่า “เลิฟยู” จะสามารถทำให้ตนเองประสบความสำเร็จในชีวิตได้
และจากความตั้งใจที่ “เลิฟยู” พร้อมที่จะนำพาลูกทีมสู่หนทางแห่งความสำเร็จ ที่ไม่เพียงแค่ความเพ้อฝันเท่านั้น เห็นได้จากการจัดงานครบรอบ 4 ปีทองและงานประดับเข็มของบริษัทเลิฟยูที่จัดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา ถือเป็นเครื่องการันตีความสำเร็จของธุรกิจได้ดีว่านี่คือ “ของจริง” นั่นเอง...คอลัมน์ “คลับเงินล้าน” ปักษ์นี้ ขอนำพาท่านผู้อ่านมาร่วมไขเคล็ดลับความสำเร็จของนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จทั้ง 5 ท่านของ “เลิฟยู” กันว่าทั้งเขาและเธอทำอย่างไร ถึงก้าวสู่ความสำเร็จในวันนี้ได้!!
...เริ่มต้นกันที่ “ผอ.สุพรรณ์ โสนชัย” นักธุรกิจเต็งหนึ่งแห่งค่าย “เลิฟยู” ที่ผ่านการทำงานมาอย่างโชกโชน กระบวนการ ระบบการทำงานได้สอนอะไรหลายๆ อย่าง ทั้งลองผิดลองถูก ซึ่งเขาผู้นี้ผ่านมาเกือบหมดแล้ว จนกระทั้งมาเจอกับธุรกิจเลิฟยู ที่เขาผู้นี้บอกว่า เป็นธุรกิจที่เน้นความเอาใจใส่กับสมาชิกค่อนข้างมากทีเดียว
“ในช่วงที่ผ่านมา ตนเองทำธุรกิจเครือข่ายเป็นอาชีพเสริม จากผู้ประกอบการจนระยะหนึ่งก็กลายมาเป็นผู้นำหลักของบริษัทแบบไม่รู้ตัว กับเรื่องของสมาชิกนั้นไม่ต้องพูดถึง เพราะ “เลิฟยู” เป็นบริษัทที่แปลก ไม่ว่าคุณจะไปอยู่บริษัทไหนก็แล้วแต่ ถ้าคุณไม่ได้สร้างความวุ่นวาย ไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับบริษัท คุณมีสิทธิ์กลับมาได้เหมือนเดิมกับการสร้างทีมงาน สร้างองค์กรให้เติบโตมากขึ้นกว่าเดิม ด้วยจุดนี้เองที่ทำให้ตนเองเกิดความประทับใจอย่างมากที่ท่านประธานบริษัทฯ ค่อนข้างเดปิดกว้าง”
“ผอ.สุพรรณ์” ยังบอกอีกว่า ธุรกิจ “เลิฟยู” เรียกได้ว่า ดำเนินธุรกิจบนพื้นฐานของความถูกต้อง เที่ยงตรง เที่ยงธรรม ตรงไปตรงมา ซึ่งบริษัทเล็กๆ แห่งนี้ มีทั้งความสุขความอบอุ่นมอบให้ ด้วยฟีดแบ็คที่ตอบรับกลับมาดีเกินคาด พร้อมกันนี้ ยังพบว่าค่ายนี้ค่อนข้างที่จะมีผู้ที่ประสบความสำเร็จมากพอสมควร เห็นได้จากภาพที่ออกมาค่อนข้างมีความชัดเจนด้วย
“ด้วยตัวสินค้าที่มีคุณภาพ และสร้างโอกาสดีๆ ให้กับหลายๆ คนที่ มีปัญหาเรื่องสุขภาพได้แบบตรงจุดนี่เอง ทำให้ธุรกิจเลิฟยู เริ่มเป็นที่หมายปองของใครหลายคนอยู่ในขณะนี้ ซึ่งต้องบอกว่า ในวันนี้เราเคยเห็นธุรกิจทั่วๆ ไป ที่บอกว่ารวยๆ แต่ทั้งนี้ เราต้องมานึกถึงพื้นฐานของความเป็นจริงให้ได้ เพราะฉะนั้นในวันนี้ต้องเอาความจริงมาคุยกัน โดยใช้สินค้าเป็นตัวนำ พร้อมด้วยกระบวนการเทรนนิ่งที่มีมาตรฐาน โดยสิ่งนี้แหล่ะ คือ ตัวขับเคลื่อนสำคัญ สู่ความสำเร็จ เพราะวันนี้อย่าสร้างฝันอย่างเดียว แต่ต้องคิดว่าจะทำอย่างไรที่จะสร้างฝันเขาให้เป็นจริง ที่สามารถสัมผัสได้ แตะต้องได้”
...สำหรับจุดเด่นของธุรกิจ “เลิฟยู” นั้น “ผอ.สุพรรณ์” บอกว่า คือ การสร้างความรัก สร้างความอบอุ่น เป็นกันเองและความสุข เพราะการคิดให้ถูก คิดให้เป็น แล้วคุณจะตอบโจทย์ตรงนี้ได้ เพราะธุรกิจเครือข่ายไม่ใช่เรื่องยากหากคุณคิดถูก…เช่นเดียวกับนักขายอีกหนึ่งท่าน อย่าง “รชต ตันตระกูล” วัย 66 ปี ที่ได้ฝ่าฟันอุปสรรค ผ่านร้อน ผ่านหนาว มานับไม่ถ้วน เรียกได้ว่าเกือบทุกอาชีพเลยก็ว่าได้ แม้กระทั่งเปิดกิจการเป็นของตนเอง ทั้งเปิดผับ เปิดบาร์ เปิดภัตตาคาร เรียกว่ากัดฟันสู้เพื่อความสำเร็จมาแล้ว
ซึ่งปรัชญาที่เขาผู้นี้ได้ยึดถือมาโดยตลอด คือ “ต้องเก่ง กล้า สามารถ ขยัน อดทน ละทิ้งสิ่งไร้สาระ” เพราะคนที่ถอดใจ คือ คนที่ท้อแท้ ต้องคิดว่า “คนเราต้องเป็นแชมป์ ไม่เพียงแค่วันเดียว”...จนกระทั่งเหมือนชีวิตอยากที่จะให้ลองผิดลองถูกกับอีกหนึ่งอาชีพนั่นก็คือ “ธุรกิจเครือข่าย” จากการแนะนำให้ลองเข้ามาสู่ธุรกิจเครือข่ายดู ซึ่งเขาผู้นี้ก็ไปได้ปฏิเสธแต่อย่างใด?...
...และจากการชักชวนให้เข้าสู่ธุรกิจเครือข่ายนี้เอง ทำให้ “รชต” จึงได้ลองศึกษาธุรกิจนี้ไประยะหนึ่ง และก็เกิดความประทับใจทั้งในเรื่องของสินค้า แผนการตลาด รวมถึงเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องเป็นนายคน ไม่มีใครบังคับ ตรงจุดนี้เอง ที่ทำให้ “รชต” เริ่มเปิดใจรับกับธุรกิจเครือข่ายมากขึ้น ที่สำคัญ ยังเป็นธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุน เพียงแค่บริโภคหลังจากนั้นใช้ดีแล้วบอกต่อ ขยันบอกคน “ปากไว ใจกล้า หน้าด้าน ขยันพูด” ก็สามารถสร้างความรวยได้ ด้วยระบบการสอนที่ถูกถ่ายทอดมาก๊อบปี้อย่างเดียวไม่ต้องคิดใหม่ ไม่ต้องหาหนทางใหม่ แค่นี้ก็สามารถสะสมความสำเร็จได้
...เรียกได้ว่า กับสิ่งที่ “เลิฟยู” มอบให้ในวันนี้เหมือนเปิดประตูสู่เส้นชัย ที่ได้นำสิ่งดีๆ ไปประกาศให้คนที่เรารัก เราชอบ ได้ใช้และมีสุขภาพที่ดีขึ้น…และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ทำให้ “รชต” ได้บอกกับตัวเองเสมอว่า “คิดไม่ผิดที่เลือกทำธุรกิจเครือข่ายกับบริษัทที่ดีเช่น “เลิฟยู”
นอกจากนี้ “รชต” ยังได้ แนะเคล็ดลับแห่งความสำเร็จอีกว่า เพียงแค่เชื่ออัพไลน์ เข้าห้องประชุมบ่อยๆ รวมถึง 3 สิ่งที่ต้องทำเป็นประจำทั้งสรรหา พัฒนา และรักษา กับสิ่งสำคัญที่สุดบนความสำเร็จ คือ ถูกที่ ถูกทาง ถูกเวลา และถูกทีม ดังปรัชญาของขายตรงที่ว่า “ต้องทำให้ผู้อื่นประสบความสำเร็จได้ 20 คน และคนที่ 21 ต้องเป็นเรา” บอกได้คำเดียวว่าการทำธุรกิจต้องตั้งใจจริง รักงานจริง ขยันอดทน ทำอย่างต่อเนื่อง ทุกคนก็สามารถสำเร็จได้...เห็นได้จาก “รชต ตันตระกูล” ที่ใช้ระยะเวลาเพียง 3 ปี สามารถมีรายได้ 6 หลัก พร้อมกับมีรถเบนซ์คันหรูขับโก้ๆ อีกด้วย
...และจากความโดดเด่นในตัวผลิตภัณฑ์ของ “เลิฟยู” วันนี้ จึงทำให้มีผู้ที่ประสบความสำเร็จมากมาย เช่นดั่งนักขายอีกหนึ่งท่านนามว่า “ธัญทิพย์ วัชระรัฐพงศ์” ผู้ที่เคยทำธุรกิจเครือข่ายมาแต่กลับติดลบ และด้วยสามีที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพกับความบังเอิญที่เห็นโฆษณาพอดี จึงเกิดความสนใจในตัวผลิตภัณฑ์ และได้ทดลองซื้อให้สามีลองทานและเห็นผล ประจวบเหมาะกับตนเองก็มีปัญหาเรื่องสุขภาพหลายโรคมารุมเร้า ทั้งโรคหัวใจ ไขมันส่วนเกิน ความดัน ไต และมะเร็งในลำไส้ จึงได้ลองทานเช่นเดียวกัน จนเห็นผลชัดเจนกับความเปลี่ยนแปลงของร่างกาย จุดนี้เองที่ทำให้เกิดความประทับใจในสินค้า
จนกระทั่งตัดสินใจก้าวสู่ธุรกิจ “เลิฟยู” แบบเต็มตัวในเดือนพฤษภาคม รวมระยะเวลาร่วมปีกว่าๆ เรียกได้ว่า วันนี้ผลิตภัณฑ์ของเลิฟยูถือเป็นตัวนำหลักสำคัญ แนะนำใครแล้วไม่ผิดหวัง “พูดง่ายๆ มีแต่คนรัก” จากคนป่วย พลิกชีวิตให้กลับมาเป็นผู้มีรายได้สูง ที่สำคัญ ที่ “เลิฟยู” บรรยากาศรอบข้างค่อนข้างมีความอบอุ่นทั้งสมาชิกและผู้บริหาร รวมถึงแผนการตลาดของที่นี้ยังจ่ายตรงภายในหนึ่งอาทิตย์อีกด้วย
...“ด้วยสินค้าที่เห็นผลจริงจากคนป่วย ที่ไม่มีสตางค์ไปหาหมอ และเราได้นำสินค้าไปให้เขาดื่มจนอาการดีขึ้น นี่เอง ที่ทำให้คนเริ่มหันมาสนใจธุรกิจเลิฟยูมากขึ้น และยังถือเป็นใบเบิกทางให้กับเราทำธุรกิจได้สำเร็จอีกด้วย”...จากสินค้าที่โดนใจ แผนการตลาดที่เยี่ยม ท่านประธานบริษัทฯ มีความเข้าใจในธุรกิจ ทำให้ “ธัญทิพย์” ตั้งเป้าหมายไว้ว่า อีก 5 ปีข้างหน้าจะสามารถซื้อบ้านหลังใหม่ได้อย่างแน่นอน
...มาดูอีกหนึ่งนักขายที่มีนามว่า “สุภาพร สุวรรณเพ็ง” ที่เธอผู้นี้ เข้ามาทำธุรกิจเครือข่ายได้จากพื้นฐานของการทำธุรกิจของตนเอง ด้วยการเปิดร้านเสริมสวยแถมมีเรื่องปัญหาสุขภาพเข้ามาเกี่ยวข้อง ที่สำคัญ ก่อนหน้านี้เธอผู้นี้ไม่มีความเชื่อเรื่องยาแผนโบราณ จนกระทั่งมีพยาบาลที่รู้จักกันมานานมาแนะนำสินค้าเกี่ยวกับสมุนไพรให้ฟัง จึงเกิดความสนใจ และได้ทดลองทาน ผลปรากฏว่า ทานแล้วดีขึ้น จุดนี้เองที่ทำให้เธอเปลี่ยนความคิดใหม่เกี่ยวกับยาแผนโบราณนั่นเอง
เมื่อ “สุภาพร” เห็นอย่างนี้แล้ว จึงเข้ามาศึกษาธุรกิจอย่างจริงจังโดยใช้เวลาเพียงแค่ 6 เดือนจึงเข้าใจ แต่ด้วยความมุ่งมั่น ขยันที่จะเติมเต็มองค์ความรู้นี่เอง จึงทำให้เธอผู้นี้ขึ้นแท่นความสำเร็จ ด้วยการมีรายได้ต่อเดือนประมาณ 5–6 หมื่นบาท
“ตนเองค่อนข้างที่จะประทับใจในการทำงานของที่นี้ เพราะค่อนข้างมีบรรยากาศที่เหมือนบ้านหลังที่ 2 ที่เรียกได้ว่าสร้างความอบอุ่นได้ ทั้งรอยยิ้ม ไมตรี ความเป็นกันเองของสมาชิก ที่สำคัญ ที่นี้สามารถทำให้สมาชิกทุกคนหยิบจับเงินล้านได้ด้วย เพียงแค่ท่านใช้สินค้าดีแล้วบอกต่อ ก็สามารถสำเร็จกับเลิฟยูได้แล้ว”
...ต่อกันด้วย นักขายท่านสุดท้าย “ณฐนนท คชนานิคม” ที่เข้ามาทำธุรกิจด้วยความบังเอิญ ซึ่งอดีตเขาผู้นี้ เดิมทีเป็นเจ้าของกิจการมาก่อน ประกอบกับช่วงนั้นเศรษฐกิจไม่ค่อยดี จึงผันตัวเข้าสู่ธุรกิจเครือข่ายประกันชีวิตโดยไม่ได้ตั้งใจ อยู่มาถึง 14 ปี แต่!! ความบังเอิญนั้นก็เกิดขึ้นได้จากเพื่อนที่ชักชวนมาทำธุรกิจขายตรงจนรำคาญจึงลองเข้ามาศึกษาดู
โดย “ณฐนนท” ได้มองว่า ธุรกิจขายตรงกับธุรกิจประกันมีความคล้ายคลึงกัน แต่ในความคล้ายคลึงมันมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง เพราะการขายประกันต้องใช้จิตวิทยาสูงเนื่องจากไม่มีสินค้า แต่ธุรกิจขายตรงสามารถพิสูจน์สินค้าได้ จึงดูแล้วง่ายกว่าเพราะสินค้าเป็นตัวนำ ด้วยเหตุนี้เอง จึงได้ตัดสินใจเปิดใจยอมรับในตัวสินค้า พร้อมมองอนาคตในเรื่องแผนการตลาดที่ว่า “หากสินค้าดี แผนดี มันทำให้ร่ำรวยได้”
ตลอดระยะเวลา 9 ปี ที่ “ณฐนนท” ได้ล้มลุก คลุกคลานอยู่ในธุรกิจเครือข่ายจนเกิดความเชี่ยวชาญกับประสบการณ์ที่สะสมมา ทำให้เขาผู้นี้ค่อนข้างระวังตัวเองมากขึ้น ซึ่งก่อนที่จะเข้ามาทำธุรกิจกับ “เลิฟยู” นั้น ทางด้านภรรยาของเขาเอง ได้เคยห้ามมาแล้ว เนื่องจากบาดเจ็บกับธุรกิจนี้มาเยอะ แต่ด้วยความมุ่งมั่นตั้งใจ ทำให้ “ณฐนนท” ได้พิสูจน์ความจริงด้วยสินค้า โดยให้ภรรยาที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพได้ลองทาน ผลปรากฏว่าอาการดีขึ้น ทำให้ทั้งภรรยาและ “ณฐนนท” จึงเกิดความมั่นใจมากขึ้น พร้อมกับทุ่มเทแรงกายเพื่อความความสำเร็จในธุรกิจนี้อย่างเต็มกำลัง
เห็นได้จาก ระยะเวลาเพียงแค่เดือนแรก สามารถขายสินค้าได้ถึง 100 ขวด มีกำไรประมาณ 8 หมื่นบาท ด้วยจุดนี้เองที่ทำให้เขามีความมั่นใจว่า สินค้าสามารถตอบโจทย์ได้ พร้อมกับแผนทางการตลาดที่เอื้อต่อกันทำให้ในระยะเวลา 3 เดือน สามารถสร้างรายได้ถึงหลักแสน และมีสมาชิกอยู่ภายใต้รหัสถึง 1 แสนรหัสด้วยกัน
นอกจากนี้ “ณฐนนท” ยังได้แนะวิธีการเลือกบริษัทขายตรงที่ดีอีกว่า มีอยู่ด้วยกัน 5 ข้อ คือ 1. เจ้าของต้องตัวจริงเสียงจริง ต้องมีวิสัยทัศน์มีประสบการณ์ในเครือข่าย 2. ต้องรู้ว่าผู้บริหารคือใคร 3. สินค้าต้องดีขายตัวเองได้ 4. ต้องเอื้อ ต้องปลดล็อค ไม่บังคับรักษายอดซึ่งเป็นจุดสำคัญ และ 5. ในเรื่องของระบบต้องดี เพื่อผลักดันให้สมาชิกเติบโตได้ไว...ซึ่งทั้ง 5 ข้อที่กล่าวมานี้ “ณฐนนท” บอกว่า ธุรกิจเลิฟยูนี่แหล่ะใช่เลย
ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องราวของ 5 ผู้นำจาก “บริษัท เลิฟยู (ประเทศไทย) จำกัด” ที่เรียกได้ว่า กว่าที่จะประสบความสำเร็จมาได้จนถึงวันนี้ ต้องผ่านอุปสรรคมาต่างๆ นาๆ มากมาย แต่อุปสรรคและปัญหาที่เกิดขึ้นนั่นคือ บันไดสู่ความสำเร็จนั่นเอง!

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 315 ประจำวันที่ 1 - 15 มีนาคม 2555

เจาะลึกธุรกิจ‘รมิตา’ กางตำราเขย่าวงการขายตรง ชงความสำเร็จที่มั่นคง ลงสนามรบปี’55



ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ธุรกิจเครือข่ายขายตรง ที่ประกาศศักดาลงชิงชัยในสนามแห่งนี้ เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแต่ละแห่งต่างออกมาประกาศ “แสนยานุภาพ” โชว์พาว หวังช่วงชิงสู่ความเป็นหนึ่งกันอย่างเนืองแน่น ทำให้ที่ผ่านมา สมรภูมิแห่งนี้คับคั่งเต็มไปด้วย “ผู้เล่นหน้าใหม่”
ขณะเดียวกัน การเข้ามาชิมลางตลาดของขายตรงน้องใหม่ ก็สร้างสีสันคึกคักให้กับตลาดเป็นอย่างยิ่ง เพราะหลายค่าย เปิดศึก “สร้างภาพลักษณ์” กันอย่างเต็มที่ ด้วยการตีแผ่ข่าวสารชู “ผู้นำ” ที่ประสบความสำเร็จกันอย่างครึกโครม เพื่อเป็นเครื่องการันตีชี้ชัดว่า ธุรกิจของแต่ละที่แต่ละแห่ง “ทำง่าย ได้จริง” มีรายได้ไหลเข้าสู่กระเป๋าอย่างแท้จริง โดยไม่มีการยกเมฆแต่อย่างใด ทำให้ตลาดเครือข่ายคึกคักเป็นอย่างยิ่ง ผู้คนหันมาให้ความสนใจกับธุรกิจขายตรงมากยิ่งขึ้น...!!!
...ต้องยอมรับว่า การเดินทางบนเส้นทางสายนี้ ต้องมีความขะมักเขม้น เฟ้นหายุทธวิธีใหม่ๆ ออกมาใช้เพื่อ “ทำแต้ม” เพื่อหวังสร้างความโดดเด่นของตัวเอง สร้างจุดขายดึงความสนใจให้กับลูกค้า...วิถีที่ถูกนำมาใช้ เพื่อสร้างความมั่นอกมั่นใจให้ลูกค้าในช่วงที่ผ่านมา มีหลากหลายยุทธวิธี ไม่ว่าจะเป็น การขยับขยายสาขา, การสรรหาวิธีสารพัด เพื่อนำมาตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้า, การวางแผนการตลาดบวกความคิดที่แหลมคม เพื่อหยุดคู่ต่อสู้ที่เข้ามาสู่สนามรบแห่งนี้ ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่บริษัท จะต้องลงมือทำเพื่อขับเคลื่อนองค์กร และกระชากใจลูกค้าให้มาร่วมอุดมการณ์ เดินทัพไปพร้อมๆ กัน บนเส้นทางและจุดหมายของความสำเร็จที่รออยู่เบื้องหน้า…!!!
การก้าวไปข้างหน้า ตามแรงขับเคลื่อนขององค์กรแต่ละก้าวย่าง ล้วนเป็นประสบการณ์ของแต่ละค่ายที่สั่งสมมา ไม่ว่าจะเป็น ค่ายเล็ก ค่ายใหญ่ ล้วนมีอาวุธหนักอยู่เต็มตัว และพร้อมที่จะงัดออกมาดวลกันได้ทุกเมื่อ ทำให้สนามการแข่งขันทางการตลาดเป็นที่น่าจับตามองมากขึ้น เพราะอุณหภูมิร้อนระอุอย่างต่อเนื่อง
ขณะเดียวกัน ผลกระทบจากเหตุการณ์วิกฤติที่ผ่านมา ก็เป็นบทเรียนอันมีค่า ที่ทำให้หลายบริษัท งัดตำราบทใหม่มาป้องกันภยันตราย และร่ายเวทมนต์ เพื่อก้าวต่อไปข้างหน้า...!!!
...ท่ามกลางค่ายเครือข่ายขายตรงทั้งน้อยใหญ่ที่มีอยู่หลายร้อยแห่ง “น้องใหม่ที่ส่องสว่าง” ติดหนึ่งในดาวดวงใหม่ที่น่าจับตามองอีกแห่งคือ “บริษัท รมิตา เฮลส์ แอนด์ บิวตี้ จำกัด” ซึ่งที่ผ่านมาบริษัทน้องใหม่ในวงการธุรกิจขายตรงแห่งนี้ ได้พิสูจน์ตัวเอง จนเป็นที่ยอมรับในตลาดมากขึ้นเรื่อยๆ...แม้การเปิดตัวธุรกิจจะไม่หวือหวา แต่ก็พยายามที่จะขยับขยายอาณาจักรของตัวเองอยู่อย่างต่อเนื่อง เพราะความเชื่อมั่นทางธุรกิจและภาพรวมขององค์กรที่ดีมาก่อน ทำให้สามารถขยายฐานสมาชิกออกไปได้ทั้งในและต่างประเทศ โดยเฉพาะ “ประเทศลาว” ซึ่งถือเป็น “สนามหิน” ที่หลายบริษัทพยายามจะเจาะเข้าไป แต่ “รมิตา” กำลังสยายปีกขยายฐานสมาชิกอย่างเมามันส์ มิหนำซ้ำ ยังปั้น “มนุษย์เงินล้านคนแรก” ให้จุติขึ้นที่ฝั่งลาวอีกต่างหาก...!!!
เส้นทางการขยับเดินแต่ละก้าวของ “รมิตา” ล้วนมาจากการสั่งการของแม่ทัพใหญ่ที่คุมบังเหียนนั่งบัญชาการรบอยู่บนสุดของบริษัทนั่นคือ “เค่งฮั้ว แซ่อื้อ” ประธานกรรมการบริหาร ที่มีความมุ่งมั่น ต้องการที่จะสร้างสรรค์หยิบยื่นความสำเร็จให้กับหมู่มวลสมาชิก ที่พร้อมจะร่วมรบเคียงบ้าเคียงไหล่กับค่ายนี้
“เค่งฮั้ว แซ่อื้อ” เล่าเรื่องราวความเป็นมาการก่อเกิด “รมิตา” ว่า “จากเดิมที่ทดลองใช้สินค้าผลิตภัณฑ์เซรั่มที่ใช้แล้วเห็นผลจริง จึงเกิดแรงผลักดันมองหาการทำธุรกิจที่มั่นคง และได้รับคำแนะนำจากหลานถึงการทำธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจที่เติบโตเร็ว จึงพกพาเอาความมุ่งมั่นตรงจุดนี้มายืนหยัดสู่ความสำเร็จ กับการเริ่มจากจุดเล็กๆ เสนอขายสินค้าทางอินเตอร์เน็ตแนะนำสินค้าด้วยระบบง่ายๆ ของธุรกิจ MLM แบบเล็กๆ ในช่วงระยะเวลา 1 ปี แต่ก็ไม่ได้ประสบความสำเร็จมากนัก จึงได้ทำการศึกษาการทำธุรกิจอย่างจริงจัง”
เมื่อธุรกิจต้องมีผู้ขับเคลื่อนถึงจะพบจุดหมายไปพร้อมๆ กัน ท่านประธานเองก็ไม่ย่อท้อ จนได้มาเจอตัวช่วยสำคัญ ที่พลังขับเคลื่อนนั่นคือ “ใจกล้า กาดำดวน” รองประธานบริษัท ที่ถูกทาบทามให้มาร่วมธุรกิจสร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัท ด้วยศักยภาพวิสัยทัศน์จึงสร้างจุดยืนให้กับ “รมิตา” เปลี่ยนจากแผนเดิมมาเป็น “ไบนารี่” แผนทางการตลาดที่แหลมคม และใช้กันเกือบทุกบริษัท ทำให้มองเห็นลู่ทางสว่าง กับหลักการที่ “ใจกล้า” นั้นได้พิสูจน์ฝีมือตัวเองในการบริหาร สร้างทีม สร้างองค์กร นำเสนอแนวคิดที่แปลกใหม่ และท่านประธานกล้าเสี่ยง ใจถึง จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะประสบความสำเร็จ
ด้วยความมุ่งมันตั้งใจเต็มเปี่ยม ถึงแม้จะเป็นน้องใหม่ แต่ก็ไม่หวั่นเพราะมีชื่อเสียงเป็นจุดยืน “รมิตา” จึงถือโอกาสบุกเบิกการตลาดทางโซเชียลเน็ตเวิร์คบนโลกอินเตอร์เน็ต ด้วยระบบไม่ด้อยกว่าผู้อื่นแถมลูกค้าได้ให้ความสนใจตอบโจทย์กับเทคโนโลยีตรงจุดนี้ร่วม 100% เต็ม และยังโด่งดังไปยังประเทศเพื่อนบ้าน นั่นคือ ประเทศลาว สร้างรายได้อย่างยอดเยี่ยม และยังเป็นตัวช่วยในการลดต้นทุน ความเสี่ยงในการเดินทาง ด้วยการตอบรับอย่างดีโดยเฉพาะในธุรกิจขายตรง
นอกจากแผนการตลาดดีแล้วสิ่งสำคัญที่ใช้เป็นตัวเดินเครื่องเคลื่อนทัพไปข้างหน้านั้น เห็นจะเป็นตัวสินค้า ที่แต่เดิม “รมิตา” เน้นหมวดเดียว คือ เครื่องสำอาง แต่การตอบรับยังไม่ถึงทุกครัวเรือน เห็นทีต้องขยับขยายกันยกใหญ่ ด้วยการขานรับนำผลิตภัณฑ์กาแฟ เข้ามาเสริมทัพของสินค้าให้แข็งแกร่งขึ้น ด้วยกระบวนการผลิตที่ไม่เหมือนบริษัทอื่น คิดค้นสูตรที่สามารถตอบโจทย์เรื่องสุขภาพให้ผู้บริโภคได้ กับกระแสของมะรุมที่มาแรงในช่วงนั้น จึงเกิดไอเดียบรรเจิดนำกาแฟผสมผงมะรุม จนเกิดเป็น “กาแฟมะรุม” ที่โด่งดังทั้งในประเทศและต่างประเทศในปัจจุบัน
จากความก้าวหน้าของผลิตภัณฑ์ที่เกิดขึ้น อีกสิ่งหนึ่งที่จะขาดไม่ได้ที่ช่วยให้ “รมิตา” ขับเคลื่อนได้อย่างสมบูรณ์ คงหนีไม่พ้นเรื่องระบบกับการวางแผนที่รัดกุม คุมได้ทุกสถานการณ์ จึงเป็นที่น่าดึงดูดใจของใครต่อหลายคนให้เข้ามาสู่บ้านหลังนี้ กับวิธีประสบความสำเร็จที่ใช้หัวใจมองเป็นหลักสู่ธุรกิจเครือข่ายที่มั่นคง โดย “รมิตา” ได้ให้ความสำคัญที่เกิดจากการพัฒนาตนเอง จัดระบบแห่งความสำเร็จที่ชื่อว่า RM Success ด้วยการใช้แนวคิดแห่งกระบวนการพัฒนาตนให้เต็มศักยภาพ ผ่านกระบวนการเรียนรู้ ประกอบด้วย 3 หัวใจหลักทั้งการเน้นระบบ และการเทรนนิ่ง คือ “การชวนคนหรือหาคน” ถือเป็นประตูด่านแรกที่นักธุรกิจเครือข่ายต้องทำเป็นหลักหากปรารถนาสู่ความสำเร็จ หรือทีเรียกว่า “ก้าวแรกสู่เศรษฐีเงินล้าน” กับคนใหม่ที่ไม่เคยทำธุรกิจขายตรงมาก่อน ด้วยการสอนวิธีหาคนเร็วและได้เงินเร็ว “การสร้างคน” กระบวนการต่อเนื่องที่จะสร้างคน สร้างองค์กรให้เติบโตอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อให้ทีมงานด้านซ้ายเติบโต ด้านขวาเติบโต เราอยู่ตรงกลางแล้วได้ตังค์ และการรักษาคน บทพิสูจน์นักธุรกิจในระดับสูงที่จะรักษาองค์กรเป็นปึกแผ่นให้อยู่ตราบนานเท่านาน ทำอย่างไรเมื่อเขาเก่งและให้อยู่กับเราได้ตลอด ด้วยองค์ประกอบของความสำเร็จของธุรกิจขายตรงต้องมีทีมที่ดี มีระบบชัดเจน มีการอบรมเข้มข้นต่อเนื่อง และสนับสนุนไปในทิศทางเดียวกัน...!!
“หากตัดสินใจที่จะสำเร็จกับการทำธุรกิจเครือข่ายขายตรงรมิตาแล้ว จงอย่าลังเลที่จะเรียนรู่เรื่องการพัฒนาตนเอง คนที่เรียนรู้แบบไม่รู้จบ คนที่พัฒนาตนเองอยู่เสมอ เท่านั้นจึงจะประสบความสำเร็จได้”
การเดินทางของ “รมิตา” ย่อมมีเข็มทิศและแผนที่ในการกำหนดเส้นทางตั้งแต่ต้นจนสำเร็จ เมื่อได้รับแผนที่ความสำเร็จมาแล้ว หากแต่ไม่ได้รับการอ่านเพื่อตีความคงไม่รู้แน่ว่าจะต้องอย่างไรต่อไป แต่รมิตานั้นได้มองการณ์ไกล ด้วยวิสัยทัศน์แห่งการมองไปถึงหัวใจของการทำธุรกิจขายตรงอย่างยั่งยืน นั่นคือ การให้ความความสำคัญเรื่องของคนเป็นหลัก กับการเน้นพัฒนาคนผ่านระบบฝึกอบรมและสร้างการขับเคลื่อนความสำเร็จที่เรียกว่า RM Success ด้วยคำที่ท่านประธานแม่ทีมนำทัพแห่งบริษัท รมิตา ที่มักย้ำเสมอว่า “เราจะไม่ทิ้งความฝันใคร”
จากระยะเวลา 5 ปี “รมิตา” เหมือนบุญหล่นทับ ได้เติบโตมาบุกตลาดสร้างภาพลักษณ์ทางสุขภาพด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีชื่อเสียงอย่าง “กาแฟมะรุม” ทำให้ได้รับความไว้วางใจจากสมาชิก ประกอบกับแผนที่ได้เงินง่าย เข้าใจง่ายด้วยความเป็นจริง เห็นผลจริงที่ว่า จ่ายตรง จ่ายจริง การจัดตั้งบริษัทถูกต้องและน่าเชื่อถือ
จากตรงจุดนี้เองทำให้ “รมิตา” ขยายการเติบโตไปยังแถบประเทศเพื่อนบ้าน นั่นคือ ประเทศลาว ได้อย่างรวดเร็ว เพียงเพราะความพร้อมในหลายด้าน และสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ความต้องการได้เป็นอย่างดีทำแล้วได้เร็ว ได้ตรง ได้จริง สิ่งนี้คือตรงใจผู้ร่วมธุรกิจที่นั่น กับโจทย์แรกที่ต้องทำในการขยับขยายสู่ธุรกิจของประเทศลาว คือ เรื่องความถูกต้องในการจดขึ้นทะเบียนกับอย.ของประเทศลาว เพื่อให้สะดุดในระหว่างการทำธุรกิจ พร้อมกับการเน้นย้ำเรื่องของระบบที่อำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกอย่างเต็มรูปแบบทั้งเรื่องคีย์รหัสเวลาสมาชิกใหม่มาสมัคร รวมถึงค่าคอมมิชชั่นที่จ่ายจริง กับสมาชิกรวมแล้วที่มีอยู่ตอนนี้ร่วม 4 หมื่นคน และฐานความมั่นคงที่แบ่งอย่างเห็นได้ชัด คือ ประเทศลาว 60% และประเทศไทย 40%
ด้วยแผนการจ่ายที่ไม่เหมือนกับบริษัททั่วไป คือ จ่ายเงินสดใส่ซองให้ทุกวันศุกร์ ส่งผลให้สมาชิกทุกท่านแอคทีฟในการทำงานกับผลตอบแทนที่ได้รับกับจุดเด่นทางด้านแผนการตลาดของ “รมิตา” ตรงจุดนี้เองทำให้สมาชิกทั้งในประเทศและต่างประเทศหลั่งไหลเข้ามาอย่างไม่ขาดสาย ถึงจะเป็นค่ายเล็กที่มากด้วยฝีมือและระบบที่รัดกุม แต่ความมั่นคงนั้นมีอยู่เต็มร้อย ด้วยวิธีการทำธุรกิจง่าย ๆ ของ “รมิตา” เพียง 4 ข้อ เท่านั้น คือ ลงทุน การแนะนำคนเข้ามา เข้าสู่ระบบการเรียนรู้ และสิ่งสุดท้ายที่ขาดไม่ได้ คือ การซื้อกิน ซื้อใช้ แค่นี้ก็สามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างราบรื่น
แน่นอนว่าการทำธุรกิจของ “รมิตา” ได้พร้อมเต็มที่แล้วในเรื่องขับเคลื่อนการเติบโตนั้นมีเห็นอย่างชัดเจน ที่เติบโต 100% เต็มทุกปี แม้จะต้องเจอกับวิกฤติน้ำท่วมจากปีที่ผ่านมา แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบ เพราะการวางแผนอันเฉียบแหลมในการเตรียมพร้อมรับภาวะน้ำท่วมด้วยการย้ายคลังสินค้าทั้งหมดในพื้นที่เสี่ยง ไปอยู่ยังจังหวัดหนองคาย เพื่อซัพพอร์ทเรื่องของสินค้าให้กับประเทศไทยทางแถบอีสานลุ่มน้ำโขงและประเทศลาว ซึ่งแนวความคิดนี้ก็ยังเป็นเครื่องการันตีได้ว่าศักยภาพของ “รมิตา” นั้นพร้อมต่อกรกับคู่แข่งได้แล้ว...
โดยทาง “เค่งฮั้ว” หัวเรือใหญ่แห่งรมิตา ยังได้หารือกับผู้นำเน้นความสำเร็จวางเป้าหมายในปี 2555 นี้ว่าจะสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นอีก 100% ด้วยขยับขยายสาขาให้มากขึ้น โดยเฉพาะจังหวัดทางภาคเหนือ และภาคใต้ กินพื้นที่ตั้งแต่เหนือสุดไปจรดยันใต้สุด รวมไปถึงประเทศลาวที่เริ่มตั้งแต่หลวงพระบางยันภาคใต้เช่นเดียวกัน พร้อมความเข้มข้นในเรื่องการฝึกอบรม และการเปิดสโมสรพลังรมิตา ที่ได้กระแสตอบรับที่ดีมาก ณ ขณะนี้ แต่ยังไม่หมดแค่นั้นยังได้วางกลยุทธ์เรื่องการขยายตลาดไว้อย่างแยบยน คือ ถ้าสนใจเปิดพื้นที่ใหม่นอกจากสาขาที่มีอยู่เดิมแล้ว บริษัทได้มีการซัพพอร์ทการจัดการประชุมถึง 30% ถือว่าเป็นการวางแผนที่ทำให้สมาชิกพึงพอใจเป็นอย่างมาก
“คือไม่ได้เน้นที่จำนวนสาขาแต่เราจะเน้นว่าที่ไหนก็แล้วแต่ที่เปิดสาขาต้องประสบความสำเร็จ และผู้นำที่นั่นต้องอยู่แล้วมีความสุข” ...ต้องบอกว่า “บริษัท รมิตา” ทำธุรกิจด้วยความจริงใจ ถึงจะเป็นบริษัทเล็กๆ แต่มีอัตราการเติบโตสูง มีการสนับสนุนเต็มที่สำหรับสมาชิกใหม่ เรื่องความสำเร็จนั้นอยู่ไม่ไกลผู้นำสามารถมั่นใจและมองเห็นถึงอนาคตได้จริง ด้วยการมาพิสูจน์ความสำเร็จนี้กับ “รมิตา”

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 315 ประจำวันที่ 1 - 15 มีนาคม 2555

มูลนิธิแอมเวย์ฯ เปิดตัวโครงการยิ่งใหญ่แห่งปี ‘Flying Book แอมเวย์เลือกความรู้บินสู่น้อง’



มูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทย เปิดตัวโครงการเพื่อสังคม “Flying Book แอมเวย์เลือกความรู้บินสู่น้อง” ชวนคนไทยเปิดประสบการณ์การบริจาคหนังสือรูปแบบใหม่ครั้งแรกของโลก ด้วยการนำเทคโนโลยี การมองเห็นภาพเสมือนจริง 360 องศา และการระบุตำแหน่งการเดินทาง มาใช้ปล่อยหนังสือบินสู่มือน้องๆ ในโรงเรียนที่ห่างไกล ผ่านแอพพลิเคชั่นบนไอโฟนหรือไอแพด และเว็บไซต์ ด้านมูลนิธิแอมเวย์ฯ มั่นใจโครงการดังกล่าว ช่วยส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนได้อย่างยั่งยืนแน่นอน
นายปรีชา ประกอบกิจ ประธานกรรมการมูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทย เผยว่า ปัจจุบันนี้จากข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบว่า คนไทยอ่านหนังสือเพียงปีละ 2 เล่ม ในขณะที่เพื่อนบ้านเราอย่างเวียดนามอ่านหนังสือถึงปีละ 60 เล่ม ทั้งนี้ ปัจจัยหนึ่งมาจากการที่เด็กไทยจำนวนมากขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้ ด้วยอาจจะอาศัยอยู่ในพื้นที่ห่างไกลและมีฐานะยากจน ซึ่งมูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทยตระหนักถึงปัญหานี้จึงดำเนินโครงการเพื่อสังคมภายใต้ชื่อ ‘One by One: เปิดโลกกว้างทางปัญญา’ เพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนไทยให้มีความเป็นเลิศทางปัญญา
ด้วยการมอบโอกาสทางการศึกษาโดยการจัดสร้างและพัฒนาห้องสมุดแอมเวย์ แก่โรงเรียนห่างไกลทั่วประเทศ มีจำนวนรวมแล้ว 30 แห่ง และสำหรับปีนี้ มูลนิธิแอมเวย์ฯ ได้เปิดตัวโครงการ “Flying Book แอมเวย์เลือกความรู้บินสู่น้อง” กิจกรรมภายใต้โครงการ One by One เพื่อเชิญชวนคนไทยร่วมสร้างสังคมแห่งการให้ผ่านโลกออนไลน์
ซึ่งโครงการ “Flying Book แอมเวย์เลือกความรู้บินสู่น้อง” นี้ เป็นการบริจาคหนังสือโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายรูปแบบใหม่ครั้งแรกของโลกผ่านช่องทางออนไลน์ โดยทุกคนสามารถร่วมกิจกรรมผ่านแอพพลิเคชั่น Flying Book บนไอโฟนหรือไอแพด และผ่านเว็บไซต์ www.flyingbook.org ด้วยขั้นตอนง่ายๆ เพียงเข้ามาเลือกหรือถ่ายภาพหนังสือที่ตนเองชอบแล้วทำการคลิกปล่อยหนังสือนั้น บินไปสู่น้องๆ
โดยแอพพลิเคชั่นนี้ จะแสดงรูปและระยะทางการบินของหนังสือว่ากำลังบินไปหาน้องๆ ผ่านเวลาและสถานที่จริงจนกระทั่งถึงมือน้อง โดยใช้เทคโนโลยี Augmented Reality การมองเห็นภาพเสมือนจริง 360 องศา และ Location-based Service การระบุตำแหน่งการเดินทาง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกออนไลน์ในการพัฒนากิจกรรมลักษณะเสมือนจริงนี้
ขณะเดียวกัน ยังแบ่งปันผ่านเฟซบุ๊คเพื่อให้เพื่อนๆ ในกลุ่มได้มาร่วมสร้างสังคมแห่งการให้ด้วยกัน โดยหนังสือที่ได้รับการคลิกส่งออกไปมากที่สุด 100 เล่มแรก มูลนิธิแอมเวย์ฯ จะนำไปมอบให้แก่ห้องสมุดแอมเวย์ พร้อมเตรียมการสร้างหรือพัฒนาห้องสมุดให้โรงเรียนในพื้นที่ห่างไกลเพิ่มอีก 4 แห่ง
“ทั้งนี้แนวคิดการปล่อย “หนังสือบิน” หรือ “Flying Book” มาจากแนวคิดและวิถีชีวิตของคนไทยที่ชอบทำบุญ แอพพลิเคชั่นนี้จึงจับประเด็นนี้มาต่อยอดให้คนไทยได้ร่วมปล่อยหนังสือบิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการทำความดีด้วยการให้ความรู้ได้บินไปหาเด็กและเยาวชน ยังพื้นที่ห่างไกล นับเป็นการทำความดีที่ง่าย ประหยัดเวลา สนุก และไม่ต้องลงทุน”
นายปรีชา กล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับผู้ที่สนใจร่วมทำความดีในการหยิบยื่นโอกาสการเรียนรู้ให้กับเยาวชนไทย สามารถร่วมปล่อยหนังสือบินผ่านโครงการ “Flying Book แอมเวย์เลือกความรู้บินสู่น้อง” ผ่าน 2 ช่องทางคือ 1) ผ่านแอพพลิเคชั่น Flying Book บนไอโฟนและไอแพด ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจาก App Store และ 2) ผ่านเว็บไซต์ www.flyingbook.org ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2555

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 315 ประจำวันที่ 1 - 15 มีนาคม 2555

‘บี.พี.โปรเกรส’เปิดเกมลุยเต็มอัตราศึก เสิร์ฟความแรงป้อนสมาชิก‘รวย สั่ง ได้’



“บี.พี.โปรเกรสฯ” เปิดศึกเขย่าวงการขายตรงเต็มรูปแบบ หลังกระแสแรงกระหึ่ม! ครอบคลุมไปทุกหย่อมหญ้า สมาชิกแห่เข้าร่วมธุรกิจมืดฟ้ามัวดิน...เตรียมปรุงเมนูเด็ด เสิร์ฟความร้อนแรงให้สมาชิก “รวย สั่ง ได้”...หวังสร้างปรากฏการณ์ครั้งยิ่งใหญ่ หลังทุ่ม 100 ล้าน เนรมิตโรงงานแล้วเสร็จ กระหน่ำงบเพิ่มอีกไม่อั้น กางตำราลุยสื่อทีวีดาวเทียม แสดงแสนยานุภาพ ประกาศศักดาความพร้อม ก่อนป้อน “ความรวย” เข้าปากสมาชิกอย่างเต็มอิ่ม...จับตา! เกมบุกสุดระห่ำ เพื่อหมู่มวลสมาชิก ปิดฉากหนีจากความจน ด้วยวิถีทางใหม่ ภายใต้รหัสลับ “รวย สั่ง ได้”...!!!
...สร้างปรากฏการณ์ความยิ่งใหญ่ เขย่าวงการธุรกิจเครือข่ายขายตรงอย่างน่าจับตามอง สำหรับ “บริษัท บี.พี.โปรเกรส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” ที่ประกาศศักดาทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท สร้างโรงงาน เพื่อเป็นฐานการผลิตสินค้าขนาดใหญ่ ป้อนให้มวลสมาชิก
ซึ่งในวันพิธีเปิดโรงงานการผลิตสินค้า ณ อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา ความยิ่งใหญ่ที่เหนือคำบรรยายของ “บี.พี.โปรเกรสฯ” ก็เปล่งแสงเจิดจรัสขึ้น เมื่อหมู่มวลสมาชิกพร้อมใจแห่เข้าร่วมเป็นสักขีพยาน ความยิ่งใหญ่อย่างมืดฟ้ามัวดินนับหมื่นคน จนพื้นที่โรงงานกว่า 20 ไร่ แน่นขนัดแทบจะไม่มีพื้นที่ให้ยืน...!!!
ใครจะเชื่อบ้างว่า ธุรกิจเครือข่ายขายตรง ที่แทบจะไม่มีชื่อปรากฏขึ้นตามหน้าสื่อต่างๆ เท่าไหร่นัก จะสามารถสร้างความแข็งแกร่ง “ปลดปล่อยแสนยานุภาพ” ปลุกพลังความยิ่งใหญ่ กระจายไปทั่วประเทศ ไทยได้น่าจับตามองขนาดนี้...!!!
“สุเทพ บุญภักดี” ประธานกรรมการ บริษัท บี.พี.โปรเกรส อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผย “ตลาดวิเคราะห์” ว่า กระแสความแรงของธุรกิจ บี.พี.โปรเกรส ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นเพราะกลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่ถูกวางเอาไว้ และการทำงานอย่างหนักของทีมบริหาร ทำให้บริษัทฯ เติบโตขึ้นมาได้อย่างที่เห็นในปัจจุบัน
ซึ่งที่ผ่านมายอมรับว่า ไม่ค่อยได้ทำตลาดผ่านสื่อมากนัก เพราะเชื่อมั่นว่า กลยุทธ์ที่นำมาใช้สามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้เป็นอย่างดี ซึ่งที่ผ่านมา หลายบริษัทที่อยู่ในวงการธุรกิจเครือข่ายขายตรง จะพยายามมองไปที่นักธุรกิจที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการ และดึงตัวเข้ามาสู่บริษัท เพื่อสร้างสายงาน และสมาชิก จึงเกิดการแย่งชิงตัวผู้นำในตลาดแห่งนี้
ขณะเดียวกัน บริษัทฯ เอง ต้องการที่จะสร้างธุรกิจขึ้นมา เพื่อสร้างรายได้ให้กระจายออกสู่พี่น้องประชาชนคนไทยให้ทั่ว ถึงด้วยผลิตภัณฑ์ที่ดี มีคุณภาพอย่างแท้จริง จึงมุ่งเจาะสมาชิกทุกกลุ่มโดยเฉพาะกลุ่มรากหญ้า ซึ่งปัจจุบันเป็นฐานสมาชิก และผู้นำหลักขององค์กรแห่งนี้
“เราตั้งใจที่จะทำให้คนไทยมีรายได้ จากอาชีพนี้อย่างแท้จริง โดยเฉพาะกลุ่มรากหญ้า ที่เราต้องการให้ลูกค้าหรือสมาชิกกลุ่มนี้ มีรายได้จากธุรกิจดีๆ แบบนี้ และเมื่อลูกค้ากลุ่มนี้ตัดสินใจเข้ามาเป็นสมาชิก สิ่งสำคัญที่ทางบริษัทต้องทำคือ การเข้าไปนั่งอยู่ในใจของกลุ่มลูกค้าเหล่านี้ให้ได้ เมื่อสามารถเข้าถึงความต้องการ และได้ใจลูกค้ากลุ่มนี้มาแล้ว ก็จะสามารถสร้างความมั่งคงได้แล้วครึ่งหนึ่ง จากนั้นเราก็สร้างสมาชิกเหล่านี้ตามกลยุทธ์ของเรา โดยมีเป้าหมายเพื่อให้สมาชิกเหล่านี้ สามารถประสบความสำเร็จกับธุรกิจนี้ได้ ซึ่งปัจจุบันเรามีนักธุรกิจอย่างมากมายที่ประสบความสำเร็จในบริษัทฯ และคนกลุ่มนี้ ได้ออกไปสร้างเครือข่ายขยายฐานสมาชิกจนเกิดกระแสความแรงอย่างที่เห็น”

มุ่งเจาะตลาดรากหญ้า
นำสินค้าคุณภาพส่งถึงมือสมาชิก
“สุเทพ” เปิดเผยต่อว่า การทำธุรกิจเครือข่ายขายตรง สิ่งสำคัญที่ต้องคำนึงคือ เมื่อสามารถครองใจลูกค้าได้ ต้องสร้างความไว้เนื้อเชื้อใจ โดยไม่หวังผลประโยชน์กับลูกค้าหรือสมาชิก และทำให้กลุ่มลูกค้าและสมาชิก ที่เข้ามาร่วมธุรกิจ ประสบความสำเร็จได้ด้วย ซึ่งวันนี้แนวทางของบริษัทฯ ที่สร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้น เป็นเพราะการเป็นผู้ให้มากกว่าผู้รับ ส่วนการบุกตลาดในช่วงที่ผ่านมา แม้แต่ละพื้นที่จะมีวัฒนธรรมที่แตกต่างกัน แต่บริษัทฯ ก็สามารถครองใจกลุ่มลูกค้าได้ทั่วประเทศ เนื่องจากบริษัทฯ ใช้การสร้างผู้นำในแต่ละพื้นที่ขึ้นมา เพื่อเป็นแบบอย่าง พร้อมทั้งวางกลยุทธ์และเทคนิคต่างๆ เพื่อให้ผู้นำในพื้นที่สามารถสร้างคน และขยายฐานสมาชิกได้ง่าย โดยที่บริษัทฯ จะเป็นผู้คอยดูแลอย่างใกล้ชิด
“แนวทางการทำตลาดของเรา จะให้ความสำคัญกับตลาดรากหญ้าเป็นหลัก เพราะเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุด ซึ่งการบุกตลาดตรงนี้ จะทำให้เราสามารถเติบโตขึ้นได้ไม่ยาก แต่การบุกตลาดนี้ ส่วนสำคัญที่สุดคือ สินค้าต้องสามารถตอบโจทย์ได้ ด้วยราคาที่ไม่แพง ซึ่งถือเป็นสิ่งสำคัญที่มองข้ามไม่ได้ ขณะเดียวกัน การกระจายสินค้าสู่มือสมาชิกต้องง่าย ไม่ทำให้สมาชิกลำบาก และสิ่งที่ขาดไม่ได้คือ ในเรื่องคุณภาพสินค้า ที่ต้องเน้นเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งถือเป็นหัวใจหลักในการทำธุรกิจ”
“สุเทพ” เปิดเผยต่อว่า กลยุทธ์ต่างๆ ในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการจัดกิจกรรมต่างๆ มอบให้กับสมาชิก ไม่ว่าจะเป็น การสร้างเทคนิคต่างๆ โปรโมชั่นท่องเที่ยว ที่ทำให้สมาชิกที่ร่วมเดินทางไปด้วยเกิดความประทับใจ เมื่อเกิดความประทับใจ การเข้าถึงเนื้องานก็จะง่ายขึ้น เหมือนกับการที่สมาชิกเปิดใจ พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ธุรกิจ ทำให้สามารถเข้าใจธุรกิจได้อย่างถ่องแท้ และมองเห็นเป้าหมายได้อย่างชัดเจน ทำให้ปัจจุบันมีผู้นำที่ประสบความสำเร็จเป็นจำนวนมาก ครอบคลุมอยู่ทั่วประเทศ

“ใจป้ำ”ทุ่มไม่อั้น
ติดอาวุธผู้นำ“รวย สั่ง ได้”
“สุเทพ” เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทฯ ได้ทุ่มงบประมาณกว่า 100 ล้านบาท สร้างโรงงานการผลิตสินค้าเป็นของตัวเอง เพื่อสร้างความมั่นคงของธุรกิจ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ ต้องการที่จะควบคุมคุณภาพสินค้า เพื่อสามารถตอบโจทย์สมาชิกได้ และสร้างองค์กรที่มั่นคงให้กับธุรกิจนี้
พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังทุ่มงบประมาณอีกไม่อั้น ลุยสื่อทีวีดาวเทียมช่อง INTV ภายใต้ชื่อรายการ “รวย สั่ง ได้” เพื่อสร้างโอกาสการทำตลาดให้สมาชิก สามารถขยายฐานลูกค้าได้ง่ายขึ้น และโฆษณาประชาสัมพันธ์บริษัทฯ เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้บริโภคทั่วไปได้รับโอกาสดีๆ ที่ทางบริษัทฯ ตั้งใจที่จะจัดสรรมาให้อย่างเต็มที่ โดยยึดผลประโยชน์ของพี่น้องประชาชนชาวไทยเป็นหลัก
“การที่เราเปิดเกมบุกหนักในปีนี้ เนื่องจากการทำตลาดของเรา ต้องเพิ่มความเข้มข้นมากขึ้น เพื่อขยายฐานสมาชิก ซึ่งประสบการณ์หลายปีที่ผ่านมา การที่เราไม่เคยพึ่งสื่อ เพราะเราต้องการที่จะสร้างฐานผู้นำให้มีศักยภาพ ซึ่งวันนี้กลุ่มผู้นำของบริษัทฯ เกิดขึ้นอย่างมากมายทุกพื้นที่ และกลุ่มผู้นำต่างๆ ที่เราสร้างขึ้นมาล้วนแต่เป็นบุคคลที่มีศักยภาพแทบทั้งสิ้น ซึ่งวันนี้ เราพร้อมแล้ว ที่จะประกาศให้คนทั้งโลกรู้ว่า “บี.พี.โปรเกรสฯ” พร้อมที่จะนำพาสมาชิกที่เข้าร่วมกับองค์กรแห่งนี้ก้าวไปสู่ความสำเร็จ ร่ำรวยพร้อมกันทั่วหน้า”

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 315 ประจำวันที่ 1 - 15 มีนาคม 2555

‘ดร.สาโรช’ปรับทัพสู้ศึกปีมังกร อัดยาแรงสร้างแบรนด์เสริมความแกร่ง



จูนคลื่นธุรกิจ “ดร.สาโรช” ปี’55 เปิดเกมบู๊สุดตัว หวังปลุกธุรกิจตื่น!...ประกาศเตรียมสร้างแรงเหวี่ยงธุรกิจให้เติบโตอีกครั้ง พร้อมย้ำ! ยังคงเดินหน้าสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง พร้อมบุกตลาดแบบครบเครื่อง ทั้งการประชาสัมพันธ์ และจัดโปรโมชั่นอย่างต่อเนื่อง…แย้มแผนตลาดเชิงรุก เตรียมเน้นลงพื้นที่ 5 ภาคส่วน ด้วยวิธีการส่งเสริมลูกค้าเดิมที่มีประสบการณ์ในการขายอยู่แล้วลงพื้นที่ หวังช่วยขยายตลาดอีกทาง เผยยอมรับปีนี้ นับเป็นปีที่ท้าทายความสามารถของบริษัทฯ อย่างมากทีเดียว
... “การที่จะได้อะไรมาเพื่อความยิ่งใหญ่ มักต้องแลกกับความสูญเสียเสมอ”… เฉกเช่นการทำธุรกิจย่อมมีอุปสรรคบ้างเป็นธรรมดา “บริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ดร.สาโรช จำกัด” ก็เช่นกัน ที่กว่าจะมายืนตรงจุดนี้ได้จนถึงปัจจุบัน ต้องบอกว่าเหนื่อยเอาการเลยทีเดียว...เพราะต้องเจอกับหลายสิ่งหลายอย่างที่โหมกระหน่ำซัดธุรกิจแบบไม่ทันตั้งตัว แต่ค่ายนี้ก็ยังสามารถฝ่าฟันมาได้จนถึงปัจจุบัน
หากพูดถึง “บริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ดร.สาโรช จำกัด” ถือเป็นอีกหนึ่งค่ายขายตรงที่มีปณิธานเพื่อต้องการทำธุรกิจแบบโปร่งใส โดยยึดหลักคุณธรรมนำหน้าธุรกิจเป็นที่ตั้ง โดยค่ายนี้เริ่มก่อร้างสร้างฐานธุรกิจในปี พ.ศ.2534 ปัจจุบันมีแม่ทัพใหญ่นำทัพหน้านั่นก็คือ “ดร.สาโรช ธีรศิลป” ปัจจุบันดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ โดยแม่ทัพท่านนี้ถือเป็นอีกหนึ่งฟันเฟืองที่สำคัญในการนำธุรกิจ ดร.สาโรช ให้ประสบความสำเร็จจนถึงปัจจุบันนี้นั่นเอง..!
ที่สำคัญ ณ ชั่วโมงนั้น ต้องบอกว่า “ดร.สาโรช” เปรียบเสมือน “พญาอินทรีย์” ที่ขณะนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องกระพือปีกบินให้แรง!...เพื่อช่วงชิงความได้เปรียบในทางธุรกิจ...เห็นได้จาก ยุทธศาสตร์การบุกตลาดของค่ายนี้เริ่มที่จะส่งสัญญาณออกมาให้เห็นเป็นรูปธรรมบ้างแล้ว ทั้ง “เชิงรุก” และ “เชิงรับ”...มาดูกันว่าปีมังกรทองนี้ ค่าย “ดร.สาโรช” จะมีทีเด็ดอะไรที่จะมาสร้างความสั่นไหวของธุรกิจเครือข่ายบ้าง และในปีที่ผ่านมา ค่าย “ดร.สาโรช” เจอกับวิกฤติอะไรบ้าง
โดยทางด้าน “ดร.สาโรช ธีรศิลป” กรรมการผู้จัดการ บริษัท ผลิตภัณฑ์สมุนไพร ดร.สาโรช จำกัด ได้เผยต่อ “ตลาดวิเคราะห์” ว่า ในช่วงปี 2554 ที่ผ่านมา บริษัทฯ มีแนวโน้มเติบโตในทิศทางที่บวกแต่ถือว่ายังไม่หวือหวามากนัก แต่ทั้งนี้ ต้องยอมรับว่าวิกฤติน้ำท่วมในปลายปีที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้รับผลกระทบเช่นกัน ส่งผลให้การทำงานหลายๆ อย่างของบริษัทฯ ต้องติดขัดไป ซึ่งโรงงานได้รับผลกระทบส่วนหนึ่ง เช่น เครื่องจักร และทรัพยากรบางส่วน เป็นต้น
“ในช่วงวิกฤติน้ำท่วมที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า กำลังซื้อหรือผู้บริโภคได้หดหายไป ทำให้ยอดขายของบริษัทฯ ในช่วงปลายปีชะลอตัวลง และการขยายตัวของธุรกิจอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก ในปีที่ผ่านมาในเรื่องขององค์กร บริษัทฯ มีการระมัดระวังในเรื่องการใช้จ่าย ลดขนาดองค์กรให้เล็กลงและใช้เทคโนโลยีต่างๆ ให้มากขึ้น ด้วยจุดนี้เอง ที่ทำให้บริษัทฯ สามารถฝ่าจุดที่วิกฤตินั้นมาได้ อีกทั้งบริษัทฯ ยังได้มีการพัฒนาระบบการทำงานให้ง่ายขึ้น มีความสะดวกต่อผู้ประกอบธุรกิจอิสระ ปรับแผนการตลาด ปรับโปรโมชั่น และใช้สื่อประชาสัมพันธ์ที่เหมาะสม เพื่อประคับประคองยอดขายของบริษัทฯ ให้ยังคงสามารถช่วงชิงส่วนแบ่งของตลาดได้เพิ่มขึ้น และเติบโตขึ้นไปเรื่อยๆ”
สำหรับยุทธ์ศาสตร์ในการบุกตลาดในปี 2555 นั้น “ดร.สาโรช” เผยว่า ต้องยอมรับว่าเศรษฐกิจและสถานการณ์ภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้นจากเหตุการณ์น้ำท่วมที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อธุรกิจ โดยเฉพาะสินค้าที่มีความจำเป็นรองจากสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันอย่างเครื่องสำอางของเรา ส่งผลให้ในปีนี้ บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องวางแผนด้านการตลาดให้สามารถที่จะประคองตัวต่อไปได้ ถึงแม้ว่าภาพรวมเศรษฐกิจบ้านเราจะยังไม่ดีขึ้นก็ตาม แต่สำหรับนโยบายการตลาดของบริษัทฯ นั้น ยังคงเดินหน้าทำตลาดอย่างต่อเนื่อง ทั้งการพัฒนาผลิตภัณฑ์ทุกชนิดให้ดียิ่งๆ ขึ้นไป ด้วยการยกระดับสินค้า และสร้างความพึงพอใจในการใช้สินค้าที่มีคุณภาพยิ่งขึ้น
“ปีนี้นับเป็นปีที่ท้าทายความสามารถของบริษัทฯ ในการปรับตัวรับการแข่งขันที่สูงขึ้น ด้วยทางเลือกที่มีหลากหลาย และเงินทุกบาทต้องใช้จ่ายอย่างคุ้มค่า เพราะทั้งสถานการณ์อุทกภัยจากธรรมชาติ เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบ ทำให้ผู้บริโภคมีความถี่ถ้วนในการใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น”
“ดร.สาโรช” เผยต่ออีกว่า หากจะให้มองถึงทิศทางของการวางแผนโฆษณาประชาสัมพันธ์ของบริษัทฯ นับจากนี้ จะเป็นเช่นไรนั้น ทางบริษัทฯ เองคงยังเน้นที่การทำกิจกรรมทางการตลาด และการโฆษณาอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งปัจจุบันหลายๆ บริษัทฯ อย่างบริษัทฯ ขายตรงยักษ์ใหญ่ อาจจะทุ่มเทงบประมาณไปกับการโฆษณาผ่านสื่อ แต่สำหรับบริษัทฯ แล้ว จะมีแนวทางนั้นร่วมด้วยในบางส่วน เช่น นิตยสารบันเทิงก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่บริษัทฯ ยังคงมีอยู่
ซึ่งนอกจากการทำโฆษณาแล้ว บริษัทฯ ยังได้จัดพนักงานเป็นทีมงานด้านการตลาดออกตลาดเยี่ยมเยียนศูนย์ตามพื้นที่ต่างๆ ด้วย เพื่อสนับสนุนการจัดกิจกรรมทางการตลาด รวมทั้งสอบถามความต้องการของศูนย์ เพื่อให้สามารถตอบสนองและให้ความช่วยเหลือในด้านต่างๆ ให้สอด คล้องกับความต้องการของลูกค้ามากที่สุด พร้อมจัดให้มีการทำวิจัยถึงความพึงพอใจของลูกค้าที่มีต่อผลิตภัณฑ์ เพื่อนำข้อมูลไปพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เกิดประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้บริโภคพึงพอใจ และที่สำคัญคือ การซื้อซ้ำเพราะเป็นจุดหนึ่งที่ทำให้บริษัทฯ อยู่ได้
ส่วนกลยุทธ์การตลาดนั้น บริษัทฯ ยังคงเน้นการสร้างแบรนด์ให้แข็งแกร่ง และการส่งเสริมการตลาดด้วยการออกตลาด ทำการประชาสัมพันธ์ตามต่างจังหวัด และจัดโปรโมชั่นมากมายอย่างต่อเนื่อง มีการวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาด เช่น จัดอบรมให้กับสมาชิกและผู้ที่สนใจร่วมดำเนินธุรกิจเพื่อเป็นการขยายฐานธุรกิจขายตรงและรีครูทตัวแทนหน้าใหม่เข้าสู่วงการมากยิ่งขึ้น เพื่อการดำเนินงานที่จะขยายฐานสมาชิกออกไป พร้อมกับนำเสนอผลิต ภัณฑ์ที่มีคุณภาพ
“ดร.สาโรช” กล่าวต่ออีกว่า นอกจากจุดเด่นเรื่องคุณภาพสินค้าแล้ว บริษัทฯ ยังมีนโยบายที่จะขยายตลาดให้กว้างและกระจายสินค้าให้ครอบคลุม โดยในปีนี้บริษัทฯ จะปรับแผนการรุกตลาด มีการวางแผนตลาดเชิงรุก โดยในแผนจะแบ่งเป็น 5 ภาคส่วน โดยแบ่งตามภาค ได้แก่ กรุงเทพฯ ปริมณฑล ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคใต้ มีผู้ดูแลและช่วยขยายตลาดอย่างใกล้ชิด เพิ่มช่องทางการหาสมาชิกให้ลูกค้า โดยใช้วิธีการที่ส่งเสริมลูกค้าเดิมมีประสบการณ์ในการขายอยู่แล้วผสมผสานกับวิธีการทางการตลาดแนวใหม่ๆ นำไปใช้ในการช่วยขยายตลาด ซึ่งต้องมุ่งเน้นไปที่การชูสินค้าคุณภาพดีนำแผนการตลาด เน้นผลิตภัณฑ์มากกว่าการขายแผนการตลาด เพื่อเป็นการทำให้ผู้บริโภคเชื่อมั่นในตัวสินค้า ใช้แล้วสวย แถมมีรายได้เข้ามาอีกนั่นเอง
ส่วนสินค้าที่จะเข้ามาเสริมทัพในปีนี้นั้น “ดร.สาโรช” เผยว่า นอกจากสินค้าเพื่อความสวยความงามแล้ว รูปแบบสินค้าของดร.สาโรช แล้ว ยังคงเป็นสินค้าสมุนไพรเพื่อความงามและสุขภาพ ขายสินค้าเพื่อสุขภาพที่ราคาไม่แพงเกินไป เนื่องจากปัจจุบันนี้ไม่มีใครอยากเข้าโรงพยาบาล เพราะค่าใช้จ่ายสูง ทำให้คนหันมาให้ความสำคัญกับสุขภาพในเชิงป้องกันมากกว่าการรักษา จึงเชื่อว่าสินค้าเพื่อสุขภาพจะเป็นอีกผลิตภัณฑ์หนึ่งที่มาแรง และเจาะกลุ่มผู้บริโภคได้มากขึ้น ที่สำคัญ บริษัทฯ ยังหวังในกลุ่มลูกค้าหลักสำหรับตลาดในอนาคต นั่นคือ กลุ่มลูกค้าที่มีอายุตั้งแต่ 30 ปีขึ้นไป และกลุ่มคนสูงอายุ เหตุผลก็เพราะคนกลุ่มนี้เริ่มมีสถานะทางการเงินที่มั่นคง มีกำลังซื้อที่ดีนั่นเอง ซึ่งสินค้าของบริษัทฯ ก็ต้องสามารถตอบโจทย์ได้ตรงใจด้วยเช่นกัน
สำหรับความเคลื่อนไหวของสมาชิกในปัจจุบันนี้นั้น “ดร.สาโรช” เผยว่า ในภาวะเศรษฐกิจเช่นนี้ แม้ว่าการฟื้นฟูเศรษฐกิจของประเทศไม่สามารถทำได้ในเวลาอันสั้น ทุกคนต่างได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์บ้านเมืองที่ผ่านมา ซึ่งรวมทั้งธุรกิจขายตรง ที่เคยเติบโตสวนกระแสมาโดยตลอด แต่ผู้บริหารการขายและสมาชิกของบริษัทฯ ก็ยังคงประคองตัวเองมาได้ และพร้อมรับมือกับทุกเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ทั้งเชิงรุกและเชิงรับ
“ในสภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ เมื่อทุกคนสามารถขยายฐานเครือข่ายได้แล้ว สิ่งที่สำคัญต่อจากนั้น คือ การรักษาสมาชิกไว้ อย่าให้หลงผิดไปกับธุรกิจที่ล่อแหลม เพราะสิ่งท้าทายที่มักพบเจอในภาวะเศรษฐกิจที่ไม่ดี นั่นคือ จะมีบริษัทฯ หน้าใหม่รายอื่นมาดึงนักขายในเครือข่ายของตัวเองออกไป ดังนั้นการให้ความรู้ความเข้าใจเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในเบื้องต้นเราต้องสร้างจรรยาบรรณ สร้างความจงรักภักดีต่อองค์กรให้ฝังรากลึกจริงๆ ให้กับผู้บริหารการขายและสมาชิกของเราให้ได้”
“ดร.สาโรช” เผยต่ออีกว่า ปัจจุบันนี้ อาจมีการฉวยโอกาสของหลุมพรางที่หวังผลตอบแทนอย่างแชร์ลูกโซ่ แต่ในภาวะเช่นนี้มองว่า ถือเป็นโอกาสของเรา ซึ่งต้องมีการวางแผนรองรับ ต้องคิดทำอะไรที่แตกต่าง น่าสนใจ พยายามใช้เทคโนโลยีให้มากขึ้น จึงจะสามารถหาสมาชิกได้เพิ่มขึ้น และดึงยอดขายกลับคืนมา โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ อินเตอร์เน็ตเป็นเหมือนกุญแจในการทำให้ธุรกิจขับเคลื่อน น่าจะใช้ให้เกิดประโยชน์ ทุกวันนี้บริษัทฯ จึงได้มีการพัฒนาศูนย์ให้กลายเป็นศูนย์ออนไลน์ให้มากขึ้น เพราะจะได้ทำงานได้สะดวก ใช้เทคโนโลยีเป็นสื่อกลางบริษัทฯ
“วันนี้บริษัทฯ พร้อมที่จะสนับสนุนผู้บริหารการขายในทุกโอกาส และยังคงส่งพนักงานออกไปแนะนำและสนับสนุนผู้บริหารการขายในการใช้เทคโนโลยีรูปแบบต่างๆ รวมถึงการจัดกิจกรรมการตลาดอื่นๆ โดยเฉพาะในต่างจังหวัด ซึ่งเป็นฐานหลักในการขยายเครือข่ายของเรา ผู้บริโภคในต่างจังหวัดส่วนใหญ่เป็นลูกค้าเดิม สามารถที่จะปลุกกระแสได้ง่าย และเมื่อใช้สินค้าดีแล้ว เขาก็จะมีการบอกต่อ ทำให้สินค้าไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด ซึ่งในการเข้าไปในทุกๆภาคนั้น บริษัทฯ ได้ร่วมมือกับนักขายด้วย มีการอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับการทำธุรกิจ และกระตุ้น สร้างขวัญกำลังใจให้กันและกัน มีการช่วยเหลือให้กลับมามีไฟกันอีกครั้งในการทำธุรกิจ”
“ดร.สาโรช” เสริมต่ออีกว่า อีกหนึ่งหัวใจสำคัญของธุรกิจขายตรงที่ขาดไม่ได้นั่นก็คือ การฝึกอบรม โดยการฝึกอบรมของดร.สาโรช จะมีการฝึกอบรมอย่างต่อเนื่อง ซึ่งแบ่งได้เป็น 2 ส่วน คือ 1.การอบรมนักธุรกิจใหม่ ดร.สาโรช โดยจัดเป็น 3 แบบ ประกอบด้วย แบบที่ 1 เรียกว่า การจัดประชุมโดยแม่ทีมจัดประชุมเป็นกลุ่มย่อย 4-5 คน เป็นการอบรมสมาชิกใหม่ เป็นการอบรมครั้งแรกให้กับผู้มุ่งหวังที่สมาชิกผู้จำหน่ายชักชวนมา อธิบายเรื่องเกี่ยวกับการใช้ผลิตภัณฑ์เบื้องต้น เป็นการอบรมผลิตภัณฑ์ เป็นหลักสูตรการอบรมผลิตภัณฑ์แต่ละชนิด แต่ละประเภทของบริษัทฯ ซึ่งต้องแบ่งเป็นหลายหลักสูตรตามกลุ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อให้สมาชิกผู้จำหน่ายมีความรู้และทักษะมากพอ
แบบที่ 2 จะมีพนักงานจาก บริษัทฯ เข้าไปช่วย ซึ่งจะเป็นกลุ่มใหญ่ขึ้นและทางศูนย์เป็นผู้เชิญชวนสมาชิกเข้ามา และความร่วมมือมายังบริษัทฯ มีวัตถุประสงค์ของการอบรม คือ การให้ความรู้เพื่อให้รู้จักบริษัทฯ ผลิตภัณฑ์ และโครงสร้างผลตอบแทนที่เรียกว่าแผนการตลาดอย่างลึกซึ้ง และจูงใจให้ซื้อผลิตภัณฑ์หรือสมาชิก เป็นสมาชิกเพื่อทำธุรกิจเครือข่าย
แบบที่ 3 จะเป็นการให้ทางศูนย์คัดเลือกสมาชิกที่มีความสามารถที่จะดำเนินธุรกิจได้มาอบรมที่บริษัทฯ เป็นการประชุมโอกาสทางธุรกิจ และบริษัทฯ ก็จะเชิญวิทยากรที่มีความรู้ความสามารถมาบรรยายให้ฟัง หรือมีการส่งเสริมรายได้ด้วยการสอนการทำสปา ขัดหน้า นวดหน้า ร่วมด้วย การอบรมหลักสูตรเกี่ยวกับการพูด เพราะการพูดเป็นทักษะสำคัญในการดำเนินธุรกิจขายตรง ดังนั้นหลักสูตรการฝึกพูด การเป็นวิทยากร เป็นหลักสูตรสำคัญที่ต้องมีไว้รองรับการขยายเครือข่ายสมาชิก
และส่วนที่ 2 คือ การเพิ่มศักยภาพผู้บริหารศูนย์ ดร.สาโรช ซึ่งจะมีการอบรมผู้บริหารศูนย์ โดยพัฒนาในทุกแง่มุมที่จะส่งผลต่อการทำธุรกิจ มาหาแนวทางการขยายตลาดร่วมกัน รวมทั้งมีวิสัยทัศน์ไปในทิศทางเดียวกัน อาจมีการจัดอบรมหลักสูตรเฉพาะความสนใจ เป็นการจัดทำหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อสนองตอบต่อสมาชิกที่มีความต้องการพัฒนาตนเองในด้านต่างๆ เช่น การขาย จิตวิทยาฯ หรือการอบรมสัมมนาที่มุ่งเน้นการมีส่วนร่วมและการสร้างสัมพันธภาพที่ดีระหว่างสมาชิกและบริษัทฯ อาจจัดเป็นครั้งคราว การอบรมที่แทรกอยู่ในงานมอบรางวัลต่างๆ หรือการให้ผู้ประสบความสำเร็จ กล่าวถึงที่มาของความสำเร็จ หรือการแลกเปลี่ยนประสบการณ์ในโอกาสต่างๆ เป็นต้น
...ทั้งนี้ เมื่อทีมข่าว “ตลาดวิเคราะห์” ถามถึงสิ่งที่อยากจะปรับปรุงแก้ไขเปลี่ยนแปลงและต้องการนำมาเสริมทัพความแข็งแกร่งของธุรกิจนับจากนี้มีอะไรบ้างนั้น “ดร.สาโรช” บอกว่า ภายใต้ภาวะวิกฤติของภัยธรรมชาติที่ไม่แน่นอนในช่วงนี้ ทำให้บริษัทฯ เองต้องเตรียมรับมือให้พร้อม เพราะที่ผ่านมาโรงงานของดร.สาโรช ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำท่วม เกิดความเสียหายไปบางส่วน ซึ่งทางบริษัทฯ ก็ได้ดำเนินการปรับปรุงโรงงานให้ทุกอย่างเข้าสู่สภาวะปกติ และเตรียมพร้อมหาทางแก้ปัญหา ถ้าเกิดปัญหาอุทกภัยขึ้นมาอีกในปีนี้
พร้อมกับต้องการที่จะปรับปรุงการทำงานของธุรกิจภายในให้ดีขึ้นกว่าเดิม โดยเน้นการปรับปรุงประสิทธิภาพ ลดต้นทุน เพิ่มคุณภาพในตัวสินค้า การจัดการองค์กรภายในให้มีประสิทธิ ภาพมากขึ้น รวมถึงการปรับตัวให้ทันกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยน แปลงไป ซึ่งธุรกิจของดร.สาโรช จะใช้วิธีปรับยุทธวิธีให้หลากหลายแตกต่างกันไปตามตลาดแต่ละกลุ่มหรือพื้นที่ เน้นการสร้างนวัตกรรมใหม่ๆ โดยเน้นการสร้างแนวคิดใหม่และทำในสิ่งใหม่ๆ ที่ไม่มีใครเคยคิดหรือเคยทำมาก่อน อย่างการออกแบบและพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้ทันกระแสความนิยมของผู้บริโภค แต่ก็ต้องอาศัยผู้จัดการที่มีความสามารถในการบริหาร และบริหารทักษะ ความถนัดและขีดความสามารถของพนักงาน รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลงภายนอก และปรับขบวนยุทธ์ให้สอดคล้องกับสภาวะที่เปลี่ยน แปลงไป เป็นต้น
สำหรับทิศทางธุรกิจขายตรงในปี 2555 นั้น “ดร.สาโรช” มองว่า ยังเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีแนวโน้มเติบโตในทิศทางบวก เพราะธุรกิจขายตรงยังสามารถตอบสนองความมั่นคงทางการเงินให้แก่คนที่สนใจ เข้ามาร่วมธุรกิจได้พอสมควร และยังมีความต้องการจากผู้ที่ต้องการสร้างรายได้เสริมในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำอีกบางส่วน นอกจาก นั้น ยังมีความวิตกกังวลเรื่องปัญหาภัยธรรมชาติและการเมืองภายในประเทศที่ยังไม่แน่นอนเช่นกัน ทำให้การขยายตัวของธุรกิจจะอยู่ในระดับที่ไม่สูงนัก แต่ในปัจจุบันผู้บริโภคให้การยอมรับและมองภาพลักษณ์ธุรกิจขายตรงดีขึ้นมาก เห็นได้จาก กลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ก่อนหน้านี้ไม่ให้ความสนใจอาชีพขายตรง แต่ปัจจุบันกลุ่มนี้มีสัดส่วนเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน เพราะมองว่าไม่ใช่เป็นอาชีพไกลตัว แต่เป็นอีกอาชีพหนึ่งที่จะเพิ่มรายได้โดยไม่ทำให้วิถีชีวิตเปลี่ยนไป
ขณะเดียวกัน การแข่งขันในตลาดก็คงมีสูงเช่นกัน และสิ่งที่น่าห่วงนับจากนี้ คือ จะเริ่มเห็นการช่วงชิงความได้เปรียบมากขึ้นในตลาดขายตรง โดยหากเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ จะเป็นการใช้สื่อเพื่อโปรโมทตัวเองมากขึ้น เพื่อไม่ให้ตก กระแส แต่ในขณะเดียวกัน บริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กก็ต้องมีการโปรโมทตัวเองมากด้วยเช่นกัน

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 315 ประจำวันที่ 1 - 15 มีนาคม 2555

3สิงห์ฟื้นชีพตลาดน้ำดำ(ภาค2) ‘บี.พี.’ซุ่มตีตลาดภูธร เทงบโรงงาน 100 ล้าน ‘เลิฟยู’ใจสู้ไม่ถอย – ‘ไฮไลฟ’น้องใหม่ขอลุยอีกรอบ



ศึกตลาดน้ำดำ (โสมเกาหลี – จีน) โหมโรงลั่นกลองรบอีกครั้งตั้งแต่ต้นปี ภายหลังส่งสัญญาณเงียบในท้องตลาดมานานนับ 10 ปี ความแรงของตลาดน้ำดำ ณ ห้วงเวลานั้น เรียกว่าผู้ประกอบการเกือบจะทุกค่าย จำเป็นต้องมีสินค้าน้ำดำไว้ติดบริษัท ซึ่งถ้าหากว่าค่ายไหนไม่มี เป็นอันว่าค่ายนั้น…หมดสิทธิ์แจ้งเกิดในสนามขายตรงทันที
ด้วยเกมการตลาดที่ถูกเซ็ตขึ้นมาอย่างร้อนแรงและโฉบเฉี่ยว ยังผลให้ตลาดน้ำดำมาแรงเกิน 10 ปี ที่ตลาดไม่เคยสูญหายและตายไปทันที เมื่อเทียบกับ “ตลาดน้ำลูกยอหรือโนนิ” ที่แจ้งเกิดมาไล่เลี่ยกัน แต่สุดท้ายตลาดน้ำลูกยอ ก็คงไว้ได้แค่ตำนาน และไม่สามารถสร้างกระแสให้ร้อนแรง หรือ “จุดติด” ได้อีกต่อไป ซึ่งสวนทางกับ “ตลาดน้ำดำ” ที่ตลาดให้การตอบรับมาจนถึงทุกวันนี้
หากย้อนอดีตกาลกลับไปที่ตำนาน “ตลาดน้ำดำ” ถูกเซ็ตและแจ้งเกิดโดยค่าย “กราฟเธอร์” และ “โกลด์แคทส์” ที่สามารถเขย่าตลาดดับรัศมีค่ายขายตรงต่างชาติได้ไม่น้อย ต่อมาตำนาน “หมอเส็ง” “โหย่งเหิง” และ “โสมเกาหลีตังกุยจับ” ก็ร่วมกันสร้างสีสัน จน “โสมเกาหลีตังกุยจับ” ขึ้นแท่นเบอร์ 1 ในเวลาต่อมา เมื่อ “เสือ” เจอ “สิงห์” เข้ามาร่วมระเบิดศึกตลาดน้ำดำด้วยกัน ตลาดขายตรง ณ เวลานั้น จึงซดยอดกันอย่างเมามันส์ จนสร้างให้ค่ายที่ใช้แผนไบนารี่ในตระกูลน้ำดำ ก้าวขึ้นเป็น 1 ในอันดับ TOP10 วงการขายตรงไทยได้แทบจะไม่เชื่อสายตา โดยมียอดขายรวมกว่า 2 หมื่นล้านบาท เล่นเอา ณ เวลานั้นค่ายยักษ์ใหญ่ – กลาง – เล็ก ทั้งไทยและต่างชาติ ต้องวางยุทธศาสตร์เพื่อต้านรับ “ตลาดน้ำดำ” กันเป็นทิวแถว
10 ปีต่อมา “ตลาดน้ำดำ” ทำท่าแผ่วปลาย “ตลาดน้ำขาว” อย่าง “พลูคาว” ก็เริ่มผงาดขึ้นสู่ตลาดทดแทนน้ำดำที่เริ่มเจือจาง ท่ามกลางการแข่งขันที่ร้อนระอุและแย่งแชร์ยอดขายกันอย่างเมามันส์ ในตระกูลน้ำดำ ก็เกิดเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันหลายเรื่องด้วยกัน อาทิ หุ้นส่วนแตกแยก เพื่อนแตกเพื่อน แม่ทีมแยกออกมาเปิดแข่ง เกิดการฟ้องร้องขึ้นโรงขึ้นศาล ซึ่งมีตัวอย่างให้เห็นมากมายหลายกรณี ฯลฯ “ตลาดน้ำดำ” จึงได้ขึ้นชื่อว่าเป็นสินค้าที่มีความอาถรรพ์ไม่แพ้ “ตลาดน้ำขาว” อย่าง “พลูคาว”
เพราะตำนานสินค้า 2 ตัวนี้ หากใครได้ไปครอบครองแล้ว “ทำไม่ดี” ก็ไม่สามารถแจ้งเกิดได้อีกในรอบที่ 2 ที่สำคัญความแรงของ “ตลาดน้ำดำ”…ยังโดนเล่นงานจากหน่วยงานรัฐทุกแขนง จนเลือดสาด หลายค่ายต่างสะบักสะบอมไปตามๆ กัน ว่ากันว่า คงเหลือแต่ค่าย “น้ำดี” และ “จริงใจ” เท่านั้น ถึงจะผ่าน “อาคมมนต์ขลัง” ด่านอาถรรพ์และแจ้งเกิดสินค้าของ 2 ตัวนี้ไปได้...!!!
และขอตัดบทมาถึง “ตลาดน้ำขาว” หรือ “พลูคาว” ข้อต่อของ “ตลาดน้ำดำ” กันสักหน่อย ภายหลังตลาดน้ำดำเริ่มกร่อย “พลูคาว” เจ้าของตำนานสินค้าไทย ก็เริ่มเบียดตลาดขึ้นมาให้เห็นอย่างเด่นชัด และเริ่มชิงแชร์ ตีกินตลาดกันอย่างเมามันส์ไม่แพ้ตลาดน้ำดำเช่นเดียวกัน เอาเป็นว่า ไปค่ายไหนไม่เห็นโบรชัวร์สินค้าแปะข้างฝา เป็นอันว่า ค่ายนั้นมีสิทธิ์ล้มทันที และก็อาถรรพ์ตามที่กล่าวมาข้างต้น จากการแตกแยก แตกฝูงของพรรคพวกเดียวกัน ก็มีตำนานคล้ายๆ กับตลาดน้ำดำ จนสื่อทุกแขนงในวงการขายตรงต่างตั้งให้เป็นสินค้า “สุดอาถรรพ์” เพราะสามารถสร้างให้คนรวยและจนได้ในพริบตาเช่นเดียวกัน
หลังกระแส “ตลาดน้ำดำ & น้ำขาว” หลุดโผออกจากผังขายตรง ตลาดน้ำผลไม้ชงดื่มเพื่อสุขภาพ ชนกับตลาดน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว ก็ขยับขึ้นมาแทนที่ ไม่ว่าจะเป็น น้ำผลไม้รวมพันธุ์ต่างชาติ หรือ น้ำมังคุดพันธุ์ไทย ก็ดังเปรี้ยงและซัดกันในตลาดอยู่ระยะหนึ่งว่า ของไทยดีกว่าต่างชาติหรือของต่างชาติดีกว่าไทย แต่ก็ไม่ใช่ของจริงที่จะมาสร้างตำนานได้ง่ายๆ อีกเช่นกัน เพราะจากตลาดที่เคยบูมก็เหลือแค่ตำนานให้กล่าวขานกันเพียงเท่านั้น
หมดจากกระแสตลาดน้ำดำ น้ำขาว สู่ตลาดน้ำผลไม้ ทีนี้ ตลาดก็ตีกลับมาที่สินค้าเกษตรบ้าง ภายหลังจากนโยบายรัฐบาลชุดประชา ธิปัตย์เป็นแกนนำ ชูธงเขียวลด ละ เลิก เคมีที่นำเข้ามาใช้ในเมืองไทย จนกระทั่งสมาคมผู้ผลิตปุ๋ยเคมีชนิดเม็ดต้องออกมาโอดครวญและตัดพ้อต่อสื่อว่า พวกตนไม่ใช่มาเฟียที่จะสกัดกั้นไม่ให้ตลาดอินทรีย์เกษตรเข้ามาทำตลาด เพราะสามารถใช้ร่วมกันได้ทั้งสองอย่าง ส่วนที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นมาเฟียสกัดไม่ให้ตลาดอินทรีย์เกษตรมาทำตลาดภาคสนามนั้นไม่ใช่เรื่องจริง ยังผลให้ตลาดอินทรีย์เกษตรชนิดน้ำและชนิดเม็ด กลับบูมสุดขีด ในปี 2553 จวบจนปัจจุบันนี้
และในต้นปี 2555 สินค้าที่โดดเด่นและน่าจับตามองยังไม่เป็นที่แน่ชัด นอกเหนือจากเครื่องสำอางและอาหารเสริมที่ยักษ์ใหญ่ชิงแชร์ตลาดเบอร์ 1-5 ที่ครองตลาดมาอย่างยาวนานและไม่ตกยุค ก็ยังคงไม่มีสินค้าตัวใดที่หวือหวาและก้าวขึ้นมาเทียบเคียงสินค้าอินทรีย์เกษตรที่ยังมาแรงไม่ตกได้
ภายหลัง “ทีมข่าวตลาดวิเคราะห์” ได้ลงสำรวจในภาคสนาม …กลับพบว่า “ตลาดน้ำดำ” ยังคงขายดิบขายดีในตลาดภูธร ทำเอาทีมข่าวต้องกลับลำมาตั้งบทวิพากษ์วิจารณ์กันใหม่อีกครั้ง ด้วยการเปิดเวทีหน้ากระดาษผืนนี้จับกระแสข่าวมาวิเคราะห์กันใหม่ทั้งหมด
ภายหลังจากคลุกคลี ลงลุย และสัมผัสภาคสนามของทีมข่าว ก็ได้รับคำตอบว่า “ตลาดน้ำดำ” ยังไม่ตาย เพราะยังมี “โหย่งเหิง” (เจริญโอสถ หรือ จอย แอนด์ คอยน์) ค่าย “หมอเส็ง” “โกลด์แคทส์” และค่ายเล็กๆ อีกหลายค่าย ยังคงอิงสินค้าน้ำดำเป็นสินค้าตัวเอกอยู่เช่นเดิม ถึงแม้จะสร้างยอดไม่หวือหวาเฉกเช่นในอดีต แต่ก็ต้องบอกว่า สามารถทำยอดขายได้ไม่เบาทีเดียว เพราะกระแสตอบรับจากลูกค้ายังมีมาอย่างต่อนื่อง
นอกเหนือจากค่ายพี่ใหญ่ที่กินแชร์ตลาดน้ำดำมานาน บัดนี้กลับพบว่า ยังมีหน้าใหม่ที่คอยชอนไช สร้างกระแสปลุกตลาดน้ำดำ ได้อย่างน่าอัศจรรย์ใจ โดยเฉพาะ ค่าย “บี.พี.โปรเกรส” ที่สามารถจุดกระแสตลาดน้ำดำให้ดังเปรี้ยงปร้างอีกครั้ง จากตำนานเดิม “อาร์.เอ็น.โปร เกรส” ภายใต้การบริหารงาน “คุณอรุณ บุญภักดี” พี่ชายผู้สร้างตำนานให้ “อาร์.เอ็น.โปรเกรส” โด่งดัง ที่ได้ประสบอุบัติเหตุรถชนเสียชีวิต จนน้องชายหัวแก้วหัวแหวนชายร่างเล็กแต่ใจใหญ่อย่างบอส “สุเทพ บุญภักดี” ที่สวมหัวใจสิงห์ วิ่งสู้ฟัด งัดกลยุทธ์ทุกเม็ดมาสืบสานตำนานต่อ ภายใต้บริษัทใหม่ในนาม “บี.พี.โปรเกรส” ที่ทำตลาดแบบซุ่มเงียบที่ตลาดภูธรทั่วประเทศ แล้วไปลงหลักปักฐานใหม่ที่จังหวัดนครราช สีมา ดินแดนที่พี่ชายตั้งใจที่จะสานฝันให้เป็นจริง วันนี้ บอสใหญ่ “สุเทพ” ก็ทำสำเร็จและพร้อมรบเกิน 100%
ด้วยความพร้อมของโรงงานการผลิตบนพื้นที่กว่า 20 ไร่ ณ อำเภอคง จังหวัดนครราชสีมา ที่ใช้งบกว่า 100 ล้านบาท และที่สำคัญกำลังจะใช้งบอีกกว่า 100 ล้านบาท ทุ่มสื่อผ่านสถานีเครือข่ายทีวีดาวเทียม ทางสถานี INTV TVD และสถานีดาวเทียมช่อง อื่นๆ นี่ยังไม่นับรวมสื่อหนังสือ พิมพ์และนิตยสารในธุรกิจขายตรง ตามที่บอสใหญ่ “สุเทพ บุญภักดี” ตั้งใจและสานงานต่อจากพี่ชาย “อรุณ บุญภักดี” การเป็นเจ้าพ่อบุญทุ่มของบอส “สุเทพ” ยังไม่จบแค่นี้ ยังทุ่มงบอีกว่า 100 ล้านบาท สร้างฐานสมาชิกให้ “รวยสั่งได้”
ภาพความยิ่งใหญ่ของ “ตลาดน้ำดำ” บี.พี.โปรเกรส อาจจะยังไม่ชัดเต็มร้อย หากไม่ฉายภาพความยิ่งใหญ่ของการจัดงานพบปะสังสรรค์สมาชิก ณ โรงงานการผลิตที่อำเภอคง ที่มีสมาชิกเข้าร่วมงานกว่า 10,000 คน เล่นเอาสื่อมวลชนช็อกไปตามๆ กัน และไม่คาดคิดว่า จากค่ายที่เคยโด่งดังแล้วเงียบไปสักพักใหญ่ จะโด่งดังขึ้นมาอีกครั้ง จากมันสมองสองมือของบอสตัวเล็กแต่ใจใหญ่อย่าง “สุเทพ บุญภักดี” จะกลายเป็นผู้ฟื้นคืนชีพตลาดน้ำดำ และปลุกตลาดให้เหิมเกริมขึ้นมาอีกครั้ง
การฟื้นชีพตลาดน้ำดำ จะมาแบบหนึ่งเดียวหรือบินเดี่ยวแล้วสร้างตำนานใหม่ให้เกิดขึ้นอีกครั้งนั้น คงเป็นไปไม่ได้ เพราะการแท็คทีมกันเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ ย่อมดีกว่าบินไปแบบหัวเดียวกระเทียมลีบ ที่สำคัญตลาดนั้นใหญ่เกินกว่าที่จะมาแย่งแชร์กันเองด้วยซ้ำ ดังนั้น ค่าย “เลิฟ ยู” จึงเป็นอีกค่ายหนึ่งที่ร่วมเปิดกระแสแชร์ตลาดน้ำดำ (ภาค 2) ถึงแม้ทั้ง 2 ค่าย จะมาจากองค์กรขนาดกลาง และ เล็ก แต่เป็นเล็ก “พริกขี้หนู” เพราะหากเคี้ยวลงไปเมื่อใดเป็นอันว่า เผ็ดพอตัวสำหรับค่าย “เลิฟ ยู” ภายใต้การนำทัพของบอสดา “จิรัชยาพัชร์ สาคะรินทร์” สาวแกร่งผู้เป็นที่รักและที่พักพิงให้กับค่าย “เลิฟ ยู”
หลังจากเปิดเกมบุกมานาน แสนยานุภาพก็เริ่มเด่นชัดในปีที่ 4 หลังจัดงานครบรอบ 4 ปี สมาชิกให้การตอบรับกว่า 4,000 คน ณ สโมสรตำรวจ ก็เรียกว่า ไม่เบาทีเดียว ภายหลังจากโดนกระแสน้ำท่วมซัดกระหน่ำ แถมยังแตกหักกับหุ้นส่วนที่ไปเปิดบริษัทใหม่ในนาม “บริษัท เลิฟ เน็ตเวิร์ค จำกัด” ภายใต้การบริหารงานของ “ทานุชล หงษ์ทอง” คนกันเอง และคิดว่าทั้ง 2 ขั้วและ 2 ค่าย คงจะเขย่าบัลลังก์และเรียกพลังศรัทธากลับคืนมาได้ไม่น้อย นั่นหมายความว่า ตลาดน้ำดำจะเดือดจนเกินพิกัดอีกครั้ง
ทิ้งท้ายกันที่ สิงห์ตัวที่ 3 นั่นคือ ค่าย “ไฮไลฟ อินเตอร์ เมท กรุ๊ป” สิงห์ภูธรบุกกรุง หลังจากทำตลาดภูธร จังหวัดพิษณุโลก จนสำเร็จ โดยมีคุณพ่อเป็นแพทย์แผนโบราณจีน ที่มีประสบการณ์ด้านตำรับยาจีนมาอย่างโชกโชน เรียกว่า จ่ายยาสูงสุดต่อครั้งกว่า 1 ล้านบาท จนเข้ารับรางวัลพระราชทานหลายครั้งด้วยกัน และที่สำคัญยังมีโรงงานผลิตสมุนไพรจีนเป็นของตนเอง ผลัดมือจากคุณพ่อชาวจีนสู่ทายาทรุ่นลูกเชื้อจีนปนไทย ก็ได้สืบสานตำนานต่อจากคุณพ่อ โดยทายาทคนที่ 2 จบคณะแพทยศาสตร์ พ่วงด้วยแพทย์แผนโบราณอีก 1 ใบ ซึ่งสามารถสั่งจ่ายยาทั้งแผนโบราณและแผนปัจจุบันตามใบประกอบวิชาชีพ ซึ่งต้องบอกว่า มีต้นตำนานยาโสมจีนน้ำดำขนานแท้อีกตระกูลหนึ่ง ที่จะขอฝากจารึกชื่อเสียงไว้ในวงการขายตรงไทยในไตรมาสที่ 2 ของปี 2555 นี้
จากภูธรสู่ตลาดเมืองกรุง ถือเป็นการบ้านโจทย์ข้อใหญ่สำหรับนักธุรกิจหน้าใหม่วงการขายตรงไทย เพราะการลองชิมลางในตลาดเมืองกรุง หากมีความรู้เครือข่ายไม่แตกฉาน ย่อมโดนลองของอย่างแน่นอน และก็เป็นไปตามคาด เมื่อ “ไฮไลฟ” เข้ามาชิมลาง ก็โดนต้อนรับน้องใหม่ในธุรกิจขายตรงอย่างจัง จนเรียกว่าฐานการตลาดเป๋ เดินโซซัดโซเซอย่างไม่เป็นท่า แต่ก็สามารถยืนหยัดมาได้นานกว่า 2 ปีเต็ม ก็ต้องบอกว่าผ่านบททดสอบด่านสนามหินใน กทม.พอสมควร จนสามารถยืนหยัดในสนามได้ในแผนการตลาดสแตร์สเต็ปขายตรงพันธุ์ไทยแท้ ที่ยืนปักหลักด้วยฐานผู้บริโภคขนานแท้ที่ไม่ใช่ฐานเครือข่ายขายตรงมาถึงวันนี้ 3 ศรีพี่น้องต้นตระกูล “เหลืองตระกูล” จะขอยืนหยัดต่อสู้ต่อไป และขอตั้งหลักใหม่ในฐานระบบเครือข่ายขายตรงพันธุ์แท้ ที่ต้องการสร้างเครือข่ายและขยายสินค้าน้ำดีสู่มือผู้บริโภคให้มากที่สุด…คงต้องติดตามเกมการบุกตลาดน้ำดำจากสิงห์ตัวที่ 3 ว่าจะสามารถเปิดเกมบุกตลาดได้มาก – น้อยเพียงใด ในภาวะที่มีความพร้อม 100% คงต้องติดตามในช็อตต่อไป อย่างใกล้ชิด…!!!

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 315 ประจำวันที่ 1 - 15 มีนาคม 2555

‘แอมเวย์’ ปั้นแบรนด์เพื่อสังคมผุดโครงการ ‘Flying Book’ความรู้บินสู่น้อง



“แอมเวย์” เปิดโครงการ Flying Book “เลือกความรู้บินสู่น้อง” ชวนคนไทยเปิดประสบการณ์การบริจาคหนังสือรูปแบบใหม่ครั้งแรกของโลกด้วยการนำเทคโนโลยี Augmented Reality (AR) การมองเห็นภาพเสมือนจริง 360 องศา และ Location-based Service การระบุ ตำแหน่งการเดินทางมาใช้ปล่อยหนังสือบินสู่มือน้องๆ ในโรงเรียนที่ห่างไกล ผ่าน แอพพลิเคชั่นบนไอโฟนหรือไอแพดและ เว็บไซต์ เพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ของเด็กและเยาวชนอย่างยั่งยืน

จากความร่วมมือของ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด และนักธุรกิจแอมเวย์ ผู้มีจิตกุศล ได้ร่วมกันจัดตั้ง มูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทย ขึ้นเมื่อปี 2545 โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นศูนย์รวมในการดำเนินกิจกรรมสาธารณประโยชน์และสาธารณกุศลเพื่อตอบแทนบุญคุณสู่สังคมไทย โดยมุ่งเน้นการมีชีวิตที่ดียิ่งขึ้นของเด็ก เยาวชนและผู้ด้อยโอกาสทางสังคม ภายใต้แนวคิด One by One หรือทีละคน ซึ่งหมายถึง การ ที่บุคคลแต่ละคนต่างให้ความช่วยเหลือเด็กและเยาวชน ทีละคน...ทีละคน ก็จะสามารถรวมเป็นความช่วยเหลือเด็กและ เยาวชนได้เป็นจำนวนมากในที่สุด
โดยตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา มูลนิธิ แอมเวย์ฯ ได้จัดทำโครงการเพื่อเด็กและเยาวชนที่ด้อยโอกาสมากมาย อาทิ การสร้าง หรือพัฒนาห้องสมุดแอมเวย์ในพื้นที่ห่างไกล การมอบทุนการศึกษาแอมเวย์ การผลิตหนังสือเสียงเพื่อผู้พิการทางสายตา และการ ผ่าตัดเด็กที่มีอาการปากแหว่งเพดานโหว่หรือยิ้มสยาม เป็นต้น

จากความมุ่งมั่นในการให้โอกาสทางสังคมด้านต่างๆ โดยเฉพาะด้านการศึกษานั้น ขณะนี้ มูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทยและ แอมเวย์ ประเทศไทย ได้ทำการศึกษาข้อมูล และพบว่า ปัจจุบันเด็กไทยมีสถิติการอ่านหนังสือเพียงปีละ 2 เล่ม (อ้างอิงข้อมูลจาก สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริม สุขภาพ (สสส.) และสมาคมผู้จัดพิมพ์แห่งประเทศไทยเมื่อปี 2553) ซึ่งสถิติดังกล่าว เกิดได้จากหลายปัจจัย แต่ปัจจัยหนึ่งที่สำคัญ คือ เด็กๆ ที่ห่างไกลไม่มีทุนทรัพย์ในการซื้อ หนังสืออ่าน ดังนั้นมูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคม ไทยจึงได้จัดทำโครงการ “Flying Book แอมเวย์เลือกความรู้บินสู่น้อง” ขึ้นมา เพื่อมอบโอกาสทางการศึกษาแก่เด็กๆ เหล่านั้น
โดย นายปรีชา ประกอบกิจ ประธาน กรรมการมูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทย ได้กล่าวว่า “จากข้อมูลของสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พบ ว่า คนไทยอ่านหนังสือเพียงปีละ 2 เล่ม ใน ขณะที่เพื่อนบ้านเราอย่างเวียดนามอ่านหนังสือ ถึงปีละ 60 เล่ม ทั้งนี้ ปัจจัยหนึ่งมาจากการ ที่เด็กไทยจำนวนมากขาดโอกาสในการเข้าถึงแหล่งข้อมูลความรู้ ด้วยอาจจะอาศัยอยู่ ในพื้นที่ห่างไกลและมีฐานะยากจน ซึ่งมูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทยตระหนักถึงปัญหานี้ จึงดำเนินโครงการเพื่อสังคมภายใต้ชื่อ ‘One by One : เปิดโลกกว้างทางปัญญา’ เพื่อพัฒนาศักยภาพเด็กและเยาวชนไทยให้มีความเป็นเลิศทางปัญญา ด้วยการมอบโอกาสทางการศึกษาโดยการจัดสร้างและพัฒนาห้องสมุดแอมเวย์แก่โรงเรียนห่างไกลทั่วประเทศ มีจำนวนรวมแล้ว 30 แห่ง และสำหรับปีนี้ มูลนิธิแอมเวย์ฯ ได้เปิดตัวโครงการ ‘Flying Book แอมเวย์เลือกความรู้บินสู่น้อง’ กิจกรรมภายใต้โครงการ One by One เพื่อเชิญชวนคนไทยร่วมสร้าง สังคมแห่งการให้ผ่านโลกออนไลน์”

“Flying Book แอมเวย์เลือกความรู้บินสู่น้อง เป็นการบริจาคหนังสือโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายรูปแบบใหม่ครั้งแรกของโลกผ่านช่องทางออนไลน์ โดยทุกคนสามารถร่วมกิจกรรมผ่านแอพพลิเคชั่น Flying Book บนไอโฟนหรือไอแพด และผ่านเว็บไซต์ www.flyingbook.org ด้วยขั้นตอนง่ายๆ เพียงเข้ามาเลือกหรือถ่ายภาพหนังสือที่ตนเองชอบ แล้วทำการคลิกปล่อยหนังสือนั้นบินไปสู่น้องๆ แอพพลิเคชั่นนี้จะแสดงรูป และระยะทางการบินของหนังสือว่ากำลังบินไปหาน้องๆ ผ่านเวลาและสถานที่จริงจนกระทั่งถึงมือน้อง โดยใช้เทคโนโลยี Augmented Reality การมองเห็นภาพเสมือนจริง 360 องศา และLocation-based Service การระบุตำแหน่งการเดินทาง ซึ่งถือเป็นครั้งแรกของโลกออนไลน์ในการพัฒนากิจกรรมลักษณะเสมือนจริงนี้ ขณะเดียวกัน ยังแบ่งปันผ่านเฟซบุ๊กเพื่อให้เพื่อนๆ ในกลุ่ม ได้มาร่วมสร้างสังคมแห่งการให้ด้วยกัน โดย หนังสือที่ได้รับการคลิกส่งออกไปมากที่สุด 100 เล่มแรก มูลนิธิแอมเวย์ฯ จะนำไปมอบ ให้แก่ห้องสมุดแอมเวย์ พร้อมเตรียมการสร้างหรือพัฒนาห้องสมุดให้โรงเรียนในพื้นที่ ห่างไกลเพิ่มอีก 4 แห่ง”

“ทั้งนี้แนวคิดการปล่อย “หนังสือบิน” หรือ “Flying Book” มาจากแนวคิดและวิถีชีวิตของคนไทยที่ชอบทำบุญ แอพพลิเคชั่นนี้จึงจับประเด็นนี้มาต่อยอดให้คนไทยได้ร่วมปล่อยหนังสือบิน ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของการทำความดีด้วยการให้ความรู้ได้บินไปหาเด็กและเยาวชนยังพื้นที่ห่างไกล นับเป็นการทำความดีที่ง่าย ประหยัดเวลา สนุก และไม่ต้องลงทุน” นายปรีชา กล่าว

อาจกล่าวได้ว่า กิจกรรมนี้เปรียบเหมือน การให้ประชาชนบริจาคความคิดเห็นของตัวเองว่าชอบหนังสือเล่มไหน หรือคิดว่าหนังสือเล่มไหนเหมาะแก่เยาวชน แล้วร่วม แชร์และโหวตผ่านโลกดิจิตอล โดยหนังสือที่ประชาชนส่วนใหญ่เลือกที่จะส่งต่อไปสู่น้องๆ จากการจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวกิจกรรม นี้ คือ “แฮร์รี่พอตเตอร์” และ “ความสุขของ กะทิ” ถือว่าเด็กๆ มีโอกาสได้อ่านวรรณกรรมของทั้งไทยและเทศกันเลยทีเดียว

โดยผู้ที่สนใจร่วมทำความดีในการหยิบยื่นโอกาสการเรียนรู้ให้กับเด็กและเยาวชนไทยสามารถร่วมปล่อยหนังสือบินผ่านโครงการ “Flying Book แอมเวย์เลือกความรู้บินสู่น้อง” ผ่าน 2 ช่องทางคือ 1) ผ่านแอพพลิเคชั่น Flying Book บน ไอโฟนและไอแพด ซึ่งสามารถดาวน์โหลดได้ฟรีจาก App Store และ 2) ผ่านเว็บไซต์ www.flyingbook.org ตั้งแต่วันนี้ถึงวันที่ 31 พฤษภาคม 2555

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1279 ประจำวันที่ 29-2-2012 ถึง 2-3-2012

‘ดี เน็ทเวิร์ค’ เปิดพิมพ์เขียวจ้องจับ 7-11 บริการสมาชิกจ่ายสินค้า





“ดี เน็ทเวิร์ค” จับกระแส สุขภาพติดลมบน เดินหน้าผุด 2 ผลิตภัณฑ์สกินแคร์ Traffle Cleansing และ Innovaskin White Serum พร้อมอวดไอเดียเสริมอาหารชนิดเยลลี่ เชื่อผู้บริโภคให้การตอบรับดี เปิดพิมพ์เขียวแผนจับมือ 7-11 สร้างความสะดวก สบายให้สมาชิกชำระค่าสินค้าผ่านร้านสะดวกซื้อ

นายสาคร ใสกมล ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทมีความรู้ว่าทำอย่างไรให้ธุรกิจเติบโต ธุรกิจเครือข่ายจะเติบโตได้เพราะคนจะให้บริษัทเติบโตอย่างมั่นคงขึ้นอยู่กับสินค้า ที่สำคัญต้องวางตัวบริษัทอยู่ในจุดการแข่งขันการที่จะอยู่บนจุดดังกล่าว ทางบริษัทจำเป็นต้องเพิ่มสินค้าให้หลากหลาย และสินค้านั้นต้องสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ เน้นในเรื่อง “สินค้าใหม่ขายกับคนเก่า สินค้าเก่าขายให้คนใหม่”

“ธุรกิจจะเติบโตได้ เพราะคนเติบโตอย่างมั่นคงขึ้นอยู่กับสินค้า ก้าวไกลด้วยวิสัยทัศน์ของผู้บริหารง่ายและรวดเร็ว บริษัทต้องซัพพอร์ต มั่นคงเพราะแผนการตลาด ผมจะไม่ให้ธุรกิจดี เน็ทเวิร์ค ถึงจุดอิ่มตัว แต่ให้อยู่ในจุดแข่งขันให้นานที่สุด และในวันนี้ เราพร้อมที่จะแข่งขันทุกรูปแบบ”

ประธานผู้ก่อตั้ง ดี เน็ทเวิร์ค กล่าวต่อไปว่า ในปัจจุบันทางบริษัทได้พัฒนาผลิตภัณฑ์ ให้ล้ำหน้าไปอีกขั้น ด้วยการผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในกลุ่มวิตามินและเกลือแร่ในรูปแบบของขนมเยลลี่ ซึ่งในไส้ของเยลลี่จะเป็นน้ำที่อุดมไปด้วยวิตามินและเกลือแร่

“เราจะทำสินค้าเสริมอาหารในกลุ่มวิตามินเกลือแร่ในรูปแบบของขนมเยลลี่ ที่ดูดซึมได้ง่ายเห็นผลเร็ว ตอนนี้เราได้คุยกับซัพพลายเออร์เรียบร้อยแล้ว เราใช้วัตถุดิบที่ดีที่สุด ตอนนี้ผู้ผลิตรับโจทย์นี้ไปทำแล้ว เราคาดว่าอีก 2 เดือนข้างหน้าจะนำเสนอผลิตภัณฑ์ตัวนี้สู่ตลาดได้”

สาคร กล่าวต่อไปว่า ทางบริษัทยังมีการเปิดตัวสินค้านวัตกรรมใหม่ในส่วนของกลุ่มสกิน แคร์ 2 รายการคือ Innovaskin White Serum และ Traffle Cleansing โดย ผลิตภัณฑ์ทั้งสองตัวนี้ ผลิตขึ้นภายใต้นวัตกรรมที่ล้ำสมัย

Innovaskin White Serum เน้นไปที่การสร้างความกระจ่างใสให้กับผิว โดยใช้ เทคโนโลยียับยั้งการสร้างเม็ดสีผิว และใช้อะมิโนในการเหนี่ยวนำผลิตภัณฑ์สู่ชั้นผิวหนัง ส่วนผลิตภัณฑ์ Traffle Cleansing เป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถทำความสะอาดผิวหน้า ได้อย่างหมดจด ไม่เพียงแต่ล้างผิวเท่านั้น Traffle Cleansing ยังสามารถล้างสารพิษ ต่างๆ บนผิวหน้าได้เป็นอย่างดี มีสารบำรุง ผิวถึงชั้นคอลลาเจน มีเทคโนโลยีชาร์จประจุ อิเล็กตรอน ในการเปิดผิว เปิดรูขุมขน เพื่อการทำความสะอาดที่ล้ำลึกมากกว่า ผลิตภัณฑ์อื่นๆ

“สินค้าของเราใช้วัตถุดิบเกรดเอ ชั้นเลิศจากยุโรป ผลิตขึ้นภายใต้นวัตกรรมที่ล้ำสมัย ตอนนี้เรามีสินค้าในกลุ่มสกิน แคร์ 10 รายการ ซึ่งถือว่าครบไลน์แล้วทั้งสินค้า ที่มีคุณสมบัติในการทำความสะอาด ป้องกัน บำรุงและรักษา ที่สำคัญสินค้ากลุ่มสกิน แคร์ ของเราเหมาะกับสภาพผิวของคนเอเชียเป็น อย่างยิ่ง”

ผู้บริหารระดับสูง ดี เน็ทเวิร์ค กล่าวว่า ส่วนสินค้าในกลุ่ม “D net” ซึ่งมีทั้งโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตได้รับการตอบรับที่ดีมาก หลังจากเปิดตัวไปราว 1 อาทิตย์ในปัจจุบัน มียอดจองไปแล้วกว่า 300 เครื่อง ซึ่งทั้งโทรศัพท์มือถือและแท็บเล็ตของบริษัทมีคุณภาพเทียบเคียงกับแบรนด์ชั้นนำในตลาด ได้เลย ที่สำคัญในปัจจุบันทาง ดี เน็ทเวิร์ค กำลังเจรจาจำหน่ายบัตรเติมเงินของ D net ผ่านร้าน 7-11 ทั่วประเทศ และต่อไปในอนาคต อันใกล้ สมาชิกของ ดี เน็ทเวิร์คจะสามารถ ชำระเงินในการซื้อสินค้าผ่านทาง 7-11 ซึ่ง ถือเป็นการเพิ่มความสะดวกให้กับสมาชิก

ทางด้าน คุณภูมสนอง หล้าสุด ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ กล่าวเสริมว่า ทาง ดี เน็ทเวิร์ค เน้นเรื่องสินค้า ที่ครบวงจร การทำธุรกิจเครือข่ายต้องทำ ทุกอย่างให้ครบวงจร โดยเฉพาะอย่างยิ่ง 5 D
“เราให้ความสำคัญในเรื่องสินค้าในกลุ่มความงามถือเป็นสินค้าที่มียอดขายในลำดับต้นๆ เราจึงเน้นสินค้าที่มีนวัตกรรม มี ความหลากหลาย เห็นผลที่ชัดเจน Innovaskin White Serum และ Traffle Cleansing เป็นสินค้าที่มีนวัตกรรมล้ำหน้า เหมาะ กับสภาพผิวของคนเอเชียและดี เน็ท เวิร์ค เป็นเจ้าของลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว เราคาดว่า ผลิตภัณฑ์ทั้ง 2 ตัวนี้จะได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคเป็นอย่างดี”

ด้านอุทัย แจ่มฟ้า ผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด กล่าวว่า ทางบริษัทมีการเปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม สกิน แคร์ Innovaskin White Serum และ Traffle Cleansing ซึ่งถือเป็นชุดดูแลพื้นฐาน

“สินค้าของเราส่วนใหญ่จะมุ่งเน้นไปที่กลุ่มคนที่มีปัญหา เน้นการฟื้นฟูและรักษา เราไม่ค่อยเน้นในเรื่องสินค้าพื้นฐานมากนัก แต่สินค้าทั้ง 2 ตัวนี้เป็นสินค้าในกลุ่มพื้นฐาน ที่เป็นออร์แกนิกล้วนๆ เราคาดว่าสินค้าทั้ง 2 ตัวนี้ จะสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี การเปิดสินค้าครั้งนี้จะทำให้สินค้าในกลุ่มสกิน แคร์ของ เรา ครบวงจรมีสินค้าที่มีคุณสมบัติในการทำความสะอาด ป้องกัน บำรุงและรักษา” ผู้บริหารระดับสูง ดี เน็ทเวิร์ค ระบุปิดท้าย

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1279 ประจำวันที่ 29-2-2012 ถึง 2-3-2012

วันอังคารที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

“เจอเนสส์” ฝันเป้าสิ้นปี 1,000 ล้านบาท ดัน "ธเนตร วงษา" ขึ้นแท่นไดมอนด์แห่งเอเชีย



น้องใหม่ “เจอเนสส์” มาแรง ทำตลาดไม่ถึงปีปิดยอด 150 ล้านบาท แม้เจอปัญหาน้ำท่วมก็ไม่ยั่น ส่งแผน ปี 2555 กับทริปเที่ยวนอกแบบง่ายๆ ชูนวัตกรรมสินค้าใหม่ ไม่เหมือนใครในตลาดเอาใจคนรักผิด ชี้อีก 2 เดือนข้างหน้าย้ายบ้านใหม่ รองรับ ตลาดโตในอนาคต ด้านเป้าหมายทั้งปี หนุน ผู้นำเบอร์ 1 ในวงการขายตรงอย่าง ธเนตร วงษา ขึ้นตำแหน่งไดมอนด์คนแรกแห่งเอเชีย หวังพิชิตยอดทั้งปีให้ได้ 1,000 ล้านบาท
ลาวัณย์ เวทประเสริฐวงศ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท เจอเนสส์ โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ “เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค” ถึง ภาพรวมบริษัทปีที่ผ่านมาว่า บริษัทปิดยอดขายได้ 150 ล้านบาท ซึ่งเป็นยอดที่น่าพอใจ เนื่องจากปัญหาอุทกภัย บริษัทได้เตรียมการไว้ก่อนล่วงหน้าด้วยการเปิดบริษัทชั่วคราวที่จังหวัดเชียงใหม่ ส่งผลให้ยอดขายเติบโตเป็นอย่างมากในภาคเหนือ
ทั้งนี้ หลังเกิดเหตุการณ์น้ำท่วมในปี ที่ผ่านมา บริษัทได้จัดประชุมแบบใหม่ ในการร่วมแรงร่วมใจช่วยเหลือร่วมกัน โดยในปีที่ผ่านมาเป็นปีแห่งการสร้างเครือข่าย และในปีนี้บริษัทจะเน้นให้ความรู้ โดยแต่งตั้งผู้เชี่ยวชาญให้ความรู้และตอบคำถามเกี่ยวกับสินค้า พร้อมทั้งตั้งศูนย์ฮอตไลน์ อำนวยความสะดวกให้กับผู้บริโภค อย่างไรก็ดีบริษัทยังคงเน้นจัดอบรมพัฒนาสร้างศักยภาพผู้นำ โดยวางเป้าหมายให้ ธเนตร วงษา ขึ้นตำแหน่งไดมอนด์คนแรกของเอเชีย และวางเป้ายอดขายประมาณ 500-1,000 ล้านบาท ในปีนี้
ขณะเดียวกัน การวางแผนการทำตลาด บริษัทจะไม่แข่งกันกับค่ายใด เพราะบริษัทมั่นใจว่าสินค้าที่บริษัทวางตลาดนั้น เป็นสินค้านวัตกรรม ซึ่งใน ตลาดยังไม่มีค่ายใดมีนวัตกรรมใหม่เหมือนกับบริษัท ซึ่งเป็นสินค้าในกลุ่มดูแลผิวพรรณระดับ Cellular และ มี Growth Factors ที่เป็นจุดเด่นไม่เหมือนใคร
นอกจากนี้บริษัทยังเตรียมแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มสกินแคร์เพื่อการดูแลผิวพรรณอย่างครบสูตร โดยในไตรมาสแรกของปีนี้ บริษัทแม่ที่สหรัฐอเมริกา เตรียมเปิดตัว Cleanser และ Body Moisturizer เพิ่มโดย จะมีการแจกสินค้าตัวอย่างขนาด 5 กรัมให้กับผู้บริโภคได้ทดลองใช้ นอกจากนี้ยังมีการผลิตสินค้าพรีเมี่ยม อาทิ เสื้อยืด ออกสู่ตลาด อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้เทคโอเวอร์บริษัทขายตรงอเมริกาที่เติบโตสูงสุด ในตลาดยุโรป และ แคนาดา ดังนั้นการเข้าเทคโอเวอร์ดังกล่าวจะสามารถเพิ่ม ศักยภาพและความแข็งแกร่งให้กับบริษัทไปอีกก้าวหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผู้นำ และ สาขาเพิ่มขึ้น รวมถึงกลุ่มสินค้าที่เพิ่มขึ้นด้วยเช่นเดียวกัน
ลาวัณย์ เผยต่อว่า อีก 2 เดือนข้างหน้า บริษัทจะย้ายสำนักงานใหม่ คือ ที่ อิมพีเรียล ลาดพร้าว ขณะนี้อยู่ระหว่างตกแต่งสำนักงานใหม่ให้ทันสมัย เพื่อรอบรับการเติบโตที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ขณะที่เดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ สก็อต ลิวอิส Vice President of Global Operation จะมาพร้อมกับ ดร.วิลเลียม ผู้เชี่ยวชาญด้าน Entire Aging และผู้นำระดับ Diamond จากเนอเนสส์ โดยจะจัดแผนอบรม 3 ภาค คือ ภาคเหนือ ภาคใต้ และ ภาคกลาง ทั้งนี้ จะมีการมอบเข็มเกรียติยศด้วย
ในส่วนของแผนการจัดโปรโมชั่นท่องเที่ยว ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้จะมีทริปปักกิ่ง อีกทั้งเตรียมแผนเปิดตัวทริปใหม่เร็วๆนี้ โดยการจัดทริปนั้นบริษัทจะเปิดโอกาสให้กับผู้นำใหม่ๆ ได้ร่วมสัมผัสทริปง่ายๆ เช่น ทริป ปักกิ่ง จะใช้เวลา ทำ 4 เดือนรวมยอดขาย 300,000 บาท ซค่งเมื่อเดือนที่ผ่านมามีผู้นำที่เข้ามาร่วมงานกับเจอเนสส์เพียงเดือนเดียว สามารถพิชิตโปรโมชั่นทริปได้แล้ว

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค

“นู สกิน” รอท่าตั้งไทยฮับสินค้า ชูยอด 1.74 พันล้านเหรียญ




“นู สกิน อิงค์” ปลื้มยอดปี 2011 สูงเป็นประวัติการณ์ รับไป 1.74 พันล้านเหรียญสหรัฐ ขณะที่ตลาดไทยยังนำโด่งปิดยอดไปกว่า 2,000 ล้านบาทลุยแผนปีมะโรง จัดโรดแม็พ กระตุ้นผู้นำ จัดโปรแกรมเที่ยวนอก พร้อมจัดงานเชิดชูนักขายยิ่งใหญ่กรกฏาคมนี้ที่สิงคโปร์ ยันแผนที่หนึ่งตลาดต่อตั้นความเสื่อมชรา หลังกระแสตอบรรับดีทั่วโลก ล่าสุดตั้งสิงคโปร์เป็นฮับสินค้า แย้มไทยมีโอกาสเป็นฮับสินค้าในอนาคต ด้านเป้าหมาย 5,000 ล้านบาท ในปี 2015 เป็นไปตามเป้า หลังงัดยุธศาสตร์ 360 องศา
เมลิซ่า ทันโทโกะ คีอาโน ประธาน นู สกิน ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกและสมาชิกสภาที่ปรึกษาสมาพันธ์ขายตรงโลกกล่าวว่า ในปี 2011 ที่ผ่านมา บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส อิงค์ อเมริกา ได้สร้างสถิติยอดขายสูงสุดเป็นประวัติการณ์ สามารถทำยอดขายได้ 1.74 พันล้านเหรียญสหรัฐ คิดเป็นอัตราการเติบโต 13% เมื่อเทียบกับปี 2010 ขณะที่ นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส ประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิก สามารถสร้างยอดขายทะลุ 200 ล้านเหรียญ สหรัฐ ซึ่งเป็นยยอดขายสูงสุดตั้งแต่ดำเนินธุรกิจ ในส่วนของทิศทาง การดำเนินธุรกิจในปี 2555 นู สกิน ทั่วโลก ร่วมกัน ขับเคลื่อนองค์กรไปสู่จุดหมายเดียวกัน คือ การสร้างให้ นู สกิน เป็นผู้นำด้านการต่อต้านความเสื่อมชรา
ในส่วนของแผนการดำเนินงานในปี 25555 บริษัทยังคงมุ่งเน้นกลยุทธ์การพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมของผู้บริโภค และให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ และพฤติกรรมของผู้บริโภค และให้ความสำคัญกับผลิตภัณฑ์ต่อต้านความเสื่อมชราในการทำตลาด เพื่อรองรับการขยายตัวของตลาด และเป็นการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน
ทั้งนี้ ในเดือนมีนาคมที่จะถึงนี้ นู สกิน ไทย เตรียมแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ในกลุ่มต่อต้านความเสื่อมชนชรา ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “เอจล็อค อาร์ สแควร์” และ “เอจล็อค กัลวานิค บอดี้ ซิสเต็ม” โดยผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้เปิดจำหน่ายให้กับผู้แทนจำหน่ายระดับผู้บริหารไปแล้ว และบริษัทเชื่อว่าหลังการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่มต่อต้านความเสื่อมชราครั้งน้จะผลักดันยอดขายให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 5 ปีจะต้องทำยอดขายให้ได้ 5,000 ล้านบาท ภายในปี 2015 โดยเป้าหมายดังกล่าวเริ่มจากปี 2011
นอกจากนี้บริษัทได้จัดโปรแกรมการท่องเที่ยวสำหรับผู้แทนจำหน่าย โดยในเดือนพฤษภาคมปีนี้บริษัทจะพาผู้นำในระดับ Ruby ไปเยือนฝรั่งเศส และ ในช่วงสินปีนี้จะพาผู้แทนจำหน่ายภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ไปเยือนฮาวาย อย่างไรก็ดี ในเดือนกรกฏาคมปีนี้ บริษัทเตรียมเฉลิมฉลองในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ด้วยการจัดงาน Sea Regional Convention ที่ประเทศสิงคโปร์ เพื่อเป็นการประกาศเกรียติคุณให้กับผู้แทนจำหน่ายที่ประสบความสำเร็จ ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา
เมลิซ่า กล่าวต่อว่า เริ่มตั้งแต่ปีนี้บริษัทแม่ที่ประเทศสหรัญอเมริการ ได้ตั้งประเทศสิงคโปร์เป็นฮับในการกระจายสินค้า จากเดิมที่ต้องนำเข้าผลิตภัณฑ์จากสหรัฐอเมริกาโดยตรง ดังนั้น ในอนาคต นู สกิน มีแผนลงทุนสร้างโรงงงานผลิต สินค้า นู สกิน ในเอเชีย โดยจะเป็นในลักษณะรีจินัล ซึ่ง ขณะนี้กำลังพิจารณาอยู่ว่าโรงงานไหนที่จะผลิตสินค้าให้กับ นู สกิน อย่างไรก็ดีประเทศไทยก็มีความเป็นไปได้ที่จะเป็นฮับในการกระจายสินค้า แต่จะเป็นการผลิตสินค้าในกลุ่มใดนั้นขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้
ด้าน ภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธานกรรมการ บริหาร บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า เป้าหมายการเติบโตของ นู สกิน ประเทศไทย ปี 2555 ยังคงเดินตามแนวนโยบายของบริษัทแม่ในการศึกษาวิจัย และพัฒนาผลิตภัณฑ์ที่มีคถณภาพสู่มือผู้บริโภค ตลอดจนเป้าหมายการเป็นผู้นำในด้านต่อต้านความเสื่อมชรา โดยบริษัทเชื่อว่าอีกไม่กี่ปีข้างหน้าตลาดต่อต้านความเสื่อมชราทั่วโลกจะถูกจับตามอง และมีอัตราการเติบโตอย่างรวดเร็ว
ทั้งนี้ จากการคาดการณ์ ตลาดต่อต้านความเสื่อมชราจะมีมูลค่าสูงถึง 275 พันล้านเหรียญสหรัญและในปี 2015 อุตสาหกรรมต่อต้านความเอมชราในแต่ละภูมิภาคจะเติบโตมากกว่า 70% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิ จะเติบโตถึง 82% สำหรับมูลค่าการตลาดรวมของประเทศไทยคาดว่าภายใน 10 ปีข้างหน้า จะมีอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10%
“เมื่อประเมินจำนวนประชากรสูงวัยที่กำลังเพิ่มสูงขึ้นในปีทศวรรษนี้ เราได้เตรียมขับเคลื่อนธุรกิจด้วยการเสิรมความแข็งแกร่งด้วยกลยุทธ์การสร้างบุคลากรให้เป็นผู้เชียวชาญ ด้านการต่อต้านความเสื่อชรา แนะเน้นการสร้างโอกาสทางธุรกิจที่เหนือกว่าและแตกต่าง ล่าสุดบริษัทแม่ได้ทุ่มงบลงทุน 350 ล้านบาท ครอบครองลิขสิทธิ์กิจการสถาบันวิจัยพันธุวิศวกรรม ไลฟ์เจนเทคโนโลยี เพื่อเป็นเจ้าของผลงานวิจัยและการค้นคว้ารหัสพันธุกรรม หรือยีน”
สำหรับทิศทางธุรกินในปีนี้ บริษัทเตรียมแผนผลักดันยอดขายให้เป็นไปตามเป้าหมาย นอกจากจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ภายใต้เทคโนโลยีเอจล็อคในช่วงปลายปีนี้แล้ว บริษัทเตรียมกลยุทธ์การสื่อสารรูปแบบใหม่ โดยจะมุ่งเน้นสื่อสารผ่านสื่อที่เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคมากขึ้น (Mass Communications) ภายใต้คอนเซ็ปต์ “Look young Feel young Lives young” ซึ่งถือเป็นกลยุทธ์ในการรุกตลาดที่มุ่งสู่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นผู้บริโภคโดยตรง
นอกจากนี้บริษัทจะเน้นสร้างการรับรู้ และจดจำให้กับผู้บริโภค ทั้งด้านภาพลักษณ์ ตราสินค้าและผลิตถัณฑ์ ตลอดจนการปรับกลยุทธ์เข่าถึงกลุ่มผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายให้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น พร้อมตั้งเป้ายอดขายเติบโต 15% ในปีนี้ อย่างไรก็ดีในปีที่ผ่านมาบริษัทเติบโต 10% และสามารถสร้างยอดขายได้ 2,200 ล้านบาท

ขณะเดียวกันบริษัทมีแผนเพิ่มจำนวนผู้แทนจำหน่ายระดับผู้บริหาร (Executive) ในไตรมาสแรกให้เติบโต 15% พร้อมทั้งมีแผนการจัดกิจกรรมการตลาดและกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง อาทิ การปรับปรุงศูนย์บรอการเพื่อกระตุ้นยอดขายให้พื้นที่ต่างจังหวัด จากปัจจุบันที่มีจำนวน 8 ศูนย์ และในปีนี้จะเพิ่มศูนย์จำหน่าย นู สกิน อีก 3 ศูนย์ คือ อุดรธานี ส่วนอีก 2 ศูนย์ ยังไม่สรสุปว่าจะเปิดที่ใด
อย่างไรก็ดี บริษัทเตรียมแผนจัด นู สกิน โรดโชว์ไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วประเทศ เพื่อขยายฐานสมาชิกและสร้างเครือข่ายของผู้แทนจำหน่าย ด้วยการสนับสนุนโปรแกรมที่จะช่วยสร้างแรงกระตุ้นในการทำงาน ซึ่ง ในโอกาส ที่ นู สกิน ประเทศไทย ก้าวเข้าสู่ปีที่ 15 นอกจากทริปท่องเที่ยวต่างประเทศแล้ว บริษัทยังมีการมอบเงินโบนัสพิเศษให้ผู้แทนจำหน่ายที่สามรถสร้างผู้บริหารใหม่ และรักษายอดคะแนนกลุ่มได้ตามเงื่อนไขบริษัทอีกด้วย
ภคพรรณ กล่าวต่อว่า นู สกิน ประเทศไทย บริหารงานภายใต้นโยบายของบริษัทแม่ ที่ใช้ยุทธศาสตร์หลักในการดำเนินธุรกิจ 4 ด้าน คือ ผลิตภัณฑ์ , บุคลากร , โอกาสทางธุรกิจ และวัฒนธรรม ดังนั้น นอกเหนือจากแผนและกลยุทธ์การลาด และผลิตภัณฑ์เพื่อมุ่งสร้างยอดขาย เพิ่มยอดนักธุรกิจ และผู้ใช้ผลิตภัณฑ์แล้ว บริษัทยังให้ความสำคัญกับกิจกรรมเพื่อสังคม ตามปณิธานที่มุ่งมั่นพัฒนาคุณภาพชีวิตขอผู้คนในสังคมให้ดีขึ้น ภายใต้โครงการ Force For Good โดย นู สกิน ได้สนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก โรงพยาบาลราชวิถี อย่างต่อเนื่องมาตลอด 15 ปี สามารถช่วยเหลือผู้ป่วยโรคหัวใจจำนวน 4,500 ราย
“ในปี 2554 นู สกิน ได้บริษัทเงิน 1% จากค่าคอมมิสชั่นของผู้แทนจำหน่ายเพื่อนำมาสร้างวอร์ดสำหรับผู้ป่วยเด็กโรกหัวใจพิการแต่กำเนิดที่ได้รับการผ่าตัดรักษาโรคหัวใจ ณ ศูนย์หัวใจของมูลนิธีเพื่อสนับสนุนการผ่าตัดหัวใจเด็ก โรงพยาบาลเกษมราษฏร์ ประชาชื่น คาดว่าจะแล้วเสร็จภายใน ปี 2555” ภคพรรณ กล่าว
ปัจจุบัน นู สกิน มีจำนวนผู้แทนจำหน่ายที่มียอดสั่งซื้อเป็นประจำ จำนวนทั้งสิน กว่า 10,000 บัญชีรายชื่อ โดยสามารถสร้างผู้แทนจำหน่ายเข้าสู่ทำเนียบเศรษฐีเงินล้านได้เพิ่มขึ้น 10% ซึ่งเป็นไปตามเป้าหมายที่จะก้าวเป็นบริษัทขายตรงแนวหน้าของโลกด้วยการสร้างรายได้ให้แก่ผู้แทนจำหน่ายที่มากกว่าบริษัทขายตรงอื่นๆ โดยจำแนกเป็น ผู้แทนจำหน่ายที่มียอดคอมมิสชั่นสะสม 400 ล้านบาท คู่แรกของประเทศไทย 1 บัญชี ผู้แทนจำหน่ายที่มียอดคอมมิสชั่นสะสม 200 ล้านบาท จำนวน 2 บัญชี ผู้แทนจำหน่ายที่มียอดคอมมิสชั่นสะสม 100 ล้านบาท จำนวน 1 บัญชี ผู้แทนจำหน่ายที่มียอดคอมมิสชั่นสะสม 40 ล้านบาท จำนวน 11 บัญชี ผู้แทนจำหน่ายที่มียอดสะสม 20 ล้านบาท จำนวน 9 บัญชี ผู้แทนจำหน่ายที่มียอดขายสะสม 10 ล้านบาท จำนวน 23 บัญชี และผู้แทนจำหน่ายที่มียอดคอมมิสชั่นสะสม 1 ล้านบาท จำนวน 451 บัญชีรายชื่อ

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค

“ดี เน็ทเวิร์ค” เขย่าวงการขายตรง งัดเสริมอาหาร D-BRAIME สู้ศึก




“ดี เน็ทเวิร์ค” จุดพลุตลาดขายตรง ควงเสริมอาหารจับกลุ่มคนรักสุขภาพ ประเดิมตัวที่ 2 Seven Sweet จับกลุ่มผู้หญิง พร้อมเดินแผนอบรมสมชิกรูปแบบใหม่ แงแรกในวงการขายตรงไทย หวังสร้างความแตกต่าง ล่าสุดเปิดตัวอาหารสมอง D-BRAIME หลังพบตลาดเติบโตต่อเนื่อง ลั่นคนแห่ร่วมงาน 1,000 คน
อ.สาคร ใสกมล ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดตัวสุดยอดนวัตกรรม ดูแลอวัยวะ 7 ส่วนสำคัญร่างการสุภาพสตรี ภายใต้ชื่อ “Seven Sweet” เจาะกลุ่มสุภาพสตรีให้กลับมามีชีวิตชีวา อีกครั้ง
สำหรับ Seven Sweet ถือเป็นสินค้าที่มีนวัตกรรมล้ำสมัย สุดยอดของนวัตกรรมเสริมอาหารยุคนี้ เนื่องจากเป็นสินค้าเสริมอาหารในรูปแบบลูกอมรสอร่อย ง่ายต่อการพกพาที่สำคัญสินค้าดังกล่าวยังเป็นการพลิกผันวงการเสริมอาหารเมืองไทย โดย Seven Sweet ใช้วัตถุดิบชั้นเลิศ ผลิตด้วยนวัตกรรมที่ทันสมัย ซึ่งบริษัทได้เปิดตัวสินค้าดังกล่าวอย่างเป็นทางการแล้วในช่วงปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ที่จังหวัดขอนแก่น ซึ่งการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้รับการตอบรับเป็นอย่างดีจากสมาชิก
“การเปิดตัว Seven Sweet ที่ขอนแก่น ได้รับการตอบรับอย่างล้นหลาม เราสั่งสินค้าลอกแรก 5,000 กล่องหลังจากเปิดตัวไม่ถึงสัปดาห์สินค้าในสต๊อกก็หมดลง เราวางเป้าหมายการขาย Seven Sweet ไว้ที่ 5,000-10,000 กล่องต่อเดือน และชื่อว่าสินค้าตัวนี้จะสร้างยอดขายติด Top 10 ของสินค้าที่มียอดขายสูงที่สุด”
ทั้งนี้บริษัทยังคงเดินหน้าพัฒนาบุคลากร โดยล่าสุดได้จัดหลักสูตรวิทยากรภูมิภาค ด้วยการให้สมาชิกเซตทีม ทีมละ 7-8 คน รวม 40 ทีม เข้าร่วมฝึกอบรมกับบริษัทในการจัดประชุมนอกสถานที่ การเข้าอบรมหลักสูตรพื้นฐานธุรกิจ BBC การจัดโฮมมีตติ้ง การจัด Center โดยหลักสูตรดังกล่าวมีกำหนดหลักการสอนงาน 5 ข้อ อย่างเข้มข้น และ ให้ 40 ทีมที่ผ่านมาการฝึกอบรม กระจายตัวออกไปตาม 7 พื้นที่เป้าหมายไม่ว่าจะเป็น กรุงเทพมหานคร ขอนแก่น อุบลราชธานี พิษณุโลก เชียงใหม่ พัทยา และหาดใหญ่
ขณะที่หลักสูตร BBC ของบริษัทนั้น เน้นการสร้างตลาดใหม่ และเน้นการสาธิตสินค้าอย่างถูกวิธี ซึ่งบริษัทยังสอนวิธีแจกสินค้า การแจกข้อมูลให้ความรู้ ให้ผู้บริโภค ได้ทดลองสินค้า หากผู้บริโภคใช้สินค้าแล้วเห็นผล ก็จะกลับมาซื้อสินค้า ดังนั้น บริษัทจะมีการชักชวนผู้บริโภคกลุ่มดังกล่าวมาเป็นนักธุรกิจกับบริษัท
นอกจากนี้บริษัทได้ทดลองตลาด ด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่อย่างไม่เป็นทางการ สำหรับ D-BRAIME ที่มีผู้สนใจเข้าร่วมงานดังกล่าวประมาณ 1,000 คน ซึ่งบริษัทได้แจกสินค้าให้กับผู้ร่วมงานไปทดลองใช้กว่า 1,000 ชิ้น
“D-BRAIME ได้รับการตอบรับที่ดีที่สุดในจำนวนสินค้าทั้งหมดของเรา เพราะการดูแลสมองเป็นเรื่องใหญ่และเป็นส่วนที่ทุกคนให้ความสำคัญ เพราะสินค้าตัวนี้มีสาร Bacopa เป็นส่วนประกอบสำคัญ ที่เราเป็นเจ้าของลิขสิทธิ์แต่เพียงผู้เดียว และเราเขื่อว่า D-BRAIME จะสร้างแรงสั่นสะเทือนให้กับวงการเสริมอาหารเมืองไทยอย่างแน่นนอน” อ.สาครกล่าว

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค

วันอาทิตย์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

“เฮอร์บาไลฟ์” เร่งขยายฐาน งัด 4 กลยุทธ์ สู้ศึกปีมะโรง



“เฮอร์บาไลฟ์” เปิดศึกปี “55 ชู 4 ยุทธศาสตร์หลัก เจาะฐานตลาดเพิ่ม เน้นจัดประชุมส่วน กลางภูมิภาค พร้อมขยับคลับสุขภาพเพิ่มเป็น 500 คลับ หลังผลตอบรับเยี่ยม ขณะที่แผนจัดประชุมปีนี้ เน้นเข้มข้นกว่าปีก่อน เตรียมจัดอบรมทั่วทุกภาคของไทย รวมถึงแผนจัดประขุมผู้นำระดับเพรสซิเดนท์ ที่แอลเล ปีนี้
จักรพันธ์ สุทธโทธน กรรมการผู้อำนวยการ เฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด กล่าวว่า บริษัทได้ดำเนินแผนงานมาแล้วในช่วงที่ผ่านมา คือ 1. กลยุทธ์การเพิ่มการบริโภคประจำวัน เพื่อขยายฐานสมาชิก โดยที่ผ่านมาบริษัทได้จัดตั้งคลับคนรักสุขภาพ หรือนิวทริชั่น คลับ ของ เฮอร์บาไลฟ์ ที่ปีนี้จะขยายเพิ่มเป็น 500 คลับ จากปัจจุบันที่มีจำนวน 350 คลับ รวมถึงการจัดโปรโมชั่นสินค้าใหม่ และการจัดแคมเปญทั่วโลกอย่าง Have you had your shake today เพื่อกระตุ้นให้เกิดการบริโภคเพิ่มขึ้น ซึ่งผลที่ตามมาคือ แคมเปญ ดังกล่าวได้ผลตอบรับที่ดีจากสมาชิกทั่วโลก
ในส่วนของกลยุทธ์ที่ 2 คือ แผนการเพิ่มจำนวนผู้จำหน่ายเพิ่มขึ้น ด้วยการวางแผนจัดประชุมส่วนกลาง แส่วนภูมิภาครวมถึงการจัดโปรแกรมสนับสนุนนักธุรกิจเฮอร์บาไลฟ์ ขณะที่กลยุทธ์ที่ 3บริษัทจะพัฒนาหลักสูตรการฝึกอบรมอย่างเป็นระบบ โดยวางแผนเชิญนักธุรกิจที่ประสบควาวมสำเร็จมาให้แนวทางในการทำงานกับสมาชิกว่าทำอย่างไรจึงจะประสบความสำเร็จ
ทั้งนี้ ในเดือนมีนาคมี่จะถึงนี้ บริษัทเตรียมจัดงานประชุมในระดับเพรสซิเดนท์ ที่แอลเล และในเดือนพฤษภาคมี่จะถึงนี้เตรียมจัดงานประชุมเอ็กซ์ตร้าวาแกนซ่า ถัดไปในเดือนกันยายนจะจัดงานเฮอร์บาไลฟ์ ยูนิเวอร์ซิตี้ และปลายปี คือ เดือนพฤศจิกายน จะจัดงาน ฟิวเจอร์ซเดนท์รีทรีท
สำหรับกลยุทธ์สุดท้าย ซึ่งเป็นกลยุทธ์สำคัญที่เพิ่งเปิดตัวในปีนี้ คือ การขยายธุรกิจไปสู่ภูมิภาค แบ่งเป็นภาคส่วนอย่างชัดเจน เริ่มจาก กรุงเทพฯ จะขยายไปยัง นนทบุรี ปทุมธานี และสมุทปราการ ภาคเหนือ ในพื้นที่เป้าหมาย คือ จ. เชียงใหม่ ลำพูน และ ลำปาง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ คือ จ. นครราชสีมา ขอนแก่น และสกลนคร ภาคกลาง คือ จ.สระบุรี ระยอง และชลบุรี ภาคใต้ คือ จ. สุราษฏร์ธานี หาดใหญ่ ภูเก็ต และนครราชสีมา
“การขยายตลาดไปยังทั่วทุกภาคของไทย เฮอร์บาไลฟ์จะมีระบบการฝึกอบรม และจะมีเจ้าหน้าที่สนับสนุนการจัดอบรมในพื้นที่ทั้งในส่วนกลางและส่วนภูมิภาค
นอกจากนี้บริษัทได้เตรียมจัดทริปท่องเที่ยวเกาะมัลดีฟส์ในปีนี้ หากนักธุรกิจสามารถทำยอดขายได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ ทั้งนี้ บริษัทยังคงสนับสนุนนักกีฬาระดับโลกอย่างต่อเนื่อง เพื่อเป็นการตอกย้ำแบรนด์เฮอร์บาไลฟ์ รวมถึงการจัดกิจกรรมเพื่อสังคม ตามนโยบายของบริษัทที่จัดกิจกรรมคาซ่า เฮอร์บาไลฟ์ อย่างต่อเนื่องทุกปี
อย่างไรก็ตาม การดึง 4 กลยุทธ์ หรือที่เรียกว่ากลยุทธ์ Regionalization ขับเคลื่อนธุรกิจไปข้างหน้าบริษัทตั้งเป้าเติบโตปีละ 30% จากนี้ไป ขณะที่แผนการเปิดตัวสินค้าใหม่ปีนี้ยังไม่สามารถเปิดตัวได้ทัน เนื่องจากไตรมาสที่ 3 และ 4 บริษัทจะนำสินค้าใหม่ขึ้นทะเบียนกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. คาดว่า จะใช้เวลาระยะหนึ่งในการตรวจสอบสินค้าจาก อย.
“สิ่งที่เฮอร์บาไลฟ์จะลงทุนปีนี้ คือ บุคลากร จากเดิมที่มีพนักงาน 20 คน ก้จะเพิ่มเป้น 40 คน ในปีนี้ เพื่อเป็นการขยายตลาดให้เติบโตขึ้นอีกในอนาคต ส่วนปัญหาที่เกิดขึ้นในอดีตเกี่ยวกับการขายสินค้าตัดราคา ซค่งปัญหานี้เริ่มลดลงอย่างต่อเนื่องเพราะที่ผ่านมาเราได้ดำเนินการตามระเบียบของบริษัทไปแล้วสำหรับบุคคลที่กระทำความผิด ฉะนั้น สิ่งที่เราจะทำคือการเอาน้ำดีไล่น้ำเสียออกไป” จักรพันธ์ กล่าว

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค

“ซีสเซิล” โหมโรงขายตรงไทย เล็งแผนพาเหรดสินค้าเพียบ



ขายตรงแดนมะกัน ซิสเซิล ฮึดสู้ศึก หลังศึกษาขายตรงไทยมีเอกลัษณ์ที่ดี ชูแผนอบรมสร้างการรับรู้กับสมาชิก ส่งเครื่องดื่ม ลีมู มุย สินค้าพระเอกนำลงตลาดลั่นอีก 2 เดือนทยอยเปิดตัวสินค้าใหม่ 10 รายการ หวังยอดขาย 30 ล้านบาทต่อเดือน ระบุแผนขยายตลาดนอกปีหน้ารุกตลาดออสเตรเลีย เม็กซิโก
Aaron Rennert รองประธานฝ่ายขาย นานาชาติ Sisel Internation กล่าวกับ “เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค” ว่า ภายหลังเปิดดำเนินธุรกิจมากเป็นเวลา 6 ปี ตั้งแต่ปี 2006 ซิสเซิลได้ขยายสาขาไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลกแล้ว 30 ประเทศและปีหน้าเตรียมแผนที่จะเข้าสู่ประเทศ ออสเตรเลีย และ เม็กซิโก ขณะที่ประเทศซี่ปุ่นซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดของซิสเซิลยังคงมีอัตราการเติบโตเป็นไปในทิศทางที่ดี เช่นเดียวกับ ประเทศอเมริกาที่ตลดาเติบโตเป็นอย่างดี หรือจะกล่าวได้ว่าพื้นที่ในแถบยุโรปของซีสเซิลเติบโตค่อนข้างดี
ทั้งนี้ หลังจากเปิดตลาดประเทศไทย ศีสเซิลเตรียมแผนขยายตลาดไปยังสิงคโปร์ และมาเลเซียแบะยังมีตลาดใหม่ๆที่จะเล็งเอาไว้ อาทิ ไต้หวัน ลาว เวียดนาม และกัมพูชา เนื่องจากตลาดดังกล่าวมีการขยายตัวจากธุรกิจเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง
ในส่วนของสินค้านำหลักของซีสเซิล ยังคงเป็นเสริมอาหารชนิดน้ำ ภายใต้ชื่อ ลีมู มุย ที่ผ่านรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. แล้ว ดังนั้น แผนงานต่อจากนี้ไป คือ การประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อเพื่อสร้างการรับรู้ต่อผู้บริโภค ทั้งบริษัท และ สินค้านำหลักอย่าง ลีมู มุย เครื่องดื่ม เพื่อสุขภาพที่มีผลการวิจัยทางวิทยาศาสตร์รองรับ
“ลีมู มุย มากจากภาษาตองก้า ที่เป็นแหล่งกำเนิดของสาหร่ายสำน้ำตาลของเรา ส่วนประกอบของ ลีมู มุย นั้นมันวิเศษมาก ไม่มีสินค้าตัวใดในตลาดที่สามารถเทียบเราได้ เพราะที่ผ่านมาเราได้วิจัย ลีมู มุย หลายครั้ง เช่น การวัจัยที่สถานที่ต่าสงๆ ทั่วโลก”
สำหรับแผนการวางจำหน่ายสินค้า นอกเหนือ จากเครื่องดื่ม ลีมู มุย ซิสเซิลวางแผนเปิดตัวสินค้าในไทย เพิ่มยึ้น ในอนาคต จากปัจจุบันซิสเซิลจำหน่ายสินค้าผ่านแคตตาล็อกในอเมริกา ที่มีสินค้ามากกว่า 130 รยการ ซึ่งทุกๆ รายการเป็นไปตามนโยบายของบริษัทแม่ ที่ไม่มีส่วนประกอบของสารปนเปื้อนหรือสารอันตราย
Rennert กล่าวต่อว่า การเข้ามาเปิดตลาดไทย ครั้งนี้ ซิสเซิลได้ศึกษา และทำความเข้าใจตลาดในประเทศไทยแล้ว และพบว่าตลาดไทยค่อนข้างมีเอกลักษณ์ แตกต่างจากประเทศอื่น เนื่องจากไทย ต้องการซื้อของด้วยเงินสด และสามารถรับสินค้าได้อย่างรวดเร็วในที่ที่สะดวก โดยไม่ได้มีค่าใช้จ่ายเพิ่มหรือจำเป็นต้องมีบัตรเครดิตในการซื้อ ดังนั้น จากการศึกษาตลาดดังกล่าว ซิสเซิลจึงจัดตั้งโมเดลสต๊อกสินค้า ชื่อว่า Mower’s Stock Model ที่สามารถให้ทุกคนบริหารสต๊อกสินค้าด้วยตัวเอง โดยสามารถไปรับสินค้าได้ที่ศูนย์ในพื้นที่ที่สะดวก
อย่างก็ก็ดี อีก 1-2 เดือนจากนี้ไปซิสเซิลเตรียมแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ประมาณ 10 รายการ ซึ่งจะเป็นสินค้าที่สร้างความตื่นเต้นและสร้างสีสันให้กับวงการตลาดขายตรงอย่างแน่นอน ไม่ว่าจะเป็นสินค้าในกลุ่มเครื่องดื่มสุขภาพ เครื่องสำอาง โปรตีนเสริมสุขภาพเป็นต้น
ขณะเดียวกับบริษัเตรียมแผนจัดอบรมสร้างคามรู้ความเข้าใจให้กับสมาชิก ในเรื่องของผลการวิจัยรองรับในตัวสินค้า รวมถึงการสร้างความเข้าใจกับสมาชิกเกี่ยวกับแผนการจ่ายผลตอบแทนว่าเป็นอย่างไร ซึ่งแผนงานดังกล่าวซีสเซิลคาดว่า จะผลักดันยอดขายเพิ่มขึ้น 30 ล้านบาทต่อเดือน

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค

ข่าวยูนิซิตี้ เล็งเปิดตลาดจาการ์ตา ผุดห้องวีไอพีรับผู้นำระดับสูง



“ยูนิซิตี้” ชูอัตราเติบโตปีก่อนไม่ขี้เหร่ พี่ไทยโตได้ถึง 28% ยอดสมาชิกเพิ่ม 16% ท่ามกลางน้ำท่วมหนัก มองตลาดอนาคต ขึ้นเป็นเบิร์ 1 ของโลกกับอนวทาง 2 ยุทธศาสตร์หลักในการชัดเคลือนทัพ ปลื้มผู้นำหญิงคนแรกของไทยขึ้นตำแหน่งสูงสุดของโลก เล็งเปิดตลาดอินโดฯ เร็งๆนี้ พร้อมแผนพารสา บินลัดฟ้าไปแดนกิมจิ แชร์ประสบการผู้นำทำอย่างไรประสบความสำเร็จ ตัเป้ายอดขายเอเชียแปซิฟิกโต 50% ด้านตลาดไทยปีนี้ หลังโตกว่าปีก่อน
คริสโตเฟอร์ คิม ประธานบริหารประจำภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก บริษัท ยู่นิซิตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ กล่าสวถึงผลการดำเนินงานในปี 2554 ที่ผ่านมาว่าบริษัทเติบโตจากปี 2553 ประมาณ 28% โดยมีจำนวนสมาชิกเพิ่มขึ้น 16% ท่ามกลางปัญหาน้ำท่วมในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี
สำหรับเป้าหมายในอนาคต คือ การผลักดันให้ยูนิซิตี้ขึ้นเป็นที่ 1 ของโลก ซึ่งการที่จะขึ้นเป็นที่หนึ่งนั้น บริษัทได้วางแนวทาง 2 ข้อหลักๆ ด้วยกัน คือ 1. การให้ความสำคัญกับสินค้านวัตกรรมใหม่ไม่เหมือนใครออกสู่ตลาด 2. การสนับสนุนนักธุรกิจให้ทำงานได้สะดวกและง่ายยิ่งขึ้น ซึ่ง 2 ข้อดังกล่าวคือ หัวใจสำคัญในการขยายธุรกิจให้ก้าวไปสู่การแข่งขันในอนาคต
“เรื่องที่น่ายินดีที่สุดสำหรับยูนิซิตี้ คือ การที่คุณรสา คำแบน ได้ขึ้นตำแหน่ง เพรสซิเดนท์ คราวน์ ไดมอนด์ คนแรกของโลก และยิ่งตอนนี้บริษัทต่างๆจากทั่วโลกกำลังมองตลาดเอเชีย กลายเป็นว่าบริษัทที่มาจากภูมิภาคเอเชียเป็นบริษัทขนาดใหญ่ทั้งหมด ดังนั้น นโยบายของบริษัทแม่ต้องการให้ยูนิซิตี้ แต่ละประเทศพูดคุยกันมากยิ่งขึ้น และอยากให้ต่างฝ่ายต่างเรียนรู้ในด้านการทำงานร่วมกัน”
ทั้งนี้ บริษัทจะพา รสา คำแบน นักธุรกิจอันดับหนึ่งของยูนิซิตี้ ไปยังประเทศเกาหลี เพื่อไปให้ความรู้ และอบรมนักธุรกิจเกาหลี เกี่ยวกับการทำธุรกิจอย่างไรให้ประสบความสำเร็จ ขณะที่แผนในประเทศไทย บริษัทเตรียมงบลงทุนขยายพื้นที่เดิมที่สำนักงานใหญ่พระรามเก้าขั้นบนให้เป็นห้อง VIP รองรับผู้นำระดับสูงที่ประสบความสำเร็จ โดยห้องดังกล่ายจะมีรูปถ่าย และประวัติของนักธุรกิจยูนิซิตี้ ที่ประสบความสำเร็จจากทั่วโลก ภายในมีโซนนั่งเล่นคล้ายกับห้อง VIP ของการบินไทย ซึ่งคาดว่าห้อง VIP ยูนิซิตี้ จะแล้วเสร็จประมาณเดือนเมษายน ถึงเดือน พฤษภาคมปีนี้
นอกจากนี้ ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้ บริษัทเตรียมแผนเปิดตลาดลาว และกัมพูชา หลังจากบริษัทได้เริ่มเข้าไปยังตลาดเวียดนามแล้ว อย่างไรก็ดี หลังการเปิดตลาดใหม่ในประเทศต่างๆ เพิ่มแล้ว บริษัทได้เห็นถึงความกระตือรือร้นของผู้นำทั่วโลกขณะนี้มีเป้าหมายที่จะขึ้นตำแหน่งสูงๆ บนเวที ซึ่งเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่ง
อย่างไรก็ตาม ภาพรวมยูนิซิตี้ตลาดเอเชียแปซิฟิก ช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เติบโตน้อยที่สุดประมาณ 20% ซึ่งเมื่อเทียบกับปี ก่อนหน้านั้นมีอัตราการเติบโตสูงถึง 200% ซึ่งมากกว่าเป้าหมายที่วางไว้ประมาณ 10% ดังนั้น ยูนิซิตี้มีเป้าหมายที่จะให้ตลาดเอเชีย-แปซิฟิก เติบโตประมาณ 50% ขณะที่ตลาดไทยตั้งเป้าเติบโตเพิ่มขึ้นจากปี 2554 ที่ผ่านมา

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค

ข่าว “นิวไลฟ์” หวังสร้างแบรนด์รอยัลตี้ ดันผู้นำขึ้นแท่นไดมอนด์ 50 ราย



"นิว ไลฟ์" ตอกย้ำแผนปี "55 งัด 2 กลยุทธ์ รับตลาดแข่งเดือดกับแผนนสร้างความจงรักภัคดีกับแบรนด์ ตั้งเป้าผู้นำขึ้นแท่นไดมอนด์ 50 คนต่อปี เพื่อผลักดันเป้าหมายไปสู่ 1,000 ล้านบาท ในปีนี้ ตบเท้าเปิดตัวสินค้าใหม่อื้อ ทั้งกลุ่มสกินแคร์ และ Household ด้านตลาดนอกเล็งเปิด LA ที่แรกรูปแบบเฟรนไชส์ คาดได้ข้อสรุปเร็วๆนี้
สุเทพ ยืนยงค์วิทยากุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัืท นิว ไลฟ์ เวิลด์ไวด์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ "เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค" ว่า ปีนี้บริษัทเตรียมแผนอบรมให้กับสมาชิก และผู้นำเป็นหลักโดยจะจัดอบรมเดิือนละ 2 ครั้ง เน้นฝึกอบรมที่จะสร้างผู้นำในตำแหน่ง Director ขึ้นตำแหน่ง Diamond ทั้งนี้ ทุกๆไตรมาสจะเปิดอบรมฟรี 2 วัน 1 คืน ซึ่งแผนที่วางไว้ คือ สร้างผู้นำในตำแหน่ง Diamond ที่มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ให้ได้ 50 คนต่อปี ก็จะช่วยสร้างยอดขายให้ได้ 1,000 ล้านบาท แน่นอนในปีนี้
“แผนนี้เราจะประเมินผลเป็นไตรมาส อย่างไตรมาสแรกตั้งเป้าโต 30% ที่วางแผนเป็นรายไตรมาสเพราะต้องการขับเคลื่อนตลาดอย่างรวดเร็ว และ ไตรมาสต่อไปก็จะอบรมเพื่อเป็น Diamond เราเปิดรับตำแหน่ง Director หรือผู้ที่เป็น Diamond ก็สามารถร่วมการอบรมนี้ได้ โดยวันสุดท้ายจะจัดเยี่ยมชมโรงงานหรือสำนักงานเพื่อเพิ่มความเชื่อมั่นให้แก่ผู้แทนจำหน่าย คาดไว้ว่าปีนี้จะมีผู้แทนจำหน่ายเข้ารับการอบรมเป็น Diamond ได้ประมาณ 500 คน”
ทั้งนี้ ในจำนวนผู้เข้ารับการอบรมบริษัทตั้งเป็น 10% ของผู้เข้ารับการอบรมที่จะขึ้นเป็น Diamond ที่แข็งแกร่งให้ นิวไลฟ์ ซึ่งผู้ที่ขึ้นตำแหน่งดังกล่าวจะต้องมีรายได้ 500,000 บาทซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นแผนระยะยาว คือ การสร้างงบุคลากรที่จงรักภักดีเพื่อที่จะให้องค์กรแข็งแกร่งและสามารถสร้างยอดขายขึ้นตามกลไกของธุรกิจ ซึ่งบริษัทจะไม่เน้นยอดขายที่จัดในโปรโมชั่นเพื่อช่วยดันยอด เพราะนั่นจะทำให้ยอดขายเติบโตระยะสั้นเท่านั้น
สำหรับจุดแข็งของบริษัทปัจจุบันประกอบไปด้วย สินค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งขณะนี้บริษัทได้รับเชิญจากโรงพยาบาลเอกชนในกรุงเทพฯ ให้ร่วมลงพื้นที่ไปยังจังหวัดต่างๆ เพื่อนำสินค้าไปแจก พร้อมกับรถพยาบาล โดยช่วงแรกจะนำร่องพื้นที่ภาคใต้ก่อนขณะที่จุดแข็ง ข้อที่ 2 คือ แผนธุรกิจ ที่รักษายอดได้อย่างง่ายดาย รักษายอดเพียง 50 คะแนน คือ ซื้อผลิตภัณฑ์ เพียงแค่ 1 กระปุกเท่านั้น
อย่างไรก็ดี ปีนี้บริษัทจะเน้นการทำตลาด 2 ข้อคือ การสร้างบุคลากรที่เป็น Diamond และเน้นขยายศูนย์ MIDC ที่ปัจจุบันมีศูนย์ดังกล่าว 45 ศูนย์ทั่วประเทศ ดังนั้น เป้าของบริษัทจากนี้ไป คือ การจัดขยายศูนย์ MIDC ให้ครอบคลุมทั้ง 77 จังหวัดทั่วประเทศในปีนี้
นอกจากนี้บริษัทเตรียมแผนเปิดตัวินค้าใหม่ 9 รายการในกลุ่มสกินแคร์ ช่วงไตรมาสแรก ที่จะมาสร้างสีสัน และดึงดูดสมาชิกให้เข้ามาสู่ระบบ รวมถึงผลักดันยอดขายให้เพิ่มขึ้นในปีนี้ เนื่องจากบริษัท มองว่า กลุ่มสกินแคร์ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี หลังจากก่อนหน้านี้บริษัทได้เปิดตัวสินค้าในกลุ่มดังกล่าวไปแล้ว 2 รายการ
“เราจะขยายไลน์สินค้าในกลุ่ม Household มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นแชมพู เจลอาบน้ำ ยาสีฟัน เพื่อเพิ่มความหลกหลายในตัวสินค้ามากขึ้น อีกทั้งยังเป็นการอำนวยความสะดวกให้สมาบิกทำงานได้ง่ายยิ่งขึ้น แม้ไลน์สินค้ากลุ่มนี้จะมีการแข่งขันสูงแต่ความต้องการใตลาดก็ยังสูงอยู่เช่นกัน”
อย่างไรก็ตาม แผนการดึงเครื่องมือ Tablet มาใช้ในปีที่ผ่านมาได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ซึ่งขณะนี้บริษัทได้พัฒนาโปรแกรมอย่างต่อเนื่องส่วนเว็บไซต์บริษัท ในเร็วๆนี้จะเปิดตัวเว็บไซต์ หลายภาษา อาทิ ภาษาอังกฤษ จีน และ สเปน เพื่อรอบรับการเติบโตไปสู่ตลาดต่างประเทศ โดยในปีนี้บริษัทจะขยายตลาดอเมริกา สิงคโปรแ อินโดนีเซีย บรูไน และพม่า จากปัจจุบันที่ขยายไปในตลาดต่างๆ ในรูปแบบ แฟรนไชส์ โดยที่สหรัฐอเมริกาจะเริ่มที่ LA เป็นที่แรก ขณะนี้มีการเจรจาและเตรียมการแล้วภายในครึ่งปีนี้จะได้ข้อสรุปที่ชัดเจน

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

‘เอเชีย สุพรีม’ หาคู่กระตุ้นแบรนด์ดึง ‘กู๊ดเฮลธ์ โพรดักส์’ ล่าป้ายชื่อมหาชน



“เอเชีย สุพรีม” จูบปาก “กู๊ดเฮลธ์ โพรดักส์” ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพ ชั้นนำจากนิวซีแลนด์ พร้อม ลิขสิทธิ์การเป็นตัวแทนจำหน่าย สินค้าแต่เพียงผู้เดียวผ่านช่องทาง MLM ในอินโดจีน ประเดิมเปิดตัว “คอลอสตรัม”(Colostrum) ผลิตภัณฑ์ชื่อดังระดับโลกส่งตรงจากนิวซีแลนด์ มั่นใจสามารถ ผลักดันธุรกิจเอเชีย สุพรีม ก้าวขึ้นเป็นผู้นำตลาด MLM ในไทยภายใน 2 ปี และขึ้นแท่นบริษัทขายตรงมหาชนค่ายแรก ในอีก 3-5 ปี

อาจกล่าวได้ว่าในปัจจุบันตลาดของธุรกิจขายตรงถือเป็นตลาดหนึ่งที่มีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง และพฤติกรรมการบริโภคสินค้าของประชาชนในขณะนี้มีลักษณะที่เปลี่ยนไป ประชาชนนิยมความสะดวกสบายในการเข้าถึงผลิตภัณฑ์มากขึ้น ทำให้นักลงทุนหลายคนเล็งเห็นถึงความได้เปรียบจากการเข้าร่วมลงทุนในธุรกิจนี้ เช่นเดียวกับนายสุธีร์ รัตนนาคินทร์ ประธานกรรมการ บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด อดีตนักธุรกิจค้าปลีก ที่หันมาสนใจในตลาดเครือข่าย โดยได้จัดตั้ง บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด ขึ้นเมื่อเดือนมิถุนายน 2554 ด้วยเจตนารมณ์ที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจเครือข่าย MLM

“ตนมองว่าในช่วง 5-6 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจเครือข่าย มีอัตราการเติบโตค่อนข้างสูง ทั้งนี้อาจเนื่องมาจากพฤติกรรมการบริโภคของประชาชนมีลักษณะที่เปลี่ยนแปลง ไป เช่น ประชาชนจำนวนมากอาศัยภายใน คอนโดฯ ไม่ค่อยมีเวลาเลือกซื้อสินค้า การจับจ่ายใช้สอยในปัจจุบันจึงนิยมผลิตภัณฑ์ที่ไปถึงมือโดยสะดวก รวดเร็ว มากกว่าการ เสียเวลาในการไปเลือกซื้อสินค้าด้วยตนเอง ดังนั้นตนจึงสนใจธุรกิจเครือข่าย เพราะมีรูปแบบการดำเนินธุรกิจที่สามารถตอบโจทย์ พฤติกรรมการบริโภคแนวใหม่ของประชาชน ได้ และเมื่อมองยอดขายของตลาดขายตรง โดยภาพรวม ถือว่าอยู่ในสัดส่วนที่เพิ่มสูงขึ้น เรื่อยๆ ดังนั้นตนจึงได้เริ่มจัดตั้งบริษัท เอเชีย สุพรีม ขึ้นเมื่อประมาณเดือนมิถุนายน ปี 2554 แต่เริ่มขยายธุรกิจอย่างจริงจังเมื่อประมาณต้นเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา”

ในขณะนี้บริษัทมีสมาชิกประมาณ 2 พันคน และคาดว่าสิ้นปีนี้จะมียอดสมาชิกถึง 2 หมื่นคน เนื่องจากบริษัทมีกลยุทธ์สำคัญในปี 2555 คือ การร่วมทุนกับ บริษัท กู๊ดเฮลธ์ นิวซีแลนด์ ซึ่งเป็นบริษัทชั้นนำในด้านการจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ ภายใต้แบรนด์ “Good Health” เพื่อนำเข้าผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพของกู๊ดเฮลธ์แต่เพียงผู้เดียวในอินโดจีน โดยเร็วๆ นี้เตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “คอลอสตรัม” ผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพที่ได้รับความนิยมมากจากผู้บริโภคที่ใส่ใจสุขภาพทั่วโลก

“ในวันนี้ นับเป็นอีกก้าวสำคัญของบริษัท เอเชีย สุพรีม ที่ได้มีโอกาสร่วมมือกับ บริษัท กู๊ดเฮลธ์ นิวซีแลนด์ ซึ่งถือเป็น แบรนด์ที่มีชื่อเสียงในระดับโลก ทั้งนี้โอกาส ดีๆ ดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากความเชื่อมั่นใน ทีมผู้ถือหุ้น วิสัยทัศน์และประสบการณ์ ของทีมผู้บริหาร แผนธุรกิจ และศักยภาพ ของทีมผู้นำการขายของ “เอเชีย สุพรีม” ซึ่งตนถือว่าเป็นความภาคภูมิใจอย่างสูงสุด” นายสุธีร์ กล่าว

โดยผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่เกิดจากความ ร่วมมือกันระหว่างสองบริษัท และจะมีการ เปิดตัว และอบรมสมาชิกเพื่อนำออกจัดจำหน่ายในเร็วๆ นี้ คือ ผลิตภัณฑ์ “คอลอสตรัม” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่ผลิตจากน้ำนมแรกหลังคลอดของวัว โดยเชื่อกันว่าน้ำนม จากนิวซีแลนด์เป็นน้ำนมที่มีคุณภาพดีที่สุด ในโลก เพราะเก็บสะสมจากแม่วัวที่เลี้ยงใน ทุ่งหญ้าเท่านั้น และนิวซีแลนด์มีมาตรฐาน ที่เข้มงวด ห้ามใช้ยาปฏิชีวนะและฮอร์โมน ในแม่วัว จึงสามารถมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้ปลอดภัยจากสารปนเปื้อน 100%

“สุธีร์” ได้เปิดเผยต่อว่า “จากการที่ บริษัท เอเชีย สุพรีม ได้ลิขสิทธิ์จัดจำหน่าย ผลิตภัณฑ์ คอลอสตรัม และผลิตภัณฑ์อื่นๆ ของบริษัท กู๊ดเฮลธ์ ทำให้เรามั่นใจว่าในปีนี้บริษัทจะมียอดขายกว่า 120 ล้านบาท และเพิ่มเป็นกว่า 300 ล้านบาท ภายใน 3 ปี รวมไปถึงเป้าหมายที่จะก้าวไปสู่การเป็น บริษัทขายตรงมหาชน ค่ายแรกของเมือง ไทย ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า”

ส่วนแผนกลยุทธ์อื่นๆ ประธานกรรมการ เอเชีย สุพรีม กล่าวว่า บริษัทจะเน้น การขยายตลาดไปสู่ประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เอเชีย ไม่ว่าจะเป็น พม่า ลาว กัมพูชา อินโดนีเซีย และมาเลเซีย โดยจะเป็นลักษณะ ของการร่วมทุนกัน ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ในระหว่างดำเนินการ นอกจากนี้แผนงานที่บริษัทวางไว้ ซึ่งจะเร่งให้เสร็จสิ้นภายในสิ้นปีนี้ คือ การสร้างระบบออนไลน์ และการใช้สื่อโฆษณาทางทีวี เพราะตนมองว่าปัจจุบัน สื่อเทคโนโลยีดังกล่าวมีอิทธิพลต่อการเข้าถึงของผู้บริโภคมาก

อย่างไรก็ดี เมื่อสรุปโดยภาพรวมแล้ว ตนมองว่าธุรกิจ MLM จะประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างมั่นคงได้ จำเป็นต้องมีปัจจัยที่สำคัญ 4 ประการคือ มีทีมผู้บริหารที่มีวิสัยทัศน์ และมีความเชี่ยวชาญในธุรกิจเครือข่าย ประการ ที่ 2 มีสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพใช้แล้วได้ผล ประการที่ 3 มีโครงสร้าง แผนธุรกิจที่ดี มีธรรมาภิบาล ประการ ที่ 4 มีทีมผู้นำการขายที่มุ่งมั่นและมีประสบการณ์ ซึ่งเอเชีย สุพรีม มีปัจจัยทั้ง 4 ประการ ครบถ้วน ตนจึงมั่นใจว่าผู้ที่เข้ามา สู่ธุรกิจของเราสามารถประสบความสำเร็จได้ทุกคน” นายสุธีร์ กล่าว เสริม

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1278 ประจำวันที่ 25-2-2012 ถึง 28-2-2012