ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันเสาร์ที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2555

ผ่าเกมรบตะปบสมาชิกรุ่นใหม่ เอม สตาร์ - Aim Star ลุยต่อ แอสนี่ โมเดล-ASNI MODEL ล่ายอดข้ามแดน!


ถอดรหัสเกมบุก เอมสตาร์ เดินหน้าลุย ASNI GUEST MODEL CONTEST เร่งเครื่องกิจกรรมหลักหวังกระชากกลุ่มเลือดใหม่เข้าสู่ธุรกิจอีกครั้งหลังสร้างปรากฏการณ์ปั้นความแรงเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมากางตำราลุยหนักอัดฉีดเม็ดเงินสนับสนุนลงกิจกรรมไม่อั้นหวังจุดกระแสธุรกิจและสินค้าผ่านคนหนุ่ม - สาวที่เข้าร่วมประกวด...พร้อมลุยต่างประเทศรับเปิดเสรีอาเซียนเตรียมส่ง แอสนี่โมเดล นำร่องกัมพูชาปั้นหนุ่มสาวหน้าใหม่ล่ายอดขายข้ามประเทศ...!!!


...เอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค-Aim Star Network เคยถูกขนานนามเป็นให้เป็น นางเอกขายตรง ด้วยความร้อนแรง ใคร ๆ ต่างพากันพูดถึงการมาของเธอ โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา เด็กจบใหม่ ที่ เอม สตาร์ เข้าไปเพาะเชื้อทางความคิด กับคำว่า นักธุรกิจอิสระ เอม สตาร์ พุ่งเป้าไปที่ กลุ่มเลือดใหม่ ที่ในวันนี้บรรดาสมาชิกขายตรงหลายค่ายต่างเฮโลกันมาฝากความหวัง แทนขายตรงรุ่นเก่า ที่รักกันจริงแต่ทิ้งกันจัง และ เอม สตาร์ ทำได้ก่อนใคร 90% จากสมาชิกทั้ง 2 ล้านรหัส คือเลือดใหม่ที่ไม่เคยทำขายตรงมาก่อน
ASNI GUEST MODEL CONTEST เป็นกิจกรรมหลักที่ เอม สตาร์ ใช้ดักฐานวัยรุ่นสาวที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนางแบบ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำและต่อเนื่องมา 6 ปีแล้ว กำหนดคุณสมบัติชัดเจนว่า ผู้เข้าประกวดทุกคนต้องเป็นนักธุรกิจ เอม สตาร์ อายุระหว่าง 18-30 ปี และมีประสบการณ์อย่างต่อเนื่องในการใช้ผลิตภัณฑ์แอสนี่เพื่อดูแลผิว รวมถึงความสามารถในการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแอสนี่ด้วยตัวเอง ในปีนี้การประกวดได้เพิ่มรางวัล แอสนี่ ประเภทชายเข้ามา ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า เอม สตาร์ จะลุยตลาด ผู้ชายดูดี
ทญ.ลภา วัชรศรีโรจน์ ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท เอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด เปิดเผยถึงการประกวดว่า ในปีที่ 7 นี้ ได้มีการปรับเพิ่มการประกวดนายแบบขึ้นมาเป็นปีแรก เพื่อเป็นตัวแทนผู้ชายที่ใช้ผลิตภัณฑ์แอสนี่ ภายในงานประกวด แอสนี่ แมน แอน วูแมน ปี 2555 บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวผู้ชายคือ แอสนี่ ฟอร์ เมน: ไนท์ ดีเฟ้นซ์ ตอบโจทย์สภาพผิวผู้ชายได้อย่างตรงใจ
กระแสการตอบรับในปีนี้ แรงกว่าทุกปี โดยมีผู้สมัครเข้ามาประกวด 1,030 คน จากสมาชิก เอม สตาร์ ทั่วประเทศ และผ่านการคัดเลือกเหลือผู้ประกวดทั้งชายและหญิง 40 คน เพื่อเข้าสู่แคมป์แอสนี่ 2 วัน 1 คืน ณ วีรันดารีสอร์ท แอนด์ สปา หัวหิน โดยในแคมป์จะมีการเข้มงวดเรื่องของการพัฒนาบุคลิกภาพ ฝึกการเดินแบบ แต่งหน้า และกิจกรรมเพื่อสร้างสายสัมพันธ์และมิตรภาพระหว่างผู้เข้าประกวด ก่อนจะมาตัดสินผู้ชนะเลิศในวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา ณ แฟชั่นฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ
ยอมรับว่า สมาชิกหนุ่ม - สาวที่มาประกวดกันในวันนั้น สวย หล่อ ขาว ใส หุ่นดี มีกล้าม เรียกว่า สวยเสร็จ หล่อเช็ด กันทุกคน และผู้ชนะเลิศ ASNI MAN 2012 ได้แก่ คุณเอกลักษณ์ วรรณภิระ อายุ 29 ปี บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ส่วนรางวัลชนะเลิศ ASNI WOMAN 2012 ตกเป็นของ คุณสะคราญกมล อุทัยศรี อายุ 23 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยนานาชาติ Stam Ford ผู้ชนะเลิศได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท นอกจากนี้ผู้ชนะการประกวดและรองทั้ง 8 คน จะได้รับโล่รางวัล พร้อมแพ็คแกจทัวร์สู่การท่องเที่ยวและร่วมสัมมนา ณ เอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค ประเทศญี่ปุ่น
ธุรกิจ เอม สตาร์ ในประเทศไทยมีประชากร 60 ล้านคน ถ้าเรามาเชื่อมต่ออีกหลายๆ ประเทศเป็น AEC หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อีกหน่อยตลาดของเราจะไม่ใช่แค่ 60 ล้านคน แค่เป็น 600 ล้านคน ถามว่าเรามีอะไรที่เป็นกิจกรรมรองรับ ปลายปีนี้ เอม สตาร์ เตรียมการประกวด แอสนี่ แมน แอนด์ วูแมน ที่ประเทศกัมพูชา โดยใช้กฎกติกาเหมือนกัน คือต้องเป็นนักธุรกิจเอม สตาร์ อายุระหว่าง 18-30 ปี แต่จะมีผู้ชนะและรองชนะเลิศ 3 คน ขณะประกาศรับสมัครหนุ่มสาวทั่วกัมพูชา ส่วนประเทศอื่น ๆ เราก็วางแผนที่จะไปจัดประกวดให้ครบ ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป
คุณหมอ กล่าวต่อว่า เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว ตั้งแต่มีอินเตอร์เน็ต ข่าวสารต่าง ๆ มันถึงกันหมด ประเทศไหนที่เปิดตัวเอง ข่าวสารก็จะหลั่งไหลไปหา แล้วเขาจะเปลี่ยนตัวเองเร็วมาก ผลตอบรับที่กัมพูชาดีมาก ตอนนี้เราขยายศูนย์จากเดิมที่เป็นห้องแถวสองคูหา ก็ขยับขยายไปอยู่บนพนมเปญทาวเวอร์ มีพื้นที่กว้างขวางรองรับสมาชิกได้มากขึ้น คาดว่าอีกประมาณ 2 เดือนน่าจะเปิดทำการได้
หากถามถึงการลงทุนในธุรกิจทีวี ดาวเทียม ทญ.ลพายอมรับตามตรงว่า ไม่ใช่ทางถนัด การนำคนไปล่าความฝันมากกว่า ถ้าเราไม่ออกเดินทาง เราก็คว้าอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเราเริ่มออกเดินทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น
ทญ.ลพา กล่าวถึงธุรกิจขายตรงในปัจจุบันนี้ว่า มีธุรกิจเปิดใหม่ในวงการซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้วงการขายตรงมีศักยภาพมากขึ้น ไม่ได้มองว่าธุรกิจอื่นเป็นคู่แข่ง แต่มองว่าทุกบริษัทจะทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมดีขึ้น ส่วนทางด้าน เอม สตาร์ คาดว่าปีนี้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยจะเร่งเต็มกำลังตั้งแต่ต้นปี ทางด้านกิจกรรมสนับสนุนทางการตลาด และการให้ความรู้สมาชิก เนื่องจากยังหวั่นถึงสถานการณ์ที่เกินการควบคุมขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะเรื่องของการเมืองและภัยธรรมชาติ ขณะนี้สถานการณ์อยู่ในภาวะปกติต้องใช้เวลาให้มีค่าในการเร่งเครื่องให้ได้ยอดขายอย่างเต็มศักยภาพ
ในปีที่ผ่านมา เราเปิดยอดขายได้ที่ 4,203 ล้านบาท เราตั้งใจว่าเราจะทำยอดขายทะลุ 10,000 ล้านบาทให้จงได้ ทุกวันนี้เราทำ เอม สตาร์ ด้วยความสุข เราไม่กลัวเหนื่อย เราจะนำคนให้ไปสู่ความสำเร็จให้มากกว่าเดิม เราเชื่อมั่นว่าเราสามารถดูแลคนได้ดีมาก ๆ ต่อไปนี้เรามีอะไรอีกหลาย ๆ อย่างในการก้าวไปสู่เบอร์ 1 เราไม่คิดว่าเราจะไปแข่งขันกับใคร เราคิดเพียงจะแข่งกับตัวเอง
ปัจจุบัน เอม สตาร์ ขยาย สาขาตั้งอยู่ใน 4 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย กัมพูชา ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น 4 ประเทศที่กล่าวมา ก็ยังสามารถเชื่อมต่อกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะที่การเติบโตที่สาขาในสหรัฐอเมริกาซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปนั้น ค่อนข้างมีอัตราการเติบโตที่น่าพอใจ เพียง 7 เดือน สามารถสร้างยอดได้ 45 ล้านบาท
ปัจจุบัน เอม สตาร์ มีสมาชิกทั้งหมดประมาณ 2,000,000 รหัส ACTIVE 600,000 รหัส สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่า เอม สตาร์ ไม่ใช่กระแส แต่เติบโตและแข็งแรง เป้าหมายทางด้านยอดขายของเรายังคงอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท แต่สิ่งที่สวยงามกว่านั้น ก็คือ การนำพาผู้คนจำนวนมาก เดินร่วมทางไปสู่ความสำเร็จฝนชีวิต นี่คือเป้าหมายของ เอม สตาร์
เราจัดงานเอ็กซ์โป ติดต่อกันมาเป็นปีที่ 7 งานเอ็กซ์โปของเราถือเป็นหนึ่งโอกาส ให้ทุกคนได้เห็นถึงความสวยงามของธุรกิจอย่างแท้จริง และงานนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมแรงร่วมใจกันของนักธุรกิจ เอม สตาร์ (Aim star Network)
เอม สตาร์ เป็นธุรกิจที่ทำไม่ยาก ใครเดินเข้ามาก็สามารถประสบความสำเร็จได้ สินค้าถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทางบริษัทให้ความสำคัญในลำดับต้น ๆ หากไม่มีสินค้าก็ไม่สามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้ ทางบริษัทได้ผนวกสินค้าให้เข้ากับความสุข โดยใช้แผนการตลาดเป็นตัวเชื่อม
เราให้ความสำคัญกับตัวสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องคุณภาพของสินค้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าในกลุ่มไหน เราพยายามที่จะนำเสนอสินค้าที่ดีมีคุณภาพสู่ท้องตลาด นี่เปรียบเสมือนแรงขับที่ทำให้เราเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เอม สตาร์ ถือเป็นบริษัทขายตรงที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว พวกเขาใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีก้าวขึ้นสู่บริษัทหัวแถวในธุรกิจขายตรงเมืองไทย สามารถสร้างยอดขายได้หลายพันล้านบาท เป้าหมายใหญ่ ของ เอม สตาร์ ภายใต้การนำของ ทญ.ลพา วัชร ศรีโรจน์ คือการนำพาองค์กรไปสู่ยอดขาย 10,000 ล้านให้จงได้ เท่านั้นยังไม่พอ ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป เอม สตาร์ เดินหน้าปรับอะไรอีกหลาย ๆ อย่างเพื่อก้าวสู่การเป็นเบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรมขายตรงเมืองไทย!!!


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่323 ประจำวันที่1 - 15 กรกฏาคม 2555

ผ่าเกมรบตะปบสมาชิกรุ่นใหม่ ‘เอม สตาร์ - Aim Star’ ลุยต่อ ‘แอสนี่ โมเดล-ASNI MODEL’ ล่ายอดข้ามแดน!


ถอดรหัสเกมบุก “เอมสตาร์” เดินหน้าลุย “ASNI GUEST MODEL CONTEST” เร่งเครื่องกิจกรรมหลักหวังกระชากกลุ่มเลือดใหม่เข้าสู่ธุรกิจอีกครั้งหลังสร้างปรากฏการณ์ปั้นความแรงเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมากางตำราลุยหนักอัดฉีดเม็ดเงินสนับสนุนลงกิจกรรมไม่อั้นหวังจุดกระแสธุรกิจและสินค้าผ่านคนหนุ่ม - สาวที่เข้าร่วมประกวด...พร้อมลุยต่างประเทศรับเปิดเสรีอาเซียนเตรียมส่ง “แอสนี่โมเดล” นำร่องกัมพูชาปั้นหนุ่มสาวหน้าใหม่ล่ายอดขายข้ามประเทศ...!!!


...“เอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค-Aim Star Network” เคยถูกขนานนามเป็นให้เป็น “นางเอกขายตรง” ด้วยความร้อนแรง ใคร ๆ ต่างพากันพูดถึงการมาของเธอ โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา เด็กจบใหม่ ที่ เอม สตาร์ เข้าไปเพาะเชื้อทางความคิด กับคำว่า “นักธุรกิจอิสระ” เอม สตาร์ พุ่งเป้าไปที่ “กลุ่มเลือดใหม่” ที่ในวันนี้บรรดาสมาชิกขายตรงหลายค่ายต่างเฮโลกันมาฝากความหวัง แทนขายตรงรุ่นเก่า ที่รักกันจริงแต่ทิ้งกันจัง และ “เอม สตาร์” ทำได้ก่อนใคร 90% จากสมาชิกทั้ง 2 ล้านรหัส คือเลือดใหม่ที่ไม่เคยทำขายตรงมาก่อน 
“ASNI GUEST MODEL CONTEST” เป็นกิจกรรมหลักที่ “เอม สตาร์” ใช้ดักฐานวัยรุ่นสาวที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนางแบบ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำและต่อเนื่องมา 6 ปีแล้ว กำหนดคุณสมบัติชัดเจนว่า ผู้เข้าประกวดทุกคนต้องเป็นนักธุรกิจ เอม สตาร์ อายุระหว่าง 18-30 ปี และมีประสบการณ์อย่างต่อเนื่องในการใช้ผลิตภัณฑ์แอสนี่เพื่อดูแลผิว รวมถึงความสามารถในการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแอสนี่ด้วยตัวเอง ในปีนี้การประกวดได้เพิ่มรางวัล แอสนี่ ประเภทชายเข้ามา ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า เอม สตาร์ จะลุยตลาด ‘ผู้ชายดูดี”
ทญ.ลภา วัชรศรีโรจน์ ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท เอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด เปิดเผยถึงการประกวดว่า “ในปีที่ 7 นี้ ได้มีการปรับเพิ่มการประกวดนายแบบขึ้นมาเป็นปีแรก เพื่อเป็นตัวแทนผู้ชายที่ใช้ผลิตภัณฑ์แอสนี่ ภายในงานประกวด แอสนี่ แมน แอน วูแมน ปี 2555 บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวผู้ชายคือ แอสนี่ ฟอร์ เมน: ไนท์ ดีเฟ้นซ์ ตอบโจทย์สภาพผิวผู้ชายได้อย่างตรงใจ” 
กระแสการตอบรับในปีนี้ แรงกว่าทุกปี โดยมีผู้สมัครเข้ามาประกวด 1,030 คน จากสมาชิก เอม สตาร์ ทั่วประเทศ และผ่านการคัดเลือกเหลือผู้ประกวดทั้งชายและหญิง 40 คน เพื่อเข้าสู่แคมป์แอสนี่ 2 วัน 1 คืน ณ วีรันดารีสอร์ท แอนด์ สปา หัวหิน โดยในแคมป์จะมีการเข้มงวดเรื่องของการพัฒนาบุคลิกภาพ ฝึกการเดินแบบ แต่งหน้า และกิจกรรมเพื่อสร้างสายสัมพันธ์และมิตรภาพระหว่างผู้เข้าประกวด ก่อนจะมาตัดสินผู้ชนะเลิศในวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา ณ แฟชั่นฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ 
ยอมรับว่า สมาชิกหนุ่ม - สาวที่มาประกวดกันในวันนั้น สวย หล่อ ขาว ใส หุ่นดี มีกล้าม เรียกว่า สวยเสร็จ หล่อเช็ด กันทุกคน และผู้ชนะเลิศ ASNI MAN 2012 ได้แก่ คุณเอกลักษณ์ วรรณภิระ อายุ 29 ปี บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ส่วนรางวัลชนะเลิศ ASNI WOMAN 2012 ตกเป็นของ คุณสะคราญกมล อุทัยศรี อายุ 23 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยนานาชาติ Stam Ford ผู้ชนะเลิศได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท นอกจากนี้ผู้ชนะการประกวดและรองทั้ง 8 คน จะได้รับโล่รางวัล พร้อมแพ็คแกจทัวร์สู่การท่องเที่ยวและร่วมสัมมนา ณ เอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค ประเทศญี่ปุ่น 
ธุรกิจ เอม สตาร์ ในประเทศไทยมีประชากร 60 ล้านคน ถ้าเรามาเชื่อมต่ออีกหลายๆ ประเทศเป็น AEC หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อีกหน่อยตลาดของเราจะไม่ใช่แค่ 60 ล้านคน แค่เป็น 600 ล้านคน ถามว่าเรามีอะไรที่เป็นกิจกรรมรองรับ ปลายปีนี้ เอม สตาร์ เตรียมการประกวด แอสนี่ แมน แอนด์ วูแมน ที่ประเทศกัมพูชา โดยใช้กฎกติกาเหมือนกัน คือต้องเป็นนักธุรกิจเอม สตาร์ อายุระหว่าง 18-30 ปี แต่จะมีผู้ชนะและรองชนะเลิศ 3 คน ขณะประกาศรับสมัครหนุ่มสาวทั่วกัมพูชา ส่วนประเทศอื่น ๆ เราก็วางแผนที่จะไปจัดประกวดให้ครบ ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป 
คุณหมอ กล่าวต่อว่า เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว ตั้งแต่มีอินเตอร์เน็ต ข่าวสารต่าง ๆ มันถึงกันหมด ประเทศไหนที่เปิดตัวเอง ข่าวสารก็จะหลั่งไหลไปหา แล้วเขาจะเปลี่ยนตัวเองเร็วมาก ผลตอบรับที่กัมพูชาดีมาก ตอนนี้เราขยายศูนย์จากเดิมที่เป็นห้องแถวสองคูหา ก็ขยับขยายไปอยู่บนพนมเปญทาวเวอร์ มีพื้นที่กว้างขวางรองรับสมาชิกได้มากขึ้น คาดว่าอีกประมาณ 2 เดือนน่าจะเปิดทำการได้ 
หากถามถึงการลงทุนในธุรกิจทีวี ดาวเทียม ทญ.ลพายอมรับตามตรงว่า ไม่ใช่ทางถนัด การนำคนไปล่าความฝันมากกว่า ถ้าเราไม่ออกเดินทาง เราก็คว้าอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเราเริ่มออกเดินทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น 
ทญ.ลพา กล่าวถึงธุรกิจขายตรงในปัจจุบันนี้ว่า มีธุรกิจเปิดใหม่ในวงการซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้วงการขายตรงมีศักยภาพมากขึ้น ไม่ได้มองว่าธุรกิจอื่นเป็นคู่แข่ง แต่มองว่าทุกบริษัทจะทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมดีขึ้น ส่วนทางด้าน เอม สตาร์ คาดว่าปีนี้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยจะเร่งเต็มกำลังตั้งแต่ต้นปี ทางด้านกิจกรรมสนับสนุนทางการตลาด และการให้ความรู้สมาชิก เนื่องจากยังหวั่นถึงสถานการณ์ที่เกินการควบคุมขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะเรื่องของการเมืองและภัยธรรมชาติ ขณะนี้สถานการณ์อยู่ในภาวะปกติต้องใช้เวลาให้มีค่าในการเร่งเครื่องให้ได้ยอดขายอย่างเต็มศักยภาพ 
“ในปีที่ผ่านมา เราเปิดยอดขายได้ที่ 4,203 ล้านบาท เราตั้งใจว่าเราจะทำยอดขายทะลุ 10,000 ล้านบาทให้จงได้ ทุกวันนี้เราทำ เอม สตาร์ ด้วยความสุข เราไม่กลัวเหนื่อย เราจะนำคนให้ไปสู่ความสำเร็จให้มากกว่าเดิม เราเชื่อมั่นว่าเราสามารถดูแลคนได้ดีมาก ๆ ต่อไปนี้เรามีอะไรอีกหลาย ๆ อย่างในการก้าวไปสู่เบอร์ 1 เราไม่คิดว่าเราจะไปแข่งขันกับใคร เราคิดเพียงจะแข่งกับตัวเอง” 
ปัจจุบัน เอม สตาร์ ขยาย สาขาตั้งอยู่ใน 4 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย กัมพูชา ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น 4 ประเทศที่กล่าวมา ก็ยังสามารถเชื่อมต่อกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะที่การเติบโตที่สาขาในสหรัฐอเมริกาซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปนั้น ค่อนข้างมีอัตราการเติบโตที่น่าพอใจ เพียง 7 เดือน สามารถสร้างยอดได้ 45 ล้านบาท 
ปัจจุบัน เอม สตาร์ มีสมาชิกทั้งหมดประมาณ 2,000,000 รหัส ACTIVE 600,000 รหัส สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่า เอม สตาร์ ไม่ใช่กระแส แต่เติบโตและแข็งแรง เป้าหมายทางด้านยอดขายของเรายังคงอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท แต่สิ่งที่สวยงามกว่านั้น ก็คือ การนำพาผู้คนจำนวนมาก เดินร่วมทางไปสู่ความสำเร็จฝนชีวิต นี่คือเป้าหมายของ เอม สตาร์ 
“เราจัดงานเอ็กซ์โป ติดต่อกันมาเป็นปีที่ 7 งานเอ็กซ์โปของเราถือเป็นหนึ่งโอกาส ให้ทุกคนได้เห็นถึงความสวยงามของธุรกิจอย่างแท้จริง และงานนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมแรงร่วมใจกันของนักธุรกิจ เอม สตาร์ (Aim star Network)”
เอม สตาร์ เป็นธุรกิจที่ทำไม่ยาก ใครเดินเข้ามาก็สามารถประสบความสำเร็จได้ สินค้าถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทางบริษัทให้ความสำคัญในลำดับต้น ๆ หากไม่มีสินค้าก็ไม่สามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้ ทางบริษัทได้ผนวกสินค้าให้เข้ากับความสุข โดยใช้แผนการตลาดเป็นตัวเชื่อม 
“เราให้ความสำคัญกับตัวสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องคุณภาพของสินค้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าในกลุ่มไหน เราพยายามที่จะนำเสนอสินค้าที่ดีมีคุณภาพสู่ท้องตลาด นี่เปรียบเสมือนแรงขับที่ทำให้เราเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
เอม สตาร์ ถือเป็นบริษัทขายตรงที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว พวกเขาใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีก้าวขึ้นสู่บริษัทหัวแถวในธุรกิจขายตรงเมืองไทย สามารถสร้างยอดขายได้หลายพันล้านบาท เป้าหมายใหญ่ ของ เอม สตาร์ ภายใต้การนำของ “ทญ.ลพา วัชร ศรีโรจน์” คือการนำพาองค์กรไปสู่ยอดขาย 10,000 ล้านให้จงได้ เท่านั้นยังไม่พอ ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป เอม สตาร์ เดินหน้าปรับอะไรอีกหลาย ๆ อย่างเพื่อก้าวสู่การเป็นเบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรมขายตรงเมืองไทย…!!!


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 323 ประจำวันที่ 1 - 15 กรกฏาคม 2555

ผ่าเกมรบตะปบสมาชิกรุ่นใหม่ ‘เอม สตาร์ - Aim Star’ ลุยต่อ ‘แอสนี่ โมเดล-ASNI MODEL’ ล่ายอดข้ามแดน!


ถอดรหัสเกมบุก “เอมสตาร์” เดินหน้าลุย “ASNI GUEST MODEL CONTEST” เร่งเครื่องกิจกรรมหลักหวังกระชากกลุ่มเลือดใหม่เข้าสู่ธุรกิจอีกครั้งหลังสร้างปรากฏการณ์ปั้นความแรงเมื่อ 2 ปีที่ผ่านมากางตำราลุยหนักอัดฉีดเม็ดเงินสนับสนุนลงกิจกรรมไม่อั้นหวังจุดกระแสธุรกิจและสินค้าผ่านคนหนุ่ม - สาวที่เข้าร่วมประกวด...พร้อมลุยต่างประเทศรับเปิดเสรีอาเซียนเตรียมส่ง “แอสนี่โมเดล” นำร่องกัมพูชาปั้นหนุ่มสาวหน้าใหม่ล่ายอดขายข้ามประเทศ...!!!


...“เอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค-Aim Star Network” เคยถูกขนานนามเป็นให้เป็น “นางเอกขายตรง” ด้วยความร้อนแรง ใคร ๆ ต่างพากันพูดถึงการมาของเธอ โดยเฉพาะกลุ่มนักเรียน นักศึกษา เด็กจบใหม่ ที่ เอม สตาร์ เข้าไปเพาะเชื้อทางความคิด กับคำว่า “นักธุรกิจอิสระ” เอม สตาร์ พุ่งเป้าไปที่ “กลุ่มเลือดใหม่” ที่ในวันนี้บรรดาสมาชิกขายตรงหลายค่ายต่างเฮโลกันมาฝากความหวัง แทนขายตรงรุ่นเก่า ที่รักกันจริงแต่ทิ้งกันจัง และ “เอม สตาร์” ทำได้ก่อนใคร 90% จากสมาชิกทั้ง 2 ล้านรหัส คือเลือดใหม่ที่ไม่เคยทำขายตรงมาก่อน 
“ASNI GUEST MODEL CONTEST” เป็นกิจกรรมหลักที่ “เอม สตาร์” ใช้ดักฐานวัยรุ่นสาวที่ใฝ่ฝันอยากเป็นนางแบบ ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำและต่อเนื่องมา 6 ปีแล้ว กำหนดคุณสมบัติชัดเจนว่า ผู้เข้าประกวดทุกคนต้องเป็นนักธุรกิจ เอม สตาร์ อายุระหว่าง 18-30 ปี และมีประสบการณ์อย่างต่อเนื่องในการใช้ผลิตภัณฑ์แอสนี่เพื่อดูแลผิว รวมถึงความสามารถในการใช้ผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางแอสนี่ด้วยตัวเอง ในปีนี้การประกวดได้เพิ่มรางวัล แอสนี่ ประเภทชายเข้ามา ถือเป็นการส่งสัญญาณว่า เอม สตาร์ จะลุยตลาด ‘ผู้ชายดูดี”
ทญ.ลภา วัชรศรีโรจน์ ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท เอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด เปิดเผยถึงการประกวดว่า “ในปีที่ 7 นี้ ได้มีการปรับเพิ่มการประกวดนายแบบขึ้นมาเป็นปีแรก เพื่อเป็นตัวแทนผู้ชายที่ใช้ผลิตภัณฑ์แอสนี่ ภายในงานประกวด แอสนี่ แมน แอน วูแมน ปี 2555 บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อฟื้นฟูสภาพผิวผู้ชายคือ แอสนี่ ฟอร์ เมน: ไนท์ ดีเฟ้นซ์ ตอบโจทย์สภาพผิวผู้ชายได้อย่างตรงใจ” 
กระแสการตอบรับในปีนี้ แรงกว่าทุกปี โดยมีผู้สมัครเข้ามาประกวด 1,030 คน จากสมาชิก เอม สตาร์ ทั่วประเทศ และผ่านการคัดเลือกเหลือผู้ประกวดทั้งชายและหญิง 40 คน เพื่อเข้าสู่แคมป์แอสนี่ 2 วัน 1 คืน ณ วีรันดารีสอร์ท แอนด์ สปา หัวหิน โดยในแคมป์จะมีการเข้มงวดเรื่องของการพัฒนาบุคลิกภาพ ฝึกการเดินแบบ แต่งหน้า และกิจกรรมเพื่อสร้างสายสัมพันธ์และมิตรภาพระหว่างผู้เข้าประกวด ก่อนจะมาตัดสินผู้ชนะเลิศในวันที่ 19 มิ.ย.ที่ผ่านมา ณ แฟชั่นฮอลล์ ศูนย์การค้าสยามพารากอน กรุงเทพฯ 
ยอมรับว่า สมาชิกหนุ่ม - สาวที่มาประกวดกันในวันนั้น สวย หล่อ ขาว ใส หุ่นดี มีกล้าม เรียกว่า สวยเสร็จ หล่อเช็ด กันทุกคน และผู้ชนะเลิศ ASNI MAN 2012 ได้แก่ คุณเอกลักษณ์ วรรณภิระ อายุ 29 ปี บัณฑิตจากมหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒประสานมิตร ส่วนรางวัลชนะเลิศ ASNI WOMAN 2012 ตกเป็นของ คุณสะคราญกมล อุทัยศรี อายุ 23 ปี นักศึกษาชั้นปีที่ 4 มหาวิทยาลัยนานาชาติ Stam Ford ผู้ชนะเลิศได้รับเงินรางวัล 50,000 บาท นอกจากนี้ผู้ชนะการประกวดและรองทั้ง 8 คน จะได้รับโล่รางวัล พร้อมแพ็คแกจทัวร์สู่การท่องเที่ยวและร่วมสัมมนา ณ เอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค ประเทศญี่ปุ่น 
ธุรกิจ เอม สตาร์ ในประเทศไทยมีประชากร 60 ล้านคน ถ้าเรามาเชื่อมต่ออีกหลายๆ ประเทศเป็น AEC หรือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน อีกหน่อยตลาดของเราจะไม่ใช่แค่ 60 ล้านคน แค่เป็น 600 ล้านคน ถามว่าเรามีอะไรที่เป็นกิจกรรมรองรับ ปลายปีนี้ เอม สตาร์ เตรียมการประกวด แอสนี่ แมน แอนด์ วูแมน ที่ประเทศกัมพูชา โดยใช้กฎกติกาเหมือนกัน คือต้องเป็นนักธุรกิจเอม สตาร์ อายุระหว่าง 18-30 ปี แต่จะมีผู้ชนะและรองชนะเลิศ 3 คน ขณะประกาศรับสมัครหนุ่มสาวทั่วกัมพูชา ส่วนประเทศอื่น ๆ เราก็วางแผนที่จะไปจัดประกวดให้ครบ ซึ่งต้องติดตามกันต่อไป 
คุณหมอ กล่าวต่อว่า เดี๋ยวนี้โลกมันเปลี่ยนไปเร็ว ตั้งแต่มีอินเตอร์เน็ต ข่าวสารต่าง ๆ มันถึงกันหมด ประเทศไหนที่เปิดตัวเอง ข่าวสารก็จะหลั่งไหลไปหา แล้วเขาจะเปลี่ยนตัวเองเร็วมาก ผลตอบรับที่กัมพูชาดีมาก ตอนนี้เราขยายศูนย์จากเดิมที่เป็นห้องแถวสองคูหา ก็ขยับขยายไปอยู่บนพนมเปญทาวเวอร์ มีพื้นที่กว้างขวางรองรับสมาชิกได้มากขึ้น คาดว่าอีกประมาณ 2 เดือนน่าจะเปิดทำการได้ 
หากถามถึงการลงทุนในธุรกิจทีวี ดาวเทียม ทญ.ลพายอมรับตามตรงว่า ไม่ใช่ทางถนัด การนำคนไปล่าความฝันมากกว่า ถ้าเราไม่ออกเดินทาง เราก็คว้าอะไรไม่ได้ แต่ถ้าเราเริ่มออกเดินทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น 
ทญ.ลพา กล่าวถึงธุรกิจขายตรงในปัจจุบันนี้ว่า มีธุรกิจเปิดใหม่ในวงการซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี เพราะจะทำให้วงการขายตรงมีศักยภาพมากขึ้น ไม่ได้มองว่าธุรกิจอื่นเป็นคู่แข่ง แต่มองว่าทุกบริษัทจะทำให้ภาพรวมอุตสาหกรรมดีขึ้น ส่วนทางด้าน เอม สตาร์ คาดว่าปีนี้จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญ โดยจะเร่งเต็มกำลังตั้งแต่ต้นปี ทางด้านกิจกรรมสนับสนุนทางการตลาด และการให้ความรู้สมาชิก เนื่องจากยังหวั่นถึงสถานการณ์ที่เกินการควบคุมขึ้นในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเฉพาะเรื่องของการเมืองและภัยธรรมชาติ ขณะนี้สถานการณ์อยู่ในภาวะปกติต้องใช้เวลาให้มีค่าในการเร่งเครื่องให้ได้ยอดขายอย่างเต็มศักยภาพ 
“ในปีที่ผ่านมา เราเปิดยอดขายได้ที่ 4,203 ล้านบาท เราตั้งใจว่าเราจะทำยอดขายทะลุ 10,000 ล้านบาทให้จงได้ ทุกวันนี้เราทำ เอม สตาร์ ด้วยความสุข เราไม่กลัวเหนื่อย เราจะนำคนให้ไปสู่ความสำเร็จให้มากกว่าเดิม เราเชื่อมั่นว่าเราสามารถดูแลคนได้ดีมาก ๆ ต่อไปนี้เรามีอะไรอีกหลาย ๆ อย่างในการก้าวไปสู่เบอร์ 1 เราไม่คิดว่าเราจะไปแข่งขันกับใคร เราคิดเพียงจะแข่งกับตัวเอง” 
ปัจจุบัน เอม สตาร์ ขยาย สาขาตั้งอยู่ใน 4 ประเทศ ประกอบด้วย ไทย กัมพูชา ญี่ปุ่น และสหรัฐอเมริกา ซึ่งไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น 4 ประเทศที่กล่าวมา ก็ยังสามารถเชื่อมต่อกันได้ตลอด 24 ชั่วโมง ขณะที่การเติบโตที่สาขาในสหรัฐอเมริกาซึ่งเพิ่งเปิดตัวไปนั้น ค่อนข้างมีอัตราการเติบโตที่น่าพอใจ เพียง 7 เดือน สามารถสร้างยอดได้ 45 ล้านบาท 
ปัจจุบัน เอม สตาร์ มีสมาชิกทั้งหมดประมาณ 2,000,000 รหัส ACTIVE 600,000 รหัส สิ่งนี้พิสูจน์ได้ว่า เอม สตาร์ ไม่ใช่กระแส แต่เติบโตและแข็งแรง เป้าหมายทางด้านยอดขายของเรายังคงอยู่ที่ 10,000 ล้านบาท แต่สิ่งที่สวยงามกว่านั้น ก็คือ การนำพาผู้คนจำนวนมาก เดินร่วมทางไปสู่ความสำเร็จฝนชีวิต นี่คือเป้าหมายของ เอม สตาร์ 
“เราจัดงานเอ็กซ์โป ติดต่อกันมาเป็นปีที่ 7 งานเอ็กซ์โปของเราถือเป็นหนึ่งโอกาส ให้ทุกคนได้เห็นถึงความสวยงามของธุรกิจอย่างแท้จริง และงานนี้ยังแสดงให้เห็นถึงความร่วมแรงร่วมใจกันของนักธุรกิจ เอม สตาร์ (Aim star Network)”
เอม สตาร์ เป็นธุรกิจที่ทำไม่ยาก ใครเดินเข้ามาก็สามารถประสบความสำเร็จได้ สินค้าถือเป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ทางบริษัทให้ความสำคัญในลำดับต้น ๆ หากไม่มีสินค้าก็ไม่สามารถขับเคลื่อนธุรกิจได้ ทางบริษัทได้ผนวกสินค้าให้เข้ากับความสุข โดยใช้แผนการตลาดเป็นตัวเชื่อม 
“เราให้ความสำคัญกับตัวสินค้า โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องคุณภาพของสินค้า ไม่ว่าจะเป็นสินค้าในกลุ่มไหน เราพยายามที่จะนำเสนอสินค้าที่ดีมีคุณภาพสู่ท้องตลาด นี่เปรียบเสมือนแรงขับที่ทำให้เราเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง”
เอม สตาร์ ถือเป็นบริษัทขายตรงที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว พวกเขาใช้ระยะเวลาเพียงไม่กี่ปีก้าวขึ้นสู่บริษัทหัวแถวในธุรกิจขายตรงเมืองไทย สามารถสร้างยอดขายได้หลายพันล้านบาท เป้าหมายใหญ่ ของ เอม สตาร์ ภายใต้การนำของ “ทญ.ลพา วัชร ศรีโรจน์” คือการนำพาองค์กรไปสู่ยอดขาย 10,000 ล้านให้จงได้ เท่านั้นยังไม่พอ ในช่วงเวลานับจากนี้เป็นต้นไป เอม สตาร์ เดินหน้าปรับอะไรอีกหลาย ๆ อย่างเพื่อก้าวสู่การเป็นเบอร์หนึ่งในอุตสาหกรรมขายตรงเมืองไทย…!!!


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 323 ประจำวันที่ 1 - 15 กรกฏาคม 2555

กิฟฟารีน ชาแนล-Giffarine Channel เปิดเกมตีชิ่งคู่แข่ง หนีพลังเครือข่ายดูด - ขอถอนทุนคืน ย้ำ! สิ้นปีไต่เป้า 6,000 ล้าน.


กิฟฟารีน เดินเกมยุทธศาสตร์ตามต้านยุทธศาสตร์นำหลังโดนคู่แข่งรุ่นน้องก็อปปี้กลยุทธ์กระจุย...จับตาหลังเปิดเกมตามอนาคต กิฟฟารีน จะเป็นเช่นไร.. หลังอัดงบเพิ่ม 50 ล้าน. ผุดทีวีดาวเทียมผนวกงบโฆษณา 200 ล้าน.ถือเป็นการยึดตลาดแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกครั้งหลังหันรีหันขวางเจอพลังดูดจากคู่แข่งตั้งลำใหม่ด้วย กิฟฟารีนแชนแนล ช่องทางสร้างแบรนด์แสวงนักธุรกิจใหม่ประเดิมเฟสแรกนำร่อง 9 รายการเอาใจสมาชิกพร้อมยิงสัญญาณครอบคลุมอาเซียนลั่นพัฒนาครบ 3 เฟสสิ้นปีช่องนี้ต้องผงาด!! คาดสิ้นปีรายได้โต 10-12% จากรายได้กว่า 5,488 ล้านบาทขยายนักธุรกิจใหม่จากทีวี 10-20%


ดูเหมือนการวนไปเวียนมากับยุทธศาสตร์เดิมๆ อาทิ การจัดประกวดชิงรางวัล Contest การทุ่มงบไม่อั้นผ่านโฆษณาทีวี - หนังสือพิมพ์ - นิตยสาร การเปิดตัวสินค้าใหม่จนพัฒนากลายเป็นคลังผลิตภัณฑ์ที่มีสินค้ามากมายนานาชนิด เพื่อตอกย้ำการเข้าชิงตลาดแมส การทุ่มงบโปรโมทโรงงานผลิตที่ผ่านมาตรฐานสากล และยุทธศาสตร์น้อย - ใหญ่ ฯลฯ อีกหลาย ๆ ยุทธศาสตร์ที่ กิฟฟารีน ได้สรรค์สร้างและบุกเบิกเป็นต้นฉบับให้ศิษย์น้องวงการขายตรงเดินตาม มีมากมายจนนับไม่ถ้วน
และสามารถปีนป่ายยอดขายขึ้นแท่นเบอร์ 2 ในวงการขายตรง...ได้อย่างเหนียวแน่นและถาวร
แต่ในธรรมชาติธุรกิจ ย่อมหลีกหนีการแข่งขันไม่พ้น เมื่อบริษัทน้ำใหม่รุ่นน้อง เริ่มชักแถวก็อปปี้ยุทธศาสตร์ กิฟฟารีน อย่างหนัก และทำอย่างต่อเนื่องค่ายแล้วค่ายเล่า เรียกว่า ก็อปปี้ จน กิฟฟารีน เอง ปรับตัวแทบไม่ทัน
เมื่อยุทธศาสตร์ที่เคยนำหน้าและชูธงชัยมาตลอด...กลับถูกรุ่นน้องเบียดเสียด แถมบางค่ายนำยุทธศาสตร์ กิฟฟารีน มาปรับและอะเด็ปท์ยุทธศาสตร์ได้ดีกว่า...ด้วยการใช้งบที่น้อยกว่า เปิดช่องทีวี ดาวเทียม เสียบรายการสาระมากกว่าสู่ช่องฟรีทีวี ที่ได้ทั้งแบรนด์ ได้ทั้งภาพลักษณ์ ภายใต้งบอันน้อยนิดแล้ว ชื่อเสียงและยอดที่ได้รับกลับมาคุ้มค่าเกินคำบรรยาย
ขณะที่ กิฟฟารีน ใช้งบโฆษณาผ่านสื่อ และช่องฟรีทีวีมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท/ปี แต่ยอดขยับเพียงแค่ 10% ก็ถือว่าสุดหรู...เมื่อเทียบกับทีวี ดาวเทียม ใช้งบต่อเดือนไม่เกิน 20 ล้าน.บวกช่องฟรีทีวี ไม่เกิน 100 ล้าน.แต่ยอดขายกลับโตเกิน 100% ต่อปี
นี่คือ ดัชนีชี้วัดความสำเร็จที่รู้จักใช้สื่อ ฉลาดใช้งบอย่างถูกวิธีและถูกทาง
นั่นก็หมายความว่า ฐานตลาด กิฟฟารีน ที่ว่า เจ๋ง และมีขุนพลภายใต้สังกัดอีก 6.2 ล้านคน หาก กิฟฟารีน ไม่ขยับและไม่ทำอะไรเลย ในช่วงที่ยุทธศาสตร์ที่กำลัง ตีบตัน จนกลายเป็น น้ำเต็มแก้ว หากขยับกลัวน้ำหก ย่อมเป็นการส่งสัญญาณเป็นอย่างดีว่า
สมาชิก...6.2 ล้านคน คือโจทย์สำคัญทำอย่างไร.. ให้หลุดออกจากมือน้อยที่สุด
จากผู้นำขบวนทัพที่อยู่ด่านหน้า กิฟฟารีน ก็ต้องปรับเกมหันมาเหลียวหลัง เพื่อต้อนขุนพล 6.2 ล้านคนที่ตามมาให้ก้าวเดินไปถึงฝั่งพร้อมกันให้ได้...ฉะนั้น ในช่วงระหว่างทางเดิน กิฟฟารีน ก็จำเป็นต้องอาวุธเสริม เพื่อไม่ให้ขุนพลที่อยู่แถวหลังล้มหายตายจากไปทีละคน ทีละคน
ยุทธศาสตร์ใหม่ที่ทรงพลัง และ ทรงอานุภาพที่ดีที่สุด นั่นคือ การเปิดสู่อาณาจักร ทีวี ดาวเทียม ผนึกฟรี ทีวี ที่ กิฟฟารีน มีความเชี่ยวชาญและชำนาญศึก คือทางออก...
และเป็นทางที่ กิฟฟารีน ร่ำรวยที่สุดในอนาคตกาล
เพราะ ฟรีทีวี ในรูปแบบ สปอนเซอร์ - สปอตโฆษณา ทำได้แค่การโฆษณา สร้างภาพ สร้างแบรนด์ และขายสินค้า เพื่อรวบตลาดแมสให้เข้ามาเป็นฐานผู้บริโภค
ก่อนจะขยับสู่ฐานสมาชิก แต่ยุทธศาสตร์นี้ยังมีจุดบอดตรงที่ ใช้งบ เปลือง เป็นที่สุด...
นี่คือวิธีที่ กิฟฟารีน จะรักษา ขุนพล ที่เป็น คลื่นมหาชน กองทัพใหญ่ ที่หล่อเลี้ยงไว้เป็นเสบียงและเติมยอดให้บริษัท...ไม่ให้ถูก ตัดแข้งตัดขา และถูกคู่แข่งคอย ตีกินและจิกตอด ได้อีกต่อไป แถมยังยิงสัญญาณไกลครอบอาเซียน น่านน้ำที่เริ่มสร้างยอดให้กับ กิฟฟารีน ได้อีกต่างหาก
เมื่อ กิฟฟารีน เริ่มเปิดสู่โลกกว้าง ก้าวสู่เวทีมหาชนเต็มรูปแบบ คลื่น ที่คอยรบกวนสัญญาณการเติบโตอยู่ตลอดเวลา ก็จะหดหายตามไปด้วย...และก็จะมี ความยิ่งใหญ่ เข้ามาแทนที่
เกมนี้ กิฟฟารีน จึงพลิกแต้มกลายเป็น ผู้ตามยุทธศาสตร์ หลังจากที่ใช้แต้ม เดินนำยุทธศาสตร์ มานาน...ถึงแม้จะช้าไปหลายก้าว แต่ก็ยังดีกว่า ไม่รู้จักปรับตัว ยอม เสียหน้าเสียราคา แต่ ตีกิน กำไรเพิ่มกลับมาได้ ก็ถือว่า คุ้มสุดคุ้ม..!!
ถามว่า เหตุผลสำคัญที่ กิฟฟารีน ขยับ นอกเหนือจากการรักษาฐานสมาชิกแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง...ต้องยอมรับว่า ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมานี้ ทีวี ดาวเทียม เริ่มกลายเป็นตัวแทน กลายเป็นสื่อช่องทางใหม่ที่ทรงอิทธิพลในตลาดแมส เพราะมีคำพูดติดปากในตลาดแมส ว่า ถ้าหน้าตาช่องแบบนี้ ต้องเป็นช่องธุรกิจขายตรงชัวร์...ซึ่งถ้าชอบ ก็เลือกดู เลือกเฟ้นหาค่ายที่ชอบผ่านหน้าจอ โดยไม่ต้องไปฟังเสียง จ้อ จากแม่ทีมให้เสียเวลา
เรียกว่า ชอบก็โทร. ไม่ชอบก็ไม่โทร.จิกๆๆ ให้เสียเวลา
และที่สำคัญเจ้าของธุรกิจขายตรง กลายเป็นเจ้าของทีวี ดาวเทียม...เปิดกันเดือนเว้นเดือน เป็นว่าเล่น...ยิ่งถ้าหากค่ายใดเพิกเฉย และยังเชื่อในระบบเก่าๆ สุดท้ายวิธีการแบบเก่า ก็จะถูก สื่อทีวี ดาวเทียม เป็นผู้กำหนดชะตากรรมวงการขายตรงในที่สุด...!!
เมื่อยักษ์เริ่มลงสังเวียน ก็ต้องกล้าฟันธงกันแบบหมดหน้าตัก...เพราะถ้าจะลองเหลียวค่ายไหนที่ใช้สื่อทีวีดาวเทียมเป็นหัวหอกในยุคนี้ จากบริษัทขายตรงค่ายเล็ก เผลอแป๊บเดียว ยอดไต่สู่องค์กรระดับกลางทันที ส่วนบริษัทขนาดกลาง ยอดขายก็วิ่งไปชนยักษ์ใหญ่ เพราะวิธีการใช้หนังสือพิมพ์ประทับตรา ตามด้วยสื่อทีวีผ่านจอภาพ แค่นี้ก็จบเกมตีกินยอด
ฉะนั้น ช่วงที่เว้นวรรค 2 - 3 ปีมานี้ ขายตรงที่โตไม่เงียบจากสื่อ ทีวี ดาวเทียม คือขุมพลังสำคัญที่ดันยอดขายรวมของธุรกิจขายตรงตัวเลขวิ่งเฉียดแสนล้าน.ทันที...ถ้าไม่เชื่อต้องติดตามช็อต กิฟฟารีน หลังติดปีก ทีวี ดาวเทียม ครอบอาเซียน กิฟฟารีน จะตีปีกบินเร็วขนาดไหน.. ยอดในไทยจะขยับเพียงใด อาเซียนขยับปีกบินตามหรือไม่ คงต้องติดตามช็อตต่อไป


ย้อนรอย16ปีกิฟฟารีน
ก่อนไต่สู่ทีวีดาวเทียม
ตลอดระยะเวลา 16 ปี กิฟฟารีน มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปีที่ผ่านมาปิดตัวเลขที่ 5,488 ล้านบาท ต้องยอมรับ กิฟฟารีน มีจุดแข็งอยู่ที่การใช้ช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ให้คนทั่วไปรู้จักกับสินค้าคุณภาพของไทย มากกว่าการเป็นธุรกิจขายตรง กิฟฟารีน จึงเป็นธุรกิจขายตรงที่มีความใกล้เคียงกับค้าปลีกมากที่สุด เพราะเน้นการสร้างแบรนด์ และการซื้อสินค้าใช้ ไม่ได้เรียกว่า สร้างภาพ หรือหมกเม็ดธุรกิจ แต่วาง กลยุทธ์ถูกจริต คนไทยมากกว่า
การคาบเกี่ยวระหว่าง ขายตรง กับ ค้าปลีก ของ กิฟฟารีน จากตัวเลขสมาชิกที่มีกว่า 6.2 แสนคน นับเฉพาะหัวที่เป็นนักธุรกิจมี 5 แสนราย หาก กิฟฟารีน จะเน้นสร้างการรับรู้สินค้า โดยหวังเพียง ศักยภาพของปากคน คงต้องฝันค้างกับยอดขาย 6 พันล้าน. เพราะทุกวันนี้บริษัทค้าปลีกต่าง ๆ มีความเชี่ยวชาญในสื่อการโฆษณาสูง จึงอาจเป็นโอกาสในการช่วงชิงลูกค้าได้มากกว่า
การเกิดช่องทีวีดาวเทียม กิฟฟารีน ชาแนล จึงไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์วงการ หนำซ้ำยังออกตัวช้ากว่า ขายตรง ย่านความถี่เดียวกัน กิฟฟารีน ชาแนล จะเป็นปืนใหญ่ที่ กิฟฟารีน ใช้ยิงสัญญาณรบราคร่ายอดขาย ตีกันสมาชิก แย่งพื้นที่หน้าจอยุคดิจิตอล ทั้งขายตรงและค้าปลีก ได้จะทรงอานุภาพแค่ไหน ต้องไปถอดรหัสผังรายการและการวางแผนงานตลาดของช่องนี้กันต่อ


ทุ่มงบ50ล้านต่อปี
ดันแบรนด์ใกล้ชิด10.ครัวเรือน
พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวว่า กิฟฟารีนเตรียมส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดสากล และผู้ชมทั่วประเทศกว่า 10 ล้านครัวเรือน กิฟฟารีน ชาแนล ใช้เงินลงทุนสร้าง 50 ล้านบาท ยิงสัญญาณผ่านดาวเทียม 2 ดวงคือ ไทยคม 5 ที่ย่านความถี่ C-Band ส่งสัญญาณครอบคลุมใน 4 ทวีป ได้แก่ เอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย แอฟริกา และดาวเทียม NSS-6 ของประเทศเนเธอร์แลนด์ ย่านความถี่ Ku-Band ส่งสัญญาณครอบคลุมพม่า ไทย กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ บางส่วนของจีนตอนใต้ อินโดนีเซีย และบรูไน
พญ.นลินี ระบุว่า ที่ผ่านมาทำการสื่อสารกับสมาชิกมาหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการอบรม เว็บไซต์ แต่ข้อมูล
ที่ใหม่ ๆ มีมากขึ้นทุกวัน ทีวีดาวเทียมจะเป็นอีกช่องทางสื่อสารที่ไปได้กว้างไกลมากขึ้น โดยจะอัดฉีดงบพัฒนาช่อง 50 ล้านบาทต่อปี นอกจากสื่อเคเบิ้ลแล้ว ยังมีทีวีออนไลน์แบบเรียลไทม์ และช่องทางของโซเชี่ยล เน็ทเวิร์ค ซึ่งกำลังขายตามมา
กิฟฟารีนเติบโต 10% ทุกปี ปกติเราจะวางงบสื่อสารการตลาดไว้ที่ 200 ล้านบาท แบ่งเป็น การเทรนนิ่ง โฆษณา แมกกาซีน โฆษณาทีวี เรานำกำไรบางส่วนมาลงเป็นเคเบิ้ลทีวี คอนโทรลให้ไม่เกิน 5% ของกำไร ส่วนเรื่องของการเทรนนิ่งก็คงยังทำอยู่ ไม่ลดลงอย่างแน่นอน เพราะพลังทีมยังคงต้องมีอยู่ คิดว่าในเฟสแรกทีวีจะทำให้สมาชิกคึกคักขึ้น อาจจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมา 10-20%
ทั้งนี้ พญ.นลินี ย้ำชัดว่า กิฟฟารีน ชาแนล จะไม่พัฒนาทีวีไปในทิศทางของการขายปลีกผ่านทีวี เหมือนกับทีวี
ไดเร็กท์ ด้วยความเป็นองค์กรธุรกิจเครือข่าย ช่องทีวีมีไว้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับนักธุรกิจ ถ้าผู้ชมสนใจอยากซื้อสินค้า ก็ต้องซื้อสินค้าผ่านนักธุรกิจ หรือศูนย์จำหน่ายที่ใกล้บ้านเท่านั้น ดังนั้น การพัฒนาอาจจะเป็นในรูปแบบของการโทรศัพท์เข้ามาคุยสด ๆ ในรายการ โทรเข้ามาร่วมเล่นกิจกรรม แต่จะไม่สามารถซื้อขายผ่านทีวีได้
ด้านการเปิดตลาด AEC หรือ อาเซียน พญ.นลินี เปิดเผยว่า ขณะนี้บริษัทฯ ได้มีการเปิดตลาดในประเทศพม่า กัมพูชา และ มาเลเซีย แผนต่อไป คือการเปิดตลาดในประเทศลาว และอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้การเตรียมความพร้อมสำหรับตลาดประเทศลาวอยู่ในขั้นตอนที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนอินโดนีเซียเป็นช่วงที่อยู่ระหว่างการวางแผน โดยรูปแบบการเปิดตลาดในมาเลเซีย พม่า กัมพูชา จะเปิดออกมาในรูปแบบสาขา โดยมีผู้ร่วมลงทุน แต่ประเทศลาวบริษัทได้เข้าไปลงทุนเองทั้งหมด


แผนปรับผัง3เฟส
หวังยึดหน้าจอคนดู
กิฟฟารีน ชาแนล วางผังไว้ 9 รายการ ประกอบด้วย
1. CEO Talk คุยกับ CEO (ทุกเรื่องตั้งแต่ธุรกิจจนตีสนิทกันไปถึงก้นครัว)
2. GIFT INSPIRE ทอล์คโชว์ แนวคิดสร้างธุรกิจและแรงบันดาลใจ
3. GIFT WINNER รายการกระตุ้นยอดสินค้า Straight Talk Program
4. GIFT ME FIVE รายการให้ความรู้ด้านสุขภาพและความงาม สู่การสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น
5. GIFT ON TOUR สารคดีท่องเที่ยว ตามรอยนักธุรกิจกิฟฟารีน
6. Key to Success ให้ความรู้ และกระตุ้นยอดสินค้า
7. GIFT Story แนวคิดและความสำเร็จกับนักขายกิฟฟารีน
8. GIFT News ประชาสัมพันธ์ กิจกรรมความเคลื่อนไหวของบริษัท และคนในเครือข่าย
9. GIFT SHOW นำเสนออีเว้นท์โชว์ของบริษัทที่จัดขึ้นเพื่อสนับสนุน ยอดขาย
นายพงษ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสายการตลาด กิฟฟารีน กล่าวถึงการวางผังสถานี ว่า เราจะวางแผนการปรับผังไว้ 3 ช่วง คือ ช่วงแรก เป็นการสร้างแฟนคลับ ซึ่งแฟนคลับของเราก็เกิดจากนักธุรกิจที่ชื่นชอบในตัวสินค้า ผู้บริโภคที่สนใจสินค้าแต่ยังไม่ต้องการที่จะทำธุรกิจ วิธีการการสร้างแฟนคลับก็คือ การสร้างเรื่องใกล้ ๆ ตัวให้เข้าใจง่าย พูดง่าย ๆ ก็คือ ดูแล้วอิ่มในสิ่งที่เราทำ
และช่วงที่สอง ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ การให้ผู้บริโภคได้ดู content ที่ สนุกสนานเกี่ยวกับความบันเทิง คือพูดง่าย ๆ ดูช่องของเราแล้วมีความสุข ครบทุกรสชาติ ช่วงที่สาม คือเรามองว่า เราทำด้วยใจ ไม่ได้ต้องการที่จะเอากำไร เพราะสิ่งสำคัญคือ เราต้องการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง ให้ผู้ชมได้จดจำในแบรนด์ กิฟฟารีน ได้เป็นอย่างดี
พญ.นลินี กล่าวเสริมว่า บางทีอาจจะคิดว่าการที่มีช่องทีวี ต้องการขายสินค้าอย่างเดียวรึเปล่า ซึ่งจริง ๆ ความในใจที่อยากจะบอก ก็คือ อาจเป็นเพราะเราเป็นหมอด้วย เป็นนักธุรกิจด้วย เราอยากให้คนดูมีความรอบรู้ในส่วนสินค้าของ กิฟฟารีน ส่วนหนึ่ง รวมถึงข้อมูลในแง่ของสุขภาพและความงาม ข้อเท็จในด้านวิชาการ ซึ่งตอนนี้เราก็ได้ทาบทามแพทย์ หรือคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ อาทิ การเลี้ยงดูลูก ผู้หญิงวัยทองเป็นอย่างไร ฯลฯ เราก็ไปชวนหมอที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านสูตินารีแพทย์มา เป็นต้น ซึ่งเราไม่ได้ชวนมาขายของ แต่ชวนมาให้ความรู้ในสิ่งที่ถูกต้องกับผู้ชม สิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่ กิฟฟารีน ทำมาจากใจ ต้องไม่เป็นสิ่งที่น่าเบื่อและสนุกสนานด้วย
นายพงษ์พสุ กล่าวทิ้งท้ายว่า ผมคิดว่า ทั้ง 9 รายการเด่น ๆ ในเบื้องต้น ก็จะเด่นไปด้านวิชาการ น่าจะประมาณ 30-40% ที่เหลือก็จะเป็น ความเคลื่อนไหวการสื่อสารของคนที่เข้ามาทำธุรกิจ และนอกจากนั้นจะเป็นสาระ บันเทิง เรามองว่าต้องมีสิ่งหลาย ๆ อย่างที่ผู้ชมต้องการจะรู้ ซึ่งทางสถานีก็มีเวลาเยอะที่จะต้องพัฒนากันต่อไป
นายการุณณ์ ชางประยูร ผู้อำนวยการสถานีกิฟฟารีนชาแนล พูดถึงการวางเนื้อหาและการลงทุนว่า เนื้อหารายการ 70% คือกลุ่มสมาชิกกิฟฟารีนซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก อีก 30% สำหรับประชาชนทั่วไปที่เปิดมาดูเรา ทั้งหมด 9 รายการ ไม่ได้นำเสนอสินค้าแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะเน้นไปที่การสร้างแรงบันดาลใจ จุดประกายความคิดให้ผู้ชม ในรูปแบบของทอล์คโชว์คุณภาพ
การวางแผนการตลาดช่อง กิฟฟารีน ชาแนล จะแบ่งเป็น 3 เฟส เฟสแรกซึ่งเปิดตัวออกมาแล้วกับ 9 รายการ จะอาศัยฐานสมาชิกเป็นแรงหนุนกระชากเรตติ้งให้กับช่องก่อน ฉะนั้นคอนเทนท์ในช่วงแรกนี้ จะการทำเรื่องใกล้ตัว เข้าใจง่าย และเป็นเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวันของสมาชิก ส่วนเฟส 2 ซึ่งเป็นช่วงต่อจากนี้ไป วางแผนที่จะเปลี่ยนผู้รับชมทีวีผ่านทางช่องต่าง ๆ ที่ไม่ได้มีความภักดีต่อช่องใดเป็นพิเศษ ให้หันมาดูช่อง กิฟฟารีน ชาแนล
พัฒนาการในเฟส 2 จะมีคอนเทนท์ที่สนุกสนาน เพื่อให้ผู้ชมที่แม้ไม่ได้เป็นนักธุรกิจ ดูรายการจากช่องแล้วมีความสนุกสนาน ครบทุกรสชาติ คงต้องจับตาให้ดีเฟสนี้อาจจะเห็นรายการเกมโชว์ ชิงโชคลุ้นทัวร์ ประกวดลูกทุ่งคอนเทสต์ ก็เป็นได้ ส่วนเฟส 3 ต้องการให้สถานี สร้างแบรนด์ อยากให้คนทั้งประเทศพูดถึงช่อง กิฟฟารีน ชาแนล ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของช่อง
ผอ.สถานี กล่าวต่อว่า เราเพิ่งสตาร์ทอย่างเป็นทางการและเพิ่งทดลองออกอากาศ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.55 ที่ผ่านมา สมาชิกให้การตอบรับดีมาก คิดว่าภายในสิ้นปีนี้หวังจะให้ช่องของเราถูกพูดถึงมากขึ้น จากวิธีการทำงานที่เข้มข้น สาระรายการที่น่าสนใจ ทุกเรื่องราวที่นำมาออกอากาศ จะต้องเป็นประโยชน์กับผู้ชมและประเทศชาติ ไม่สร้างความแตกแยกในสังคม สิ่งที่น่าสนใจคือ นักธุรกิจที่อยู่ต่างจังหวัดมีจานดาวเทียมและสามารถรับชมได้ก่อน นักธุรกิจในเขตกรุงเทพฯ อีก
พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับสมาชิกที่ยังไม่มีจานดาวเทียม บริษัทฯ ไม่ได้เปิดตัวเองเป็นดีลเลอร์ แต่จะมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับสมาชิก ซึ่งตัดยอดมาจำนวนหนึ่งเพื่อมาทำโปรโมชั่นให้นักธุรกิจได้เข้าถึงในราคาพิเศษ ถ้าเข้ามาร่วมกิจกรรมอบรมกับ กิฟฟารีน แต่ถ้าสมาชิกอยู่รอบนอกส่วนใหญ่จะเลือกทีมติดตั้งที่ใกล้บ้าน ด้วยเรื่องของบริการหลังการขายที่สะดวกกว่ามาซื้อกับบริษัท


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่323 ประจำวันที่1 - 15 กรกฏาคม 2555

‘กิฟฟารีน ชาแนล-Giffarine Channel’ เปิดเกมตีชิ่งคู่แข่ง หนีพลังเครือข่ายดูด - ขอถอนทุนคืน ย้ำ! สิ้นปีไต่เป้า 6,000 ล้าน.


“กิฟฟารีน” เดินเกมยุทธศาสตร์ตามต้านยุทธศาสตร์นำหลังโดนคู่แข่งรุ่นน้องก็อปปี้กลยุทธ์กระจุย...จับตาหลังเปิดเกมตามอนาคต “กิฟฟารีน” จะเป็นเช่นไร..? หลังอัดงบเพิ่ม 50 ล้าน. ผุดทีวีดาวเทียมผนวกงบโฆษณา 200 ล้าน.ถือเป็นการยึดตลาดแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกครั้งหลังหันรีหันขวางเจอพลังดูดจากคู่แข่งตั้งลำใหม่ด้วย “กิฟฟารีนแชนแนล” ช่องทางสร้างแบรนด์แสวงนักธุรกิจใหม่ประเดิมเฟสแรกนำร่อง 9 รายการเอาใจสมาชิกพร้อมยิงสัญญาณครอบคลุมอาเซียนลั่นพัฒนาครบ 3 เฟสสิ้นปีช่องนี้ต้องผงาด!! คาดสิ้นปีรายได้โต 10-12% จากรายได้กว่า 5,488 ล้านบาทขยายนักธุรกิจใหม่จากทีวี 10-20%


ดูเหมือนการวนไปเวียนมากับยุทธศาสตร์เดิมๆ อาทิ การจัดประกวดชิงรางวัล Contest  การทุ่มงบไม่อั้นผ่านโฆษณาทีวี - หนังสือพิมพ์ - นิตยสาร การเปิดตัวสินค้าใหม่จนพัฒนากลายเป็นคลังผลิตภัณฑ์ที่มีสินค้ามากมายนานาชนิด เพื่อตอกย้ำการเข้าชิงตลาดแมส การทุ่มงบโปรโมทโรงงานผลิตที่ผ่านมาตรฐานสากล และยุทธศาสตร์น้อย - ใหญ่ ฯลฯ อีกหลาย ๆ ยุทธศาสตร์ที่ “กิฟฟารีน” ได้สรรค์สร้างและบุกเบิกเป็นต้นฉบับให้ศิษย์น้องวงการขายตรงเดินตาม มีมากมายจนนับไม่ถ้วน 
และสามารถปีนป่ายยอดขายขึ้นแท่นเบอร์ 2 ในวงการขายตรง...ได้อย่างเหนียวแน่นและถาวร 
แต่ในธรรมชาติธุรกิจ ย่อมหลีกหนีการแข่งขันไม่พ้น เมื่อบริษัทน้ำใหม่รุ่นน้อง เริ่มชักแถวก็อปปี้ยุทธศาสตร์ “กิฟฟารีน” อย่างหนัก และทำอย่างต่อเนื่องค่ายแล้วค่ายเล่า เรียกว่า “ก็อปปี้” จน “กิฟฟารีน” เอง ปรับตัวแทบไม่ทัน 
เมื่อยุทธศาสตร์ที่เคยนำหน้าและชูธงชัยมาตลอด...กลับถูกรุ่นน้องเบียดเสียด แถมบางค่ายนำยุทธศาสตร์ “กิฟฟารีน” มาปรับและอะเด็ปท์ยุทธศาสตร์ได้ดีกว่า...ด้วยการใช้งบที่น้อยกว่า เปิดช่องทีวี ดาวเทียม เสียบรายการสาระมากกว่าสู่ช่องฟรีทีวี ที่ได้ทั้งแบรนด์ ได้ทั้งภาพลักษณ์ ภายใต้งบอันน้อยนิดแล้ว ชื่อเสียงและยอดที่ได้รับกลับมาคุ้มค่าเกินคำบรรยาย 
ขณะที่ “กิฟฟารีน” ใช้งบโฆษณาผ่านสื่อ และช่องฟรีทีวีมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท/ปี แต่ยอดขยับเพียงแค่ 10% ก็ถือว่าสุดหรู...เมื่อเทียบกับทีวี ดาวเทียม ใช้งบต่อเดือนไม่เกิน 20 ล้าน.บวกช่องฟรีทีวี ไม่เกิน 100 ล้าน.แต่ยอดขายกลับโตเกิน 100% ต่อปี 
นี่คือ ดัชนีชี้วัดความสำเร็จที่รู้จักใช้สื่อ ฉลาดใช้งบอย่างถูกวิธีและถูกทาง 
นั่นก็หมายความว่า ฐานตลาด “กิฟฟารีน” ที่ว่า “เจ๋ง” และมีขุนพลภายใต้สังกัดอีก 6.2 ล้านคน หาก “กิฟฟารีน” ไม่ขยับและไม่ทำอะไรเลย ในช่วงที่ยุทธศาสตร์ที่กำลัง “ตีบตัน” จนกลายเป็น “น้ำเต็มแก้ว” หากขยับกลัวน้ำหก ย่อมเป็นการส่งสัญญาณเป็นอย่างดีว่า 
สมาชิก...6.2 ล้านคน คือโจทย์สำคัญทำอย่างไร..? ให้หลุดออกจากมือน้อยที่สุด 
จากผู้นำขบวนทัพที่อยู่ด่านหน้า “กิฟฟารีน” ก็ต้องปรับเกมหันมาเหลียวหลัง เพื่อต้อนขุนพล 6.2 ล้านคนที่ตามมาให้ก้าวเดินไปถึงฝั่งพร้อมกันให้ได้...ฉะนั้น ในช่วงระหว่างทางเดิน “กิฟฟารีน” ก็จำเป็นต้องอาวุธเสริม เพื่อไม่ให้ขุนพลที่อยู่แถวหลังล้มหายตายจากไปทีละคน ทีละคน 
ยุทธศาสตร์ใหม่ที่ทรงพลัง และ ทรงอานุภาพที่ดีที่สุด นั่นคือ การเปิดสู่อาณาจักร ทีวี ดาวเทียม ผนึกฟรี ทีวี ที่ “กิฟฟารีน” มีความเชี่ยวชาญและชำนาญศึก คือทางออก...
และเป็นทางที่ “กิฟฟารีน” ร่ำรวยที่สุดในอนาคตกาล 
เพราะ “ฟรีทีวี” ในรูปแบบ “สปอนเซอร์ - สปอตโฆษณา” ทำได้แค่การโฆษณา สร้างภาพ สร้างแบรนด์ และขายสินค้า เพื่อรวบตลาดแมสให้เข้ามาเป็นฐานผู้บริโภค 
ก่อนจะขยับสู่ฐานสมาชิก แต่ยุทธศาสตร์นี้ยังมีจุดบอดตรงที่ ใช้งบ “เปลือง” เป็นที่สุด...
นี่คือวิธีที่ “กิฟฟารีน” จะรักษา “ขุนพล” ที่เป็น “คลื่นมหาชน” กองทัพใหญ่ ที่หล่อเลี้ยงไว้เป็นเสบียงและเติมยอดให้บริษัท...ไม่ให้ถูก “ตัดแข้งตัดขา” และถูกคู่แข่งคอย “ตีกินและจิกตอด” ได้อีกต่อไป แถมยังยิงสัญญาณไกลครอบอาเซียน น่านน้ำที่เริ่มสร้างยอดให้กับ “กิฟฟารีน” ได้อีกต่างหาก 
เมื่อ “กิฟฟารีน” เริ่มเปิดสู่โลกกว้าง ก้าวสู่เวทีมหาชนเต็มรูปแบบ “คลื่น” ที่คอยรบกวนสัญญาณการเติบโตอยู่ตลอดเวลา ก็จะหดหายตามไปด้วย...และก็จะมี “ความยิ่งใหญ่” เข้ามาแทนที่ 
เกมนี้ “กิฟฟารีน” จึงพลิกแต้มกลายเป็น “ผู้ตามยุทธศาสตร์” หลังจากที่ใช้แต้ม “เดินนำยุทธศาสตร์” มานาน...ถึงแม้จะช้าไปหลายก้าว แต่ก็ยังดีกว่า “ไม่รู้จักปรับตัว” ยอม “เสียหน้าเสียราคา” แต่ “ตีกิน” กำไรเพิ่มกลับมาได้ ก็ถือว่า คุ้มสุดคุ้ม..!!
ถามว่า เหตุผลสำคัญที่ “กิฟฟารีน” ขยับ นอกเหนือจากการรักษาฐานสมาชิกแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง...ต้องยอมรับว่า ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมานี้ “ทีวี ดาวเทียม” เริ่มกลายเป็นตัวแทน กลายเป็นสื่อช่องทางใหม่ที่ทรงอิทธิพลในตลาดแมส เพราะมีคำพูดติดปากในตลาดแมส ว่า ถ้าหน้าตาช่องแบบนี้ ต้องเป็นช่องธุรกิจขายตรงชัวร์...ซึ่งถ้าชอบ ก็เลือกดู เลือกเฟ้นหาค่ายที่ชอบผ่านหน้าจอ โดยไม่ต้องไปฟังเสียง “จ้อ” จากแม่ทีมให้เสียเวลา 
เรียกว่า ชอบก็โทร. ไม่ชอบก็ไม่โทร.จิกๆๆ ให้เสียเวลา 
และที่สำคัญเจ้าของธุรกิจขายตรง กลายเป็นเจ้าของทีวี ดาวเทียม...เปิดกันเดือนเว้นเดือน เป็นว่าเล่น...ยิ่งถ้าหากค่ายใดเพิกเฉย และยังเชื่อในระบบเก่าๆ สุดท้ายวิธีการแบบเก่า ก็จะถูก “สื่อทีวี ดาวเทียม” เป็นผู้กำหนดชะตากรรมวงการขายตรงในที่สุด...!!
เมื่อยักษ์เริ่มลงสังเวียน ก็ต้องกล้าฟันธงกันแบบหมดหน้าตัก...เพราะถ้าจะลองเหลียวค่ายไหนที่ใช้สื่อทีวีดาวเทียมเป็นหัวหอกในยุคนี้ จากบริษัทขายตรงค่ายเล็ก เผลอแป๊บเดียว ยอดไต่สู่องค์กรระดับกลางทันที ส่วนบริษัทขนาดกลาง ยอดขายก็วิ่งไปชนยักษ์ใหญ่ เพราะวิธีการใช้หนังสือพิมพ์ประทับตรา ตามด้วยสื่อทีวีผ่านจอภาพ แค่นี้ก็จบเกมตีกินยอด 
ฉะนั้น ช่วงที่เว้นวรรค 2 - 3 ปีมานี้ ขายตรงที่โตไม่เงียบจากสื่อ “ทีวี ดาวเทียม” คือขุมพลังสำคัญที่ดันยอดขายรวมของธุรกิจขายตรงตัวเลขวิ่งเฉียดแสนล้าน.ทันที...ถ้าไม่เชื่อต้องติดตามช็อต “กิฟฟารีน” หลังติดปีก “ทีวี ดาวเทียม” ครอบอาเซียน “กิฟฟารีน” จะตีปีกบินเร็วขนาดไหน..? ยอดในไทยจะขยับเพียงใด อาเซียนขยับปีกบินตามหรือไม่ คงต้องติดตามช็อตต่อไป


ย้อนรอย 16 ปี “กิฟฟารีน
ก่อนไต่สู่ทีวีดาวเทียม 
ตลอดระยะเวลา 16 ปี “กิฟฟารีน” มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปีที่ผ่านมาปิดตัวเลขที่ 5,488 ล้านบาท ต้องยอมรับ “กิฟฟารีน” มีจุดแข็งอยู่ที่การใช้ช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ให้คนทั่วไปรู้จักกับสินค้าคุณภาพของไทย มากกว่าการเป็นธุรกิจขายตรง “กิฟฟารีน” จึงเป็นธุรกิจขายตรงที่มีความใกล้เคียงกับค้าปลีกมากที่สุด เพราะเน้นการสร้างแบรนด์ และการซื้อสินค้าใช้ ไม่ได้เรียกว่า สร้างภาพ หรือหมกเม็ดธุรกิจ แต่วาง “กลยุทธ์ถูกจริต” คนไทยมากกว่า 
การคาบเกี่ยวระหว่าง “ขายตรง” กับ “ค้าปลีก” ของ “กิฟฟารีน” จากตัวเลขสมาชิกที่มีกว่า 6.2 แสนคน นับเฉพาะหัวที่เป็นนักธุรกิจมี 5 แสนราย หาก “กิฟฟารีน” จะเน้นสร้างการรับรู้สินค้า โดยหวังเพียง “ศักยภาพของปากคน” คงต้องฝันค้างกับยอดขาย 6 พันล้าน. เพราะทุกวันนี้บริษัทค้าปลีกต่าง ๆ มีความเชี่ยวชาญในสื่อการโฆษณาสูง จึงอาจเป็นโอกาสในการช่วงชิงลูกค้าได้มากกว่า 
การเกิดช่องทีวีดาวเทียม “กิฟฟารีน ชาแนล” จึงไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์วงการ หนำซ้ำยังออกตัวช้ากว่า “ขายตรง” ย่านความถี่เดียวกัน “กิฟฟารีน ชาแนล” จะเป็นปืนใหญ่ที่ “กิฟฟารีน” ใช้ยิงสัญญาณรบราคร่ายอดขาย ตีกันสมาชิก แย่งพื้นที่หน้าจอยุคดิจิตอล ทั้งขายตรงและค้าปลีก ได้จะทรงอานุภาพแค่ไหน ต้องไปถอดรหัสผังรายการและการวางแผนงานตลาดของช่องนี้กันต่อ


ทุ่มงบ 50 ล้านต่อปี
ดันแบรนด์ใกล้ชิด10.ครัวเรือน 
พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวว่า กิฟฟารีนเตรียมส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดสากล และผู้ชมทั่วประเทศกว่า 10 ล้านครัวเรือน กิฟฟารีน ชาแนล ใช้เงินลงทุนสร้าง 50 ล้านบาท ยิงสัญญาณผ่านดาวเทียม 2 ดวงคือ ไทยคม 5 ที่ย่านความถี่ C-Band ส่งสัญญาณครอบคลุมใน 4 ทวีป ได้แก่ เอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย แอฟริกา และดาวเทียม NSS-6 ของประเทศเนเธอร์แลนด์ ย่านความถี่ Ku-Band ส่งสัญญาณครอบคลุมพม่า ไทย กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ บางส่วนของจีนตอนใต้ อินโดนีเซีย และบรูไน 
พญ.นลินี ระบุว่า ที่ผ่านมาทำการสื่อสารกับสมาชิกมาหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการอบรม เว็บไซต์ แต่ข้อมูล
ที่ใหม่ ๆ มีมากขึ้นทุกวัน ทีวีดาวเทียมจะเป็นอีกช่องทางสื่อสารที่ไปได้กว้างไกลมากขึ้น โดยจะอัดฉีดงบพัฒนาช่อง 50 ล้านบาทต่อปี นอกจากสื่อเคเบิ้ลแล้ว ยังมีทีวีออนไลน์แบบเรียลไทม์ และช่องทางของโซเชี่ยล เน็ทเวิร์ค ซึ่งกำลังขายตามมา 
“กิฟฟารีนเติบโต 10% ทุกปี ปกติเราจะวางงบสื่อสารการตลาดไว้ที่ 200 ล้านบาท แบ่งเป็น การเทรนนิ่ง โฆษณา แมกกาซีน โฆษณาทีวี เรานำกำไรบางส่วนมาลงเป็นเคเบิ้ลทีวี คอนโทรลให้ไม่เกิน 5% ของกำไร ส่วนเรื่องของการเทรนนิ่งก็คงยังทำอยู่ ไม่ลดลงอย่างแน่นอน เพราะพลังทีมยังคงต้องมีอยู่ คิดว่าในเฟสแรกทีวีจะทำให้สมาชิกคึกคักขึ้น อาจจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมา 10-20%”
ทั้งนี้ พญ.นลินี ย้ำชัดว่า กิฟฟารีน ชาแนล จะไม่พัฒนาทีวีไปในทิศทางของการขายปลีกผ่านทีวี เหมือนกับทีวี
ไดเร็กท์ ด้วยความเป็นองค์กรธุรกิจเครือข่าย ช่องทีวีมีไว้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับนักธุรกิจ ถ้าผู้ชมสนใจอยากซื้อสินค้า ก็ต้องซื้อสินค้าผ่านนักธุรกิจ หรือศูนย์จำหน่ายที่ใกล้บ้านเท่านั้น ดังนั้น การพัฒนาอาจจะเป็นในรูปแบบของการโทรศัพท์เข้ามาคุยสด ๆ ในรายการ โทรเข้ามาร่วมเล่นกิจกรรม แต่จะไม่สามารถซื้อขายผ่านทีวีได้ 
ด้านการเปิดตลาด AEC หรือ อาเซียน พญ.นลินี เปิดเผยว่า “ขณะนี้บริษัทฯ ได้มีการเปิดตลาดในประเทศพม่า กัมพูชา และ มาเลเซีย แผนต่อไป คือการเปิดตลาดในประเทศลาว และอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้การเตรียมความพร้อมสำหรับตลาดประเทศลาวอยู่ในขั้นตอนที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนอินโดนีเซียเป็นช่วงที่อยู่ระหว่างการวางแผน โดยรูปแบบการเปิดตลาดในมาเลเซีย พม่า กัมพูชา จะเปิดออกมาในรูปแบบสาขา โดยมีผู้ร่วมลงทุน แต่ประเทศลาวบริษัทได้เข้าไปลงทุนเองทั้งหมด”


แผนปรับผัง 3 เฟส
หวังยึดหน้าจอคนดู 
กิฟฟารีน ชาแนล วางผังไว้ 9 รายการ ประกอบด้วย 
1. CEO Talk คุยกับ CEO (ทุกเรื่องตั้งแต่ธุรกิจจนตีสนิทกันไปถึงก้นครัว) 
2. GIFT INSPIRE ทอล์คโชว์ แนวคิดสร้างธุรกิจและแรงบันดาลใจ 
3. GIFT WINNER รายการกระตุ้นยอดสินค้า Straight Talk Program 
4. GIFT ME FIVE รายการให้ความรู้ด้านสุขภาพและความงาม สู่การสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 
5. GIFT ON TOUR สารคดีท่องเที่ยว ตามรอยนักธุรกิจกิฟฟารีน 
6. Key to Success ให้ความรู้ และกระตุ้นยอดสินค้า 
7. GIFT Story แนวคิดและความสำเร็จกับนักขายกิฟฟารีน 
8. GIFT News ประชาสัมพันธ์ กิจกรรมความเคลื่อนไหวของบริษัท และคนในเครือข่าย 
9. GIFT SHOW นำเสนออีเว้นท์โชว์ของบริษัทที่จัดขึ้นเพื่อสนับสนุน ยอดขาย 
นายพงษ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสายการตลาด กิฟฟารีน กล่าวถึงการวางผังสถานี ว่า เราจะวางแผนการปรับผังไว้ 3 ช่วง คือ ช่วงแรก เป็นการสร้างแฟนคลับ ซึ่งแฟนคลับของเราก็เกิดจากนักธุรกิจที่ชื่นชอบในตัวสินค้า ผู้บริโภคที่สนใจสินค้าแต่ยังไม่ต้องการที่จะทำธุรกิจ วิธีการการสร้างแฟนคลับก็คือ การสร้างเรื่องใกล้ ๆ ตัวให้เข้าใจง่าย พูดง่าย ๆ ก็คือ ดูแล้วอิ่มในสิ่งที่เราทำ
และช่วงที่สอง ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ การให้ผู้บริโภคได้ดู content ที่ สนุกสนานเกี่ยวกับความบันเทิง คือพูดง่าย ๆ ดูช่องของเราแล้วมีความสุข ครบทุกรสชาติ ช่วงที่สาม คือเรามองว่า เราทำด้วยใจ ไม่ได้ต้องการที่จะเอากำไร เพราะสิ่งสำคัญคือ เราต้องการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง ให้ผู้ชมได้จดจำในแบรนด์ กิฟฟารีน ได้เป็นอย่างดี 
พญ.นลินี กล่าวเสริมว่า “บางทีอาจจะคิดว่าการที่มีช่องทีวี ต้องการขายสินค้าอย่างเดียวรึเปล่า ซึ่งจริง ๆ ความในใจที่อยากจะบอก ก็คือ อาจเป็นเพราะเราเป็นหมอด้วย เป็นนักธุรกิจด้วย เราอยากให้คนดูมีความรอบรู้ในส่วนสินค้าของ กิฟฟารีน ส่วนหนึ่ง รวมถึงข้อมูลในแง่ของสุขภาพและความงาม ข้อเท็จในด้านวิชาการ ซึ่งตอนนี้เราก็ได้ทาบทามแพทย์ หรือคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ อาทิ การเลี้ยงดูลูก ผู้หญิงวัยทองเป็นอย่างไร ฯลฯ เราก็ไปชวนหมอที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านสูตินารีแพทย์มา เป็นต้น ซึ่งเราไม่ได้ชวนมาขายของ แต่ชวนมาให้ความรู้ในสิ่งที่ถูกต้องกับผู้ชม สิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่ กิฟฟารีน ทำมาจากใจ ต้องไม่เป็นสิ่งที่น่าเบื่อและสนุกสนานด้วย”
นายพงษ์พสุ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมคิดว่า ทั้ง 9 รายการเด่น ๆ ในเบื้องต้น ก็จะเด่นไปด้านวิชาการ น่าจะประมาณ 30-40% ที่เหลือก็จะเป็น ความเคลื่อนไหวการสื่อสารของคนที่เข้ามาทำธุรกิจ และนอกจากนั้นจะเป็นสาระ บันเทิง เรามองว่าต้องมีสิ่งหลาย ๆ อย่างที่ผู้ชมต้องการจะรู้ ซึ่งทางสถานีก็มีเวลาเยอะที่จะต้องพัฒนากันต่อไป” 
นายการุณณ์ ชางประยูร ผู้อำนวยการสถานีกิฟฟารีนชาแนล พูดถึงการวางเนื้อหาและการลงทุนว่า  “เนื้อหารายการ 70% คือกลุ่มสมาชิกกิฟฟารีนซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก อีก 30% สำหรับประชาชนทั่วไปที่เปิดมาดูเรา ทั้งหมด 9 รายการ ไม่ได้นำเสนอสินค้าแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะเน้นไปที่การสร้างแรงบันดาลใจ จุดประกายความคิดให้ผู้ชม ในรูปแบบของทอล์คโชว์คุณภาพ” 
การวางแผนการตลาดช่อง กิฟฟารีน ชาแนล จะแบ่งเป็น 3 เฟส เฟสแรกซึ่งเปิดตัวออกมาแล้วกับ 9 รายการ จะอาศัยฐานสมาชิกเป็นแรงหนุนกระชากเรตติ้งให้กับช่องก่อน ฉะนั้นคอนเทนท์ในช่วงแรกนี้ จะการทำเรื่องใกล้ตัว เข้าใจง่าย และเป็นเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวันของสมาชิก ส่วนเฟส 2 ซึ่งเป็นช่วงต่อจากนี้ไป วางแผนที่จะเปลี่ยนผู้รับชมทีวีผ่านทางช่องต่าง ๆ ที่ไม่ได้มีความภักดีต่อช่องใดเป็นพิเศษ ให้หันมาดูช่อง กิฟฟารีน ชาแนล 
พัฒนาการในเฟส 2 จะมีคอนเทนท์ที่สนุกสนาน เพื่อให้ผู้ชมที่แม้ไม่ได้เป็นนักธุรกิจ ดูรายการจากช่องแล้วมีความสนุกสนาน ครบทุกรสชาติ คงต้องจับตาให้ดีเฟสนี้อาจจะเห็นรายการเกมโชว์ ชิงโชคลุ้นทัวร์ ประกวดลูกทุ่งคอนเทสต์ ก็เป็นได้ ส่วนเฟส 3 ต้องการให้สถานี “สร้างแบรนด์” อยากให้คนทั้งประเทศพูดถึงช่อง กิฟฟารีน ชาแนล ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของช่อง 
ผอ.สถานี กล่าวต่อว่า “เราเพิ่งสตาร์ทอย่างเป็นทางการและเพิ่งทดลองออกอากาศ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.55 ที่ผ่านมา สมาชิกให้การตอบรับดีมาก คิดว่าภายในสิ้นปีนี้หวังจะให้ช่องของเราถูกพูดถึงมากขึ้น จากวิธีการทำงานที่เข้มข้น สาระรายการที่น่าสนใจ ทุกเรื่องราวที่นำมาออกอากาศ จะต้องเป็นประโยชน์กับผู้ชมและประเทศชาติ ไม่สร้างความแตกแยกในสังคม สิ่งที่น่าสนใจคือ นักธุรกิจที่อยู่ต่างจังหวัดมีจานดาวเทียมและสามารถรับชมได้ก่อน นักธุรกิจในเขตกรุงเทพฯ อีก” 
พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับสมาชิกที่ยังไม่มีจานดาวเทียม บริษัทฯ ไม่ได้เปิดตัวเองเป็นดีลเลอร์ แต่จะมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับสมาชิก ซึ่งตัดยอดมาจำนวนหนึ่งเพื่อมาทำโปรโมชั่นให้นักธุรกิจได้เข้าถึงในราคาพิเศษ ถ้าเข้ามาร่วมกิจกรรมอบรมกับ กิฟฟารีน แต่ถ้าสมาชิกอยู่รอบนอกส่วนใหญ่จะเลือกทีมติดตั้งที่ใกล้บ้าน ด้วยเรื่องของบริการหลังการขายที่สะดวกกว่ามาซื้อกับบริษัท


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 323 ประจำวันที่ 1 - 15 กรกฏาคม 2555

‘กิฟฟารีน ชาแนล-Giffarine Channel’ เปิดเกมตีชิ่งคู่แข่ง หนีพลังเครือข่ายดูด - ขอถอนทุนคืน ย้ำ! สิ้นปีไต่เป้า 6,000 ล้าน.


“กิฟฟารีน” เดินเกมยุทธศาสตร์ตามต้านยุทธศาสตร์นำหลังโดนคู่แข่งรุ่นน้องก็อปปี้กลยุทธ์กระจุย...จับตาหลังเปิดเกมตามอนาคต “กิฟฟารีน” จะเป็นเช่นไร..? หลังอัดงบเพิ่ม 50 ล้าน. ผุดทีวีดาวเทียมผนวกงบโฆษณา 200 ล้าน.ถือเป็นการยึดตลาดแบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดอีกครั้งหลังหันรีหันขวางเจอพลังดูดจากคู่แข่งตั้งลำใหม่ด้วย “กิฟฟารีนแชนแนล” ช่องทางสร้างแบรนด์แสวงนักธุรกิจใหม่ประเดิมเฟสแรกนำร่อง 9 รายการเอาใจสมาชิกพร้อมยิงสัญญาณครอบคลุมอาเซียนลั่นพัฒนาครบ 3 เฟสสิ้นปีช่องนี้ต้องผงาด!! คาดสิ้นปีรายได้โต 10-12% จากรายได้กว่า 5,488 ล้านบาทขยายนักธุรกิจใหม่จากทีวี 10-20%


ดูเหมือนการวนไปเวียนมากับยุทธศาสตร์เดิมๆ อาทิ การจัดประกวดชิงรางวัล Contest  การทุ่มงบไม่อั้นผ่านโฆษณาทีวี - หนังสือพิมพ์ - นิตยสาร การเปิดตัวสินค้าใหม่จนพัฒนากลายเป็นคลังผลิตภัณฑ์ที่มีสินค้ามากมายนานาชนิด เพื่อตอกย้ำการเข้าชิงตลาดแมส การทุ่มงบโปรโมทโรงงานผลิตที่ผ่านมาตรฐานสากล และยุทธศาสตร์น้อย - ใหญ่ ฯลฯ อีกหลาย ๆ ยุทธศาสตร์ที่ “กิฟฟารีน” ได้สรรค์สร้างและบุกเบิกเป็นต้นฉบับให้ศิษย์น้องวงการขายตรงเดินตาม มีมากมายจนนับไม่ถ้วน 
และสามารถปีนป่ายยอดขายขึ้นแท่นเบอร์ 2 ในวงการขายตรง...ได้อย่างเหนียวแน่นและถาวร 
แต่ในธรรมชาติธุรกิจ ย่อมหลีกหนีการแข่งขันไม่พ้น เมื่อบริษัทน้ำใหม่รุ่นน้อง เริ่มชักแถวก็อปปี้ยุทธศาสตร์ “กิฟฟารีน” อย่างหนัก และทำอย่างต่อเนื่องค่ายแล้วค่ายเล่า เรียกว่า “ก็อปปี้” จน “กิฟฟารีน” เอง ปรับตัวแทบไม่ทัน 
เมื่อยุทธศาสตร์ที่เคยนำหน้าและชูธงชัยมาตลอด...กลับถูกรุ่นน้องเบียดเสียด แถมบางค่ายนำยุทธศาสตร์ “กิฟฟารีน” มาปรับและอะเด็ปท์ยุทธศาสตร์ได้ดีกว่า...ด้วยการใช้งบที่น้อยกว่า เปิดช่องทีวี ดาวเทียม เสียบรายการสาระมากกว่าสู่ช่องฟรีทีวี ที่ได้ทั้งแบรนด์ ได้ทั้งภาพลักษณ์ ภายใต้งบอันน้อยนิดแล้ว ชื่อเสียงและยอดที่ได้รับกลับมาคุ้มค่าเกินคำบรรยาย 
ขณะที่ “กิฟฟารีน” ใช้งบโฆษณาผ่านสื่อ และช่องฟรีทีวีมูลค่ากว่า 200 ล้านบาท/ปี แต่ยอดขยับเพียงแค่ 10% ก็ถือว่าสุดหรู...เมื่อเทียบกับทีวี ดาวเทียม ใช้งบต่อเดือนไม่เกิน 20 ล้าน.บวกช่องฟรีทีวี ไม่เกิน 100 ล้าน.แต่ยอดขายกลับโตเกิน 100% ต่อปี 
นี่คือ ดัชนีชี้วัดความสำเร็จที่รู้จักใช้สื่อ ฉลาดใช้งบอย่างถูกวิธีและถูกทาง 
นั่นก็หมายความว่า ฐานตลาด “กิฟฟารีน” ที่ว่า “เจ๋ง” และมีขุนพลภายใต้สังกัดอีก 6.2 ล้านคน หาก “กิฟฟารีน” ไม่ขยับและไม่ทำอะไรเลย ในช่วงที่ยุทธศาสตร์ที่กำลัง “ตีบตัน” จนกลายเป็น “น้ำเต็มแก้ว” หากขยับกลัวน้ำหก ย่อมเป็นการส่งสัญญาณเป็นอย่างดีว่า 
สมาชิก...6.2 ล้านคน คือโจทย์สำคัญทำอย่างไร..? ให้หลุดออกจากมือน้อยที่สุด 
จากผู้นำขบวนทัพที่อยู่ด่านหน้า “กิฟฟารีน” ก็ต้องปรับเกมหันมาเหลียวหลัง เพื่อต้อนขุนพล 6.2 ล้านคนที่ตามมาให้ก้าวเดินไปถึงฝั่งพร้อมกันให้ได้...ฉะนั้น ในช่วงระหว่างทางเดิน “กิฟฟารีน” ก็จำเป็นต้องอาวุธเสริม เพื่อไม่ให้ขุนพลที่อยู่แถวหลังล้มหายตายจากไปทีละคน ทีละคน 
ยุทธศาสตร์ใหม่ที่ทรงพลัง และ ทรงอานุภาพที่ดีที่สุด นั่นคือ การเปิดสู่อาณาจักร ทีวี ดาวเทียม ผนึกฟรี ทีวี ที่ “กิฟฟารีน” มีความเชี่ยวชาญและชำนาญศึก คือทางออก...
และเป็นทางที่ “กิฟฟารีน” ร่ำรวยที่สุดในอนาคตกาล 
เพราะ “ฟรีทีวี” ในรูปแบบ “สปอนเซอร์ - สปอตโฆษณา” ทำได้แค่การโฆษณา สร้างภาพ สร้างแบรนด์ และขายสินค้า เพื่อรวบตลาดแมสให้เข้ามาเป็นฐานผู้บริโภค 
ก่อนจะขยับสู่ฐานสมาชิก แต่ยุทธศาสตร์นี้ยังมีจุดบอดตรงที่ ใช้งบ “เปลือง” เป็นที่สุด...
นี่คือวิธีที่ “กิฟฟารีน” จะรักษา “ขุนพล” ที่เป็น “คลื่นมหาชน” กองทัพใหญ่ ที่หล่อเลี้ยงไว้เป็นเสบียงและเติมยอดให้บริษัท...ไม่ให้ถูก “ตัดแข้งตัดขา” และถูกคู่แข่งคอย “ตีกินและจิกตอด” ได้อีกต่อไป แถมยังยิงสัญญาณไกลครอบอาเซียน น่านน้ำที่เริ่มสร้างยอดให้กับ “กิฟฟารีน” ได้อีกต่างหาก 
เมื่อ “กิฟฟารีน” เริ่มเปิดสู่โลกกว้าง ก้าวสู่เวทีมหาชนเต็มรูปแบบ “คลื่น” ที่คอยรบกวนสัญญาณการเติบโตอยู่ตลอดเวลา ก็จะหดหายตามไปด้วย...และก็จะมี “ความยิ่งใหญ่” เข้ามาแทนที่ 
เกมนี้ “กิฟฟารีน” จึงพลิกแต้มกลายเป็น “ผู้ตามยุทธศาสตร์” หลังจากที่ใช้แต้ม “เดินนำยุทธศาสตร์” มานาน...ถึงแม้จะช้าไปหลายก้าว แต่ก็ยังดีกว่า “ไม่รู้จักปรับตัว” ยอม “เสียหน้าเสียราคา” แต่ “ตีกิน” กำไรเพิ่มกลับมาได้ ก็ถือว่า คุ้มสุดคุ้ม..!!
ถามว่า เหตุผลสำคัญที่ “กิฟฟารีน” ขยับ นอกเหนือจากการรักษาฐานสมาชิกแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่ง...ต้องยอมรับว่า ในช่วง 2 - 3 ปีที่ผ่านมานี้ “ทีวี ดาวเทียม” เริ่มกลายเป็นตัวแทน กลายเป็นสื่อช่องทางใหม่ที่ทรงอิทธิพลในตลาดแมส เพราะมีคำพูดติดปากในตลาดแมส ว่า ถ้าหน้าตาช่องแบบนี้ ต้องเป็นช่องธุรกิจขายตรงชัวร์...ซึ่งถ้าชอบ ก็เลือกดู เลือกเฟ้นหาค่ายที่ชอบผ่านหน้าจอ โดยไม่ต้องไปฟังเสียง “จ้อ” จากแม่ทีมให้เสียเวลา 
เรียกว่า ชอบก็โทร. ไม่ชอบก็ไม่โทร.จิกๆๆ ให้เสียเวลา 
และที่สำคัญเจ้าของธุรกิจขายตรง กลายเป็นเจ้าของทีวี ดาวเทียม...เปิดกันเดือนเว้นเดือน เป็นว่าเล่น...ยิ่งถ้าหากค่ายใดเพิกเฉย และยังเชื่อในระบบเก่าๆ สุดท้ายวิธีการแบบเก่า ก็จะถูก “สื่อทีวี ดาวเทียม” เป็นผู้กำหนดชะตากรรมวงการขายตรงในที่สุด...!!
เมื่อยักษ์เริ่มลงสังเวียน ก็ต้องกล้าฟันธงกันแบบหมดหน้าตัก...เพราะถ้าจะลองเหลียวค่ายไหนที่ใช้สื่อทีวีดาวเทียมเป็นหัวหอกในยุคนี้ จากบริษัทขายตรงค่ายเล็ก เผลอแป๊บเดียว ยอดไต่สู่องค์กรระดับกลางทันที ส่วนบริษัทขนาดกลาง ยอดขายก็วิ่งไปชนยักษ์ใหญ่ เพราะวิธีการใช้หนังสือพิมพ์ประทับตรา ตามด้วยสื่อทีวีผ่านจอภาพ แค่นี้ก็จบเกมตีกินยอด 
ฉะนั้น ช่วงที่เว้นวรรค 2 - 3 ปีมานี้ ขายตรงที่โตไม่เงียบจากสื่อ “ทีวี ดาวเทียม” คือขุมพลังสำคัญที่ดันยอดขายรวมของธุรกิจขายตรงตัวเลขวิ่งเฉียดแสนล้าน.ทันที...ถ้าไม่เชื่อต้องติดตามช็อต “กิฟฟารีน” หลังติดปีก “ทีวี ดาวเทียม” ครอบอาเซียน “กิฟฟารีน” จะตีปีกบินเร็วขนาดไหน..? ยอดในไทยจะขยับเพียงใด อาเซียนขยับปีกบินตามหรือไม่ คงต้องติดตามช็อตต่อไป


ย้อนรอย 16 ปี “กิฟฟารีน
ก่อนไต่สู่ทีวีดาวเทียม 
ตลอดระยะเวลา 16 ปี “กิฟฟารีน” มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ปีที่ผ่านมาปิดตัวเลขที่ 5,488 ล้านบาท ต้องยอมรับ “กิฟฟารีน” มีจุดแข็งอยู่ที่การใช้ช่องทางสื่อสารต่าง ๆ ให้คนทั่วไปรู้จักกับสินค้าคุณภาพของไทย มากกว่าการเป็นธุรกิจขายตรง “กิฟฟารีน” จึงเป็นธุรกิจขายตรงที่มีความใกล้เคียงกับค้าปลีกมากที่สุด เพราะเน้นการสร้างแบรนด์ และการซื้อสินค้าใช้ ไม่ได้เรียกว่า สร้างภาพ หรือหมกเม็ดธุรกิจ แต่วาง “กลยุทธ์ถูกจริต” คนไทยมากกว่า 
การคาบเกี่ยวระหว่าง “ขายตรง” กับ “ค้าปลีก” ของ “กิฟฟารีน” จากตัวเลขสมาชิกที่มีกว่า 6.2 แสนคน นับเฉพาะหัวที่เป็นนักธุรกิจมี 5 แสนราย หาก “กิฟฟารีน” จะเน้นสร้างการรับรู้สินค้า โดยหวังเพียง “ศักยภาพของปากคน” คงต้องฝันค้างกับยอดขาย 6 พันล้าน. เพราะทุกวันนี้บริษัทค้าปลีกต่าง ๆ มีความเชี่ยวชาญในสื่อการโฆษณาสูง จึงอาจเป็นโอกาสในการช่วงชิงลูกค้าได้มากกว่า 
การเกิดช่องทีวีดาวเทียม “กิฟฟารีน ชาแนล” จึงไม่ใช่เรื่องเซอร์ไพรส์วงการ หนำซ้ำยังออกตัวช้ากว่า “ขายตรง” ย่านความถี่เดียวกัน “กิฟฟารีน ชาแนล” จะเป็นปืนใหญ่ที่ “กิฟฟารีน” ใช้ยิงสัญญาณรบราคร่ายอดขาย ตีกันสมาชิก แย่งพื้นที่หน้าจอยุคดิจิตอล ทั้งขายตรงและค้าปลีก ได้จะทรงอานุภาพแค่ไหน ต้องไปถอดรหัสผังรายการและการวางแผนงานตลาดของช่องนี้กันต่อ


ทุ่มงบ 50 ล้านต่อปี
ดันแบรนด์ใกล้ชิด10.ครัวเรือน 
พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวว่า กิฟฟารีนเตรียมส่งสินค้าเข้าสู่ตลาดสากล และผู้ชมทั่วประเทศกว่า 10 ล้านครัวเรือน กิฟฟารีน ชาแนล ใช้เงินลงทุนสร้าง 50 ล้านบาท ยิงสัญญาณผ่านดาวเทียม 2 ดวงคือ ไทยคม 5 ที่ย่านความถี่ C-Band ส่งสัญญาณครอบคลุมใน 4 ทวีป ได้แก่ เอเชีย ยุโรป ออสเตรเลีย แอฟริกา และดาวเทียม NSS-6 ของประเทศเนเธอร์แลนด์ ย่านความถี่ Ku-Band ส่งสัญญาณครอบคลุมพม่า ไทย กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย สิงคโปร์ บางส่วนของจีนตอนใต้ อินโดนีเซีย และบรูไน 
พญ.นลินี ระบุว่า ที่ผ่านมาทำการสื่อสารกับสมาชิกมาหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นการอบรม เว็บไซต์ แต่ข้อมูล
ที่ใหม่ ๆ มีมากขึ้นทุกวัน ทีวีดาวเทียมจะเป็นอีกช่องทางสื่อสารที่ไปได้กว้างไกลมากขึ้น โดยจะอัดฉีดงบพัฒนาช่อง 50 ล้านบาทต่อปี นอกจากสื่อเคเบิ้ลแล้ว ยังมีทีวีออนไลน์แบบเรียลไทม์ และช่องทางของโซเชี่ยล เน็ทเวิร์ค ซึ่งกำลังขายตามมา 
“กิฟฟารีนเติบโต 10% ทุกปี ปกติเราจะวางงบสื่อสารการตลาดไว้ที่ 200 ล้านบาท แบ่งเป็น การเทรนนิ่ง โฆษณา แมกกาซีน โฆษณาทีวี เรานำกำไรบางส่วนมาลงเป็นเคเบิ้ลทีวี คอนโทรลให้ไม่เกิน 5% ของกำไร ส่วนเรื่องของการเทรนนิ่งก็คงยังทำอยู่ ไม่ลดลงอย่างแน่นอน เพราะพลังทีมยังคงต้องมีอยู่ คิดว่าในเฟสแรกทีวีจะทำให้สมาชิกคึกคักขึ้น อาจจะมีสมาชิกเพิ่มขึ้นมา 10-20%”
ทั้งนี้ พญ.นลินี ย้ำชัดว่า กิฟฟารีน ชาแนล จะไม่พัฒนาทีวีไปในทิศทางของการขายปลีกผ่านทีวี เหมือนกับทีวี
ไดเร็กท์ ด้วยความเป็นองค์กรธุรกิจเครือข่าย ช่องทีวีมีไว้เพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับนักธุรกิจ ถ้าผู้ชมสนใจอยากซื้อสินค้า ก็ต้องซื้อสินค้าผ่านนักธุรกิจ หรือศูนย์จำหน่ายที่ใกล้บ้านเท่านั้น ดังนั้น การพัฒนาอาจจะเป็นในรูปแบบของการโทรศัพท์เข้ามาคุยสด ๆ ในรายการ โทรเข้ามาร่วมเล่นกิจกรรม แต่จะไม่สามารถซื้อขายผ่านทีวีได้ 
ด้านการเปิดตลาด AEC หรือ อาเซียน พญ.นลินี เปิดเผยว่า “ขณะนี้บริษัทฯ ได้มีการเปิดตลาดในประเทศพม่า กัมพูชา และ มาเลเซีย แผนต่อไป คือการเปิดตลาดในประเทศลาว และอินโดนีเซีย ซึ่งขณะนี้การเตรียมความพร้อมสำหรับตลาดประเทศลาวอยู่ในขั้นตอนที่ใกล้จะเสร็จสมบูรณ์แล้ว ส่วนอินโดนีเซียเป็นช่วงที่อยู่ระหว่างการวางแผน โดยรูปแบบการเปิดตลาดในมาเลเซีย พม่า กัมพูชา จะเปิดออกมาในรูปแบบสาขา โดยมีผู้ร่วมลงทุน แต่ประเทศลาวบริษัทได้เข้าไปลงทุนเองทั้งหมด”


แผนปรับผัง 3 เฟส
หวังยึดหน้าจอคนดู 
กิฟฟารีน ชาแนล วางผังไว้ 9 รายการ ประกอบด้วย 
1. CEO Talk คุยกับ CEO (ทุกเรื่องตั้งแต่ธุรกิจจนตีสนิทกันไปถึงก้นครัว) 
2. GIFT INSPIRE ทอล์คโชว์ แนวคิดสร้างธุรกิจและแรงบันดาลใจ 
3. GIFT WINNER รายการกระตุ้นยอดสินค้า Straight Talk Program 
4. GIFT ME FIVE รายการให้ความรู้ด้านสุขภาพและความงาม สู่การสร้างยอดขายเพิ่มขึ้น 
5. GIFT ON TOUR สารคดีท่องเที่ยว ตามรอยนักธุรกิจกิฟฟารีน 
6. Key to Success ให้ความรู้ และกระตุ้นยอดสินค้า 
7. GIFT Story แนวคิดและความสำเร็จกับนักขายกิฟฟารีน 
8. GIFT News ประชาสัมพันธ์ กิจกรรมความเคลื่อนไหวของบริษัท และคนในเครือข่าย 
9. GIFT SHOW นำเสนออีเว้นท์โชว์ของบริษัทที่จัดขึ้นเพื่อสนับสนุน ยอดขาย 
นายพงษ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสายการตลาด กิฟฟารีน กล่าวถึงการวางผังสถานี ว่า เราจะวางแผนการปรับผังไว้ 3 ช่วง คือ ช่วงแรก เป็นการสร้างแฟนคลับ ซึ่งแฟนคลับของเราก็เกิดจากนักธุรกิจที่ชื่นชอบในตัวสินค้า ผู้บริโภคที่สนใจสินค้าแต่ยังไม่ต้องการที่จะทำธุรกิจ วิธีการการสร้างแฟนคลับก็คือ การสร้างเรื่องใกล้ ๆ ตัวให้เข้าใจง่าย พูดง่าย ๆ ก็คือ ดูแล้วอิ่มในสิ่งที่เราทำ
และช่วงที่สอง ที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้ การให้ผู้บริโภคได้ดู content ที่ สนุกสนานเกี่ยวกับความบันเทิง คือพูดง่าย ๆ ดูช่องของเราแล้วมีความสุข ครบทุกรสชาติ ช่วงที่สาม คือเรามองว่า เราทำด้วยใจ ไม่ได้ต้องการที่จะเอากำไร เพราะสิ่งสำคัญคือ เราต้องการสร้างแบรนด์ให้แข็งแรง ให้ผู้ชมได้จดจำในแบรนด์ กิฟฟารีน ได้เป็นอย่างดี 
พญ.นลินี กล่าวเสริมว่า “บางทีอาจจะคิดว่าการที่มีช่องทีวี ต้องการขายสินค้าอย่างเดียวรึเปล่า ซึ่งจริง ๆ ความในใจที่อยากจะบอก ก็คือ อาจเป็นเพราะเราเป็นหมอด้วย เป็นนักธุรกิจด้วย เราอยากให้คนดูมีความรอบรู้ในส่วนสินค้าของ กิฟฟารีน ส่วนหนึ่ง รวมถึงข้อมูลในแง่ของสุขภาพและความงาม ข้อเท็จในด้านวิชาการ ซึ่งตอนนี้เราก็ได้ทาบทามแพทย์ หรือคุณหมอผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางมาร่วมพูดคุยเกี่ยวกับเรื่องต่าง ๆ อาทิ การเลี้ยงดูลูก ผู้หญิงวัยทองเป็นอย่างไร ฯลฯ เราก็ไปชวนหมอที่มีความเชี่ยวชาญทางด้านสูตินารีแพทย์มา เป็นต้น ซึ่งเราไม่ได้ชวนมาขายของ แต่ชวนมาให้ความรู้ในสิ่งที่ถูกต้องกับผู้ชม สิ่งเหล่านี้คือ สิ่งที่ กิฟฟารีน ทำมาจากใจ ต้องไม่เป็นสิ่งที่น่าเบื่อและสนุกสนานด้วย”
นายพงษ์พสุ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ผมคิดว่า ทั้ง 9 รายการเด่น ๆ ในเบื้องต้น ก็จะเด่นไปด้านวิชาการ น่าจะประมาณ 30-40% ที่เหลือก็จะเป็น ความเคลื่อนไหวการสื่อสารของคนที่เข้ามาทำธุรกิจ และนอกจากนั้นจะเป็นสาระ บันเทิง เรามองว่าต้องมีสิ่งหลาย ๆ อย่างที่ผู้ชมต้องการจะรู้ ซึ่งทางสถานีก็มีเวลาเยอะที่จะต้องพัฒนากันต่อไป” 
นายการุณณ์ ชางประยูร ผู้อำนวยการสถานีกิฟฟารีนชาแนล พูดถึงการวางเนื้อหาและการลงทุนว่า  “เนื้อหารายการ 70% คือกลุ่มสมาชิกกิฟฟารีนซึ่งเป็นเป้าหมายหลัก อีก 30% สำหรับประชาชนทั่วไปที่เปิดมาดูเรา ทั้งหมด 9 รายการ ไม่ได้นำเสนอสินค้าแต่เพียงอย่างเดียว แต่จะเน้นไปที่การสร้างแรงบันดาลใจ จุดประกายความคิดให้ผู้ชม ในรูปแบบของทอล์คโชว์คุณภาพ” 
การวางแผนการตลาดช่อง กิฟฟารีน ชาแนล จะแบ่งเป็น 3 เฟส เฟสแรกซึ่งเปิดตัวออกมาแล้วกับ 9 รายการ จะอาศัยฐานสมาชิกเป็นแรงหนุนกระชากเรตติ้งให้กับช่องก่อน ฉะนั้นคอนเทนท์ในช่วงแรกนี้ จะการทำเรื่องใกล้ตัว เข้าใจง่าย และเป็นเรื่องที่อยู่ในชีวิตประจำวันของสมาชิก ส่วนเฟส 2 ซึ่งเป็นช่วงต่อจากนี้ไป วางแผนที่จะเปลี่ยนผู้รับชมทีวีผ่านทางช่องต่าง ๆ ที่ไม่ได้มีความภักดีต่อช่องใดเป็นพิเศษ ให้หันมาดูช่อง กิฟฟารีน ชาแนล 
พัฒนาการในเฟส 2 จะมีคอนเทนท์ที่สนุกสนาน เพื่อให้ผู้ชมที่แม้ไม่ได้เป็นนักธุรกิจ ดูรายการจากช่องแล้วมีความสนุกสนาน ครบทุกรสชาติ คงต้องจับตาให้ดีเฟสนี้อาจจะเห็นรายการเกมโชว์ ชิงโชคลุ้นทัวร์ ประกวดลูกทุ่งคอนเทสต์ ก็เป็นได้ ส่วนเฟส 3 ต้องการให้สถานี “สร้างแบรนด์” อยากให้คนทั้งประเทศพูดถึงช่อง กิฟฟารีน ชาแนล ซึ่งเป็นเป้าหมายความสำเร็จของช่อง 
ผอ.สถานี กล่าวต่อว่า “เราเพิ่งสตาร์ทอย่างเป็นทางการและเพิ่งทดลองออกอากาศ เมื่อวันที่ 1 มิ.ย.55 ที่ผ่านมา สมาชิกให้การตอบรับดีมาก คิดว่าภายในสิ้นปีนี้หวังจะให้ช่องของเราถูกพูดถึงมากขึ้น จากวิธีการทำงานที่เข้มข้น สาระรายการที่น่าสนใจ ทุกเรื่องราวที่นำมาออกอากาศ จะต้องเป็นประโยชน์กับผู้ชมและประเทศชาติ ไม่สร้างความแตกแยกในสังคม สิ่งที่น่าสนใจคือ นักธุรกิจที่อยู่ต่างจังหวัดมีจานดาวเทียมและสามารถรับชมได้ก่อน นักธุรกิจในเขตกรุงเทพฯ อีก” 
พร้อมกล่าวทิ้งท้ายว่า สำหรับสมาชิกที่ยังไม่มีจานดาวเทียม บริษัทฯ ไม่ได้เปิดตัวเองเป็นดีลเลอร์ แต่จะมีโปรโมชั่นพิเศษสำหรับสมาชิก ซึ่งตัดยอดมาจำนวนหนึ่งเพื่อมาทำโปรโมชั่นให้นักธุรกิจได้เข้าถึงในราคาพิเศษ ถ้าเข้ามาร่วมกิจกรรมอบรมกับ กิฟฟารีน แต่ถ้าสมาชิกอยู่รอบนอกส่วนใหญ่จะเลือกทีมติดตั้งที่ใกล้บ้าน ด้วยเรื่องของบริการหลังการขายที่สะดวกกว่ามาซื้อกับบริษัท


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 323 ประจำวันที่ 1 - 15 กรกฏาคม 2555

วิเคราะห์เน้นๆ ขายตรง (จอยน์แอนคอยน์-เอมสตาร์-นีโอไลฟ์-กิฟฟารีน) ฟอร์มสด ช๊อตเด็ดขุมกำลังรบสยบคู่แข่ง


ผ่ากลยุทธ์เหนือชั้นวันแข่งเดือดธุรกิจขายตรงไทยจับกระแส 4 ค่ายร้อนใครจะเป็นคู่แข่งตัวฉกาจขึ้นไปเทียบรัศมี แอมเวย์ ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า... กิฟฟารีน กลับมาคึกคักอีกครั้งหลังซบเซาไปหลายเดือนด้วยการเปิดช่อง ทีวีดาวเทียม เป็นของตัวเอง...ส่วน นีโอไลฟ์ กลายเป็นขายตรงที่สร้างเกมการตลาดแนวใหม่หันมาใช้สื่อเป็นหัวหอกครบเครื่องส่งผลต่อการเพิ่มของสมาชิกใหม่ได้ร้อนแรงสุดๆปัจจุบันทะลักกว่า 1.2 ล้านรหัส...ด้าน จอยแอนด์คอยน์ฯ ก็ไม่น้อยหน้ายังเดินหน้ากว้านซื้อที่ดินมุ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอันดับต่อไป...คงไว้ขายตรงสะดวกซื้อค่ายเดียวของไทยที่มีสินค้ามากเป็นอันดับหนึ่ง...ขณะที่ เอมสตาร์ หลังได้ มัลติโปร นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเข้ามาเสริมทัพเชื่อยอดขายขยับแรงแต่ขาดอาวุธหนักอย่าง สื่อทีวี เสริมเขี้ยวเล็บลุยเหมือน 3 ค่ายที่กล่าวมาในปี 2555 นี้อาจทำให้ยอดขายเดินตามหลัง กิฟฟารีนและนีโอไลฟ์ ได้ง่ายๆ


หลังสะบักสะบอมกันถ้วนหน้าของบริษัทขายตรงไทย ในช่วงเกิดวิกฤติน้ำท่วมเมื่อตอนปลายปีที่ผ่านมา แถมลากยาวมาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2555 ดูเหมือนว่า แต่ละค่ายเริ่มออกมา แอ็คชั่น สร้างฝันใหม่ให้กับสมาชิกเกิดความฮึกเหิม ส่งผลให้ตลาดเครือข่ายขายตรงไทยเริ่มกลับมา คึกคัก อีกครั้ง


เปิดไพ่ใบน็อกคู่แข่ง
ค่ายกิฟฟารีนขยับปีก
นับตั้งแต่โรงงานผลิตสินค้าของค่าย กิฟฟารีน ของ พญ.นลินี ไพบูลย์ ถูกน้ำท่วมหนักเป็นแรมเดือนในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายให้กับค่ายนี้ไปหลายสิบล้านบาท แม้แต่ยอดขายในช่วงนั้นก็ ลดฮวบ อย่างน่าเสียดาย
คนระดับ นางพญากิฟฟารีน อย่าง พญ.นลินี ไพบูลย์ ในฐานะที่เป็นบริษัทขายตรงหลายชั้นของไทยเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งมียอดขายสูงสุดต่อเนื่องมายาวนาน เป็นรองก็เฉพาะขายตรงข้ามชาติอย่าง แอมเวย์ เท่านั้น มีหรือจะยอม สยบ กับภาวะวิกฤติที่เกิดจากภัยธรรมชาติกันง่าย ๆ
พญ.นลินี ไพบูลย์ได้วิเคราะห์ทุกแง่ทุกมุมเกี่ยวกับการแข่งขันตลาดเครือข่ายเมืองไทยยุคใหม่ ซึ่งจะมาใช้กลยุทธ์แบบเดิม ๆ เห็นทีจะไม่ได้ผลอีกต่อไป แถมยังจะเสียฐานสมาชิกให้กับบริษัทคู่แข่งไปต่อหน้าต่อตา แบบทำอะไรไม่ได้
พญ.นลินี ไพบูลย์ ย่อมรู้ดีว่า รูปแบบการแข่งขันในตลาดขายตรงของไทยได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ค่ายกิฟฟารีนคิดหนัก ยุคนี้สมัยนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องการใช้ สื่อทีวี เป็นหัวหอกเพื่อ ทะลุใจ ผู้บริโภคเข้าไปถึงห้องนอน ซึ่งค่ายคู่แข่งทำแล้วได้ผลมากว่า 4 ปีเห็นจะได้
ในฐานะที่ กิฟฟารีน เป็นค่ายขายตรงที่มีศูนย์จำหน่าย และฐานสมาชิกทั่วประเทศ เมื่อบวกลบคูณหารดูแล้ว ก็น่าจะมีมากเป็นอันดับต้น ๆ ของขายตรงไทยทั้งระบบ มีหรือจะยอมให้ค่ายคู่แข่ง ตีท้ายครัว ดึงฐานสมาชิกไปต่อหน้าต่อตาคนแล้วคนเล่า เพราะค่ายคู่แข่งเขามีอาวุธ (สื่อ) ที่เหนือกว่าคอยดูดสมาชิกเข้าสังกัด
ล่าสุด กิฟฟารีน จึงออกมาระเบิดความแรง ด้วยการเปิดช่อง ทีวี ดาวเทียม เป็นของตัวเอง ด้วยการทุ่มงบ 50 ล้านบาท เป้าหมายเน้น ๆ เนื้อ ๆ คือ ถ่ายทอดการ โมติเวท ผ่านช่องทางทีวีให้สมาชิกและประชาชนทั่วไปได้สัมผัสความพร้อม และความยิ่งใหญ่ของ กิฟฟารีน นั่นเอง
อะไรถึงทำให้แม่ทัพหญิงอย่าง พญ.นลินี ไพบูลย์ ยอมลงทุนเปิดช่องทีวีเป็นของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ ค่ายกิฟฟารีน มักจะใช้งบโฆษณาผ่าน สื่อฟรีทีวี เป็นหลัก โดยยิงสปอตโฆษณาปีละนับร้อย ๆ ล้านบาทเลยทีเดียว
ก็จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เมื่อ บริษัท นีโอ ไลฟ์ฯ ซึ่งมี ดร.นพรุจ เวชกุล นำทัพแบบถึงลูกถึงคน แถมพ่วง ดร.รัชนี มหานิยม ที่มีความ หวานอึด ทน เกินพิกัดในการทำงาน คอยขับเคลื่อนโดยใช้สื่อฟรีทีวี และทีวีดาวเทียมอย่างบ้(า)ดีเดือดมากว่า 4 ปีเต็ม ๆ
ส่งผลให้ยอดขายเมื่อกว่า 4 ปีที่ผ่านมาของค่ายนี้เคยได้ปีละ 750-800 ล้านบาท ปัจจุบันพุ่งเกือบ 4,000 ล้านบาท แถมในปี 2555 วางยอดขายไว้ที่ 5,500 ล้านบาท เมื่อเป็นเช่นนี้ มีหรือ ค่ายกิฟฟารีน จะนิ่งดูดายได้ เพราะฐานสมาชิกของ นีโอ ไลฟ์ ถ้าจะว่าไปแล้วคือกลุ่มเดียวกันกับ ค่ายกิฟฟารีน นั่นเอง
ฉะนั้น กลยุทธ์การตลาด ลำหักลำโค่นในการ ออกหมัด แต่ละครั้ง รวมถึงการจุดกระแส การสร้างภาพลักษณ์ของ นีโอ ไลฟ์ ไม่ได้ด้อยไปกว่า ค่าย กิฟฟารีน แม้แต่น้อย
เวลานี้ นีโอ ไลฟ์ แพ้ กิฟฟารีน เพียงเรื่องเดียว คือ ไลน์สินค้าที่มีจำนวนน้อยกว่าเท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือไม่ว่าจะเป็นแผนการตลาดระบบการบริหารจัดการเฉือนกันไม่ลง
จริง ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ กิฟฟารีน จะยอมทุ่มงบเปิด สื่อทีวีดาวเทียม เพื่อบุกตลาดขายตรงถึงห้องนอน เพราะศักยภาพของค่ายนี้มีความพร้อมรอบด้านอยู่แล้ว หวังรักษาฐานเดิมเพิ่มฐานสมาชิกใหม่
ถือเป็นการพลิกสถาน การณ์ได้ทันต่อเหตุการณ์ ถ้า กิฟฟารีน ขับเคลื่อนทัพออกหมัดรัวช้ากว่านี้ ดีไม่ดีอาจเสียฐานสมาชิกให้กับคู่แข่งอย่าง นีโอ ไลฟ์ และ เอม สตาร์ ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะ 2 ค่ายนี้คือคู่แข่งตัวฉกาจที่ กิฟฟารีน จะมองข้ามไปไม่ได้เป็นอันขาด


จับตาค่ายนีโอไลฟ์
3-5ปีวางยอดอันดับ1
นับตั้งแต่ ดร.นพรุจ เวชกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นีโอ ไลฟ์ฯ หันมาใช้สื่อทีวี และหนังสือพิมพ์ต่อเนื่องมายาวนานกว่า 4 ปี ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการสร้างฐานสมาชิกในระบบเครือข่ายไทยอย่างเห็นได้ชัด
ใครจะไปคิดว่า ค่ายโนเนมอย่าง นีโอ ไลฟ์ เมื่อ 5-6 ปีก่อนแทบจะไม่มีใครรู้จักด้วยซ้ำไป จะกลายเป็น พยัคฆ์ติดปีก หรือบริษัทขายตรงแถวหน้าที่มาแรงแซงโค้งแทบไม่เชื่อสายตาในเวลานี้
ล่าสุดยอดขายของ นีโอ ไลฟ์ ติดชาร์ท 1 ใน 5 ของบริษัทขายตรงไทยไปโดยปริยาย และมีโอกาสไต่ขึ้นอันดับ 2 หรือ 3 ภายใน 1-2 ปีข้างหน้านี้ห้ามกระพริบตา
สรรพกำลังที่ ดร.นพรุจ เวชกุล แม่ทัพใหญ่ของ นีโอ ไลฟ์ ได้นำออกมาใช้อย่างถึงลูกถึงคน คงหนีไม่พ้นเรื่องการใช้ สื่อ เป็นหัวหอกสำคัญ ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 1.2 ล้านรหัส
เมื่อกว่า 4 ปีที่ผ่านมา นีโอ ไลฟ์ ได้เข้ามาใช้สื่อหนังสือพิมพ์ขายตรงเพื่อ กระตุ้น ความแรง ของธุรกิจ ซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่ง หลังจากนั้นเมื่อปี 2551 กาย ไพรินทร์ ได้ชักชวน ดร.นพรุจ เวชกุล ให้มาใช้สื่อทีวีดาวเทียมเป็น ขีปนาวุธ ในการรบพุ่งเต็มรูปแบบ
ผลิตรายการป้อนช่อง MV TV 2-3 ช่อง, ช่อง IN TV และช่อง TVD ออกอากาศแทบจะทั้งวันทั้งคืน ในยุคแรก ๆ ของการใช้สื่อทีวี ดาวเทียม ดร.นพรุจ เวชกุล เคยกล่าวกับ กาย ไพรินทร์ ว่า ทีแรกผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลมากขนาดนี้ เชื่อไหมพี่กาย 3 เดือนแรกที่ผมใช้งบกับพี่เดือนละกว่า 1 ล้านบาท ยอดขายแทบไม่ได้กำไรเลย พอเดือนที่ 4 และ 5 เท่านั้นแหละ ไม่รู้ยอดมาจากไหน กระแสคึกคักมาก ปกติสายงานทางใต้ผมไม่มีเลย พอใช้สื่อทีวีผู้คนทั่วสารทิศแห่มาร่วมงานกับ นีโอ ไลฟ์ฯ มืดฟ้ามัวดิน ทำให้ยอดขายพุ่งกระฉูด บริษัทตั้งรับแทบไม่ทัน ผมรู้แล้วว่าอิทธิพลของสื่อทีวีมีผลต่อยอดขายมากจริง ๆ ดร.นพรุจกล่าว
นับตั้งแต่นั้นมา นีโอ ไลฟ์ ก็หันมาใช้สื่อทีวีเต็มรูปแบบ เริ่มตั้งแต่ลงทุนกว่า 20 ล้านบาท เปิดช่อง NEO TV หรือทีวี ดาวเทียมเป็นของตัวเอง ซึ่งออนแอร์ 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังซื้อเวลาช่อง 5 จัดรายการทุกวัน ข่าวสังคมธุริกจช่อง 3 สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง
สด ๆ ร้อน ๆ ช็อกวงการขายตรงไทยทั้งประเทศ นั่นคือ ดร.นพรุจ เวชกุล เข้าไปเทคโอเว่อร์ หนังสือพิมพ์ สยามธุรกิจ เข้ามาอยู่ในอาณาจักรเรียบร้อยเมื่อหลายเดือนก่อน และไม่แน่ใจว่า นีโอ ไลฟ์ แอบไปเทคสื่อขายตรงเข้ามาอยู่ในอาณัติด้วยหรือไม่
แผนการรบแบบ สั่นสะท้านวงการสะเทือน ที่ นีโอ ไลฟ์ ปล่อย หมัดชุด ออกไปแต่ละดอกนั้น ย่อมทำให้ค่ายคู่แข่งไม่อาจนั่ง กระดิกเท้า อยู่เฉย ๆ ต่อไปได้ เพราะนั่นย่อมหมายถึงการเสียฐานสมาชิกให้กับค่ายนี้ไปได้โดยง่าย
ต้องยอมรับว่า ยุคนี้ ในแวดวงขายตรงไทย ยิ่งเป็นเรื่องของการใจถึง เงินถึง ดร.นพรุจ เวชกุล ไม่เป็นสองรองใคร นีโอ ไลฟ์ กล้าจัดหนัก จัดเต็มทุกสมรภูมิของการแข่งขัน จน สื่อขายตรง เกือบทุกฉบับต่างก็ให้คะแนน และน้ำหนักไปในทิศทางเดียวกันส่วนจะแสดง ออกนอกหน้า หรือแอบเชียร์อยู่ข้างหลังก็สุดแล้วแต่ความจำเป็นของแต่ละคน
เมื่อ นีโอ ไลฟ์ กลายเป็นตัวแปรสำคัญ ในการ พลิกโฉมใหม่ ของเกมส์แข่งการตลาดในอุตสาหกรรมนี้ จับตาดูต่อไปว่า นีโอ ไลฟ์ จะงัดหมัดเด็ดอะไรออกมาเล่นอีก ที่แว่วมาล่าสุด อาจเดินตามพี่ใหญ่อย่างค่ายแอมเวย์ คือ การจัดตั้ง มูลนิธิ เพื่อสังคม
ที่แน่ ๆ กิฟฟารีน และ เอม สตาร์ ไม่น่าจะเป็นคู่แข่งที่ นีโอ ไลฟ์ หวังจะไปสู้รบปรบมือด้วย ถ้าไม่ใช่ 2 ค่ายนี้ เป้าหมายใหญ่ของ นีโอ ไลฟ์ อยู่ที่ไหนกันแน่...
ด้วยองค์ประกอบที่วางรากฐานสมาชิกเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมาก วางขุมกำลังทาง สื่อ ไว้เต็มอัตราศึก ตั้งแต่สื่อในกลุ่มไปจนถึงสื่อแมสระดับชาติ หรือพูดง่าย ๆ ค่ายนี้ครบเครื่องเรื่องสื่อ
ทีมข่าวตลาดวิเคราะห์ คงต้องวิเคราะห์แบบไม่เกรงใจใคร เชื่อว่าภายใน 3-5 ปี นีโอ ไลฟ์ ได้พุ่งเป้ายอดขายไว้ที่ เบอร์ 1 ของขายตรงไทย โดยมี แอมเวย์ เป็นเป้าหมายที่วางไว้อย่างไม่ต้องสงสัย...


ตรวจแผนรบสยบศึก
ค่ายจอยแอนด์คอยน์ฯ
บริษัท จอยแอนด์คอยน์ คอปอร์เรชั่น จำกัด นำทัพโดย ดร.สมชาย หัชลีฬหา ได้ออกมาเคลื่อนไหวใหญ่ กระตุ้นต่อมรวยให้สมาชิกฝันหวานเต็มอัตราศึก ด้วยการวางเป้าหมายจะนำธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า
ที่แน่ ๆ ดร.สมชาย หัชลีฬหา ได้ทุ่มและเพิ่มงบกว่า 300 ล้านบาท กว้านซื้อที่ดินตามเมืองใหญ่ ๆ ในทำเลทองเพื่อตั้งสาขาครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศให้ได้มากที่สุด จากเดิมมีสาขาอยู่แล้วกว่า 40 แห่งกระจายอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงให้กับสมาชิก และประชาชนทั่วไป ในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ในวันข้างหน้า
ดร.สมชาย หัชลีฬหา ยังได้ระดมทัพสินค้าหลากหลายชนิดนับหมื่น ๆ รายการ เข้ามาจำหน่ายในร้าน J&C จนกลายเป็นบริษัทขายตรงสะดวกซื้อรายแรก และค่ายเดียวของไทย เพราะมีสินค้ามากหลากหลายเป็นอันดับหนึ่งนั่นเอง
การที่ บริษัท จอยแอนด์คอยน์ฯ มีสินค้าหลากหลาย ไม่รู้จะขายหรือชูแบรนด์อะไรเป็นตัวชูโรง นอกเสียจาก โหย่งเหิง ยาน้ำสมุนไพร ฉะนั้น กลศึก ทางการตลาดของค่ายนี้จึง โฟกัส ไปที่ ค่ายไหนมีสินค้าอะไรดี เรามีหมด และขายถูกกว่า จะเห็นว่าจอยแอนด์คอยน์ฯ มีผลิตภัณฑ์เกือบทุกอย่างที่ค่ายอื่นมีจริง ๆ โดยเฉพาะสินค้าที่อยู่ในกระแส J&C มีวางจำหน่ายหมด แม้แต่สินค้าเกี่ยวกับภายในผู้หญิงที่ว่ากระแสมาแรง ค่ายนี้ยังมี CLEO PLUS ออกมากระตุ้นต่อมอยากของผู้หญิงไม่ยอมตกเทรนด์แต่อย่างใด
เรื่องคุณภาพสินค้าไม่ต้องห่วง เพราะนวัตกรรมการผลิตยุคนี้โรงงานที่ได้มาตรฐานสากล เขาสามารถผลิตคุณภาพไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าตำรับเดิมก็แล้วกัน แนวทางการตลาดของเรา คือ เน้นช่องทางเลือกที่มากกว่า เพราะในอดีตการทำตลาดขายตรงมักจะประสบปัญหาเรื่องสินค้ามีอายุของมัน พอทำได้ระยะหนึ่งก็จะมีคนออกมาลอกเลียนแบบ ขายแข่ง ตัดราคาในตลาด ซึ่งตรงนี้เราไปห้ามและควบคุมไม่ได้ นั่นหมายความว่า สินค้าอะไรก็แล้วแต่ ถ้าขายดีเป็นที่ต้องการ ก็จะมีบริษัทคู่แข่งออกมาแข่ง เมื่อเรามีทางเลือกที่น้อยการยืนอยู่ในสนามนาน ๆ ก็ลำบาก ยิ่งมาเจอของปลอมด้วยแล้วก็หมดกัน ผมจึงเลือกที่จะมีสินค้าหลากหลายเป็นจุดขาย ดร.สมชายกล่าว


วัดกระแสเอมสตาร์
ยังมาแรงอยู่หรือไม่
ถ้าพูดถึงค่ายขายตรงไทยที่มาแรงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจัดอยู่ในชาร์ทอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย คงหนีไม่พ้น บริษัท เอมสตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด ของ ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์ ประธานฯ ไปได้
เพราะค่ายนี้ถูกวาง โพซิชั่น ของการแข่งขัน ที่จะขึ้นไปเทียบรัศมียักษ์ใหญ่อย่าง แอมเวย์ เลยทีเดียว เพราะในช่วงต้นปี 2554 ที่ผ่านมา ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์ เคยออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่า สิ้นปีดังกล่าวจะทำยอดขายให้ได้ 15,000 ล้านบาท นั่นหมายความว่า ชน ยักษ์แอมเวย์ตรง ๆ เนื่องจากค่ายนี้เดิมมียอดขายกว่า 14,500 ล้านบาทอยู่แล้ว
ต้องยอมรับว่า ในช่วงปี2553-2554เส้นทางของคนทำอาชีพขายตรงทุกสาย ต่างก็มุ่งสู่อาณาจักรของ เอม สตาร์ เพราะต่างก็เชื่อว่า ค่ายนี้จะสามารถตอบโจทย์ให้กับคนขายตรงได้มาก เนื่องจากทีมบริหาร และทีมฝึกอบรมจำนวนไม่น้อยต่างมีประสบการณ์มาจากแอมเวย์ ก็เลยเชื่อมั่นว่า เอม สตาร์ คือทางเลือกใหม่ให้กับคนขายตรงที่ไม่ชอบแผนการตลาดแบบแอมเวย์ หลังจากออกหมัดเต็มอัตราศึก ปรากฏว่า เอม สตาร์ ทำยอดขายในปี 2554 ได้เพียง 4,200 ล้านบาท พลาดเป้าที่วางไว้ไปกว่า 10,000 ล้านบาทเลยทีเดียว
ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์ กลับมาฮึดสู้เต็มอัตราศึก หวังขึ้นไปเทียบชั้นยอดขายของ แอมเวย์ ให้ได้ภายใน 3-4 ปีข้างหน้า ด้วยการเปิดสาขาที่ญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มยอดขาย เท่านั้นยังไม่พอยังไปเปิดสาขาที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นฐานหรือกองบัญชาการใหญ่ของแอมเวย์อีกต่างหาก
กระแส เอม สตาร์ ทำท่าจะแผ่วลงไปในช่วงหนึ่งตอนน้ำท่วมเมื่อปลายปี 2554 ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์ ก็ถือเอาจังหวะนี้แหละพัฒนาสินค้า และได้นำสินค้าไลน์ใหม่ นั่นคือ มัลติโปร โปรตีนเสริมอาหารนวัตกรรมใหม่เข้ามาทำตลาด ว่ากันว่า ยอดขายทำท่าจะแซงสินค้าเดิม ๆ อย่างน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวด้วยซ้ำไป
วันนี้ เอม สตาร์ เป็นบริษัทของคนไทยเพียงเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่ได้รับลิขสิทธิ์จากทาง บริษัท ไบโอเทลล่า ผู้ผลิตสาร well moon ให้เราสามารถใช้สารชนิดนี้เป็นส่วนผสมสำคัญในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มัลติโปร ได้ ตนจึงอยากบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ที่นวัต กรรมเหล่านี้ได้มาอยู่ในมือของคนไทย และอยู่ในมือของ เอม สตาร์ โดยบริษัทเชื่อมั่น ว่าในปีนี้สินค้าดังกล่าวจะเป็นผลิต ภัณฑ์อีกตัวหนึ่งที่ไม่เป็นรองใคร ทญ.ลพา กล่าว
ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์ ยังกล่าวอีกว่า ตนจะพัฒนาทุกจุดให้ เอม สตาร์ เป็นเบอร์หนึ่งให้ได้สักวัน และเชื่อว่าเราสามารถทำได้ เพราะขณะนี้ตนมองว่าบริษัท เอม สตาร์ สามารถดูแลผู้คนได้ดีไม่แพ้ใคร ๆ ดังนั้น ด้วยศักยภาพของธุรกิจเครือข่าย ด้วยศักยภาพของสินค้า และด้วยศักยภาพของผู้คน รวม 3 อย่าง นี้เข้าด้วยกัน จึงไม่มีใครที่จะสามารถหยุดยั้งบริษัทได้อย่างแน่นอน
ถ้าจะวิเคราะห์กันถึงรูปมวย การออกหมัด รวมถึงไลน์สินค้าตัวใหม่ของ เอม สตาร์ ก็ไม่น่าจะเป็นสองรองค่ายใดแต่ เอม สตาร์ ติดตรงที่ อาวุธ หนักที่จะนำมาใช้ในการทำศึกขายตรงรูปแบบใหม่ไม่มีสิ่งนี้เป็นตัวแปรสำคัญ
อย่าลืมนะว่า นีโอ ไลฟ์ ขยายฐานสมาชิกได้ร้อนแรงเป็นอันดับต้น ๆ ในยุคนี้ เพราะมี สื่อทุกแขนง เป็นอาวุธหนัก ส่วนค่าย กิฟฟารีน ก็หันมาใช้สื่อทีวีดาวเทียมเป็นของตัวเอง ออกอากาศหาสมาชิกใหม่แบบง่าย ๆ ทุกวัน
แต่ เอม สตาร์ กลับไม่มีพันธมิตรด้านสื่อทีวีเป็น หัวเจาะสำคัญ ถึงห้องนอนได้ ในการทำตลาดอย่างถึงพริกถึงขิง เพื่อเพิ่มสมาชิกใหม่ เพิ่มยอดขาย ก้าวขึ้นบันไดไปสู่จุดสูงสุด
ลำพังให้สมาชิกใช้ สื่ออินเตอร์เน็ต ในการเปิดหาลูกค้าหน้าใหม่ ๆ พูดก็พูดเถอะยุคนี้ไม่เหมือน 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะการโพสต์ข้อความเรื่องรายได้ผ่านเว็บไซต์คนไม่เชื่อถืออีกต่อไป ตลาดสื่อด้านนี้เริ่มจะวายอย่างเห็นได้ชัด
ถ้า เอม สตาร์ เอาชนะยอดขาย นีโอ ไลฟ์ และ กิฟฟารีน ในปี 2555 นี้ไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรไปต่อกรกับ แอมเวย์ ที่ติดลมบนปีละกว่า 15,000 ล้านบาท นี่คือ การบ้านข้อใหญ่ที่ ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์ จะต้องนำไปฉุกคิด เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในการแข่งขันต่อไป


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่323 ประจำวันที่1 - 15 กรกฏาคม 2555

วิเคราะห์เน้นๆ ขายตรง (จอยน์แอนคอยน์-เอมสตาร์-นีโอไลฟ์-กิฟฟารีน) ฟอร์มสด ช๊อตเด็ดขุมกำลังรบสยบคู่แข่ง


ผ่ากลยุทธ์เหนือชั้นวันแข่งเดือดธุรกิจขายตรงไทยจับกระแส 4 ค่ายร้อนใครจะเป็นคู่แข่งตัวฉกาจขึ้นไปเทียบรัศมี “แอมเวย์” ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า... “กิฟฟารีน” กลับมาคึกคักอีกครั้งหลังซบเซาไปหลายเดือนด้วยการเปิดช่อง “ทีวีดาวเทียม” เป็นของตัวเอง...ส่วน “นีโอไลฟ์” กลายเป็นขายตรงที่สร้างเกมการตลาดแนวใหม่หันมาใช้สื่อเป็นหัวหอกครบเครื่องส่งผลต่อการเพิ่มของสมาชิกใหม่ได้ร้อนแรงสุดๆปัจจุบันทะลักกว่า 1.2 ล้านรหัส...ด้าน “จอยแอนด์คอยน์ฯ” ก็ไม่น้อยหน้ายังเดินหน้ากว้านซื้อที่ดินมุ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอันดับต่อไป...คงไว้ขายตรงสะดวกซื้อค่ายเดียวของไทยที่มีสินค้ามากเป็นอันดับหนึ่ง...ขณะที่ “เอมสตาร์” หลังได้ “มัลติโปร” นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเข้ามาเสริมทัพเชื่อยอดขายขยับแรงแต่ขาดอาวุธหนักอย่าง “สื่อทีวี” เสริมเขี้ยวเล็บลุยเหมือน 3 ค่ายที่กล่าวมาในปี 2555 นี้อาจทำให้ยอดขายเดินตามหลัง “กิฟฟารีนและนีโอไลฟ์” ได้ง่ายๆ


หลังสะบักสะบอมกันถ้วนหน้าของบริษัทขายตรงไทย ในช่วงเกิดวิกฤติน้ำท่วมเมื่อตอนปลายปีที่ผ่านมา แถมลากยาวมาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2555 ดูเหมือนว่า แต่ละค่ายเริ่มออกมา “แอ็คชั่น”  สร้างฝันใหม่ให้กับสมาชิกเกิดความฮึกเหิม ส่งผลให้ตลาดเครือข่ายขายตรงไทยเริ่มกลับมา “คึกคัก” อีกครั้ง


เปิดไพ่ “ใบน็อกคู่แข่ง” 
ค่ายกิฟฟารีนขยับปีก 
นับตั้งแต่โรงงานผลิตสินค้าของค่าย กิฟฟารีน ของ “พญ.นลินี ไพบูลย์” ถูกน้ำท่วมหนักเป็นแรมเดือนในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายให้กับค่ายนี้ไปหลายสิบล้านบาท แม้แต่ยอดขายในช่วงนั้นก็ “ลดฮวบ” อย่างน่าเสียดาย  
คนระดับ “นางพญากิฟฟารีน” อย่าง “พญ.นลินี ไพบูลย์” ในฐานะที่เป็นบริษัทขายตรงหลายชั้นของไทยเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งมียอดขายสูงสุดต่อเนื่องมายาวนาน เป็นรองก็เฉพาะขายตรงข้ามชาติอย่าง “แอมเวย์” เท่านั้น มีหรือจะยอม “สยบ” กับภาวะวิกฤติที่เกิดจากภัยธรรมชาติกันง่าย ๆ 
“พญ.นลินี ไพบูลย์”ได้วิเคราะห์ทุกแง่ทุกมุมเกี่ยวกับการแข่งขันตลาดเครือข่ายเมืองไทยยุคใหม่ ซึ่งจะมาใช้กลยุทธ์แบบเดิม ๆ เห็นทีจะไม่ได้ผลอีกต่อไป แถมยังจะเสียฐานสมาชิกให้กับบริษัทคู่แข่งไปต่อหน้าต่อตา แบบทำอะไรไม่ได้ 
“พญ.นลินี ไพบูลย์” ย่อมรู้ดีว่า รูปแบบการแข่งขันในตลาดขายตรงของไทยได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ค่ายกิฟฟารีนคิดหนัก ยุคนี้สมัยนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องการใช้ “สื่อทีวี” เป็นหัวหอกเพื่อ “ทะลุใจ” ผู้บริโภคเข้าไปถึงห้องนอน ซึ่งค่ายคู่แข่งทำแล้วได้ผลมากว่า 4 ปีเห็นจะได้ 
ในฐานะที่ “กิฟฟารีน” เป็นค่ายขายตรงที่มีศูนย์จำหน่าย และฐานสมาชิกทั่วประเทศ เมื่อบวกลบคูณหารดูแล้ว ก็น่าจะมีมากเป็นอันดับต้น ๆ ของขายตรงไทยทั้งระบบ มีหรือจะยอมให้ค่ายคู่แข่ง “ตีท้ายครัว” ดึงฐานสมาชิกไปต่อหน้าต่อตาคนแล้วคนเล่า เพราะค่ายคู่แข่งเขามีอาวุธ (สื่อ) ที่เหนือกว่าคอยดูดสมาชิกเข้าสังกัด 
ล่าสุด “กิฟฟารีน” จึงออกมาระเบิดความแรง ด้วยการเปิดช่อง “ทีวี ดาวเทียม” เป็นของตัวเอง ด้วยการทุ่มงบ 50 ล้านบาท เป้าหมายเน้น ๆ เนื้อ ๆ คือ ถ่ายทอดการ “โมติเวท” ผ่านช่องทางทีวีให้สมาชิกและประชาชนทั่วไปได้สัมผัสความพร้อม และความยิ่งใหญ่ของ “กิฟฟารีน” นั่นเอง 
อะไรถึงทำให้แม่ทัพหญิงอย่าง “พญ.นลินี ไพบูลย์” ยอมลงทุนเปิดช่องทีวีเป็นของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ “ค่ายกิฟฟารีน” มักจะใช้งบโฆษณาผ่าน “สื่อฟรีทีวี” เป็นหลัก โดยยิงสปอตโฆษณาปีละนับร้อย ๆ ล้านบาทเลยทีเดียว 
ก็จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เมื่อ “บริษัท นีโอ ไลฟ์ฯ” ซึ่งมี “ดร.นพรุจ เวชกุล” นำทัพแบบถึงลูกถึงคน แถมพ่วง “ดร.รัชนี มหานิยม” ที่มีความ “หวานอึด ทน” เกินพิกัดในการทำงาน คอยขับเคลื่อนโดยใช้สื่อฟรีทีวี และทีวีดาวเทียมอย่างบ้(า)ดีเดือดมากว่า 4 ปีเต็ม ๆ 
ส่งผลให้ยอดขายเมื่อกว่า 4 ปีที่ผ่านมาของค่ายนี้เคยได้ปีละ 750-800 ล้านบาท ปัจจุบันพุ่งเกือบ 4,000 ล้านบาท แถมในปี 2555 วางยอดขายไว้ที่ 5,500 ล้านบาท เมื่อเป็นเช่นนี้ มีหรือ “ค่ายกิฟฟารีน” จะนิ่งดูดายได้ เพราะฐานสมาชิกของ “นีโอ ไลฟ์” ถ้าจะว่าไปแล้วคือกลุ่มเดียวกันกับ “ค่ายกิฟฟารีน” นั่นเอง 
ฉะนั้น กลยุทธ์การตลาด ลำหักลำโค่นในการ “ออกหมัด” แต่ละครั้ง รวมถึงการจุดกระแส การสร้างภาพลักษณ์ของ “นีโอ ไลฟ์” ไม่ได้ด้อยไปกว่า “ค่าย กิฟฟารีน” แม้แต่น้อย 
เวลานี้ “นีโอ ไลฟ์” แพ้ “กิฟฟารีน” เพียงเรื่องเดียว คือ ไลน์สินค้าที่มีจำนวนน้อยกว่าเท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือไม่ว่าจะเป็นแผนการตลาดระบบการบริหารจัดการเฉือนกันไม่ลง
จริง ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ “กิฟฟารีน” จะยอมทุ่มงบเปิด “สื่อทีวีดาวเทียม” เพื่อบุกตลาดขายตรงถึงห้องนอน เพราะศักยภาพของค่ายนี้มีความพร้อมรอบด้านอยู่แล้ว หวังรักษาฐานเดิมเพิ่มฐานสมาชิกใหม่ 
ถือเป็นการพลิกสถาน การณ์ได้ทันต่อเหตุการณ์  ถ้า “กิฟฟารีน” ขับเคลื่อนทัพออกหมัดรัวช้ากว่านี้ ดีไม่ดีอาจเสียฐานสมาชิกให้กับคู่แข่งอย่าง “นีโอ ไลฟ์” และ “เอม สตาร์” ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะ 2 ค่ายนี้คือคู่แข่งตัวฉกาจที่ “กิฟฟารีน” จะมองข้ามไปไม่ได้เป็นอันขาด


จับตา “ค่ายนีโอไลฟ์
3-5 ปีวางยอดอันดับ 1 
นับตั้งแต่ “ดร.นพรุจ เวชกุล” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นีโอ ไลฟ์ฯ หันมาใช้สื่อทีวี และหนังสือพิมพ์ต่อเนื่องมายาวนานกว่า 4 ปี ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการสร้างฐานสมาชิกในระบบเครือข่ายไทยอย่างเห็นได้ชัด            
ใครจะไปคิดว่า ค่ายโนเนมอย่าง “นีโอ ไลฟ์” เมื่อ 5-6 ปีก่อนแทบจะไม่มีใครรู้จักด้วยซ้ำไป จะกลายเป็น “พยัคฆ์ติดปีก” หรือบริษัทขายตรงแถวหน้าที่มาแรงแซงโค้งแทบไม่เชื่อสายตาในเวลานี้ 
ล่าสุดยอดขายของ “นีโอ ไลฟ์” ติดชาร์ท 1 ใน 5 ของบริษัทขายตรงไทยไปโดยปริยาย และมีโอกาสไต่ขึ้นอันดับ 2 หรือ 3 ภายใน 1-2 ปีข้างหน้านี้ห้ามกระพริบตา 
สรรพกำลังที่ “ดร.นพรุจ เวชกุล” แม่ทัพใหญ่ของ “นีโอ ไลฟ์” ได้นำออกมาใช้อย่างถึงลูกถึงคน คงหนีไม่พ้นเรื่องการใช้ “สื่อ” เป็นหัวหอกสำคัญ ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 1.2 ล้านรหัส 
เมื่อกว่า 4 ปีที่ผ่านมา “นีโอ ไลฟ์” ได้เข้ามาใช้สื่อหนังสือพิมพ์ขายตรงเพื่อ “กระตุ้น ความแรง” ของธุรกิจ ซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่ง หลังจากนั้นเมื่อปี 2551 “กาย ไพรินทร์” ได้ชักชวน “ดร.นพรุจ เวชกุล” ให้มาใช้สื่อทีวีดาวเทียมเป็น “ขีปนาวุธ” ในการรบพุ่งเต็มรูปแบบ 
ผลิตรายการป้อนช่อง MV TV 2-3 ช่อง, ช่อง IN TV และช่อง TVD ออกอากาศแทบจะทั้งวันทั้งคืน ในยุคแรก ๆ ของการใช้สื่อทีวี ดาวเทียม “ดร.นพรุจ เวชกุล” เคยกล่าวกับ “กาย ไพรินทร์” ว่า “ทีแรกผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลมากขนาดนี้ เชื่อไหมพี่กาย 3 เดือนแรกที่ผมใช้งบกับพี่เดือนละกว่า 1 ล้านบาท ยอดขายแทบไม่ได้กำไรเลย พอเดือนที่ 4 และ 5 เท่านั้นแหละ ไม่รู้ยอดมาจากไหน กระแสคึกคักมาก ปกติสายงานทางใต้ผมไม่มีเลย พอใช้สื่อทีวีผู้คนทั่วสารทิศแห่มาร่วมงานกับ นีโอ ไลฟ์ฯ มืดฟ้ามัวดิน ทำให้ยอดขายพุ่งกระฉูด บริษัทตั้งรับแทบไม่ทัน ผมรู้แล้วว่าอิทธิพลของสื่อทีวีมีผลต่อยอดขายมากจริง ๆ” ดร.นพรุจกล่าว            
นับตั้งแต่นั้นมา “นีโอ ไลฟ์” ก็หันมาใช้สื่อทีวีเต็มรูปแบบ เริ่มตั้งแต่ลงทุนกว่า 20 ล้านบาท เปิดช่อง NEO TV หรือทีวี ดาวเทียมเป็นของตัวเอง ซึ่งออนแอร์ 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังซื้อเวลาช่อง 5 จัดรายการทุกวัน ข่าวสังคมธุริกจช่อง 3 สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง 
สด ๆ ร้อน ๆ ช็อกวงการขายตรงไทยทั้งประเทศ นั่นคือ “ดร.นพรุจ เวชกุล” เข้าไปเทคโอเว่อร์  “หนังสือพิมพ์ สยามธุรกิจ” เข้ามาอยู่ในอาณาจักรเรียบร้อยเมื่อหลายเดือนก่อน และไม่แน่ใจว่า “นีโอ ไลฟ์” แอบไปเทคสื่อขายตรงเข้ามาอยู่ในอาณัติด้วยหรือไม่ 
แผนการรบแบบ “สั่นสะท้านวงการสะเทือน” ที่ “นีโอ ไลฟ์” ปล่อย “หมัดชุด” ออกไปแต่ละดอกนั้น ย่อมทำให้ค่ายคู่แข่งไม่อาจนั่ง “กระดิกเท้า” อยู่เฉย ๆ ต่อไปได้ เพราะนั่นย่อมหมายถึงการเสียฐานสมาชิกให้กับค่ายนี้ไปได้โดยง่าย 
ต้องยอมรับว่า ยุคนี้ ในแวดวงขายตรงไทย ยิ่งเป็นเรื่องของการใจถึง เงินถึง “ดร.นพรุจ เวชกุล” ไม่เป็นสองรองใคร “นีโอ ไลฟ์” กล้าจัดหนัก จัดเต็มทุกสมรภูมิของการแข่งขัน จน “สื่อขายตรง” เกือบทุกฉบับต่างก็ให้คะแนน และน้ำหนักไปในทิศทางเดียวกันส่วนจะแสดง ออกนอกหน้า หรือแอบเชียร์อยู่ข้างหลังก็สุดแล้วแต่ความจำเป็นของแต่ละคน 
เมื่อ “นีโอ ไลฟ์” กลายเป็นตัวแปรสำคัญ ในการ “พลิกโฉมใหม่” ของเกมส์แข่งการตลาดในอุตสาหกรรมนี้ จับตาดูต่อไปว่า “นีโอ ไลฟ์” จะงัดหมัดเด็ดอะไรออกมาเล่นอีก ที่แว่วมาล่าสุด อาจเดินตามพี่ใหญ่อย่างค่ายแอมเวย์ คือ การจัดตั้ง “มูลนิธิ” เพื่อสังคม 
ที่แน่ ๆ “กิฟฟารีน” และ “เอม สตาร์” ไม่น่าจะเป็นคู่แข่งที่ “นีโอ ไลฟ์” หวังจะไปสู้รบปรบมือด้วย ถ้าไม่ใช่ 2 ค่ายนี้ เป้าหมายใหญ่ของ “นีโอ ไลฟ์” อยู่ที่ไหนกันแน่...
ด้วยองค์ประกอบที่วางรากฐานสมาชิกเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมาก วางขุมกำลังทาง “สื่อ” ไว้เต็มอัตราศึก ตั้งแต่สื่อในกลุ่มไปจนถึงสื่อแมสระดับชาติ หรือพูดง่าย ๆ ค่ายนี้ครบเครื่องเรื่องสื่อ 
“ทีมข่าวตลาดวิเคราะห์” คงต้องวิเคราะห์แบบไม่เกรงใจใคร เชื่อว่าภายใน 3-5 ปี “นีโอ ไลฟ์” ได้พุ่งเป้ายอดขายไว้ที่ “เบอร์ 1” ของขายตรงไทย โดยมี “แอมเวย์” เป็นเป้าหมายที่วางไว้อย่างไม่ต้องสงสัย...


ตรวจแผนรบสยบศึก
ค่ายจอยแอนด์คอยน์ฯ 
“บริษัท จอยแอนด์คอยน์ คอปอร์เรชั่น จำกัด” นำทัพโดย “ดร.สมชาย หัชลีฬหา” ได้ออกมาเคลื่อนไหวใหญ่ กระตุ้นต่อมรวยให้สมาชิกฝันหวานเต็มอัตราศึก ด้วยการวางเป้าหมายจะนำธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า 
ที่แน่ ๆ “ดร.สมชาย หัชลีฬหา” ได้ทุ่มและเพิ่มงบกว่า 300 ล้านบาท กว้านซื้อที่ดินตามเมืองใหญ่ ๆ ในทำเลทองเพื่อตั้งสาขาครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศให้ได้มากที่สุด จากเดิมมีสาขาอยู่แล้วกว่า 40 แห่งกระจายอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงให้กับสมาชิก และประชาชนทั่วไป ในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ในวันข้างหน้า 
“ดร.สมชาย หัชลีฬหา” ยังได้ระดมทัพสินค้าหลากหลายชนิดนับหมื่น ๆ รายการ เข้ามาจำหน่ายในร้าน “J&C” จนกลายเป็นบริษัทขายตรงสะดวกซื้อรายแรก และค่ายเดียวของไทย เพราะมีสินค้ามากหลากหลายเป็นอันดับหนึ่งนั่นเอง 
การที่ “บริษัท จอยแอนด์คอยน์ฯ” มีสินค้าหลากหลาย ไม่รู้จะขายหรือชูแบรนด์อะไรเป็นตัวชูโรง นอกเสียจาก “โหย่งเหิง” ยาน้ำสมุนไพร ฉะนั้น “กลศึก” ทางการตลาดของค่ายนี้จึง “โฟกัส” ไปที่ “ค่ายไหนมีสินค้าอะไรดี เรามีหมด และขายถูกกว่า” จะเห็นว่าจอยแอนด์คอยน์ฯ มีผลิตภัณฑ์เกือบทุกอย่างที่ค่ายอื่นมีจริง ๆ โดยเฉพาะสินค้าที่อยู่ในกระแส “J&C” มีวางจำหน่ายหมด แม้แต่สินค้าเกี่ยวกับภายในผู้หญิงที่ว่ากระแสมาแรง ค่ายนี้ยังมี “CLEO PLUS” ออกมากระตุ้นต่อมอยากของผู้หญิงไม่ยอมตกเทรนด์แต่อย่างใด   
“เรื่องคุณภาพสินค้าไม่ต้องห่วง เพราะนวัตกรรมการผลิตยุคนี้โรงงานที่ได้มาตรฐานสากล เขาสามารถผลิตคุณภาพไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าตำรับเดิมก็แล้วกัน  แนวทางการตลาดของเรา คือ เน้นช่องทางเลือกที่มากกว่า เพราะในอดีตการทำตลาดขายตรงมักจะประสบปัญหาเรื่องสินค้ามีอายุของมัน พอทำได้ระยะหนึ่งก็จะมีคนออกมาลอกเลียนแบบ ขายแข่ง ตัดราคาในตลาด ซึ่งตรงนี้เราไปห้ามและควบคุมไม่ได้ นั่นหมายความว่า สินค้าอะไรก็แล้วแต่ ถ้าขายดีเป็นที่ต้องการ ก็จะมีบริษัทคู่แข่งออกมาแข่ง เมื่อเรามีทางเลือกที่น้อยการยืนอยู่ในสนามนาน ๆ ก็ลำบาก ยิ่งมาเจอของปลอมด้วยแล้วก็หมดกัน ผมจึงเลือกที่จะมีสินค้าหลากหลายเป็นจุดขาย” ดร.สมชายกล่าว


วัดกระแส “เอมสตาร์” 
ยังมาแรงอยู่หรือไม่ 
ถ้าพูดถึงค่ายขายตรงไทยที่มาแรงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจัดอยู่ในชาร์ทอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย คงหนีไม่พ้น “บริษัท เอมสตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด” ของ “ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์” ประธานฯ ไปได้ 
เพราะค่ายนี้ถูกวาง “โพซิชั่น” ของการแข่งขัน ที่จะขึ้นไปเทียบรัศมียักษ์ใหญ่อย่าง “แอมเวย์” เลยทีเดียว เพราะในช่วงต้นปี 2554 ที่ผ่านมา “ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์” เคยออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่า สิ้นปีดังกล่าวจะทำยอดขายให้ได้ 15,000 ล้านบาท นั่นหมายความว่า “ชน” ยักษ์แอมเวย์ตรง ๆ เนื่องจากค่ายนี้เดิมมียอดขายกว่า 14,500 ล้านบาทอยู่แล้ว 
ต้องยอมรับว่า ในช่วงปี             2553-2554       เส้นทางของคนทำอาชีพขายตรงทุกสาย ต่างก็มุ่งสู่อาณาจักรของ “เอม สตาร์” เพราะต่างก็เชื่อว่า ค่ายนี้จะสามารถตอบโจทย์ให้กับคนขายตรงได้มาก เนื่องจากทีมบริหาร และทีมฝึกอบรมจำนวนไม่น้อยต่างมีประสบการณ์มาจากแอมเวย์ ก็เลยเชื่อมั่นว่า “เอม สตาร์” คือทางเลือกใหม่ให้กับคนขายตรงที่ไม่ชอบแผนการตลาดแบบแอมเวย์ หลังจากออกหมัดเต็มอัตราศึก ปรากฏว่า “เอม สตาร์” ทำยอดขายในปี 2554 ได้เพียง 4,200 ล้านบาท พลาดเป้าที่วางไว้ไปกว่า 10,000 ล้านบาทเลยทีเดียว 
“ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์” กลับมาฮึดสู้เต็มอัตราศึก หวังขึ้นไปเทียบชั้นยอดขายของ “แอมเวย์” ให้ได้ภายใน 3-4 ปีข้างหน้า ด้วยการเปิดสาขาที่ญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มยอดขาย เท่านั้นยังไม่พอยังไปเปิดสาขาที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นฐานหรือกองบัญชาการใหญ่ของแอมเวย์อีกต่างหาก 
กระแส “เอม สตาร์” ทำท่าจะแผ่วลงไปในช่วงหนึ่งตอนน้ำท่วมเมื่อปลายปี 2554 “ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์” ก็ถือเอาจังหวะนี้แหละพัฒนาสินค้า และได้นำสินค้าไลน์ใหม่ นั่นคือ “มัลติโปร” โปรตีนเสริมอาหารนวัตกรรมใหม่เข้ามาทำตลาด ว่ากันว่า ยอดขายทำท่าจะแซงสินค้าเดิม ๆ อย่างน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวด้วยซ้ำไป 
“วันนี้ เอม สตาร์ เป็นบริษัทของคนไทยเพียงเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่ได้รับลิขสิทธิ์จากทาง บริษัท ไบโอเทลล่า ผู้ผลิตสาร well moon ให้เราสามารถใช้สารชนิดนี้เป็นส่วนผสมสำคัญในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มัลติโปร ได้ ตนจึงอยากบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ที่นวัต กรรมเหล่านี้ได้มาอยู่ในมือของคนไทย และอยู่ในมือของ เอม สตาร์ โดยบริษัทเชื่อมั่น ว่าในปีนี้สินค้าดังกล่าวจะเป็นผลิต ภัณฑ์อีกตัวหนึ่งที่ไม่เป็นรองใคร” ทญ.ลพา กล่าว 
“ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์” ยังกล่าวอีกว่า “ตนจะพัฒนาทุกจุดให้ เอม สตาร์ เป็นเบอร์หนึ่งให้ได้สักวัน และเชื่อว่าเราสามารถทำได้ เพราะขณะนี้ตนมองว่าบริษัท เอม สตาร์ สามารถดูแลผู้คนได้ดีไม่แพ้ใคร ๆ ดังนั้น ด้วยศักยภาพของธุรกิจเครือข่าย ด้วยศักยภาพของสินค้า และด้วยศักยภาพของผู้คน รวม 3 อย่าง นี้เข้าด้วยกัน จึงไม่มีใครที่จะสามารถหยุดยั้งบริษัทได้อย่างแน่นอน” 
ถ้าจะวิเคราะห์กันถึงรูปมวย การออกหมัด รวมถึงไลน์สินค้าตัวใหม่ของ “เอม สตาร์” ก็ไม่น่าจะเป็นสองรองค่ายใดแต่ “เอม สตาร์”  ติดตรงที่ “อาวุธ” หนักที่จะนำมาใช้ในการทำศึกขายตรงรูปแบบใหม่ไม่มีสิ่งนี้เป็นตัวแปรสำคัญ 
อย่าลืมนะว่า “นีโอ ไลฟ์” ขยายฐานสมาชิกได้ร้อนแรงเป็นอันดับต้น ๆ ในยุคนี้ เพราะมี “สื่อทุกแขนง” เป็นอาวุธหนัก ส่วนค่าย “กิฟฟารีน” ก็หันมาใช้สื่อทีวีดาวเทียมเป็นของตัวเอง ออกอากาศหาสมาชิกใหม่แบบง่าย ๆ ทุกวัน 
แต่ “เอม สตาร์” กลับไม่มีพันธมิตรด้านสื่อทีวีเป็น “หัวเจาะสำคัญ” ถึงห้องนอนได้ ในการทำตลาดอย่างถึงพริกถึงขิง เพื่อเพิ่มสมาชิกใหม่ เพิ่มยอดขาย ก้าวขึ้นบันไดไปสู่จุดสูงสุด 
ลำพังให้สมาชิกใช้ “สื่ออินเตอร์เน็ต” ในการเปิดหาลูกค้าหน้าใหม่ ๆ พูดก็พูดเถอะยุคนี้ไม่เหมือน 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะการโพสต์ข้อความเรื่องรายได้ผ่านเว็บไซต์คนไม่เชื่อถืออีกต่อไป ตลาดสื่อด้านนี้เริ่มจะวายอย่างเห็นได้ชัด   
ถ้า “เอม สตาร์” เอาชนะยอดขาย “นีโอ ไลฟ์” และ “กิฟฟารีน” ในปี 2555 นี้ไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรไปต่อกรกับ “แอมเวย์” ที่ติดลมบนปีละกว่า 15,000 ล้านบาท นี่คือ การบ้านข้อใหญ่ที่ “ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์” จะต้องนำไปฉุกคิด เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในการแข่งขันต่อไป


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 323 ประจำวันที่ 1 - 15 กรกฏาคม 2555

วิเคราะห์เน้นๆ ขายตรง (จอยน์แอนคอยน์-เอมสตาร์-นีโอไลฟ์-กิฟฟารีน) ฟอร์มสด ช๊อตเด็ดขุมกำลังรบสยบคู่แข่ง


ผ่ากลยุทธ์เหนือชั้นวันแข่งเดือดธุรกิจขายตรงไทยจับกระแส 4 ค่ายร้อนใครจะเป็นคู่แข่งตัวฉกาจขึ้นไปเทียบรัศมี “แอมเวย์” ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า... “กิฟฟารีน” กลับมาคึกคักอีกครั้งหลังซบเซาไปหลายเดือนด้วยการเปิดช่อง “ทีวีดาวเทียม” เป็นของตัวเอง...ส่วน “นีโอไลฟ์” กลายเป็นขายตรงที่สร้างเกมการตลาดแนวใหม่หันมาใช้สื่อเป็นหัวหอกครบเครื่องส่งผลต่อการเพิ่มของสมาชิกใหม่ได้ร้อนแรงสุดๆปัจจุบันทะลักกว่า 1.2 ล้านรหัส...ด้าน “จอยแอนด์คอยน์ฯ” ก็ไม่น้อยหน้ายังเดินหน้ากว้านซื้อที่ดินมุ่งเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอันดับต่อไป...คงไว้ขายตรงสะดวกซื้อค่ายเดียวของไทยที่มีสินค้ามากเป็นอันดับหนึ่ง...ขณะที่ “เอมสตาร์” หลังได้ “มัลติโปร” นวัตกรรมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเข้ามาเสริมทัพเชื่อยอดขายขยับแรงแต่ขาดอาวุธหนักอย่าง “สื่อทีวี” เสริมเขี้ยวเล็บลุยเหมือน 3 ค่ายที่กล่าวมาในปี 2555 นี้อาจทำให้ยอดขายเดินตามหลัง “กิฟฟารีนและนีโอไลฟ์” ได้ง่ายๆ


หลังสะบักสะบอมกันถ้วนหน้าของบริษัทขายตรงไทย ในช่วงเกิดวิกฤติน้ำท่วมเมื่อตอนปลายปีที่ผ่านมา แถมลากยาวมาจนถึงไตรมาสแรกของปี 2555 ดูเหมือนว่า แต่ละค่ายเริ่มออกมา “แอ็คชั่น”  สร้างฝันใหม่ให้กับสมาชิกเกิดความฮึกเหิม ส่งผลให้ตลาดเครือข่ายขายตรงไทยเริ่มกลับมา “คึกคัก” อีกครั้ง


เปิดไพ่ “ใบน็อกคู่แข่ง” 
ค่ายกิฟฟารีนขยับปีก 
นับตั้งแต่โรงงานผลิตสินค้าของค่าย กิฟฟารีน ของ “พญ.นลินี ไพบูลย์” ถูกน้ำท่วมหนักเป็นแรมเดือนในช่วงปลายปีที่ผ่านมา ได้สร้างความเสียหายให้กับค่ายนี้ไปหลายสิบล้านบาท แม้แต่ยอดขายในช่วงนั้นก็ “ลดฮวบ” อย่างน่าเสียดาย  
คนระดับ “นางพญากิฟฟารีน” อย่าง “พญ.นลินี ไพบูลย์” ในฐานะที่เป็นบริษัทขายตรงหลายชั้นของไทยเพียงหนึ่งเดียว ซึ่งมียอดขายสูงสุดต่อเนื่องมายาวนาน เป็นรองก็เฉพาะขายตรงข้ามชาติอย่าง “แอมเวย์” เท่านั้น มีหรือจะยอม “สยบ” กับภาวะวิกฤติที่เกิดจากภัยธรรมชาติกันง่าย ๆ 
“พญ.นลินี ไพบูลย์”ได้วิเคราะห์ทุกแง่ทุกมุมเกี่ยวกับการแข่งขันตลาดเครือข่ายเมืองไทยยุคใหม่ ซึ่งจะมาใช้กลยุทธ์แบบเดิม ๆ เห็นทีจะไม่ได้ผลอีกต่อไป แถมยังจะเสียฐานสมาชิกให้กับบริษัทคู่แข่งไปต่อหน้าต่อตา แบบทำอะไรไม่ได้ 
“พญ.นลินี ไพบูลย์” ย่อมรู้ดีว่า รูปแบบการแข่งขันในตลาดขายตรงของไทยได้เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ตัวแปรสำคัญที่ทำให้ค่ายกิฟฟารีนคิดหนัก ยุคนี้สมัยนี้คงหนีไม่พ้นเรื่องการใช้ “สื่อทีวี” เป็นหัวหอกเพื่อ “ทะลุใจ” ผู้บริโภคเข้าไปถึงห้องนอน ซึ่งค่ายคู่แข่งทำแล้วได้ผลมากว่า 4 ปีเห็นจะได้ 
ในฐานะที่ “กิฟฟารีน” เป็นค่ายขายตรงที่มีศูนย์จำหน่าย และฐานสมาชิกทั่วประเทศ เมื่อบวกลบคูณหารดูแล้ว ก็น่าจะมีมากเป็นอันดับต้น ๆ ของขายตรงไทยทั้งระบบ มีหรือจะยอมให้ค่ายคู่แข่ง “ตีท้ายครัว” ดึงฐานสมาชิกไปต่อหน้าต่อตาคนแล้วคนเล่า เพราะค่ายคู่แข่งเขามีอาวุธ (สื่อ) ที่เหนือกว่าคอยดูดสมาชิกเข้าสังกัด 
ล่าสุด “กิฟฟารีน” จึงออกมาระเบิดความแรง ด้วยการเปิดช่อง “ทีวี ดาวเทียม” เป็นของตัวเอง ด้วยการทุ่มงบ 50 ล้านบาท เป้าหมายเน้น ๆ เนื้อ ๆ คือ ถ่ายทอดการ “โมติเวท” ผ่านช่องทางทีวีให้สมาชิกและประชาชนทั่วไปได้สัมผัสความพร้อม และความยิ่งใหญ่ของ “กิฟฟารีน” นั่นเอง 
อะไรถึงทำให้แม่ทัพหญิงอย่าง “พญ.นลินี ไพบูลย์” ยอมลงทุนเปิดช่องทีวีเป็นของตัวเอง ทั้ง ๆ ที่ก่อนหน้านี้ “ค่ายกิฟฟารีน” มักจะใช้งบโฆษณาผ่าน “สื่อฟรีทีวี” เป็นหลัก โดยยิงสปอตโฆษณาปีละนับร้อย ๆ ล้านบาทเลยทีเดียว 
ก็จะไม่ให้เป็นเช่นนั้นได้อย่างไร เมื่อ “บริษัท นีโอ ไลฟ์ฯ” ซึ่งมี “ดร.นพรุจ เวชกุล” นำทัพแบบถึงลูกถึงคน แถมพ่วง “ดร.รัชนี มหานิยม” ที่มีความ “หวานอึด ทน” เกินพิกัดในการทำงาน คอยขับเคลื่อนโดยใช้สื่อฟรีทีวี และทีวีดาวเทียมอย่างบ้(า)ดีเดือดมากว่า 4 ปีเต็ม ๆ 
ส่งผลให้ยอดขายเมื่อกว่า 4 ปีที่ผ่านมาของค่ายนี้เคยได้ปีละ 750-800 ล้านบาท ปัจจุบันพุ่งเกือบ 4,000 ล้านบาท แถมในปี 2555 วางยอดขายไว้ที่ 5,500 ล้านบาท เมื่อเป็นเช่นนี้ มีหรือ “ค่ายกิฟฟารีน” จะนิ่งดูดายได้ เพราะฐานสมาชิกของ “นีโอ ไลฟ์” ถ้าจะว่าไปแล้วคือกลุ่มเดียวกันกับ “ค่ายกิฟฟารีน” นั่นเอง 
ฉะนั้น กลยุทธ์การตลาด ลำหักลำโค่นในการ “ออกหมัด” แต่ละครั้ง รวมถึงการจุดกระแส การสร้างภาพลักษณ์ของ “นีโอ ไลฟ์” ไม่ได้ด้อยไปกว่า “ค่าย กิฟฟารีน” แม้แต่น้อย 
เวลานี้ “นีโอ ไลฟ์” แพ้ “กิฟฟารีน” เพียงเรื่องเดียว คือ ไลน์สินค้าที่มีจำนวนน้อยกว่าเท่านั้นเอง ส่วนที่เหลือไม่ว่าจะเป็นแผนการตลาดระบบการบริหารจัดการเฉือนกันไม่ลง
จริง ๆ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ “กิฟฟารีน” จะยอมทุ่มงบเปิด “สื่อทีวีดาวเทียม” เพื่อบุกตลาดขายตรงถึงห้องนอน เพราะศักยภาพของค่ายนี้มีความพร้อมรอบด้านอยู่แล้ว หวังรักษาฐานเดิมเพิ่มฐานสมาชิกใหม่ 
ถือเป็นการพลิกสถาน การณ์ได้ทันต่อเหตุการณ์  ถ้า “กิฟฟารีน” ขับเคลื่อนทัพออกหมัดรัวช้ากว่านี้ ดีไม่ดีอาจเสียฐานสมาชิกให้กับคู่แข่งอย่าง “นีโอ ไลฟ์” และ “เอม สตาร์” ไปอย่างน่าเสียดาย เพราะ 2 ค่ายนี้คือคู่แข่งตัวฉกาจที่ “กิฟฟารีน” จะมองข้ามไปไม่ได้เป็นอันขาด


จับตา “ค่ายนีโอไลฟ์
3-5 ปีวางยอดอันดับ 1 
นับตั้งแต่ “ดร.นพรุจ เวชกุล” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นีโอ ไลฟ์ฯ หันมาใช้สื่อทีวี และหนังสือพิมพ์ต่อเนื่องมายาวนานกว่า 4 ปี ส่งผลต่อการเปลี่ยนแปลงการสร้างฐานสมาชิกในระบบเครือข่ายไทยอย่างเห็นได้ชัด            
ใครจะไปคิดว่า ค่ายโนเนมอย่าง “นีโอ ไลฟ์” เมื่อ 5-6 ปีก่อนแทบจะไม่มีใครรู้จักด้วยซ้ำไป จะกลายเป็น “พยัคฆ์ติดปีก” หรือบริษัทขายตรงแถวหน้าที่มาแรงแซงโค้งแทบไม่เชื่อสายตาในเวลานี้ 
ล่าสุดยอดขายของ “นีโอ ไลฟ์” ติดชาร์ท 1 ใน 5 ของบริษัทขายตรงไทยไปโดยปริยาย และมีโอกาสไต่ขึ้นอันดับ 2 หรือ 3 ภายใน 1-2 ปีข้างหน้านี้ห้ามกระพริบตา 
สรรพกำลังที่ “ดร.นพรุจ เวชกุล” แม่ทัพใหญ่ของ “นีโอ ไลฟ์” ได้นำออกมาใช้อย่างถึงลูกถึงคน คงหนีไม่พ้นเรื่องการใช้ “สื่อ” เป็นหัวหอกสำคัญ ปัจจุบันมีสมาชิกกว่า 1.2 ล้านรหัส 
เมื่อกว่า 4 ปีที่ผ่านมา “นีโอ ไลฟ์” ได้เข้ามาใช้สื่อหนังสือพิมพ์ขายตรงเพื่อ “กระตุ้น ความแรง” ของธุรกิจ ซึ่งก็ได้ผลในระดับหนึ่ง หลังจากนั้นเมื่อปี 2551 “กาย ไพรินทร์” ได้ชักชวน “ดร.นพรุจ เวชกุล” ให้มาใช้สื่อทีวีดาวเทียมเป็น “ขีปนาวุธ” ในการรบพุ่งเต็มรูปแบบ 
ผลิตรายการป้อนช่อง MV TV 2-3 ช่อง, ช่อง IN TV และช่อง TVD ออกอากาศแทบจะทั้งวันทั้งคืน ในยุคแรก ๆ ของการใช้สื่อทีวี ดาวเทียม “ดร.นพรุจ เวชกุล” เคยกล่าวกับ “กาย ไพรินทร์” ว่า “ทีแรกผมก็ไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลมากขนาดนี้ เชื่อไหมพี่กาย 3 เดือนแรกที่ผมใช้งบกับพี่เดือนละกว่า 1 ล้านบาท ยอดขายแทบไม่ได้กำไรเลย พอเดือนที่ 4 และ 5 เท่านั้นแหละ ไม่รู้ยอดมาจากไหน กระแสคึกคักมาก ปกติสายงานทางใต้ผมไม่มีเลย พอใช้สื่อทีวีผู้คนทั่วสารทิศแห่มาร่วมงานกับ นีโอ ไลฟ์ฯ มืดฟ้ามัวดิน ทำให้ยอดขายพุ่งกระฉูด บริษัทตั้งรับแทบไม่ทัน ผมรู้แล้วว่าอิทธิพลของสื่อทีวีมีผลต่อยอดขายมากจริง ๆ” ดร.นพรุจกล่าว            
นับตั้งแต่นั้นมา “นีโอ ไลฟ์” ก็หันมาใช้สื่อทีวีเต็มรูปแบบ เริ่มตั้งแต่ลงทุนกว่า 20 ล้านบาท เปิดช่อง NEO TV หรือทีวี ดาวเทียมเป็นของตัวเอง ซึ่งออนแอร์ 24 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังซื้อเวลาช่อง 5 จัดรายการทุกวัน ข่าวสังคมธุริกจช่อง 3 สัปดาห์ละ 1-2 ครั้ง 
สด ๆ ร้อน ๆ ช็อกวงการขายตรงไทยทั้งประเทศ นั่นคือ “ดร.นพรุจ เวชกุล” เข้าไปเทคโอเว่อร์  “หนังสือพิมพ์ สยามธุรกิจ” เข้ามาอยู่ในอาณาจักรเรียบร้อยเมื่อหลายเดือนก่อน และไม่แน่ใจว่า “นีโอ ไลฟ์” แอบไปเทคสื่อขายตรงเข้ามาอยู่ในอาณัติด้วยหรือไม่ 
แผนการรบแบบ “สั่นสะท้านวงการสะเทือน” ที่ “นีโอ ไลฟ์” ปล่อย “หมัดชุด” ออกไปแต่ละดอกนั้น ย่อมทำให้ค่ายคู่แข่งไม่อาจนั่ง “กระดิกเท้า” อยู่เฉย ๆ ต่อไปได้ เพราะนั่นย่อมหมายถึงการเสียฐานสมาชิกให้กับค่ายนี้ไปได้โดยง่าย 
ต้องยอมรับว่า ยุคนี้ ในแวดวงขายตรงไทย ยิ่งเป็นเรื่องของการใจถึง เงินถึง “ดร.นพรุจ เวชกุล” ไม่เป็นสองรองใคร “นีโอ ไลฟ์” กล้าจัดหนัก จัดเต็มทุกสมรภูมิของการแข่งขัน จน “สื่อขายตรง” เกือบทุกฉบับต่างก็ให้คะแนน และน้ำหนักไปในทิศทางเดียวกันส่วนจะแสดง ออกนอกหน้า หรือแอบเชียร์อยู่ข้างหลังก็สุดแล้วแต่ความจำเป็นของแต่ละคน 
เมื่อ “นีโอ ไลฟ์” กลายเป็นตัวแปรสำคัญ ในการ “พลิกโฉมใหม่” ของเกมส์แข่งการตลาดในอุตสาหกรรมนี้ จับตาดูต่อไปว่า “นีโอ ไลฟ์” จะงัดหมัดเด็ดอะไรออกมาเล่นอีก ที่แว่วมาล่าสุด อาจเดินตามพี่ใหญ่อย่างค่ายแอมเวย์ คือ การจัดตั้ง “มูลนิธิ” เพื่อสังคม 
ที่แน่ ๆ “กิฟฟารีน” และ “เอม สตาร์” ไม่น่าจะเป็นคู่แข่งที่ “นีโอ ไลฟ์” หวังจะไปสู้รบปรบมือด้วย ถ้าไม่ใช่ 2 ค่ายนี้ เป้าหมายใหญ่ของ “นีโอ ไลฟ์” อยู่ที่ไหนกันแน่...
ด้วยองค์ประกอบที่วางรากฐานสมาชิกเพิ่มขึ้นในอัตราที่สูงมาก วางขุมกำลังทาง “สื่อ” ไว้เต็มอัตราศึก ตั้งแต่สื่อในกลุ่มไปจนถึงสื่อแมสระดับชาติ หรือพูดง่าย ๆ ค่ายนี้ครบเครื่องเรื่องสื่อ 
“ทีมข่าวตลาดวิเคราะห์” คงต้องวิเคราะห์แบบไม่เกรงใจใคร เชื่อว่าภายใน 3-5 ปี “นีโอ ไลฟ์” ได้พุ่งเป้ายอดขายไว้ที่ “เบอร์ 1” ของขายตรงไทย โดยมี “แอมเวย์” เป็นเป้าหมายที่วางไว้อย่างไม่ต้องสงสัย...


ตรวจแผนรบสยบศึก
ค่ายจอยแอนด์คอยน์ฯ 
“บริษัท จอยแอนด์คอยน์ คอปอร์เรชั่น จำกัด” นำทัพโดย “ดร.สมชาย หัชลีฬหา” ได้ออกมาเคลื่อนไหวใหญ่ กระตุ้นต่อมรวยให้สมาชิกฝันหวานเต็มอัตราศึก ด้วยการวางเป้าหมายจะนำธุรกิจเข้าตลาดหลักทรัพย์ในอีก 3-5 ปีข้างหน้า 
ที่แน่ ๆ “ดร.สมชาย หัชลีฬหา” ได้ทุ่มและเพิ่มงบกว่า 300 ล้านบาท กว้านซื้อที่ดินตามเมืองใหญ่ ๆ ในทำเลทองเพื่อตั้งสาขาครอบคลุมพื้นที่ทั่วประเทศให้ได้มากที่สุด จากเดิมมีสาขาอยู่แล้วกว่า 40 แห่งกระจายอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ เพื่อเป็นหลักประกันความมั่นคงให้กับสมาชิก และประชาชนทั่วไป ในการเข้าตลาดหลักทรัพย์ในวันข้างหน้า 
“ดร.สมชาย หัชลีฬหา” ยังได้ระดมทัพสินค้าหลากหลายชนิดนับหมื่น ๆ รายการ เข้ามาจำหน่ายในร้าน “J&C” จนกลายเป็นบริษัทขายตรงสะดวกซื้อรายแรก และค่ายเดียวของไทย เพราะมีสินค้ามากหลากหลายเป็นอันดับหนึ่งนั่นเอง 
การที่ “บริษัท จอยแอนด์คอยน์ฯ” มีสินค้าหลากหลาย ไม่รู้จะขายหรือชูแบรนด์อะไรเป็นตัวชูโรง นอกเสียจาก “โหย่งเหิง” ยาน้ำสมุนไพร ฉะนั้น “กลศึก” ทางการตลาดของค่ายนี้จึง “โฟกัส” ไปที่ “ค่ายไหนมีสินค้าอะไรดี เรามีหมด และขายถูกกว่า” จะเห็นว่าจอยแอนด์คอยน์ฯ มีผลิตภัณฑ์เกือบทุกอย่างที่ค่ายอื่นมีจริง ๆ โดยเฉพาะสินค้าที่อยู่ในกระแส “J&C” มีวางจำหน่ายหมด แม้แต่สินค้าเกี่ยวกับภายในผู้หญิงที่ว่ากระแสมาแรง ค่ายนี้ยังมี “CLEO PLUS” ออกมากระตุ้นต่อมอยากของผู้หญิงไม่ยอมตกเทรนด์แต่อย่างใด   
“เรื่องคุณภาพสินค้าไม่ต้องห่วง เพราะนวัตกรรมการผลิตยุคนี้โรงงานที่ได้มาตรฐานสากล เขาสามารถผลิตคุณภาพไม่ได้ด้อยไปกว่าเจ้าตำรับเดิมก็แล้วกัน  แนวทางการตลาดของเรา คือ เน้นช่องทางเลือกที่มากกว่า เพราะในอดีตการทำตลาดขายตรงมักจะประสบปัญหาเรื่องสินค้ามีอายุของมัน พอทำได้ระยะหนึ่งก็จะมีคนออกมาลอกเลียนแบบ ขายแข่ง ตัดราคาในตลาด ซึ่งตรงนี้เราไปห้ามและควบคุมไม่ได้ นั่นหมายความว่า สินค้าอะไรก็แล้วแต่ ถ้าขายดีเป็นที่ต้องการ ก็จะมีบริษัทคู่แข่งออกมาแข่ง เมื่อเรามีทางเลือกที่น้อยการยืนอยู่ในสนามนาน ๆ ก็ลำบาก ยิ่งมาเจอของปลอมด้วยแล้วก็หมดกัน ผมจึงเลือกที่จะมีสินค้าหลากหลายเป็นจุดขาย” ดร.สมชายกล่าว


วัดกระแส “เอมสตาร์” 
ยังมาแรงอยู่หรือไม่ 
ถ้าพูดถึงค่ายขายตรงไทยที่มาแรงในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งจัดอยู่ในชาร์ทอันดับต้น ๆ ของเมืองไทย คงหนีไม่พ้น “บริษัท เอมสตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด” ของ “ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์” ประธานฯ ไปได้ 
เพราะค่ายนี้ถูกวาง “โพซิชั่น” ของการแข่งขัน ที่จะขึ้นไปเทียบรัศมียักษ์ใหญ่อย่าง “แอมเวย์” เลยทีเดียว เพราะในช่วงต้นปี 2554 ที่ผ่านมา “ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์” เคยออกมาให้สัมภาษณ์สื่อว่า สิ้นปีดังกล่าวจะทำยอดขายให้ได้ 15,000 ล้านบาท นั่นหมายความว่า “ชน” ยักษ์แอมเวย์ตรง ๆ เนื่องจากค่ายนี้เดิมมียอดขายกว่า 14,500 ล้านบาทอยู่แล้ว 
ต้องยอมรับว่า ในช่วงปี             2553-2554       เส้นทางของคนทำอาชีพขายตรงทุกสาย ต่างก็มุ่งสู่อาณาจักรของ “เอม สตาร์” เพราะต่างก็เชื่อว่า ค่ายนี้จะสามารถตอบโจทย์ให้กับคนขายตรงได้มาก เนื่องจากทีมบริหาร และทีมฝึกอบรมจำนวนไม่น้อยต่างมีประสบการณ์มาจากแอมเวย์ ก็เลยเชื่อมั่นว่า “เอม สตาร์” คือทางเลือกใหม่ให้กับคนขายตรงที่ไม่ชอบแผนการตลาดแบบแอมเวย์ หลังจากออกหมัดเต็มอัตราศึก ปรากฏว่า “เอม สตาร์” ทำยอดขายในปี 2554 ได้เพียง 4,200 ล้านบาท พลาดเป้าที่วางไว้ไปกว่า 10,000 ล้านบาทเลยทีเดียว 
“ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์” กลับมาฮึดสู้เต็มอัตราศึก หวังขึ้นไปเทียบชั้นยอดขายของ “แอมเวย์” ให้ได้ภายใน 3-4 ปีข้างหน้า ด้วยการเปิดสาขาที่ญี่ปุ่นเพื่อเพิ่มยอดขาย เท่านั้นยังไม่พอยังไปเปิดสาขาที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งเป็นฐานหรือกองบัญชาการใหญ่ของแอมเวย์อีกต่างหาก 
กระแส “เอม สตาร์” ทำท่าจะแผ่วลงไปในช่วงหนึ่งตอนน้ำท่วมเมื่อปลายปี 2554 “ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์” ก็ถือเอาจังหวะนี้แหละพัฒนาสินค้า และได้นำสินค้าไลน์ใหม่ นั่นคือ “มัลติโปร” โปรตีนเสริมอาหารนวัตกรรมใหม่เข้ามาทำตลาด ว่ากันว่า ยอดขายทำท่าจะแซงสินค้าเดิม ๆ อย่างน้ำมันรำข้าวและจมูกข้าวด้วยซ้ำไป 
“วันนี้ เอม สตาร์ เป็นบริษัทของคนไทยเพียงเจ้าแรกและเจ้าเดียวที่ได้รับลิขสิทธิ์จากทาง บริษัท ไบโอเทลล่า ผู้ผลิตสาร well moon ให้เราสามารถใช้สารชนิดนี้เป็นส่วนผสมสำคัญในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร มัลติโปร ได้ ตนจึงอยากบอกว่ามันเป็นเรื่องที่ดีมาก ๆ ที่นวัต กรรมเหล่านี้ได้มาอยู่ในมือของคนไทย และอยู่ในมือของ เอม สตาร์ โดยบริษัทเชื่อมั่น ว่าในปีนี้สินค้าดังกล่าวจะเป็นผลิต ภัณฑ์อีกตัวหนึ่งที่ไม่เป็นรองใคร” ทญ.ลพา กล่าว 
“ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์” ยังกล่าวอีกว่า “ตนจะพัฒนาทุกจุดให้ เอม สตาร์ เป็นเบอร์หนึ่งให้ได้สักวัน และเชื่อว่าเราสามารถทำได้ เพราะขณะนี้ตนมองว่าบริษัท เอม สตาร์ สามารถดูแลผู้คนได้ดีไม่แพ้ใคร ๆ ดังนั้น ด้วยศักยภาพของธุรกิจเครือข่าย ด้วยศักยภาพของสินค้า และด้วยศักยภาพของผู้คน รวม 3 อย่าง นี้เข้าด้วยกัน จึงไม่มีใครที่จะสามารถหยุดยั้งบริษัทได้อย่างแน่นอน” 
ถ้าจะวิเคราะห์กันถึงรูปมวย การออกหมัด รวมถึงไลน์สินค้าตัวใหม่ของ “เอม สตาร์” ก็ไม่น่าจะเป็นสองรองค่ายใดแต่ “เอม สตาร์”  ติดตรงที่ “อาวุธ” หนักที่จะนำมาใช้ในการทำศึกขายตรงรูปแบบใหม่ไม่มีสิ่งนี้เป็นตัวแปรสำคัญ 
อย่าลืมนะว่า “นีโอ ไลฟ์” ขยายฐานสมาชิกได้ร้อนแรงเป็นอันดับต้น ๆ ในยุคนี้ เพราะมี “สื่อทุกแขนง” เป็นอาวุธหนัก ส่วนค่าย “กิฟฟารีน” ก็หันมาใช้สื่อทีวีดาวเทียมเป็นของตัวเอง ออกอากาศหาสมาชิกใหม่แบบง่าย ๆ ทุกวัน 
แต่ “เอม สตาร์” กลับไม่มีพันธมิตรด้านสื่อทีวีเป็น “หัวเจาะสำคัญ” ถึงห้องนอนได้ ในการทำตลาดอย่างถึงพริกถึงขิง เพื่อเพิ่มสมาชิกใหม่ เพิ่มยอดขาย ก้าวขึ้นบันไดไปสู่จุดสูงสุด 
ลำพังให้สมาชิกใช้ “สื่ออินเตอร์เน็ต” ในการเปิดหาลูกค้าหน้าใหม่ ๆ พูดก็พูดเถอะยุคนี้ไม่เหมือน 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะการโพสต์ข้อความเรื่องรายได้ผ่านเว็บไซต์คนไม่เชื่อถืออีกต่อไป ตลาดสื่อด้านนี้เริ่มจะวายอย่างเห็นได้ชัด   
ถ้า “เอม สตาร์” เอาชนะยอดขาย “นีโอ ไลฟ์” และ “กิฟฟารีน” ในปี 2555 นี้ไม่ได้ แล้วจะเอาอะไรไปต่อกรกับ “แอมเวย์” ที่ติดลมบนปีละกว่า 15,000 ล้านบาท นี่คือ การบ้านข้อใหญ่ที่ “ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์” จะต้องนำไปฉุกคิด เพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งในการแข่งขันต่อไป


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 323 ประจำวันที่ 1 - 15 กรกฏาคม 2555