ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

(จอย แอนด์ คอยน์) J&C เร่งผลักดันห้างขายตรง ตั้งหลัก 3 ปี นำบริษัท สู่ ตลาดหลักทรัพย์


J&C เปิดตัวหนังโฆษณาชุดที่ 3 กับงบประมาณกว่า 2 ล้านบาท ผ่านฟรีทีวี และ ช่องดาวเทียม เน้นแผนโชว์ความหลากหลายด้านบริการ พร้อมประกาศเกิดแน่นอนห้าง-สรรพสินค้าของคนขายตรงงัดกลยุทธ์เด็ด E-wallet ช่วยสมาชิกทำงานได้สะดวกทุกที่ทุกเวลา เล็งแผนเปิดตลาดเพื่อนบ้านอย่างเขมร ด้านแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ คาดอีก 3 ปี


ดร.สมชาย หัชลีฬหา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผย ถึงภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ว่า โฆษณาชุดนี้เป็นชุดที่ 3 ที่จะเริ่มออนแอร์เร็วๆ นี้ผ่านทางช่องฟรีทีวี และ ช่องเคเบิล ทีวี โดยเนื้อหาของโฆษณาชุดนี้สื่อถึงการบริหารและสินค้าที่หลากหลายของ จอย แอนด์ คอยน์ จะมีระยะเวลาออนแอร์ประมาณ 6 เดือน และ หลังจากนั้นก็จะเริ่มทำเป็นซีรี่ส์ใหม่ออกมา โดยหนังโฆษณาชุดนี้ได้ใช้งบประมาณกว่า 2 ล้านบาท


สำหรับเป้ายอดขายสินค้าในปีนี้บริษัทตั้งเป้า 2,500 ล้านบาท ซิ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 500 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาสแรกของปีบริษัทเติบโต 25% ทั้งนี้ คาดว่าธุรกิจจะสามารถเติบโตขึ้นได้ทุกๆ ปี และเป็นไปตามกลไกที่บริษัทได้วางไว้


ในส่วนของการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้วางแผนไว้อีก 3 ปี ถึงจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเบื้องต้นได้ศึกษาข้อมูลในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ไว้บ้างแล้ว โดยการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อจัดหางบประมาณการลงทุนเป็นจำนวนมากมารองรับการเปิดห้างสรรพสินค้าขายตรงสะดวกซื้อที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้


พร้อมกันนี้บริษัทได้ตั้งเป้าเปิดห้างสรรพสินค้าขายตรงสะดวกซื้อให้ได้ 30-40 สาขาทั่วประเทศ โดยคาดว่าในระยะเวลา 5 ปี จะเปิดได้ 10 สาขา ใช้งบประมาณสาขาละ 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้บริษัทได้จัดสรรงบประมาณบางส่วนจัดซื้อที่ดินไว้สำหรับสร้างห้างสรรพสินค้าดังกล่าวไว้แล้ว


อย่างไรก็ตามหากบริษัทสามารถที่จะจัดสรรงบประมาณได้จากที่อื่นหรือบริษัทสามารถสร้างกำไรได้มากพอที่จะนำงบมาสร้างห้างสรรพสินค้าเองได้อาจจะนำงบประมาณส่วนนั้นมาลงทุนทำห้างสรรพสินค้าก่อน และดูผลตอบรับจากผู้บริโภคหากได้รับผลตอบรับที่ดีและคุ้มค้าต่อการลงทุนบริษัทอาจจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เร็วขึ้นเพื่อระดมทุนให้ได้เร็วที่สุด


สำหรับการแข่งขันทางการตลาดในปีนี้บริษัทได้งัดกลยุทธ์การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ โดยสมาชิกสามารถทำงานผ่านอินเทอร์เน็ตจากที่บ้านได้เลย ด้วยระบบ E-wallet การสมัคร E-wallet สมาชิกเติมเงินขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท ก็สามารถรับสินค้าได้ทุกสาขา ซึ่งให้ทั้งความสะดวกสบายแก่สมาชิกและบริษัทรวมถึงผู้ค้าและผู้ผลิต


 


  ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:  นสพ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค   

(จอย แอนด์ คอยน์) J&C เร่งผลักดันห้างขายตรง ตั้งหลัก 3 ปี นำบริษัท สู่ ตลาดหลักทรัพย์


J&C เปิดตัวหนังโฆษณาชุดที่ 3 กับงบประมาณกว่า 2 ล้านบาท ผ่านฟรีทีวี และ ช่องดาวเทียม เน้นแผนโชว์ความหลากหลายด้านบริการ พร้อมประกาศเกิดแน่นอนห้าง-สรรพสินค้าของคนขายตรงงัดกลยุทธ์เด็ด E-wallet ช่วยสมาชิกทำงานได้สะดวกทุกที่ทุกเวลา เล็งแผนเปิดตลาดเพื่อนบ้านอย่างเขมร ด้านแผนเข้าตลาดหลักทรัพย์ คาดอีก 3 ปี


ดร.สมชาย หัชลีฬหา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด เปิดเผย ถึงภาพยนตร์โฆษณาชุดใหม่ว่า โฆษณาชุดนี้เป็นชุดที่ 3 ที่จะเริ่มออนแอร์เร็วๆ นี้ผ่านทางช่องฟรีทีวี และ ช่องเคเบิล ทีวี โดยเนื้อหาของโฆษณาชุดนี้สื่อถึงการบริหารและสินค้าที่หลากหลายของ จอย แอนด์ คอยน์ จะมีระยะเวลาออนแอร์ประมาณ 6 เดือน และ หลังจากนั้นก็จะเริ่มทำเป็นซีรี่ส์ใหม่ออกมา โดยหนังโฆษณาชุดนี้ได้ใช้งบประมาณกว่า 2 ล้านบาท


สำหรับเป้ายอดขายสินค้าในปีนี้บริษัทตั้งเป้า 2,500 ล้านบาท ซิ่งเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมา 500 ล้านบาท ซึ่งในไตรมาสแรกของปีบริษัทเติบโต 25% ทั้งนี้ คาดว่าธุรกิจจะสามารถเติบโตขึ้นได้ทุกๆ ปี และเป็นไปตามกลไกที่บริษัทได้วางไว้


ในส่วนของการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้วางแผนไว้อีก 3 ปี ถึงจะเข้าตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งเบื้องต้นได้ศึกษาข้อมูลในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ไว้บ้างแล้ว โดยการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อจัดหางบประมาณการลงทุนเป็นจำนวนมากมารองรับการเปิดห้างสรรพสินค้าขายตรงสะดวกซื้อที่จะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้


พร้อมกันนี้บริษัทได้ตั้งเป้าเปิดห้างสรรพสินค้าขายตรงสะดวกซื้อให้ได้ 30-40 สาขาทั่วประเทศ โดยคาดว่าในระยะเวลา 5 ปี จะเปิดได้ 10 สาขา ใช้งบประมาณสาขาละ 100 ล้านบาท ซึ่งขณะนี้บริษัทได้จัดสรรงบประมาณบางส่วนจัดซื้อที่ดินไว้สำหรับสร้างห้างสรรพสินค้าดังกล่าวไว้แล้ว


อย่างไรก็ตามหากบริษัทสามารถที่จะจัดสรรงบประมาณได้จากที่อื่นหรือบริษัทสามารถสร้างกำไรได้มากพอที่จะนำงบมาสร้างห้างสรรพสินค้าเองได้อาจจะนำงบประมาณส่วนนั้นมาลงทุนทำห้างสรรพสินค้าก่อน และดูผลตอบรับจากผู้บริโภคหากได้รับผลตอบรับที่ดีและคุ้มค้าต่อการลงทุนบริษัทอาจจะนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์เร็วขึ้นเพื่อระดมทุนให้ได้เร็วที่สุด


สำหรับการแข่งขันทางการตลาดในปีนี้บริษัทได้งัดกลยุทธ์การใช้เทคโนโลยีที่ทันสมัยเข้ามาใช้ โดยสมาชิกสามารถทำงานผ่านอินเทอร์เน็ตจากที่บ้านได้เลย ด้วยระบบ E-wallet การสมัคร E-wallet สมาชิกเติมเงินขั้นต่ำเพียง 1,000 บาท ก็สามารถรับสินค้าได้ทุกสาขา ซึ่งให้ทั้งความสะดวกสบายแก่สมาชิกและบริษัทรวมถึงผู้ค้าและผู้ผลิต


 


  ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:  นสพ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค   

สินค้าลดอ้วน-เสริมอาหารลามกเกลื่อนอย.ขึ้นป้ายจับตาขายตรง! หวั่นรับมาจำหน่าย



อย.เดินหน้าทำงานเชิงรุก อย่างหนัก ควงตำรวจกองกำกับการ สวัสดิภาพเด็กและสตรี บุกทลายแหล่งผลิตและขายผลิตภัณฑ์สุขภาพ ผิดกฎหมาย ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ ย่านมีนบุรี พบของกลางสินค้าลดความอ้วนเถื่อน พร้อมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสรรพคุณ ลามก โอ้อวดเกินจริง เพียบ! ยึดของกลางกว่า 200 ล้านบาท ชี้ผู้ต้องหาใช้การขายผ่าน คอลเซ็นเตอร์, เคเบิลทีวี, วิทยุ, หนังสือพิมพ์, นิตยสาร และธุรกิจขายตรง


นายแพทย์พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยา แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า จากนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายวิทยา บุรณศิริ) ในการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้คุณภาพมาตรฐาน และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สนองนโยบาย ดังกล่าวในการติดตามเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพที่จำหน่ายในท้องตลาดอย่างใกล้ชิด มิให้มีแหล่งผลิตและจำหน่ายใดกระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณในผลิตภัณฑ์อาหาร และผลิตภัณฑ์ ยาต่างๆ ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีการโฆษณาในลักษณะชวนเชื่อ เน้นจุดขายในเรื่องการลดความอ้วน การเสริมสมรรถภาพทางเพศ ทำให้ผิวขาวใส ซึ่งเป็นโฆษณาในลักษณะข้อความ หรือใช้บุคคลเป็นตัวแทนบอกเล่า สรรพคุณการใช้ ทั้งนี้ ส่วนใหญ่พบโฆษณาในลักษณะขายตรง, ทางเว็บไซต์, ทางคอลเซ็นเตอร์, ทางเคเบิลทีวี, ทางวิทยุ หรือตาม หนังสือพิมพ์ นิตยสารต่างๆ เป็นต้น


อย.ได้ตรวจสอบและดำเนินคดีต่อ ผู้กระทำผิดมาโดยตลอด เพราะผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณเหล่านี้จะเป็นผลิตภัณฑ์ ที่ไม่ได้ขอขึ้นทะเบียนและขออนุญาตโฆษณา จาก อย.ที่สำคัญ หากผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ที่ผสมยาไซบูทรามีน จะเกิดผลข้างเคียง ต่อร่างกายสูง โดยผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือ ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง และหัวใจเต้นเร็ว ส่วนผลข้างเคียงอื่นๆ ได้แก่ ปากแห้ง ปวด ศีรษะ นอนไม่หลับ และท้องผูก เป็นต้น ซึ่งปัจจุบัน อย.ได้เพิกถอนยาไซบูทรามีน ออกจากตลาดแล้ว นอกจากนี้ หากเป็น ผลิตภัณฑ์ที่ผสมกลูต้าไธโอน ก็จะ เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายด้วย ทำให้เกิดการอักเสบ หรือ ทำให้ใบหน้าเสียโฉมได้ โดยเฉพาะการโฆษณาฉีดกลูต้าไธโอน ขออย่าได้หลงเชื่อเด็ดขาด เพราะผู้ที่ได้รับการฉีดกลูต้าไธโอนขนาดสูง จะเกิดอาการช็อก ความดันต่ำ หายใจไม่ออก และเสียชีวิต ได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่าง ทันท่วงที อีกทั้งขณะนี้ อย.ไม่ได้มีการรับขึ้นทะเบียนตำรับยาที่ใช้สารนี้แต่อย่างใด


ล่าสุด เจ้าหน้าที่ อย.ภายใต้การอำนวย การของ น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกับตำรวจ ดส. กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี นำทีมโดย พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ ผกก.ดส.บช.น. ได้นำหมายค้นเข้าตรวจสอบบ้านเลขที่ 123/1 หมู่บ้านเอกบุรี ซ.รามอินทรา 103/2 ถ.รามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพฯ ซึ่งจากการตรวจสอบบ้านดังกล่าว ปรากฏพบเป็นแหล่งผลิตและขายผลิตภัณฑ์ สุขภาพที่ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ รายใหญ่รายหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและยาลดน้ำหนัก ที่มีส่วนผสม ของไซบูทรามีนและแอลคานิทีน รวมถึงพบ ผลิตภัณฑ์ยาฉีดกลูต้าไธโอนอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่บรรจุในกล่อง ขวด และ ใส่ถุงพลาสติกไว้ โดยไม่มีเลขทะเบียนที่ถูกต้อง ตามกฎหมาย แยกเป็นประเภท ดังนี้


1.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผสมยาไซบูทรามีน อวดอ้างสรรพคุณลดน้ำหนัก นำเข้า จากต่างประเทศ และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ขออนุญาตนำเข้า และขึ้นทะเบียนตำรับอาหารกับ อย. เช่น


-Slim Express ผอมขั้นเทพ


-Fit & Ferm รูฟิต หุ่นเฟิร์ม ท้าพิสูจน์ ลดจริง ฟิตจริง แผงเดียวเห็นผลจริง 100%


2.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงในลักษณะทางเพศ บางชนิดไม่มี อย.และบางชนิดฉลากแสดงเลขสารบบอาหารปลอม เช่น


-ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับสุภาพบุรุษ “กระทิงทอง” Bull Gold ระบุข้อความบนฉลาก-ใหม่สุด ฮิตมาก ไม่ว่าหนุ่ม เล็กหนุ่มใหญ่ อ่อนปวกเปียก ไม่สู้ หมดสมรรถภาพ รับรองตัวนี้แข็งปั๋งแน่นอน แผง เดียวเห็นผล 100% เพิ่ม Sex Appeal


-ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร VIAGRA by magic for men ระบุข้อความบนฉลาก “อ่อนปวกเปียก ไม่สู้ หมดสมรรถภาพ รับรอง ว่าแข็งปั๋งแน่นอน”


-ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Sliming DOOMZ by Pretty White อวดสรรพคุณ “ท้าพิสูจน์ รูฟิต หุ่นเฟิร์ม กระชับ ไม่มีกลิ่น ขาวอมชมพู เพิ่มเสน่ห์แห่งความสาว เห็นผลทันทีที่ใช้ภายใน 1 แคปซูล”


3.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอวดสรรพคุณ ลดน้ำหนัก และผิวขาวใส ฉลากไม่มีเครื่องหมาย อย. เช่น


-Sexy Slim By Pretty White รูฟิต หุ่นเฟิร์ม ผิวขาวอมชมพู


นอกจากนี้ ยังพบยาลดความอ้วน Reduce-15 mg ผสมยาไซบูทรามีน รวมทั้งยาฉีดกลูต้าไธโอน GC 9600 Whitening Gold และ GC 3000 จำนวนมาก ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยึดผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมาย ดังกล่าวทั้งหมด ประมาณ 2 แสนกล่อง และอีกกว่า 4 หมื่นขวด คิดเป็นมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ทั้งนี้ จะส่งผลิตภัณฑ์ตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ต่อไป


สำหรับการดำเนินคดี ในเบื้องต้นแจ้งข้อกล่าวหา ดังนี้


1.ขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาและขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท


2.ผลิตและขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน ตำรับยา มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารที่ตรวจพบ หากมีการแสดงฉลากไม่ถูกต้อง มีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท และในกรณีมีการจำหน่ายอาหารซึ่งมีฉลากเพื่อลวง มีโทษ จำคุกตั้งแต่ 6 เดือน-10 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000-100,000 บาท และหากผลการตรวจ วิเคราะห์ พบยาลดความอ้วนไซบูทรามีน หรือพบยาเสริมสมรรถภาพทางเพศซิลเดนาฟิล ในผลิตภัณฑ์อาหาร จะจัดเป็นอาหาร ไม่บริสุทธิ์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 20,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ


นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ด่านอาหารและยา ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ทำการตรวจสอบ ผู้โดยสารซึ่งเดินทางมาจาก GUANGZHOU โดยเที่ยวบินที่ UL 883 และได้พบบุคคลต้อง สงสัยชื่อ MR.JIANSHENG YU สัญชาติจีน ตรวจสอบกระเป๋าเดินทางสีดำจำนวน 5 ใบ พบยาลักลอบนำเข้า ได้แก่ BLACK ANT KING (ยาเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชาย) จำนวน 384 กล่อง, MAXMAN CAPSULES (ยาเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชาย) จำนวน 260 กล่อง, SANTI SCALPER PENIS ERECTION CAPSULE จำนวน 26 กล่อง, THE U.S.PASSION CACHOW (หมากฝรั่งเสียสาว) จำนวน 160 กล่อง และ SPANISH FLY จำนวน 200 กล่อง คิดเป็นมูลค่ากว่า 5 แสนบาท จึงยึดของกลางทั้งหมดและในเบื้องต้นแจ้งข้อหา 1.นำเข้ายาแผนปัจจุบัน โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท 2.นำเข้าอาหาร โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการฯ อย. กล่าวเพิ่มเติมว่า หากต้องการลดหรือควบคุม น้ำหนักไม่จำเป็นต้องเสี่ยงบริโภคผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารต่างๆ ควรควบคุมการบริโภคอาหารร่วมกับการออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน อีกทั้ง ขอเตือน ผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่โฆษณาเสริมความงาม เสริมสมรรถภาพทางเพศ เสริมหน้าอก ทำให้ผิวขาว เพราะ อาจมีการลักลอบใส่ยาอันตรายลงไปในผลิตภัณฑ์ตามที่กล่าวข้างต้น นอกจากจะเสียโอกาสในการรักษาโรคแล้ว ยังอาจเป็น อันตรายถึงชีวิตได้ หากผู้บริโภคพบเห็นการผลิตหรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย แจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดที่พบปัญหานั้น


สินค้าลดอ้วน-เสริมอาหารลามกเกลื่อนอย.ขึ้นป้ายจับตาขายตรง! หวั่นรับมาจำหน่าย



อย.เดินหน้าทำงานเชิงรุก อย่างหนัก ควงตำรวจกองกำกับการ สวัสดิภาพเด็กและสตรี บุกทลายแหล่งผลิตและขายผลิตภัณฑ์สุขภาพ ผิดกฎหมาย ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ ย่านมีนบุรี พบของกลางสินค้าลดความอ้วนเถื่อน พร้อมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสรรพคุณ ลามก โอ้อวดเกินจริง เพียบ! ยึดของกลางกว่า 200 ล้านบาท ชี้ผู้ต้องหาใช้การขายผ่าน คอลเซ็นเตอร์, เคเบิลทีวี, วิทยุ, หนังสือพิมพ์, นิตยสาร และธุรกิจขายตรง


นายแพทย์พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยา แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนว่า จากนโยบายของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข (นายวิทยา บุรณศิริ) ในการคุ้มครองผู้บริโภคให้ได้รับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ได้คุณภาพมาตรฐาน และมีคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สนองนโยบาย ดังกล่าวในการติดตามเฝ้าระวังผลิตภัณฑ์สุขภาพที่จำหน่ายในท้องตลาดอย่างใกล้ชิด มิให้มีแหล่งผลิตและจำหน่ายใดกระทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณในผลิตภัณฑ์อาหาร และผลิตภัณฑ์ ยาต่างๆ ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีการโฆษณาในลักษณะชวนเชื่อ เน้นจุดขายในเรื่องการลดความอ้วน การเสริมสมรรถภาพทางเพศ ทำให้ผิวขาวใส ซึ่งเป็นโฆษณาในลักษณะข้อความ หรือใช้บุคคลเป็นตัวแทนบอกเล่า สรรพคุณการใช้ ทั้งนี้ ส่วนใหญ่พบโฆษณาในลักษณะขายตรง, ทางเว็บไซต์, ทางคอลเซ็นเตอร์, ทางเคเบิลทีวี, ทางวิทยุ หรือตาม หนังสือพิมพ์ นิตยสารต่างๆ เป็นต้น


อย.ได้ตรวจสอบและดำเนินคดีต่อ ผู้กระทำผิดมาโดยตลอด เพราะผลิตภัณฑ์ที่อวดอ้างสรรพคุณเหล่านี้จะเป็นผลิตภัณฑ์ ที่ไม่ได้ขอขึ้นทะเบียนและขออนุญาตโฆษณา จาก อย.ที่สำคัญ หากผู้บริโภคได้รับผลิตภัณฑ์ที่ผสมยาไซบูทรามีน จะเกิดผลข้างเคียง ต่อร่างกายสูง โดยผลข้างเคียงที่พบบ่อยคือ ทำให้เกิดความดันโลหิตสูง และหัวใจเต้นเร็ว ส่วนผลข้างเคียงอื่นๆ ได้แก่ ปากแห้ง ปวด ศีรษะ นอนไม่หลับ และท้องผูก เป็นต้น ซึ่งปัจจุบัน อย.ได้เพิกถอนยาไซบูทรามีน ออกจากตลาดแล้ว นอกจากนี้ หากเป็น ผลิตภัณฑ์ที่ผสมกลูต้าไธโอน ก็จะ เกิดผลข้างเคียงที่เป็นอันตรายต่อร่างกายด้วย ทำให้เกิดการอักเสบ หรือ ทำให้ใบหน้าเสียโฉมได้ โดยเฉพาะการโฆษณาฉีดกลูต้าไธโอน ขออย่าได้หลงเชื่อเด็ดขาด เพราะผู้ที่ได้รับการฉีดกลูต้าไธโอนขนาดสูง จะเกิดอาการช็อก ความดันต่ำ หายใจไม่ออก และเสียชีวิต ได้ หากไม่ได้รับการช่วยเหลืออย่าง ทันท่วงที อีกทั้งขณะนี้ อย.ไม่ได้มีการรับขึ้นทะเบียนตำรับยาที่ใช้สารนี้แต่อย่างใด


ล่าสุด เจ้าหน้าที่ อย.ภายใต้การอำนวย การของ น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา ร่วมกับตำรวจ ดส. กองกำกับการสวัสดิภาพเด็กและสตรี นำทีมโดย พ.ต.อ.วิวัฒน์ คำชำนาญ ผกก.ดส.บช.น. ได้นำหมายค้นเข้าตรวจสอบบ้านเลขที่ 123/1 หมู่บ้านเอกบุรี ซ.รามอินทรา 103/2 ถ.รามอินทรา เขตคันนายาว กรุงเทพฯ ซึ่งจากการตรวจสอบบ้านดังกล่าว ปรากฏพบเป็นแหล่งผลิตและขายผลิตภัณฑ์ สุขภาพที่ลักลอบนำเข้าจากต่างประเทศ รายใหญ่รายหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและยาลดน้ำหนัก ที่มีส่วนผสม ของไซบูทรามีนและแอลคานิทีน รวมถึงพบ ผลิตภัณฑ์ยาฉีดกลูต้าไธโอนอีกจำนวนมาก ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่บรรจุในกล่อง ขวด และ ใส่ถุงพลาสติกไว้ โดยไม่มีเลขทะเบียนที่ถูกต้อง ตามกฎหมาย แยกเป็นประเภท ดังนี้


1.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผสมยาไซบูทรามีน อวดอ้างสรรพคุณลดน้ำหนัก นำเข้า จากต่างประเทศ และเป็นผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ขออนุญาตนำเข้า และขึ้นทะเบียนตำรับอาหารกับ อย. เช่น


-Slim Express ผอมขั้นเทพ


-Fit & Ferm รูฟิต หุ่นเฟิร์ม ท้าพิสูจน์ ลดจริง ฟิตจริง แผงเดียวเห็นผลจริง 100%


2.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงในลักษณะทางเพศ บางชนิดไม่มี อย.และบางชนิดฉลากแสดงเลขสารบบอาหารปลอม เช่น


-ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับสุภาพบุรุษ “กระทิงทอง” Bull Gold ระบุข้อความบนฉลาก-ใหม่สุด ฮิตมาก ไม่ว่าหนุ่ม เล็กหนุ่มใหญ่ อ่อนปวกเปียก ไม่สู้ หมดสมรรถภาพ รับรองตัวนี้แข็งปั๋งแน่นอน แผง เดียวเห็นผล 100% เพิ่ม Sex Appeal


-ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร VIAGRA by magic for men ระบุข้อความบนฉลาก “อ่อนปวกเปียก ไม่สู้ หมดสมรรถภาพ รับรอง ว่าแข็งปั๋งแน่นอน”


-ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร Sliming DOOMZ by Pretty White อวดสรรพคุณ “ท้าพิสูจน์ รูฟิต หุ่นเฟิร์ม กระชับ ไม่มีกลิ่น ขาวอมชมพู เพิ่มเสน่ห์แห่งความสาว เห็นผลทันทีที่ใช้ภายใน 1 แคปซูล”


3.ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารอวดสรรพคุณ ลดน้ำหนัก และผิวขาวใส ฉลากไม่มีเครื่องหมาย อย. เช่น


-Sexy Slim By Pretty White รูฟิต หุ่นเฟิร์ม ผิวขาวอมชมพู


นอกจากนี้ ยังพบยาลดความอ้วน Reduce-15 mg ผสมยาไซบูทรามีน รวมทั้งยาฉีดกลูต้าไธโอน GC 9600 Whitening Gold และ GC 3000 จำนวนมาก ทั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยึดผลิตภัณฑ์ผิดกฎหมาย ดังกล่าวทั้งหมด ประมาณ 2 แสนกล่อง และอีกกว่า 4 หมื่นขวด คิดเป็นมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท ทั้งนี้ จะส่งผลิตภัณฑ์ตรวจวิเคราะห์ที่กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ต่อไป


สำหรับการดำเนินคดี ในเบื้องต้นแจ้งข้อกล่าวหา ดังนี้


1.ขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยาและขายยาแผนปัจจุบันโดยไม่ได้รับอนุญาต ระวางโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท


2.ผลิตและขายยาที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน ตำรับยา มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 5,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


สำหรับผลิตภัณฑ์อาหารที่ตรวจพบ หากมีการแสดงฉลากไม่ถูกต้อง มีโทษปรับไม่เกิน 30,000 บาท และในกรณีมีการจำหน่ายอาหารซึ่งมีฉลากเพื่อลวง มีโทษ จำคุกตั้งแต่ 6 เดือน-10 ปี และปรับตั้งแต่ 5,000-100,000 บาท และหากผลการตรวจ วิเคราะห์ พบยาลดความอ้วนไซบูทรามีน หรือพบยาเสริมสมรรถภาพทางเพศซิลเดนาฟิล ในผลิตภัณฑ์อาหาร จะจัดเป็นอาหาร ไม่บริสุทธิ์ มีโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี หรือปรับ ไม่เกิน 20,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ


นอกจากนี้ เมื่อวันที่ 13 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา เจ้าหน้าที่ด่านอาหารและยา ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิได้ทำการตรวจสอบ ผู้โดยสารซึ่งเดินทางมาจาก GUANGZHOU โดยเที่ยวบินที่ UL 883 และได้พบบุคคลต้อง สงสัยชื่อ MR.JIANSHENG YU สัญชาติจีน ตรวจสอบกระเป๋าเดินทางสีดำจำนวน 5 ใบ พบยาลักลอบนำเข้า ได้แก่ BLACK ANT KING (ยาเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชาย) จำนวน 384 กล่อง, MAXMAN CAPSULES (ยาเพิ่มขนาดอวัยวะเพศชาย) จำนวน 260 กล่อง, SANTI SCALPER PENIS ERECTION CAPSULE จำนวน 26 กล่อง, THE U.S.PASSION CACHOW (หมากฝรั่งเสียสาว) จำนวน 160 กล่อง และ SPANISH FLY จำนวน 200 กล่อง คิดเป็นมูลค่ากว่า 5 แสนบาท จึงยึดของกลางทั้งหมดและในเบื้องต้นแจ้งข้อหา 1.นำเข้ายาแผนปัจจุบัน โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท 2.นำเข้าอาหาร โดยไม่ได้รับอนุญาต มีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี หรือปรับไม่เกิน 30,000 บาท หรือทั้งจำทั้งปรับ


น.พ.พิพัฒน์ ยิ่งเสรี เลขาธิการฯ อย. กล่าวเพิ่มเติมว่า หากต้องการลดหรือควบคุม น้ำหนักไม่จำเป็นต้องเสี่ยงบริโภคผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารต่างๆ ควรควบคุมการบริโภคอาหารร่วมกับการออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3 วัน อีกทั้ง ขอเตือน ผู้บริโภคอย่าหลงเชื่อผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่โฆษณาเสริมความงาม เสริมสมรรถภาพทางเพศ เสริมหน้าอก ทำให้ผิวขาว เพราะ อาจมีการลักลอบใส่ยาอันตรายลงไปในผลิตภัณฑ์ตามที่กล่าวข้างต้น นอกจากจะเสียโอกาสในการรักษาโรคแล้ว ยังอาจเป็น อันตรายถึงชีวิตได้ หากผู้บริโภคพบเห็นการผลิตหรือจำหน่ายผลิตภัณฑ์สุขภาพผิดกฎหมาย แจ้งร้องเรียนได้ที่สายด่วน อย. 1556 หรือสำนักงานสาธารณสุขจังหวัดทุกจังหวัดที่พบปัญหานั้น


‘แซนสยาม(xansiam)’ ใส่เกียร์เดินหน้าเต็มสูบควัก 10 ล.เปิดบ้านใหม่/เข็นสินค้าลงสนามเพียบ


“แซนสยาม” ลั่น เป้าสิ้นปีขอโต 4-5 เท่า ฝันยอดขาย 1,000 ล้าน ล่าสุดควักงบ 10 ล้าน เนรมิตออฟฟิศใหม่ ย่าน รัชดา สร้างภาพลักษณ์รุกตลาดคนเมือง พร้อมเข็นสินค้าเด็ด 3 รายการเสริมทัพ คาดอาจสร้างไลน์สินค้าอื่นเพิ่ม ส่วนตลาด ต่างประเทศเตรียมรุกเพื่อนบ้านอีก 5 ประเทศหวังสร้างแรงเหวี่ยงดันธุรกิจ


นายปธิกร โยทองยศ รองกรรมการ ผู้จัดการ บริษัท แซนสยาม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่าในปี 2554 บริษัทแซนสยามมีอัตราการ เติบโตประมาณ 3 เท่าจากปีก่อน หรืออยู่ที่ตัวเลขประมาณเกือบ 300 ล้านบาท และ ปัจจุบันมียอดสมาชิกประมาณ 30,000 รหัส ระดับผู้นำ 10%ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัท เติบโตได้อย่างน่าพอใจเช่นนี้ เป็นเพราะผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่น คือ น้ำสกัดจาก เปลือกมังคุด สินค้ารายการเดียวที่สร้างยอด ขายเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา


“ตั้งแต่แซนสยามดำเนินธุรกิจขายตรงมา สินค้าถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่สุดของ บริษัทแม้ตอนนี้จะมีผลิตภัณฑ์น้ำมังคุดในท้องตลาดออกมาใหม่มากมาย แต่สำหรับคุณภาพและการตอบรับจากผู้โภค ตนเชื่อมั่น ว่าแซนสยามยังคงครองมาร์เก็ตแชร์มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง”


สำหรับการทำตลาดในปี 2555 นั้นบริษัทจะเตรียมงัดกลยุทธ์เด็ดรุกตลาดผู้บริโภคมากขึ้น เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายในสิ้นปีคือเติบโตอีก 4-5 เท่า หรือสร้างยอดขาย ได้ที่ 1,000 ล้านบาท โดยในขณะนี้บริษัทได้ เปิดสำนักงานแห่งใหม่ ใหญ่กว่าเดิมเกือบ 3 เท่าตัว บนถนนรัชดาภิเษกติดกับสถานีรถ ไฟฟ้าสุทธิสาร และยังไม่ไกลจากสำนักงาน เก่ามากนัก โดยมีพื้นที่รวมประมาณ 1 พัน ตารางเมตร มี 2 ชั้น และมีห้องประชุมในตัว เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกมาก ยิ่งขึ้น โดยใช้งบในการลงทุนเกือบ 10 ล้านบาท


ทั้งนี้ นายปธิกรได้กล่าวว่า การเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่นี้นอกจากจะเป็นการขยายพื้นที่รองรับการเติบโตของบริษัทแล้ว ยังถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้แบรนด์ ของบริษัทได้เป็นที่รู้จักกันโดยกว้าง โดยเฉพาะในแถบกรุงเทพฯ และปริมณฑล เนื่องจากต้องยอมรับว่า ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ เริ่มเปิดตัวบริษัท เราจะเน้นการทำตลาดใน แถบภาคอีสานเป็นส่วนใหญ่ เพราะดูจากจำนวนพลเมืองสูงสุด ในปัจจุบันเมื่อตลาดแถบนั้นมีความมั่นคงสูง ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนยอดขายที่เติบโตกว่า 50% ทำให้ในปีนี้บริษัทจึงหันมารุกตลาดในภาคอื่นๆต่อไป โดยเฉพาะในส่วนกรุงเทพฯ และภาคกลางที่มีสัดส่วนยอดขายน้อยมาก คือ ประมาณ 10% เมื่อเทียบจากทั่วประเทศ


“ที่ผ่านมาบริษัทเน้นกลยุทธ์ทำตลาด แบบ “ป่าล้อมเมือง” รุกจากตลาดต่างจังหวัด เข้าสู่เมืองหลวง โดยปัจจุบันมียอดขายมาก ที่สุดจากภาคอีสาน รองลงมาคือ ภาคใต้และ ภาคเหนือ และภาคกลางมียอดขายน้อยที่สุด ในปีนี้จึงตั้งเป้าขยายเครือข่ายในพื้นที่ภาคกลางมากขึ้น นอกจากนี้ ในปัจจุบันบริษัท มีสำนักงานสาขาทั้งหมด 3 แห่ง ได้แก่ สำนักงานใหญ่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และขอนแก่น และปีนี้เตรียมจะเปิดสาขาแห่งใหม่ในพื้นที่ภาคใต้ในจังหวัดสุราษฎร์ฯ อีกแห่งหนึ่งเพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศ” นายปธิกร กล่าว


ด้านการรุกตลาดต่างประเทศ นายปธิกรเปิดเผยว่า “ขณะนี้บริษัทได้เข้าไปเปิด สาขาในประเทศลาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นลักษณะการลงทุนของบริษัทเอง เมื่อช่วงกลางปี 2554 ที่นครเวียงจันทน์ ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีมาก และในปีนี้บริษัทจะเตรียมบุกตลาดประเทศในโซนเอเชีย อีกประมาณ 3-4 ประเทศ อาทิ เวียดนาม, กัมพูชา, มาเลเซีย, อินโดนีเชีย เป็นต้น เพราะธุรกิจเครือข่ายในพื้นที่นี้มีอัตราการเติบโตสูงมาก และยิ่งจะมีการเปิดเสรีอาเซียน ในปี 2558 ซึ่งจะทำให้เกิดความคล่องตัวใน การขยายงาน ขยายเครือข่ายมากกว่าเดิม ตนจึงเชื่อว่าจะเป็นโอกาสเติบโตของบริษัท แซนสยามได้ต่อไป”


นายปธิกร เผยต่อว่า นอกจากแผน การรุกตลาดในพื้นที่ต่างๆ แล้วในไตรมาส 2 ของปีนี้ บริษัทยังได้เตรียมที่จะเพิ่มสินค้าใหม่อีก 3 รายการอีกด้วย คือ “เฟโมลา” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ชนิดแคปซูลเพื่อความสมดุลของผู้หญิง โดยมีส่วนประกอบจากสมุนไพรธรรมชาติที่มีคุณสมบัติเป็นไฟโตเอสโตรเจน ช่วยให้มีสุขภาพดีและมีฮอร์โมนที่สมดุล รวมถึงผลิตภัณฑ์ “เจียว-กู่หลาน” ที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเครียด แก้หวัด ลดไข้ ต้านอนุมูลอิสระ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดันเลือด ลดอาการเสี่ยงของโรคหัวใจ ลดอาการหอบหืด บำรุงประสาทและ สมอง และเครื่องดื่มฟื้นฟูกำลัง “เพาเวอร์แซน” ซึ่งสินค้าทั้งหมดจะเป็นตัวเสริมทัพ สร้างกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ให้กับบริษัท โดย ตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายจากรายการสินค้าเหล่านี้ประมาณ 20%


อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาสสุดท้ายบริษัทอาจผลิตสินค้ารายการอื่นๆ เข้ามาเจาะตลาดผู้บริโภคอีกประมาณ 5-10 รายการ ซึ่งยังคงเป็นสินค้าในกลุ่มสุขภาพอยู่ แต่ในช่วงปีต่อๆ ไปอาจจะมีการขยายสร้างไลน์สินค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเครื่อง สำอาง สินค้าลดน้ำหนัก เป็นต้น ซึ่งคงต้อง ดูอัตราการเติบโตของบริษัทต่อไป


นอกจากนี้ ปี 2555 บริษัทแซนสยาม ยังได้มีโปรโมชั่น ปลุกพลังสร้างสมาชิกเพิ่ม อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโปรฯ ท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งล่าสุดแซนสยามได้นำคณะสมาชิกไปประเทศเกาหลีเมื่อวันที่ 27-31 มีนาคม ที่ผ่านมา และปลายปีนี้ได้เตรียมวางโปรแกรมพาสมาชิกไปเที่ยวประเทศเวียดนามในลำดับต่อไป นอกจากนี้ ยังมีรายการแคมเปญมอบโชคยกลัง เพื่อ ให้สมาชิกและลูกค้าของบริษัทมีสิทธิ์ลุ้นรับโชค โดยแคมเปญดังกล่าว ได้รับการตอบรับ ที่ดีมาก ต่อไปทางบริษัทคาดว่า จะมีการจัด แคมเปญดีๆ นี้อีก ส่วนรางวัลสำหรับการขึ้นตำแหน่ง บริษัทก็มีรางวัลให้อีกมากมาย เช่น ใครที่สามารถขึ้นตำแหน่งสูงสุด Crown Diamond ก็จะได้รับรถ Mercedes-Benz รุ่น C-Class มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท ตำแหน่ง Emerald ได้รับรถนิสสันนาวารา โดยในปีนี้ มีผู้ทำสำเร็จขึ้นตำแหน่ง Emerald แล้ว คือ อ.บุญเลิศ วิเศษ เป็นผู้นำสมาชิก จ.นครราชสีมา


  ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1304 ประจำวันที่ 30-5-2012 ถึง 1-6-2012   

‘แซนสยาม(xansiam)’ ใส่เกียร์เดินหน้าเต็มสูบควัก 10 ล.เปิดบ้านใหม่/เข็นสินค้าลงสนามเพียบ


“แซนสยาม” ลั่น เป้าสิ้นปีขอโต 4-5 เท่า ฝันยอดขาย 1,000 ล้าน ล่าสุดควักงบ 10 ล้าน เนรมิตออฟฟิศใหม่ ย่าน รัชดา สร้างภาพลักษณ์รุกตลาดคนเมือง พร้อมเข็นสินค้าเด็ด 3 รายการเสริมทัพ คาดอาจสร้างไลน์สินค้าอื่นเพิ่ม ส่วนตลาด ต่างประเทศเตรียมรุกเพื่อนบ้านอีก 5 ประเทศหวังสร้างแรงเหวี่ยงดันธุรกิจ


นายปธิกร โยทองยศ รองกรรมการ ผู้จัดการ บริษัท แซนสยาม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่าในปี 2554 บริษัทแซนสยามมีอัตราการ เติบโตประมาณ 3 เท่าจากปีก่อน หรืออยู่ที่ตัวเลขประมาณเกือบ 300 ล้านบาท และ ปัจจุบันมียอดสมาชิกประมาณ 30,000 รหัส ระดับผู้นำ 10%ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้บริษัท เติบโตได้อย่างน่าพอใจเช่นนี้ เป็นเพราะผลิตภัณฑ์ที่มีความโดดเด่น คือ น้ำสกัดจาก เปลือกมังคุด สินค้ารายการเดียวที่สร้างยอด ขายเติบโตอย่างต่อเนื่องตลอดช่วงระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา


“ตั้งแต่แซนสยามดำเนินธุรกิจขายตรงมา สินค้าถือเป็นจุดแข็งสำคัญที่สุดของ บริษัทแม้ตอนนี้จะมีผลิตภัณฑ์น้ำมังคุดในท้องตลาดออกมาใหม่มากมาย แต่สำหรับคุณภาพและการตอบรับจากผู้โภค ตนเชื่อมั่น ว่าแซนสยามยังคงครองมาร์เก็ตแชร์มากที่สุดเป็นอันดับหนึ่ง”


สำหรับการทำตลาดในปี 2555 นั้นบริษัทจะเตรียมงัดกลยุทธ์เด็ดรุกตลาดผู้บริโภคมากขึ้น เพื่อให้ไปถึงเป้าหมายในสิ้นปีคือเติบโตอีก 4-5 เท่า หรือสร้างยอดขาย ได้ที่ 1,000 ล้านบาท โดยในขณะนี้บริษัทได้ เปิดสำนักงานแห่งใหม่ ใหญ่กว่าเดิมเกือบ 3 เท่าตัว บนถนนรัชดาภิเษกติดกับสถานีรถ ไฟฟ้าสุทธิสาร และยังไม่ไกลจากสำนักงาน เก่ามากนัก โดยมีพื้นที่รวมประมาณ 1 พัน ตารางเมตร มี 2 ชั้น และมีห้องประชุมในตัว เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกมาก ยิ่งขึ้น โดยใช้งบในการลงทุนเกือบ 10 ล้านบาท


ทั้งนี้ นายปธิกรได้กล่าวว่า การเปิดสำนักงานใหญ่แห่งใหม่นี้นอกจากจะเป็นการขยายพื้นที่รองรับการเติบโตของบริษัทแล้ว ยังถือเป็นการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้แบรนด์ ของบริษัทได้เป็นที่รู้จักกันโดยกว้าง โดยเฉพาะในแถบกรุงเทพฯ และปริมณฑล เนื่องจากต้องยอมรับว่า ในช่วงที่ผ่านมาตั้งแต่ เริ่มเปิดตัวบริษัท เราจะเน้นการทำตลาดใน แถบภาคอีสานเป็นส่วนใหญ่ เพราะดูจากจำนวนพลเมืองสูงสุด ในปัจจุบันเมื่อตลาดแถบนั้นมีความมั่นคงสูง ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนยอดขายที่เติบโตกว่า 50% ทำให้ในปีนี้บริษัทจึงหันมารุกตลาดในภาคอื่นๆต่อไป โดยเฉพาะในส่วนกรุงเทพฯ และภาคกลางที่มีสัดส่วนยอดขายน้อยมาก คือ ประมาณ 10% เมื่อเทียบจากทั่วประเทศ


“ที่ผ่านมาบริษัทเน้นกลยุทธ์ทำตลาด แบบ “ป่าล้อมเมือง” รุกจากตลาดต่างจังหวัด เข้าสู่เมืองหลวง โดยปัจจุบันมียอดขายมาก ที่สุดจากภาคอีสาน รองลงมาคือ ภาคใต้และ ภาคเหนือ และภาคกลางมียอดขายน้อยที่สุด ในปีนี้จึงตั้งเป้าขยายเครือข่ายในพื้นที่ภาคกลางมากขึ้น นอกจากนี้ ในปัจจุบันบริษัท มีสำนักงานสาขาทั้งหมด 3 แห่ง ได้แก่ สำนักงานใหญ่กรุงเทพฯ เชียงใหม่ และขอนแก่น และปีนี้เตรียมจะเปิดสาขาแห่งใหม่ในพื้นที่ภาคใต้ในจังหวัดสุราษฎร์ฯ อีกแห่งหนึ่งเพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศ” นายปธิกร กล่าว


ด้านการรุกตลาดต่างประเทศ นายปธิกรเปิดเผยว่า “ขณะนี้บริษัทได้เข้าไปเปิด สาขาในประเทศลาวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว โดยเป็นลักษณะการลงทุนของบริษัทเอง เมื่อช่วงกลางปี 2554 ที่นครเวียงจันทน์ ได้รับการตอบรับค่อนข้างดีมาก และในปีนี้บริษัทจะเตรียมบุกตลาดประเทศในโซนเอเชีย อีกประมาณ 3-4 ประเทศ อาทิ เวียดนาม, กัมพูชา, มาเลเซีย, อินโดนีเชีย เป็นต้น เพราะธุรกิจเครือข่ายในพื้นที่นี้มีอัตราการเติบโตสูงมาก และยิ่งจะมีการเปิดเสรีอาเซียน ในปี 2558 ซึ่งจะทำให้เกิดความคล่องตัวใน การขยายงาน ขยายเครือข่ายมากกว่าเดิม ตนจึงเชื่อว่าจะเป็นโอกาสเติบโตของบริษัท แซนสยามได้ต่อไป”


นายปธิกร เผยต่อว่า นอกจากแผน การรุกตลาดในพื้นที่ต่างๆ แล้วในไตรมาส 2 ของปีนี้ บริษัทยังได้เตรียมที่จะเพิ่มสินค้าใหม่อีก 3 รายการอีกด้วย คือ “เฟโมลา” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ชนิดแคปซูลเพื่อความสมดุลของผู้หญิง โดยมีส่วนประกอบจากสมุนไพรธรรมชาติที่มีคุณสมบัติเป็นไฟโตเอสโตรเจน ช่วยให้มีสุขภาพดีและมีฮอร์โมนที่สมดุล รวมถึงผลิตภัณฑ์ “เจียว-กู่หลาน” ที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ช่วยให้ร่างกายแข็งแรง ลดความเครียด แก้หวัด ลดไข้ ต้านอนุมูลอิสระ ลดคอเลสเตอรอล ลดความดันเลือด ลดอาการเสี่ยงของโรคหัวใจ ลดอาการหอบหืด บำรุงประสาทและ สมอง และเครื่องดื่มฟื้นฟูกำลัง “เพาเวอร์แซน” ซึ่งสินค้าทั้งหมดจะเป็นตัวเสริมทัพ สร้างกลุ่มลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ให้กับบริษัท โดย ตั้งเป้าสัดส่วนยอดขายจากรายการสินค้าเหล่านี้ประมาณ 20%


อย่างไรก็ดี ในช่วงไตรมาสสุดท้ายบริษัทอาจผลิตสินค้ารายการอื่นๆ เข้ามาเจาะตลาดผู้บริโภคอีกประมาณ 5-10 รายการ ซึ่งยังคงเป็นสินค้าในกลุ่มสุขภาพอยู่ แต่ในช่วงปีต่อๆ ไปอาจจะมีการขยายสร้างไลน์สินค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้น ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มเครื่อง สำอาง สินค้าลดน้ำหนัก เป็นต้น ซึ่งคงต้อง ดูอัตราการเติบโตของบริษัทต่อไป


นอกจากนี้ ปี 2555 บริษัทแซนสยาม ยังได้มีโปรโมชั่น ปลุกพลังสร้างสมาชิกเพิ่ม อีกมากมาย ไม่ว่าจะเป็นโปรฯ ท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งล่าสุดแซนสยามได้นำคณะสมาชิกไปประเทศเกาหลีเมื่อวันที่ 27-31 มีนาคม ที่ผ่านมา และปลายปีนี้ได้เตรียมวางโปรแกรมพาสมาชิกไปเที่ยวประเทศเวียดนามในลำดับต่อไป นอกจากนี้ ยังมีรายการแคมเปญมอบโชคยกลัง เพื่อ ให้สมาชิกและลูกค้าของบริษัทมีสิทธิ์ลุ้นรับโชค โดยแคมเปญดังกล่าว ได้รับการตอบรับ ที่ดีมาก ต่อไปทางบริษัทคาดว่า จะมีการจัด แคมเปญดีๆ นี้อีก ส่วนรางวัลสำหรับการขึ้นตำแหน่ง บริษัทก็มีรางวัลให้อีกมากมาย เช่น ใครที่สามารถขึ้นตำแหน่งสูงสุด Crown Diamond ก็จะได้รับรถ Mercedes-Benz รุ่น C-Class มูลค่ากว่า 3 ล้านบาท ตำแหน่ง Emerald ได้รับรถนิสสันนาวารา โดยในปีนี้ มีผู้ทำสำเร็จขึ้นตำแหน่ง Emerald แล้ว คือ อ.บุญเลิศ วิเศษ เป็นผู้นำสมาชิก จ.นครราชสีมา


  ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1304 ประจำวันที่ 30-5-2012 ถึง 1-6-2012   

MLM(ขายตรง) สุดคึก! ค่ายใหญ่กอดคอโต10%ค่ายเล็กโหมสื่อเร่งปั้นแบรนด์ขยายเท่าตัว


 


ผ่านไปร่วม 5 เดือน ธุรกิจขายตรง สุดคึกคัก ค่ายใหญ่กอดคอโชว์ผลงานการ เติบโตของธุรกิจ “แอมเวย์” กลยุทธ์จับลูกค้าใหม่เห็นผลยอดขายโตกว่า 7% “กิฟฟารีน” เน้นภาพลักษณ์ขยายตัว 8% “นีโอ ไลฟ์” เน้นอบรมธุรกิจโตก้าวกระโดด “เอม สตาร์” เร่งขุนตลาดหลังปี 54 แรง ตก ต้นปี 55 ขยับตัวเพิ่ม 20% ด้านค่าย เล็กขยายกว่าเท่าตัว ผลักดันมูลค่าตลาด ขายตรงรวมไม่ต่ำกว่า 7-10%


ดูจะคึกคักมากเป็นพิเศษสำหรับธุรกิจขายตรงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งนับเวลาถึง ปัจจุบันก็ร่วม 5 เดือน สำหรับศึกขายตรงประจำปี 2555 ต้องยอมรับว่า นี่เป็นช่วงต้นปีที่ดีที่สุดปีหนึ่งของวงการเครือข่ายเลยทีเดียว เมื่อธุรกิจยักษ์ใหญ่หลายแบรนด์ ต่างพากันออกมาเขียนตัวเลขการเติบโตโชว์ต่อสาธารณชน โดยที่แต่ละแบรนด์มีตัวเลขการเติบโตอย่างน่าภูมิใจ


เริ่มกันตั้งแต่ “บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด” ที่เปิดปีด้วยแผนที่สานต่อมาตั้งแต่เมื่อปีก่อน โดยต้องการที่จะ เจาะตลาดผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ โดยนับตั้งแต่ กลุ่มวัยรุ่น จนถึงกลุ่มวัยทำงาน ซึ่งประชาชน กลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่มีความต้องการสูง มีอำนาจ ในการซื้อที่ดี ซึ่งบริษัทพยายามคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และมีความเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าดังกล่าว


ไม่เพียงเท่านี้ “แอมเวย์” ยังรุกช่องทางการตลาดที่กลุ่มผู้บริโภคกลุ่มนี้นิยมใช้ในการสืบค้นข้อมูลและ รับทราบข่าวสารต่างๆ นั่นคือ สื่อออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ทำให้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำ ยอดขายเติบโตได้ถึง 7-10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554


ถัดมาที่ “บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด” บริษัทขายตรงแบรนด์ไทยแท้ ที่เมื่อปีที่ผ่านมา สามารถปิดยอดขายได้ถึง 5,488 ล้านบาท ครองความเป็น ธุรกิจขายตรงแถวหน้าของเมืองไทยได้อย่าง มั่นคง ซึ่งในปีนี้ นายพงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายสื่อสารการตลาด ของบริษัท ก็ได้เปิดตัวเลขการเติบโตให้เห็น ว่า “กิฟฟารีน” สามารถเติบโตในช่วงต้นปีนี้ได้ที่ 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน


“กิฟฟารีน” ใช้ชื่อเสียงการเป็นแบรนด์ ที่มีคนรู้จักมากที่สุดแบรนด์หนึ่งของประเทศ เดินหน้าตอกย้ำภาพลักษณ์ที่ดี ผ่านแคมเปญ ต่างๆ ของบริษัท สิ่งนี้ยิ่งทำให้ “กิฟฟารีน” ครองใจผู้บริโภคมากขึ้น บวกกับการเดินสาย อบรมไปทั่วประเทศก็ทำให้ “กิฟฟารีน” สามารถเติบโตได้ดังที่กล่าวมา


นอกจาก “กิฟฟารีน” ที่เป็นแบรนด์ไทยแท้ ที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นแถวหน้าของวงการ แต่ “บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” ก็ไม่ได้ต่างกัน “นีโอ ไลฟ์” จัดเป็นแบรนด์ขายตรงที่เน้นเจาะตลาดกลุ่มคนรากหญ้าเป็นสำคัญ ตลอดระยะเวลาร่วม 12 ปีที่ผ่านมาของบริษัทไทย นามนี้ สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร


จุดเด่นของ “นีโอ ไลฟ์” คือ การไม่หลงกระแสเปลี่ยนกลุ่มลูกค้า เน้นเจาะตลาด คนกลุ่มใหญ่ของประเทศเป็นสำคัญ และตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน บริษัทนามนี้ก็ไม่ หวั่นไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ใดที่จะบั่นทอนความ เป็นบริษัทขายตรงเพื่อคนไทย และที่สำคัญ ที่สุด ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ “นีโอ ไลฟ์” เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดในทุกปี คงเป็นเรื่องของความมุ่งมั่นของ 2 ประธานใหญ่อย่าง “ดร.นพรุจ เวชกุล” และ “ดร.รัชนี มหานิยม” ที่ถึงแม้ธุรกิจ “นีโอ ไลฟ์” จะสามารถเติบโตมากเท่าใดก็ตาม แต่ทั้ง 2 นายใหญ่ยังคงเดินสายจัดอบรมด้วยตนเอง ในทุกสัปดาห์


ข้ามมาดูแบรนด์ขายตรงไทยระดับบิ๊กเนมอีกราย “บริษัท เอมสตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด” ขายตรงนามนี้ จัดว่าเป็นแบรนด์ขายตรงที่ดูจะเป็นที่จับตามองมากที่สุด แบรนด์หนึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ด้วยการ ประกาศลั่นถึงเป้าหมายในแต่ละปีที่ต้องการ ปิดยอดให้ได้ถึง 1 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัท คู่แข่งเฝ้าจับตามอง


หากมองผิวเผิน การไปไม่ถึงฝันของ “เอมสตาร์” คงกลายเป็นเรื่องตลกของใครหลายคน แต่ในความเป็นจริง ถึงแม้ “เอม-สตาร์” จะยังไม่สามารถไต่เป้ายอดขาย 1 หมื่นล้านได้ แต่การเติบโตแบบก้าวกระโดด ในชนิดติดจรวดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็แสดงให้เห็นว่า แบรนด์นี้ไม่ใช่แบรนด์ตลกอย่างที่ใครหลายคนมอง อีกทั้งเมื่อปีที่ผ่านมา “เอมสตาร์” ยังรุกคืบล้ำหน้าบริษัทอื่นๆ ด้วยการขยายสาขาสู่ประเทศมหาอำนาจ อย่าง อเมริกา นั่นก็ยิ่งทำให้เห็นว่า “เอม- สตาร์” ไม่ใช่ของเล่นที่ใครจะมองข้าม โดยช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโตถึง 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน


อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงตัวเลขการเติบโตของบริษัทระดับบิ๊กเนมของประเทศเท่านั้น ซึ่งหากลงลึกไปที่บริษัทระดับกลาง จนถึงเล็ก ก็จะเห็นเด่นชัดว่า ธุรกิจขายตรง ในช่วงต้นปี 2555 ที่ผ่านมานี้ เป็นช่วงโกยเงินของบรรดาค่ายขายตรง โดยบริษัทระดับยักษ์เล็กที่การเติบโต ที่ดี ก็จะมี “บริษัท ดีไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” ที่สามารถทำตัวเลขการเติบโตได้ถึง 120% จากการทุ่มทุนขุนตลาดสร้างแบรนด์ ผ่านสื่อ ซึ่งเป็นนโยบายหลักของบริษัทในปีนี้ ทำให้ตัวเลขที่ออกมา สร้างความตื่นตาตื่นใจ ให้กับบรรดาผู้บริหารของบริษัท


ส่วนอีกแบรนด์ที่ลงมาเน้นเรื่องสื่อในปีนี้มากขึ้น ก็เห็นจะเป็น “บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด” ที่ใช้กลยุทธ์ทุ่มทุนประชาสัมพันธ์ความเคลื่อนไหวผ่านสื่อต่างๆ จนทำให้ช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างการเติบโตในส่วนต่างๆ โดยเฉพาะยอด ขายได้ถึง 300% เมื่อเทียบกับปี 54


ทั้งนี้ จากตัวเลขการเติบโตของบริษัท ขายตรงน้อยใหญ่ที่กล่าวมา หากนำมาเฉลี่ย ประมวลผลเป็นการเติบโตรวมของธุรกิจขายตรงไทย เชื่อว่า ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ธุรกิจ ขายตรงมีการเติบโตรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 7-10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้การเติบโตของธุรกิจขายตรงใน ช่วงต้นของปีนี้ ก็อาจเป็นผลมาจากเหตุมหาอุทกภัยในปีที่ผ่านมา ที่ทำให้ผู้บริโภคระงับ การใช้จ่าย และมาเริ่มจ่ายในปีนี้ บวกกับภาพลักษณ์ของขายตรงที่ดีขึ้น ประชาชนมีความรู้ในเรื่องของธุรกิจมากขึ้น หน่วยงาน รัฐให้ความสำคัญธุรกิจ นี่จึงเป็นปัจจัยหลัก ในการส่งเสริมผลักดันให้ธุรกิจขายตรงเติบโตได้ดังที่เห็น


  ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1304 ประจำวันที่ 30-5-2012 ถึง 1-6-2012   

MLM(ขายตรง) สุดคึก! ค่ายใหญ่กอดคอโต10%ค่ายเล็กโหมสื่อเร่งปั้นแบรนด์ขยายเท่าตัว


 


ผ่านไปร่วม 5 เดือน ธุรกิจขายตรง สุดคึกคัก ค่ายใหญ่กอดคอโชว์ผลงานการ เติบโตของธุรกิจ “แอมเวย์” กลยุทธ์จับลูกค้าใหม่เห็นผลยอดขายโตกว่า 7% “กิฟฟารีน” เน้นภาพลักษณ์ขยายตัว 8% “นีโอ ไลฟ์” เน้นอบรมธุรกิจโตก้าวกระโดด “เอม สตาร์” เร่งขุนตลาดหลังปี 54 แรง ตก ต้นปี 55 ขยับตัวเพิ่ม 20% ด้านค่าย เล็กขยายกว่าเท่าตัว ผลักดันมูลค่าตลาด ขายตรงรวมไม่ต่ำกว่า 7-10%


ดูจะคึกคักมากเป็นพิเศษสำหรับธุรกิจขายตรงในช่วงต้นปีที่ผ่านมา ซึ่งนับเวลาถึง ปัจจุบันก็ร่วม 5 เดือน สำหรับศึกขายตรงประจำปี 2555 ต้องยอมรับว่า นี่เป็นช่วงต้นปีที่ดีที่สุดปีหนึ่งของวงการเครือข่ายเลยทีเดียว เมื่อธุรกิจยักษ์ใหญ่หลายแบรนด์ ต่างพากันออกมาเขียนตัวเลขการเติบโตโชว์ต่อสาธารณชน โดยที่แต่ละแบรนด์มีตัวเลขการเติบโตอย่างน่าภูมิใจ


เริ่มกันตั้งแต่ “บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด” ที่เปิดปีด้วยแผนที่สานต่อมาตั้งแต่เมื่อปีก่อน โดยต้องการที่จะ เจาะตลาดผู้บริโภคคนรุ่นใหม่ โดยนับตั้งแต่ กลุ่มวัยรุ่น จนถึงกลุ่มวัยทำงาน ซึ่งประชาชน กลุ่มนี้ เป็นกลุ่มที่มีความต้องการสูง มีอำนาจ ในการซื้อที่ดี ซึ่งบริษัทพยายามคัดสรรผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และมีความเหมาะสมกับกลุ่มลูกค้าดังกล่าว


ไม่เพียงเท่านี้ “แอมเวย์” ยังรุกช่องทางการตลาดที่กลุ่มผู้บริโภคกลุ่มนี้นิยมใช้ในการสืบค้นข้อมูลและ รับทราบข่าวสารต่างๆ นั่นคือ สื่อออนไลน์ในรูปแบบต่างๆ ทำให้ในช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำ ยอดขายเติบโตได้ถึง 7-10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปี 2554


ถัดมาที่ “บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด” บริษัทขายตรงแบรนด์ไทยแท้ ที่เมื่อปีที่ผ่านมา สามารถปิดยอดขายได้ถึง 5,488 ล้านบาท ครองความเป็น ธุรกิจขายตรงแถวหน้าของเมืองไทยได้อย่าง มั่นคง ซึ่งในปีนี้ นายพงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการใหญ่ฝ่ายสื่อสารการตลาด ของบริษัท ก็ได้เปิดตัวเลขการเติบโตให้เห็น ว่า “กิฟฟารีน” สามารถเติบโตในช่วงต้นปีนี้ได้ที่ 8% เมื่อเทียบกับปีก่อน


“กิฟฟารีน” ใช้ชื่อเสียงการเป็นแบรนด์ ที่มีคนรู้จักมากที่สุดแบรนด์หนึ่งของประเทศ เดินหน้าตอกย้ำภาพลักษณ์ที่ดี ผ่านแคมเปญ ต่างๆ ของบริษัท สิ่งนี้ยิ่งทำให้ “กิฟฟารีน” ครองใจผู้บริโภคมากขึ้น บวกกับการเดินสาย อบรมไปทั่วประเทศก็ทำให้ “กิฟฟารีน” สามารถเติบโตได้ดังที่กล่าวมา


นอกจาก “กิฟฟารีน” ที่เป็นแบรนด์ไทยแท้ ที่สามารถก้าวขึ้นมาเป็นแถวหน้าของวงการ แต่ “บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” ก็ไม่ได้ต่างกัน “นีโอ ไลฟ์” จัดเป็นแบรนด์ขายตรงที่เน้นเจาะตลาดกลุ่มคนรากหญ้าเป็นสำคัญ ตลอดระยะเวลาร่วม 12 ปีที่ผ่านมาของบริษัทไทย นามนี้ สามารถสร้างการเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าสถานการณ์บ้านเมืองจะเป็นอย่างไร


จุดเด่นของ “นีโอ ไลฟ์” คือ การไม่หลงกระแสเปลี่ยนกลุ่มลูกค้า เน้นเจาะตลาด คนกลุ่มใหญ่ของประเทศเป็นสำคัญ และตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงปัจจุบัน บริษัทนามนี้ก็ไม่ หวั่นไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ใดที่จะบั่นทอนความ เป็นบริษัทขายตรงเพื่อคนไทย และที่สำคัญ ที่สุด ซึ่งเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ “นีโอ ไลฟ์” เติบโตได้อย่างก้าวกระโดดในทุกปี คงเป็นเรื่องของความมุ่งมั่นของ 2 ประธานใหญ่อย่าง “ดร.นพรุจ เวชกุล” และ “ดร.รัชนี มหานิยม” ที่ถึงแม้ธุรกิจ “นีโอ ไลฟ์” จะสามารถเติบโตมากเท่าใดก็ตาม แต่ทั้ง 2 นายใหญ่ยังคงเดินสายจัดอบรมด้วยตนเอง ในทุกสัปดาห์


ข้ามมาดูแบรนด์ขายตรงไทยระดับบิ๊กเนมอีกราย “บริษัท เอมสตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด” ขายตรงนามนี้ จัดว่าเป็นแบรนด์ขายตรงที่ดูจะเป็นที่จับตามองมากที่สุด แบรนด์หนึ่งในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ด้วยการ ประกาศลั่นถึงเป้าหมายในแต่ละปีที่ต้องการ ปิดยอดให้ได้ถึง 1 หมื่นล้านบาท ทำให้บริษัท คู่แข่งเฝ้าจับตามอง


หากมองผิวเผิน การไปไม่ถึงฝันของ “เอมสตาร์” คงกลายเป็นเรื่องตลกของใครหลายคน แต่ในความเป็นจริง ถึงแม้ “เอม-สตาร์” จะยังไม่สามารถไต่เป้ายอดขาย 1 หมื่นล้านได้ แต่การเติบโตแบบก้าวกระโดด ในชนิดติดจรวดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ก็แสดงให้เห็นว่า แบรนด์นี้ไม่ใช่แบรนด์ตลกอย่างที่ใครหลายคนมอง อีกทั้งเมื่อปีที่ผ่านมา “เอมสตาร์” ยังรุกคืบล้ำหน้าบริษัทอื่นๆ ด้วยการขยายสาขาสู่ประเทศมหาอำนาจ อย่าง อเมริกา นั่นก็ยิ่งทำให้เห็นว่า “เอม- สตาร์” ไม่ใช่ของเล่นที่ใครจะมองข้าม โดยช่วงต้นปีที่ผ่านมาบริษัทมีการเติบโตถึง 15% เมื่อเทียบกับปีก่อน


อย่างไรก็ดี นี่เป็นเพียงตัวเลขการเติบโตของบริษัทระดับบิ๊กเนมของประเทศเท่านั้น ซึ่งหากลงลึกไปที่บริษัทระดับกลาง จนถึงเล็ก ก็จะเห็นเด่นชัดว่า ธุรกิจขายตรง ในช่วงต้นปี 2555 ที่ผ่านมานี้ เป็นช่วงโกยเงินของบรรดาค่ายขายตรง โดยบริษัทระดับยักษ์เล็กที่การเติบโต ที่ดี ก็จะมี “บริษัท ดีไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด” ที่สามารถทำตัวเลขการเติบโตได้ถึง 120% จากการทุ่มทุนขุนตลาดสร้างแบรนด์ ผ่านสื่อ ซึ่งเป็นนโยบายหลักของบริษัทในปีนี้ ทำให้ตัวเลขที่ออกมา สร้างความตื่นตาตื่นใจ ให้กับบรรดาผู้บริหารของบริษัท


ส่วนอีกแบรนด์ที่ลงมาเน้นเรื่องสื่อในปีนี้มากขึ้น ก็เห็นจะเป็น “บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด” ที่ใช้กลยุทธ์ทุ่มทุนประชาสัมพันธ์ความเคลื่อนไหวผ่านสื่อต่างๆ จนทำให้ช่วงต้นปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถสร้างการเติบโตในส่วนต่างๆ โดยเฉพาะยอด ขายได้ถึง 300% เมื่อเทียบกับปี 54


ทั้งนี้ จากตัวเลขการเติบโตของบริษัท ขายตรงน้อยใหญ่ที่กล่าวมา หากนำมาเฉลี่ย ประมวลผลเป็นการเติบโตรวมของธุรกิจขายตรงไทย เชื่อว่า ช่วงต้นปีที่ผ่านมา ธุรกิจ ขายตรงมีการเติบโตรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 7-10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมาซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้การเติบโตของธุรกิจขายตรงใน ช่วงต้นของปีนี้ ก็อาจเป็นผลมาจากเหตุมหาอุทกภัยในปีที่ผ่านมา ที่ทำให้ผู้บริโภคระงับ การใช้จ่าย และมาเริ่มจ่ายในปีนี้ บวกกับภาพลักษณ์ของขายตรงที่ดีขึ้น ประชาชนมีความรู้ในเรื่องของธุรกิจมากขึ้น หน่วยงาน รัฐให้ความสำคัญธุรกิจ นี่จึงเป็นปัจจัยหลัก ในการส่งเสริมผลักดันให้ธุรกิจขายตรงเติบโตได้ดังที่เห็น


  ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1304 ประจำวันที่ 30-5-2012 ถึง 1-6-2012   

วันพุธที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ข่าวประชาสัมพันธ์ พระราม 9 เน็ตเวิร์ค จัดหนักจัดงานแนะนำสินค้าที่โรงแรม Swissotel Le Concorde ที่รัชดา


"บริษัท พระราม 9 เน็ตเวิร์ค" ได้จัดงานแนะนำสินค้าอาหารเสริม ที่โรงแรม Swissotel Le Concorde รัชดา 

ได้รับกระแสการตอบรับอย่างดีมากจากวัยทีน


อาหารเสริมบำรุงผิวพรรณ Time Lock ที่มีส่วนผสมของ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ผิวมะเขือเทศ สารสกัดจากลิ้นจี่ 

คอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก และส่วนผสมอีกมากมาย งานนี้เรียกว่าจัดเต็มภายใจแคปซูลเดียว

ถูกใจวัยทีนที่อยากมีผิวขาว ใสเด้งกันเลยทีเดียว

 

ส่วนอาหารเสริมคุมและ ลดน้ำหนัก Re Gime ช่วยในการ block and burn แป้งและคาร์โบไฮเดรต

ลดการสะสมไขมัน และเร่งการเผาผลาญไขมัน เรียกได้ว่าสาวๆที่อยากผอม มีหุ่นดี ต้องลองใช้ เคล็ดลับในการคุมน้ำหนักนี้ 

สอบถามรายละเอียดได้ที่ 02-645-2250-2

ข่าวประชาสัมพันธ์ พระราม 9 เน็ตเวิร์ค จัดหนักจัดงานแนะนำสินค้าที่โรงแรม Swissotel Le Concorde ที่รัชดา


"บริษัท พระราม 9 เน็ตเวิร์ค" ได้จัดงานแนะนำสินค้าอาหารเสริม ที่โรงแรม Swissotel Le Concorde รัชดา 

ได้รับกระแสการตอบรับอย่างดีมากจากวัยทีน


อาหารเสริมบำรุงผิวพรรณ Time Lock ที่มีส่วนผสมของ สารสกัดจากเมล็ดองุ่น ผิวมะเขือเทศ สารสกัดจากลิ้นจี่ 

คอลลาเจนจากปลาทะเลน้ำลึก และส่วนผสมอีกมากมาย งานนี้เรียกว่าจัดเต็มภายใจแคปซูลเดียว

ถูกใจวัยทีนที่อยากมีผิวขาว ใสเด้งกันเลยทีเดียว

 

ส่วนอาหารเสริมคุมและ ลดน้ำหนัก Re Gime ช่วยในการ block and burn แป้งและคาร์โบไฮเดรต

ลดการสะสมไขมัน และเร่งการเผาผลาญไขมัน เรียกได้ว่าสาวๆที่อยากผอม มีหุ่นดี ต้องลองใช้ เคล็ดลับในการคุมน้ำหนักนี้ 

สอบถามรายละเอียดได้ที่ 02-645-2250-2

วันอังคารที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

สินค้าใหม่!!! บอดี้ซอฟท์ คูลลิ่ง พาวเดอร์(BodySOFT Cooling Powder) จาก "เอม สตาร์ (AIM STAR)"


"เอม สตาร์ (AIM STAR)" ขอแนะนำ "บอดี้ซอฟท์ คูลลิ่ง พาวเดอร์" BodySOFT Cooling Powder แป้งเย็นเนื้อระเอียดที่ช่วยในการดูแลผิวอย่างอ่อนโยน แม้ยิวแพ้ง่าย เพราะ ผลิตจาก Natural Talcum ผสานคุณสมบัติ Cooling Agent ที่มอบความเย็น สดชื่น สบายผิว พร้อมน้ำมันสกัดที่ช่วยบำรุงผิว ละการระคายเคือง และ Capryloyl Glycine ลดการสะสมของแบคทีเรียสาเหตุของกลิ่นอับให้คุณหอม สดชื่น เย็นสบายผิวได้ตลอดวัน


สนใจติดต่อนักธุรกิจเอมสตาร์ ทัวประเทศ
หรือโทร 02 726 9030 หรือ Email : info@aimstarnetwork.com

  ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:  หนังสือพิมพ์ลีดเดอร์ไทม์     

สินค้าใหม่!!! บอดี้ซอฟท์ คูลลิ่ง พาวเดอร์(BodySOFT Cooling Powder) จาก "เอม สตาร์ (AIM STAR)"


"เอม สตาร์ (AIM STAR)" ขอแนะนำ "บอดี้ซอฟท์ คูลลิ่ง พาวเดอร์" BodySOFT Cooling Powder แป้งเย็นเนื้อระเอียดที่ช่วยในการดูแลผิวอย่างอ่อนโยน แม้ยิวแพ้ง่าย เพราะ ผลิตจาก Natural Talcum ผสานคุณสมบัติ Cooling Agent ที่มอบความเย็น สดชื่น สบายผิว พร้อมน้ำมันสกัดที่ช่วยบำรุงผิว ละการระคายเคือง และ Capryloyl Glycine ลดการสะสมของแบคทีเรียสาเหตุของกลิ่นอับให้คุณหอม สดชื่น เย็นสบายผิวได้ตลอดวัน


สนใจติดต่อนักธุรกิจเอมสตาร์ ทัวประเทศ
หรือโทร 02 726 9030 หรือ Email : info@aimstarnetwork.com

  ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:  หนังสือพิมพ์ลีดเดอร์ไทม์     

มูลนิธิเอมสตาร์(AIMSTAR ) จัดกิจกรรม "เอมสตาร์ แชริตี้(AIMSTAR CHARITY)"





  ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:  นสพ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค    

มูลนิธิเอมสตาร์(AIMSTAR ) จัดกิจกรรม "เอมสตาร์ แชริตี้(AIMSTAR CHARITY)"





  ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:  นสพ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค    

บริษัท แทนคุณแผ่นดินสยาม จำกัด(Give Siam-กิฟสยาม) นำทีมสมาชิกตะลุยดินแดนกิมจิ ณ ประเทศเกาหลี

[gallery]


 


บริษัท แทนคุณแผ่นดินสยาม จำกัด (Give Siam) นำทีมโดย ยิ่งยง ยอดบัวงาม ประธานบริษัท แทนคุณแผ่นดินสยาม จำกัด พาสมาชิกกว่า 50 คน ทัวร์เกาหลีด้วยความเป็นกันเอง สร้างความสัมพันธ์อันดีกับพี่น้องสมาชิกให้มีความรู้สึกอบอุ่นเสมือนครอบครัวเดียวกัน บรรยากาศในการทัวร์ครั้งนี้ เต็มไปด้วยความสนุกสนานและเสียงหัวเราะ ซึ่งเป็นภาพแห่งความสุขและความทรงจำที่งดงาม ในประเทศเกาหลี ตลอดระยะเวลา วัน เมื่อวันที่ 21/05/55 – 25/05/55 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสาร


 


ได้ที่www.GiveSiam.com หรือที่ http://www.facebook.com/givesiam 

บริษัท แทนคุณแผ่นดินสยาม จำกัด(Give Siam-กิฟสยาม) นำทีมสมาชิกตะลุยดินแดนกิมจิ ณ ประเทศเกาหลี

[gallery]


 


บริษัท แทนคุณแผ่นดินสยาม จำกัด (Give Siam) นำทีมโดย ยิ่งยง ยอดบัวงาม ประธานบริษัท แทนคุณแผ่นดินสยาม จำกัด พาสมาชิกกว่า 50 คน ทัวร์เกาหลีด้วยความเป็นกันเอง สร้างความสัมพันธ์อันดีกับพี่น้องสมาชิกให้มีความรู้สึกอบอุ่นเสมือนครอบครัวเดียวกัน บรรยากาศในการทัวร์ครั้งนี้ เต็มไปด้วยความสนุกสนานและเสียงหัวเราะ ซึ่งเป็นภาพแห่งความสุขและความทรงจำที่งดงาม ในประเทศเกาหลี ตลอดระยะเวลา วัน เมื่อวันที่ 21/05/55 – 25/05/55 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสาร


 


ได้ที่www.GiveSiam.com หรือที่ http://www.facebook.com/givesiam 

วันจันทร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กิฟฟารีน (Giffarine) จัดแข่งขัน Sales Contest ครั้งที่10 มุ่งสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่หมายพิชิตเป้า6พันล.สิ้นปี


“กิฟฟารีน” เผยแผนตลาดไตรมาสที่ 2 เตรียมพุ่งเป้าสร้างความคึกคักให้กับนักธุรกิจกิฟฟารีนด้วยการจัดการแข่งขัน “Giffarine Sales Contest ครั้งที่ 10” ทุกภูมิภาค ชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1.5 ล้านบาท หมายสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ประดับวงการ...แย้มเตรียมรุกอัดฉีดโปรโมชั่นเอาใจฐานลูกค้าเดิม หมายดันยอดโตตามเป้า 6,000 ล้านสิ้นปี   
พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เผยถึงแผนการตลาดในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้ว่า บริษัทฯ เตรียมมุ่งเป้าในการรุกตลาดเพื่อสร้างความคึกคักให้กับนักธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ ด้วยการเฟ้นหานักธุรกิจมือทองผ่านสนามการแข่งขัน “Giffarine Sales Contest ครั้งที่ 10” ซึ่งทางบริษัทฯ ได้มีการจัดเตรียมความพร้อมให้กับนักธุรกิจกิฟฟารีน ในการเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้รอบด้าน 
โดยเฉพาะการจัดอบรมสัมมนากลยุทธ์การขยายเครือข่ายผู้ใช้สินค้า การอบรมกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ชนะใจกลุ่มเป้าหมาย ยิ่งไปกว่านั้นการเสริมสร้างเทคนิคการบริหารเครือข่ายอย่างมืออาชีพ รวมถึงการสร้างแรงบันดาลใจด้วยพลังคิดบวก และการแสวงหาความรู้รอบตัวใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ถือเป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างและพัฒนานักธุรกิจให้มีศักยภาพในการทำธุรกิจแบบมืออาชีพมากยิ่งขึ้น 
พญ.นลินี กล่าวต่ออีกว่า การจัดการแข่งขันนักธุรกิจมือทอง หรือ Giffarine Sales Contest ครั้งที่ 10 ในปีนี้ นอกจากวัตถุประสงค์ในการพัฒนาองค์ความรู้ ความสามารถ และศักยภาพให้กับนักธุรกิจกิฟฟารีนอย่างเต็มที่แล้ว ยังจัดให้มีกิจกรรม “Giffarine New Product Mini Expo” ที่เปิดโอกาสให้นักธุรกิจในแต่ละภูมิภาค  ได้สัมผัสและเรียนรู้ถึงจุดขาย และความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปเปิดตลาดให้กับลูกค้าใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
การแข่งขัน Giffarine Slaes Contest ครั้งที่ 10 ได้เปิดรับสมัคร เมื่อวันที่ 15 เมษายน – 22 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยเปิดโอกาสให้กับนักธุรกิจกิฟฟารีนระดับซิลเวอร์สตาร์ขึ้นไปเข้าร่วมการแข่งขัน โดยแบ่งออกเป็น 3 รอบ ซึ่งจะเริ่มสอบข้อเขียนในรอบแรกทั่วประเทศในวันที่ 3 มิถุนายน 2555 โดยผู้ที่สอบข้อเขียนได้เกิน 50% จะได้รับเข็ม Sales Contest Expertise และประกาศนียบัตรรับรองความสามารถ 
พร้อมรับสิทธิ์ลุ้นจับฉลากชิงรางวัลต่างๆ มากมาย และการร่วมท่องเที่ยวต่างประเทศ ในรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศในวันที่ 29 กรกฎาคม 2555 ทั้งนี้ ผู้ที่มีคะแนนสูงสุดจากภูมิภาคต่างๆ รวม 60 ท่าน จะได้รับการเข้าร่วมอบรมสัมมนาพิเศษ ในโครงการ “Giffarine Slaes Contest Camp” ในวันที่ 9-10 มิถุนายน 2555 เพื่อติวเข้มสู่ความเป็นนักธุรกิจอาชีพ ณ โรงแรม อมารี  ออร์คิด พัทยา จังหวัดชลบุรี
สำหรับการแข่งขัน รอบที่ 2 เป็นรอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาค โดยจะเริ่มการแข่งขันในแต่ละภูมิภาค ดังนี้ ภาคตะวันออก วันที่ 17 มิ.ย. 55 ณ โรงแรมสตาร์ จ.ระยอง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันที่ 1 ก.ค. 55 ณ โรงแรมเจริญธานี จ.ขอนแก่น ภาคเหนือ วันที่  8 ก.ค. 55 ณ โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง จ.เชียงใหม่ ภาคใต้ วันที่ 15 ก.ค. 55 ณ โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า จ.สุราษฎร์ธานี กรุงเทพฯ และปริมณฑล วันที่ 22 ก.ค. 55 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค และภาคกลาง บางนา กรุงเทพฯ
พญ.นลินี กล่าวเสริมต่ออีกว่า หลังจากผ่านการติวเข้มและทบทวนความรู้แล้ว ต่อไปจะเป็นการเข้าสู่การคัดเลือกผู้ที่มีคะแนนสูงสุดจากภูมิภาคต่างๆ เพื่อเข้าแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ ชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1.5 ล้านบาท ประกอบด้วย 
รางวัลที่ 1 เงินสดมูลค่า 120,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และท่องเที่ยวประเทศ เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย,รางวัลที่ 2 เงินสดมูลค่า 60,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และท่องเที่ยวประเทศ เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรียม รางวัลที่ 3 เงินสดมูลค่า 30,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และท่องเที่ยวประเทศ เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย รางวัลชมเชย เงินสด 5,000 บาท พร้อมเครื่องกรองน้ำ 1 เครื่อง จำนวน 15 รางวัล โดยจะจัดให้มีการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 29 กรกฎาคม 2555 ณ โรงแรม มิราเคล แกรนด์ กรุงเทพฯ
“วันนี้ความภาคภูมิใจ
ของกิฟฟารีนกว่า 16 ปีที่ผ่านมา คือ การได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทย พร้อมไปกับการมอบรายได้ที่มั่นคงสู่ครอบครัวไทยมาอย่างต่อเนื่องรวมกว่า 20,700 ล้านบาท และทำให้นักธุรกิจกิฟฟารีนได้พบกับความสำเร็จที่มั่นคงและเป็นไปได้จริง ตลอดจนวันนี้ กิฟฟารีนมีความมั่นใจ และมีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความสำเร็จให้แก่นักธุรกิจ ในฐานะเจ้าของที่แท้จริงของกิฟฟารีน” กล่าวทิ้งท้าย

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 320 ประจำวันที่ 16 - 31 พฤษภาคม 2555         

กิฟฟารีน (Giffarine) จัดแข่งขัน Sales Contest ครั้งที่10 มุ่งสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่หมายพิชิตเป้า6พันล.สิ้นปี


“กิฟฟารีน” เผยแผนตลาดไตรมาสที่ 2 เตรียมพุ่งเป้าสร้างความคึกคักให้กับนักธุรกิจกิฟฟารีนด้วยการจัดการแข่งขัน “Giffarine Sales Contest ครั้งที่ 10” ทุกภูมิภาค ชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1.5 ล้านบาท หมายสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ประดับวงการ...แย้มเตรียมรุกอัดฉีดโปรโมชั่นเอาใจฐานลูกค้าเดิม หมายดันยอดโตตามเป้า 6,000 ล้านสิ้นปี   
พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เผยถึงแผนการตลาดในช่วงไตรมาสที่ 2 นี้ว่า บริษัทฯ เตรียมมุ่งเป้าในการรุกตลาดเพื่อสร้างความคึกคักให้กับนักธุรกิจกิฟฟารีนทั่วประเทศ ด้วยการเฟ้นหานักธุรกิจมือทองผ่านสนามการแข่งขัน “Giffarine Sales Contest ครั้งที่ 10” ซึ่งทางบริษัทฯ ได้มีการจัดเตรียมความพร้อมให้กับนักธุรกิจกิฟฟารีน ในการเข้าร่วมกิจกรรมเพื่อเสริมสร้างองค์ความรู้รอบด้าน 
โดยเฉพาะการจัดอบรมสัมมนากลยุทธ์การขยายเครือข่ายผู้ใช้สินค้า การอบรมกลยุทธ์การนำเสนอผลิตภัณฑ์ให้ชนะใจกลุ่มเป้าหมาย ยิ่งไปกว่านั้นการเสริมสร้างเทคนิคการบริหารเครือข่ายอย่างมืออาชีพ รวมถึงการสร้างแรงบันดาลใจด้วยพลังคิดบวก และการแสวงหาความรู้รอบตัวใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ถือเป็นสิ่งสำคัญในการเสริมสร้างและพัฒนานักธุรกิจให้มีศักยภาพในการทำธุรกิจแบบมืออาชีพมากยิ่งขึ้น 
พญ.นลินี กล่าวต่ออีกว่า การจัดการแข่งขันนักธุรกิจมือทอง หรือ Giffarine Sales Contest ครั้งที่ 10 ในปีนี้ นอกจากวัตถุประสงค์ในการพัฒนาองค์ความรู้ ความสามารถ และศักยภาพให้กับนักธุรกิจกิฟฟารีนอย่างเต็มที่แล้ว ยังจัดให้มีกิจกรรม “Giffarine New Product Mini Expo” ที่เปิดโอกาสให้นักธุรกิจในแต่ละภูมิภาค  ได้สัมผัสและเรียนรู้ถึงจุดขาย และความโดดเด่นของผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่สามารถนำความรู้ที่ได้รับไปเปิดตลาดให้กับลูกค้าใหม่ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ และครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย
การแข่งขัน Giffarine Slaes Contest ครั้งที่ 10 ได้เปิดรับสมัคร เมื่อวันที่ 15 เมษายน – 22 พฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยเปิดโอกาสให้กับนักธุรกิจกิฟฟารีนระดับซิลเวอร์สตาร์ขึ้นไปเข้าร่วมการแข่งขัน โดยแบ่งออกเป็น 3 รอบ ซึ่งจะเริ่มสอบข้อเขียนในรอบแรกทั่วประเทศในวันที่ 3 มิถุนายน 2555 โดยผู้ที่สอบข้อเขียนได้เกิน 50% จะได้รับเข็ม Sales Contest Expertise และประกาศนียบัตรรับรองความสามารถ 
พร้อมรับสิทธิ์ลุ้นจับฉลากชิงรางวัลต่างๆ มากมาย และการร่วมท่องเที่ยวต่างประเทศ ในรอบชิงชนะเลิศระดับประเทศในวันที่ 29 กรกฎาคม 2555 ทั้งนี้ ผู้ที่มีคะแนนสูงสุดจากภูมิภาคต่างๆ รวม 60 ท่าน จะได้รับการเข้าร่วมอบรมสัมมนาพิเศษ ในโครงการ “Giffarine Slaes Contest Camp” ในวันที่ 9-10 มิถุนายน 2555 เพื่อติวเข้มสู่ความเป็นนักธุรกิจอาชีพ ณ โรงแรม อมารี  ออร์คิด พัทยา จังหวัดชลบุรี
สำหรับการแข่งขัน รอบที่ 2 เป็นรอบชิงชนะเลิศระดับภูมิภาค โดยจะเริ่มการแข่งขันในแต่ละภูมิภาค ดังนี้ ภาคตะวันออก วันที่ 17 มิ.ย. 55 ณ โรงแรมสตาร์ จ.ระยอง ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ วันที่ 1 ก.ค. 55 ณ โรงแรมเจริญธานี จ.ขอนแก่น ภาคเหนือ วันที่  8 ก.ค. 55 ณ โรงแรมอิมพีเรียล แม่ปิง จ.เชียงใหม่ ภาคใต้ วันที่ 15 ก.ค. 55 ณ โรงแรมไดมอนด์ พลาซ่า จ.สุราษฎร์ธานี กรุงเทพฯ และปริมณฑล วันที่ 22 ก.ค. 55 ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค และภาคกลาง บางนา กรุงเทพฯ
พญ.นลินี กล่าวเสริมต่ออีกว่า หลังจากผ่านการติวเข้มและทบทวนความรู้แล้ว ต่อไปจะเป็นการเข้าสู่การคัดเลือกผู้ที่มีคะแนนสูงสุดจากภูมิภาคต่างๆ เพื่อเข้าแข่งขันในรอบชิงชนะเลิศ ชิงรางวัลมูลค่ารวมกว่า 1.5 ล้านบาท ประกอบด้วย 
รางวัลที่ 1 เงินสดมูลค่า 120,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และท่องเที่ยวประเทศ เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย,รางวัลที่ 2 เงินสดมูลค่า 60,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และท่องเที่ยวประเทศ เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรียม รางวัลที่ 3 เงินสดมูลค่า 30,000 บาท พร้อมโล่เกียรติยศ และท่องเที่ยวประเทศ เยอรมัน สวิตเซอร์แลนด์ ออสเตรีย รางวัลชมเชย เงินสด 5,000 บาท พร้อมเครื่องกรองน้ำ 1 เครื่อง จำนวน 15 รางวัล โดยจะจัดให้มีการแข่งขันรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 29 กรกฎาคม 2555 ณ โรงแรม มิราเคล แกรนด์ กรุงเทพฯ
“วันนี้ความภาคภูมิใจ
ของกิฟฟารีนกว่า 16 ปีที่ผ่านมา คือ การได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทย พร้อมไปกับการมอบรายได้ที่มั่นคงสู่ครอบครัวไทยมาอย่างต่อเนื่องรวมกว่า 20,700 ล้านบาท และทำให้นักธุรกิจกิฟฟารีนได้พบกับความสำเร็จที่มั่นคงและเป็นไปได้จริง ตลอดจนวันนี้ กิฟฟารีนมีความมั่นใจ และมีความพร้อมอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความสำเร็จให้แก่นักธุรกิจ ในฐานะเจ้าของที่แท้จริงของกิฟฟารีน” กล่าวทิ้งท้าย

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 320 ประจำวันที่ 16 - 31 พฤษภาคม 2555         

‘นีโอ ไลฟ์ (Neo Life)’ เปิดเคล็ดลับรวยฉีกมิติ2นักสู้ ‘อุสนีย์ จงพินิช-วรรณวิภา กอนตน’

การจะทำให้เขาเชื่อในตัวเราได้ ต้องอดทนและทำอย่างสม่ำเสมอ ทำงานให้หนักขึ้น ตัวเราจะต้องเปลี่ยนแปลงให้ทีมงานได้เห็นในทุกๆ ด้าน ทั้งบุคลิกภาพ ความเป็นอยู่ ต้องพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และการที่เราทำงานอยู่กับคน ต้องมีความซื่อสัตย์ประกอบควบคู่ไปด้วย เพราะการคิดดี ทำดี พูดดี จะช่วยให้งานสำเร็จได้อย่างง่ายดาย


ในโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ ล้วนมีหลากหลายชีวิตที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็รวยล้นฟ้า บางคนก็จนติดดิน แต่คนรวยก็ใช่ว่าจะรวยได้ตลอดไป เพราะทรัพย์สินเงินทองเมื่อใช้ไปก็ย่อมมีวันหมด ส่วนคนจนก็ใช่ว่าจะจนดักดานไปตลอดชีวิต  หากมีโอกาสบวกกับความอดทน ขยันทำงาน ก็สามารถรวยได้เช่นเดียวกัน...!!!
...เหมือนอย่างชีวิตของขงจื๊อ จากเด็กสามัญชนธรรมดาๆ คนหนึ่ง สามารถก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำระดับประเทศ และเป็นนักปราชญ์ชาวตะวันออก ที่ชนชาติตะวันตกยังยอมรับคำสอน...แล้วเหตุไฉนชีวิตคนเรา จะประสบความสำเร็จ มีชีวิตที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือไม่ได้...หากเราลงมือทำอย่างจริงจัง เปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความจริง...แค่นี้ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกล...!!!
ดั่งคำกล่าวที่ว่า “แม้ฟ้าจะกำหนดชะตาชีวิตของเรายังไงก็ตาม แต่เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต หรือลิขิตฟ้านั้นได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามที่ฟ้าลิขิต”...นี่เป็นคำสอนของขงจื้อที่เรามักได้ยินมาตลอด...
และในธุรกิจเครือข่ายเอง ก็มีบทเรียนชีวิตเป็นตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมาย...อย่างใน “คลับเงินล้าน” ปักษ์นี้ก็มีเรื่องราวชีวิตที่น่าค้นหาจากหญิงเหล็ก แห่ง “นีโอ ไลฟ์” นามว่า “อุสนีย์ จงพินิช” และ “วรรณวิภา กอนตน” สองสาวที่ชีวิตต้องจมอยู่กับหนี้สิน แทบมองไม่เห็นเส้นทางที่จะปลดเปลื้องหนี้สินมหาศาลนั้นได้เลย...แต่ “นีโอไลฟ์” กลับเปลี่ยนชีวิตของเธอทั้งคู่ให้มีชีวิตที่ดีขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์…    
...เริ่มกันที่ “อุสนีย์ จงพินิช” ครูบ้านนอกที่รับราชการ สอนหนังสือมากว่า 32 ปี และถึงแม้อาชีพครูจะเป็นอาชีพที่ดี  เป็นแม่พิมพ์ของชาติ แต่ก็ไม่ช่วยให้รายรับของ “อุสนีย์” มากกว่ารายจ่าย เพราะอาชีพครูมีรายได้น้อย เธอจึงมองหาอาชีพเสริมเพื่อช่วยให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น...
“อุสนีย์” จึงเริ่มเข้าสู่วงการธุรกิจเครือข่าย และเอาเงินเดือนจากอาชีพข้าราชการ เข้าไปลุยขายตรงแบบเต็มที่ เพราะมองเห็นว่า อาชีพธุรกิจเครือข่ายจะทำให้เธอร่ำรวยได้ จึงเริ่มต้นชีวิตขายตรงกับบริษัทของชาวต่างชาติค่ายหนึ่ง จนแล้วจนเล่าเธอก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตามที่ฝันไว้...  
…แต่แล้วเป็นเพราะฟ้าลิขิตหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ที่ทำให้ “อุสนีย์” ได้มาพบกับ “นีโอ ไลฟ์” จากการแนะนำของเพื่อนครูด้วยกัน แม้ต้องเข็ดขยาดจากธุรกิจเครือข่ายมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอก็ไม่ยอมแพ้ และมีความประทับใจที่ “นีโอ ไลฟ์” เป็นบริษัทของคนไทย...
“ช่วงนั้นได้คิดอยู่ในใจเสมอว่าต้องลองอีกสักตั้ง และคิดว่าในธุรกิจเครือข่าย หากทำอย่างถูกต้องและเป็นบริษัทของคนไทย น่าจะทำให้เราเปลี่ยนชีวิตได้ จึงตัดสินใจเข้าไปศึกษาดู” 
ผลจากการที่ “อุสนีย์” ได้เริ่มเข้าไปดูและศึกษารายละเอียดของแผนการตลาด รวมถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัท จึงได้พบกับคำตอบที่เธอตามหามาทั้งชีวิต เธอจึงตั้งหน้าตั้งตา มุ่งมั่น ขยันทำงานอย่างจริงจัง และทำอย่างต่อเนื่อง โดยทำควบคู่ไปกับการสอนหนังสือ แต่เธอใช้เพียงเวลาว่างช่วงเสาร์-อาทิตย์ และตอนเย็นหลังเลิกเรียนเท่านั้น...  
ซึ่งเวลาไม่ใช่อุปสรรคสำหรับ “อุสนีย์” เลย เพราะการจัดสรรเวลาและบริหารจัดการเป็น ทำให้เธอได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง “ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด” และมีรายได้ 1.5 แสนบาท ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น...     
การวางเป้าหมายและทำให้สำเร็จตามเป้า...คือสิ่งที่ “อุสนีย์” ใช้ควบคู่กับการทำงานมาตลอด บวกกับความเชื่อและยึดมั่นในระบบของบริษัท ผลของความสำเร็จจึงเกิดขึ้นได้...จนกระทั่งเวลา 2 ปี 7 เดือน “อุสนีย์” ก็ได้ขึ้นเป็น “รองประธานฝ่ายการตลาด” ในที่สุด...
“ในการทำงาน เมื่อตั้งเป้าหมายแล้ว ก็ต้องทำให้สำเร็จ ไม่ทำเล่นๆ ก็เหมือนการเป็นนักมวย เมื่อขึ้นสู่ยกที่หนึ่ง เราต้องสู้และชกให้ครบยก ไม่งั้นจะเสียเชิงมวย”    
...เมื่อมีการวางเป้าหมายแล้ว หากไม่ลงมือทำ เป้าหมายนั้น ก็จะไม่มีความหมายหรือเกิดผลสำเร็จตามเป้าหมาย  สิ่งสำคัญก็คือ ต้อง ททท. (ทำทันที) ไม่ต้องรอช้า วางแผนงานแล้วลงมือทำทันที มิเช่นนั้นความสำเร็จก็จะไม่บังเกิด...
 “การจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากมีจิตใจที่อดทน ต่อเนื่อง เข้าใจวิธีการทำงานที่ถูกต้อง เข้าสู่ระบบตามที่บริษัทวางเอาไว้ เพราะนี่เป็นสูตรของการทำงาน และไม่ว่าจะเก่งมาจากไหน ให้ลืมสิ่งเก่าๆ ให้หมด แล้วมาตั้งต้นใหม่ อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ให้เข้ามาเรียนรู้และรับสิ่งใหม่ๆ เสมอ”
ซึ่งความสำเร็จของ “อุสนีย์” นับว่าเป็นการพลิกชีวิตจากครูจนๆ คนหนึ่ง ให้กลายมาเป็นเศรษฐีได้ เปลี่ยนจากรายได้เดือนละไม่กี่หมื่นบาท มาเป็นเดือนละหลายแสนบาท และเนรมิตให้รถคันเก่าๆ กลายเป็นรถเบนซ์คันละ 4 ล้าน 5 แสนบาทได้ในชั่วพริบตา...
     ไม่เพียงแต่ชีวิตของ “อุสนีย์” เท่านั้น ที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จได้ที่ “นีโอ ไลฟ์” ยังมีอีกหนึ่งหญิงเหล็กที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ นั่นก็คือ “วรรณวิภา กอนตน” สาวโรงงาน ที่ชีวิตต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน แม้แต่การต้องคอยวิ่งหลบเจ้าหนี้ เธอผู้นี้ก็ผ่านมาแล้ว...
เส้นทางชีวิตของ “วรรณวิภา” เหมือนถูกกำหนดมาให้เป็นไปดั่งข้อคิดที่ได้ยินกันจนติดหูว่า “ลำบากวันนี้ สบายวันหน้า” ซึ่งก็คงจะจริง...เพราะชีวิตของสาวโรงงานผู้นี้ ต้องเข้างานตั้งแต่เช้ามืด และเลิกงานตอนค่ำ ซึ่งแม้จะทำงานหนักเพียงใด  รายได้ก็ไม่พอใช้อยู่ดี และ “วรรณวิภา” ก็อดทนใช้ชีวิตเช่นนี้เป็นเวลา 7-8  ปี จึงตัดสินใจลาออก กลับไปทำธุรกิจเพาะเห็ดที่  จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ...
แต่แล้วความฝันที่ “วรรณวิภา” คิดไว้ว่า จะต้องร่ำรวยจากธุรกิจเพาะเห็ดนี้ ก็ได้พังทลายลง เพราะราคาเห็ดเริ่มไม่ดีนัก ทำให้เธอต้องเป็นหนี้จากธนาคารที่ไปกู้ยืมมาเพื่อลงทุนในช่วงแรก กว่า 8 แสนบาท...สิ่งนี้ทำให้ “วรรณวิภา” เริ่มหมดหนทาง และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป...
จนกระทั่งโอกาสก็มาเยือนถึงบ้าน เมื่อลุงของ “วรรณวิภา” ชักชวนให้เธอไปฟังโครงการของ “นีโอ ไลฟ์” เธอจึงไม่ปฏิเสธ และมาด้วยความเกรงใจเท่านั้น เพราะในตอนแรกเธอไม่เชื่อว่าธุรกิจเครือข่ายจะพลิกชีวิตของเธอให้รวยได้...แต่แล้วเมื่อเธอได้เข้าไปสัมผัส ก็ทำให้เธอเกิดความประทับใจและเริ่มเปิดใจร่วมทำธุรกิจกับ “นีโอไลฟ์” ตั้งแต่นั้นมา...
ชีวิตของ “วรรณวิภา” ก็ใช่ว่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ หากเธอต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย จากการถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะการที่เธอยังมีหนี้สินติดตัวอยู่ ทำให้เครดิตของเธอหายไปในชั่วพริบตา...และต้องพบกับคำพูดถากถางที่ใครหลายๆ คนเคยพบเจอมา นั่นก็คือ “ให้ไปรวยมาก่อน...รวยเมื่อไหร่แล้วค่อยมาชวน”…!!!
     ถึงแม้ประโยคเด็ดประโยคนี้จะหักหาญน้ำใจของ “วรรณวิภา” อย่างมาก แต่ก็ไม่ทำให้เธอยอมจำนนต่อโชคชะตา  หากแต่ยิ่งจะทำให้เธอฮึดสู้ และมุ่งมั่นที่จะคว้าความสำเร็จมาให้ได้ เพื่อลบคำสบประมาทเหล่านั้นออกไป...    
“วรรณวิภา” จึงตั้งหน้าตั้งตาเรียนรู้และฝึกฝนจากผู้สำเร็จอย่างจริงจัง จนทำให้เธอได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง “ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด” ภายในระยะเวลา 2 ปี และมีรายได้หลักแสน จนทำให้หนี้ของเธอค่อยๆ ลดลง...                         
“แรกๆ เข้ามาฟังที่ห้องเทรนนิ่ง หลังจากนั้นก็มีการอบรมหลักสูตรต่างๆ ซึ่งการเข้ามาสู่ธุรกิจนีโอ ไลฟ์ ต้องวางรากฐานให้มั่นคง ต้องเข้าระบบก่อน และทำตามระบบของบริษัทที่วางไว้ หลังจากนั้นทุกอย่างก็จะก้าวไปด้วยตัวของมันเอง...จงอย่ากลัวอุปสรรค เพราะในทุกอาชีพต้องพบเจออยู่แล้ว ไม่ว่าอะไรถ้าเรามุ่งมั่นที่จะทำ เราทำได้อยู่แล้ว”… 
…ดั่งบทกลอนสอนใจบทหนึ่งที่ว่า “ว่าวจะลอยขึ้นสูงได้ เพราะเหตุที่ต้านลม ถ้าหมดลมว่าวก็ตก...มนุษย์เราจะขึ้นสูงอยู่ได้ ก็เพราะต้องต่อสู้อุปสรรค ชีวิตที่ไม่เคยพบอุปสรรค จะหาทางก้าวหน้าไม่ได้เลย”…
ด้วยความตั้งใจจริง ขยัน  อดทน ไม่หวั่นแม้ต้องเจอศึกหนัก  ทำให้ “วรรณวิภา” ประสบความสำเร็จอีกขั้นและขึ้นเป็น “รองประธานฝ่ายการตลาด” ได้เช่นเดียวกัน และมีรายได้กว่าหลายแสนบาทต่อเดือน...  
และในวันนี้ “นีโอ ไลฟ์” ก็ได้มอบชีวิตใหม่ให้กับ “วรรณวิภา” เปลี่ยนชีวิตของสาวโรงงานที่รับเงินเดือนไปวันๆ ต้องทำงานหนักแลกกับเงินเดือน ให้กลายเป็นเศรษฐี มีรายได้หลายแสนบาท และเปลี่ยนจากรถมอเตอร์ไซค์คันเล็กๆ คันหนึ่งให้กลายเป็นรถยนต์ 2 คันได้...
“ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่า จากคนที่เป็นหนี้ จากคนที่ไปยืมเงินเขาแค่ 500 บาท เขาก็ยังจะไม่ให้  เพราะคิดว่าเราไม่มีปัญญาจะหามาคืนได้ สุดท้ายแทบจะหยิกตัวเองว่านี่คือเรื่องจริง ว่าเรามีทุกอย่างได้แล้ว และทำให้ครอบครัวเชิดหน้าชูตาขึ้นมาได้เพราะธุรกิจนีโอ ไลฟ์ หากใครที่มองหาโอกาส และคิดว่าจะทำไม่ได้ ให้ลองเข้ามาที่ “นีโอ ไลฟ์” เชื่อว่าชีวิตจะต้องดีกว่าวันที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน”  
สำหรับเส้นทางสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จของทั้งคู่ ไม่เพียงแต่ความขยัน ลงมือทำอย่างจริงจัง และเดินตามผู้สำเร็จเท่านั้น หากเธอทั้งสองยังมีวิธีบริหารทีมงานได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย...โดยเริ่มกันที่ “อุสนีย์” ผู้ที่มีจิตวิญญาณของความเป็นครูอยู่เต็มเปี่ยม เธอเปลี่ยนจากการสอนหนังสือ มาเป็นการสอนให้ลูกทีมร่ำรวยได้ ด้วยการติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิด เหมือนการตรวจการบ้านก็ว่าได้ และหากลูกทีมหรือสมาชิกเจอปัญหา เธอก็จะคอยให้คำแนะนำอยู่เสมอ... 
นอกจากนั้น “อุสนีย์” ยังเชื่อว่าการครองใจคน ครองใจทีมงานให้อยู่ ทำให้เขาเชื่อมั่นและศรัทธา ถือเป็นเคล็ดลับขั้นแรกที่จะทำให้สายงานประสบความสำเร็จได้ เมื่อเขาเชื่อในตัวเรา เขาก็จะทำตามที่เราบอก ที่เราแนะนำ...  
“การจะทำให้เขาเชื่อในตัวเราได้ ต้องอดทนและทำอย่างสม่ำเสมอ ทำงานให้หนักขึ้น ตัวเราจะต้องเปลี่ยนแปลงให้ทีมงานได้เห็นในทุกๆ ด้าน ทั้งบุคลิกภาพ ความเป็นอยู่ ต้องพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และการที่เราทำงานอยู่กับคน ต้องมีความซื่อสัตย์ประกอบควบคู่ไปด้วย เพราะการคิดดี ทำดี พูดดี จะช่วยให้งานสำเร็จได้อย่างง่ายดาย” 
ส่วน “วรรณวิภา” ก็มุ่งหวังที่จะขับเคลื่อนทีมงานไปสู่ความสำเร็จเช่นกัน ด้วยการใช้หลักสูตรของ “นีโอ ไลฟ์” บวกกับการฝึกให้ลูกทีมทำงานเป็นระบบ และฝึกฝนให้ลองทำ ลองปฏิบัติ เพราะเธอเชื่อว่าหากไม่ลองก็ไม่รู้ หากไม่ดูก็ไม่เห็น ถ้าไม่ทำแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามันง่ายหรือยาก...        
แต่สิ่งอื่นใดก็ไม่สำคัญไปกว่าการเป็นผู้ให้ ที่ “วรรณวิภา” มอบให้กับสมาชิกอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชั่นและสิ่งดีๆ โดยไม่ต้องรอบริษัทสนับสนุน...หรือแม้แต่การเทรนนิ่งที่เธอจะคอยบอกและสอนให้กับสมาชิกอยู่เสมอๆ
“เมื่อคนใหม่หรือสมาชิกใหม่เข้ามา บางครั้งเขาก็ยังจับจุดตัวเองไม่ได้ ไม่รู้วิธีที่จะนำพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้น เมื่อเราเป็นผู้สำเร็จแล้ว เราต้องเป็นผู้ให้ มีเคล็ดลับอะไร มีสิ่งดีๆ อะไร จะต้องถ่ายทอดออกไป และนำพาให้เขาสำเร็จให้ได้”    
...นี่เป็นเรื่องราวของ 2 หญิงแกร่ง ที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรค อดทน ต่อสู้ ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา และใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี พวกเธอก็สามารถประสบความสำเร็จ สามารถทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ และสิ่งที่พวกเธอได้รับจาก “นีโอ ไลฟ์” คือการพลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ สามารถยกระดับตัวเองขึ้นมาได้อย่างภาคภูมิ และเปลี่ยนชีวิตจาก “มนุษย์เงินเดือน”  ให้กลายเป็น“มนุษย์เงินล้าน” ได้ในที่สุด...  
...ฉะนั้นแล้วชีวิตของเรา เราก็ต้องเป็นคนลิขิตเอง เพราะชีวิตไม่ใช่บทละคร ที่ต้องรอให้ใครมาขีดเขียนกำหนดบทชีวิตให้...หากเมื่อมีเป้าหมายและความฝัน ก็ต้องลงมือทำในทันที อย่ามัวรอโชคชะตาหรือปล่อยให้ชีวิตผ่านพ้นไปวันๆ...!!!


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 320 ประจำวันที่ 16 - 31 พฤษภาคม 2555        

‘นีโอ ไลฟ์ (Neo Life)’ เปิดเคล็ดลับรวยฉีกมิติ2นักสู้ ‘อุสนีย์ จงพินิช-วรรณวิภา กอนตน’

การจะทำให้เขาเชื่อในตัวเราได้ ต้องอดทนและทำอย่างสม่ำเสมอ ทำงานให้หนักขึ้น ตัวเราจะต้องเปลี่ยนแปลงให้ทีมงานได้เห็นในทุกๆ ด้าน ทั้งบุคลิกภาพ ความเป็นอยู่ ต้องพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และการที่เราทำงานอยู่กับคน ต้องมีความซื่อสัตย์ประกอบควบคู่ไปด้วย เพราะการคิดดี ทำดี พูดดี จะช่วยให้งานสำเร็จได้อย่างง่ายดาย


ในโลกแห่งความเป็นจริงใบนี้ ล้วนมีหลากหลายชีวิตที่แตกต่างกันออกไป บางคนก็รวยล้นฟ้า บางคนก็จนติดดิน แต่คนรวยก็ใช่ว่าจะรวยได้ตลอดไป เพราะทรัพย์สินเงินทองเมื่อใช้ไปก็ย่อมมีวันหมด ส่วนคนจนก็ใช่ว่าจะจนดักดานไปตลอดชีวิต  หากมีโอกาสบวกกับความอดทน ขยันทำงาน ก็สามารถรวยได้เช่นเดียวกัน...!!!
...เหมือนอย่างชีวิตของขงจื๊อ จากเด็กสามัญชนธรรมดาๆ คนหนึ่ง สามารถก้าวขึ้นสู่การเป็นผู้นำระดับประเทศ และเป็นนักปราชญ์ชาวตะวันออก ที่ชนชาติตะวันตกยังยอมรับคำสอน...แล้วเหตุไฉนชีวิตคนเรา จะประสบความสำเร็จ มีชีวิตที่พลิกจากหน้ามือเป็นหลังมือไม่ได้...หากเราลงมือทำอย่างจริงจัง เปลี่ยนความฝันให้กลายเป็นความจริง...แค่นี้ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกล...!!!
ดั่งคำกล่าวที่ว่า “แม้ฟ้าจะกำหนดชะตาชีวิตของเรายังไงก็ตาม แต่เราก็สามารถเปลี่ยนแปลงชะตาชีวิต หรือลิขิตฟ้านั้นได้ด้วยตัวเอง ไม่จำเป็นต้องเป็นไปตามที่ฟ้าลิขิต”...นี่เป็นคำสอนของขงจื้อที่เรามักได้ยินมาตลอด...
และในธุรกิจเครือข่ายเอง ก็มีบทเรียนชีวิตเป็นตัวอย่างให้เห็นอยู่มากมาย...อย่างใน “คลับเงินล้าน” ปักษ์นี้ก็มีเรื่องราวชีวิตที่น่าค้นหาจากหญิงเหล็ก แห่ง “นีโอ ไลฟ์” นามว่า “อุสนีย์ จงพินิช” และ “วรรณวิภา กอนตน” สองสาวที่ชีวิตต้องจมอยู่กับหนี้สิน แทบมองไม่เห็นเส้นทางที่จะปลดเปลื้องหนี้สินมหาศาลนั้นได้เลย...แต่ “นีโอไลฟ์” กลับเปลี่ยนชีวิตของเธอทั้งคู่ให้มีชีวิตที่ดีขึ้นมาได้อย่างน่าอัศจรรย์…    
...เริ่มกันที่ “อุสนีย์ จงพินิช” ครูบ้านนอกที่รับราชการ สอนหนังสือมากว่า 32 ปี และถึงแม้อาชีพครูจะเป็นอาชีพที่ดี  เป็นแม่พิมพ์ของชาติ แต่ก็ไม่ช่วยให้รายรับของ “อุสนีย์” มากกว่ารายจ่าย เพราะอาชีพครูมีรายได้น้อย เธอจึงมองหาอาชีพเสริมเพื่อช่วยให้ความเป็นอยู่ดีขึ้น...
“อุสนีย์” จึงเริ่มเข้าสู่วงการธุรกิจเครือข่าย และเอาเงินเดือนจากอาชีพข้าราชการ เข้าไปลุยขายตรงแบบเต็มที่ เพราะมองเห็นว่า อาชีพธุรกิจเครือข่ายจะทำให้เธอร่ำรวยได้ จึงเริ่มต้นชีวิตขายตรงกับบริษัทของชาวต่างชาติค่ายหนึ่ง จนแล้วจนเล่าเธอก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตามที่ฝันไว้...  
…แต่แล้วเป็นเพราะฟ้าลิขิตหรืออย่างไรก็ไม่รู้ ที่ทำให้ “อุสนีย์” ได้มาพบกับ “นีโอ ไลฟ์” จากการแนะนำของเพื่อนครูด้วยกัน แม้ต้องเข็ดขยาดจากธุรกิจเครือข่ายมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอก็ไม่ยอมแพ้ และมีความประทับใจที่ “นีโอ ไลฟ์” เป็นบริษัทของคนไทย...
“ช่วงนั้นได้คิดอยู่ในใจเสมอว่าต้องลองอีกสักตั้ง และคิดว่าในธุรกิจเครือข่าย หากทำอย่างถูกต้องและเป็นบริษัทของคนไทย น่าจะทำให้เราเปลี่ยนชีวิตได้ จึงตัดสินใจเข้าไปศึกษาดู” 
ผลจากการที่ “อุสนีย์” ได้เริ่มเข้าไปดูและศึกษารายละเอียดของแผนการตลาด รวมถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัท จึงได้พบกับคำตอบที่เธอตามหามาทั้งชีวิต เธอจึงตั้งหน้าตั้งตา มุ่งมั่น ขยันทำงานอย่างจริงจัง และทำอย่างต่อเนื่อง โดยทำควบคู่ไปกับการสอนหนังสือ แต่เธอใช้เพียงเวลาว่างช่วงเสาร์-อาทิตย์ และตอนเย็นหลังเลิกเรียนเท่านั้น...  
ซึ่งเวลาไม่ใช่อุปสรรคสำหรับ “อุสนีย์” เลย เพราะการจัดสรรเวลาและบริหารจัดการเป็น ทำให้เธอได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง “ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด” และมีรายได้ 1.5 แสนบาท ภายในระยะเวลาเพียง 1 ปีเท่านั้น...     
การวางเป้าหมายและทำให้สำเร็จตามเป้า...คือสิ่งที่ “อุสนีย์” ใช้ควบคู่กับการทำงานมาตลอด บวกกับความเชื่อและยึดมั่นในระบบของบริษัท ผลของความสำเร็จจึงเกิดขึ้นได้...จนกระทั่งเวลา 2 ปี 7 เดือน “อุสนีย์” ก็ได้ขึ้นเป็น “รองประธานฝ่ายการตลาด” ในที่สุด...
“ในการทำงาน เมื่อตั้งเป้าหมายแล้ว ก็ต้องทำให้สำเร็จ ไม่ทำเล่นๆ ก็เหมือนการเป็นนักมวย เมื่อขึ้นสู่ยกที่หนึ่ง เราต้องสู้และชกให้ครบยก ไม่งั้นจะเสียเชิงมวย”    
...เมื่อมีการวางเป้าหมายแล้ว หากไม่ลงมือทำ เป้าหมายนั้น ก็จะไม่มีความหมายหรือเกิดผลสำเร็จตามเป้าหมาย  สิ่งสำคัญก็คือ ต้อง ททท. (ทำทันที) ไม่ต้องรอช้า วางแผนงานแล้วลงมือทำทันที มิเช่นนั้นความสำเร็จก็จะไม่บังเกิด...
 “การจะสำเร็จได้ ต้องเริ่มจากมีจิตใจที่อดทน ต่อเนื่อง เข้าใจวิธีการทำงานที่ถูกต้อง เข้าสู่ระบบตามที่บริษัทวางเอาไว้ เพราะนี่เป็นสูตรของการทำงาน และไม่ว่าจะเก่งมาจากไหน ให้ลืมสิ่งเก่าๆ ให้หมด แล้วมาตั้งต้นใหม่ อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว ให้เข้ามาเรียนรู้และรับสิ่งใหม่ๆ เสมอ”
ซึ่งความสำเร็จของ “อุสนีย์” นับว่าเป็นการพลิกชีวิตจากครูจนๆ คนหนึ่ง ให้กลายมาเป็นเศรษฐีได้ เปลี่ยนจากรายได้เดือนละไม่กี่หมื่นบาท มาเป็นเดือนละหลายแสนบาท และเนรมิตให้รถคันเก่าๆ กลายเป็นรถเบนซ์คันละ 4 ล้าน 5 แสนบาทได้ในชั่วพริบตา...
     ไม่เพียงแต่ชีวิตของ “อุสนีย์” เท่านั้น ที่ร่ำรวยและประสบความสำเร็จได้ที่ “นีโอ ไลฟ์” ยังมีอีกหนึ่งหญิงเหล็กที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้ นั่นก็คือ “วรรณวิภา กอนตน” สาวโรงงาน ที่ชีวิตต้องผ่านร้อนผ่านหนาวมาอย่างโชกโชน แม้แต่การต้องคอยวิ่งหลบเจ้าหนี้ เธอผู้นี้ก็ผ่านมาแล้ว...
เส้นทางชีวิตของ “วรรณวิภา” เหมือนถูกกำหนดมาให้เป็นไปดั่งข้อคิดที่ได้ยินกันจนติดหูว่า “ลำบากวันนี้ สบายวันหน้า” ซึ่งก็คงจะจริง...เพราะชีวิตของสาวโรงงานผู้นี้ ต้องเข้างานตั้งแต่เช้ามืด และเลิกงานตอนค่ำ ซึ่งแม้จะทำงานหนักเพียงใด  รายได้ก็ไม่พอใช้อยู่ดี และ “วรรณวิภา” ก็อดทนใช้ชีวิตเช่นนี้เป็นเวลา 7-8  ปี จึงตัดสินใจลาออก กลับไปทำธุรกิจเพาะเห็ดที่  จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งเป็นบ้านเกิดของเธอ...
แต่แล้วความฝันที่ “วรรณวิภา” คิดไว้ว่า จะต้องร่ำรวยจากธุรกิจเพาะเห็ดนี้ ก็ได้พังทลายลง เพราะราคาเห็ดเริ่มไม่ดีนัก ทำให้เธอต้องเป็นหนี้จากธนาคารที่ไปกู้ยืมมาเพื่อลงทุนในช่วงแรก กว่า 8 แสนบาท...สิ่งนี้ทำให้ “วรรณวิภา” เริ่มหมดหนทาง และไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไป...
จนกระทั่งโอกาสก็มาเยือนถึงบ้าน เมื่อลุงของ “วรรณวิภา” ชักชวนให้เธอไปฟังโครงการของ “นีโอ ไลฟ์” เธอจึงไม่ปฏิเสธ และมาด้วยความเกรงใจเท่านั้น เพราะในตอนแรกเธอไม่เชื่อว่าธุรกิจเครือข่ายจะพลิกชีวิตของเธอให้รวยได้...แต่แล้วเมื่อเธอได้เข้าไปสัมผัส ก็ทำให้เธอเกิดความประทับใจและเริ่มเปิดใจร่วมทำธุรกิจกับ “นีโอไลฟ์” ตั้งแต่นั้นมา...
ชีวิตของ “วรรณวิภา” ก็ใช่ว่าจะโรยด้วยกลีบกุหลาบ หากเธอต้องเจอกับอุปสรรคมากมาย จากการถูกปฏิเสธครั้งแล้วครั้งเล่า เพราะการที่เธอยังมีหนี้สินติดตัวอยู่ ทำให้เครดิตของเธอหายไปในชั่วพริบตา...และต้องพบกับคำพูดถากถางที่ใครหลายๆ คนเคยพบเจอมา นั่นก็คือ “ให้ไปรวยมาก่อน...รวยเมื่อไหร่แล้วค่อยมาชวน”…!!!
     ถึงแม้ประโยคเด็ดประโยคนี้จะหักหาญน้ำใจของ “วรรณวิภา” อย่างมาก แต่ก็ไม่ทำให้เธอยอมจำนนต่อโชคชะตา  หากแต่ยิ่งจะทำให้เธอฮึดสู้ และมุ่งมั่นที่จะคว้าความสำเร็จมาให้ได้ เพื่อลบคำสบประมาทเหล่านั้นออกไป...    
“วรรณวิภา” จึงตั้งหน้าตั้งตาเรียนรู้และฝึกฝนจากผู้สำเร็จอย่างจริงจัง จนทำให้เธอได้ขึ้นสู่ตำแหน่ง “ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด” ภายในระยะเวลา 2 ปี และมีรายได้หลักแสน จนทำให้หนี้ของเธอค่อยๆ ลดลง...                         
“แรกๆ เข้ามาฟังที่ห้องเทรนนิ่ง หลังจากนั้นก็มีการอบรมหลักสูตรต่างๆ ซึ่งการเข้ามาสู่ธุรกิจนีโอ ไลฟ์ ต้องวางรากฐานให้มั่นคง ต้องเข้าระบบก่อน และทำตามระบบของบริษัทที่วางไว้ หลังจากนั้นทุกอย่างก็จะก้าวไปด้วยตัวของมันเอง...จงอย่ากลัวอุปสรรค เพราะในทุกอาชีพต้องพบเจออยู่แล้ว ไม่ว่าอะไรถ้าเรามุ่งมั่นที่จะทำ เราทำได้อยู่แล้ว”… 
…ดั่งบทกลอนสอนใจบทหนึ่งที่ว่า “ว่าวจะลอยขึ้นสูงได้ เพราะเหตุที่ต้านลม ถ้าหมดลมว่าวก็ตก...มนุษย์เราจะขึ้นสูงอยู่ได้ ก็เพราะต้องต่อสู้อุปสรรค ชีวิตที่ไม่เคยพบอุปสรรค จะหาทางก้าวหน้าไม่ได้เลย”…
ด้วยความตั้งใจจริง ขยัน  อดทน ไม่หวั่นแม้ต้องเจอศึกหนัก  ทำให้ “วรรณวิภา” ประสบความสำเร็จอีกขั้นและขึ้นเป็น “รองประธานฝ่ายการตลาด” ได้เช่นเดียวกัน และมีรายได้กว่าหลายแสนบาทต่อเดือน...  
และในวันนี้ “นีโอ ไลฟ์” ก็ได้มอบชีวิตใหม่ให้กับ “วรรณวิภา” เปลี่ยนชีวิตของสาวโรงงานที่รับเงินเดือนไปวันๆ ต้องทำงานหนักแลกกับเงินเดือน ให้กลายเป็นเศรษฐี มีรายได้หลายแสนบาท และเปลี่ยนจากรถมอเตอร์ไซค์คันเล็กๆ คันหนึ่งให้กลายเป็นรถยนต์ 2 คันได้...
“ไม่เคยคิดไม่เคยฝันว่า จากคนที่เป็นหนี้ จากคนที่ไปยืมเงินเขาแค่ 500 บาท เขาก็ยังจะไม่ให้  เพราะคิดว่าเราไม่มีปัญญาจะหามาคืนได้ สุดท้ายแทบจะหยิกตัวเองว่านี่คือเรื่องจริง ว่าเรามีทุกอย่างได้แล้ว และทำให้ครอบครัวเชิดหน้าชูตาขึ้นมาได้เพราะธุรกิจนีโอ ไลฟ์ หากใครที่มองหาโอกาส และคิดว่าจะทำไม่ได้ ให้ลองเข้ามาที่ “นีโอ ไลฟ์” เชื่อว่าชีวิตจะต้องดีกว่าวันที่เป็นอยู่อย่างแน่นอน”  
สำหรับเส้นทางสู่จุดหมายแห่งความสำเร็จของทั้งคู่ ไม่เพียงแต่ความขยัน ลงมือทำอย่างจริงจัง และเดินตามผู้สำเร็จเท่านั้น หากเธอทั้งสองยังมีวิธีบริหารทีมงานได้อย่างดีเยี่ยมอีกด้วย...โดยเริ่มกันที่ “อุสนีย์” ผู้ที่มีจิตวิญญาณของความเป็นครูอยู่เต็มเปี่ยม เธอเปลี่ยนจากการสอนหนังสือ มาเป็นการสอนให้ลูกทีมร่ำรวยได้ ด้วยการติดตามการทำงานอย่างใกล้ชิด เหมือนการตรวจการบ้านก็ว่าได้ และหากลูกทีมหรือสมาชิกเจอปัญหา เธอก็จะคอยให้คำแนะนำอยู่เสมอ... 
นอกจากนั้น “อุสนีย์” ยังเชื่อว่าการครองใจคน ครองใจทีมงานให้อยู่ ทำให้เขาเชื่อมั่นและศรัทธา ถือเป็นเคล็ดลับขั้นแรกที่จะทำให้สายงานประสบความสำเร็จได้ เมื่อเขาเชื่อในตัวเรา เขาก็จะทำตามที่เราบอก ที่เราแนะนำ...  
“การจะทำให้เขาเชื่อในตัวเราได้ ต้องอดทนและทำอย่างสม่ำเสมอ ทำงานให้หนักขึ้น ตัวเราจะต้องเปลี่ยนแปลงให้ทีมงานได้เห็นในทุกๆ ด้าน ทั้งบุคลิกภาพ ความเป็นอยู่ ต้องพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น และการที่เราทำงานอยู่กับคน ต้องมีความซื่อสัตย์ประกอบควบคู่ไปด้วย เพราะการคิดดี ทำดี พูดดี จะช่วยให้งานสำเร็จได้อย่างง่ายดาย” 
ส่วน “วรรณวิภา” ก็มุ่งหวังที่จะขับเคลื่อนทีมงานไปสู่ความสำเร็จเช่นกัน ด้วยการใช้หลักสูตรของ “นีโอ ไลฟ์” บวกกับการฝึกให้ลูกทีมทำงานเป็นระบบ และฝึกฝนให้ลองทำ ลองปฏิบัติ เพราะเธอเชื่อว่าหากไม่ลองก็ไม่รู้ หากไม่ดูก็ไม่เห็น ถ้าไม่ทำแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่ามันง่ายหรือยาก...        
แต่สิ่งอื่นใดก็ไม่สำคัญไปกว่าการเป็นผู้ให้ ที่ “วรรณวิภา” มอบให้กับสมาชิกอย่างสม่ำเสมอ ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชั่นและสิ่งดีๆ โดยไม่ต้องรอบริษัทสนับสนุน...หรือแม้แต่การเทรนนิ่งที่เธอจะคอยบอกและสอนให้กับสมาชิกอยู่เสมอๆ
“เมื่อคนใหม่หรือสมาชิกใหม่เข้ามา บางครั้งเขาก็ยังจับจุดตัวเองไม่ได้ ไม่รู้วิธีที่จะนำพาตัวเองไปสู่ความสำเร็จ ดังนั้น เมื่อเราเป็นผู้สำเร็จแล้ว เราต้องเป็นผู้ให้ มีเคล็ดลับอะไร มีสิ่งดีๆ อะไร จะต้องถ่ายทอดออกไป และนำพาให้เขาสำเร็จให้ได้”    
...นี่เป็นเรื่องราวของ 2 หญิงแกร่ง ที่สามารถฟันฝ่าอุปสรรค อดทน ต่อสู้ ไม่ย่อท้อต่อโชคชะตา และใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปี พวกเธอก็สามารถประสบความสำเร็จ สามารถทำตามเป้าหมายที่วางไว้ได้ และสิ่งที่พวกเธอได้รับจาก “นีโอ ไลฟ์” คือการพลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือ สามารถยกระดับตัวเองขึ้นมาได้อย่างภาคภูมิ และเปลี่ยนชีวิตจาก “มนุษย์เงินเดือน”  ให้กลายเป็น“มนุษย์เงินล้าน” ได้ในที่สุด...  
...ฉะนั้นแล้วชีวิตของเรา เราก็ต้องเป็นคนลิขิตเอง เพราะชีวิตไม่ใช่บทละคร ที่ต้องรอให้ใครมาขีดเขียนกำหนดบทชีวิตให้...หากเมื่อมีเป้าหมายและความฝัน ก็ต้องลงมือทำในทันที อย่ามัวรอโชคชะตาหรือปล่อยให้ชีวิตผ่านพ้นไปวันๆ...!!!


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 320 ประจำวันที่ 16 - 31 พฤษภาคม 2555        

เจาะเส้นทางขายตรงพันธุ์ใหม่ ‘โฮลี่เฮิร์บ (HOLYHERB)’ เน้นทำงานเป็นทีม/บุกตลาดด้วยสินค้าคุณภาพ


วันนี้ธุรกิจโฮลี่เฮิร์บต้องบอกว่า ค่อนข้างที่จะแตกต่างจากธุรกิจอื่น คือ การทำงานเราจะไม่บริหารเพียงคนเดียว แต่จะเน้นการทำงานเป็นทีมร่วมกัน ทุกคนจะมีความสำคัญเท่ากันหมด ซึ่งใครมีอะไรดีๆ เราจะมีการแชร์ความคิดเห็นร่วมกัน เพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดในการช่วยผลักดันให้องค์กรประสบความสำเร็จในอนาคต
เชื่อว่าหลายๆ ท่านในที่นี้ คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ธุรกิจขายตรง” ถือเป็นอีกหนึ่ง “ธุรกิจม้ามืด” ที่จะมาช่วย “พลิกฟื้นคืนชีพ” ให้สำหรับคนที่มีรายได้ไม่พอรายจ่าย หรือคนที่ว่างงานให้กับมามีรายได้ขึ้นมาอีกครั้งได้อย่างแน่นอน...ซึ่งที่ผ่านมา ต้องบอกว่าธุรกิจขายตรงไม่ค่อยที่จะได้รับการยอมรับจากสังคมมากเท่าไหร่!... 
แต่มาในวันนี้ ด้วยภาพลักษณ์ของธุรกิจนี้กลับดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา เพราะส่วนหนึ่งมาจาก มีตัวอย่างของผู้ที่ประสบความสำเร็จออกมาให้เห็นกันอย่างมากมาย จนเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ใครหลายคนอยากที่จะค้นหาและไขว่คว้ามันไว้ ซึ่งเชื่อว่าด้วยกลิ่นอายของธุรกิจที่ลงทุนน้อย แต่ได้ผลประโยชน์เกินคุ้ม น่าที่จะทำให้ใครหลายคนที่ได้เดินเข้ามาในธุรกิจนี้แล้ว ต้องหลงมนต์เสน่ห์ของธุรกิจนี้อย่างแน่นอน 
ซึ่งอีกมุมหนึ่งต้องยอมรับว่า การแข่งขันในธุรกิจขายตรงค่อนข้างที่จะดุเดือดเผ็ดร้อนขึ้นทุกวัน โดยส่วนใหญ่จะอาศัยการช่วงชิงจังหวะและโอกาสในการทำธุรกิจในการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และรักษาพื้นที่ตลาดของตัวเองเอาไว้ ทำให้หลายๆ ค่าย ในธุรกิจขายตรงต้องรื้อระบบ และปรับแผนสู้มากกว่าใช้แผนตั้งรับ ทั้งค่ายยักษ์ใหญ่ และค่ายยักษ์เล็ก ที่ต่างดิ้นรนปรับกลยุทธ์สู้รบกันทุกวิถีทาง เพื่อหวังที่จะดูดคนเข้ามาสู่ระบบเครือข่ายกันแทบทั้งนั้น.... 
...เช่นเดียวกับ “ธุรกิจขายตรงน้องใหม่” ที่เกิดขึ้นมาเพียงไม่กี่ปี ต่างก็ใช้จุดต่างที่ตนเองมี เพื่อสู้ศึกชิงแชร์ตลาดแบบหลากหลายรูปแบบเข้าสู้กันแทบทั้งนั้น...เห็นได้อย่างขายตรงน้องใหม่ “บริษัท โฮลี่เฮิร์บ จำกัด” ที่ดำเนินธุรกิจมาได้เพียงแค่ 1 ปีเท่านั้นเอง ก็ได้ใช้จุดต่างที่ตนเองมีออกมานำเสนอต่อผู้บริโภคด้วยเช่นกัน...ด้วยสโลแกนของบริษัทที่ว่า “โฮลี่เฮิร์บ สร้างสุขภาพ สร้างธุรกิจ สร้างความมั่นคง...ให้ชีวิต”...และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งขายตรงน้องใหม่ที่ต้องบอกว่าไม่ควรกะพริบตาเลยทีเดียว    
สำหรับผู้บริหารที่คอยบัญชาเกมรบของธุรกิจ “โฮลี่เฮิร์บ” นั้นคือ “นายแพทย์สุรพล รักปทุม” ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ รวมถึงยังมีคณะทีมผู้บริหารคนสำคัญในการผลักดันองค์กรสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น “กำธร ตรีวิศวเวทย์” ดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษา, “อรอนงค์ ตรีวิศวเวทย์” ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการ, “ประเสริฐ ภูติมหาตมะ” ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ และ “พรจิต พัวเพิ่มพูนศิริ” ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป...ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นทีมผู้บริหารที่เรียกได้ว่าค่อนข้างที่จะเป็นมืออาชีพแทบทั้งนั้น      
... “ปัจจุบันบริษัทของเราได้ทำการจดทะเบียนการค้าถูกต้องตามกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2551และได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตั้งแต่วันที่ 17 กุมพาพันธ์ 2554 โดยเลขที่จดทะเบียน คือ 3033118933 ได้รับเอกสารรับรองการประกอบการจากสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ให้เปิดกิจการธุรกิจขายตรงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้ทุกท่านที่เป็นสมาชิกของเรา จึงมั่นใจได้ว่าบริษัทของเราทำตามกฎหมาย และถูกต้องสมบูรณ์ทุกประการ”...บอสใหญ่ค่าย โฮลี่เฮิร์บ กล่าวย้ำ
ส่วนจุดเริ่มต้นของธุรกิจ “โฮลี่เฮิร์บ” มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไรนั้น ทางด้าน “นายแพทย์สุรพล รักปทุม” ประธานกรรมการ บริษัท โฮลี่เฮิร์บ จำกัด ได้เผยต่อ “ตลาดวิเคราะห์” ว่า การเกิดขึ้นของ “โฮลี่เฮิร์บ” นั้น เกิดจากการรวมตัวของนักธุรกิจที่มีความสามารถในทางธุรกิจ ที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว ซึ่งทีมผู้บริหารแต่ละท่านนั้น ส่วนใหญ่มีธุรกิจขนาดใหญ่เป็นของตัวเองแทบทั้งนั้น และมีเป้าหมายเดียวกันคือ ต้องการที่จะพาผู้ร่วมธุรกิจให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 
“วันนี้ธุรกิจโฮลี่เฮิร์บต้องบอกว่า ค่อนข้างที่จะแตกต่างจากธุรกิจอื่น คือ การทำงานเราจะไม่บริหารเพียงคนเดียว แต่จะเน้นการทำงานเป็นทีมร่วมกัน ทุกคนจะมีความสำคัญเท่ากันหมด ซึ่งใครมีอะไรดีๆ เราจะมีการแชร์ความคิดเห็นร่วมกัน เพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดในการช่วยผลักดันให้องค์กรประสบความสำเร็จในอนาคต” 
“นายแพทย์สุรพล” เผยต่อว่า “ความคิดที่จะเปิดบริษัทขายตรงที่ชื่อ “โฮลี่เฮิร์บ” นั้น ผมและเพื่อนๆ ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นในการตัดสินใจ ด้วยเงินทุน 100 กว่าล้านบาท ที่สำคัญ พวกเราไม่ต้องการที่จะหวังผลกำไรอะไรมากมาย เพียงแค่ต้องการอยากที่จะสร้างงานให้กับผู้ที่ต้องการมาร่วมธุรกิจกับเราให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเท่านั้นเอง อีกส่วนหนึ่งก็ต้องการทำเพื่อสังคมด้วย และเชื่อว่าด้วยศักยภาพของพวกเราที่สั่งสมประสบการณ์ทางด้านธุรกิจใหญ่ๆ มานาน น่าที่จะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ไม่มากก็น้อยด้วยเช่นกัน” 
…สำหรับนโยบายการดำเนินธุรกิจโฮลี่เฮิร์บนั้น พบว่า ค่ายนี้ได้มีการกำหนดนโยบายไว้ 3 แนวทางด้วยกันคือ แนวทางที่ 1 สร้างธุรกิจเครือข่ายขายตรงของบริษัทฯ ให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วตามเป้าหมายระยะแรก 5 ปี ประกอบด้วย เป้าหมายปีแรก (ปี 2555) มียอดขายอยู่ที่ 50 ล้านบาท, เป้าหมายปีที่ 2 (ปี 2556) มียอดขายอยู่ที่ 150 ล้านบาท, เป้าหมายปีที่ 3 (ปี2557) มียอดขายอยู่ที่ 450 ล้านบาท, เป้าหมายปีที่ 4 (ปี2558) มียอดขายอยู่ที่ 1,350 ล้านบาท, และเป้าหมายปีที่ 5 (ปี2559) มียอดขายอยู่ที่ 4,050 ล้านบาท...ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่ต้องบอกว่าน่าจับตามองอย่างมากทีเดียวสำหรับขายตรงน้องใหม่ค่ายนี้ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาได้เพียง 1 ปีเท่านั้น!!
แนวทางที่ 2 สร้างผู้นำที่ดีมีความทุ่มเท เสียสละ เป็นแบบอย่างให้คนเครือข่าย และสนับสนุนสมาชิกที่มีศักยภาพเป็นผู้นำ มีความตั้งใจ ให้ออกทีวีและสื่อต่างๆ รวมถึงการส่งเสริมสมาชิกผู้นำให้มีโอกาสต่อยอดประสบการณ์ในงานประชุมต่างๆ ของบริษัทฯ รวมทั้งการจัดงานประกาศเกียรติคุณยกย่องสมาชิกที่ประสบความสำเร็จทุกเดือน และจัดทำ VTR บันทึกภาพกิจกรรมต่างๆ เพื่อเผยแพร่อย่างต่อเนื่องภายในบริษัทฯ 
และแนวทางที่ 3 สร้างองค์กรให้เป็นที่ยอมรับต่อสาธารณชน ให้มีความเข้มแข็งเป็นประโยชน์และทรงประสิทธิภาพ ด้วยการปลูกฝังความคิดองค์กรให้มีความสุจริต เที่ยงธรรม มีกติกา มีกฎเกณฑ์ตามหลักจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพขายตรงระดับโลก รวมถึงการสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยใช้สื่อที่ทันสมัย และมีผลิตภัณฑ์ที่น่าประทับใจเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและให้โอกาสสร้างผลสำเร็จ จากรายได้ตามแผนการตลาดที่ดี โปร่งใสและถูกต้องแม่นยำ 
ขณะเดียวกัน ก็จะมีการสร้างระบบการควบคุมคุณภาพให้ดีสม่ำเสมอ มีการนำผลิตภัณฑ์ที่สามารถป้อนเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่องทันเวลา พร้อมกับการสร้างกิจกรรมพิเศษที่จะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะร่วมกับสมาชิกเพื่อแสดงออกถึงความเสียสละที่พร้อมให้แก่สังคม เป็นต้น...เรียกได้ว่า นโยบายทั้ง 3 แนวทางของ “โฮลี่เฮิร์บ” ถือเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่สำคัญ ในการทำตลาดเพื่อสู่เป้าหมายในแต่ละปีที่วางไว้นั่นเอง!...
นอกจากนี้ บอสใหญ่ค่าย “โฮลี่เฮิร์บ” ยังเผยต่ออีกว่า สาเหตุที่เลือกมาทำธุรกิจเครือข่าย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมองว่าธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ดีอย่างหนึ่ง โดยมองว่าน่าจะเป็นธุรกิจที่สามารถกระจายสินค้าที่มีอยู่ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งที่โฮลี่เฮิร์บมีสินค้าที่ดีอยู่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่สำคัญ เป็นสินค้าที่มีการคัดสรรเป็นอย่างดี ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ และเชื่อว่าสินค้าของบริษัทฯ น่าที่จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลที่เปิดธุรกิจเครือข่ายนั่นก็คือ สินค้าของบริษัทฯ ส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งมองว่าตรงนี้ ถ้าขายไปแล้วอย่างน้อยก็ได้บุญ ที่สำคัญต้องการอยากที่จะให้คนไทยนั้นมีสุขภาพดี อายุยืนด้วย  
“เป้าหมายของบริษัทฯ นับจากนี้ ต้องการอยากที่จะเห็นคนไทยทั่วประเทศมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเราจะใช้ความสามารถของธุรกิจเครือข่ายเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมาเราเคยผ่านเครือข่ายมาเป็น 10 กว่าปีแล้ว ที่สำคัญ เราเองก็เคยมีเครือข่ายอยู่บ้างแล้ว โดยแต่ละคนต่างมีบริษัทเป็นของตัวเอง ซึ่งเราจะนำเครือข่ายทั้งหมดที่มีอยู่มารวมกัน เพื่อให้เกิดเครือข่ายขนาดใหญ่นั่นเอง”            
“นายแพทย์สุรพล” เผยต่ออีกว่า สิ่งที่ทำให้บริษัทฯ เกิดความมั่นใจตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ คือ วันนี้ผู้ร่วมงานเครือข่ายของเราทุกคน ส่วนใหญ่มีความสามารถแทบทั้งสิ้น ซึ่งความรู้อาจจะไม่เท่ากัน แต่เชื่อว่าความสามารถมีเท่ากัน คือ การเป็นนักขายที่ดี โดยการรวมตัวของเราในครั้งนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวย่างครั้งสำคัญทางธุรกิจเลยก็ว่าได้ ที่จะนำพาผู้ร่วมธุรกิจสำเร็จพร้อมกันในเป้าหมายเดียวกัน   
“ผมค่อนข้างที่จะเห็นคุณค่าของผู้ร่วมธุรกิจของเราทุกคน เพราะมองว่าทุกคนเป็นบุคคลที่มีคุณค่าทางสังคมค่อนข้างมาก ซึ่งคนพวกนี้ในปัจจุบันเรียกได้ว่ามีมาก ซึ่งถ้าหากเรานำเข้ามาทำงานตรงนี้แล้ว น่าที่จะพัฒนางานได้อีกเยอะ โดยสิ่งไหนที่เราไม่รู้ เขาไม่รู้ สามารถที่จะนำมาแลกเปลี่ยนกันได้ เพราะเชื่อว่าการทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ หากทำคนเดียวค่อนข้างที่จะสำเร็จยาก ซึ่งต้องช่วยกันธุรกิจที่ทำถึงจะสำเร็จ” 
“นายแพทย์สุรพล” บอกอีกว่า ผู้ร่วมธุรกิจที่เข้ามาทำธุรกิจกับโฮลี่เฮิร์บ ส่วนหนึ่งเกิดจากความเข้าใจ โดยการเข้ามาในช่วงแรกอาจจะต้องการสร้างอาชีพ ซึ่งความต้องการของผู้ที่สนใจธุรกิจกลุ่มนี้เอง น่าที่จะทำให้ธุรกิจนี้สามารถที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับประเทศได้ด้วย ที่สำคัญคนที่ทำงานกับโฮลี่เฮิร์บส่วนใหญ่เขาค่อนข้างที่จะประทับใจ โดยตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นคำตอบที่ดีที่สุด สำหรับผู้ร่วมธุรกิจที่ตัดสินใจเลือกที่จะทำธุรกิจกับเรา ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้โฮลี่เฮิร์บขยายงานได้เร็วมาก และเชื่อว่าเมื่อธุรกิจที่ประเทศไทยแข็งแกร่งเมื่อไหร่ บริษัทฯ พร้อมที่จะพุ่งเป้าขยายธุรกิจไปที่ต่างประเทศอย่างแน่นอน 
...ซึ่งเมื่อถามถึงแก่นแท้ของธุรกิจขายตรงในวันนี้ “นายแพทย์สุรพล” มองอย่างไร?....และก็ได้รับคำตอบว่า “สำหรับแก่นแท้ของธุรกิจขายตรงนั้น ตนเองมองว่า ธุรกิจต้องมีผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด สามารถจับต้องได้ ซึ่งที่โฮลี่เฮิร์บก็มีสินค้าที่ดีที่สุดเช่นกัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพ ที่สำคัญดีสำหรับมนุษย์ด้วย นั่นก็หมายความว่า การทำธุรกิจขายตรงในวันนี้ เรื่องของสินค้าถือเป็นตัวที่ตอบโจทย์ผู้ที่สนใจทำธุรกิจได้หันมาทำธุรกิจนั่นเอง  
ท้ายสุดนี้ “นายแพทย์สุรพล” ยังได้กล่าวย้ำอีกว่า “ความพร้อมของโฮลี่เฮิร์บในวันนี้ เรียกได้ว่าพร้อมทุกด้าน ซึ่งหากพูดในเรื่องของสินค้าแล้วล่ะก็ วันนี้บริษัทฯ มีมากกว่า 100 รายการ แต่วันนี้บริษัทฯ ได้เปิดตัวเพียงแค่ไม่ถึง 10 รายการก่อน โดยผลิตภัณฑ์ที่เป็นตัวเด่นของบริษัทฯ คือ ผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือ ที่ถือเป็นคิงส์ ออฟ เฮิร์บ ในบรรดาสมุนไพรทั่วโลก นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพผิว ที่จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่รักสวยรักงามด้วย ซึ่งหากใครที่ได้เข้ามาสู่ธุรกิจของโฮลี่เฮิร์บแล้ว กล้าพูดได้เลยว่าไม่มีคำว่าผิดหวังจริงๆ”      
จะเห็นได้ว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา “บริษัทขายตรงน้องใหม่” ที่กระโดดเข้ามาสู่ธุรกิจนี้ “เกิดง่าย-ตายเร็ว” ก็มีเยอะ ส่วนบริษัทที่เกิดมาพร้อมกับความพร้อมขององค์กรที่แข็งแกร่ง มีทีมงานที่รู้จักกลไกของธุรกิจดี เรียกได้ว่าวันนี้ก็มีหลายบริษัทที่สร้างชื่อเสียงจนหลายคนต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีก็มีเยอะเช่นกัน   
     ...นั่นก็หมายความว่า สิ่งที่ถือเป็นเกราะกำบังให้กับ “ขายตรงน้องใหม่” ที่ต้องการแจ้งเกิดในแวดวงธุรกิจนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ความพร้อม” ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เสมือนการออกรบ หาก “อาวุธ” ไม่พร้อม “กองกำลัง” ก็ไม่พร้อม แล้วกำลังพลหรือธุรกิจจะขับเคลื่อนไปได้อย่างไร?...ซึ่งวันนี้ทางด้าน “ขายตรงน้องใหม่” อย่าง “โฮลี่เฮิร์บ” ได้ประกาศความพร้อมเต็มที่แล้วว่า จะสานฝันให้คนไทยนั้นมีงาน มีอาชีพที่มั่นคง พร้อมกับได้ใช้สินค้าที่ดีมีคุณภาพ!... 
และนี่ถือเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทขายตรงน้องใหม่ที่เกิดขึ้นมาได้ไม่นานเท่านั้น แต่สามารถยืนหยัดธุรกิจมาจนถึงในวันนี้ได้ คงต้องบอกว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เชื่อว่าความพิเศษในการทำธุรกิจของค่ายขายตรงน้องใหม่ค่ายนี้ ในปี 2555 น่าที่จะก้าวมาสู่ความสำเร็จได้ไม่ยาก หากรู้จักรบและ รู้จักรับเป็น!!....

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 320 ประจำวันที่ 16 - 31 พฤษภาคม 2555         

เจาะเส้นทางขายตรงพันธุ์ใหม่ ‘โฮลี่เฮิร์บ (HOLYHERB)’ เน้นทำงานเป็นทีม/บุกตลาดด้วยสินค้าคุณภาพ


วันนี้ธุรกิจโฮลี่เฮิร์บต้องบอกว่า ค่อนข้างที่จะแตกต่างจากธุรกิจอื่น คือ การทำงานเราจะไม่บริหารเพียงคนเดียว แต่จะเน้นการทำงานเป็นทีมร่วมกัน ทุกคนจะมีความสำคัญเท่ากันหมด ซึ่งใครมีอะไรดีๆ เราจะมีการแชร์ความคิดเห็นร่วมกัน เพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดในการช่วยผลักดันให้องค์กรประสบความสำเร็จในอนาคต
เชื่อว่าหลายๆ ท่านในที่นี้ คงพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า “ธุรกิจขายตรง” ถือเป็นอีกหนึ่ง “ธุรกิจม้ามืด” ที่จะมาช่วย “พลิกฟื้นคืนชีพ” ให้สำหรับคนที่มีรายได้ไม่พอรายจ่าย หรือคนที่ว่างงานให้กับมามีรายได้ขึ้นมาอีกครั้งได้อย่างแน่นอน...ซึ่งที่ผ่านมา ต้องบอกว่าธุรกิจขายตรงไม่ค่อยที่จะได้รับการยอมรับจากสังคมมากเท่าไหร่!... 
แต่มาในวันนี้ ด้วยภาพลักษณ์ของธุรกิจนี้กลับดีขึ้นอย่างผิดหูผิดตา เพราะส่วนหนึ่งมาจาก มีตัวอย่างของผู้ที่ประสบความสำเร็จออกมาให้เห็นกันอย่างมากมาย จนเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ใครหลายคนอยากที่จะค้นหาและไขว่คว้ามันไว้ ซึ่งเชื่อว่าด้วยกลิ่นอายของธุรกิจที่ลงทุนน้อย แต่ได้ผลประโยชน์เกินคุ้ม น่าที่จะทำให้ใครหลายคนที่ได้เดินเข้ามาในธุรกิจนี้แล้ว ต้องหลงมนต์เสน่ห์ของธุรกิจนี้อย่างแน่นอน 
ซึ่งอีกมุมหนึ่งต้องยอมรับว่า การแข่งขันในธุรกิจขายตรงค่อนข้างที่จะดุเดือดเผ็ดร้อนขึ้นทุกวัน โดยส่วนใหญ่จะอาศัยการช่วงชิงจังหวะและโอกาสในการทำธุรกิจในการดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด และรักษาพื้นที่ตลาดของตัวเองเอาไว้ ทำให้หลายๆ ค่าย ในธุรกิจขายตรงต้องรื้อระบบ และปรับแผนสู้มากกว่าใช้แผนตั้งรับ ทั้งค่ายยักษ์ใหญ่ และค่ายยักษ์เล็ก ที่ต่างดิ้นรนปรับกลยุทธ์สู้รบกันทุกวิถีทาง เพื่อหวังที่จะดูดคนเข้ามาสู่ระบบเครือข่ายกันแทบทั้งนั้น.... 
...เช่นเดียวกับ “ธุรกิจขายตรงน้องใหม่” ที่เกิดขึ้นมาเพียงไม่กี่ปี ต่างก็ใช้จุดต่างที่ตนเองมี เพื่อสู้ศึกชิงแชร์ตลาดแบบหลากหลายรูปแบบเข้าสู้กันแทบทั้งนั้น...เห็นได้อย่างขายตรงน้องใหม่ “บริษัท โฮลี่เฮิร์บ จำกัด” ที่ดำเนินธุรกิจมาได้เพียงแค่ 1 ปีเท่านั้นเอง ก็ได้ใช้จุดต่างที่ตนเองมีออกมานำเสนอต่อผู้บริโภคด้วยเช่นกัน...ด้วยสโลแกนของบริษัทที่ว่า “โฮลี่เฮิร์บ สร้างสุขภาพ สร้างธุรกิจ สร้างความมั่นคง...ให้ชีวิต”...และนี่ก็เป็นอีกหนึ่งขายตรงน้องใหม่ที่ต้องบอกว่าไม่ควรกะพริบตาเลยทีเดียว    
สำหรับผู้บริหารที่คอยบัญชาเกมรบของธุรกิจ “โฮลี่เฮิร์บ” นั้นคือ “นายแพทย์สุรพล รักปทุม” ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ รวมถึงยังมีคณะทีมผู้บริหารคนสำคัญในการผลักดันองค์กรสู่ความสำเร็จ ไม่ว่าจะเป็น “กำธร ตรีวิศวเวทย์” ดำรงตำแหน่งประธานที่ปรึกษา, “อรอนงค์ ตรีวิศวเวทย์” ดำรงตำแหน่งรองประธานกรรมการ, “ประเสริฐ ภูติมหาตมะ” ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ และ “พรจิต พัวเพิ่มพูนศิริ” ดำรงตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป...ซึ่งทั้งหมดล้วนแล้วแต่เป็นทีมผู้บริหารที่เรียกได้ว่าค่อนข้างที่จะเป็นมืออาชีพแทบทั้งนั้น      
... “ปัจจุบันบริษัทของเราได้ทำการจดทะเบียนการค้าถูกต้องตามกฎหมาย ตั้งแต่วันที่ 27 มิถุนายน 2551และได้ทำการจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม ตั้งแต่วันที่ 17 กุมพาพันธ์ 2554 โดยเลขที่จดทะเบียน คือ 3033118933 ได้รับเอกสารรับรองการประกอบการจากสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ให้เปิดกิจการธุรกิจขายตรงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว วันนี้ทุกท่านที่เป็นสมาชิกของเรา จึงมั่นใจได้ว่าบริษัทของเราทำตามกฎหมาย และถูกต้องสมบูรณ์ทุกประการ”...บอสใหญ่ค่าย โฮลี่เฮิร์บ กล่าวย้ำ
ส่วนจุดเริ่มต้นของธุรกิจ “โฮลี่เฮิร์บ” มีความเป็นมาเป็นไปอย่างไรนั้น ทางด้าน “นายแพทย์สุรพล รักปทุม” ประธานกรรมการ บริษัท โฮลี่เฮิร์บ จำกัด ได้เผยต่อ “ตลาดวิเคราะห์” ว่า การเกิดขึ้นของ “โฮลี่เฮิร์บ” นั้น เกิดจากการรวมตัวของนักธุรกิจที่มีความสามารถในทางธุรกิจ ที่เคยประสบความสำเร็จมาแล้ว ซึ่งทีมผู้บริหารแต่ละท่านนั้น ส่วนใหญ่มีธุรกิจขนาดใหญ่เป็นของตัวเองแทบทั้งนั้น และมีเป้าหมายเดียวกันคือ ต้องการที่จะพาผู้ร่วมธุรกิจให้มีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น 
“วันนี้ธุรกิจโฮลี่เฮิร์บต้องบอกว่า ค่อนข้างที่จะแตกต่างจากธุรกิจอื่น คือ การทำงานเราจะไม่บริหารเพียงคนเดียว แต่จะเน้นการทำงานเป็นทีมร่วมกัน ทุกคนจะมีความสำคัญเท่ากันหมด ซึ่งใครมีอะไรดีๆ เราจะมีการแชร์ความคิดเห็นร่วมกัน เพื่อหาสิ่งที่ดีที่สุดในการช่วยผลักดันให้องค์กรประสบความสำเร็จในอนาคต” 
“นายแพทย์สุรพล” เผยต่อว่า “ความคิดที่จะเปิดบริษัทขายตรงที่ชื่อ “โฮลี่เฮิร์บ” นั้น ผมและเพื่อนๆ ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงเท่านั้นในการตัดสินใจ ด้วยเงินทุน 100 กว่าล้านบาท ที่สำคัญ พวกเราไม่ต้องการที่จะหวังผลกำไรอะไรมากมาย เพียงแค่ต้องการอยากที่จะสร้างงานให้กับผู้ที่ต้องการมาร่วมธุรกิจกับเราให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นเท่านั้นเอง อีกส่วนหนึ่งก็ต้องการทำเพื่อสังคมด้วย และเชื่อว่าด้วยศักยภาพของพวกเราที่สั่งสมประสบการณ์ทางด้านธุรกิจใหญ่ๆ มานาน น่าที่จะช่วยสร้างประโยชน์ให้กับสังคมและสร้างประโยชน์ให้กับประเทศชาติได้ไม่มากก็น้อยด้วยเช่นกัน” 
…สำหรับนโยบายการดำเนินธุรกิจโฮลี่เฮิร์บนั้น พบว่า ค่ายนี้ได้มีการกำหนดนโยบายไว้ 3 แนวทางด้วยกันคือ แนวทางที่ 1 สร้างธุรกิจเครือข่ายขายตรงของบริษัทฯ ให้ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วตามเป้าหมายระยะแรก 5 ปี ประกอบด้วย เป้าหมายปีแรก (ปี 2555) มียอดขายอยู่ที่ 50 ล้านบาท, เป้าหมายปีที่ 2 (ปี 2556) มียอดขายอยู่ที่ 150 ล้านบาท, เป้าหมายปีที่ 3 (ปี2557) มียอดขายอยู่ที่ 450 ล้านบาท, เป้าหมายปีที่ 4 (ปี2558) มียอดขายอยู่ที่ 1,350 ล้านบาท, และเป้าหมายปีที่ 5 (ปี2559) มียอดขายอยู่ที่ 4,050 ล้านบาท...ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งเป้าหมายที่ต้องบอกว่าน่าจับตามองอย่างมากทีเดียวสำหรับขายตรงน้องใหม่ค่ายนี้ที่เพิ่งเกิดขึ้นมาได้เพียง 1 ปีเท่านั้น!!
แนวทางที่ 2 สร้างผู้นำที่ดีมีความทุ่มเท เสียสละ เป็นแบบอย่างให้คนเครือข่าย และสนับสนุนสมาชิกที่มีศักยภาพเป็นผู้นำ มีความตั้งใจ ให้ออกทีวีและสื่อต่างๆ รวมถึงการส่งเสริมสมาชิกผู้นำให้มีโอกาสต่อยอดประสบการณ์ในงานประชุมต่างๆ ของบริษัทฯ รวมทั้งการจัดงานประกาศเกียรติคุณยกย่องสมาชิกที่ประสบความสำเร็จทุกเดือน และจัดทำ VTR บันทึกภาพกิจกรรมต่างๆ เพื่อเผยแพร่อย่างต่อเนื่องภายในบริษัทฯ 
และแนวทางที่ 3 สร้างองค์กรให้เป็นที่ยอมรับต่อสาธารณชน ให้มีความเข้มแข็งเป็นประโยชน์และทรงประสิทธิภาพ ด้วยการปลูกฝังความคิดองค์กรให้มีความสุจริต เที่ยงธรรม มีกติกา มีกฎเกณฑ์ตามหลักจรรยาบรรณของผู้ประกอบวิชาชีพขายตรงระดับโลก รวมถึงการสร้างกลุ่มลูกค้าใหม่ ในกลุ่มคนรุ่นใหม่เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยใช้สื่อที่ทันสมัย และมีผลิตภัณฑ์ที่น่าประทับใจเหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายและให้โอกาสสร้างผลสำเร็จ จากรายได้ตามแผนการตลาดที่ดี โปร่งใสและถูกต้องแม่นยำ 
ขณะเดียวกัน ก็จะมีการสร้างระบบการควบคุมคุณภาพให้ดีสม่ำเสมอ มีการนำผลิตภัณฑ์ที่สามารถป้อนเข้าสู่ตลาดผู้บริโภคได้อย่างต่อเนื่องทันเวลา พร้อมกับการสร้างกิจกรรมพิเศษที่จะเป็นประโยชน์ต่อสาธารณะร่วมกับสมาชิกเพื่อแสดงออกถึงความเสียสละที่พร้อมให้แก่สังคม เป็นต้น...เรียกได้ว่า นโยบายทั้ง 3 แนวทางของ “โฮลี่เฮิร์บ” ถือเป็นอีกหนึ่งจุดแข็งที่สำคัญ ในการทำตลาดเพื่อสู่เป้าหมายในแต่ละปีที่วางไว้นั่นเอง!...
นอกจากนี้ บอสใหญ่ค่าย “โฮลี่เฮิร์บ” ยังเผยต่ออีกว่า สาเหตุที่เลือกมาทำธุรกิจเครือข่าย ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมองว่าธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่ดีอย่างหนึ่ง โดยมองว่าน่าจะเป็นธุรกิจที่สามารถกระจายสินค้าที่มีอยู่ได้อย่างรวดเร็ว ซึ่งที่โฮลี่เฮิร์บมีสินค้าที่ดีอยู่หลากหลายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ที่สำคัญ เป็นสินค้าที่มีการคัดสรรเป็นอย่างดี ส่วนใหญ่เป็นสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ และเชื่อว่าสินค้าของบริษัทฯ น่าที่จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ส่วนอีกหนึ่งเหตุผลที่เปิดธุรกิจเครือข่ายนั่นก็คือ สินค้าของบริษัทฯ ส่วนใหญ่จะเป็นเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งมองว่าตรงนี้ ถ้าขายไปแล้วอย่างน้อยก็ได้บุญ ที่สำคัญต้องการอยากที่จะให้คนไทยนั้นมีสุขภาพดี อายุยืนด้วย  
“เป้าหมายของบริษัทฯ นับจากนี้ ต้องการอยากที่จะเห็นคนไทยทั่วประเทศมีสุขภาพที่ดี ซึ่งเรื่องนี้ถือเป็นสิ่งที่สำคัญ โดยเราจะใช้ความสามารถของธุรกิจเครือข่ายเป็นตัวขับเคลื่อนธุรกิจ ซึ่งที่ผ่านมาเราเคยผ่านเครือข่ายมาเป็น 10 กว่าปีแล้ว ที่สำคัญ เราเองก็เคยมีเครือข่ายอยู่บ้างแล้ว โดยแต่ละคนต่างมีบริษัทเป็นของตัวเอง ซึ่งเราจะนำเครือข่ายทั้งหมดที่มีอยู่มารวมกัน เพื่อให้เกิดเครือข่ายขนาดใหญ่นั่นเอง”            
“นายแพทย์สุรพล” เผยต่ออีกว่า สิ่งที่ทำให้บริษัทฯ เกิดความมั่นใจตั้งแต่เริ่มต้นธุรกิจ คือ วันนี้ผู้ร่วมงานเครือข่ายของเราทุกคน ส่วนใหญ่มีความสามารถแทบทั้งสิ้น ซึ่งความรู้อาจจะไม่เท่ากัน แต่เชื่อว่าความสามารถมีเท่ากัน คือ การเป็นนักขายที่ดี โดยการรวมตัวของเราในครั้งนี้ อาจเรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งก้าวย่างครั้งสำคัญทางธุรกิจเลยก็ว่าได้ ที่จะนำพาผู้ร่วมธุรกิจสำเร็จพร้อมกันในเป้าหมายเดียวกัน   
“ผมค่อนข้างที่จะเห็นคุณค่าของผู้ร่วมธุรกิจของเราทุกคน เพราะมองว่าทุกคนเป็นบุคคลที่มีคุณค่าทางสังคมค่อนข้างมาก ซึ่งคนพวกนี้ในปัจจุบันเรียกได้ว่ามีมาก ซึ่งถ้าหากเรานำเข้ามาทำงานตรงนี้แล้ว น่าที่จะพัฒนางานได้อีกเยอะ โดยสิ่งไหนที่เราไม่รู้ เขาไม่รู้ สามารถที่จะนำมาแลกเปลี่ยนกันได้ เพราะเชื่อว่าการทำธุรกิจอะไรก็แล้วแต่ หากทำคนเดียวค่อนข้างที่จะสำเร็จยาก ซึ่งต้องช่วยกันธุรกิจที่ทำถึงจะสำเร็จ” 
“นายแพทย์สุรพล” บอกอีกว่า ผู้ร่วมธุรกิจที่เข้ามาทำธุรกิจกับโฮลี่เฮิร์บ ส่วนหนึ่งเกิดจากความเข้าใจ โดยการเข้ามาในช่วงแรกอาจจะต้องการสร้างอาชีพ ซึ่งความต้องการของผู้ที่สนใจธุรกิจกลุ่มนี้เอง น่าที่จะทำให้ธุรกิจนี้สามารถที่จะเอื้อประโยชน์ให้กับประเทศได้ด้วย ที่สำคัญคนที่ทำงานกับโฮลี่เฮิร์บส่วนใหญ่เขาค่อนข้างที่จะประทับใจ โดยตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา ถือได้ว่าเป็นคำตอบที่ดีที่สุด สำหรับผู้ร่วมธุรกิจที่ตัดสินใจเลือกที่จะทำธุรกิจกับเรา ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้โฮลี่เฮิร์บขยายงานได้เร็วมาก และเชื่อว่าเมื่อธุรกิจที่ประเทศไทยแข็งแกร่งเมื่อไหร่ บริษัทฯ พร้อมที่จะพุ่งเป้าขยายธุรกิจไปที่ต่างประเทศอย่างแน่นอน 
...ซึ่งเมื่อถามถึงแก่นแท้ของธุรกิจขายตรงในวันนี้ “นายแพทย์สุรพล” มองอย่างไร?....และก็ได้รับคำตอบว่า “สำหรับแก่นแท้ของธุรกิจขายตรงนั้น ตนเองมองว่า ธุรกิจต้องมีผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุด สามารถจับต้องได้ ซึ่งที่โฮลี่เฮิร์บก็มีสินค้าที่ดีที่สุดเช่นกัน ทั้งในประเทศและต่างประเทศ โดยเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับสุขภาพ ที่สำคัญดีสำหรับมนุษย์ด้วย นั่นก็หมายความว่า การทำธุรกิจขายตรงในวันนี้ เรื่องของสินค้าถือเป็นตัวที่ตอบโจทย์ผู้ที่สนใจทำธุรกิจได้หันมาทำธุรกิจนั่นเอง  
ท้ายสุดนี้ “นายแพทย์สุรพล” ยังได้กล่าวย้ำอีกว่า “ความพร้อมของโฮลี่เฮิร์บในวันนี้ เรียกได้ว่าพร้อมทุกด้าน ซึ่งหากพูดในเรื่องของสินค้าแล้วล่ะก็ วันนี้บริษัทฯ มีมากกว่า 100 รายการ แต่วันนี้บริษัทฯ ได้เปิดตัวเพียงแค่ไม่ถึง 10 รายการก่อน โดยผลิตภัณฑ์ที่เป็นตัวเด่นของบริษัทฯ คือ ผลิตภัณฑ์เห็ดหลินจือ ที่ถือเป็นคิงส์ ออฟ เฮิร์บ ในบรรดาสมุนไพรทั่วโลก นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังมีผลิตภัณฑ์บำรุงสุขภาพผิว ที่จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้ที่รักสวยรักงามด้วย ซึ่งหากใครที่ได้เข้ามาสู่ธุรกิจของโฮลี่เฮิร์บแล้ว กล้าพูดได้เลยว่าไม่มีคำว่าผิดหวังจริงๆ”      
จะเห็นได้ว่า ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา “บริษัทขายตรงน้องใหม่” ที่กระโดดเข้ามาสู่ธุรกิจนี้ “เกิดง่าย-ตายเร็ว” ก็มีเยอะ ส่วนบริษัทที่เกิดมาพร้อมกับความพร้อมขององค์กรที่แข็งแกร่ง มีทีมงานที่รู้จักกลไกของธุรกิจดี เรียกได้ว่าวันนี้ก็มีหลายบริษัทที่สร้างชื่อเสียงจนหลายคนต่างรู้จักกันเป็นอย่างดีก็มีเยอะเช่นกัน   
     ...นั่นก็หมายความว่า สิ่งที่ถือเป็นเกราะกำบังให้กับ “ขายตรงน้องใหม่” ที่ต้องการแจ้งเกิดในแวดวงธุรกิจนี้ คงปฏิเสธไม่ได้ว่า “ความพร้อม” ถือเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด เสมือนการออกรบ หาก “อาวุธ” ไม่พร้อม “กองกำลัง” ก็ไม่พร้อม แล้วกำลังพลหรือธุรกิจจะขับเคลื่อนไปได้อย่างไร?...ซึ่งวันนี้ทางด้าน “ขายตรงน้องใหม่” อย่าง “โฮลี่เฮิร์บ” ได้ประกาศความพร้อมเต็มที่แล้วว่า จะสานฝันให้คนไทยนั้นมีงาน มีอาชีพที่มั่นคง พร้อมกับได้ใช้สินค้าที่ดีมีคุณภาพ!... 
และนี่ถือเป็นส่วนหนึ่งของบริษัทขายตรงน้องใหม่ที่เกิดขึ้นมาได้ไม่นานเท่านั้น แต่สามารถยืนหยัดธุรกิจมาจนถึงในวันนี้ได้ คงต้องบอกว่าไม่ธรรมดาอย่างแน่นอน เชื่อว่าความพิเศษในการทำธุรกิจของค่ายขายตรงน้องใหม่ค่ายนี้ ในปี 2555 น่าที่จะก้าวมาสู่ความสำเร็จได้ไม่ยาก หากรู้จักรบและ รู้จักรับเป็น!!....

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 320 ประจำวันที่ 16 - 31 พฤษภาคม 2555