ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันเสาร์ที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2555

สูตรสำเร็จนักขายเงินล้านค่าย ‘แด๊กซิน’... ก้าวเดินอย่างมีจุดมุ่งหมาย..ความสำเร็จอยู่แค่เอื้อม!

บนเส้นทางแห่ง “ความร่ำรวย” ที่ได้มาจาก “ธุรกิจเครือข่าย” เป็นสิ่งที่ใครหลายคนถวิลหา...และถึงแม้ว่าแรกเริ่มเดิมทีนั้น จะมองว่าเป็นงานที่ยาก แต่หากมีความตั้งใจไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค ใช้อุปสรรคเหล่านั้นเป็นแรงผลักดัน เชื่อว่าในที่สุดแล้ว ความสำเร็จย่อมเกิดขึ้นตามความฝันที่ทุกคนได้วางไว้อย่างแน่นอน

“เส้นทางเริ่มต้นของการก้าวสู่ธุรกิจเครือข่าย ย่อมแตกต่างกันออกไป…บางคนอาจประทับใจในตัวสินค้าของบริษัทหรือบางคนอาจประทับใจในตัวบุคคลที่ประสบความสำเร็จ และอยากที่จะดำเนินรอยตามบุคคลเหล่านั้น...ซึ่งไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ล้วนเป็นสะพานที่ทอดยาวให้หลากหลาย ได้ก้าวเข้ามาสู่ธุรกิจเครือข่าย และสามารถประสบความสำเร็จในชีวิตได้อย่างไม่น่าเชื่อ...!!!”

เฉกเช่นชีวิตของเหล่านักสู้มากด้วยความสามารถแห่ง “บริษัท แด๊กซิน ประเทศไทย จำกัด” ที่เดินทางตามหาความฝัน และมองหาสิ่งที่จะสามารถเติมเต็มให้กับชีวิตของพวกเขาได้...ด้วยตัวสินค้าที่โดดเด่นบวกกับแผนการตลาดดีเยี่ยม จึงเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้พวกเขา “เปิดใจ” และก้าวเข้ามาสู่เส้นทางนักขายจวบจนปัจจุบันนี้...
...ปักษ์นี้คอลัมน์ “คลับเงินล้าน” จึงขอประเดิมด้วยเรื่องราวชีวิตอันน่าทึ่งของนักขายที่มากด้วยความสามารถของค่าย “แด๊กซิน” ผู้มีนามว่า “อับดุลตอเร๊ะ ดือเร๊ะ” ผู้ที่อดีตเคยเป็นเพียงแค่คนขับรถ และแทบจะมองไม่เห็นโอกาสแห่งความร่ำรวยในอาชีพนี้ได้เลย...จนเวลานี้เขาสามารถพลิกผันตัวเองให้ก้าวสู่การเป็นนักธุรกิจเงินแสนได้ในบันดล...

โดย “ตอเร๊ะ” เล่าว่า “อดีตเป็นคนขับรถให้กับ “ท่านประธานทวีศักดิ์ อับดุลบุตร” ซึ่ง “ตอเร๊ะ” ยึดอาชีพคนขับรถตลอดมาเป็นระยะเวลา 6 ปี แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะเปิดโอกาสให้กับตัวเอง แต่ด้วยการที่ “ตอเร๊ะ” มีโอกาสอยู่รับใช้ “ท่านประธานทวีศักดิ์” ทำให้เขาได้สังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงของบริษัท “แด๊กซิน” ที่ใหญ่โตและมั่นคงขึ้นอย่างรวดเร็ว อีกทั้งได้มองดูความสำเร็จของนักขายท่านอื่นมาคนแล้วคนเล่า จนเกิดความคิดที่อยากจะประสบความสำเร็จในชีวิตบ้าง?...

“ตอเร๊ะ” จึงไม่รอช้าที่จะตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิก และได้เริ่มธุรกิจเครือข่ายที่ “แด๊กซิน” ตั้งแต่ปีพ.ศ.2548 แต่ด้วยความที่เรียนมาน้อย อ่านหนังสือไม่ค่อยได้ จึงเป็นอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจ...บวกกับในพื้นที่ชนบทที่ “ตอเร๊ะ” อยู่นั้น แทบจะไม่มีใครรู้จักสินค้าขายตรง ทำให้ “ตอเร๊ะ” เกิดความท้อแท้ หมดกำลังใจ...
ด้วยความมานะบากบั่นและอดทนสู้ ที่ “ตอเร๊ะ” ใช้ควบคู่กับการทำงาน บวกกับคุณภาพของสินค้าที่มีผู้ใช้แล้วบอกต่อ ส่งผลให้ยอดขายและองค์กรของ “ตอเร๊ะ” เติบโตขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เขามีกำลังใจเกิดขึ้น และคิดเสมอว่า “เมื่อคนอื่นทำได้ สักวันหนึ่งเราก็ต้องทำได้” สิ่งนี้จึงเป็นแรงผลักดันให้เขาฮึดสู้อีกครั้ง...!!!

...แม้สภาพแวดล้อมจะไม่อำนวยต่อการดำเนินธุรกิจ แต่ “ตอเร๊ะ” ก็ใช้หลักคิดที่ว่า “ในการหาคนนั้น ต้องหาคนที่เราคิดว่าเราเหนือกว่าทางจิตใจ ไม่เน้นการขาย แต่เน้นการให้คำปรึกษามากกว่า และที่สำคัญต้องมอบสิ่งดีๆ ให้กับเขา เมื่อมีผู้สมัครสมาชิก เราก็ลงพื้นที่กับเขา คอยสอน คอยแนะนำ ทุ่มเทให้กับสมาชิก คอยช่วยเหลือสมาชิกจนเขามีรายได้ ซึ่งสิ่งนี้เป็นสิ่งที่แม่ทีมเคยมอบให้กับเรา ทำให้เราจึงได้เดินตามแนวทางของแม่ทีมที่เป็นต้นแบบอย่าง จนสามารถประสบความสำเร็จในวันนี้ และพร้อมที่จะมอบความสำเร็จแก่ลูกทีมต่อไป”…

นับได้ว่า จากการเป็นผู้ให้ของ “ตอเร๊ะ” ทำให้เขาเริ่มประสบความสำเร็จขั้นหนึ่ง ด้วยการที่เขาสามารถมีบ้านหลังใหม่ได้ภายในระยะเวลาเพียง 3 เดือน และต่อมาไม่นานเขาก็สามารถเนรมิตรถมอเตอร์ไซต์คันเก่าๆ ที่เขาใช้ขับไปเสนอสินค้า ให้กลายเป็นรถยนต์ป้ายแดงได้...


หลังจากนั้นไม่นาน “ตอเร๊ะ” ก็เริ่มมีทรัพย์สินเงินทองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบัน “ตอเร๊ะ” มีรถยนต์ทั้งสิ้น 4 คัน....และมีรายได้ 180,000 บาท ซึ่งสิ่งที่น่าภูมิใจมากกว่าทรัพย์สินเงินทองที่เขาได้รับ นั่นคือ การได้ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง “ผู้บริหารระดับเพชร” ที่เขาใฝ่ฝันมาตลอดทั้งชีวิต และใช้ระยะเวลาเพียง 2 ปี 5 เดือนเท่านั้น...
ซึ่ง “ตอเร๊ะ” กล่าวอีกว่า “การได้ขึ้นรับตำแหน่งไดมอน รู้สึกว่าสิ่งที่เรารอคอยมาตลอดเวลา น่าจะทำมาตั้งนานแล้ว เสียเวลาไป 6 ปี ที่ไม่สนใจในธุรกิจเครือข่าย ยังคงยึดอาชีพคนขับรถ โดยคิดลบมาตลอดว่าชาตินี้คงไม่รวย คงต้องยึดอาชีพคนขับรถอยู่อย่างนั้น และตั้งใจจะขับรถตลอดไป เพราะไม่คิดอะไร ชีวิตไม่มีเป้าหมาย เพราะผ่านการทำงานมาหลากหลายอาชีพก็ไม่รวยสักที”…

“หากถามถึงคุณสมบัติตำแหน่งไดมอนมีหลายประการ แต่สำหรับผมมีบุคลิกท่าทาง ทัศนคติบวก ไม่รับปัญหา มองโลกในแง่ดี พลิกวิกฤติให้เป็นโอกาส ขยันอ่านหนังสือ เข้าอบรมอย่าได้ขาด โอกาสสำเร็จแน่นอน”…

...เรียกได้ว่าที่ “แด๊กซิน” คอยช่วยเหลือหลายๆ คนที่ขาดโอกาส...ซึ่งไม่เพียงแต่ความสำเร็จของ “ตอเร๊ะ” เท่านั้น ที่ “แด๊กซิน” ยังหยิบยื่นโอกาสให้กับนักขายอีกหลากหลายชีวิตที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จจากบริษัทแห่งนี้ และหนึ่งในนั้นคือ “พิกุล ภูถมดี” สาวจากเมืองกาฬสินธุ์ที่ปัจจุบันได้ขึ้นแท่นอยู่ในตำแหน่ง “ผู้บริหารระดับเพชร” อีกคนหนึ่ง

เส้นทางชีวิตของ “พิกุล ภูถมดี” เริ่มจากการที่เธอรับราชการเป็นพยาบาลสาธารณสุข และได้มีโอกาสเข้ามาศึกษาปริญญาโท ที่กทม. ในขณะที่มาเรียนนั้น พี่สาวของเธอมีปัญหาเรื่องสุขภาพ ต้องเข้าออกโรงพยาบาลบ่อย...

ด้วยความโชคร้ายครั้งนั้น ก็แฝงด้วยความโชคดี ที่เพื่อนของ “พิกุล” ได้แนะนำผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือ ซึ่งถือเป็นผลิตภัณฑ์ชูธงของ “แด๊กซิน” เธอจึงลองซื้อไปให้พี่สาวทาน ปรากฏว่าพี่สาวอาการดีขึ้น ฟื้นฟูจนอยู่ในสภาวะปกติ เมื่อสินค้าเห็นผล “พิกุล” จึงเกิดความประทับใจในตัวสินค้า และได้ตัดสินใจเข้ามาทำธุรกิจเครือข่ายกับ “แด๊กซิน” ควบคู่กับงานประจำตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา...

...“พิกุล” ได้เล่าอีกว่า “เธอเริ่มเข้ามาทำธุรกิจเครือข่ายที่ “แด๊กซิน” อย่างจริงจังตอนปี พ.ศ.2548 ซึ่งเมื่อก่อนเธอไม่คาดคิดว่าจะได้มาทำธุรกิจเครือข่าย เพราะการเป็นพยาบาล เป็นข้าราชการสาธารณสุข จะไม่เชื่อเรื่องอาหารเสริมว่าดีจริง ไม่เชื่อว่า MLM ให้ชีวิตที่ดีได้จริงหรือเปลี่ยนคุณภาพชีวิตได้ หรือแม้กระทั่งสามารถให้เกียรติให้ศักดิ์ศรีกับเราได้”...

แต่หากชีวิตของหญิงแกร่งที่เปี่ยมล้นไปด้วยความสามารถผู้นี้ ไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ เพราะการที่ “พิกุล” ทำอาชีพธุรกิจเครือข่ายควบคู่กับงานประจำนั้น ต้องมีความรับผิดชอบและต้องรู้จักบริหารเวลาให้เป็น และที่แย่ไปกว่านั้น “พิกุล” ต้องพบเจอกับอุปสรรคในการทำธุรกิจ เพราะเธอเองไม่เก่งเรื่องงานขาย แต่ด้วยสินค้าดี มีคุณภาพ จึงเป็นตัวช่วยสำคัญอีกตัวหนึ่ง ที่ทำให้ “พิกุล” ประสบความสำเร็จได้...

นอกจากสินค้าดีแล้ว การบริหารทีมงานก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะต้องมอบความจริงใจให้แก่ทีมงานก่อน เราจึงจะได้ความจริงใจกลับคืนมา...โดยหลักการบริหารทีมงานของ “พิกุล” เธอได้บอกว่า “ท่านใดที่มาเป็นทีมงาน ก็จะบอกความจริงของบริษัทแด๊กซินว่าเป็นอย่างไรไม่กดดัน ต้องให้เขารู้สินค้าที่เขาชอบ เมื่อชอบก็ให้ลองใช้ดูก่อนว่าดีจริงหรือเปล่า เมื่อเกิดความมั่นใจแล้วจึงบอกต่อว่าจะมีการขยายธุรกิจอย่างไรจึงจะได้เงินจริง บอกเส้นทางการเดินในธุรกิจว่าต้องเดินอย่างไร และบอกแผนการทำธุรกิจว่าควรทำอย่างไร?”

…“คุณธรรมนำธุรกิจ” นี่คือนโยบายของบริษัท “แด๊กซิน” ที่ “พิกุล” ใช้ควบคู่กับการทำธุรกิจเสมอมา ซึ่ง “พิกุล” ก็ได้บอกต่ออีกว่า “หากเราทำตามมาตรฐานธรรมดา ตรงไปตรงมา ทำด้วยใจ และมีความขยัน ดูแลทีมงานด้วยความจริงใจ ไม่เอาเปรียบ มีคุณธรรมตามนโยบายของบริษัท และต้องมีความขยัน ความเพียรพยายามอย่างต่อเนื่องด้วย แค่นี้เราก็สำเร็จได้แน่นอน”

จากการทำธุรกิจเครือข่ายในช่วงแรก “พิกุล” ได้รับรายได้เพียงหลักร้อย หลักพันเท่านั้นเอง แต่ ณ เวลานี้ เธอได้รับรายได้ถึงหลักแสนบาท และมีบ้าน มีรถมูลค่ากว่าล้านบาท มีเงินให้ครอบครัวใช้อย่างไม่ขาดมือ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เป็นความภาคภูมิใจที่เธอได้รับจาก “แด๊กซิน” และตัวเธอเองไม่คาดคิดมาก่อนว่าจะมีรายได้มากขนาดนี้ เพราะการทำงานพยาบาลนั้นกว่าจะได้รายได้มากมายขนาดนี้ ต้องแลกกับหยาดเหงื่อ และความเหนื่อยเป็นทวีคูณ หากกำลังของเราไม่ถึง เราก็ไม่ได้”…

“พิกุล” ยังได้บอกอีกว่า ในปีนี้ตั้งเป้าหมายไว้ว่า “จะสร้างผู้นำ ดูแลผู้ที่ร่วมธุรกิจให้เขารวยอย่างเรา ให้เขาเข้าใจว่าเราแนะนำสิ่งที่ดี ถ้าทำตามที่เราแนะนำ รับรองว่ารวยแน่นอน...และขอเพียงมีความตั้งใจ มีความขยัน มีความเพียร ก็สำเร็จได้...

...ปิดท้ายความสำเร็จกันด้วยที่สองสามีภรรยา ผู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆ จนมาพบกับหนทางแห่งความสำเร็จ...อย่าง “ธีรพล-ไพจิตร อุดมทวี” คู่รักคู่รวยอีกคู่หนึ่งแห่ง “แด๊กซิน”…

โดยจุดเริ่มต้นของชีวิตทั้งคู่ นับว่าเป็นเส้นทางที่สวยหรูในระดับหนึ่งแล้ว ด้วยการเป็นเจ้าของกิจการคาร์แคร์ครบวงจร ส่วน “ไพจิตร” ผู้เป็นภรรยามีอาชีพเป็นข้าราชการสาธารณสุข เรียกได้ว่ารายได้ของครอบครัว “อุดมทวี” มีมากพอ ที่จะทำให้ครอบครัวสุขสบาย ไม่เดือดร้อนแต่อย่างใด...

ธุรกิจเครือข่ายจึงเป็นสิ่งที่ “ธีรพล” มองข้ามในเวลานั้น...แต่ใครจะเชื่อว่าลิขิตฟ้าจะนำพาให้ “ธีรพล” ได้มีโอกาสไปสัมผัสกับสินค้าเกษตรของ “แด๊กซิน” ทำให้เขาเกิดความสนใจ และเข้ามารับฟังการบรรยายในเรื่องสินค้าและแผนการตลาด...“ธีรพล” จึงเข้าใจในธุรกิจเครือข่ายมากขึ้น และคิดว่าจะประสบความสำเร็จได้...
“ช่วงแรกได้เข้าห้องอบรม ไปเรียนรู้แผนการตลาด ตัดสินใจใช้สินค้า และลงพื้นที่ไปขายสินค้าการเกษตร เหมือนที่วิทยากรแนะนำ ลองปฏิบัติเอง เก็บข้อมูลเอง จนปัจจุบันได้มาเป็นวิทยากรของภาคอีสาน และมีโอกาสได้ไปบรรยายที่ประเทศลาวและกัมพูชาด้วย”

“ธีรพล” ใช้เวลาเพียง 2 ปี 1 เดือนก็สามารถขึ้นสู่ตำแหน่ง “ผู้บริหารระดับเพชร” ได้ โดยตัวเขามองว่า “สิ่งนี้ถือเป็นการประสบความสำเร็จในขั้นแรกเท่านั้น แต่หากสามารถสอนให้ทีมงานประสบความสำเร็จเหมือนตัวเขาได้ และเมื่อเขาหยุดทำและยังคงมีรายได้ นี่แหละคือความสำเร็จที่แท้จริง”...

...และแน่นอนว่า การเดินอยู่บนเส้นทางธุรกิจเครือข่ายของ “ธีรพล” ย่อมมีอุปสรรคอย่างแน่นอน เพราะในช่วงแรก โดนผู้อื่นปฏิเสธมาจำนวนมาก แต่เขาก็ไม่เคยย่อท้อ โดยเขานำหลักของหลวงพ่อคูณมาคิดเสมอว่า “การไปแนะนำสินค้าหรือชักชวนให้ผู้อื่นมาสมัครสมาชิกกับเรา ก็เหมือนหาปลาในทุ่งนา มีปลาที่ไหนจะเข้าไซเราทั้งหมด ได้เท่าไหร่เอาเท่านั้น ค่อยๆ สะสมองค์กร สะสมสายงาน สักวันหนึ่งก็จะประสบความสำเร็จ”...

โดย “ธีรพล” บอกว่า “รายได้เดือนแรกที่ได้รับเพียง 460 บาท ต่อมาเดือนที่ 2 ได้รับ 4,600 บาท จนมาเดือนที่ 4 มีรายได้ถึงหลักแสนบาท ซึ่งเมื่อก่อนเคยทำกับบริษัทใหญ่บริษัทหนึ่งมา แต่รายได้ก็ไม่มากขนาดนี้…ถ้าเราตั้งใจ และมองเห็นโอกาส รับรองว่าโอกาสประสบความสำเร็จมีแน่นอน เพราะบริษัทมีแผนการตลาดให้ เพียงเราเดินตามผู้ที่ประสบความสำเร็จเท่านั้น”

เมื่อเราลงพื้นที่ เราก็ไปนั่งคุยกับเกษตรกร ถ้าเขาไม่มั่นใจในสินค้า เราก็แนะนำให้เขาเริ่มใช้ปริมาณน้อยๆ ก่อน เมื่อใช้ดี ใช้แล้วเห็นผล เขาก็จะเริ่มใช้เอง...และนี่จึงเป็นหลักการง่ายๆ ในการทำธุรกิจของ “ธีรพล”...

...ด้าน “ไพจิตร” ผู้เป็นภรรยา ก็ไม่เคยคาดคิดว่าจะได้มาทำ “ธุรกิจเครือข่าย” เช่นเดียวกัน เพราะการรับราชการ เป็นนักวิชาการสาธารณสุข เป็นอาชีพที่มั่นคงอยู่แล้ว บวกกับมีรายได้จากธุรกิจคาร์แคร์ ที่เธอมองว่ามากพออยู่แล้ว...แต่เมื่อ “ธีรพล” ผู้เป็นสามีได้ทำธุรกิจเครือข่ายไปได้ในระยะหนึ่ง “ไพจิตร” จึงมองเห็นว่า “ธุรกิจเครือข่าย” เป็นธุรกิจที่ดี จึงเริ่มเปิดใจ และลงมือทำร่วมกันกับสามี ควบคู่ไปกับงานราชการและธุรกิจคาร์แคร์ด้วย...


การมีทรัพย์สินเงินทอง มีรถราคากว่าล้านบาท สิ่งเหล่านี้ครอบครัว “อุดมทวี” มีเพียบพร้อมก่อนการเริ่มธุรกิจเครือข่าย...แต่พวกเขามองว่า “แด๊กซิน” ให้รางวัลชีวิตแก่พวกเขา นอกเหนือจากรายได้หลักแสน นั่นคือ การมีเวลาให้กับครอบครัวมากขึ้น...ได้มีโอกาสไปเที่ยวพักผ่อนมากขึ้น เพราะไม่ว่าเราจะอยู่ที่ไหน หรือหยุดทำ รายได้ก็ยังคงมีเช่นเดิม...

ถ้าเรายังทำธุรกิจคาร์แคร์ หรือธุรกิจอื่นๆ เราไม่สามารถหยุดทำได้ นี่จึงถือเป็นเสน่ห์ของธุรกิจเครือข่าย...

โดย “ธีรพล” ยังบอกต่ออีกว่า “ถ้าเขาเปิดใจ ให้เขาเรียนรู้จากการเข้าอบรม ให้เขาเลียนแบบใครก็ได้ที่สำเร็จ คอยช่วยให้เขาประสบความสำเร็จ ซึ่งในธุรกิจเครือข่าย เราสามารถสอนให้คนอื่นรวยเหมือนเราได้ แต่ในธุรกิจอื่นทำไม่ได้”…นี่จึงเป็นสิ่งที่ “ธีรพล” ภาคภูมิใจเสมอมา

...นับได้ว่า ไม่ว่าจะเป็นใคร ก็มีโอกาสเท่ากันทุกคน แม้เรียนมาน้อย ไม่มีความรู้ แต่หากมีความมุ่งมั่น ขยันทำอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ก็สามารถเติบโตได้ในธุรกิจนี้ เพราะธุรกิจเครือข่ายเปิดกว้างให้กับทุกคนได้ประสบความสำเร็จเช่นดั่งนักขายเงินล้านค่าย “แด๊กซิน”…


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 317 ประจำวันที่ 1 - 15 เมษายน 2555

‘หมอเส็ง’เคลื่อนทัพแรงรับปีมังกรทอง ...เปิดอาคารโรงงานใหม่/เข็นสินค้าใหม่ชูธงรบ




ผมอยากที่จะให้สมาชิกหมอเส็งทุกคนนั้น มีความอดทนและมีความอดออม ดูแบบอย่างคนที่ประสบความสำเร็จว่าเขานั้นทำอย่างไร เพราะวันนี้แบบอย่างคนที่สำเร็จในธุรกิจหมอเส็งมีเยอะ ซึ่งต้องทำตามให้ได้ ที่สำคัญ คนที่มีศูนย์สินค้าอยู่แล้วอย่าไปชวนเขาให้อยู่กับเรา เพราะท่านยิ่งชวน ยิ่งทำให้ศูนย์ของท่านก็จะยิ่งเละ ไม่มีใครมาใช้บริการ และหลังจากนั้นศูนย์ก็อาจจะปิดตัวลง ซึ่งการทำธุรกิจของหมอเส็งนั้นไม่ต้องการที่จะรวยเร็ว แต่ต้องการเป็นธุรกิจที่รวยแบบมั่นคงเท่านั้น

แบรนด์ตรา “หมอเส็ง” ชื่อนี้ เชื่อว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักอย่างแน่นอน เพราะต้องบอกว่ากว่า 10 ปีที่ผ่านมา แบรนด์ตราหมอเส็งยืนหยัดอยู่ในธุรกิจเครือข่ายได้อย่างสง่าผ่าเผยทีเดียว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะด้วยผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ ที่เป็นใบเบิกทาง จนทำให้หลายคนต่างรู้จัก “หมอเส็ง” เป็นอย่างดีนั่นเอง ด้วยผลิตภัณฑ์ที่สร้างชื่อคือ ผลิตภัณฑ์ “ว่านชักมดลูก”

และวันนี้ต้องบอกว่า คนเครือข่ายที่อยู่ในธุรกิจนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า ไม่รู้จักหรือไม่เคยได้ยินชื่อเสียงของบริษัทยักษ์ใหญ่แห่งวงการสมุนไพรที่มีชื่อว่า “บริษัท แสงสุริยะฉัตร (2002) จำกัด” ที่มี “ฉัตรชัย แสงสุริยะฉัตร” หรือ คุณหมอเส็ง ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์แผนไทย เป็นผู้บุกเบิกธุรกิจแบรนด์ตรา “หมอเส็ง” อย่างแน่นอน!..
ซึ่งเมื่อย้อนดูถึงประวัติของบริษัทนี้แบบคร่าวๆ แล้วล่ะก็ พบว่า จุดกำเนิดของธุรกิจหมอเส็งนั่นเริ่มต้นจากก่อนหน้าที่คุณหมอเส็งจะมาตั้ง บริษัท แสงสุริยะฉัตร (2002) จำกัด นั้น คุณหมอเส็งได้เคยเปิดคลินิกรักษาโรคทั่วไปมาก่อน จนผู้ที่เข้ามารักษาต่างให้การยอมรับในตัวของคุณหมอเส็ง และจากวิสัยทัศน์ที่กว้างไกลของคุณหมอเส็งบวกกับความตั้งใจ ที่จะใช้ประโยชน์จากความรู้และประสบการณ์ที่คุณหมอเส็งได้สั่งสมมาเป็นเวลากว่า 60 ปี รวมถึงต้องการที่จะให้ผู้ป่วยที่ไม่ค่อยมีสตางค์ ได้กินยาดีๆ และช่วยให้หายป่วย!...

และจากจุดนี้นี่เอง...จึงได้เกิดมาเป็น “บริษัท ฉัตรสุริยะ (2002) จำกัด” ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรไทย ตราหมอเส็ง ในวันที่ 1 สิงหาคม พ.ศ.2545 และเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม พ.ศ.2545 หลังจากนั้นภายในระยะเวลาเพียง 1 ปี ด้วยความเจริญเติบโตก้าวหน้าทางธุรกิจอย่างรวดเร็ว ส่งผลให้ในวันที่ 7 กันยายน พ.ศ. 2546 ทางบริษัทหมอเส็ง จึงได้ลงทุนสร้างโรงงานขนาดใหญ่ ที่ได้มาตรฐานสากล ณ อำเภอหนองแค จังหวัดสระบุรี เพื่อเพิ่มศักยภาพทางด้านการผลิตยาสมุนไพรตราหมอเส็ง ให้มีความสามารถตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคได้อย่างทั่วถึง

ซึ่งการเติบโตของธุรกิจหมอเส็งไม่ได้หยุดยั้งเพียงแค่นี้ หลังจากนั้นอีก 1 ปี ธุรกิจหมอเส็ง ก็ได้พัฒนาระบบโครงสร้างการดำเนินงานภายในใหม่ทั้งหมด เพื่อรองรับการขยายตัวทางธุรกิจไปสู่ตลาดโลก พร้อมทั้งเปลี่ยนชื่อใหม่ให้ยิ่งใหญ่กว่าเดิมเป็น “บริษัท แสงสุริยะฉัตร (2002) จำกัด” ต่อมาเมื่อวันที่ 27 พฤษภาคม 2551 จึงได้ย้ายสำนักงานมาที่อาคารหมอเส็งสำนักงานใหญ่ตรงข้ามมหาวิทยาลัยธรรม ศาสตร์ ศูนย์รังสิต บนพื้นที่ 15 ไร่ ลงทุนมากกว่าพันล้านบาท..

...และการเติบโตของธุรกิจหมอเส็งก็ไม่ได้หยุดเพียงเท่านี้ ล่าสุดเมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา ทาง “หมอเส็ง” ก็ได้เปิดตัวอาคารโรงงานแห่งใหม่ มูลค่า 300 กว่าล้านบาท ที่จังหวัดสระบุรีเช่นกัน โดยโรงงานแห่งใหม่นี้ จะเป็นฐานการผลิต ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง น้ำดื่มสมุนไพร และผลิตภัณฑ์อื่นๆ เพื่อเตรียมรองรับการขยายธุรกิจที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคตนั่นเอง

พร้อมกันนี้ “หมอเส็ง” ยังได้เข็นสินค้าใหม่ออกมาชูธงรบทางธุรกิจอีกด้วยนั่นก็คือ ผลิตภัณฑ์กวาวเครือ ยาน้ำสมุนไพรผสมกวาวเครือขาว และยาน้ำสมุนไพรผสมว่านชักมดลูก สูตร 3 กลิ่นผลไม้รวม ซึ่งทางด้าน “หมอเส็ง” เอง ได้คาดการณ์ว่าจะเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคอย่างแน่นอน!...โดยปัจจุบันบริษัทฯ ยังไม่ได้นำเข้ามาสู่ระบบ คาดว่าน่าที่จะนำเข้ามาสู่ระบบได้ในเร็วๆ นี้

…นอกจากนี้ ทางด้านนางนิภา แสงสุริยะฉัตร กรรมการผู้จัดการ บริษัท แสงสุริยะฉัตร (2002) จำกัด ยังได้กล่าวเพิ่มเติมว่า “ขณะนี้หมอเส็งกำลังเตรียมที่จะเข็นสินค้าเครื่องสำอางทั้งในส่วนของเดย์ครีม ไนท์ครีม และแป้งเข้ามาสู่ระบบเครือข่ายอีกด้วย ซึ่งวันนี้ต้องบอกว่า ทุกสิ่งทุกอย่างที่ทำให้เราสวยและรวยได้ ที่ธุรกิจหมอเส็งต้องมี โดยคาดว่าสินค้าใหม่ที่จะนำเข้ามาสู่ระบบนั้น ในช่วงแรกจะเป็นการทดลองตลาดก่อน ซึ่งภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า คาดว่าทางบริษัทฯ น่าที่จะนำเข้ามาสู่ธุรกิจอย่างแน่นอน”
และนอกเหนือจากการเปิดตัวโรงงานแห่งใหม่ของหมอเส็ง รวมถึงการเข็นสินค้าใหม่อย่างผลิตภัณฑ์กวาวเครือ ยาน้ำสมุนไพรผสมว่านชักมดลูก สูตร 3 กลิ่นผลไม้รวมแล้ว...ธุรกิจหมอเส็งเอง ยังมี “ขีปนาวุธ” ที่สำคัญ ในการเคลื่อนทัพสู่ความสำเร็จอีกด้วย...เห็นได้จาก ในปีนี้ “หมอเส็ง” ได้ออกมาเปิดเกมรุกทางธุรกิจอย่างหนักหน่วงด้วยการทุ่มงบกว่า 200 ล้านบาท ลุยสื่อแบบครบเครื่องไม่ว่าจะเป็น ฟรีทีวี ทั้ง 3,5,7,9 ทีวีดาวเทียม สื่อวิทยุชุมชน และบิลบอร์ด ที่จะเป็นใบเบิกทางให้กับสมาชิกได้ทำงานง่ายขึ้นนั่นเอง

“วันนี้หมอเส็งได้มีการนำบิลบอร์ดเพื่อโปรโมทธุรกิจหมอเส็งบ้างแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการโปรโมทธุรกิจหมอเส็งผ่านทางรถเมล์ยูโรประจำทาง 10 สายด้วยกัน ซึ่งได้วิ่งพร้อมกันเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยในป้ายโฆษณานั้น จะระบุว่า “เรื่องสมุนไพร ไว้ใจหมอเส็ง..อยากรู้เรื่องว่านชักมดลูก โทร.02-516-4488” โดยเชื่อว่าการโฆษณาผ่านสื่อดังกล่าวนี้ น่าที่จะเป็นการตอกย้ำแบรนด์หมอเส็งได้เป็นอย่างดีทีเดียว”

...จะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจหมอเส็งมีอัตราการเติบโตที่ต่อเนื่องทุกปี ซึ่งมีอัตราการเติบโตเฉลี่ยปีละประมาณ 20% และจากอัตราการเติบโตที่ไม่หยุดยั้งนี่เอง ที่ทำให้ในวันนี้ธุรกิจหมอเส็ง พร้อมที่จะประกาศความยิ่งใหญ่ด้วยเป้าหมายที่จะเติบโตให้ได้อยู่ที่ประมาณ 2-3 เท่า จากอัตราการเติบโตตามปกติเป็นประจำทุกปี

ส่วนหนึ่งเป็นเพราะด้วยเครื่องไม้เครื่องมือทางธุรกิจที่เรียกได้ว่า มีความพร้อมมากกว่าในปีที่ผ่านๆ มา อาจเป็นได้ และยิ่งในปีนี้ที่ “หมอเส็ง” ได้ประกาศโหมโรงรุกสื่อทีวีแบบครบเครื่อง พร้อมๆ กับการเปิดตัวโรงงานแห่งใหม่ ที่พร้อมรองรับกับการผลิตสินค้าแบบเต็มอัตราศึกอย่างนี้ด้วยแล้วล่ะก็ เชื่อว่าเป้าหมายที่ธุรกิจหมอเส็งวางไว้คงไม่ไกลเกินเอื้อมด้วยเช่นกัน!...

...นอกจากนี้ “ฉัตรชัย” ยังได้ให้แง่คิดเกี่ยวกับการทำธุรกิจขายตรงอีกว่า “วันนี้โอกาสของคนเรามันมีน้อย ยิ่งวันนี้การแข่งขันค่อนข้างมีสูง แต่ละคนรายจ่ายสูงอย่างมาก ลำพังเงินเดือนไม่พอกินอย่างแน่นอน ซึ่งการที่ทุกคนนั้น หันมาทำธุรกิจขายตรงมองว่าถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะเป็นอาชีพอิสระ แต่ทั้งนี้ทุกท่านก็ต้องใช้เวลา และต้องหมั่นเรียนรู้ ซึ่งวันนี้คนขายตรงส่วนใหญ่จะได้เงินง่ายและได้เงินมาก โดยคนที่ได้เงินมากก็จะลืมตัว ในขณะเดียวกัน คนที่มีรายได้ยังไม่นิ่งพอ กับพบว่า ไปสร้างภาพกันหมด ด้วยการซื้อบ้าน ซื้อรถ โดยทำอะไรไว้ล่วงหน้าไปหมด นึกอย่างเดียวว่า ตัวเองทำได้ และสามารถผ่อนได้ ซึ่งตรงนี้ต้องบอกว่าเหนื่อย”

“ฉัตรชัย” ยังบอกอีกว่า ปัจจุบันนี้ คนที่ทำธุรกิจขายตรงค่อนข้างโชคดี เพราะไม่ต้องเตรียมตัวอะไรมากมาย เพียงแค่มีใจที่มุ่งมั่นที่จะทำงานเท่านั้นก็พอ ซึ่งต่างจากในช่วงอดีต ที่การจะทำอาชีพอะไรสักอย่างจะต้องมีทุนในการซื้ออุปกรณ์ต่างๆ แต่สำหรับธุรกิจขายตรงในวันนี้แล้ว เพียงแค่สมัครมาเป็นสมาชิก มาเรียนรู้ ในเรื่องของสินค้า แผนการตลาด รู้วิธีการขายอย่างสม่ำเสมอและต่อเนื่อง ที่สำคัญ ทำแล้วอย่าท้อ เพียงนี้ทุกท่านก็จะสามารถประสบความสำเร็จในธุรกิจขายตรงได้แล้ว ซึ่งหากใครที่ขายได้มากเท่าไหร่ ท่านก็จะได้เยอะ แล้วแต่ความสามารถ
… “ผมอยากที่จะให้สมาชิกหมอเส็งทุกคนนั้น มีความอดทนและมีความอดออม ดูแบบอย่างคนที่ประสบความสำเร็จว่าเขานั้นทำอย่างไร เพราะวันนี้แบบอย่างคนที่สำเร็จในธุรกิจหมอเส็งมีเยอะ ซึ่งต้องทำตามให้ได้ ที่สำคัญ คนที่มีศูนย์สินค้าอยู่แล้วอย่าไปชวนเขาให้อยู่กับเรา เพราะท่านยิ่งชวน ยิ่งทำให้ศูนย์ของท่านก็จะยิ่งเละ ไม่มีใครมาใช้บริการ และหลังจากนั้นศูนย์ก็อาจจะปิดตัวลง ซึ่งการทำธุรกิจของหมอเส็งนั่นไม่ต้องการที่จะรวยเร็ว แต่ต้องการเป็นธุรกิจที่รวยแบบมั่นคงเท่านั้น”...

ฉัตรชัย กล่าวย้ำต่ออีกว่า วันนี้การทำธุรกิจขายตรงนั้นลำบากเพียงแค่ 3-5 ปีแรกเท่านั้น ซึ่งวันนี้ท่านต้องพยายามสร้างลูกทีมให้ได้ พยายามอย่าทะเลาะกับลูกทีม เพราะหัวใจของการทำธุรกิจขายตรง คือ ต้องทำงานเป็นทีม เพราะเมื่อลูกทีมทำงานแล้ว ตัวท่านเองก็จะได้รับประโยชน์ในภายหลังด้วย ซึ่งเมื่อทีมเกิดการทะเลาะกันเมื่อไหร่ ทีมก็จะแตก รายได้ก็จะลดน้อยลง อยากให้ทุกท่านรักสามัคคีกัน และธุรกิจหมอเส็งเอง ขอสัญญาว่าจะพยายามทำสินค้าใหม่ที่เหนือกว่าคนอื่นมาให้ทุกท่านอย่างแน่นอน

...“วันนี้ธุรกิจขายตรงส่วนมาก ไม่ค่อยสนใจเรื่องของคุณภาพกับสินค้าเท่าไหร่ เพียงแค่ขอให้มีสินค้ามาขายและปั่นกัน เหมือนหลอกและกระตุ้นให้เรานั้นทำงานให้เขา พอ 2-3 ปี บริษัทก็ปิดตัวลง ซึ่งวันนี้ธุรกิจหมอเส็งที่เติบโตมาได้ เป็นเพราะมีความซื่อสัตย์ในการขาย ไม่หลอกขายสินค้า ซึ่งคนที่หลอกขายสินค้านั้น เรียกได้ว่าเจริญได้ไม่นาน สุดท้ายสินค้าก็ขายไม่ได้ วันนี้สินค้าของหมอเส็งที่ขายได้ไม่ใช่เฉพาะหมอเส็งหรอก แต่ที่บริโภคซื้อเพราะเขารักพวกท่าน เพราะฉะนั้นพวกท่านเอง ก็อย่าไปทำให้เขานั้นเสียใจ อย่าไปหลอกหรือต้มเขา ตรงนี้ถือเป็นเรื่องที่สำคัญ ขอให้ทำธุรกิจอย่างต่อเนื่อง มีทีมก็ขอให้รักษาทีมเอาไว้ อย่าแตกแยก ถ้าแตกแยกกันเมื่อไหร่ ทุกอย่างก็จะไม่ส่งผลดีด้วยเช่นกัน”...


...นับได้ว่า การที่จะยิ่งใหญ่ในยุทธจักรเครือข่ายได้นั้น ต้องอาศัยประสบการณ์และความชำนาญเข้าช่วยด้วยเช่นกัน ยิ่งปัจจุบันนี้ อาจจะเรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งยุคของการปราบเซียนเลยก็ว่าได้ หากใครที่ไม่แข็งแกร่งพอรับรองว่ามีแต่ “ตาย” กับ “ตาย” อย่างแน่นอน ขณะเดียวกัน ด้วยภาวะการณ์แข่งขันที่รุนแรงเช่นนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกธุรกิจจะต้องมี คือ ความพร้อมในการรับมือกับสถานการณ์ที่จะเกิดขึ้นให้ได้…เช่นดั่งบริษัทขายตรงอย่าง “บริษัท แสงสุริยะฉัตร (2002) จำกัด”...ที่เริ่มมีการเตรียมความพร้อมเพื่อรับมือในปีมังกรทองนี้บ้างแล้ว!...


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 317 ประจำวันที่ 1 - 15 เมษายน 2555

‘ยูแคนดู’เขย่าเครือข่ายรูปแบบใหม่ ตอกย้ำแบรนด์ผ่านสื่อเอ็นเตอร์เทนเม้นท์


เจาะลึกเส้นทางเครือข่ายน้องใหม่ “ยูแคนดู” ลั่นกลองชัยหวังติด 1 ใน 5 อีก 5 ปีข้างหน้า...พร้อมประกาศยุทธหัตถีบุกตลาดเครือข่ายเต็มอัตราศึก...เผย 6 เดือนที่ผ่านมาธุรกิจเติบโตดีเกินคาด ฟันยอดขายไปแล้วกว่า 50-60 ล้าน...แย้มรุกธุรกิจรูปแบบใหม่ตอกย้ำแบรนด์ผ่านสื่อเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ล่าสุดเตรียมจัดงานมหกรรมคอนเสิร์ตเครือข่ายความสุขตอน “ลูกทุ่งจ๋า มหาสนุก” ขนทัพศิลปินลูกทุ่งกว่า 100 ชีวิต พร้อมเหล่าตลกชั้นนำมาร่วมความบันเทิง 21-22 เม.ย. นี้...เผยเตรียมพบสินค้าดีมีคุณภาพในปีนี้อีกเพียบ!


...เริ่มต้นเคลื่อนทัพได้อย่างน่าติดตามทีเดียว สำหรับเครือข่ายน้องใหม่ที่ชื่อ “ยูแคนดู” ซึ่งหลังจากที่ได้เปิดตัวผ่านสื่อเครือข่ายไปเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลให้หลายๆ คนต่างจับจ้องมองดูเครือข่ายพันธุ์ไทยแท้ “ยูแคนดู” นี้ว่าจะมีอะไรที่นำออกมาสร้างความแตกต่างให้กับธุรกิจเครือข่ายกันบ้าง แต่ทั้งนี้ หากมองไปในมุมที่ฉีกออกไป คงต้องบอกว่า ผู้ประกอบการรายใหม่ท่านใด ที่จะก้าวเข้ามาสู่แวดวงธุรกิจเครือข่ายได้นั้น “ไหวพริบ” และ “ปฏิภาณ” ต้องเฉียบคม โดนใจคนเครือข่ายแบบตรงจุด ถึงจะสามารถครองใจคนเครือข่ายได้ ทั้งในเรื่องของสินค้า แผนการตลาด ความพร้อมของบริษัท และผู้นำที่จะสร้างเครือข่ายนั่นเอง


วันนี้กับธุรกิจขายตรงพันธุ์ไทยแท้ที่ชื่อ “ยูแคนดู” ภายใต้การนำทัพหน้าของ “พิษณุ สกุลโรมวิลาส” ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยูแคนดู จำกัดนั้น คงต้องบอกว่า ค่ายนี้ย่อมต้องมีอะไรที่ไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน ถึงกระโดดลงมาร่วมชิงชัยในธุรกิจเครือข่ายในช่วงเวลานี้


…ซึ่งช่วงแรกของการเปิดตัวขายตรงน้องใหม่ค่ายนี้นั้น เรียกได้ว่าก็ไม่ค่อยแตกต่างไปจากบริษัทขายตรงค่ายอื่นๆ สักเท่าไหร่ นั่นก็คือ การนำเสนอจุดเด่นของบริษัททั้งในเรื่องของแผนการตลาด สินค้าที่โดนใจ โดยการสร้างจุดเด่นและจุดขายของ “ยูแคนดู” ในช่วงเปิดตัวนั้น พบว่า เป็นการดึงความสนใจของธุรกิจด้วยการดึง “หมอนพพร” ร่วมคิดค้นสินค้าฟื้นฟูสุขภาพออกสู่ตลาด...และนี่ก็อาจจะเป็นอีกหนึ่งใบเบิกทางธุรกิจของ “ยูแคนดู” ในการสร้างการรับรู้ก็เป็นได้


ส่วนอีกหนึ่งยุทธศาสตร์สร้างปีกธุรกิจให้แข็งแกร่งของ “ยูแคนดู” ในช่วงเวลานี้นั้น คงหนี้ไม่พ้นในเรื่องของการฝึกอบรมผู้นำสู่ความเป็นมืออาชีพทางธุรกิจนั่นเอง...โดยในช่วงที่ผ่านมา “ยูแคนดู” ยังได้มีการทุ่มงบกว่า 10 ล้านบาท ในการเปิดตัวสถาบันฝึกอบรม “ยูแคนดู อะคาเดมี่” อีกด้วย เพื่อหวังที่จะสร้างคนให้เป็นนักธุรกิจมืออาชีพ ภายใต้คอนเซ็ปต์ของธุรกิจที่ว่า “ทำธุรกิจให้เป็นเรื่องง่าย” พร้อมกับการเข็นสินค้าที่โดนใจสู่ผู้บริโภค!...ที่สำคัญ “ยูแคนดู” ยังมีแผนที่จะจัดงานในลักษณะผสมระหว่างธุรกิจกับเอ็นเตอร์เทนเม้นท์เข้าไว้ด้วยกัน โดยจะเป็นการทำธุรกิจแบบไม่เน้นธุรกิจแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะแทรกซึมธุรกิจไปกับการใช้สื่อเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ต่างๆ


...อย่างล่าสุด “ยูแคนดู” เอง ได้เตรียมจัดงานมหกรรมคอนเสิร์ตเครือข่ายความสุขตอน “ลูกทุ่งจ๋า มหาสนุก” เพื่อสร้างการรับรู้ผ่านสื่อเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ ด้วยการขนทัพศิลปินลูกทุ่งต้นฉบับกว่า 100 ชีวิต จากหลายยุคโชว์สุดยอดเพลงดัง พร้อมเหล่าตลกชั้นนำมาหยอดมุขสุดฮากระจาย โดยงานนี้จะจัดขึ้นในวันที่ 21-22 เมษายนนี้


โดยวัตถุประสงค์ของการจัดงานในครั้งนี้นั้น นายพิษณุ สกุลโรมวิลาส ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยูแคนดู จำกัด เปิดเผยว่า “การจัดงานคอนเสิร์ตในครั้งนี้นั้น ถือเป็นการประกาศเครือข่ายแห่งความสุขอย่างแท้จริง โดยเป็นการรวมพลศิลปินกว่า 100 ชีวิต จากนักร้องลูกทุ่งคุณภาพตลอดกาลที่มีชื่อเสียงโด่งดังทั่วฟ้าเมืองไทย มาร่วมขับร้องเพลงดังที่สุดแห่งยุคจากนักร้องต้นฉบับตัวจริง พร้อมการแสดงจากตลกชั้นนำที่จะมาเรียกเสียงหัวเราะ โดยงานนี้เรียกได้ว่าเป็นการทำให้ประชาชนได้สัมผัสถึงความสุขอย่างเต็มรูปแบบ ผ่อนคลายความเครียดจากวิกฤต การณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น พร้อมกับเป็นการร่วมอนุรักษ์ศิลปวัฒนธรรมและเชิดชูศิลปินที่ทรงคุณค่าของไทย”


นายพิษณุ เผยต่ออีกว่า มหกรรมคอนเสิร์ตนี้ถือเป็นการประกาศเครือข่ายความสุขอย่างแท้จริง โดยบริษัทฯ ได้ทุ่มงบเกือบ 2 ล้านบาท ในการจัดมหกรรมคอนเสิร์ตในครั้งนี้ เพื่อเป็นการย้ำแบรนด์ยูแคนดูให้คนรู้จักผ่านทางมหกรรมคอนเสิร์ตลูกทุ่งนั่นเอง และในอนาคตอันใกล้บริษัทฯ ก็ยังจะมีแนวทางในการทำตลาดผ่านสื่อเอ็นเตอร์เทนเม้นท์ต่างๆ รวมถึงกิจกรรมเพื่อช่วยเหลือสังคมต่างๆ มากมายด้วย


สำหรับภาพรวมธุรกิจ “ยูแคนดู” ตลอดระยะเวลาประมาณ 6 เดือนที่ผ่านมานั้น นายพิษณุ เปิดเผยว่า ในช่วงที่ผ่านมา ธุรกิจของยูแคนดู เรียกได้ว่าเป็นการสร้างคนจากตัวสินค้าอย่างแท้จริง โดยไม่ได้มุ่งเน้นไปที่การหากำไรเพียงอย่างเดียว ที่สำคัญ การทำธุรกิจของยูแคนดูจะอยู่กับความเป็นจริงมาโดยตลอด พร้อมกับตั้งเป้าหมายว่าภายใน 5 ปีข้างหน้านี้ ต้องมียอดขายที่มากกว่า 1,000 ล้านบาทให้ได้


ซึ่งในช่วง 1-2 ปีนับจากนี้ ขอมุ่งเน้นการสร้างทีมสมาชิกให้มีความแข็งแกร่งมากกว่าการสร้างยอดขายเป็นหลักก่อน โดยในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทฯ สามารถสร้างยอดขายไม่ต่ำกว่า 50-60 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นตัวเลขที่ค่อนข้างน่าพอใจเป็นอย่างมากทีเดียว พร้อมกับมีจำนวนสมาชิกอยู่ที่ประมาณ 3 หมื่นรหัส และแอคทีฟอยู่ที่ประมาณหลักพัน


นายพิษณุ กล่าวต่อว่า ในปีนี้ อีกหนึ่งไฮไลท์ที่สำคัญ นอกเหนือจากการสร้างการย้ำแบรนด์ผ่านสื่อเอ็นเตอร์เทนเม้นท์แล้ว บริษัทฯ ยังเตรียมที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่ออกมาสู่ตลาดเครือข่ายอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน อาทิ ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มสกัดสมุนไพร “โอตอง” (O-TONG) ที่ถือเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่ยูแคนดูต้องการนำเสนอ โดยได้มีการทดลองตลาดไปแล้วประมาณเดือนกว่า และยังไม่ได้มีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ซึ่งคาดว่าหากมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเมื่อไหร่ กระแสตอบรับน่าที่จะดีอย่างแน่นอน เห็นได้จาก ปัจจุบันยอดขายของผลิตภัณฑ์ “โอตอง” มียอดขายอยู่ในอันดับต้นๆ ของบริษัทฯ ซึ่งราคาสมาชิกขายอยู่ที่ 850 บาท ราคาปกติขายอยู่ที่ 1,100 บาท ปริมาณสุทธิ 750 มิลลิลิตร


พร้อมกันนี้ ยูแคนดูยังเตรียมที่จะออกสินค้าที่ฉีกหนี้คู่แข่งอีกด้วย ที่ชื่อว่า “แทนชา” ซึ่งเป็นงานวิจัยของทีมแพทย์ศิริราช คาดว่าจะวางจำหน่ายได้ไม่เกิน 1 เดือนนับจากนี้ โดยเป็นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเหลือผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบเลือด นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังกำลังทดลองสินค้าเกี่ยวกับการลดความอ้วนอีกด้วย


“ในช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า การเปิดตัวสินค้าใหม่ เช่น กาเเฟ น้ำมันรำข้าวและจมูกข้าว และสินค้าอื่นๆ มีผลอย่างยิ่งที่ช่วยทำให้ยอดขายของบริษัทฯ เติบโตเพิ่มขึ้น นั่นก็หมายความว่าสินค้าของยูแคนดูเริ่มที่จะเข้าไปในใจของผู้บริโภคบ้างแล้ว”


นายพิษณุ กล่าวทิ้งท้ายต่อว่า “เราเชื่อว่าธุรกิจยูแคนดูนับจากนี้ จะต้องเป็นธุรกิจที่มีความยั่งยืน และคาดว่าตั้งแต่ครึ่งปีหลังของปีนี้เป็นต้นไป ธุรกิจยูแคนดูจะเติบโตแบบก้าวกระโดดอย่างน่าตกใจทีเดียว ซึ่งอาจจะเห็นตัวเลขยอดขายอยู่ที่ 30-40 ล้านบาท/เดือนก็เป็นได้ พร้อมกับน่าที่จะเริ่มเห็นความพร้อมหลายๆ ด้านในธุรกิจยูแคนดูด้วยเช่นกัน” …นับเป็นธุรกิจเครือข่ายน้องใหม่ที่น่าจับตามองเป็นอย่างยิ่งทีเดียว สำหรับค่าย “ยูแคนดู” ที่ต้องบอกว่า เป็นอีกหนึ่ง “ม้ามืด” ที่ไม่ควรกะพริบตาเป็นอย่างยิ่ง และยิ่งด้วยแผนการโปรโมทตัวเองผ่านสื่อเอ็นเตอร์เทนเม้นท์แบบครบเรื่องด้วยแล้ว เรียกได้ว่า ค่ายนี้ต้องไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน!...


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 317 ประจำวันที่ 1 - 15 เมษายน 2555

‘ดี เน็ทเวิร์ค’เผยไตรมาสแรกโต300% วางหมากQ2เร่งสร้างจุดขาย/ขยายจุดอบรม





ดี เน็ทเวิร์ค” แถลงผลประกอบการ Q1 เติบโตขึ้นกว่า 300% เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี’54 เผยแผนพิชิตยอดสิ้นปี ด้วยกลยุทธ์ไตรมาสที่ 2 เตรียมมุ่งเน้นสร้างจุดขายให้ผลิตภัณฑ์เก่ามากขึ้น พร้อมขยายจุดอบรมจาก 8 แห่งเป็น 30 แห่ง ตั้งเป้าสิ้นปียอดจำนวนสมาชิก 200,000 รหัสมีโอกาสเป็นไปได้


นายสาคร ใสกมล ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด เผยถึงผลประกอบการในช่วงไตรมาสแรกในปี 2555 ว่า ผลงานของบริษัทฯ ในช่วงไตรมาสแรกปีนี้ เรียกได้ว่ามีผลประกอบการเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง โดยมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 300 เปอร์เซ็นต์เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2554 ที่ผ่านมา


โดยปัจจัยที่ทำให้บริษัทฯ เติบโตในไตรมาสแรกนี้ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากสมาชิก ของบริษัทฯ มีความเข้มแข็งและมีศักยภาพในการทำธุรกิจมากขึ้น รวมทั้งองค์ประกอบของบริษัทที่แข็งแกร่งมีความพร้อมในทุกๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องสินค้าที่ดี มีคุณภาพ สามารถตอบโจทย์ของคนทั่วไปได้ การฝึกอบรมที่เข้มข้น ส่งผลให้ง่ายในการดึงคนเข้าร่วมธุรกิจกับทางบริษัทฯ


“สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนั้น ในช่วงที่ผ่านมา ต้องบอกว่าบริษัทฯ ได้ทำการเปิดตัวสินค้ามากพอสมควรแล้ว และต่อจากนี้ไป บริษัทฯ จะหันมาเน้นในเรื่องของการกระจายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคมากขึ้น อีกทั้งจะหันกลับมาโปรโมทสินค้าตัวเก่าๆ ที่บริษัทฯ ได้เปิดตัวไปแล้ว โดยทำการสร้างจุดขาย และนำจุดขายมาตีแผ่ให้คนได้รับรู้มากขึ้น”


นายสาคร เผยต่ออีกว่า นอกเหนือจากการโปรโมทสินค้าแล้ว ในไตรมาสที่ 2 ทางบริษัทฯ ยังเตรียมที่จะมุ่งโฟกัสไปที่การฝึกอบรมที่เข้มข้นขึ้น ด้วยการกระจายหลักสูตรพื้นฐาน (BBC) มุ่งเน้นในเรื่องการสปอนเซอร์เบื้องต้น รวมไปถึงการบุกตลาดต่างจังหวัดที่มากกว่าในอดีตที่ผ่านมา


“เป้าหมายของบริษัทฯ นับจากนี้คือ ต้องการเพิ่มจุดอบรมของบริษัทฯ ให้มากที่สุด จาก 8 จุดในปัจจุบัน ได้แก่ กรุงเทพมหานคร, พัทยา, ขอนแก่น, อุบลราชธานี, พิษณุโลก เชียงใหม่, หาดใหญ่ และสุราษฏร์ธานี เป็น 30 จุด ในช่วงไตรมาสที่ 2 ของปีนี้ นี่ถือเป็นกลยุทธ์คลื่นกระทบฝั่ง ที่จะกระจายจากศูนย์กลางไปยังภูมิภาคนั่นเอง”


ในปัจจุบันทางบริษัทมีสมาชิกอยู่ราว 33,000 รหัส โดยทาง ดี เน็ทเวิร์ค ตั้งเป้าหมายไว้ว่าสิ้นปีนี้ จะสามารถสร้างยอดสมาชิกให้ได้ถึง 200,000 รหัส ตามเป้าหมายที่วางไว้ ส่วนหนึ่งที่มั่นใจ เนื่องจากทางบริษัทฯ มีความพร้อมที่จะสามารถสปอนเซอร์คนให้เข้ามาร่วมธุรกิจกับบริษัทได้ง่ายนั่นเอง


...และล่าสุดทางบริษัทฯ ยังได้ทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “ซิมิเล่” ที่สุดแห่งนวัตกรรมดูแลรักษาผิวหน้า ซึ่งไม่ใช่ผลิตภัณฑ์ในการทำความสะอาด ป้องกันหรือบำรุง แต่ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นผลิตภัณฑ์ในการซ่อมแซมผิวหน้า ทำให้ใบหน้าส่วนที่มีปัญหากลับคืนสู่ความกระจ่างใส


“ผลิตภัณฑ์ใหม่ดังกล่าวนี้ ได้ใช้วัตถุดิบที่เป็นสารสกัดเกรดสูงสุดของโลก เป็นโกรทแฟคเตอร์มาตรฐานสูงสุดของทางฝั่งยุโรป สินค้าตัวนี้เราซื้อลิขสิทธิ์ด้วยวงเงินกว่า 10 ล้านบาท ซึ่งเป็นจำนวนเงินสูงสุดในการซื้อลิขสิทธิ์สินค้าประเภทเครื่องสำอางของทาง ดี เน็ทเวิร์ค เลยทีเดียว และสินค้าตัวนี้ ถือเป็นที่สุดแห่งนวัตกรรมการดูแลผิวหน้าเลยก็ว่าได้” คุณสาคร กล่าวทิ้งท้าย



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 317 ประจำวันที่ 1 - 15 เมษายน 2555

วัดแรงเหวี่ยงขายตรงอเมริกัน‘ยูซานา’ ประกาศบุกไทยเต็มอัตราศึก 16มิ.ย.นี้


ขายตรงยักษ์ใหญ่ “ยูซานา” บุกไทย!..เผยสาเหตุตั้งฐานรบแดนสยามเพราะเล็งเห็นศักยภาพนักธุรกิจเครือข่ายไทยมีความเป็นมืออาชีพสูง...ด้าน “อึ้ง เคง เฮียน” รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ลั่นเป้าปีแรกขอนั่งในใจผู้บริโภคคนไทย 10,000 ครอบครัว...ย้ำ! นโยบายบริษัทแม่เน้นฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับตัวสินค้าเป็นหลักมากกว่ามุ่งเน้นในเรื่องของแผนการตลาดเหมือนกันทั่วโลก...พร้อมหว่านยาหอมจีเอ็มคนใหม่ประจำประเทศไทย “สาริณี เสฐียรภัคกุล” จะนำพายูซานาประเทศไทยสำเร็จตามเป้าหมายแน่นอน!...


…เป็นที่จับตามองอย่างมากทีเดียว สำหรับธุรกิจขายตรงยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกันที่ชื่อ “ยูซานา” ที่หลายคนจดๆ จ้องๆ ดูว่าค่ายนี้จะเริ่มต้นเข้ามาบุกตลาดเมืองไทยแบบเต็มอัตราศึกเมื่อไหร่...และแล้วความชัดเจนของธุรกิจขายตรงอย่าง “ยูซานา” ก็เริ่มเห็นเป็นรูปธรรมบ้างแล้ว...


เห็นได้จาก ล่าสุดเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา การเคลื่อนทัพของธุรกิจยูซานา ก็ได้ออกมาเผยโฉมให้คนเครือข่ายเมืองไทยได้เห็นภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น หลังจากที่ความพร้อมทุกอย่างของเครือข่ายค่ายนี้เริ่มที่จะต่อภาพจิ๊กซอว์ให้เห็นทีละสเต็ป ทั้งในเรื่องของความชัดเจนสำนัก งานแห่งใหม่ในเมืองไทยที่ตั้งอยู่ที่อาคารจามจุรี สแควร์ ชั้น 12 การได้ใบอนุญาตการประกอบธุรกิจขายตรงอย่างเป็นทางการจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อช่วงเดือนธันวาคม 2554 ที่ผ่านมา


นอกจากนี้ ยังอีกพบว่า ผลิตภัณฑ์ยูซานาที่ได้นำมาเขย่าตลาดเมืองไทยประกอบด้วย 3 กลุ่มด้วยกัน คือ 1. กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม 2. กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารทดแทนและเพิ่มพลังงาน และ 3. กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพผิวและเส้นผมซานเซ...โดยผลิตภัณฑ์ทั้ง 3 กลุ่มนี้ จะตอบโจทย์คนเครือข่ายเมืองไทยได้มากน้อยแค่ไหนนั้น คงต้องติดตามกันต่อไป!...




จุดกำเนิดขายตรง‘ยูซานา’
ยักษ์ใหญ่แผนไบนารี่อันดับ1


...เชื่อว่าหลายท่านในที่นี้ คงอยากที่จะทราบประวัติขายตรงยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกันค่ายนี้อย่างแน่นอนว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร และมีความน่าสนใจอะไรบ้าง...ซึ่งทีมข่าว “ตลาดวิเคราะห์” ได้ล้วงลึกถึงข้อมูลของขายตรงค่ายนี้แล้วพบว่า “Usana Health Sciences” คือ องค์กรธุรกิจจากประเทศสหรัฐอเมริกา ก่อตั้งในปี 1992 ณ ซอลท์ เลค ซิตี้ รัฐยูทาห์ สหรัฐอเมริกา


ปัจจุบันได้ขยายสาขาไปกว่า 20 ประเทศทั่วโลก จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NYSE เป็นบริษัทมหาชน และได้เริ่มขยายสาขาเข้ามาในประ เทศไทยเมื่อช่วงเดือนมกราคม ปี 2012 จนถึงปัจจุบัน และ “ยูซานา” ยังเป็นหนึ่งในสมาชิกสมาคมขายตรงโลกด้วย พร้อมกับเป็นบริษัทขายตรงอันดับหนึ่ง 12 ปีซ้อน จากนิตยสาร Network Marketing Today และ MLM Insider Magazine ตั้งแต่ปี 1997 ตลอดมาอีกด้วย


“ยูซานา” นั้น ได้ก่อตั้งโดย ดร.ไมรอน เวนท์ Myron Wentz, Ph.D., ผู้ก่อตั้ง Gull Laboratories ซึ่งวิจัยสารอาหารระดับเซลล์ตั้งแต่ปี 1974 ปัจจุบันประธานบริษัทคือ มร.เดฟ เวนท์ Mr. Dave Wentz ที่เป็นประธานบอร์ดสมาพันธ์ขายตรงอเมริกาปี 2008 และยังได้รับรางวัลในฐานะผู้บริหารยอดเยี่ยมปี 2006 โดยยูทาห์ แมกกาซีน ผู้บริการยอดเยี่ยมแห่งปี 1 ใน 21 คนที่อายุน้อยที่สุดกว่า 40 ปี ในปี 2008 โดย Forbe Magazine อีกด้วย...


นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า แผนการตลาดของยูซานานั้น เป็นการจ่ายรายได้เป็นรายสัปดาห์ คะแนนที่คงเหลือจากการค้างจ่ายจะยกยอดไปในอาทิตย์ถัดไป ไม่ต้องการการรักษายอดกลุ่ม ไม่จำกัดจำนวนชั้นลึก โดยแผนการจ่ายรายได้สำหรับนักธุรกิจแบ่งเป็น 6 ช่องทางคือ 1. รายได้จากการขายปลีก 2. รายได้รายสัปดาห์ 3. รายได้จากโบนัส Matching 4. รายได้โบนัสสำหรับผู้นำ LeaderShip 5. รายได้จากโบนัส Insentive และ 6. รายได้จากท็อป 25 คนแรก


… “ในแต่ละประเทศที่ยูซานาเข้าไปเปิดสาขานั้น ทางบริษัทจะใช้แผนการตลาดที่เรียกว่าแผนไบนารี่เหมือนกันทั่วโลก ซึ่งหากถามว่าหลังจากที่ยูซานาได้เข้ามาเปิดดำเนินการในเมืองไทยแล้ว จะมีการเปลี่ยนแปลงแผนการตลาดให้เข้ากับเมืองไทยหรือไม่นั้น คงต้องบอกว่าไม่มีนโยบายตรงนี้อย่างแน่นอน เพราะนโยบายของบริษัทแม่ จะเป็นการเน้นฝึกอบรมให้ความรู้เกี่ยวกับตัวสินค้าเป็นหลักมากกว่ามุ่งเน้นในเรื่องของแผนการตลาด เนื่องจากสินค้าของยูซานาถือเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่สำคัญในการเคลื่อนทัพธุรกิจสู่ความสำเร็จนั่นเอง และตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ก็ได้พิสูจน์แล้วว่า ผลิตภัณฑ์ของยูซานาตอบโจทย์ผู้บริโภคได้จริงๆ”...นายอึ้ง เคง เฮียน รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ยูซานา เฮลธ์ ไซแอนซ์ (ประเทศไทย) กล่าวและว่า




‘ยูซานา’เปิดตัวสินค้าใหม่จืด
ประกาศลุยสนามจริง16 มิ.ย.


...หลังจากที่ “ยูซานา” ได้เปิดตัวชิมลางธุรกิจด้วยการเปิดสำนักงานใหญ่สาขาประเทศไทยเมื่อวันที่ 23 มกราคม 2555 ที่ผ่านมา ที่อาคารจามจุรี สแควร์ ชั้น 12 นั้น คงต้องบอกว่า นี่อาจเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของธุรกิจที่เมืองไทยเท่านั้น...จนกระทั่งเมื่อวันที่ 17 มีนาคม 2555 ที่ผ่านมา “ยูซานา” เอง ก็ได้ออกมาเคาะธุรกิจยูซานาให้ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ พร้อมด้วยการเปิดตัวจีเอ็มไทยคนใหม่ที่ชื่อ “สาริณี เสฐียรภัคกุล” ที่ได้รับการพิจารณาให้เข้ามาดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของยูซานาประเทศ ไทย เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2554 ที่ผ่านมาอีกด้วย...


โดยในการจัดงานเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่พร้อมด้วยการแชร์ประสบการณ์ของผู้นำยูซานาประเทศไทยในครั้งนั้น พบว่า การนำเสนอยังไม่ค่อยที่จะน่าตื่นเต้นเท่าไหร่ สำหรับขายตรงยักษ์ใหญ่ค่ายนี้ ซึ่งถึงแม้ว่าจะไม่ใช่เป็นการเปิดตัวอย่างเป็นทางการก็ตาม แต่มองว่าขึ้นชื่อว่ายักษ์ใหญ่ขายตรงระดับโลกแล้ว น่าที่จะมีลูกเล่นอะไรที่โดนใจสมาชิกหรือผู้ที่เข้ามาร่วมฟังสักเล็กน้อยถึงจะดี ที่สำคัญ เนื้อหาสาระในงานนี้เรียกได้ว่าไม่ค่อยที่จะจุใจคนฟังสักเท่าไหร่นั่นเอง!...


ที่สำคัญ บรรยากาศภายในงานครั้งนี้นั้น ถือได้ว่าค่อนข้างเรียบง่ายทีเดียว อาจเรียกได้ว่า ทีมงานยังไม่ค่อยที่จะมีประสบการณ์ตรงนี้สักเท่าไหร่ ความน่าสนใจเรื่องราวของธุรกิจและการนำเสนอสินค้ายังน้อยอีกด้วย รวมถึงการบรรยายเรื่องของบริษัทเหมือนจะชัดเจน แต่ก็ยังไม่ชัดเจน ซึ่งตรงนี้ถือเป็นอีกหนึ่งการบ้านที่สำคัญอย่างยิ่งที่ค่ายยักษ์ใหญ่อย่าง “ยูซานา” ควรที่จะต้องเร่งทำการบ้านอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในวันที่ 16 มิถุนายน 2555 นี้!..




ตั้งเป้าปีแรก1หมื่นครอบครัว
มั่นใจตลาดเมืองไทยโตดีชัวร์


...สำหรับสาเหตุที่ “ยูซานา” เข้ามาบุกตลาดเครือข่ายในเมืองไทยนั้น ทางด้านนายอึ้ง เคง เฮียน รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ยูซานา เฮลธ์ ไซแอนซ์ (ประเทศไทย) ได้เปิดเผยว่า การเข้ามาบุกตลาดเครือข่ายที่ประเทศไทยนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเชื่อว่าประเทศไทยน่าที่จะเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ทำให้ธุรกิจยูซานาประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน


พร้อมกับเล็งเห็นถึงศักย ภาพของนักธุรกิจเครือข่ายในประเทศไทย ที่อยู่ในอันดับต้นของเอเชียที่น่าจะเป็นกุญแจดอกสำคัญ ในการผลักดันให้ผู้นำเมืองไทยประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ รวมถึงยังเชื่อมั่นในฝีมือของ “สาริณี เสฐียรภัคกุล” จีเอ็มประเทศไทยคนใหม่ที่จะนำพายูซานาประเทศไทยให้ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน และในอนาคตอันใกล้ทางยูซานามีแผนที่จะยื่นสมัครเข้าเป็นสมาชิกของสมาคมการขายตรงไทยหรือ TDSA อีกด้วย เพราะปัจจุบันนี้ บริษัทแม่ก็เป็นบริษัทสมาชิกของสมาพันธ์การขายตรงโลกหรือ WFDSA ด้วย


“ก่อนหน้านี้ผมได้เคยร่วมงานกับยูซานาประเทศสิงคโปร์มาแล้ว ในตำแหน่งจีเอ็ม เมื่อประมาณ 9 ปีที่ผ่านมา โดยในช่วงนั้นทางยูซานาเองยังไม่ได้ทำตลาดอย่างเป็นที่แพร่หลายในตลาดเอเชียมากนัก โดยเฉพาะในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ที่ยังไม่ได้เริ่มเลย และพอหลังจากที่ยูซานาได้ทำการศึกษาตลาดเครือข่ายในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็พบว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจทีเดียว ด้วยเหตุนี้เองจึงได้ตัดสินใจเปิดสาขาที่เมืองไทย”


สำหรับเป้าหมายในช่วงปีแรกของยูซานานั้น นายอึ้ง เคง เฮียน บอกว่า ไม่ได้คาดหวังในเรื่องของตัวเลขแต่อย่างใด ซึ่งเป้าหมายในปีแรกเพียงแค่ต้องการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวพี่น้องคนไทย อย่างน้อยประมาณ 10,000 ครอบครัว ที่จะต้องใช้สินค้าของยูซานา และเชื่อว่าเป้าหมายที่วางไว้ 10,000 ครอบครัว มีความเป็นไปได้ที่จะเกินเป้าที่วางไว้ด้วยเช่นกัน


“ในการที่ยูซานาจะตัดสินใจเปิดสาขาที่ประเทศใดประเทศหนึ่งนั้น ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราเป็นบริษัทระดับโลก ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน และปัจจุบันได้เปิดสาขาใน 18 ประเทศไปแล้ว ได้แก่ 1. สหรัฐอเมริกา 2. แคนาดา 3. แม็กซิโก 4. สหราชอาณาจักร 5. เนเธอร์แลนด์ 6. เบลเบี่ยม 7. ฝรั่งเศส 8. มาเลเซีย 9. สิงคโปร์ 10. ออสเตรเลีย 11. นิวซีแลนด์ 12. จีน 13. เกาหลี 14. ญี่ปุ่น 15. ไต้หวัน 16. ฮ่องกง 17. ฟิลิปปินส์ และ 18. ไทย ซึ่งนั่นก็ต้องหมายถึงว่า เราต้องมั่นใจด้วยว่า แต่ละที่ยูซานาเลือกต้องสามารถสร้างการเติบโตได้แน่นอน เช่นเดียวกับที่ประเทศไทย” นายอึ้ง เคง เฮียน กล่าวและว่า




จับตาขายตรงมะกัน‘ยูซานา’
เขย่าตลาดเมืองไทยได้จริงหรือ?


...ที่ผ่านมา หลายคนในธุรกิจเครือข่ายอาจจะมองว่า ยักษ์ใหญ่ขายตรงอย่าง “ยูซานา” นั้น หากเข้าไปในประเทศใดแล้ว ย่อมทำให้เกิดการสั่นไหวของธุรกิจขายตรงไม่น้อย โดยเฉพาะแผนสแตร์สเต็ป ที่อาจจะหวั่นวิตกว่า ขายตรงค่ายนี้ จะเข้ามาดึงดูดหมู่มวลสมาชิกของตนเองเข้าไปอยู่ภายใต้องค์กรหรือไม่ และไม่เพียงขายตรงแผนสแตร์สเต็ป เท่านั้น ด้านขายตรงแผนไบนารี่เอง ก็คงเสียวสันหลังไปตามๆ กันด้วยเช่นกัน เพราะขายตรงอย่าง “ยูซานา” นั้น มีดีกรีเป็นถึงจ้าวตลาดเครือข่ายอันดับโลกเบอร์ 1 ที่เชื่อว่า ทุกคนไม่ควรกะพริบตาอย่างยิ่งทีเดียวในขณะนี้


...และยิ่งปี 2555 นี้ ที่ “ยูซานา” เอง กำลังเริ่มที่จะแผ่ขยายอาณาจักรเมืองไทยด้วยแล้ว พร้อมกับเตรียมรุกคืบต้องการ “เจาะไข่แดง” ขายตรงไปเกือบทุกมุมทั่วโลกนั้น น่าที่จะทำให้แต่ละบริษัทที่อยู่ในธุรกิจขายตรงต่างกระสับกระส่ายนั่งไม่ติดเก้าอี้เลยทีเดียว เหมือนเช่นดั่งบริษัทขายตรงค่ายต่างๆ ในเมืองไทยในขณะนี้ และยิ่งบริษัทที่ใช้แผนการตลาดแบบ “สแตร์ สเต็ป” ขนาดกลางลงมาด้วยแล้ว มีโอกาสที่จะถูก “ยูซานา” กลืนกินสมาชิกหายไปต่อหน้าต่อตาได้ด้วยเช่นกัน!...


ซึ่งหากเปรียบเปรย “ยูซานา” ในวันนี้ คงไม่ต่างอะไรกับปลาใหญ่ที่กำลังจะกินปลาเล็ก แต่ถึงอย่างไรเสียก็คงต้องดูกันต่อไป เพราะคนเครือข่ายเมืองไทยวันนี้ไม่เหมือนคนเครือข่ายในอดีตต่อไปอีกแล้ว ที่จะสามารถจูงจมูกเพราะด้วยกระแสของธุรกิจเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้น เชื่อว่าหลายคน คงอยากจะรู้ว่าขายตรงยักษ์ใหญ่อย่าง “ยูซานา” จะสร้างปรากฏ การณ์ครั้งยิ่งใหญ่ให้เกิดที่เมืองไทยได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ วันนี้ข่าวแว่วๆ มาว่า หลายๆ ค่ายทั้งเล็ก-กลาง-ใหญ่ เริ่มที่จะขยับแข้งขยับขากันบ้างแล้ว!..




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 317 ประจำวันที่ 1 - 15 เมษายน 2555

‘กิฟฟารีน’ฉลองครบรอบ16ปี เข็นกลยุทธ์เด็ดมุ่งสอยยอด6พันล.


กิฟฟารีน” จัดงานครบรอบ 16 ปี รวมพลคนคิดบวกภายใต้คอนเซ็ปต์ “Giffarine The Power of Positive Thinking” พลังบวก พลังแห่งความสำเร็จของกิฟฟารีน พร้อมลั่นเป้าสิ้นปีสอยยอด 6,000 ล้าน ตามด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดแบบเหนือชั้นกระตุ้นยอดขาย พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชั้นสูงหลายรายการเติมเต็มความต้องการผู้บริโภค


...การทำธุรกิจให้ยิ่งใหญ่ต้อง “เดินเกมรบ” ให้ “รวดเร็วฉับไว” จึงจะเป็นการได้เปรียบคู่แข่งในทุกๆ เรื่อง เฉกเช่น ขายตรงสัญชาติไทยค่าย “กิฟฟารีน” ซึ่งนับเป็นขายตรงอีกค่ายหนึ่งที่สร้างความโดดเด่นให้กับตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นการอัดโฆษณาในช่วงปีที่ผ่านมาเรียกได้ว่า “เผ็ดร้อน” ใน “สมรภูมิรบขายตรงไทย” เลยทีเดียว...และถ้ามองให้ “ลึกซึ้ง” แล้วจะเห็นว่า “กิฟฟารีน” กำลังฉายแวว “ฉีกหนีคู่แข่ง” แบบชนิดที่ว่า “ขาดกระจุย”…


นับเป็นเวลา 16 ปี ที่ “กิฟฟารีน” ธุรกิจของคนไทยได้ก่อกำเนิดเกิดขึ้น พร้อมกับแนวคิดที่จะเชิญคนไทยมาเป็นหุ้นส่วนทางธุรกิจ และสร้างเครือข่ายผู้บริโภคและประสบความสำเร็จร่วมกัน โดยการทำการตลาด MLM ที่มีระเบียบแบบแผนชัดเจน และการตลาดที่ดีเยี่ยม แผนการตลาดที่ยุติธรรม ถูกต้องตามกฎหมาย พร้อมทั้งอุบัติภัย อันนำมาซึ่งความมั่นคง และความสำเร็จมาสู่สมาชิกและครอบครัวด้วย


และในปีนี้ “กิฟฟารีน” เอง ก็ได้ฉลองครบรอบ 16 ปี ได้อย่างยิ่งใหญ่ทีเดียว ซึ่งตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมาของค่ายนี้นั้น ต้องบอกว่ามีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องทุกปี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะได้แม่ทัพดีอย่าง “พญ.นลินี ไพบูลย์” เป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนธุรกิจนั่นเอง!...


โดยการจัดงานในครั้งนี้นั้น เป็นการรวมพลคนคิดบวกนักธุรกิจกิฟฟารีนกว่า 20,000 คน จากทั่วประเทศ ภายใต้คอนเซ็ปต์ที่ชื่อว่า “Giffarine The Power of Positive Thinking” พลังบวก พลังแห่งความสำเร็จของกิฟฟารีนในการครองแชมป์ขายตรงหลายชั้น ด้วยการมียอดขายรวมที่ผ่านมากว่า 45,488 ล้านบาท จะเห็นได้ว่า หากจะให้มองถึงธุรกิจ “กิฟฟารีน” พบว่า มีพัฒนาการที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนปัจจุบันสามารถก้าวขึ้นมาเป็นขายตรงแถวหน้าของวงการ MLM เมืองไทย และสามารถที่จะต่อกรกับค่ายยักษ์ใหญ่ฝั่งอเมริกาได้อย่างสบายๆ เลยทีเดียว...


จากความสำเร็จตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ผ่านมาของธุรกิจเครือข่าย “กิฟฟารีน” นั้น ทางด้าน “พญ.นลินี ไพบูลย์” ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ยูนิตี้ จำกัด ได้กล่าวว่า ในช่วง16 ปีของการทำธุรกิจเครือข่ายกิฟฟารีนนั้น เรียกได้ว่ามีความภาคภูมิใจในความสำเร็จของนักธุรกิจกิฟฟารีนกว่า 510,000 รหัส รวมถึงการตอบรับที่ดีของสมาชิกผู้บริโภครวมกว่า 6,201,000 รหัส และเราสัญญาว่าจะยังคงยืนหยัดที่จะเติบโตเคียงคู่สังคมไทยต่อไป


“ที่ผ่านมา กิฟฟารีนเองค่อนข้างมีความภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทย พร้อมๆ ไปกับการตอบแทนเป็นรายได้จำนวนมหาศาลกลับคืนสู่ครอบครัวไทยแล้วกว่า 20,700 ล้านบาท ปัจจุบันกิฟฟารีนมีศูนย์ธุรกิจทั้งหมด 112 ศูนย์ และให้บริการจัดส่งสินค้าถึงบ้านสมาชิกในรูปแบบเดลิเวอรี่ทั่วประเทศอีกด้วย และนี่คือความพร้อมที่กิฟฟารีนมีและจะมีอย่างต่อเนื่องเช่นนี้ต่อไป”


...นับได้ว่า วันนี้ผลิตภัณฑ์ “กิฟฟารีน” สามารถเข้าถึงลูกค้ากลุ่มแมสและระดับพรีเมี่ยมได้อย่างง่ายดายทีเดียว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะ “กิฟฟารีน” เป็นเครือข่ายธุรกิจขายตรงแบรนด์ไทย ซึ่งมีความเข้าใจอย่าง “ลึกซึ้ง” เกี่ยวกับผู้บริโภคของคนไทยว่าเขาต้องการอะไร ที่สำคัญ นาทีนี้ “กิฟฟารีน” กำลังชิงส่วนแบ่งจากแบรนด์ต่างชาติได้อย่าง “ขาดกระจุย” เห็นได้จากกระแสของธุรกิจกิฟฟารีนค่อนข้างที่จะดังเปรี้ยงปร้างอย่างมากตลอดทั้งปีที่ผ่านมา ทั้งในเรื่องของยอดขายและการประชาสัมพันธ์ธุรกิจ โดยในปีนี้นั้น ทางด้าน “พญ.นลินี” ได้ประกาศเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 6,000 ล้านบาทอีกด้วย ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งภารกิจที่จะต้องให้ไปให้ถึง พร้อมกันนี้ในปีนี้ กิฟฟารีนยังเตรียมที่จะงัดกลยุทธ์ทางการตลาดแบบเหนือชั้นกระตุ้นยอดขาย พร้อมเปิดตัวนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ชั้นสูงอีกหลายรายการสู้ศึกตลาดเครือข่ายในปีนี้อีกด้วย อาทิ กลุ่มความงามและสกินแคร์ ได้แก่ กิฟฟารีน อะบาโลน โกล์ด 3X, กิฟฟารีน อะบาโลน ซีรั่ม สำหรับผิวหน้า และสำหรับรอบดวงตา และ Gluta-Curcuma CE และในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ได้แก่ เซราไมล์ Beta-Glu kids และ LZ Vit Plus A


... “พญ.นลินี” กล่าวย้ำอีกว่า “กิฟฟารีนในปีนี้ ได้เตรียมความพร้อมในทุกๆ ด้าน เพื่อการสร้างยอดขายให้ได้ตามเป้าหมาย 6,000 ล้าน และการดูแลนักธุรกิจกิฟฟารีนในเชิงกลยุทธ์อย่างเข้มข้น พร้อมกับจะเป็นการทำงานที่ค่อนข้างรัดกุม และมีกลยุทธ์ทั้งในระบบของการขยายเครือข่าย แผนการมอบผลประโยชน์ และการเตรียมความพร้อมรอบด้านให้กับนักธุรกิจเครือข่ายกิฟฟารีนทุกท่าน ซึ่งจะมีความเข้มข้นแตกต่างกันไปในแต่ละภูมิภาคอย่างแน่นอน”...


…จะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลา 16 ปีที่ “กิฟฟารีน” ดำเนินกิจการมา หลายๆ ท่าน ในที่นี้ คงเห็นกันเป็นอย่างดี นั่นก็คือ วิวัฒนาการของธุรกิจกิฟฟารีนที่เติบโตอย่างต่อเนื่องและมั่นคง ในหลายๆ เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นสมาชิก ยอดขาย หรือแม้กระทั่งรางวัลต่างๆ ที่ “กิฟฟารีน” ได้สั่งสมประสบการณ์ต่างๆ มาเป็นเวลานับแรมปี และยังได้สร้างนักธุรกิจให้เป็นเศรษฐีเงินล้าน หรือสร้างคนให้มีรายได้ มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นและมีรายได้มั่นคงอย่างต่อเนื่อง จึงไม่ใช่เรื่องแปลกว่าทำไม “กิฟฟารีน” ถึงสามารถยืนหยัดอยู่ถึงวันนี้ได้นั่นเอง…

 



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 317 ประจำวันที่ 1 - 15 เมษายน 2555

‘แอมริช’ทุ่มสื่อ 80 ล้าน ดันผลิตภัณฑ์ ‘ออไรท์’ ‘เอกพิสิฐ’จัดหนักแจกไม่อั้น หวังยึดตลาด ‘ภายในผู้หญิง’


เปิดประเด็นร้อน “ค่ายแอมริช” ขายตรงคลื่นลูกใหม่ ระเบิดความแรงเกินพิกัด หลังได้ผลิตภัณฑ์ “ออไรท์” ใช่เลย เพื่อภายในผู้หญิง “สูตรดั้งเดิม” เพิ่มนวัตกรรมใหม่เหนือกว่าเดิมเสริมทัพ...“เอกพิสิฐ บุญชะนะ” ประกาศทุ่มงบ 80 ล้าน ลงสื่อทีวีดาวเทียม ควบคู่วิทยุชมชนกว่า 1,200 สถานี จุดกระแส “ดีเดย์” ปูพรมพร้อมกันทั่วประเทศ เมษายน 2555 นี้...ตะลึงในวันเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “ออไรท์” 24 มีนาคม ที่ผ่านมา กลุ่มผู้นำเครือข่ายที่ใช้สื่อทีวี และวิทยุชุมชนเป็นหัวหอกจากค่ายต่างๆ แห่ร่วมงานเพียบ...ยอดขายทะลุ 20,000 กล่อง “เอกพิสิฐ” ย้ำชัดภายในปี 2555-2556 นี้ “แอมริช” จะกวาดยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท เพราะเชื่อมั่นใน 4 ประสาน แถมคึกสุดๆ ที่ได้ “ออไรท์” ซึ่งผลิตจาก บริษัท เนเจอรัล เฮิร์บฯ ซึ่งเป็นเจ้าตำรับผลิตภัณฑ์ “ฟิตกระชับ” สำหรับผู้หญิงโดยเฉพาะมาทำตลาดอุ่นเครื่องแคมเปญ 2 เดือนขาย 1 แสนกล่อง แจกเบนซ์ 1 คัน มูลค่า 4 ล้านบาท หรือเงินสดให้ผู้สปอนเซอร์สูงสุด

ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา จะมีเรื่องอะไรชุลมุนไปกว่าสินค้า “ฟิตกระชับ” สำหรับภายในผู้หญิงอย่าง “ซัน คลาร่า” ซึ่งผลิตมาจาก “บริษัท เนเจอรัล เฮิร์บ อินดัสตรี่ จำกัด” จัดจำหน่ายโดย “บริษัท สตาร์ ซันไชน์ จำกัด เห็นจะไม่มี เพราะเป็นสินค้า “ทอล์คออฟเดอะทาวน์” ที่มีการกล่าวถึงนานเกือบ 2 ปีเต็มๆ เนื่องจากน่าจะเป็นเพียงหนึ่งเดียวของสินค้าไทย ที่มียอดขายสูงสุดในระบบเครือข่ายขายตรงในช่วงกลางปี 2554 ที่ผ่านมา นั่นคือ เดือนละกว่า 700,000 กล่องหรือ 480 ล้านบาท / เดือน

ด้วยกระแสที่ “ซัน คลาร่าฟีเวอร์” ส่งผลให้มีผู้ผลิตสินค้าปลอม และสินค้าลอกเลียนแบบออกมาจำหน่ายแข่งในตลาดเป็นจำนวนมาก ขายตัดราคากันแหลกลาญ จนทำให้ยอดขาย “ซัน คลาร่า” ลดฮวบเหลือเดือนละไม่ถึงแสนกล่อง

เรื่องนี้เดือดร้อนไปถึงโรงงานผู้ผลิต “ซัน คลาร่า” อย่าง “ธนอรรถ ตรีธิติธัญ” ที่ยอดผลิตลดฮวบจนน่าใจหาย เพราะถูกสินค้าปลอม และเลียนแบบตีท้ายครัว ถึงกับออกมาลงประกาศให้ “แฟนคลับ ซัน คลาร่า” ตัวจริงเสียงจริงให้รับรู้ว่า ตั้งแต่วันที่ 1 พฤษภาคม 2555 นี้เป็นต้นไป “ซัน คลาร่า” จะเปลี่ยนกล่องในรูปโฉมใหม่ สดใสกว่าเดิม พูดง่ายๆ กล่องแบบเก่าจะไม่มีวางจำหน่ายอีกต่อไป ที่แน่ๆ “แบรนด์” ซัน คลาร่า อาจเปลี่ยนมือจาก “สตาร์ ซันไชน์” กลายเป็นของค่ายอื่นซึ่งมีโอกาสเป็นไปได้สูง เนื่องจาก“ธนอรรถ ตรีธิติธัญ”ไม่ค่อยจะ “แฮ็ปปี้” สักเท่าไหร่ ที่ “สตาร์ ซันไชน์” ออกผลิตภัณฑ์ชื่อคล้ายกัน คือ “คลาร่า พลัส” โดยจ้างโรงงานอื่นผลิตสินค้าให้ ทั้งนี้ ฝ่ายเจ้าหน้าที่ค่ายสตาร์ ซันไชน์ อ้างกับสมาชิกว่า บริษัท เนเจอรัล เฮิร์บฯ ไม่ผลิต “ซัน คลาร่า” ให้ ก็เลยต้องใช้สินค้า “คลาร่า พลัส” แทน

ขณะเดียวกัน ก่อนหน้านี้ ผู้บริหารค่ายสตาร์ ซันไชน์ ก็ไม่ค่อยจะพอใจ “ธนอรรถ ตรีธิติธัญ” เช่นเดียวกัน ที่ไปผลิตสินค้าลักษณะเดียวกัน คือ “เอฟ-ทู” ป้อนให้ บริษัท โอทูฯ เข้ามาแชร์ตลาด แต่ก็ดูดฐานสตาร์ ซันไชน์ไม่ค่อยสำเร็จมากนัก เนื่องจากแนวทางการทำงาน และแผน การจ่ายผลตอบแทนของสองค่ายนี้ต่างกันคนละฟิวส์

ที่แน่ๆ ก่อนหน้านี้ บริษัท เนเจอรัล เฮิร์บฯ ก็ได้ผลิตสินค้าในลักษณะนี้ให้กับบริษัทขายตรงจำหน่ายมาแล้ว 7-8 ค่ายด้วยกัน แต่ไม่ดัง

มาถึงตรงนี้ก็พอสรุปได้ว่า ระหว่างเจ้าของโรงงานผลิตซัน คลาร่า กับผู้จำหน่ายอย่าง “สตาร์ ซันไชน์”ก็ไม่ได้มีอะไรแตกต่างกัน เข้าข่าย “ผัวเมียทะเลาะกัน” คือ ต่างฝ่ายก็ต่างหันหลังให้กันไม่ยอมพูดจาหาทางออกร่วมกัน ในที่สุด ก็ต้องลงเอยด้วยการต่างฝ่ายต่างก็มี “กิ๊ก” หรือคู่ค้ารายใหม่นั่นเอง

เปิด “กิ๊กใหม่” เนเจอรัล เฮิร์บฯ ควง“แอมริช”...“เอกพิสิฐ” นำทัพลุย

สตาร์ ซันไชน์” ไม่ไว้ใจใน “เนเจอรัล เฮิร์บฯ” ที่ชอบปันใจไปให้หญิงอื่นหลายค่ายในที่สุด “โกสิทธิ์ ผะลิวรรณ” ผู้บริหาร สตาร์ ซันไชน์ ก็ไปมีกิ๊กบ้าง ด้วยการไปจ้างโรงงานผลิต “โควิก” ผลิตสินค้า “คลาร่า พลัส” ให้ เพื่อออกมาทำตลาดประชดเจ้าของ “ซัน คลาร่า”นี่คือ ที่มาของบท “พ่อแง่แม่งอน” ระหว่าง “ธนอรรถ กับ โกสิทธิ์” ซึ่งประเด็นมีอยู่นิดเดียวจริงๆ

ก็ต้องยอมรับว่า สมรภูมิการแข่งขันในธุรกิจขายตรงในปัจจุบัน หากไม่มีกุนซือมือฉมัง คอยให้คำปรึกษา แนะแนวทางกลศึก วางเกมรบ และพลิกสถานการณ์ให้โอกาสที่จะแจ้งเกิดสำหรับน้องใหม่ไม่ใช่ของง่าย

เฉกเช่น ค่ายขายตรงน้องใหม่ อย่าง “บริษัท แอมริช กรุ๊ป จำกัด” ภายใต้การนำทัพของ “เอกพิสิฐ บุญชะนะ” แม่ทัพใหญ่ใจนักเลง ที่ประกาศเปิดเกมรุก บุกธุรกิจขายตรงอย่างเต็มกำลัง เพื่อสร้างบริษัทฯ ให้เติบโตในระยะเวลาที่สั้นที่สุด โดยได้สินค้าดีชื่อ “ออไรท์” สำหรับภายในผู้หญิงยุคใหม่ ได้ “บริษัท เนเจอรัล เฮิร์บ อินดัสตรี่ จำกัด” ของ “ธรอรรถ ตรีธิติธัญ” ผู้ผลิตซัน คลาร่า คอยป้อนสุดยอดนวัตกรรมใหม่ให้

“เอกพิสิฐ” เหมือนพยัคฆ์ติดปีก” พอได้สินค้า “ออไรท์” ใช่เลย สำหรับ “มดลูก” ผู้หญิงเพียง 2 อาทิตย์เศษๆ ประกาศลงสนามแข่งเต็มพิกัด โดยใช้ “สื่อทีวีดาวเทียม และวิทยุชุมชน” เป็นหัวหอกในการรุกรบ

เป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่าต้นทุนเดิมๆ ของ “เอกพิสิฐ บุญชะนะ” สไตล์บริหารธุรกิจเครือข่าย ถึงลูกถึงคนนิยมใช้แผนการตลาดแบบไบนารี่ “เขย่าวงการแรง” ความกล้าได้กล้าเสียของ “เอกพิสิฐ” น่าจะเป็นใบเบิกทางอย่างดีที่จะทะลุทะลวงตลาดเครือข่ายไทยได้ไม่ยาก ยิ่งได้สินค้าดีระดับแถวหน้าอย่าง “ออไรท์” ยิ่งทำให้นักบริหารหนุ่มผู้นี้เกิดอาการ “ฮึกเหิม” อย่างเห็นได้ชัด

ทุ่มสื่อหนัก “ปูพรม”กระหึ่ม! เปิดเกมแรง “ดีเดย์” เมษายนนี้

นายเอกพิสิฐ บุญชะนะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แอมริช กรุ๊ป จำกัด เปิดเผย “ตลาดวิเคราะห์” ว่า บริษัทฯ ก่อตั้งขึ้นมาจากการร่วมกลุ่มของบุคคลที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการขายตรงมานานหลาย 10 ปี โดยมีการวางกลยุทธ์หลัก ในการขยายฐานธุรกิจคือ การใช้สื่อทีวีดาวเทียม 3-4 ช่อง วิทยุชุมชนอีก 1,200 สถานี ในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ สตาร์ทเริ่มตั้งแต่เดือนเมษายน 2555 - 2556 ใช้งบประมาณ 80 ล้านบาท เพื่อจุดกระแสผลิตภัณฑ์ “ออไรท์” เพียงตัวเองเท่านั้น สมาชิกจะได้ขยายธุรกิจได้ง่ายขึ้น

“ยุคนี้การทำขายตรงมันต้องรุกรบเร็ว ส่วนจุดขายของบริษัทฯ คือ การรวมเอาจุดเด่นๆ ที่สำคัญในวงการมาผสมผสาน และปรับใช้เพื่อให้เหมาะกับ ผู้นำ นักขาย และสมาชิก นอกจากนี้ ยังมีในเรื่องของสินค้าที่โดดเด่น มีคุณภาพ สามารถขยายตลาดได้ง่าย อย่าง “ออไรท์” ซึ่งเพิ่งเปิดตัวใหม่ๆ โรงงานผู้ผลิตมีตำนาน เราได้จับมือกันเพื่อทำตลาดเต็มรูปแบบ”

เปิดศึกบุกตลาด “มดลูก” ส่งสินค้าใหม่“ออไรท์”เอาใจสตรี

นายเอกพิสิฐกล่าวอีกว่า เมื่อวันที่ 24 มีนาคมที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ “ออไรท์” ให้ผู้นำเกือบ 500 คนได้รับทราบ เพราะที่ผ่านมามีบริษัทฯ แห่งหนึ่งที่ขายสินค้าประเภทนี้ จากโรงงานเดียวกันนี้ สร้างกระแสจนโด่งดัง มียอดขายต่อเดือนสูงถึง 700,000 – 800,000 กล่อง และสามารถทำยอดขายต่อเดือนสูงถึง 480-500 ล้านบาท

กระแสความแรงของสินค้าในกลุ่มนี้ ทำให้บริษัทมุ่งมั่นที่จะสร้างความสำเร็จให้เกิดขึ้นในตลาดนี้ให้ได้ภายใน 3-6 เดือน โดยบริษัท เนเจอรัล เฮิร์บ อิดัสตรี่ จำกัด ผลิต “ออไรท์” ให้คุณสมบัติเน้นมดลูกและภายในผู้หญิงโดยเฉพาะ เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่า บริษัทฯ นี้คือ เจ้าตำรับสินค้าฟิตกระชับสำหรับผู้หญิงเพียงหนึ่งเดียว“แอมริช” จึงได้ออกแบรนด์ “ออไรท์” เข้ามาทำตลาดในระบบเครือข่ายแผนไบนารี่ โดยมีนายทหารใหญ่ท่านหนึ่งชักนำให้รู้จักกับเจ้าของโรงงานดังกล่าวเมื่อ 2-3 เดือนก่อน ขณะเดียวกัน บริษัท แอมริชฯ ยังมีการนำกลยุทธ์ทางการตลาดยุคใหม่ เข้ามาขับเคลื่อนผลิตภัณฑ์ ภายใต้ชื่อ 4 ประสาน ประกอบไปด้วย
1. แผนการตลาด ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับสมาชิกได้ไม่ยาก
2. โรงงานการผลิต ที่ต้องยอมรับว่า ปัจจุบัน ทางบริษัท เนเจอรัล เฮิร์บฯ ในเรื่องของมดลูกถือเป็นผู้ผลิตอันดับ 1 อยู่แล้วต่อให้โรงงานอื่นผลิตสินค้าเลียนแบบอย่างไรคุณภาพก็สู้โรงงานนี้ไม่ได้
3. หลังจากตกลงกับทางโรงงานเป็นที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็เข้าไปปรึกษาหารือกับคุณกาย ไพรินทร์ ซึ่งรู้จักกันเป็นการส่วนตัวมาเกือบ 10 ปีแล้ว ก็ได้รับคำแนะนำที่ดีมาก ก็เลยใช้สื่อทีวีดาวเทียมรวมแล้วก็ 3-4 ช่องด้วยกันเป็นตัวเจาะตลาด
นอกจากนี้ยังได้ทุ่มงบกับสื่อวิทยุชุมชมอีกกว่า 1,200 สถานี เพื่อจุดกระแสพร้อมๆ กันทั่วประเทศ รวมเบ็ดเสร็จกับแผนการรบโดยใช้สื่อครั้งนี้ บริษัทฯ วางเดิมพันไว้ที่ 80 ล้านบาท เพื่อผลิตรายการทีวี และยิงสปอตโฆษณาอีกวันละกว่า 100สปอต เป็นอย่างต่ำ
4. บริษัท แอมริช เอง ซึ่งถือเป็น 4 ประสาน ซึ่งได้ผู้นำเข้ามารวมตัวกันจำนวนมาก นับเป็นการลงตัวที่สมบูรณ์ที่สุด คาดว่าถ้าเดินเกมรบอย่างที่วางแผนไว้นั้น ภายในปี 2556 น่าจะทำยอดขายได้ไม่ต่ำกว่า 3,000 ล้านบาท “ที่แน่ๆ แค่ออร์เดิร์ฟภายใน 1 เดือนครึ่งนี้ บริษัทฯ วางยอดขายไว้ที่ 1 แสนกล่อง สมาชิกท่านใดสปอนเซอร์ได้สูงสุด รับรถเบนซ์มูลค่า 4 ล้านบาทไปได้เลย ยอมรับว่า กระแสออไรท์แรงมาก แค่เปิดตัววันแรกมียอดขายกว่า 20,000 กล่องเลยทีเดียว” นายเอกพิสิฐกล่าว

ถ้าจะว่าไปแล้ว นี่คือ...ปฏิบัติการรุกที่บ้าระห่ำ เพื่อสร้างบริษัทให้เติบโตในระยะเวลาอันสั้น การที่ “แอมริช” วางหน้าตักเดิมพันไว้สูง กล้าทุ่มงบกับสื่อมากถึงเพียงนี้ น่าจะเป็น “ศึกใหญ่” ที่สมรภูมิรบหนึ่งในวงการเครือข่ายขายตรงไทย ให้ร้อนระอุขึ้นมาอีกในช่วงเมษายนนี้อย่างไม่ต้องสงสัย สงครามชิงตลาดสินค้ามดลูกครั้งนี้ ค่ายไหนได้ “กุนซือ” วางเกมรบได้ลึกซึ้ง และแหลมคมกว่า ค่ายนั้นมีโอกาส “ผงาด” ในยุทธจักรนี้อย่างไม่ต้องสงสัย...ที่แน่ๆ จะเป็นการเพิ่มมูลค่าตลาดสินค้าภายในผู้หญิงขึ้นมาอีกในปี 2555 นี้ รวม “ของปลอม” ที่เข้ามาสู่สนามรบจนฝุ่นตลบแล้ว ไม่น่าจะต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท ศึกนี้ห้ามกะพริบตาเด็ดขาด!!


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 317 ประจำวันที่ 1 - 15 เมษายน 2555

‘ไวต้าอีส’ เปิดตัวเก๋/ปั๊มบัตร V-money ปล่อยสมาชิกสะสมแต้มผ่าน 100 บ.พันธมิตร


 


ธุรกิจขายตรงยังส่งกลิ่นเย้ายวนไม่หยุด ล่าสุด “ไวต้าอีส” แบรนด์น้องใหม่จัดการเปิดตัวเอง โชว์ธีมบริษัท “ธุรกิจแห่งไลฟ์สไตล์” หวังเรียกเสียงคนรุ่นใหม่ ไอเดียบรรเจิด เนรมิตบัตร V-money ให้สมาชิกจับจ่ายสินค้าของบริษัทพันธมิตรต่างวงการกว่า 100 บริษัท อัพคะแนนตัวเองทำตำแหน่ง ตั้งเป้าปีแรกยอดสมาชิกต้องมากกว่า 3 หมื่นคน ยอดขายไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท


นายสุรยุทธ วิไลลักษณ์ ประธาน บริษัท ไวต้าอีส เน็ทเวิร์ค จำกัด เปิดเผยว่า ธุรกิจไวต้าอีส เกิดขึ้นมาประมาณ 6 เดือน โดยในวันนี้บริษัทมีความพร้อมเต็มร้อยที่จะนำพาธุรกิจให้ประสบความสำเร็จต่อไป จึงได้จัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการขึ้น เพื่อแบ่งปันสิ่งดีๆ สู่ประชาชน ซึ่งที่ผ่านมาต้องบอกว่าตนเองทำธุรกิจต่างๆ มามากมาย และแต่ละธุรกิจก็ล้วนประสบความสำเร็จและมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ธุรกิจเครือข่ายไวต้าอีส จึงต้องประสบความสำเร็จอย่างงดงาม เช่นเดียวกัน 


ส่วนนโยบายที่จะสร้างความสำเร็จให้กับบริษัทนั้น นายสุรยุทธ เปิดเผยว่า เริ่มแรกเลยก็คือ ต้องสร้างความเข้าใจให้คนทั่วไปทราบก่อนว่า ไวต้าอีสคืออะไร ซึ่งตนเอง มีปรัชญาในการเริ่มก่อตั้งบริษัท คือ สร้างธุรกิจเครือข่ายแห่งไลฟ์สไตล์ ให้นักธุรกิจสามารถประสบความสำเร็จได้ด้วยไลฟ์สไตล์ของตนเอง โดยจะมีระบบการทำงานที่ยืดหยุ่น สมาชิกทุกคนไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงตนเองเพื่อบริษัท บริษัทให้อำนาจการบริหาร และการตัดสินใจอยู่ในมือของพวกเขาเอง


ซึ่งจากปรัชญาดังกล่าว สุรยุทธ จึงเกิดแผนการตลาดในรูปแบบใหม่ โดยการดึง Partner หรือหุ้นส่วนทางธุรกิจกว่า 100 บริษัท มาเข้าร่วม ตัวอย่างเช่น บริษัท CP Food, ธนาคารไทยพาณิชย์, บริษัทประกันภัย, เบตาโกร, ทรูมูฟ และอื่นๆ อีกมากมาย โดยสร้างบัตร V-money ขึ้นเป็นเครื่องมือทางธุรกิจ คือ ให้สมาชิกของไวต้าอีส นำเงินสดไปแลกเป็นบัตร V-money แล้วนำไปใช้กับร้านที่เข้าร่วมดังกล่าว ซึ่งจะทำให้สมาชิกได้คะแนนสะสม สามารถขึ้นตำแหน่ง และลุ้นสิทธิพิเศษต่างๆ ที่บริษัทจัดขึ้นมากมาย นอกจากนี้ ก็ยังมีบัตร V-call ซึ่งเป็นเครือข่ายโทรศัพท์ของบริษัท โดยสมาชิกไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนเบอร์ของตัวเอง คือใช้ การจดทะเบียน เปิด V-call เท่านี้พวกเขาก็จะได้คะแนนสะสมทุกครั้งที่ใช้โทรศัพท์


อย่างไรก็ดี ไวต้าอีสเองก็มีผลิตภัณฑ์คุณภาพ ซึ่งเป็นแบรนด์ของบริษัทหลายชนิด เช่นกัน โดยเป็นสินค้าที่นำเข้าจากทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผลิตจากโรงงานซึ่งเป็นของบริษัท Partner โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่จะเป็นหัวหอกในการขับเคลื่อนธุรกิจ มีอยู่ด้วยกัน 2 กลุ่ม คือ 1.ผลิตภัณฑ์กลุ่มสกินแคร์ และ 2.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร


ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มสกินแคร์ บริษัทจะเน้นสินค้าทางนวัตกรรม ซึ่งผลิตภัณฑ์หลักที่มีอยู่ในขณะนี้ คือ เซรั่มบำรุงผิวหน้า แบ่งตามกรุ๊ปเลือด เพื่อประสิทธิภาพในการบำรุงผิว นอกจากนี้ ยังมีผลิตภัณฑ์สเติมม์เซลล์ สกัดมาจากธรรมชาติ 3 ชนิด คือ กุหลาบพันปี, แอปเปิลเขียว และสาหร่ายทะเล ซึ่งตนมั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะสามารถสร้างเครือข่ายสมาชิกในกลุ่มผู้หญิงเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน 


ส่วนผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเสริมอาหาร ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าที่เรียกว่า Oryz โดยเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคุณสมบัติ ช่วยปรับสมดุลเคมีในร่างกาย ลดความเครียด ซึ่งเป็นบ่อเกิดของโรคร้ายแรงมากมาย ไม่ว่าจะเป็น โรคหัวใจ, ความดัน, เบาหวาน ฯลฯ ซึ่งหลังจากบริษัทก่อตั้งมาประมาณ 6 เดือน ปรากฏว่า ผลิตภัณฑ์ชนิดนี้สามารถสร้างยอดขายให้ ไวต้าอีส ถึง 30 ล้านบาท อย่างไรก็ดี ตนได้กำหนดกลยุทธ์ การตลาด เพื่อสร้างยอดขายในผลิตภัณฑ์ 2 กลุ่มดังกล่าวให้มีสัดส่วนเท่าๆ กัน ทั้งนี้คาดว่า ภายในสิ้นปีนี้บริษัทจะผลิตและนำเข้าสินค้าให้ครบ 10 รายการ


นายสุรยุทธ เปิดเผยต่ออีกว่า ปัจจุบัน บริษัทได้เริ่มมีการสมัครสมาชิกเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยภายใน 6 เดือนที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างเครือข่ายสมาชิกได้กว่า 5 พันคน โดยที่ไม่มีการซื้อแม่ทีมจากค่ายอื่นเข้ามาอย่างแน่นอน แต่จะมีสมาชิกที่เคยเป็นชาวเครือข่ายหรือรู้จักธุรกิจเครือข่ายเป็นอย่างดีจากค่ายอื่นๆ มาเข้าร่วมทำธุรกิจกับบริษัทประมาณครึ่งต่อครึ่ง 


ส่วนการขยายตลาด บริษัทเริ่มต้นธุรกิจจากกรุงเทพฯ และขยายสู่ภาคต่างๆ ซึ่งปัจจุบันมีศูนย์สาขากระจายอยู่ทั่วประเทศแล้วประมาณ 10 สาขา โดยการเปิดศูนย์แต่ละแห่งนั้น บริษัทกำหนดว่า ต้องมีสมาชิกในทีมประมาณ 500 คน และแต่ละศูนย์จะใช้งบการลงทุนประมาณ 4 แสนบาท


พร้อมกันนี้ ในส่วนของการรุกตลาดในไตรมาสต่อๆ ไปทางบริษัทคงจะมีการใช้สื่อต่างๆ เข้ามาช่วยสร้างการรับรู้แก่ธุรกิจไวต้าอีสมากขึ้น และตนเตรียมจัดโปรโมชั่นต่างๆ ออกมากระตุ้นกำลังซื้ออีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นแคมเปญแจกรถ แจกไอเพด และกิฟต์เซ็ตต่างๆ มากมาย


“วันนี้จึงเรียกได้ว่า การทำตลาดของไวต้าอีส เต็มร้อยอย่างแน่นอน และตนเชื่อว่า ภายในสิ้นปีนี้ บริษัทจะสามารถเพิ่มยอดสมาชิกได้มากกว่า 3 หมื่นคน และสามารถสร้างยอดขายประมาณ 100 ล้านบาทอย่างแน่นอน ดังนั้น นับจากนี้ ทุกคนคงจะเห็นภาพ และรู้จักธุรกิจไวต้าอีสมากขึ้น แต่ทั้งนี้ การทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ขอให้มีความถูกต้องและโปร่งใส ความสำเร็จทุกอย่างก็จะตามมาเองเช่นกัน” นายสุรยุทธ กล่าว


 


อ้างอิง : นสพ. สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1288 ประจำวันที่ 31-3-2012  ถึง 3-3-2012

แอมเวย์เอ็กซ์โป 2012 จ.อุดรธานี


 


วันเสาร์ที่ 7 เมษายน 2555
ณ ศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซา จ.อุดรธานี
เวลา 10.00 – 16.30 น.


พบกับการแนะนำข้อมูลความรู้และการสาธิตผลิตภัณฑ์ต่างๆ มากมายที่คุณสามารถนำไป
ดำเนินธุรกิจ จากนักธุรกิจแอมเวย์ดำเนินการ ผู้เชี่ยวชาญด้านผลิตภัณฑ์ พร้อมร่วมสนุก
กับกิจกรรมมากมาย ที่บู๊ธกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมสุขภาพ กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับเรือนร่าง
กลุ่มผลิตภัณฑ์สำหรับบ้าน และเพอร์เซอนอล ช็อปเปอร์ส แค็ตตาล็อก

ร่วมเป็นหนึ่งในความสำเร็จที่จุดประกายความฝันและความหวัง อันนำมาซึ่งอิสรภาพ
ครอบครัวและรางวัลอันทรงคุณค่าแห่งความสำเร็จ กับการประชุมระดับภูมิภาค 2012
จ.อุดรธานี

พบกับผู้ปราศรัยรับเชิญ 
นพ.วัชรา - คุณสิรินุช ทรัพย์สุวรรณ
นักธุรกิจแอมเวย์ระดับเพชรคู่


คุณอัญชัน - คุณศราวุธ เพ็งพันธุ์
นักธุรกิจแอมเวย์ระดับเพชร

วันพุธที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2555

"ดาวปูแดง" โหมรากหญ้าหนักชูแผนป่าล้อมเมืองนำทางเข้าตลาดหลักทรัพย์


"ดาวปูแดง" ไม่เลิก ฝันเข้าตลาดหลักทรัพย์ติดป้ายชื่อเป็นบริษัทมหาชน เดินหน้ากลยุทธ์ "ป่าล้อมเมือง" สานต่อพันธกิจใหญ่ ถูกใจแผนแฟรนไชส์ของบริษัท ผู้บริโภคให้ความสนใจต่อเนื่อง แต่ แอบหวั่นค้าเสรีเปิดเมื่อไหร่ การแข่งขันสูงขึ้น ตลาดเกษตรไทยได้รับผลกระทบ


นายเชน ใจซื่อ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นิวตริริช จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่าย ปุ๋ยอินทรีย์ "ดาวปูแดง" และผลิตภัณฑ์การเกษตรแบบครบวงจร เปิดเผยต่อ "สยามธุรกิจ" ว่า จากกรณีปัญหาอุทกภัยครั้งใหญ่ในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานต่างๆ ของบริษัทมากมาย ทำให้ยอดขายในช่วงนั้นไม่โตตามเป้าหมาย ซึ่งผลสรุปในช่วงปลายปี 54 บริษัทสามารถปิดยอดการขายได้ที่ 200 ล้านบาท เติบโตขึ้นจากปีก่อนไม่มากนัก


สำหรับการทำตลาดในปี 2555 นั้น นายเชน กล่าวว่า บริษัทจะใช้ทฤษฎีป่าล้อม เมือง คือ รุกตลาดต่างจังหวัดให้มีฐานสมาชิก และผู้บริโภคที่แข็งแกร่งก่อน แล้วจะขยายสู่เมือง เพราะดาวปูแดงถือเป็นบริษัทที่เติบโตมาจากต่างจังหวัด โดยคนรากหญ้า หรือชาวเกษตรกร ทั้งนี้ การรุกตลาดดังกล่าวนั้น จะดำเนินการไปพร้อมกับการฝึกอบรม สร้างการรับรู้และความเข้าใจที่ถูกต้องของสมาชิกดาวปูแดง


ทั้งนี้นายเชน ได้เปิดเผยต่อว่า เนื่องจากดาวปูแดงเติบโตมาจากสินค้าทางการเกษตร ดังนั้นบริษัทจึงต้องสร้างผลิตภัณฑ์ดังกล่าวให้ดีที่สุด ต้องเป็นผู้นำของตลาดการเกษตร ซึ่งในปี 55 นี้ดาวปูแดงจะเน้นการสร้างนวัตกรรมทางสินค้าที่แปลกใหม่ ไม่ซ้ำใคร โดยผลิตภัณฑ์ใหม่ที่จะเปิดตัวภายในเดือนหน้านี้ คือ ฮอร์โมนพืช ชนิดของเหลว เป็นสินค้านำเข้าจากประเทศเบลเยียม มีคุณสมบัติช่วยขยายเซลล์พืช ให้เติบโตขึ้น


ส่วนการขยายตลาดนั้น ขณะนี้บริษัท ได้เปิดดำเนินการในเรื่องของแฟรนไชส์แล้ว 100% ซึ่งมีผู้ให้ความสนใจเปิดเเฟรนไชส์ ในแต่ละเดือนประมาณ 20 แฟรนไชส์ โดยบริษัทจะค่อยๆ รุกตลาดในแต่ละตำบล แต่ละอำเภอ ซึ่งขณะนี้มีสมาชิกเปิดไปแล้ว ประมาณ 1 พันแฟรนไชส์ ส่วนโปรโมชั่นเอาใจสมาชิกในปีนี้ บริษัทเตรียมนำสมาชิก นักธุรกิจท่องเที่ยวประเทศกัมพูชา และ เซี่ยงไฮ้ ประเทศจีน ซึ่งที่ผ่านมามีสมาชิกสามารถทำคะแนนเข้าร่วมทริปได้ไม่ต่ำกว่า 200 คน นอกจากนี้ ยังมีโปรแกรมท่องเที่ยว ภายในประเทศอีกมากมาย ดังนั้นจากภาพรวมแผนการดำเนินงานทั้งหมดภายในปีนี้ ทำให้ตนคาดว่าบริษัทดาวปูแดง น่าจะมียอดขายเติบโตขึ้นจากปีที่แล้วประมาณ 10% 


อย่างไรก็ดี สิ่งที่บริษัทให้ความสนใจมากที่สุดในขณะนี้ คือ การตั้งเป้าเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์ และเตรียมความพร้อมเพื่อการเข้าสู่ตลาดอาเซียน โดยนโยบายเพื่อเข้าเป็นบริษัทมหาชนนั้นขณะนี้ดาวปูแดงกำลังเตรียมความพร้อมต่างๆ เพื่อให้เข้ากับหลักเกณฑ์ของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งตนมั่นใจว่าไม่เกินปี 2558 บริษัทก็น่าจะจดทะเบียนเป็นมหาชนได้อย่างแน่นอน


"ส่วนการเตรียมความพร้อมเกี่ยวกับการเปิดเสรีเศรษฐกิจอาเซียนนั้น ขณะนี้บริษัทได้ขยายงานไปในหลายๆ ประเทศแล้ว โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งปัจจุบันยอดขายจากต่างประเทศมีสัดส่วนประมาณ 10% จากยอดขายรวมทั้งหมดของบริษัท แต่อย่างไรก็ตามในมุมมองของตน คิดว่าการเปิดเสรีเศรษฐกิจอาเซียน ไม่ได้ส่งผลในแง่ดี ทั้งหมด เพราะแม้การเปิดเสรีจะส่งผลให้การค้า ต่างๆ เปิดกว้าง และมีความสะดวกสบายมากขึ้น แต่ถ้าบริษัทไหนมีรากฐานที่ไม่แข็งแกร่ง ก็อาจล้มได้โดยง่าย เพราะเมื่อกำแพงภาษีถูก ยกเลิกตลาดสินค้า และตลาดแรงงานก็จะมี การแข่งขันกันอย่างรุนแรงขึ้น" นายเชน กล่าว


นอกจากนี้ นายเชนยังแสดงทรรศนะ ถึงภาพรวมของธุรกิจขายตรงในกลุ่มสินค้า การเกษตรว่า "จากการที่สินค้าทางการเกษตรมีมูลค่าการตลาดประมาณแสนล้านบาทต่อปี และประชาชนโดยส่วนใหญ่ในประเทศไทย ประกอบอาชีพทำการเกษตร ทำให้ตนเชื่อมั่นว่าอุตสาหกรรมดังกล่าวจะต้องเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่องแน่นอน ถือเป็นสินค้ามหาชนที่ประชาชนกลุ่มใหญ่ใช้ และขาดไม่ได้ การแข่งขันในปัจจุบันจึงสูงมาก ฉะนั้นการที่จะต่อสู้บนสังเวียนนี้ได้ บริษัทจึงต้องเน้นคุณภาพกับนวัตกรรมให้มีความต่อเนื่อง และตรงตามความต้องการของประชาชนโดยส่วนใหญ่เท่านั้น"



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1287 ประจำวันที่ 28-3-2012 ถึง 30-3-2012

‘อาวียองซ์’ ตอกเสามาเลเซีย รับค้าเสรี/มั่นใจไม่เกินปีสมาชิก 2 หมื่น



“อาวียองซ์” แบรนด์ความงามระดับพรีเมี่ยม ภายใต้การบริหารงานของ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ประเทศไทย เริ่มตอกเสาเข็ม ตลาดอาเซียนรับ AEC ปลุกเสก “อาวียองซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล” ขยายเขต ล่าสุดกับการเปิดตัว ยูนิลีเวอร์ อาวียองซ์ มาเลเซีย อย่างเป็นทางการ โดยมี มร.พอล โพลแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่มยูนิลีเวอร์ ให้เกียรติเป็นประธานประกาศความพร้อมในการขยายแบรนด์อาวียองซ์สู่ตลาดเอเชีย สุดมั่นใจปีแรกในมาเลเซีย ประชาชนตบเท้าเข้าร่วมเป็นสมาชิกไม่น้อยกว่า 2 หมื่นรหัส


มร.บาวเค่อ ราวเออร์ส ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัทยูนิลีเวอร์ ในประเทศไทย และประธานกรรมการบอร์ด อาวียองซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า “ตลอดระยะเวลา 10 ปีที่ผ่านมา อาวียองซ์ได้เติบโตขึ้นอย่างมีคุณภาพทั้งผลิตภัณฑ์ และมีผู้ร่วมธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์ ในรูปแบบการทำธุรกิจเครือข่ายที่มีเอกลักษณ์หลากหลายช่องทาง ทำให้สามารถขยายธุรกิจและมียอดขายเติบโตตาม ตลาดอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีฐานสมาชิก 4.5 แสนรหัส แบ่งเป็นสมาชิกอภิสิทธิ์ และ ผู้ร่วมธุรกิจอาวียองซ์ในอัตราส่วน 50:50 และมีผู้บริโภคที่ไม่ใช่สมาชิกกว่า 1 ล้านคน 


ด้วยศักยภาพประกอบกับความมั่นคง และความมีชื่อเสียงของยูนิลีเวอร์ที่เป็นที่ยอมรับทั่วโลก ทำให้วันนี้เราพร้อมขยายตลาดอาวียองซ์สู่ตลาดโลก ด้วย 2 ปัจจัยหลัก คือ การมีผลิตภัณฑ์คุณภาพ และการมีผู้ร่วมธุรกิจที่แข็งแกร่ง จึงทำให้อาวียองซ์ประสบความสำเร็จ โดยนับเป็นบริษัทประกอบธุรกิจขายตรงที่เป็นบริษัทสากล บริษัทแรกที่มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ประเทศไทย และเป็นศูนย์กลางในการขยายตลาดสู่ต่างประเทศ 


โดยล่าสุดที่ประเทศมาเลเซีย ภายใต้การจดทะเบียนในชื่อ ยูนิลีเวอร์ อาวียองซ์ มาเลเซีย ซึ่งปัจจัยหลักในการเลือกขยายตลาดในมาเลเซียนั้น เพราะมาเลเซียเป็นประเทศที่ดำเนินธุรกิจขายตรงมานาน และเป็นที่ยอมรับในวงกว้าง โดยมีมูลค่าตลาดรวมขายตรงประมาณ 1.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ 


นอกจากนี้ ความหลากหลายทางเชื้อชาติ การใช้ภาษาที่ค่อนข้างครอบคลุม ไม่ว่าจะเป็นอังกฤษ, จีน หรือภาษาบาฮาซาของคนมุสลิม นับว่าเป็นจุดได้เปรียบในการขยายตลาดธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์สู่ประเทศอื่น โดยขณะนี้ครอบคลุมแล้วใน 4 ประเทศ ได้แก่ ไทย, อินเดีย, กัมพูชา และมาเลเซีย ซึ่งสามารถเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภค 1,500 ล้านคน คิดเป็นอัตราส่วน 25% ของประชากรโลก จากการนำเสนอของผู้ร่วมธุรกิจอาวียองซ์ กว่า 1 ล้านคนใน 4 ประเทศ และคาดว่าจะสามารถขยายตลาดครอบคลุมประเทศ ในอาเซียนภายใน 5 ปี และครอบคลุมเอเชียภายใน 10 ปี


ด้าน นางสุชาดา ธีรวชิรกุล ประธานบริหาร-อาวียองซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด กล่าวว่า การเปิดตลาดมาเลเซียครั้งนี้ ได้ทุ่มงบการลงทุนกว่า 80 ล้านบาท ในการเปิดอาวียองซ์ ช็อป รวมถึงเทคโนโลยีในด้านต่างๆ สำหรับตลาดในมาเลเซียนั้น เป็นตลาดที่มีการพัฒนาธุรกิจขายตรงโดย คนมาเลเซียมีความรู้และเข้าใจในธุรกิจนี้ ผู้ทำธุรกิจขายตรงมาเลเซียมีถึง 4.2 ล้านคน และคาดว่าอาวียองซ์จะมีผู้ร่วมธุรกิจกว่า 50,000 รหัส และก้าวสู่อันดับท็อปเทน ของธุรกิจขายตรงในมาเลเซียภายใน 3 ปี 


นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการพัฒนา ระบบเทคโนโลยี เพื่อรองรับการช็อปปิ้งออนไลน์อย่างสมบูรณ์แบบ สามารถสั่งซื้อ ผลิตภัณฑ์ และรับสมัครสมาชิกผ่านออนไลน์ ที่สำคัญยังมีระบบเพื่อวิเคราะห์ยอดขาย เห็นองค์กรของตนเอง ซึ่งมีความทันสมัย สามารถดูได้หลากหลายรูปแบบ และอีกไม่นานนี้อาวียองซ์จะมีโปรแกรมใน App Store สามารถโหลดแอพพลิเคชั่นลงใน Ipad เพื่อวิเคราะห์ผิวและตอบคำถาม ต่างๆ เกี่ยวกับสภาพผิว รวมถึงการวิเคราะห์ รูปร่างอีกด้วย ซึ่งจะมีการประมวลผลออก มาเพื่อผลิตภัณฑ์ที่ตรงตามความต้องการ มากที่สุด ถือเป็นการนำความล้ำหน้าทาง เทคโนโลยี มาเสริมสร้างประสิทธิภาพ และ ความสะดวกสบายที่พร้อมรองรับการขยายตัว ของธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์ในมาเลเซีย


ส่วน วรวิทย์ ศรชัย ผู้จัดการประจำ ประเทศมาเลเซีย บริษัท ยูนิลีเวอร์ อาวียองซ์ มาเลเซีย จำกัด เปิดเผยว่า “ขณะนี้มีสมาชิกผู้ร่วมธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์ มาเลเซียแล้วประมาณ 10,000 รหัส ซึ่ง คาดว่าจะสามารถขยายถึง 20,000 รหัส ภายในปีแรก โดยปัจจัยหลักที่คนมาเลเซีย สนใจในธุรกิจนี้ เพราะเป็นอาชีพที่ตนเอง สามารถเป็นเจ้าของธุรกิจเองได้ด้วยเงินลงทุนที่ต่ำมาก และต้องการพัฒนาคุณภาพ ชีวิตให้ดีขึ้น อีกทั้งอาวียองซ์ยังมีผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพตอบสนองกลุ่มผู้บริโภคที่ส่วนใหญ่อยากมีผิวขาว และดูอ่อนเยาว์ จึงทำให้กลุ่มผลิตภัณฑ์กันแดด และผลิตภัณฑ์ลดเลือนริ้วรอย ขายดีติดอันดับต้นๆ นอกจากนี้กลุ่มผู้บริโภคยังมีความใส่ใจ และนิยมใช้ผลิตภัณฑ์ครบทุกขั้นตอน”


ทั้งนี้ อาวียองซ์ยังได้ทำการเปิด อาวียองซ์ ช็อป ชึ่งเป็นแฟล็กชิพ สโตร์ แห่งแรก บนพื้นที่ 1,000 ตารางเมตร ตั้งอยู่ในเขตเศรษฐกิจพีเจ เพื่อรองรับผู้ร่วมธุรกิจ อาวียองซ์ และผู้บริโภค


อนี่งแบรนด์อาวียองซ์ ได้แบ่งสัดส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์เป็นสกินแคร์ 60% กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริม 25% และอื่นๆ 15% ซึ่งแบรนด์อาวียองซ์นับว่าเป็นแบรนด์ผลิตภัณฑ์ระดับพรีเมี่ยม ที่มีบริษัทแม่อย่าง “ยูนิลีเวอร์” เป็นแบรนด์ใหญ่ที่ช่วยการันตีในเรื่องของความมั่นคง


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1287 ประจำวันที่ 28-3-2012 ถึง 30-3-2012

‘ทีวีดาวเทียม’ ราคาพุ่ง! MLM เปิดศึกชิงพื้นที่ดูดเงินคนดู

 


สื่อดาวเทียม และเคเบิลทีวี ไต่ระดับองศาร้อน บรรดาค่ายขายตรงแห่จองพื้นที่ แย่งเวลาออกอากาศเดือด หวังใช้เป็นตัวสร้างแบรนด์สร้างรายรับเข้ากระเป๋า หลังการสำรวจชี้ชัด ประชาชนเกินครึ่งประเทศรับชมโทรทัศน์ผ่านจานเพิ่มสูงในทุกปี คาดไม่เกิน 4 ปี เสาก้างปลาหมด ธุรกิจต้องชิงช่อง ออกอากาศให้ทัน

>> ดาวเทียม/เคเบิล มูลค่ารวมพุ่งไม่หยุด

จากแนวโน้มการขยายตัวของธุรกิจทีวีดาวเทียมในช่วงหลัง สะท้อนจากรายงานของเอจีบี นีลเส็น ระบุว่า ปัจจุบันมีครัวเรือนในไทยประมาณ 20 ล้านครัวเรือน หรือร่วม 40 ล้านคน คิดเป็น 2 ใน 3 ของจำนวนประชากรทั้งประเทศ โดยจำนวนนี้รับชมรายการผ่านเคเบิลทีวี และจานรับสัญญาณดาวเทียม เช่นเดียวกับจำนวนผู้ประกอบการ โดยเฉพาะทีวีดาวเทียม ที่มีอยู่ราว 100 ราย ผลักดันให้เม็ดเงินโฆษณาผ่านช่องทางนี้ในปี 54 แตะที่ตัวเลข 2.5 พันล้านบาท จากเม็ดเงินโฆษณาผ่านช่องทางฟรีทีวีทั้งหมดกว่า 6 หมื่นล้านบาท และคาดการณ์ว่าจะเพิ่มขึ้น อีกเท่าตัว หรือ 5 พันล้านบาทในปีนี้ และจากจำนวนผู้เล่นกว่า 100 รายในสมรภูมิทีวีดาวเทียมนั้น 

หากแต่ข้อมูลดังกล่าว ต่างไปจากข้อมูลของนายวิชิต เอื้ออารีวรกุล อุปนายกสมาคมเคเบิลทีวีแห่งประเทศไทย ในส่วนของตัวเลขบางส่วน แต่ที่เหมือนกันคือในส่วนของการเติบโตของสื่อดาวเทียม และเคเบิลที่ขยับเพิ่มขึ้นทุกปี 

จากการเติบโตของเม็ดเงินโฆษณาผ่านสื่อเคเบิลทีวีที่สูงมาก เป็นผลมาจากความนิยมการรับชมและติดตั้งจานดาวเทียมของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้นทุกปี โดยปัจจุบันผู้บริโภคไทยมีจำนวนประมาณ 21 ล้านครัวเรือน ซึ่งเป็นผู้บริโภคที่รับชมผ่านจานดาวเทียมประมาณ 10 ล้านครัวเรือน แบ่งเป็น จานดำ 6 ล้านครัวเรือน จานแดง 1.5 ล้านครัวเรือน จานเหลือง 1.5 ล้านครัวเรือน และจานส้ม 1 ล้านครัวเรือน ส่วนอีก 11 ล้านครัวเรือน จะชมรายการทีวีผ่านเคเบิลทีวีท้องถิ่น 4 ล้านครัวเรือน และอีก 7 ล้านครัวเรือน ที่รับชมโทรทัศน์ผ่านเสาก้างปลา ซึ่งในส่วนของการรับชมโทรทัศน์ผ่านเสาก้างปลาจะหมดไปในระยะเวลาประมาณ 3-4 ปีข้างหน้า

ปัจจุบัน การติดจานรับชมทีวีจะเริ่ม ต้นที่ประมาณ 1.2 พันบาท ซึ่งเป็นราคาที่ลดลงเรื่อยๆ ขณะที่ปีหน้าจะมีดาวเทียมไทยคม 6 เกิดขึ้น คาดว่าจะมีช่องใหม่เกิดขึ้นอีกประมาณ 150-200 ช่อง ขณะที่เม็ดเงินลงทุนรวมของสื่อดาวเทียมต่อปีจะอยู่ที่ 3 พันล้านบาท

โดยจากตัวเลขที่กล่าวมา ทำให้หลายบริษัทหลายภาคส่วนเล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ และเริ่มเข้ามาโฆษณา และผุดรายการทีวีผ่านช่องทางเคเบิล และสื่อดาวเทียมเพิ่มมากขึ้น

ธุรกิจขายตรงก็เช่นเดียวกัน ที่พยายามใช้สื่อดาวเทียมเป็นช่องทางในการสื่อสารบริษัทกับผู้บริโภค ทั้งการโฆษณาสินค้า โฆษณาบริษัท และการดึงสมาชิกผ่านรายการทีวีของสื่อดาวเทียมที่มีอยู่ในปัจจุบัน อีกทั้งหลายบริษัทยังได้ผุดช่องของตนเองขึ้นมา เพื่อสนับสนุนบริษัท ในการสร้างรายรับของตัวเอง

>> ขายตรงแห่เปิดช่องรายการเรียกสมาชิก

ซึ่งที่ผ่านมา บริษัทที่เปิดช่องของตนเองขึ้นมา ก็จะมีตัวอย่างเช่น “บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” ที่มีช่อง “นีโอ ทีวี” เป็นสื่อดาวเทียมของตนเองที่จะคอยสนับสนุนบริษัท ทั้งการเปิดเวลาให้สมาชิกเข้ามาพูด เพื่อเป็นการเรียกสมาชิกให้เข้ามาอยู่ในทีมของตัวเอง อีกทั้งยังเป็นเครื่องมือในการโฆษณาสินค้า และโฆษณาบริษัทอีกทาง

นอกจากในส่วนของการเปิดช่องเองแล้ว หลายบริษัทที่อยู่ในวงการขายตรงยังนิยมที่จะควักทุนจ่ายสื่อทีวีดาวเทียมและเคเบิลทีวีเพิ่มมากขึ้น เพื่อเป็นการโปรโมตสินค้าของบริษัท เนื่องจากราคาที่ถูกกว่าช่องฟรีทีวี และข้อบังคับของสื่อดาวเทียม และเคเบิลทีวีก็มีน้อยกว่า ทำให้ธุรกิจขายตรงเน้นที่จะใช้สื่อนี้ เป็นช่องทางในการโปรโมตแบรนด์และสินค้าของตนเอง

เห็นได้ชัดจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร “ซัน คราร่า” ของ “บริษัท สตาร์ ซันไชน์ จำกัด” ที่ใช้สื่อนี้เป็นสื่อหลักในการโฆษณาขายสินค้า ซึ่งดูจะได้ผลเป็นอย่างยิ่งจากที่ผ่านมา ทำให้ “ซัน คราร่า” กลายเป็นสินค้าขายดีประจำปีที่ผ่านมาของธุรกิจขายตรง

อย่างไรก็ดี ยังมีกลุ่มผลิตภัณฑ์การเกษตรที่เน้นการโฆษณาสินค้าผ่านสื่อชนิดนี้เป็นสำคัญ และทำให้ยอดขายของแต่ละบริษัทงอกงามตามเป้าหมายที่วาง โดยนางปราณี พุทธิพิพัฒน์ขจร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยูนิไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทเตรียมดำเนินกลยุทธ์หลักประการแรก คือ การเน้นโปรโมต สร้างการรับรู้สินค้าชุดประหยัด ปุ๋ย 5 พลัง ซึ่งถือเป็นสินค้าเอกของ บริษัท เพิ่มเติม โดยจะเน้นการออกสื่อทีวี สื่อดาวเทียมมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้เริ่มเผยแพร่โฆษณาในสินค้าดังกล่าวไปแล้ว และได้รับการตอบรับเป็นที่น่าพอใจ 

“โดยในปัจจุบันยอดขายจากสินค้า ชุดประหยัดปุ๋ย 5 พลัง มีประมาณ 30-40% จากยอดขายสินค้าทั้งหมดของบริษัท นอกจากนี้ ในสินค้าชนิดอื่นๆ ขณะนี้บริษัท ก็กำลังเตรียมนำสินค้าตัวใหม่ออกมา คือ ผลิตภัณฑ์สารกำจัดศัตรูพืช ซึ่งหากจะกล่าวว่า เป็นสินค้าชนิดใหม่เลย ก็คงไม่ใช่ เพราะสินค้าดังกล่าวเป็นผลิตภัณฑ์ที่บริษัท มีอยู่แล้ว แต่ที่ผ่านมารัฐบาลได้มีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับพ.ร.บ. บังคับใช้วัตถุ อันตรายอยู่ตลอด บริษัทจึงต้องดำเนินการ ตามขั้นตอนของกฎหมาย โดยในครั้งนี้ พ.ร.บ.บังคับใช้วัตถุอันตรายฉบับใหม่ มีผล บังคับใช้ไปเมื่อปีที่แล้ว ขณะนี้บริษัทจึงรอ ขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ดังกล่าวอยู่ และคาดว่าน่าจะออกตีตลาดได้ประมาณกลางปี” ปราณี เผย

นอกจากแบรนด์ต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ยังมี “ดีไลฟ์” แบรนด์ขายตรงสัญชาติ ไทยอีกบริษัทที่เริ่มจะหันมาให้ความสำคัญกับการสื่อสารผ่านดาวเทียมเพิ่มมากขึ้น โดยนายเทวัญ ดีใจงาม ประธานกรรมการ บริษัท ดีไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า แผนกลยุทธ์สำคัญของบริษัทในปีนี้ คือ การเพิ่มช่องทางการสื่อสาร โดยเฉพาะสื่อดาวเทียม และระบบออนไลน์ ซึ่งตนมองว่าในปัจจุบันสื่อเหล่านี้มีอิทธิพลต่อผู้บริโภคมาก โดยเฉพาะผู้บริโภคที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ ซึ่งบริษัทคาดว่า ไม่เกินเดือนเมษายนปีนี้ จะมีการปล่อยสัญญาณทีวีดาวเทียมของดีไลฟ์ ออกสู่สายตาประชาชนได้อย่างแน่นอน ส่วนระบบออนไลน์ ขณะนี้ระบบของบริษัทก็มีความพร้อมแล้วกว่า 90%

ไม่เพียงแต่กลุ่มบริษัทขายตรงเท่านั้นที่ให้ความสำคัญในการสร้างการตลาดผ่านสื่อทีวีดาวเทียม แต่บริษัทที่ดำเนินธุรกิจในชนิดการตลาดแบบตรงอย่าง “ทีวี ไดเร็ค” ก็นับว่าเป็นแบรนด์ธุรกิจหนึ่งที่เล็งเห็นความสำคัญในส่วนนี้ และครองพื้นที่สื่อรูปแบบนี้มานาน และเห็นจะเป็นกลยุทธ์ไม้เด็ดในการสร้างกำไร ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา

>> “ทีวี ไดเร็ค” จัดเต็มเปิดรายการถี่ยิบ

โดยนายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้า และบริการผ่านช่องทางการตลาดที่หลากหลาย เปิดเผยว่า ด้วยประสบการณ์ดำเนินธุรกิจยาวนานกว่า 13 ปี ของบริษัท บวกกับแผนกลยุทธ์เชิงรุกที่เรียกว่า MCM (Multichannel Marketing) ที่มีช่องทางการตลาดที่หลากหลายไว้อย่างครบถ้วน ย้ำความเป็นผู้นำการใช้สื่อเข้าถึงผู้บริโภคทุกกลุ่มในเวลาสะดวกของเขาเอง ทั้งฟรีทีวี, ทีวีดาวเทียม, เคเบิลทีวี, ไดเรกต์เมล, เมลออเดอร์, ระบบโทรศัพท์ แบบโทร.ออก, และระบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์

ด้านภาพรวมธุรกิจในปี 55 นี้ ทีวี ไดเร็ค จะใช้ช่องทางการดำเนินงานด้วยกัน 9 ช่องทาง โดยแต่ละช่องทางนับได้ว่า เป็นช่องทางที่มีประสิทธิภาพอย่างน่าพอใจ ดังนั้นในปีนี้ทางบริษัทจะเน้นการสร้างสินค้าเพื่อเป็นการตอบสนองความต้องการของลูกค้ากว่าล้านคน เพื่อสร้างความสัมพันธ์ตามแผน TV Direct Republic ซึ่งจะเป็นความสัมพันธ์เชิงลึกกับกลุ่มลูกค้า ของบริษัท พร้อมเป็นการยกเครื่องระบบงานภายในใหม่ตั้งแต่ระบบขายและจัดส่ง ไปจนถึงระบบพัฒนาบุคลากรทั้งทางด้านประสิทธิภาพและความสามารถในการแข่งขันต่อไป 

นอกจากนี้ หลังจากได้ทำการศึกษา และทดลองตลาดในอินโดไชน่ามาตั้งแต่ปี 2006 สำหรับปีนี้ บริษัทมีความพร้อมที่จะขยายงานไปยังประเทศอื่นๆ ในภูมิภาค เช่น ลาว, กัมพูชา, เวียดนาม และมาเลเซีย ในส่วนของการเดินหน้ารุกธุรกิจเอ็นเตอร์เทนเมนต์ ด้วยโปรเจกต์ใหญ่รับปีมังกร โดยบริษัทได้ร่วมกับ บริษัท มันวา บรอดแคสติ้ง และ บริษัท เจแอล สตาร์เนทเทรด จำกัด จัดคอนเสิร์ตที่เรียกว่า เป็น The Biggest KPOP Concert of Asia 2012 Live in Bangkok ซึ่งเป็นการจัดคอนเสิร์ตศิลปินเกาหลีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในเอเชีย ในปี 2555 นี้


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1287 ประจำวันที่ 28-3-2012 ถึง 30-3-2012

แผนภาพรวมของบริษัท ไวต้าอีส เน็ทเวิร์ค (Vita East Network)


Vision

ไวต้าอีส เน็ทเวิร์ค มีความต้องการอย่างแรงกล้าที่จะเป็นผู้นำในธุรกิจเครือข่ายของประเทศไทย

รวมถึงการก้าวไปเป็นผู้นำในธุรกิจเครือข่ายระดับโลก ทางบริษัทให้ความสำคัญสูงสุดในการมุ่งสร้างความสำเร็จสูงสุดให้กับสมาชิกนักธุรกิจไวต้าอีส อย่างมั่นคงและยั่งยืน


ผลิตภัณฑ์ ทุกชิ้นของไวต้าอีส มีคุณภาพอยู่ในระดับยอดเยี่ยม และมาตรฐานสูง เพื่อสุขภาพที่ดีกว่า และตอบสนองความต้องการของ

ผู้บริโภคในยุคสมัยใหม่ บริษัทจึงได้ดำเนินการผลิตภายใต้สโลแกนที่ว่า “ชีวิตที่ดีกว่า ด้วยคุณภาพ แห่งอนาคต”




แผนการตลาด Smart Binary. (Flexible , Balance And Powerful.)

เป็นแผนที่มีความสมดุลลงตัว และทรงพลังที่สุดที่จะมอบความสำเร็จให้แด่สมาชิกนักธุรกิจไวต้าอีสทุกคนอย่างไร้ขีดจำกัด

บริษัทมุ่งหวังให้ทุกคนสามารถประสบความสำเร็จได้เพียงมีความตั้งใจ และลงมือทำ ซึ่งทุกอย่างเป็นไปได้จริง ยุติธรรม มั่นคงและยั่งยืน


แผนการทำงานที่ง่ายสามารถนำมาใช้สอดคล้องกับแผนการตลาดที่ฉลาด บริษัทสนับสนุนการทำงานในแบบที่ใช้ความสามารถที่เพิ่มพูน

“Work smart not hard” และ “Give and share” สมาชิกนักธุรกิจไวต้าอีสทุกคนสามารถเป็นผู้เปิดโอกาส เป็นผู้ให้

และเป็นผู้ปันความสำเร็จร่วมกัน


การสนับสนุนจากทางบริษัท คือ สิ่งสำคัญที่บริษัทตระหนักและเชื่อมั่นว่าเป็นหัวใจสำคัญในการผลักดันสมาชิกนักธุรกิจไวต้าอีสทุกคนให้

ประสบความสำเร็จบริษัทมีนโยบายที่จะสร้างสรรค์สิ่งดีๆที่จะช่วยเหลือสมาชิกนักธุรกิจไวต้าอีสในทุกช่องทาง ภายใต้แนวความคิดที่ว่า

“Vitaeast is your partner and friend.”




Vmoney (Uniquely successful life style.) คือ นวัตกรรมแรกและหนึ่งเดียวในโลกของธุรกิจเครือข่ายที่จะทำให้

สมาชิกนักธุรกิจไวต้าอีสทุกคนสามารถสร้างและขยายธุรกิจผ่านไลฟ์สไตล์ของผู้คนได้อย่างแท้จริง “Your successful life , style”




Vconnect ระบบทันสมัยที่สมาชิกนักธุรกิจไวต้าอีสทุกคนสามารถทำธุรกรรม และขยายธุรกิจอย่างง่ายดายผ่านระบบดิจิตอลออนไลน์

บริษัทมีความยินดีอย่างยิ่งในการเชื่อมต่อความฝันของสมาชิกนักธุรกิจไวต้าอีสทุกคนให้เป็นจริง และพร้อมที่จะเดินทางสู่ความสุข

ความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน VITAEAST NETWORK “THE DREAM CONNECT.”

วันอังคารที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2555

แอมเวย์รุกตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารส่ง “นิวทริไลท์ ออล แพลนท์ โปรตีน” ใหม่ คาดสิ้นปีดันยอดขายนิวทริไลท์พุ่ง 5,700 ล้านบาท

[gallery]


แอมเวย์รุกตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารส่ง “นิวทริไลท์ ออล แพลนท์ โปรตีน” ใหม่ คาดสิ้นปีดันยอดขายนิวทริไลท์พุ่ง 5,700 ล้านบาท


ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์จากแอมเวย์เดินหน้าตอบความต้องการผู้บริโภค พร้อมเปิดตัวแคมเปญ “นิวทริไลท์ ทุกวัน” เสริมความแข็งแกร่งของแบรนด์ และสนับสนุนให้ประชาชนดูแลสุขภาพด้วยสารอาหารพื้นฐานให้ครบถ้วน พร้อมส่ง “นิวทริไลท์ ออล แพลนท์ โปรตีน” ใหม่ ที่สกัดจากพืช พร้อมกรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน ดันยอดขายรวมนิวทริไลท์สิ้นปีนี้ถึง 5,700 ล้านบาท


นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากกระแส ความนิยมของผู้บริโภคที่หันมาดูแลสุขภาพและความงามเพิ่มมากขึ้น ส่งผลให้มูลค่าตลาดรวมผลิตภัณฑ์- เสริมอาหารประเทศไทยเติบโตต่อเนื่องในช่วง 5 ปีที่ผ่านมา เฉลี่ยปีละ 10-12%* โดยผลวิจัยพบว่า ในกลุ่ม ผู้มีรายได้ระดับปานกลางถึงสูงมีแนวโน้มหันมาดูแลสุขภาพด้วยการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสูงถึง 70%** โดยเฉพาะการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทโปรตีนและกลุ่มเพื่อความงามสำหรับผู้หญิง ดังนั้น จึงเป็นโอกาสดีที่จะแนะนำผลิตภัณฑ์ตัวใหม่ นิวทริไลท์ ออล แพลนท์ โปรตีน


“บริษัทแม่ แอมเวย์ คอร์ปอเรชั่น ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์ ออล แพลนท์ โปรตีน ไปแล้ว 32 ประเทศ และกำลังจะทยอยเปิดตัวในอีก 24 ประเทศทั่วโลก รวมทั้งแอมเวย์ประเทศไทย เรามั่นใจว่านิวทริไลท์ ออล แพลนท์ โปรตีน สามารถตอบโจทย์กับไลฟ์สไตล์ของสังคมที่เร่งรีบ ไม่มีเวลาเลือกอาหารให้ได้โภชนาการที่ดีครบถ้วน นอกจากนั้น ยังเป็นตัวช่วยเพื่อดูแลสุขภาพด้วยการเติมเต็มสารอาหารพื้นฐานที่จำเป็นต่อร่างกายให้ครบถ้วนทุกวัน โดยนิวทริไลท์ ออล แพลนท์ โปรตีน จะเป็นผลิตภัณฑ์แม่เหล็กในการขยายตลาดและทำให้นิวทริไลท์มียอดขายสูงขึ้นถึง 5,700 ล้านบาท และส่งผลให้ยอดขายรวมของแอมเวย์ประสบความสำเร็จด้วยอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% ในสิ้นปีนี้” นายกิจธวัชกล่าว


นางรัตนา ชาญนรา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใหม่ล่าสุด ‘นิวทริไลท์ ออล แพลนท์ โปรตีน (Nutrilite All Plant Protein)’ เป็นโปรตีนที่ให้กรดอะมิโนจำเป็นครบถ้วน ปราศจากไขมันและโคเลสเตอรอล สกัดเข้มข้นจากถั่วเหลือง ข้าวสาลี และถั่ว ไม่มีส่วนผสมของแลคโตส ดังนั้น นอกจากตลาดคนรักสุขภาพกลุ่มเดิมที่เคยบริโภคนิวทริไลท์ โปรตีนเป็นประจำอยู่แล้ว ออล แพลนท์ โปรตีน ยังสามารถขยายตลาดไปยังกลุ่มผู้บริโภคโปรตีนจากพืช อาทิ ผู้ที่แพ้นมหรือย่อยน้ำตาลแลคโตสในนมไม่ได้ รวมถึงผู้บริโภคมังสวิรัติ ฮาลาล และเจ อีกด้วย


นางรัตนากล่าวต่อไปว่า นอกจากนั้น แอมเวย์เตรียมแคมเปญ ‘นิวทริไลท์ ทุกวัน’ เพื่อให้ความรู้กับผู้บริโภคในการดูแลสุขภาพพื้นฐาน โดยดึงผลิตภัณฑ์เรือธงของนิวทริไลท์มาจับคู่กัน ได้แก่ ‘นิวทริไลท์ ออล แพลนท์ โปรตีน’ และ ‘นิวทริไลท์ ดับเบิ้ล เอ็กซ์’ แนะนำให้บริโภคคู่กัน เพื่อให้ร่างกายได้รับสารอาหารพื้นฐานอย่างครบถ้วน ทั้งโปรตีนจากพืชที่ให้กรดอะมิโนจำเป็นครบ วิตามิน เกลือแร่ และไฟโตนิวเทรียนท์ นอกจากนั้น แคมเปญยังสนับสนุนให้ผู้บริโภคหมั่นออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ เพื่อดูแลสุขภาพแบบองค์รวมสู่การมีสุขภาพสมบูรณ์สูงสุดตามปรัชญาของแบรนด์นิวทริไลท์


“ภายใต้แคมเปญดังกล่าว นิวทริไลท์ยังเน้นตอบสนองเทรนด์ผู้ที่ชื่นชอบโลกโซเชียล เน็ทเวิร์ค ทั้งเฟซบุ๊ค ทวิตเตอร์ และยูทูป เป็นช่องทางหลักในการสื่อสารกับผู้บริโภคมากยิ่งขึ้น โดยใช้ดนตรีช่วยในการเข้าถึงและพัฒนาแอพพลิเคชั่น “Everyday Shake Shake: เชคทุกวัน” เพื่อให้เข้าใจประโยชน์ของสารอาหารง่ายๆ พร้อมสนุกกับการออกกำลังกายมากยิ่งขึ้น ซึ่งถือเป็นตัวนำกิจกรรมและสร้างประสบการณ์ใหม่ (Brand Experience) ให้เข้าถึงผู้บริโภครุ่นใหม่โดยเฉพาะคนเจ็นวาย (Generation Y) ขณะเดียวกัน สิ่งสำคัญที่สุดคือการให้บริการลูกค้า ผู้บริโภคทุกท่านจะได้รับการแนะนำสินค้าจากนักธุรกิจแอมเวย์ที่ผ่านการฝึกอบรมสินค้าอย่างมืออาชีพ สามารถให้คำแนะนำเรื่องการดูแลสุขภาพพื้นฐานได้อย่างถูกต้องครบถ้วน ซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจแอมเวย์ เราจึงมั่นใจว่านิวทริไลท์โปรตีนเพียงชนิดเดียวจะประสบความสำเร็จด้วยยอดขายไม่ต่ำกว่า 1,600 ล้านบาทภายในสิ้นปีนี้” นางรัตนากล่าวในที่สุด


# # # * ปี2554-2558: ข้อมูลการเติบโตของตลาดจาก Euromonitor report 2012 **งานวิจัย VDS U&A 2010 ทำการวิจัยโดยบริษัท ทีเอ็นเอส รีเสิร์ชอินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อบริษัทที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์แอมเวย์: เวิรฟ
อรรณพ ธีรวัฒนเศรษฐ์ (จุ้ย) โทร.0-2204-8213, 081-750-4237
พรชนันท์ ยามะรัต (กิฟท์) โทร.0-2204-8223, 081-755-1105
ศรุตยา มหากายี (โอ๋) โทร.0-2204-8224, 089-665-6819

อาวียองซ์มอบใบประกาศนียบัตรแก่ผู้สำเร็จหลักสูตร Skin Pro Advice 2012



สุชาดา ธีรวชิรกุล กรรมการผู้จัดการ - อาวียองซ์ ภาคธุรกิจผลิตภัณฑ์ชั้นสูง บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เป็นประธานมอบใบประกาศนียบัตรให้แก่ ผู้ร่วมธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์ที่สำเร็จหลักสูตร Skin Pro Advice 2012 จำนวน 80 คน โดยมี ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.วลัย วัฒนะศิริ เจ้าของหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊ค “บุคลิกดี...รวยได้” ให้เกียรติเป็นวิทยากรอบรมเรื่องบุคลิกภาพ ณ อาวียองซ์ อะคาเดมี ไทยพาณิชย์ ปาร์ค พลาซ่า

หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ บริษัท แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์ จำกัด
โทร.0-2434-8300 สุจินดา, แสงนภา, ภัควลัญชญ์

อาวียองซ์ เปิดตัว อาวียองซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล รุกตลาดต่างประเทศ





มร. พอล โพลแมน ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร กลุ่มยูนิลีเวอร์ เป็นประธาน เปิดตัว อาวียองซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (aviance International) เพื่อนำแบรนด์ ความงามระดับพรีเมี่ยม “อาวียองซ์” สู่ผู้บริโภคต่างประเทศ ภายใต้การกำกับดูแลของ สุชาดา ธีรวชิรกุล ประธานบริหาร – อาวียองซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ณ โรงแรมฮิลตัน กัวลาลัมเปอร์ ประเทศมาเลเซีย โดย อาวียองซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล พร้อมขยายตลาดครอบคลุมประเทศในอาเซียนภายใน 5 ปี และครอบคลุมเอเชียภายใน 10 ปี

หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ บริษัท แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์ จำกัด
โทร.0-2434-8300 สุจินดา, แสงนภา, ภัควลัญชญ์

Nutrimetics the Beauty Booth Caravan


Nutrimetics 



the Beauty Booth Caravan

 


โศรยา จิวะเจริญชัย ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารธุรกิจ บริษัท นูทรีเมติคส์ อินเตอร์

 


เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด จัดกิจกกรรส่งเสริมการตลาด The Secret booth catavan 
ภายใต้คอนเซ็ปต์ The Seret of Nurural Beauty: รวมไขความลับทางความงามจากธรรมชาติ กับนูทรีเมติคส์ 

โดยเริ่มปฏิบัติการไขความลับทางความงามครั้งแรกในเดือนมกราคม ณ ศูนย์การค้ายูดีทาวน์ จ.อุดรธานี

และเดือนกุมภาพันธ์ ศูนย์การค้าลีการ์เด้น หาดใหญ่ จ.สงขลา และศูนย์การค้าเซ็นทรัลพลาซ่า แอร์พอร์ท

จ.เชียงใหม่ ซึ่งที่จังหวัดเชียงใหม่ได้รับเกีรยติจาก มล.ปรียาพรรณ ศรีธวัช สมาชิกวุฒิสภาจังหวัดเชียงใหม่

เป็นประธานในการเปิดงาน ตลอดทั้งงานได้รับความสนใจจากประชาชนเข้าเยี่ยมชมบูทและร่วมกิจกรรมกันอย่างคับคั่ง

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค

อาวียองซ์ พกเหล่าผู้ร่วมธุรกิจ 300คน บินลัดฟ้าสู่เกาหลี 5 วัน 3 คืน

อาวียองซ์

พกเหล่าผู้ร่วมธุรกิจ 300คน บินลัดฟ้าสู่เกาหลี 5 วัน 3 คืน



 สุชาดา ธีรวชิรกุล ประธานบริหารอาวียองซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัท ยูนิลีเวอร์ไทย เทรดดิ้ง จำกัด

จัดทริปท่องเที่ยวเกาหลี พาผู้ร่วมธุรกิจเรือข่ายอาวียองซ์ที่ประสบความสำเร็จจากการพิชิตยอดถึงเป้า

จำนวน 300 คน ไปทัวร์ตามรอยซีรี่ส์ดัง พักกายที่สกีรีสอร์ท ช้อปปิ้งหน่ำใจในย่านดัง เรียนรู้วัฒนธรรม

ประจำชาติ เป็นเวลา 5 วัน 3 คืน ฉลองความสำเร็จในความมุ่งมันของผู้ร่วมธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์ 

ณ ประเทศเกาหลี

<p><strong>ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค </strong></p>