ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันอังคารที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

พระรามเก้าเน็ตเวิร์ค(Praram9) แรงไม่หยุดลุยตลาดสุขภาพที่งาน Thailand Health & Wellness 2012


ในงาน Thailand Health & Wellness 2012 สุขภาวะดี วิถีไทย สุดยอดงานแสดงสินค้าและ บริการเพื่อคนรักสุขภาพแห่งปี ณ อิมแพ็คอาคาร 5 - 6 เมืองทองธานี ระหว่างวันที่ 26 29 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมาบริษัท พระรามเก้าเน็ตเวิร์ค จำกัดได้ร่วมออกแสดงสินค้าเพื่อสุขภาพและความงามด้วยแต่สุดยอดผลิตภัณฑ์ที่เป็นพระเอก-นางเอก ของเรา ก็คือ ยาน้ำสมุนไพรจีนตำนาน 500 ปี ต้นตำหรับสมุนไพรราชวงศ์จีน ที่สกัดด้วยสมุนไพรอันล้ำค่า"ปาซินซุ่ย" และ "ซินแป๊ะฮ้อ"มาให้ผู้ที่รักสุขภาพได้ลิ้มลองชิมรส และตรวจสุขภาพร่างกายด้วยแพทย์ศาสตร์จีนทั้งนี้นพ.ภาสกิจ วัณนาวิบูลม,พบ.เกียรตินิยม, อุปนายกและเลขาธิการสมาคมแพทย์จีนในประเทศไทยยังให้ความสนใจและให้เกียรติมาเยี่ยมชมและเข้าตรวจด้วย รวมไปถึงคุณปอปุณยวีร์ สุขกุลวรเศรษฐ์พิธีกรรายการ แจ๋ว ทางช่อง 3 ก็ได้มีโอกาสมาเยี่ยมชมบูธของเรา ทำให้ผู้คนที่เข้าชมงานต่างให้ความสนใจกับบูธแสดงสินค้าของพระรามเก้าเน็ตเวิร์คกันอย่างคึกคักค่ะ


ภาพกิจกรรมภายในงาน














วันจันทร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข่าวแอมเวย์ (Amway Thailand) : คลิก LIKE เฟซบุ๊คนิวทริไลท์ ประเทศไทยวันนี้ ได้ทั้งสุขภาพและของรางวัล!!

ข่าวแอมเวย์ (Amway Thailand)
คลิก LIKE เฟซบุ๊คนิวทริไลท์ ประเทศไทยวันนี้ ได้ทั้งสุขภาพและของรางวัล!!



สุขภาพดีเริ่มต้นง่ายๆ แค่ปลายนิ้วเพียงคุณคลิก LIKE
เป็นแฟนเพจเฟซบุ๊คนิวทริไลท์ ประเทศไทย ของเรา
พร้อมโพสต์ -แชร์ สาระสุขภาพเพื่อเป็นแหล่งข้อมูล
ของการมีสุขภาพที่ดีกว่า ทั้งเรื่องสารอาหาร
การออกกำลังกายและกิจกรรมลุ้นรับรางวัล ต่างๆ มากมาย


ด่วน!! วันนี้-10 ส.ค.55 เพียงคุณเข้าไปโหวตผลิตภัณฑ์
นิวทริไลท์ที่คุณชื่นชอบมากที่สุด ผ่านแท็ป นิวทริไลท์ในดวงใจ
ของเฟซบุ๊คนิวทริไลท์คุณก็มีสิทธิ์ลุ้นรับผลิตภัณฑ์ ฟรี!
อ่านกติกาเพิ่มเติมและร่วมสนุกที่


www.facebook.com/nutrilitethai.fbหรือhttp://bit.ly/OTc5h0
http://youtu.be/eODg3E-NZrc

วันเสาร์ที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

มูลนิธิแอมเวย์ (Amway Foundation) เพื่อสังคมไทยเปิดอบรมทักษะการอ่านหนังสือเสียงฟรี! พร้อมเชิญร่วมโครงการเพื่อน้องๆ ผู้พิการทางสายตา


มูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทยเปิดอบรมทักษะการอ่านหนังสือเสียงฟรี!


พร้อมเชิญร่วมโครงการเพื่อน้องๆ ผู้พิการทางสายตา



มูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทยเดินหน้าสานต่อโครงการ One by One: เปิดโลกกว้างทางปัญญา กับกิจกรรมหนังสือเสียงอย่างต่อเนื่องเป็นปีที่ 8 โดยชวนคนไทยร่วมเป็นส่วนหนึ่งในการผลิตหนังสือเสียงคุณภาพสูง ด้วยการร่วมเป็นอาสาสมัครอ่านหนังสือเสียง พร้อมจัดอบรมทักษะการอ่านและการออกเสียงจากวิทยากรของกรมประชาสัมพันธ์ฟรี ผ่านช่องทาง www.amwayshopping.com หรือแอมเวย์


ช็อปทุกสาขา



นายปรีชา ประกอบกิจ ประธานกรรมการมูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทย กล่าวว่า มูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทยมีเจตนารมณ์ในการพัฒนาสังคมไทย และมุ่งหวังให้คนในสังคมมีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้น โดยเฉพาะด้านการศึกษาของเด็กและเยาวชน อันเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาชีวิตความเป็นอยู่ในอนาคต ดังนั้น เพื่อเป็นการเปิดโอกาส การเรียนรู้ให้แก่เยาวชน มูลนิธิแอมเวย์ฯ จึงเดินหน้าจัดโครงการเพื่อสังคมในด้านนี้เรื่อยมา และหนึ่งในนั้นคือกิจกรรม หนังสือเสียง ที่ดำเนินการมาแล้วถึง 8 ปี และผลิตหนังสือเสียงคุณภาพสูงแล้วกว่า 191,100 ชิ้น เพื่อให้น้องๆ ผู้พิการทางสายตาสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้อย่างเต็มที่และไม่ให้ความพิการกลายเป็นอุปสรรคต่อการเรียนรู้


 


ในครั้งนี้ เป็นโอกาสพิเศษที่มูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทยได้เปิดช่องทางให้ผู้สนใจสามารถร่วมทำความดี และฝึกฝนทักษะการอ่านหนังสือและการออกเสียงที่ถูกต้องกับวิทยากรผู้เชี่ยวชาญจากกรมประชาสัมพันธ์โดยตรง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ในวันเสาร์ที่ 18 สิงหาคม 2555 เวลา 8.30 - 17.00 น. ณ โรงแรมโกลเด้นทิวลิป ซอฟเฟอริน พระราม 9 (โรงแรมเรดิสัน เดิม) และสามารถลงทะเบียนฝึกอบรมได้ตั้งแต่วันนี้ - 6 ส.ค. 2555 ที่แอมเวย์ ช็อปทุกสาขา หรือที่ www.amwayshopping.com จากนั้นเลือกที่เมนู โซนสนุก และเข้าไปที่หัวข้อ หนังสือเสียง โดยชำระค่าสำรองที่นั่ง 350 บาทเพื่อการันตีการเข้าอบรม และจะได้รับเงินคืนทั้งหมดหลังจากเข้ารับการอบรมตามวันและเวลาที่กำหนด สามารถสอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ มูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทย โทร. 085-485-3060


 


นายปรีชา กล่าวเพิ่มเติมว่า ทุกท่านที่ผ่านการอบรม ยังได้รับสิทธิพิเศษทำความดีร่วมกันในการเข้าร่วมอ่านหนังสือเสียง เพื่อบันทึกเป็นซีดีระบบเดซี่ให้น้องผู้พิการ โดยมูลนิธิแอมเวย์ฯ จะดำเนินการแจกฟรีให้แก่หน่วยงานเพื่อผู้พิการทางสายตากว่า 150 แห่งทั่วประเทศต่อไป

วันศุกร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ความคืบหน้า ข่าวการติดตรา สคบ.


นโยบาย ติดตรามาตรฐานสคบ. ของ วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคุ้มครองผู้บริโภค ที่ต้องการให้ 26 วงการธุรกิจ เข้ามา ขอรับติดตราสคบ. เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภค นั้นดูจะกลายเป็นเรื่องที่หาจุดลงตัวยากเสียแล้ว เมื่อกลุ่มธุรกิจ ขายตรง ซึ่งเป็นหนึ่งในธุรกิจที่ติดโผต้องขอรับตรามาตรฐาน ยกมือไม่เห็นด้วยในหลายหลักเกณฑ์ของทางหน่วยงานรัฐ

จากนโยบายดังกล่าว นำมาซึ่งการเปิดโต๊ะสัมมนา ภายใต้ โครงการสัมมนาให้ความรู้กับผู้ประกอบธุรกิจ และรณรงค์การขอรับตราสัญลักษณ์คุ้มครองผู้บริโภค ของธุรกิจขายตรง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2555

โดยมีเพียงบริษัทที่สังกัดในสมาคมขายตรง 3 สมาคม เท่านั้นที่รู้...

ส่วนอีกกว่า 700 บริษัท ไม่ทราบเรื่องดังกล่าว ทั้งๆที่ทาง สคบ.ต้องการที่จะให้บริษัทขายตรงทั้งหมดเข้าขอรับตรา สัญลักษณ์สคบ.

นี่เป็นเรื่องที่ต้องฉุกคิด ว่าทำไมเรื่องใหญ่อย่างนี้ จึงออกมาในรูปแบบนี้

ส่วนเรื่องของกฎเกณฑ์การเข้าขอรับตราสคบ. ก็มีมาก มายหลายข้อที่ขัดกับความเป็นจริงของธุรกิจ

โดยเฉพาะเรื่องของเบี้ยประกันบริษัท และสินค้า

ทางสคบ. ได้มีการดึง บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทรับประกันของภาครัฐ โดยบริษัทที่จะเข้าขอรับตราต้องเป็นลูกค้าของทิพยฯ ซึ่งเรื่องนี้ก็กลายเป็น ข้อถกเถียงอีกหนึ่ง

โดยบริษัทขายตรงส่วนใหญ่แย้งว่า ปัจจุบันแต่ละบริษัท ก็ทำประกันในส่วนนี้กับหลายบริษัทอยู่แล้ว เหตุใดต้องจ่ายเงินเพิ่ม ทั้งๆ ที่บริษัทก็มีการรับประกันในส่วนของสินค้า อีกทั้งยังมีการดูแลผู้บริโภคเป็นอย่างดี ตามพ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545

ซึ่งหลังจากที่มีการแย้งในข้อนี้ ก็นำไปสู่การรื้อกฎเกณฑ์ ข้อนี้ โดยสคบ.จะเร่งหาทางออก โดยจะประชุมร่วมกับบริษัท ของทั้ง 3 สมาคมขายตรง ว่าเบี้ยประกันควรเป็นเท่าไหร่ ทั้งยัง อาจเอื้อประโยชน์ให้กับบริษัทที่อยู่ใน 3 สมาคมหลัก

จากสิ่งที่กล่าวมา สคบ.กำลังเดินผิดทาง ตอบโจทย์ที่เกิดขึ้นไม่ดีอย่างที่ควรจะเป็น

ซึ่งหากหน่วยงานรัฐต้องการทำให้นโยบายดังกล่าว เป็น นโยบายของวงการขายตรงจริงๆ หน่วยงานรัฐต้องสอบถามความคิดเห็นจากทุกบริษัท เพื่อหาทางออกให้ดีที่สุด เหมาะสม ที่สุด และเป็นเอกฉันท์ที่สุดของทุกบริษัท

เพราะทุกบริษัทที่อยู่ในวงการคือ ปัจจัยหลัก ที่สคบ. ต้องคิดถึง เพราะที่สุดส่วนได้ส่วนเสียที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จะเกิดกับบรรดาบริษัทขายตรงทุกบริษัท ไม่ใช่แต่บริษัทที่สังกัดสมาคม

แต่หากมีสมาคมใดที่มีสมาชิกที่มากพอ อย่างน้อยก็ครึ่งหนึ่งของจำนวนทั้งหมดของบริษัทขายตรงที่มีอยู่ การขอ ความคิดเห็นกับบริษัทในสมาคมก็ย่อมทำได้

แต่นี่ไม่ใช่ 3 สมาคมที่มีอยู่ มีบริษัทสังกัดรวมกันเพียงไม่เกิน 70 บริษัท คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็ยังไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ

การที่ภาครัฐจะขอความคิดจากบริษัทในสังกัดสมาคม จึงเป็นเรื่องที่ผิด หากต้องการยกระดับของทั้งวงการขายตรง

นี่ไม่ใช่วันที่สคบ.จะตีฆ้องป่าวประกาศให้บริษัทขายตรง เข้ามาขอรับตราสคบ. แต่นี่เป็นวันที่สคบ.ต้องวางแผนงานใหม่

ไม่เช่นนั้น ตราสัญลักษณ์ดังกล่าว ก็ไม่มีประโยชน์อะไรที่เอกชนจะต้องไปเสียเวลาต่อคิวขอรับ แล้วมาติดข้างขวดสินค้าของตนเอง...


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1321 ประจำวันที่ 28-7-2012 ถึง31-7-2012

ข่าวTDIA (สมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย) : แย้งบริษัทไร้สังกัดรับตราสคบ. แนะเปิดทางตั้งหลายสมาคมเพื่อรัฐคุมง่าย


สมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย หรือ TDIA แย้งสคบ. ไม่ควรให้ตราสัญลักษณ์กับบริษัทไม่สังกัดสมาคม หวั่นผู้ค้าขี้ฉ้อสวมรอยขอตรา พร้อมบอก ขายตรงไม่เหมือนวงการธุรกิจอื่น เห็นด้วยมีหลายสมาคม เนื่องจากความคิด และแผนธุรกิจอาจสร้างความต่างจนต้องแตกเป็นหลายกลุ่ม ชี้อย่างน้อยการมีหลายสมาคม ก็ตรวจสอบได้ง่ายกว่าการปล่อยให้ 800 บริษัท ทำใคร ทำมัน


นายนาคาญ์ ธวิชาวัฒน์ เลขาธิการ สมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย ได้กล่าวถึงประเด็นการติดตราสัญลักษณ์ สคบ. ว่า ทางสมาคมอุตสาหกรรมขายตรง ไทย เห็นด้วยกับการติดตราสัญลักษณ์คุ้มครองผู้บริโภค และยินดีให้ความร่วมมือ อย่างเต็มที่ แต่สิ่งที่อยากจะเรียนเสนอแนะ กับทางสคบ.ก็คือ อาวุธสำคัญของขายตรง มีอยู่ 2 อย่าง อย่างแรกคือ ฝีปาก อย่างที่สอง คือ สัญลักษณ์แสดงความน่าเชื่อถือ ฉะนั้น หากสมมติมีบริษัทที่เป็นมันนี่เกม ซึ่ง ไม่สังกัดสมาคมใด สมาคมหนึ่งได้รับการติดตราสัญลักษณ์แล้วไปหลอกลวงประชาชน จนมีการจับกุมได้ รับรองว่าสัญลักษณ์สคบ. ดังกล่าวจะหมดความศักดิ์สิทธิ์ลงทันที ดังนั้นตนจึงมองว่า การที่บริษัทขายตรงต่างๆ ได้สังกัดสมาคมใดสมาคมหนึ่งน่าจะเป็นสิ่งที่ช่วยควบคุมการทำผิดระเบียบ จรรยาบรรณได้อีกชั้นหนึ่ง ตนจึงอยาก เสนอให้สคบ.เร่งดำเนินงานให้บริษัทขายตรงไทยที่มีกว่า 800 บริษัทในปัจจุบัน เข้า สังกัดสมาคมใด สมาคมหนึ่งจาก 3 สมาคม หรืออาจมีการจัดตั้งสมาคมขายตรงอื่นๆ ขึ้นมาอีกก็ได้


ในฐานะสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทยซึ่งเป็นสมาคมเพิ่งเกิดใหม่ และเราได้มีโอกาสสัมผัสกับบริษัทขายตรงค่าย เล็ก ที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อลักษณะขายตรง มันนี่เกม มากกว่าสมาคมอื่นๆ ตนอยากบอกว่า บริษัทที่มีลักษณะมันนี่เกมมีเยอะมาก และบางบริษัทก็มีคนสนับสนุนที่มีอำนาจ ซึ่งการที่เราจะเข้าไปทำอะไรจึงอาจมีความเสี่ยงสูง ตรงส่วนนี้ตนจึงมองว่า ต้องดึงผู้ใหญ่อย่าง สคบ.เข้ามาจัดการ และคิดว่าการเสนอแนะให้บริษัทต่างๆเข้าสังกัดสมาคม หรือรับผิดชอบร่วมกันเป็นสมาพันธ์เป็นสิ่งจำเป็นอย่างมาก และ ประเด็นที่หลายฝ่ายอาจไม่เห็นด้วยกับการ ที่ธุรกิจการขายตรง ทำไมต้องมีสมาคมเกิดขึ้นมามากมาย ตนขอแย้งว่า การที่จะ มีสมาคมขายตรงใหม่ๆ เกิดขึ้นมาไม่ใช่เรื่องที่ผิด เพราะตนคิดว่า เราแตกต่างจาก วงการอื่นๆ ที่เมื่อเกิดสมาคมมากมายอาจ ทำให้เกิดการแตกความสามัคคี แต่ตนคิด ว่า วงการขายตรงซึ่งมีความแตกต่างกันในเรื่องแผนการตลาด น่าจะมีหลายสมาคม ได้ แต่ทุกสมาคมต้องมีความร่วมมือกัน


จะมีสัก 10 สมาคมก็ได้ เพราะแทนที่ สคบ.จะดูแลถึง 800 บริษัท ซึ่งแน่นอนว่า เจ้าหน้าที่ของสคบ.ย่อมจะดูแล ได้ไม่ทั่วถึง จนที่ผ่านมาทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของสคบ.มากมาย แต่เมื่อบริษัทต่างๆ เข้าสังกัดสมาคม ก็จะ ทำให้การดูแล ควบคุมของหน่วยงาน เป็น ไปโดยสะดวกขึ้น เพราะจะมีคณะกรรมการ และสมาชิกภายในสมาคมช่วยกันกำกับดูแลอีกชั้นหนึ่ง


ทั้งนี้ นายอัศวินก็ได้เสนอแนะแนวทางสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับวงการขายตรงไทยอีกอย่างหนึ่ง คือ การขอตรา Thailand Trust Mark (TTM) ของกรมส่งเสริม การส่งออก เพื่อนำมาติดบนสินค้าควบคู่ไป กับการติดตราสัญลักษณ์ของ สคบ.ตามแบบ อย่างของประเทศเกาหลี เพื่อสร้างความเชื่อถือในการส่งออกไปจำหน่ายที่ต่างประเทศ


หากทางสมาคมร่วมกันยื่นขอตราสัญลักษณ์นี้ของกรมส่งเสริมการส่งออก เพื่ออนุญาตให้นำมาติดบนสินค้าของเราควบคู่ไปกับการติดตราสัญลักษณ์สคบ. ตนเชื่อว่าธุรกิจขายตรงจะแข็งแกร่งขึ้นอีกระดับหนึ่ง เพราะที่ผ่านมาจากที่ตนได้ดูตัวอย่างการใช้ตราสัญลักษณ์ดังกล่าวของประเทศเกาหลี พบว่าบริษัทที่มีการติดตราดังกล่าวสามารถดึงสมาชิกเข้ามาได้อีกมาก สามารถกู้ชื่อเสียงของธุรกิจขายตรงคืนมาได้ เพราะประชาชนจะเกิดความเชื่อถือในผลิตภัณฑ์ขายตรงเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า และสมาคมเรายินดีที่จะให้ความร่วมมือกับหน่วยงานภาครัฐในทุกๆเรื่องอย่างเต็มกำลัง


ทั้งนี้ในส่วนของสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย ปัจจุบันมีสมาชิกอยู่ 20 บริษัท รวมบริษัทที่เพิ่งเข้ามาใหม่ 2 บริษัท และนโยบายต่อไปคือเร่งดำเนินงาน ติดต่อรวบรวมบริษัทขายตรงอื่นที่อยู่นอกสมาคมต่างๆ ให้เข้ามารวมสังกัดสมาคม ทั้งนี้แนวคิดการจัดตั้งสมาพันธ์ของนายกอัศวิน ตนคิดว่าเรายังไม่ละทิ้งอย่างแน่นอน ยังคงจะสานต่อแนวคิดนี้ต่อไป เพราะเชื่อว่าเมื่อเป็นแนวความคิดที่ดี และต้องการช่วยเหลือสังคมจริงๆ เมื่อ โอกาสหน้าฟ้าใหม่มาเยือน ความตั้งใจ ดังกล่าวจะต้องไม่เสียเปล่าอย่างแน่นอน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1321 ประจำวันที่ 28-7-2012 ถึง31-7-2012

ข่าวเจอร์เนสส์ (Jeunesse Global Thailand) : ปัดข่าวซื้อขายตรงไทยยัน..แค่หาความร่วมมือ/ก.ย.ปรับใหญ่เพิ่มยอด 2 เท่า


เจอร์เนสส์ เตรียมปรับบริษัทครั้งใหญ่ เดือนก.ย.นี้ หลังบริษัทแม่อายุครบ 3 ขวบ เน้นสร้างความสดใหม่ให้สมาชิกเห็น ด้านสาขาไทยฟอร์มแรง เดือนมิ.ย. โต 35% เกาะกลุ่มสาขารายได้พุ่ง พร้อมแจงข่าวลือ เตรียมเทกโอเวอร์ขายตรงไทย ไม่ใช่เรื่อง จริง แค่เป็นการหาความร่วมมือใหม่ๆ ส่วน เรื่องผู้นำย้ายค่าย ย้ำไม่กังวล เชื่อสมาชิก ยังไว้ใจ

มร.สก๊อต เรวิส รองประธานฝ่ายปฏิบัติการทั่วโลก บริษัท เจอร์เนสส์ โกลบอล จำกัด แบรนด์ขายตรงสัญชาติอเมริกัน เปิดเผยว่า ในเดือนที่ผ่านมา สาขาของบริษัทในประเทศไทย สามารถ ทำยอดขายได้สูงสุดนับตั้งแต่บริษัทเปิดตัวที่ประเทศไทย ซึ่งนับเป็น เวลาแล้วก็ประมาณ 1 ปี

จากที่กล่าวมานี้เอง ทำให้ทางบริษัทแม่มีความมั่นใจว่า ในเดือนนี้สาขาไทย จะสามารถสร้างการเติบโตได้มากกว่าในเดือนก่อน ซึ่งถือเป็นความภูมิใจของบริษัทแม่ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งบริษัทยังได้จัดทำโปรโมชั่นขึ้น เพื่อเป็นการกระตุ้นนักขายอีกหนึ่ง นั่นคือ การ นำสมาชิกเดินทางสู่ประเทศฮ่องกง เพื่อร่วมงานใหญ่กับบริษัท ทั้งยัง จะเป็นการฉลองบริษัทที่ก้าวสู่ปีที่ 3 ในการทำธุรกิจขายตรง ซึ่งจาก ปัจจัยต่างๆที่กล่าวมา บริษัทเชื่อว่าจะทำให้นักขายเกิดความต้องการ พิชิตโปรฯ นี้ และดันให้ยอดขายของบริษัทเติบโตได้เป็นอย่างดี รองประธาน บริษัทแม่ เจอร์เนสส์ฯ กล่าว

โดยงานที่ทางบริษัทจัดขึ้นที่ฮ่องกง จะเป็นงานฉลองครบรอบ 3 ปีของบริษัท อีกทั้งยังจะเป็นงานที่บริษัทจะใช้เพื่อเป็นวันแห่งการปรับเปลี่ยนบริษัท เพื่อการพัฒนา สู่อนาคตอันใกล้ ซึ่งในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ ของบริษัท เจอร์เนสส์ จะพยายามสร้างความสดใหม่ให้เกิดขึ้นในบริษัท แต่จะลืมเรื่องของวัฒนธรรมองค์กรของบริษัท

อย่างไรก็ดี ในวันงานบริษัทยังเตรียม ที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่ของบริษัท ที่จะส่งไปขายในประเทศต่างๆ โดยจะเป็นสินค้าในกลุ่มดูแลรูปร่างเป็นสำคัญนอกเหนือจากเรื่องของงานที่จะจัดขึ้นที่ฮ่องกงแล้ว เรื่องของการขยายสาขาก็นับเป็นเรื่องที่สำคัญที่ทางเจอร์เนสส์ พยายามที่จะขยายไปทั่วโลก โดยปัจจุบัน บริษัทเตรียมที่จะเปิดตัวในประเทศอินโดนีเซีย ซึ่งอยู่ในระหว่างการตั้งออฟฟิศ ของบริษัท รวมทั้งยังมีที่ประเทศญี่ปุ่นอีกหนึ่ง ประเทศ ซึ่งบริษัทได้ทำการทดสอบตลาดในช่วงต้นไปแล้ว ซึ่งจะเหลือก็เพียงแต่การจดทะเบียนที่ยังไม่เรียบร้อย อีกทั้งเรื่องสำนักงานของบริษัทในญี่ปุ่น ซึ่งหาก 2 ส่วน นี้เรียบร้อย เจอร์เนสส์ในญี่ปุ่นก็จะสามารถ เปิดตัวได้อย่างเป็นทางการ

บริษัทแม่ต้องการโฟกัสไปทุกสาขา ทั่วโลก รวมทั้งในประเทศไทย ซึ่งเชื่อมั่นว่า ในทุกปีสาขาแต่ละสาขาจะสามารถเติบโตไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว โดยบริษัทต้องการที่จะเติบโตอย่างยั่งยืน ซึ่งในเรื่องนี้ บริษัทได้มองไปถึง 10-20 ปีข้างหน้า มร.สก๊อต เผย

ในส่วนของการเติบโต ปัจจุบันมีประเทศจีน, ไทย, มาเลเซีย, ออสเตรเลีย และญี่ปุ่น ที่สามารถสร้างการเติบโตได้เป็นอย่างดีในช่วงเดือนที่ผ่านมา โดยไทยสามารถเติบโตได้ถึง 35% เลยทีเดียว ส่วนเรื่องของการรักษาผู้นำให้อยู่กับบริษัท มร.สก๊อต เรวิส กล่าวว่า ในเรื่อง นี้ทางบริษัทไม่ได้มีความกังวลใดๆ เนื่อง จากผู้นำที่เป็นระดับสูงของบริษัทยังคงอยู่ครบ อีกทั้งการซื้อสินค้าก็ยังมีอย่างต่อเนื่อง ในทุกเดือน เรื่องนี้จึงไม่ใช่ประเด็นที่น่ากังวล แต่อย่างใด

เรื่องของสินค้านั้น บริษัทจะเน้นการ รับมาจำหน่ายมากกว่าที่จะหาช่องทางการผลิตเอง โดยบริษัทจะสรรหาผลิตภัณฑ์ที่มีจุดเด่นแล้วนำเข้ามาขาย ซึ่งบริษัทจะทำสัญญากับบริษัทนั้นในการผลิตสินค้า เพื่อนำเข้ามาจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียว นอกจากประเด็นต่างๆ ที่กล่าวมานี้ ยังมีในส่วนของข่าวที่ว่าเจอร์เนสส์ เตรียมที่จะเทกโอเวอร์ บริษัทขายตรงของไทย โดย มร.สก๊อต ได้เปิดในเรื่องนี้ว่า ประเทศไทยวงการเครือข่ายมักจะมีข่าวลือออกมามาก ซึ่งไม่เป็นความจริง แต่บริษัทหาความร่วมมือ กับบริษัทอื่นๆ มากกว่า ซึ่งบริษัทนั้นก็ต้องมีทัศนคติที่ตรงกับเจอร์เนสส์ มีความเชื่อมั่น ซึ่งกันและกัน จึงจะสามารถร่วมมือกันได้

อย่างไรก็ตาม เรื่องของยอดขายปีที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำยอดขายทั่วโลกได้ที่ 65 ล้านเหรียญสหรัฐ โดยในปีนี้ บริษัท ได้ตั้งเป้าให้ทุกสาขาของบริษัทเติบโตขึ้นไม่น้อยกว่า 2 เท่าตัว ซึ่งจะทำให้บริษัทมียอด ขายทั่วโลกไม่ต่ำกว่า 130 ล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 22 ก.ค.ที่ผ่านมา บริษัทได้จัดงาน เดอะสตาร์ขึ้นในประเทศไทย ซึ่งภายในงานจะมีการเปิดตัวแบรนด์ แอมบาสเดอร์คนใหม่ของบริษัท คือ อิซาเบล พาส ซึ่งเป็นอดีตนางงานของประเทศ โคลอมเบีย อีกทั้งในงานเดียวกัน บริษัทยังได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทอีกด้วย ซึ่งเป็นสินค้ากลุ่มสกินแคร์ ภายใต้ชื่อ ยูธ รีสโตริง เคล็นเซอร์ และในปีหน้า ทางบริษัทยังเตรียมงานในการเปิดตัวบริษัทสาขาไทยอย่างเป็นทางการไว้อีกหนึ่งงาน

อนึ่ง สำหรับสาขาของเจอร์เนสส์ในแถบเอเชีย มีทั้งสิ้น 9 ประเทศ ได้แก่ ไทย, จีน, เวียดนาม, มาเลเซีย, อินโดนีเซีย, เกาหลีใต้, ไต้หวัน ฮ่องกง และมาเก๊า โดย ในปีนี้จะมีการขยายเพิ่มในฟิลิปปินส์ และอีกหลายประเทศ ซึ่งหากเรียงลำดับจากการ เติบโตทั่วโลก ปัจจุบันประเทศที่สร้างรายได้ สูงสุด คือ ประเทศจีน รองลงมาเป็น ไต้หวัน, อเมริกา, มาเลเซีย และไทย ตามลำดับ

ในวันนี้เป้าหมายของเรา คือ การ ทำเจอร์เนสส์ให้เป็นที่รู้จัก ในประเทศไทย ให้มากที่สุด และอยากให้คนที่ต้องการใช้ ผลิตภัณฑ์ที่ดี และมีรายได้ที่มั่นคงให้เกิด ขึ้นมากที่สุด คนไทยต้องการความยืดหยุ่น อย่างสูงซึ่งหาไม่ได้ในบริษัทต่างชาติ แต่เจอร์เนสส์ยินดีที่จะลงทุนและปรับเปลี่ยน ให้เข้ากับประเทศไทยให้มากที่สุด


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1321 ประจำวันที่ 28-7-2012 ถึง31-7-2012

แผนตั้งสมาพันธ์ล่ม!!! "กิจธวัช ฤทธีราวี" ปฏิเสธร่วมวง "อัศวิน วัฒนปราโมทย์" น้อยใจทิ้งเก้าอี้นายก TDIA!


อัศวิน วัฒนปราโมทย์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย หรือ TDIA ประกาศ ลาออกจากตำแหน่ง กลางงานแถลงข่าวเปิดตัว บริษัทสมาชิกใหม่ เหตุสุดน้อยใจ กิจธวัช ฤทธีราวี นายกสมาคมการขายตรงไทย หรือ TDSA คนใหม่ หลังปัดความร่วมมือจัดตั้ง สมาพันธ์ขายตรง ทั้งที่ อิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ นายก TDSA คนก่อนมีท่าทีเห็นด้วย ทั้งยังบอก คนเบื้องบนไม่ต้องการเห็นการรวมตัวเป็นสมาพันธ์ แรง! บอก แม้ท่านทำงานกับบริษัท ต่างชาติ และเป็นบริษัทใหญ่ ก็ขอให้สำนึกว่าเป็นคนไทย น่าจะร่วมมือทำเพื่อคนไทย
นายอัศวิน วัฒนปราโมทย์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย (TDIA) กล่าวว่า ในวันแรกที่ตนเข้ารับตำแหน่งนายกสมาคมฯ นโยบายสำคัญที่ตนอยากจะเร่งให้เกิดขึ้น คือ แนวคิดการจัดตั้งสมาพันธ์การขาย ตรงไทย เพราะอยากให้เกิดความรัก ความสามัคคีกันระหว่างสมาคมต่างๆ ในอุตสาหกรรมขายตรงในประเทศ แต่ ณ วันนี้ ตนคงต้อง ยอมรับแล้วว่า แนวความคิดดังกล่าวคงไม่สัมฤทธิผลอย่างที่หวังไว้อีกต่อไป เนื่องจากประเด็นการรวม 3 สมาคมเป็นหนึ่งเดียวไม่สอดรับกับนโยบายของทางเบื้องบน และไม่เป็นที่ยอมรับของผู้นำในบางสมาคม


หลังจากตนได้แถลงนโยบาย การจัดตั้งสมาพันธ์การขายตรงไทย ก็ได้เข้าไปพูดคุยกับหลายๆ ภาคส่วน โดยเฉพาะสมาคมขายตรงของไทยอีก 2 สมาคม ในครั้งแรกที่ได้มีการพูดคุย ชี้แจงรายละเอียด ปรากฏว่าผลตอบรับเป็นไปด้วยดี มีการพูด คุยถึงรายละเอียดกันไปแล้วมากกว่าครึ่ง


ในช่วงนั้นได้มีการพูดคุยกับคุณสมชาย หัชลีฬหา เลขาธิการสมาคมพัฒนาการขายตรงไทย และคุณอิทธิศักดิ์ อำพันธ์ยุทธ์ อดีตนายกสมาคมการขายตรงไทย ผลปรากฏว่า การตอบรับเป็นไปด้วยดี ทุกคนเห็นด้วยว่าเราควรจะร่วมมือกันสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้เกิดขึ้นในอุตสาหกรรมขายตรงไทยอย่างแท้จริง แต่สุดท้ายทุกอย่างก็กลับยุติลงเพียงแค่นั้น หลังจากสมาคมการขายตรงไทย หรือ TDSA ได้เปลี่ยนนายกคนใหม่ ซึ่งตนก็ได้เข้าไปขอความร่วมมืออีกครั้ง แต่ผลปรากฏว่าเขาไม่ได้แสดงท่าทีเหมือนคุณอิทธิศักดิ์ เราจึงไม่จำเป็นต้องไปตื้ออะไรเขามาก เพราะวันเวลาจะเป็นเครื่องพิสูจน์เองว่า ถ้าเราทำเพื่อ ประโยชน์ของคนไทย ทุกอย่างก็จะลงเอยด้วยดีในวันข้างหน้า


ด้วยแนวความคิดของแต่ละบุคคลไม่เหมือนกัน นายอัศวินจึงคงต้องยอมรับแนวคิดดังกล่าวอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่เขา ก็อยากจะฝากไปถึงนายกสมาคมการขายตรงไทยคนใหม่ว่า ผมอยากให้คุณคำนึงด้วยว่า คุณก็เป็นคนไทย อยากขอร้องให้ทำ อะไรเพื่อคนไทยด้วย แม้ว่าท่านจะทำงานในบริษัทต่างชาติและเป็นบริษัทที่ยิ่งใหญ่ ก็ขอให้สำนึกด้วยว่าเราเป็นคนไทย ฉะนั้น โปรดหาทางช่วยกันหน่อย อะไรที่เป็นผลประโยชน์ของคนไทยก็น่าจะมีการร่วมมือกัน


อย่างไรก็ดี นายอัศวิน ได้เผยอีกว่า เหตุผลสำคัญอีกประการ ที่ทำให้แนวคิดการ จัดตั้งสมาคมไม่สัมฤทธิผล เนื่องจากตนได้ทราบมาว่า นโยบายของเบื้องบน ไม่มีความ ประสงค์ที่จะให้รวมกัน ดังนั้น เมื่อเบื้องบน ไม่ประสงค์ให้เกิดความรัก ความสามัคคีในแผ่นดิน ตนก็ไม่อยากที่จะไปขัดท่าน ดังนั้น ตนจึงขอถือโอกาสนี้เรียนทุกท่านอย่างเป็นทางการว่า ตนคงไม่สามารถประสานงานให้ เกิดความกลมเกลียวกันในหมู่ผู้ประกอบกิจการขายตรงในประเทศไทยได้ แนวคิดการจัดตั้งสมาพันธ์การขายตรงไทย คงจะยุติไปสักระยะหนึ่ง ความตั้งใจเรามี โอกาส หน้าฟ้าใหม่ แนวคิดนี้อาจกลับมาสานต่อได้ อีกครั้ง


ทั้งนี้ ภายในงานวันแถลงข่าวเปิดตัว สมาชิกใหม่ของสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย นายอัศวินก็ได้สร้างความแปลกใจ ให้กับทุกๆ คนอีกครั้ง เมื่อเขาได้ประกาศลาออก โดยอัศวิน กล่าวว่า จะขอลาออก จากตำแหน่งนายกสมาคม และบริษัทของเขาก็ขอถอนตัวจากการเป็นสมาชิกสมาคมฯ วันนี้คงต้องถือโอกาส กราบเรียนกับพี่น้องทั้งหลายว่า ในฐานะนายกสมาคมอุตสาหกรรมการขายตรงไทย ผม นายอัศวิน วัฒนปราโมทย์ ขอลาออกจากตำแหน่งนายกสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย โดย จะมีผลอย่างเป็นทางการเมื่อยื่นหนังสือให้กับคณะกรรมการเรียบร้อยแล้ว ส่วนบริษัท ของตนก็จะถอนตัวออกจากสมาคมเช่นกัน


นายอัศวิน ได้เปิดเผยถึงสาเหตุหลักที่ทำให้ตนตัดสินใจลาออกว่า การที่ตนจะทำงานให้สำเร็จลุล่วงนั้น จะต้องมีกำลัง มีคณะกรรมการที่เข้มแข็ง คือมีคณะกรรมการที่มีความตั้งใจจริง มีความเห็นตรงกันในวัตถุประสงค์หลักของสมาคม ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อให้สมาคมมีความยั่งยืน เป็นที่พึ่งของบรรดาผู้ประกอบการกิจการขายตรง แต่เมื่อ เห็นแล้วว่า ยังไม่สามารถทำให้บรรลุสิ่งเหล่านี้ได้ ตนก็ไม่อยากเสียเวลาที่จะต้องไป ทำให้คนอื่นเขามีความล้าช้า ในการที่เขาจะ ก้าวเดิน อย่างที่เขาต้องการอีกต่อไป


การใดที่ตนอาจจะทำให้หลายๆ คนไม่พอใจ หรือทำเกินเลยในสิ่งใดก็ตาม ตนก็คงต้องขอกล่าวคำว่าขออภัย ตนอาจจะเป็นคนที่ทำอะไรเร่งด่วน ชัดเจน ไม่มีอะไรคาใจ เมื่อตั้งใจทำอะไรแล้วก็ควรทำให้เกิด ประโยชน์ ทำไมเราต้องมาเสียเวลาในการที่จะต้องมานั่งทำสิ่งนั้นสิ่งนี้ ให้มันมากเรื่อง ไปเปล่าๆ กิจการใดที่เป็นประโยชน์ต่อพี่น้อง ในอุตสาหกรรมขายตรง ก็ควรจะต้องรีบทำ


อย่างไรก็ดี ตนก็ต้องยอมรับข้อผิดพลาดว่า ที่ผ่านมาตนไม่ได้หล่อหลอมความ คิดของทุกฝ่ายให้ตรงกัน จึงทำให้เกิดข้อบกพร่องในการทำงาน ต้องบอกว่า การเป็น นายกสมาคม ไม่ได้ประโยชน์ ตนไม่เคยคิดว่าจะได้ประโยชน์ หรือมีชื่อเสียง เพราะว่าชื่อเสียงมันต้องสร้างด้วยความดี สร้างโดย รูปธรรม นามธรรม นี่คือปัจจัยหลักที่ทำให้ตนลาออก อีกเหตุผลหนึ่ง นายอัศวิน บอกว่า ตนเองมีงานเยอะมากจริงๆ เนื่องจากบริษัท ของตนก้าวเข้าไปสู่ต่างประเทศอย่างเต็มตัว ตนเองจึงอยากจะสานงานในส่วนต่างประเทศ อย่างเต็มที่ต่อไป


ด้าน นายนาคาญ์ ธวิชาวัฒน์ เลขาธิการสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย กล่าวว่า วันนี้ตนรู้สึกตกใจมากกับการตัดสินใจของท่านนายก เพราะวันก่อนยังนัดประชุมวิสามัญกันอยู่เลย อย่างไรก็ดีต้องเรียนคุณอัศวินว่า ตลอดช่วงเวลาที่ท่านทำหน้าที่เป็นผู้นำของสมาคมฯ สมาชิก ทุกคนภูมิใจมาก ซึ่งการลาออกครั้งนี้อาจเป็น ด้วยอารมณ์น้อยใจหรือไม่ อย่างที่เคยบอก ว่า สมาคมฯ เราอยู่เหมือนเป็นครอบครัวเดียวกัน เป็นสัญญาใจที่อยู่ร่วมกัน แต่ทาง ท่านอัศวิน อาจจะเคยผ่านการทำงานในระบบราชการ จึงอาจทำให้หลายๆ อย่างไม่ถูกใจ อาจจะไม่ทันใจ ซึ่งตรงนี้อยากจะบอกว่า พวกเราอยู่กันด้วยใจจริงๆ จากวันที่ท่านรับตำแหน่ง ทำให้เราได้รับข้อมูล ได้รับสิ่งดีๆ มากมาย และคิดว่าภายใต้การบริหารงานของท่านอัศวินจะทำให้สมาคมฯ ก้าวหน้าไปได้อีกมาก ดังนั้นหากท่านจะลาออกไปเลยคงจะไม่ได้ อย่างน้อยก็คงต้องเป็นที่ปรึกษาให้กับสมาคมฯ


คุณอัศวิน เป็นคนที่ทำงานเร็วมาก ทุกอย่างต้องการความรวดเร็ว และตอบสนองทันที ซึ่งทางสมาชิกชื่นชอบในการทำงานตรงนี้มาก แต่ในทางกลับกันคงต้อง ยอมรับว่า เมื่อท่านได้มองกลับมาที่สมาคมฯ อาจจะมองว่าเราทำงานกันล่าช้า เนื่องจาก ต้องรอระเบียบขั้นตอนที่ชัดเจน ซึ่งท่านอาจจะคิดว่า ต้องรออะไรกันมากมายน่าจะ ลุยกันเลย ตรงนี้ท่านจึงอาจเกิดความรำคาญ หากเป็นเรื่องนี้ตนและคณะกรรมการทุกท่านคงต้องรีบเข้าไปคุยรายละเอียดกับท่านเป็นการส่วนตัวอีกครั้ง และหากท่านยืนยันจะลาออกจากตำแหน่งนายกสมาคมจริงๆ เราก็ไม่ขัด แต่คงจะไม่ให้ท่านออกไป เลย อย่างไรก็ควรอยู่ช่วยกันก่อน เป็นที่ปรึกษาก็ยังดี นายนาคาญ์ กล่าวอ้อนวอน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1321 ประจำวันที่ 28-7-2012 ถึง31-7-2012

ข่าว จอยน์ แอนด์ คอยน์ (Join and Coin-J&C) : " วันคุ้มครองผู้บริโภคไทย 2555 "

 


ในโอกาสที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้จัดงาน วันคุ้มครองผู้บริโภคไทย เมื่อวันที่ 30 เมษายน 2555 ที่ผ่านมา ณ ลานอเนกประสงค์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา อาคารรัฐประศาสนภักดี โดยมี ฯพณฯ วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิดงาน ซึ่งภายในงานมีการแสดงนิทรรศการ ออกบูธ เพื่อให้ความรู้แก่ผู้ที่สนใจเข้าร่วมชมงาน พร้อมกันนี้ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคยังจัดให้มีการมอบโล่ประกาศเกียรติคุณให้กับองค์กร หน่วยงาน และสื่อมวลชนต่างๆ ที่ทำประโยชน์ให้กับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคด้วยดีตลอดมา ซึ่งสมาคมพัฒนาการขายตรงไทยได้รับเกียรติในการประกาศเกียรติคุณในครั้งนี้ด้วย โดยดร. สมชาย หัชลีฬหา เลขาธิการสมาคมฯ เป็นตัวแทนขึ้นรับโล่จากนายนิโรธ เจริญประกอบ เลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค นอกจากนี้ ทางสมาคมฯ ยังได้มอบเงินจำนวน 100,000 บาท เพื่อสนับสนุนงบประมาณการจัดกิจกรรมดังกล่าวอีกด้วย


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:บริษัท จอย แอน์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(J&C)

ข่าว จอยน์ แอนด์ คอยน์ (Join and Coin-J&C) : เปิดหลักสูตรติวเข้มคอร์สพิเศษ "นักขายตรงมืออาชีพ"

[gallery link="file"]


เมื่อวันที่ 20-21 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้จัดให้มีการอบรมหลักสูตรพิเศษ นักขายตรงมืออาชีพ ณ ห้องประชุม ชั้น 2 อาคารจอยมาร์ท สำนักงานสาขารัชดาภิเษก โดยเจ้าของหลักสูตรในครั้งนี้ไม่ใช่ใครที่ไหน ท่านประธานใหญ่แห่ง J&C ดร.สมชาย หัชลีฬหา นั่นเอง โดยมีนักธุรกิจอิสระ J&C ได้รับคัดเลือกให้เข้าอบรมเพียง 200 ท่านเท่านั้น ในงานนี้นอกจากนักธุรกิจอิสระ J&C จะได้รับความรู้เกี่ยวกับแนวคิดธุรกิจการทำธุรกิจอย่างถูกต้องตามจรรยาบรรณ และ How to be นักขายตรงมืออาชีพตลอด 2 วันเต็มแล้ว นักธุรกิจอิสระ J&C ทุกท่านยังได้รับความสนุกสนานรื่นเริงสอดแทรกไปในช่วงต่างๆ ของการอบรม และกิจกรรมที่สร้างพลังแห่งความเชื่อมั่นในธุรกิจ J&C ให้กับทุกๆ ท่าน ก็คือ กิจกรรมปลุกพลัง โดยแม่ทัพใหญ่ของ Power Leader จบจากหลักสูตรนี้มั่นใจได้เลยว่า ต่อไปนี้นักธุรกิจอิสระ J&C ทุกท่านจะรู้ถึงวิธีการในการสร้างยอดขาย J&C ให้เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนพุ่งขึ้นถึง2,500ล้าน ตามเป้าหมายที่ท่านประธานใหญ่วางไว้อย่างแน่นอน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:บริษัท จอย แอน์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(J&C)

ข่าว จอยน์ แอนด์ คอยน์ (Join and Coin-J&C) : งานประกาศผลรางวัลภาพข่าวสื่อมวลชนยอดเยี่ยมถ้วยพระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ประจำปี 2554/ 2555

[gallery link="file"]


สมาคมช่างภาพสื่อมวลชนแห่งประเทศ ได้จัดให้มีพิธีมอบรางวัล วันช่างภาพสื่อมวลชนยอดเยี่ยม ครั้งที่ 16 ณ ห้องวิภาวดีบอลรูม โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ เซ็นทรัลพลาซ่า ลาดพร้าว กรุงเทพฯ เมื่อวันที่ 18 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยมีนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นผู้แทน ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นประธานในพิธีมอบรางวัล ซึ่งภายในงานมีสื่อมวลชนจากทุกสำนักสื่อ นักการเมือง และผู้ทรงคุณวุฒิเข้าร่วมงานอย่างมากมาย ในโอกาสนี้ ดร.สมชาย หัชลีฬหา ประธานกรรมการบริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้ขึ้นรับ รางวัลนักธุรกิจดีเด่น ปี 2555 นอกจากนี้ ดร. สมชาย ยังได้รับโหวตจากช่างภาพสื่อมวลชน ให้เป็น บุคคลดีเด่น ในสายตาช่างภาพสื่อมวลชน ประจำปี 2555 อีกหนึ่งรางวัล สำหรับรางวัล บุคคลดีเด่น นั้น จะพิจารณาจากผู้มีคุณสมบัติดังต่อไปนี้ คือ จะต้องเป็นผู้มีชื่อเสียงเป็นที่ยอมรับในสังคมไทย และเป็นผู้สร้างสรรค์ผลงานที่เป็นประโยชน์ทั้งต่อองค์กรของตัวเอง ต่อสังคม ต่อประชาชนและประเทศชาติมาอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งยังเป็นผู้ที่เสียสละเพื่อประโยชน์สุขของคนส่วนใหญ่ ที่สำคัญยังต้องเปิดโอกาสให้ช่างภาพสื่อมวลชนเข้าพบและหารือเพื่อแลกเปลี่ยนความคิดเห็นที่เป็นประโยชน์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของแต่ละฝ่าย รวมถึงยังต้องปฏิบัติตนทั้งต่อหน้าและลับหลังด้วยอัธยาศัยไมตรีที่เป็นกันเอง นอกจากนี้ ยังต้องให้เกียรติต่อการปฏิบัติหน้าที่ซึ่งกันและกัน โดยให้ความช่วยเหลือด้านต่างๆ แก่บรรดาช่างภาพสื่อมวลชน และสมาคมช่างภาพสื่อมวลชนฯอย่างต่อเนื่อง ทั้ง 2 รางวัลนี้นับเป็นความภาคภูมิใจของชาว J&C ทุกคนที่องค์กรของพวกเรามีผู้นำที่มีความสามารถเป็นที่ยอมรับทั้งในแวดวงขายตรงและแวดวงธุรกิจ จนได้รับรางวัลการันตีความสามารถจากสมาคมช่างภาพสื่อมวลชน จึงนับได้ว่าปีนี้เป็นปีทองของ J&Cจริงๆ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:บริษัท จอย แอน์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด(J&C)

ข่าวแอมเวย์ (Amway Thailand) : ฉลองครบรอบ 25 ปี เปิดตัว ห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทย ต้นแบบคลังความรู้เคลื่อนที่สู่เด็กไทยทั่วประเทศ

แอมเวย์ฉลองครบรอบ25ปี เปิดตัวห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทย



ต้นแบบคลังความรู้เคลื่อนที่สู่เด็กไทยทั่วประเทศ


 


บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ฉลองครบรอบ 25 ปี จับมือสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาของไทย เปิดตัวโครงการห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทย ต้นแบบคลังความรู้เคลื่อนที่ รวบรวมหนังสือสารานุกรมและเสริมทักษะความรู้รวม100เล่ม พร้อมอุปกรณ์การเรียนรู้ เพื่อส่งมอบไปทุกจังหวัดทั่วไทย หวังตอบแทนบุญคุณของสังคมไทยอย่างต่อเนื่อง และขอเชิญชวนคนไทยร่วมเป็นเจ้าภาพจัดทำห้องสมุดเคลื่อนที่เพื่อเพิ่มจำนวนแหล่งการเรียนรู้แก่เยาวชนให้มากยิ่งขึ้น ตลอดจนเปิดให้โรงเรียนที่สนใจได้รับห้องสมุดเคลื่อนที่ สามารถส่งใบสมัครได้แล้วตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป



นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่าแอมเวย์ยึดมั่นในวัฒนธรรมองค์กรเพื่อตอบแทนบุญคุณของสังคมไทยมาอย่างต่อเนื่อง ที่ผ่านมาได้ช่วยเหลือเด็กไทยให้มีคุณภาพชีวิตที่ดียิ่งขึ้นแล้วกว่า270,000คนทั่วประเทศ สำหรับปีนี้ เพื่อสานต่อเจตนารมณ์การให้โอกาสทางการศึกษาและฉลองครบรอบการดำเนินธุรกิจ25ปีในประเทศไทย แอมเวย์จึงจัดกิจกรรมเพื่อสังคมกับโครงการห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทยแนวคิดต้นแบบคลังความรู้เคลื่อนที่ ซึ่งรวบรวมหนังสือสารานุกรมและหนังสือเสริมทักษะรวม100เล่ม พร้อมอุปกรณ์การเรียนรู้ เพื่อส่งมอบให้โรงเรียนที่ขาดแคลนในทุกจังหวัดทั่วไทย โดยเบื้องต้นแอมเวย์จัดทำห้องสมุดเคลื่อนที่จำนวน77ชุด เพื่อส่งมอบให้แก่โรงเรียนในแต่ละจังหวัด ภายใต้คำปรึกษาจากสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาของไทย คาดหวังที่จะให้เยาวชนไทยได้มีสื่อการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและช่วยส่งเสริมพฤติกรรมรักการอ่านอันเป็นจุดเริ่มต้นของการพัฒนาสติปัญญาต่อไป


 


ห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทย พัฒนาขึ้นมาจากแนวความคิดเรื่องนโยบายห้องสมุด 3 ดี คือ 1.หนังสือดี 2.บรรยากาศดี 3.บรรณารักษ์ดี ของกระทรวงศึกษาธิการ บนพื้นฐานที่จะนำคลังความรู้เคลื่อนที่ไปสู่โรงเรียนที่ขาดแคลน โดยห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทยจัดทำด้วยวัสดุไม้ที่มีความทนทานและสวยงาม ประกอบด้วยหนังสือสารานุกรมเล่มที่ 13-35 จำนวน 23 เล่ม และหนังสือเสริมทักษะ ที่เป็นหนังสือดีเด่นได้รับรางวัลจาก สพฐ. จำนวน 77 เล่ม รวมทั้งหมด100เล่ม และอุปกรณ์การเรียนรู้ติดตั้งพร้อมใช้ ได้แก่ โต๊ะสำหรับนั่งอ่านหนังสือ เก้าอี้ และชุดกระดานไวท์บอร์ด สามารถเคลื่อนย้ายไปยังสถานที่ต่างๆ ของโรงเรียนได้อย่างสะดวก ทำให้หนังสือไม่จำเป็นต้องอยู่ในห้องสมุดเสมอไป และนักเรียนยังสามารถเข้าถึงโอกาสทางการเรียนรู้ได้มากยิ่งขึ้น ซึ่งแอมเวย์จะดำเนินการจัดทำห้องสมุดเคลื่อนที่เพื่อมอบแก่โรงเรียนทั่วประเทศโดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้นจำนวนรวม77ชุด



แอมเวย์ยังขอเชิญชวนผู้มีกุศลจิตที่ต้องการขยายโอกาสการเรียนรู้แก่เยาวชนไทยให้มากขึ้น สามารถร่วมเป็นเจ้าภาพการจัดทำห้องสมุดเคลื่อนที่เพิ่มขึ้นจากจำนวนการจัดทำของแอมเวย์ได้ในราคาชุดละ40,000บาท โดยแอมเวย์จะดำเนินการผลิตและจารึกชื่อของเจ้าภาพไว้บนห้องสมุดในฐานะผู้มอบคลังความรู้นี้ นอกจากนี้ สำหรับโรงเรียนที่ต้องการได้รับห้อง สมุดเคลื่อนที่ สามารถส่งใบสมัครแสดงความจำนงขอรับห้องสมุดได้ตั้งแต่วันนี้ 30กันยายน2555 โดยเข้าไปโหลดใบสมัครที่www.amwayshopping.comหรือที่แอมเวย์ ช็อป ทุกแห่ง บริษัทและตัวแทนจาก สพฐ. จะร่วมกันคัดเลือกโรงเรียนที่เหมาะสม และจะประกาศรายชื่อโรงเรียนที่ได้รับบริจาคในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2555 ผ่านทางเว็บไซต์www.amwayshopping.comและหนังสือพิมพ์


 


ทั้งนี้ แอมเวย์ยังเปิดโอกาสให้ผู้สนใจสามารถมีส่วนร่วมในโครงการห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทยได้อย่างง่ายๆ ร่วมกับ5ดีเจชื่อดัง โดยไม่มีค่าใช้จ่ายใดๆ ทั้งสิ้น ได้แก่ดีเจอ้อย-นภาพร ไตรวิทย์วารีกุล ดีเจเจ๊แหม่ม-วินัย สุขแสวง ดีเจนุ้ย-ธนวัฒน์ ประสิทธิสมพร ดีเจต้นหอม-ศกุนตลา เทียนไพโรจน์และดีเจบุ๊คโกะ ธนัชพันธ์ บูรณาชีวาวิไล ด้วยการกดโหวตดีเจที่ชื่นชอบผ่านเฟซบุ๊คแอพพลิเคชั่นในwww.facebook.com/amwaythailandระหว่างวันที่ 24 กรกฎาคม - 24 กันยายน 2555 การกดไลค์ (Like) 10,000ครั้งขึ้นไป/ 1ดีเจ แอมเวย์จะจารึกชื่อของดีเจท่านนั้นร่วมกับแฟนเพจในฐานะผู้มอบห้องสมุดเคลื่อนที่1แห่ง พิเศษสุด!สำหรับผู้ที่ร่วมสนุกกับโครงการนี้ แอมเวย์จะสุ่มเลือกผู้โชคดี 1 ท่าน เพื่อจารึกชื่อของท่านไว้บนห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทยอีก 1 แห่งในฐานะผู้มอบโอกาสทางการศึกษาแก่น้องๆนายกิจธวัชกล่าวในที่สุด


 


นายสนิท แย้มเกษรผู้อำนวยการสำนักพัฒนากิจกรรมนักเรียนสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)กล่าวว่าสพฐ. มีหน้าที่ในการพัฒนาและส่งเสริมการศึกษาขั้นพื้นฐานของไทยให้มีคุณภาพเทียบเท่าระดับสากล เพื่อให้ประเทศไทยกลายเป็นผู้นำด้านการศึกษาของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ปัจจุบัน สพฐ. มีโรงเรียนประถมศึกษาในสังกัดเขตพื้นที่การศึกษาประถมศึกษา 183 เขตทั่วประเทศ ครั้งนี้ สพฐ. มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ร่วมกับแอมเวย์เพื่อขยายโอกาสทางการเรียนรู้แก่เด็กและเยาวชนไทยให้สามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้อย่างทั่วถึงมากยิ่งขึ้น โดย สพฐ. จะเป็นส่วนหนึ่งในการสนับสนุนให้โรงเรียนในสังกัดได้รับข้อมูลของโครงการห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปี แอมเวย์ไทยอย่างทั่วถึง พร้อมให้คำปรึกษาในการจัดโครงการจนกระทั่งโครงการสำเร็จลุล่วงสมดังเจตนารมณ์ เพื่อที่เด็กไทยทั่วประเทศจะสามารถเข้าถึงแหล่งความรู้ได้อย่างสะดวกยิ่งขึ้น

ขายตรง กิฟฟารีน(Giffarine Thailand) คังเซน-เคนโก(Kangzen-Kenko) ซุ่มปรับราคา


++ขายตรงซุ่มปรับราคา


บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด
พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงกิฟฟารีน กล่าวว่า บริษัททยอยปรับราคาสินค้าขึ้นตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2-3 รายการ โดยปรับราคาสินค้าเพิ่มขึ้นประมาณ 2-3% และในเดือนสิงหาคมนี้จะปรับราคาสินค้าขึ้นอีกไม่เกิน 10 รายการ ประมาณ 2-3% เช่นกัน จากจำนวนสินค้าทั้งหมด 2 พันรายการ โดยก่อนการปรับราคาขึ้นจะแจ้งไปยังนักธุรกิจ (สมาชิก) ล่วงหน้า 1 เดือน เพื่อแจ้งผู้บริโภคให้ทราบ ขณะที่ต้นทุนราคาสินค้าเพิ่มขึ้นนั้นส่วนใหญ่จะมาจากบรรจุภัณฑ์ที่เพิ่มขึ้นราว 10% ส่วนราคาน้ำมันมีผลกระทบเล็กน้อย ประกอบกับสินค้าของบริษัทเป็นสินค้าชิ้นเล็ก
"ตั้งแต่ขึ้นราคาสินค้ามา 1 เดือนพบว่ายอดขายยังคงเติบโตได้ดี แต่พบว่าในสัปดาห์นักธุรกิจมีการตุนสินค้าเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็กลับสู่สภาวะปกติ ส่วนราคาสินค้าที่จะทยอยขึ้นในเดือนสิงหาคม ขณะนี้บริษัทพยายามเจรจาต่อรองราคาวัตถุดิบเพื่อให้ได้ต้นทุนที่ต่ำไม่ให้กระทบนักธุรกิจและผู้บริโภค"
ทั้งนี้การขึ้นราคาสินค้าเชื่อว่าจะไม่กระทบต่อยอดขายในปีนี้ ที่คาดว่าจะเติบโต 7-10% หรือราว 6 พันล้านบาท สำหรับสินค้าที่ปรับราคาขึ้นไปแล้ว ประกอบไปด้วย อะบาโลน คอลลาเจน จาก 390 บาท เป็น 408 บาท ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกลูต้า เคอร์ซิมา ซีอี จาก 300 บาท เป็น 330 บาท น้ำทับทิม จาก 435 บาท เป็น 450 บาท ฯลฯ นอกจากนี้กลุ่มเครื่องสำอาง มีการปรับบรรจุภัณฑ์ใหม่ พร้อมปรับราคาขึ้น เช่น ผลิตภัณฑ์ลดริ้วรอย วิตามินบำรุงผิว เป็นต้น


บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
ขณะที่บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงอีกรายได้ทำจดหมายถึงสมาชิกหรือนักธุรกิจอิสระ แจ้งปรับราคาสินค้าขึ้น 5-10% โดยให้เหตุผลว่า ผู้ผลิตสินค้าในต่างประเทศ มีการปรับราคาสินค้าขึ้นหลายครั้ง รวมทั้งภาวะราคาน้ำมัน ราคาพลังงานเชื้อเพลิง มีแนวโน้มสูงขึ้น ผนวกกับการปรับค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวันตั้งแต่ 1 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้บริษัทได้รับผลกระทบด้านต้นทุนการดำเนินธุรกิจที่สูงขึ้น และบริษัทไม่สามารถแบกรับภาระดังกล่าวได้ จึงขอปรับราคาสินค้าขึ้นตั้งแต่วันที่ 1กรกฎาคมนี้เป็นต้นไป


จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,754 5-7 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข่าวสคบ. ออกตรายางขีดเส้นขายตรง


สคบ. เร่งมอบตราสัญลักษณ์ล่อกลุ่มธุรกิจขายตรงเข้ากรอบ หวังจัดระเบียบลดปัญหาร้องเรียน แนะใช้เป็นเครื่องการันตีขยายตลาดอาเซียน มั่นใจส่งผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจประเทศ ด้านนายกสมาคมการขายตรงไทยบ่นอุบ มอบตราสัญลักษณ์พร้อมเก็บค่าประกันส่งผลต้นทุนสินค้าเพิ่ม "เอเชีย สุพรีม" คาดหลังเปิดเออีซีตลาดขายตรงพุ่งพรวดทะลุ 1 ล้านล้านบาท
นายนพปฎล เมฆเมฆา รองเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ว่า ในต้นเดือนสิงหาคมนี้ สคบ. จะเริ่มมอบตราสัญลักษณ์ให้กับธุรกิจขายตรงเป็นกลุ่มแรก ซึ่งจะเป็นต้นแบบให้กับธุรกิจอื่นๆต่อไป ทั้งนี้มองว่า ธุรกิจขายตรงมีระบบการบริหารจัดการและมีสมาคมดูแลอย่างใกล้ชิด และเป็นธุรกิจที่สามารถขยายตัวได้ดี และสร้างรายได้ให้กับประชาชนได้มาก โดยเฉพาะหลังการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซีในปี 2558 โดยสคบ. มีแนวคิดจะมอบตราสัญลักษณ์ให้กับผู้ประกอบการธุรกิจสินค้าและบริการ เพื่อแสดงให้เห็นว่าสินค้าและบริการนั้น มีการรับประกันความปลอดภัย โดยสคบ. มีเป้าหมายที่จะมอบตราสัญลักษณ์ให้กับธุรกิจต่างๆ รวม 26 ประเภท อาทิ ร้านจำหน่ายทองรูปพรรณ ร้านจำหน่ายรถยนต์มือสอง เป็นต้น
-เสียหายมีประกันเยียวยา
ทั้งนี้ธุรกิจขายตรงเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ มีผู้เกี่ยวข้อง และดำเนินธุรกิจกว่า 16 ล้านคน มีมูลค่าการค้ามากกว่า 1 แสนล้านบาท และมีศักยภาพสามารถขยายตัวได้รวดเร็ว โดยเฉพาะการมีตราสัญลักษณ์ของหน่วยงานภาครัฐ เป็นเครื่องการันตี จะทำให้ผู้บริโภคในต่างประเทศเกิดความเชื่อมั่น ผู้ประกอบการก็จะสามารถเข้าไปดำเนินธุรกิจได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ที่ผ่านมาพบว่า มีผู้บริโภคร้องเรียนและถูกล่อลวงจากผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงจำนวนมาก ซึ่งการจะเอาผิด หรือลงโทษตามขั้นตอนของกฎหมายจะต้องใช้เวลานาน แต่ต่อไปเมื่อมีการนำระบบประกันเข้ามาใช้ เมื่อเกิดปัญหาผู้บริโภคก็จะได้รับการเยียวยาทันที
" สินค้าที่มีตราสัญลักษณ์ของสคบ. จะเป็นสิ่งยืนยันว่าสินค้าหรือบริการเหล่านี้ ได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานรัฐในระดับหนึ่ง เมื่อผู้บริโภคซื้อและเกิดความเสียหาย ก็จะมีระบบประกันเข้ามาดูแล และช่วยเยียวยาให้ผู้บริโภคได้ทันที โดยไม่ต้องรอฟ้องร้องเป็นคดีความ ซึ่งต้องใช้เวลานาน ยุ่งยาก" รองเลขาธิการ สคบ. กล่าวและว่า
-บุกสู่อาเซียนง่าย-น่าเชื่อถือ
สำหรับธุรกิจขายตรง มีศักยภาพที่จะขยายตลาดไปสู่อาเซียนได้ และการมีตราสัญลักษณ์ของหน่วยงานรัฐ จะทำให้ผู้บริโภคซื้อสินค้าได้อย่างมั่นใจขึ้น และเมื่อเปิดตลาดไปสู่อาเซียนก็จะได้รับความน่าเชื่อถือมากขึ้นด้วย ส่วนการดำเนินการในขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมรายชื่อธุรกิจขายตรงที่จะเข้ารับตราสัญลักษณ์สคบ. ผ่านสมาคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขายตรง ซึ่งคาดว่าจะใช้เวลา 1-2 สัปดาห์ โดยเบื้องต้นเชื่อว่าจะมีผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงเข้ารับตราสัญลักษณ์กว่า 80 บริษัท โดยตราสัญลักษณ์ของสคบ. จะมอบหมายและคุ้มครองใน 2 รูปแบบ คือ ตราสัญลักษณ์สำหรับผู้ประกอบการ และตราสัญลักษณ์สำหรับตัวสินค้า ซึ่งหากได้รับตราสัญลักษณ์ไปแล้ว และไม่ได้มาตรฐานตามที่กำหนดก็จะสามารถยึดคืนได้ในภายหลัง
-ต้องซื้อประกันแบกต้นทุนสูงขึ้น
ด้านนายกิจธวัช ฤทธาวี นายกสมาคมการขายตรงไทย กล่าวว่า การที่สคบ. มีแนวคิดจะมอบตราสัญลักษณ์ให้กับผู้ประกอบการธุรกิจขายตรง เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคนั้น เบื้องต้นต้องดูเงื่อนไขในการรับตราสัญลักษณ์และการนำไปใช้ก่อน ซึ่งเท่าที่ทราบในขณะนี้ คือผู้ที่จะรับมอบตราสัญลักษณ์ จะต้องซื้อประกันภัยจากบริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคเมื่อเกิดปัญหาจากการใช้สินค้าและบริการจากผู้ประกอบการ ส่งผลให้ผู้ประกอบการมีภาระต้นทุนที่สูงขึ้น ซึ่งเป็นปัญหาอยู่ในขณะนี้
อย่างไรก็ดีหากเปิดเออีซีเชื่อว่าผู้ประกอบการขายตรงไทยจะได้ประโยชน์มากขึ้น เพราะมีบริษัทที่เก่งและมีศักยภาพในการบุกตลาดจำนวนมาก แม้ว่าธุรกิจขายตรงจากต่างประเทศหลายรายที่ใช้ประเทศเพื่อนบ้านเป็นฐานเพื่อเข้ามาเจาะตลาดไทยเช่นกัน แต่มั่นใจว่าผู้ประกอบการไทยแข่งได้ และที่ผ่านมาแบรนด์ระดับโลกเข้ามาทำตลาดขายตรงในประเทศไทยเกือบครบแล้ว
ส่วนการขยายตลาดไปประเทศเพื่อนบ้านนั้น ต้องศึกษาเรื่องของจำนวนประชากรศาสตร์ เช่น อินโดนีเซีย มีประชากรกว่า 200 ล้านคน ฟิลิปปินส์ 80 ล้านคน เวียดนาม 80 ล้านคน และขึ้นอยู่กับความสามารถของผู้ประกอบการแต่ละรายว่ามีสินค้าและบริการเข้าไปจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคมากน้อยเพียงใด
"โอกาสของธุรกิจเครือข่ายจะขึ้นอยู่กับจำนวนประชากร และวัฒนธรรม บางประเทศนิยมการขายตรงหลายชั้น(เอ็มแอลเอ็ม)และบางประเทศอย่างฟิลิปปินส์ไม่เกิด เพราะคนชอบการขายตรงแบบชั้นเดียว(เอสแอลเอ็ม) แต่เมื่อเปิดเออีซีมองว่าจะเป็นโอกาสของผู้ประกอบการขายตรงไทยมากกว่า เพราะหลายบริษัทเก่งและมีศักยภาพ ส่วนคู่แข่งที่จะเข้ามาทำตลาดในบ้านเรา อย่าง เกาหลี ที่ใช้ประเทศเพื่อนบ้านเป็นฐาน หรือแม้แต่มาเลเซีย ก็ถือว่าไม่น่ากลัว และคาดว่าคงไม่มีแบรนด์ใหม่ๆเข้ามาอีกมากนัก เพราะที่ผ่านมามัลติแบรนด์ใหญ่ๆก็เข้ามาเกือบหมดแล้ว เพราะไทยถือเป็นตลาดขายตรงระดับโลกที่มีศักยภาพมากในตลาดอาเซียน" นายกิจธวัช กล่าว
-ขยายตัวลดลง2ปีซ้อน
ปัจจุบันไทยมีผู้ประกอบการขายตรงประมาณ 828 บริษัท และมีมูลค่าตลาดประมาณ 6 หมื่นล้านบาท โดยแนวโน้มภาพรวมตลาดปีนี้คาดว่าจะเติบโตได้ 7% ซึ่งยอมรับว่าจากปัญหาทางการเมือง และภัยธรรมชาติที่เกิดขึ้น ส่งผลกระทบให้ธุรกิจขายตรงไทยเติบโตในอัตราที่ถดถอยลงติดต่อกัน 2 ปีแล้ว จากปกติตลาดจะเติบโตไม่ต่ำกว่า 10% และคาดการณ์หลังเปิดเออีซีคาดว่าตลาดยังเติบโตในระดับ 7-8%
นายกิจธวัช กล่าวว่า ในส่วนของบริษัทแอมเวย์ฯก็มีการเข้าไปทำธุรกิจขายตรงใน 7 ประเทศอาเซียนแล้ว เหลือเพียงกัมพูชา พม่า และลาวที่ยังไม่เข้าไปบุกตลาด โดยต้องดูความพร้อมอีกระยะ
นายอิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า การที่ธุรกิจขายตรงไทยจะเข้าไปขยายตลาดในประเทศเพื่อนบ้านนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะยังมีกฎระเบียบต่างๆที่ต้องทำการศึกษาจำนวนมาก แม้ว่าการเปิดเออีซีจะทำให้กำแพงภาษีลดลงเหลือ 0% แต่ในบางธุรกิจก็จะทยอยลด และยังมีมาตรการกีดกันการค้าที่ไม่ใช่กำแพงภาษีของแต่ละประเทศด้วย
ในส่วนของบริษัทมีการบุกตลาดต่างประเทศน้อยมาก ส่วนใหญ่ยังอยู่ในแถบอินโดจีน ได้แก่ พม่า ลาว เวียดนาม และอินโดนีเซีย และยังไม่มีแผนจะรุกต่างประเทศเพิ่มแต่อย่างใด โดยจะค่อยๆขยายธุรกิจ
"ในทางปฏิบัติการเข้าไปบุกตลาดขายตรงรับเออีซีไม่ใช่เรื่องง่าย และต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เพราะยังมีอุปสรรคทางธุรกิจจำนวนมากที่ยังไม่เอื้อต่อการเข้าไปประกอบธุรกิจ ทั้งเรื่องภาษา กฎหมายซึ่งทุกประเทศก็จะต้องมีการออกกฎระเบียบมาปกป้องธุรกิจตนเองจากประเทศอื่น เช่น เวียดนามก็จะมีกฎเกณฑ์ร้านทำธุรกิจรีเทล และการที่ผู้ประกอบการไทยจะเข้าไปจะต้องมีความรู้ความสามารถด้านภาษาให้มาก เพราะจะต้องใช้คนเป็นสื่อกลางในการจำหน่ายสินค้าถึงผู้บริโภค และประสบการณ์ที่คังเซนไป เจาะตลาดอินโดจีนก็พบว่ามีปัญหาจำนวนมากโดยเฉพาะการทำความเข้าใจกับกฎหมาย" นายอิทธิศักดิ์ กล่าว
-ขายตรงอาเซียนทะลุ 1 ล้านล. บาท
พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวว่า ในระยะแรกของการเปิดเออีซีมองว่าจะเป็นช่วงของการเรียนรู้ซึ่งกันและกันระหว่างผู้ประกอบการขายตรงในอาเซียน และเชื่อว่าจะมีผู้ประกอบการขายตรงจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาแข่งกับโลคัลแบรนด์มากขึ้น โดยการเปิดเออีซีถือว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจขายตรงของไทยให้สามารถเข้าไปขยายตลาดในอาเซียนได้มากขึ้น แต่คู่แข่งก็จะเข้ามาในไทยเช่นกัน เพราะกำแพงภาษีต่างๆจะลดลงจากในอดีต รวมถึงมาตรการกีดกันการค้าต่างๆที่น่าจะลดตามไปด้วย ส่วนบริษัทกิฟฟารีนฯ มีการเข้าไปขยายตลาดขายตรงในประเทศเพื่อนบ้านบางส่วน อาทิ พม่า ลาว กัมพูชา มาเลเซียและอินโดนีเซีย ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายประมาณ 5% เท่านั้น จากยอดขายรวมในปีนี้ที่ระดับ 5.8 พันล้านบาท
ก่อนหน้านี้ นายสุธีร์ รัตนนาคินทร์ ประธานกรรมการ บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงแบบเอ็มแอลเอ็มระบุว่าเมื่อเปิดเออีซี จะทำให้ขนาดตลาดขายตรงอาเซียนใหญ่ขึ้นและมีมูลค่าตลาดมหาศาลที่ระดับ 1 ล้านล้านบาท ทำให้บริษัทต่างชาติ อาทิ นิวซีแลนด์ ฯลฯ เริ่มเข้ามาบุกตลาดในไทยมากขึ้นและใช้เป็นศูนย์กลางในการขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้านต่อไป


จากหนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจฉบับที่ 2,758 19-21 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข่วแอมเวย์ (Amway Thailand) : ประกาศสุดยอดหนุ่มผิวดี อาร์ทิสทรี เมน คอนเทสต์ (Artistry Men Conteset)


นางชุมพฤนท์ ยุระยง ผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด (ที่ 2 จากซ้าย) แสดงความยินดีกับสองผู้ชนะการประกวด อาร์ทิสทรี เมน คอนเทสต์ แคมเปญออนไลน์ครั้งยิ่งใหญ่แห่งปีซึ่งมีรางวัลมูลค่ารวม 350,000 บาท ประกาศสุดยอดหนุ่มสุขภาพผิวดี ผู้มีความมุ่งมั่นสู่ ความสำเร็จ ได้แก่ นายธีรวัฒน์ สมหนุน (ที่ 3 จากซ้าย) ตำแหน่งสุดยอดหนุ่มอาร์ทิสทรีเมน 2012 และ ตำแหน่งป๊อบปูล่าโหวต พร้อมด้วยนายศุภยศ ปุกหุต (ที่ 3 จากขวา) ตำแหน่งรองชนะเลิศอาร์ทิสทรี เมน 2012 ซึ่งทั้งสองจะได้ถ่ายแฟชั่นร่วมกับนางแบบชื่อดัง พิชญ์นาฏ สาขากร (ที่ 2 จากขวา) ลงในนิตยสารชั้นนำ โดยมี โตมร ศุขปรีชา บรรณาธิการอำนวยการนิตยสารจีเอ็ม (ขวาสุด) และภัทรนันท์ ชัยพงศ์เกษม รองบรรณาธิการบริหารนิตยสารแพรว (ซ้ายสุด) ให้เกียรติร่วมงานในฐานะคณะกรรมการ โดยงานจัดขึ้น ณ แอมเวย์ สำนักงานใหญ่ เมื่อเร็วๆ นี้


แคมเปญออนไลน์ อาร์ทิสทรี เมน คอนเทสต์ ประสบความสำเร็จอย่างสูง มีสุภาพบุรุษผิวดีร่วมสมัครผ่านเฟซบุ๊คของอาร์ทิสทรีประเทศไทยถึง 1,231 คน และมีผู้ร่วมโหวตมากกว่า 170,000 โหวต

ข่าวแอมเวย์ (Amway Thailand) : ฉลอง 25 ปี เปิดตัว ห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทย ต้นแบบคลังความรู้เคลื่อนที่สู่เด็กไทยทั่วประเทศ

แอมเวย์ฉลอง 25 ปี เปิดตัว ห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทย ต้นแบบคลังความรู้เคลื่อนที่สู่เด็กไทยทั่วประเทศ



นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด(ที่ 2 จากขวา)
ร่วมกับนายสนิท แย้มเกษร ผู้อำนวยการสำนักพัฒนากิจกรรมนักเรียน
สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.)
(ที่ 2 จากซ้าย) จัดงานแถลงข่าวเปิดตัว
โครงการ ห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปีแอมเวย์ไทย ในโอกาสฉลองครบรอบการดำเนินงาน 25 ปี
เพื่อสนับสนุนให้เยาวชนไทยมีแหล่งการเรียนรู้ที่มีคุณภาพและสามารถเข้าถึงได้ง่ายขึ้น


 

ข่าวสมาคมการขายตรง (TDSA) : นายกสมาคมการขายตรงคนใหม่ ชู4ยุทธศาสตร์รับ เออีซี (AEC)


นายก ส.ขายตรงไทยคนใหม่ วาง 4 กลยุทธ์ สร้างความแข็งแกร่งธุรกิจขายตรงรายเล็ก-กลาง ขยายตลาดรับเออีซี ห่วงปัญหาการเมือง-ภัยธรรมชาติ ฉุดธุรกิจ


นายกิจธวัช ฤทธีราวี นายกสมาคมการขายตรงไทย (ทีดีเอสเอ) เปิดเผยภายหลังการรับตำแหน่งนายกสมาคมการขายตรงไทยคนใหม่ว่า การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงไทยขนาดกลางและเล็ก ที่จะพัฒนาและสร้างความแข็งแกร่ง รวมถึงโอกาสขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งไทยและต่างชาติ ได้เข้าไปเปิดตลาดในอาเซียนก่อนหน้านี้แล้ว แต่ขณะเดียวกัน เชื่อว่าจะมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาทำธุรกิจขายตรงในประเทศไทยเช่นเดียวกัน


"หลายประเทศในภูมิภาคอาเซียนที่มีศักยภาพขยายตลาด อาทิ อินโดนีเซีย เนื่องจากมีจำนวนประชากรถึง 200 ล้านคน ส่วนฟิลิปปินส์และเวียดนาม มีประชากร 80 ล้านคน และมาเลเซียมีประชากร 20-30 ล้านคน อย่างไรก็ตาม ประเทศไทยถือว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพมากที่สุดในภูมิภาคนี้"


ทั้งนี้ได้วางกลยุทธ์หลัก 4 ประการในการสร้างการเติบโต คือ มุ่งการสร้างภาพลักษณ์ที่ดี โดยมุ่งเน้นธรรมาภิบาลและมาตรฐานสากลที่รองรับโดยสมาพันธ์การขายตรงโลก ซึ่งถือเป็นการสร้างแบรนด์ขายตรงไทย ควบคู่กับการสร้างมาตรฐานมากกว่าที่กฎหมายกำหนดไว้ พร้อมเร่งขยายจำนวนสมาชิกใหม่ เปิดรับสมาชิกใหม่ที่ไม่ใช่เฉพาะบริษัทขายตรงเท่านั้น แต่เปิดกว้างสำหรับองค์กรหรือบริษัทที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขายตรง เช่น บริษัทที่ปรึกษาด้านกฎหมาย รวมถึงบริษัทจัดงานประชุมต่างๆ เข้ามาเป็นสมาชิกวิสามัญ


นอกจากนี้ สนับสนุนและส่งเสริมให้สมาชิกผู้ประกอบการและนักธุรกิจอิสระ ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามจรรยาบรรณ เพื่อสร้างศักยภาพในการแข่งขันควบคู่กับการให้ความรู้เรื่องจรรยาบรรณกับรายใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง และเป็นศูนย์กลางเผยแพร่ความรู้สึกให้กับทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมธุรกิจเครือข่ายอย่างมืออาชีพ


"ผมจะนำกลยุทธ์และนโยบายต่างๆ ที่มีอยู่ก่อนหน้านี้ มาสานต่อให้เกิดความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจเครือข่าย และยังเน้นย้ำการช่วยเหลือสมาชิกและนักธุรกิจอิสระ ไม่ว่าจะเป็นการแบ่งปันความรู้ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในการประกอบธุรกิจ" นายกิจธวัช กล่าว


นอกจากนี้ นายกสมาคมการขายตรงไทย กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมขายตรงปีนี้ มีมูลค่า 6 หมื่นล้านบาท คาดว่าจะเติบโตประมาณ 7-8% หากไม่มีปัจจัยผลกระทบจากปัญหาการเมืองภายในประเทศ และภัยธรรมชาติที่ไม่สามารถคาดเดาได้ว่าจะเกิดขึ้นหรือไม่ รวมถึงการมีบริษัทที่แอบอ้าง หรือแชร์ลูกโซ่ เข้ามาในธุรกิจขายตรง ซึ่งกระทบต่อภาพลักษณ์ธุรกิจขายตรง


"ปัญหาการเมืองอาจกระทบธุรกิจขายตรงในเชิงจิตวิทยาเพียงระยะสั้นๆ เท่านั้น ขณะเดียวกันจะกระทบกับอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและภาคการบริการ รวมถึงภาพลักษณ์ของประเทศไทย ส่วนเรื่องน้ำท่วมเชื่อว่าไม่น่ากระทบมากนัก เพราะทุกฝ่ายต่างก็เตรียมแผนรับมืออยู่แล้ว" นายกิจธวัช กล่าว


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ กรุงเทพธุรกิจ

วันพฤหัสบดีที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข่าว สมาคมการขายตรงไทย (TDSA) : เปิดตัวคณะกรรมการชุดใหม่ นายกยํ้าแนวทางหลักธรรมาภิบาล


ได้ฤกษ์ สมาคมการขายตรงไทยชุดใหม่ประกาศแผนงาน ภายใต้การนำทัพของ กิจธวัช ฤทธีราวี พร้อมคณะกรรมการอีก 9 คน ตอกยํ้าแผนการทำงานอย่างโปร่งใส และถูกต้องตามหลักจรรยาบรรณของสมาพันธ์การขายตรงโลก ตามแนวทางการ บริหารงาน 4 ข้อหลัก


กิจธวัช ฤทธีราวี นายกสมาคมการขายตรงไทย หรือ TDSA เปิดเผยว่า หลังเข้า รับตำแหน่งนายกสมาคมการขายตรงไทยคนใหม่ ที่เริ่มดำรงตำแหน่งระหว่างเดือน กรกฎาคม 2555-เดือนมิถุนายน 2557 ที่พร้อมเดินหน้าประกาศวิสัยทัศน์การทำงาน อย่างชัดเจน พร้อมทั้งคณะกรรมการชุดใหม่ ที่พร้อมจะช่วยกันเสริมสร้างมาตรฐานสากล ที่รับรองโดยสมาพันธ์การขายตรงโลก ให้กับนักธุรกิจเครือข่ายได้เป็นที่ยอมรับของ ทุกภาคส่วน โดยแผนการทำงานและวิสัยทัศน์ที่สมาคมฯ วางไว้และร่วมผลักดันออกสู่ สาธารณชนมีด้วยกัน 4 แนวทางหลัก


สำหรับแนวทางแรก คือ การร่วมกันเสริมสร้างภาพลักษณ์ของสมาคมการ- ขายตรงไทย โดยมุ่งเน้นหลักธรรมาภิบาลและมาตรฐานสากลที่รับรองโดยสมาพันธ์- การขายตรงโลก โดยสมาชิกชองสมาคมฯ ทุกๆ บริษัทต้องลงนามเรื่องจรรยาบรรณ การขายตรงที่มีมาตรฐานเหนือกว่าที่กฎหมายกำหนดในทุกๆ ปี จึงเป็นเครื่องการันตี ให้กับนักธุรกิจอิสระและผู้บริโภคมั่นใจในธรรมาภิบาลของบริษัทสมาชิกได้


ในส่วนของแนวทางที่ 2 สมาคมฯ พร้อมรับสมาชิกใหม่ที่มีวิสัยทัศน์และธรรมา- ภิบาลที่สอดคล้อง ทั้งในธุรกิจเครือข่ายและอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง ซึ่งเป็นแนวทาง ด้านสมาชิกสัมพันธ์เพื่อขยายฐานสมาชิกและนำธุรกิจเครือข่ายไปสู่ตลาดการค้าอื่นๆ ให้เป็นที่รู้จักยิ่งขึ้น ในส่วนของแนวทางที่ 3 สนับสนุนและส่งเสริมให้สมาชิกและ ผู้ประกอบการและนักธุรกิจอิสระดำเนินธุรกิจอย่างมีศักยภาพและถูกต้องตาม หลักจรรยาบรรณ และแนวทางสุดท้าย คือ การเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ความรู้ ให้กับทุกภาคส่วน เพื่อส่งเสริมธุรกิจเครือข่ายอย่างมืออาชีพ


สมาคมการขายตรงไทยมีความเชี่ยวชาญด้านธุรกิจเครือข่ายทั้งในและ ต่างประเทศ และมีสมาชิกที่ประสบความสำเร็จจนมีชื่อเสียงจำนวนมาก ประกอบกับ สมาคมมีองค์ความรู้ในด้านต่างๆ จึงพร้อมที่จะเป็นศูนย์กลางในการเผยแพร่ความรู้ ให้แก่ผู้ที่สนใจ


อนึ่ง คณะกรรมการสมาคมการขายตรงชุดใหม่ ประกอบด้วยกัน 9 คน ได้แก่
1.สุชาดา ธีรวชิรกุล อาวียองซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ดำรงตำแหน่ง อุปนายกฝ่ายการศึกษา มีหน้าที่ส่งเสริมความรู้และความเข้าใจใน การประกอบธุรกิจขายตรงอย่างมีจรรยาบรรณ
2.ภคพรรณ ลีวุฒินันท์ บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ดำรงตำแหน่ง อุปนายกฝ่ายรัฐสัมพันธ์ มีหน้าที่ในการสร้างความสัมพันธ์อันดี และความน่าเชื่อถือของสมาคมต่อหน่วยงานภาครัฐ
3.อิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ มีหน้าที่เสมือนฝ่ายสนับสนุนของสมาคมในการดูแลรับผิดชอบในเรื่องของ นโยบาย ข้อมูล และกิจกรรมต่างๆ ทั่วไป
4.ปราณี พุทธิพิพัฒน์ขจร บริษัท ยูนิไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ดำรง ตำแหน่งเหรัญญิก มีหน้าที่ในการบริหารจัดการด้านบัญชี การเงิน ที่จะต้องมีการจัดเก็บ ค่าบำรุงจากสมาชิก
5.น.ต.พญ.นลินี ไพบูลย์ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ดำรงตำแหน่ง กรรมการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ทำหน้าที่ประชาสัมพันธ์ เสริมสร้าง ภาพลักษณ์ของสมาคมให้เป็นที่ประจักษ์ต่อสาธารณชน
6.ร.ต.ต.ดร.สุรเชษฐ์ เชื้อศรี บริษัท ลาชูเล่ คอสเมติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ดำรงตำแหน่งกรรมการฝ่ายสมาชิก- สัมพันธ์ ทำหน้าที่พิจารณาคัดเลือกบริษัทขายตรงเข้าเป็นสมาชิก พร้อมทั้งจัดกิจกรรม สานสัมพันธ์ระหว่างบริษัทสมาชิกในสมาคมฯ
7.ศุภราภรณ์ เอสซี เปา บริษัท เอวอน คอสเมติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด ดำรงตำแหน่ง กรรมการฝ่ายต่างประเทศ ทำหน้าที่ในการให้ข้อมูลที่ถูกต้อง พร้อมทั้งสานสัมพันธ์อันดีแก่องค์กรต่างๆ ในระดับนานาชาติ
8.เต้ เพีย เซง บริษัท เพอร์เฟค รีซอร์สเซส (ประเทศไทย) จำกัด ดำรงตำแหน่ง กรรมการฝ่ายกิจกรรมพิเศษ
9.คริสโตเฟอร์ เฮยนสึ คิม บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด


ซึ่งตำแหน่งที่ 8 และ 9 ทำหน้าที่ส่งเสริมและรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างสมาชิก ของสมาคมฯ ให้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ด้วยการสังสรรค์กิจกรรมต่างๆ เพื่อให้สมาชิก ได้มีส่วนร่วมและแสดงออกถึงบทบาทที่เท่าเทียมกัน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 203 วันที่ 16-31 กรกฏาคม พ.ศ. 2555

ข่าว อาเจล (Agel Thailand) : จัดแถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และงาน ไอ แอม อาเจล (I Am Agel-IAA)


บริษัท อาเจล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด จัดแถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ และงาน ไอ แอม อาเจล (I Am Agel) ซึ่งในวันที่ 6 กรกฎาคม 2555 ได้ร่วมฟังวิสัยทัศน์จาก Joel Rockwood รองประธานบริหารฝ่ายวิจัยและพัฒนา (Vice President Research & Development) จากสหรัฐอเมริกา และผู้บริหาร อาเจล ประเทศไทย วสันต์ ลิขิตเสถียร รองประธานอาวุโส (Vice Senior President) อคิรณัฐ สุทธิพงษ์เกษตร รองประธาน (Vice President) ณ โรงแรม มิราเคิล แกรนด์ ช่วงเย็นก็เต็มอิ่มกับงาน Director Party ร่วมฉลองความสำเร็จกับผู้นำระดับสูง ณ ห้องเมจิก 3 และวันที่ 7 กรกฎาคม 2555 งาน I AM AGEL (IAA) ภายในงานได้รวมขุนพลบรรดาผู้นำธุรกิจจากทั่วประเทศ และ มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ OM-3 ซึ่งเป็นเจลเสริมอาหารบำรุงด้านสมอง ตลอดทั้งได้พบแขกปราศรัยผู้ที่ประสบความสำเร็จ จากประเทศเม็กซิโกที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์ งานนี้เรียกได้ว่าได้ทั้งความรู้ ข้อคิดดีๆ แถมยังได้รอยยิ้มความประทับใจกลับไป กันทุกคน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 203 วันที่ 16-31 กรกฏาคม พ.ศ. 2555

ข่าว โมนาวี (Monavie) : ตั้งไทยศูนย์กลางอาเซียน สยายปีกส่งสกินแคร์ลุยเครือข่าย


โมนาวี ประกาศกร้าวเลือกไทยเป็นฐานขยายตลาดคลุมอาเซียน ล่าสุด ประเดิมสินค้ากลุ่มแรกลงตลาดสกินแคร์ หลังรอผล อย. มานาน เดินหน้าทำตลาด อย่างจริงจัง หวังก้าวเป็นที่ 1 ในตลาดอาเซียนแซงพี่ใหญ่มาเลเซียใน 2 ปี ระบุ อีก 10 ปี วางหมากยอดขายโมนาวีทั่วโลกพุ่ง 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

เดวิด เอ็น เฟลปส์ ประธานภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท โมนาวี โฮลดิ้งส์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า การที่บริษัทเลือกประเทศไทยเป็น ประเทศแรกในการเปิดตัวสินค้ากลุ่มสกินแคร์นั้น เนื่องจากบริษัทได้เล็งเห็นว่า ประเทศไทยเป็นประเทศที่มีศักยภาพของตลาดขายตรง ซึ่งก่อนหน้านี้มีสินค้าในกลุ่ม สกินแคร์จำหน่ายในประเทศต่างๆ มาแล้วหลายปี

สำหรับสินค้าในกลุ่มสกินแคร์มีทั้งสิ้น 5 รายการ โดยมีจุดเด่นจากวัตถุดิบที่เป็น ธรรมชาติจากป่าอะเมซอน ซึ่งสินค้ารายการนี้ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะ- กรรมการอาหารและยา หรือ อย. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว และในขณะเดียวกันผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารน้ำผลไม้ที่ได้ยื่นเรื่องขอ อย. ไปนานแลว้ นัน้ ขณะนียั้งไมได้รับอนุญาต โดย เดวิด ให้ความคิดเห็นว่าสินค้ากลุ่มเสริมอาหารมีขั้นตอนการตรวจสอบที่ยุ่งยากกว่ากลุ่มสกินแคร์ แต่อย่างไรก็ตาม บริษัทขอยืนยันว่าจะไม่ทำผิดศีลธรรมด้วยการ ยื่นใต้โต๊ะแน่นอน

ทั้งนี้ หลังจากที่เปิดตัวสินค้ากลุ่มสกินแคร์เป็นที่เรียบร้อยแล้ว บริษัทเตรียม แผนรุกตลาดเครือข่ายอย่างเต็มที่ ซึ่งขณะนี้มีคู่แข่งให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะคู่แข่งที่เคยเป็นพันธมิตรทางการค้ากันมาก่อน ซึ่งบริษัทมั่นใจว่า การรุกตลาดในประเทศไทยครั้งนี้ จะสามารถผลักดันยอดขายให้เติบโตได้ในสิ้นปี

ด้านอัตราการเติบโตของ โมนาวี หลังจากที่เปิดตัวอย่างเป็นทางการ เมื่อกลางปีที่แล้ว มีอัตราการเติบโตอยู่ในเกณฑ์ทีดี ถึงแม้จะไม่ค่อยมีข่าวความ เคลื่อนไหวเท่ากับที่อื่น แต่ปัจจุบัน โมนาวี ในประเทศไทยมีสมาชิกมากถึง 30,000 รหัส

อย่างไรก็ตาม แม้ โมนาวี ประเทศไทย จะมีอัตราการเติบโตเป็นที่น่าพอใจ แต่ก็ยังเปรียบเทียบกับ โมนาวี มาเลเซีย ไม่ได้ ที่สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 200 ล้านบาทต่อเดือนแต่บริษัทมีความมั่นใจว่าด้วยความพร้อมและศักยภาพ ของตลาด ประเทศไทยจะสามารถทำให้ โมนาวี ประเทศไทย มียอดขายแซงหน้ามาเลเซียได้ภายในสิ้นปีนี้ และมั่นใจว่าภายใน 2 ปี โมนาวี ประเทศไทยจะขึ้นมาเป็นอันดับ 2 ของ โมนาวี ทั่วโลก จากปัจจุบัน โมนาวี มี สาขาทั้งสิ้น 19 ประเทศ โดยประเทศที่สร้างยอดขายให้กับบริษัทได้ 3 อันดับแรก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น และมาเลเซีย

อย่างไรก็ดี ที่ผ่านมาบริษัทได้ขยายตลาด เครือข่ายในแถบอาเซียนแล้ว 3 ประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย สิงคโปร์ และไทย ซึ่งบริษัทวางแผนที่จะ ให้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของ โมนาวี ในการ ขยายตลาดไปยังภูมิภาคอาเซียน เนื่องจาก ผู้บริหารได้มองเห็นว่าประเทศไทยเป็นประเทศ ที่มีศักยภาพค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับประเทศ ต่างๆ ในภูมิภาคเดียวกัน

เดวิด กล่าวต่อไปว่า จากนี้ไปโมนาวีจะเข้าไป ทำการตลาดในธุรกิจเครือข่ายอย่างจริงจัง และพร้อม ที่จะทุ่มงบลงทุนในด้านต่างๆ เช่น งบการจัดฝึกอบรม การจัดงานแถลงข่าวความคืบหน้าต่างๆ และงบการ ค้นหาสินค้าใหม่ๆ ซึ่งในส่วนนี้บริษัทได้วางเป้าหมาย ที่จะสร้างความหลากหลายของสินค้า ทั้งนี้เพื่อเป็น การสร้างทางเลือกใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค โดยบริษัทตั้ง เป้าหมายว่าภายใน 10 ปี โมนาวีทั่วโลกจะต้องมียอดขาย 20,000 ล้านเหรียญสหรัฐ จากปัจจุบันมีรายได้ที่ 750 ล้าน เหรียญสหรัฐ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 203 วันที่ 16-31 กรกฏาคม พ.ศ. 2555

ข่าว เอเชีย สุพรีม (Asia Supreme) : อย. ไฟเขียวโคลอสตรุม 5 รายการ เอเชีย สุพรีม จัดเต็มรุกตลาดภูธร


เอเชีย สุพรีม เปิดศึกลุยตลาดไตรมาส 3 หลังโคลอสตรุมผ่าน อย. แล้ว ทั้ง 5 รายการ เดินเครื่องลงสนามครอบคลุมทุกภาค หวังดัน ยอดโคลอสตรุมสิ้นปี 120 ล้านบาท รอท่า เปิดสาขานอกกรุงเพิ่ม 2 แห่ง ด้านแผนพัฒนา ระบบออนไลน์ เพิ่มความสะดวกให้กับสมาชิก สิ้นเดือนระบบสมบูรณ์ 100% พร้อมส่งสินค้า ปิดท้ายปีนี้กับสินค้าใหม่อีก 3 รายการ


สุธีร์ รัตนนาคินทร์ ประธานกรรมการ บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด เปิดเผยว่า หลัง บริษัทจัดงานฉลองครบรอบ 1 ปี ส่งผลให้ภาพ รวมบริษัทนั้นอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ และเพื่อ เป็นการสร้างความมั่นคงและความแข็งแกร่ง ของทีมงาน บริษัทได้จัดอบรมให้กับสมาชิก ทั่วประเทศ เน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจใน ผลิตภัณฑ์และการสร้างความมุ่งมั่นในการทำ ธุรกิจให้สำเร็จ


ในส่วนของสมาชิกปัจจุบันมีจำนวน ทั้งสิ้น 3,000 รหัส และคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ จะมีสมาชิกไม่น้อยกว่า 10,000 รหัส และมีฐาน สมาชิกอยู่ทั่วประเทศ โดยในภาคเหนือมีฐาน สมาชิกที่จังหวัดเชียงใหม่ ที่ดูแลทีมงานภาค- เหนือตอนบนทั้งหมด ส่วนภาคใต้มีฐานตลาด ใหญ่ ที่จังหวัดปัตตานี, นครศรีธรรมราช, สุราษฎร์ธานี, หาดใหญ่ และในขณะนี้บริษัท กำลังขยายฐานไปสู่จังหวัดชุมพร


ขณะที่พื้นที่ในภาคกลางตอนบน โดย เริ่มจากจังหวัดสระบุรีขึ้นไป และในกรุงเทพฯ ขณะนี้มีทีมงานที่นับว่ามีความแข็งแกร่งอยู่ หลายทีม และเป็นทีมที่มีผลงานโดดเด่นมาจาก ที่อื่น แต่มีความตั้งใจที่จะมาร่วมงานกับเอเชีย สุพรีม เป็นอย่างดี พร้อมกันนี้ในกรุงเทพฯ บริษัทได้เปิดสาขาเพิ่มอีก 1 สาขา ที่ อิมพีเรียล ลาดพร้าว ส่วนในจังหวัดสระบุรี และหาดใหญ่ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการจัดหาสถานที่


ทั้งนี้ บริษัทมีความมุ่งมั่นที่จะนำบริษัท เข้าสู่ธุรกิจในระดับภูมิภาคอาเซียน โดยในปีหน้า บริษัทมีแผนที่จะเข้าไปร่วมธุรกิจกับบริษัท ท้องถิ่นให้เป็นรูปเป็นร่างมากยิ่งขึ้น อย่างไรก็ดี หลังจากที่บริษัทได้เซ็นสัญญาลงนามการจัด จำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโคลอสตรุม ผ่านช่องทาง MLM กับ บริษัท กู๊ดเฮลธ์ โปรดักส์ จำกัด ตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ขณะนี้ ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้ผ่านการตรวจสอบและ ได้รับเครื่องหมาย อย. เป็นที่เรียบร้อยแล้ว 5 รายการ


สำหรับผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโคลอสตรุม ไม่ได้เป็นสินค้าใหม่ในประเทศไทย หากแต่ก่อน หน้านี้เคยมีผู้ประกอบการนำผลิตภัณฑ์เข้ามา จำหน่าย แต่มีเหตุต้องทำให้หยุดไปและที่ผ่าน มาบริษัทเจ้าของลิขสิทธิ์ได้ยกเลิกสัญญากับทาง ผู้นำเข้าเดิมไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และให้ เอเชีย สุพรีม เป็นผู้จัดจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวใน ประเทศไทยและประเทศแถบอินโดจีน โดย บริษัทตั้งเป้าการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ โคลอสตรุมไว้ที่ 25% หรือคิดเป็นยอดขาย 120 ล้านบาท ในปีนี้ โดยในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ทดลองทำ ตลาดผลิตภัณฑ์โคลอสตรุม ให้กับนักเรียนใน โรงเรียนตา่ งๆ ที่เขา้ รว่ มโปรแกรมไดรั้บประทาน และหลังจากนั้นบริษัทจะมีการวัดผลก่อนและ หลังการรับประทานโคลอสตรุมทุกๆ 3 เดือน


เอกดนัย สุฉันทบุตร รองกรรมการ- ผู้จัดการ บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด กล่าว เพิ่มเติมว่า ในส่วนของแผนการตลาด บริษัทได้ วางระบบการทำงานแบบออนไลน์ที่ดำเนินการ แล้วเสร็จไปแล้วประมาณ 90% ซึ่งสมาชิก สามารถทำงานได้ทุกๆ ที่ที่มีอินเทอร์เน็ต และ สามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านระบบออนไลน์ได้อย่าง สะดวก ขณะที่การขนส่งสินค้าให้กับสมาชิก ในพื้นที่ต่างจังหวัด สามารถรับสินค้าได้ภายใน 2 วัน และสามารถระบุได้ว่าสะดวกที่จะเข้าไป รับสินค้าได้ที่สาขาไหนจุดใด คาดว่าไม่เกิน สิ้นเดือนกรกฎาคมนี้ ระบบออนไลน์จะแล้วเสร็จ และใช้งานได้ครบ 100% ทั้งนี้ เพื่อเป็นการ รองรับการเติบโตของบริษัทในอนาคต


อย่างไรก็ตาม เพื่อเป็นการเพิ่มความ สะดวกสบายให้กับสมาชิกในการขยายตลาด ไปยังต่างประเทศ บริษัทได้ออกบัตรเงินสด ของธนาคารไทยพาณิชย์ ซึ่งบัตรดังกล่าว จะเป็นทั้งบัตรเอทีเอ็มและบัตรวีซ่าในบัตร เดียวกัน ขณะที่แผนการเปิดตัวสินค้าใหม่ อีก 3 เดือนจากนี้ไป บริษัทจะเปิดเพิ่มอีก 3 รายการ ในกลุ่มสินค้าควบคุมนํ้าหนักของ กู๊ดเฮลธ์ สินค้าที ทรี ออยล์ โฟมอาบนํ้า สินค้า นำเข้าจากประเทศออสเตรเลีย กาแฟเพื่อ สุขภาพ และนํ้าเอนไซม์จากประเทศเกาหลี และปลายปีจะนำเข้าสินค้าที่ใช้ในครัวเรือน จากโรงงานทีโอพีพีเข้ามาทำตลาด


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 203 วันที่ 16-31 กรกฏาคม พ.ศ. 2555

ข่าว สคบ. ยกระดับธุรกิจขายตรง ผุดตราสัญลักษณ์อุ้มผู้บริโภค


สคบ. จับมือ ทิพยประกันภัย นำร่องมอบตราสัญลักษณ์คุ้มครอง ผู้บริโภค 4 ธุรกิจ ประเดิมธุรกิจ MLM หวังยกระดับธุรกิจสร้างความเชื่อมั่น แก่ผู้บริโภค เตรียมพร้อมสู่เวทีการแข่งขันในระดับอาเซียน ล่าสุดร่างแก้ไข ข้อกฎหมายการต่อใบอนุญาต บริษัทจดทะเบียนดำเนินธุรกิจต้องต่ออายุปีต่อปี

นพปฎล เมฆเมฆา รองเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครอง ผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า สคบ. ได้ร่วมมือกับทิพยประกันภัยในการมอบตรา สัญลักษณ์คุ้มครองผู้บริโภคให้กับธุรกิจนำร่อง 4 ธุรกิจ ประกอบด้วยธุรกิจบริการ อู่ซ่อมรถยนต์ ธุรกิจรถยนต์ใช้แล้ว ธุรกิจทองรูปพรรณ และธุรกิจขายตรง โดยจะ เริ่มใช้กับธุรกิจ MLM เป็นธุรกิจแรก เนื่องจากต้องการที่จะสร้างความมั่นใจให้กับ ผู้บริโภคในการซื้อสินค้าของ MLM โดยนำระบบประกันภัยมาสนับสนุนการเยียวยา ให้แก่ผู้บริโภค ในกรณีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือได้รับความเสียจากสินค้า และบริการ โดยไม่ต้องเสียเวลาในกระบวนการพิจารณารวม เนื่องจากที่ผ่านมา เมื่อเกิดความเสียหายขึ้น สคบ. และผู้บริโภคจะต้องเป็นคนร้องเรียนเอง แต่ต่อไป บริษัทประกันภัยจะเป็นผู้รับผิดชอบความเสี่ยงและความเสียหายที่เกิดขึ้น

ทั้งนี้ ในการมอบตราสัญลักษณ์ดังกล่าวบริษัทที่จะยื่นเรื่องขอรับตรา- สัญลักษณ์จะต้องเป็นบริษัทที่อยู่ในหลักเกณฑ์และคุณสมบัติที่ สคบ. กำหนดไว้ โดย สคบ. และ ทิพยประกันภัย ได้จัดคณะกรรมการตรวจสอบคุณสมบัติผู้ขอยื่น หากผ่านเป็นที่เรียบร้อยผู้ขอรับตราสัญลักษณ์จะได้รับมอบตราสัญลักษณ์ภายใน 15 วัน ซึ่ง สคบ. มีความมั่นใจว่าภายในปลายเดือนนี้จะมีบริษัท MLM ให้ความ สนใจและขอยื่นรับตราสัญลักษณ์ดังกล่าวแน่นอน โดยตราสัญลักษณ์นี้ยังอยู่ในแนวนโยบายว่าจะติดที่ตัวสินค้า หรือสถานที่ประกอบธุรกิจ หรือติดทั้ง 2 แห่ง ซึ่งต้องรอข้อสรุปอีกครั้ง และจะต้องมีการต่ออายุตราสัญลักษณ์ทุก 2 ปี

อย่างไรก็ตาม แม้ตราสัญลักษณ์นี้ จะเป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงการ คุ้มครองผู้บริโภคได้เป็นอย่างดีและแสดงถึงความรับผิดชอบของบริษัท MLM แต่ การขอตราสัญลักษณ์ดังกล่าวจะเป็นภาคสมัครใจ ไม่ได้เป็นภาคบังคับ โดยจะมี เงื่อนไขหลัก 23 ข้อ ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นข้อกำหนดที่ระบุไว้ในการยื่นขอใบอนุญาต ดาํ เนินธุรกจิ อยแู่ ลว้ ยกเวน้ ประเดน็ ใหมใ่ นเรือ่ งของการประกนั ความเสียหายทีเ่ กิด จากการใช้สินค้า และมีกระบวนการแก้ไขปัญหาร้องเรียนให้แก่ผู้บริโภค ส่วน เหตุผลที่ สคบ. เลือกที่จะร่วมมือกับทิพยประกันภัยนั้น เนื่องจากว่าเป็นบริษัท ประกันที่รัฐถือหุ้นอยู่ และหากในอนาคตมีบริษัทประกันภัยอื่นๆ ต้องการที่จะเข้า มาร่วมในโครงการนี้ สคบ. ก็เปิดกว้างในการให้บริษัทประกันภัยอื่นๆ เข้าร่วมด้วย

พร้อมกันนี้ สคบ. คาดหวังว่าการมอบตราสัญลักษณ์นี้ให้แก่ผู้ประกอบ การนั้น จะเป็นอีกแนวทางหนึ่งที่จะผลักดันให้ธุรกิจ MLM ของไทยเข้าไปสู่การ แข่งขันระดับอาเซียน ซึ่ง สคบ. ได้วางแผนไว้ในอนาคตจะเข้าไปทำการเจรจาแลก เปลี่ยนข้อมูลและกฎหมายคุ้มครองที่ทำในนามของรัฐต่อรัฐ จากปัจจุบันการเข้าไป ทำธุรกิจ MLM ในต่างประเทศนั้น เข้าไปในนามของบริษัทเอกชน อีกทั้งยังเป็นการ ป้องกันการถูกหลอกในการเข้าไปทำธุรกิจในต่างประเทศ แต่ทั้งนี้บริษัทที่จะเข้าไป ทำธุรกิจในต่างประเทศได้ต้องได้รับตราสัญลักษณ์คุ้มครองผู้บริโภคเสียก่อน

นพปฎล กล่าวต่อไปว่า นอกจากตราสัญลักษณ์นี้จะเป็นเครื่องหมาย ที่คุ้มครองผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่จะช่วยในการคัดกรองผู้ที่แอบ- แฝงเข้ามาในธุรกิจนี้และคาดว่าจะช่วยเปลี่ยนธุรกิจจากสีเทาให้เป็นสีขาว เมื่อ เข้าไปในตลาดรับอาเซียนด้วย

นอกจากนี้ สคบ. ยังได้เตรียมในเรื่องกฎหมายในการต่อใบอนุญาต การประกอบธุรกิจขายตรง ซึ่งต่อไปนี้จะกำหนดให้บริษัทที่เปิดใหม่ต้อง ต่อใบอนุญาตเป็นปีต่อปี หากครบกำหนดแล้ว บริษัทเหล่านั้นยังไม่ต่อก็จะ ทำการเพิกถอนสิทธิ์ และหากเมื่อ สคบ. ได้พิจารณาแล้วว่า บริษัทเริ่มที่จะมี ความมั่นคงอาจจะเพิ่มระยะเวลาในการต่ออายุ หรือถ้าเป็นบริษัทใหญ่และมี ความมั่นคงทางธุรกิจสูงอาจจะให้ทำครั้งเดียวตลอดชีพ ซึ่งตอนนี้อยู่ในขั้นตอน ของการปรับปรุงร่างกฎหมายเดิมที่เคยทำไว้แล้ว นพปฎล กล่าว


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 203 วันที่ 16-31 กรกฏาคม พ.ศ. 2555

ข่าวขายตรง (MLM) : คนขายตรงง้าง รมต.! ค้านแหลกตรา สคบ.


หลังฉาก สคบ. ยังวุ่นไม่เลิก เป็นประเด็นร้อน ที่ รมต.วรวัจน์ เสนอโครงการตรา- สัญลักษณ์ สคบ. ยังไม่มีข้อสรุป ผู้ประกอบการขายตรงไม่เห็นด้วย ชี้โครงการดีต่อ ผู้บริโภค แต่ผู้ประกอบการต้องแบกรับภาระต้นทุนสินค้าเพิ่ม อีกทั้งยังเป็นการทำงาน ที่ซํ้าซ้อนโดยใช่เหตุ ยันเรื่องนี้สมาคมการขายตรงไทยต้องหารือร่วมกันเพื่อหา ข้อสรุปที่ชัดเจน ยํ้าต้องหยั่งเสียงบริษัทขายตรงกว่า 800 บริษัทว่าเห็นด้วยหรือไม่

กลายเป็นประเด็นร้อนและยังไม่สามารถหาข้อสรุปที่ชัดเจนได้ สำหรับโครงการมอบตรา- สัญลักษณ์คุ้มครองผู้บริโภคที่นำร่อง 4 ธุรกิจ ที่รวมธุรกิจขายตรงด้วย ซึ่งนโยบายดังกล่าวเป็นนโยบาย ร้อนของ วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ที่มอบหมายงานให้สำนักงาน คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ดำเนินการ ภายใต้แนวคิดที่ต้องการสร้างความมั่นใจให้กับ ผู้บริโภคในการเลือกซื้อสินค้า ด้วยการนำระบบประกันภัยมาสนับสนุนกระบวนการเยียวยาให้แก่ผู้บริโภค ในกรณีที่ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือได้รับความเสียหายจากสินค้าและบริการเบื้องต้นจะมีการนำร่องตราสัญลักษณ์กับธุรกิจ 4 ประเภท ประกอบด้วย ธุรกิจบริการอู่ซ่อมรถยนต์ ธุรกิจรถยนต์ใช้แล้ว ธุรกิจทองรูปพรรณ และธุรกิจขายตรง ซึ่งเหตุผลที่ สคบ. เลือกธุรกิจขายตรง เนื่องจากธุรกิจขายตรงมีอัตราการเติบโต สูง และมีผู้มีส่วนได้ส่วนเสียที่หลากหลายในวงกว้างเกือบทุก สังคมและอาชีพ จึงจำเป็นต้องสร้างความเชื่อมั่น และยก ระดับภาพลักษณ์ของธุรกิจให้ดีขึ้น เพื่อรองรับการแข่งขัน โดยเฉพาะการยกระดับมาตรฐานการคุ้มครองผู้บริโภคใน การก้าวสู่ประชาคมอาเซียน หรือ AEC ในปี 2558

แม้ว่าภาพรวมของโครงการนี้จะเป็นเรื่องดี และเป็น โครงการสมัครใจ ไม่ได้บังคับให้ผู้ประกอบการต้องติดตรา สัญลักษณ์ แต่ทว่าความชัดเจนในประเด็นการขอรับตรา สัญลักษณ์คุ้มครองผู้บริโภค ยังไม่มีความชัดเจนในหลายด้าน โดยเฉพาะประเด็นประกันภัย ทั้งในเรื่องของความซํ้าซ้อน ของการประกันภัยความเสี่ยง โดยเฉพาะในกรณีบริษัท ต่างชาติ ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในประเทศไทย ส่วนใหญ่จะมี ระบบดังกล่าวจากต่างประเทศอยู่แล้ว ต้องทำประกันส่วนนี้ เพิ่มหรือไม่ รวมถึงเบี้ยประกันที่จะเรียกจัดเก็บว่าควรเป็น เท่าใด เนื่องจากเบื้องต้น บริษัท ทิพยประกันภัย จำกัด ที่ เป็นบริษัทนำร่องในการเข้าร่วมโครงการนี้ ยังไม่มีบทสรุปที่ ชัดเจนเกี่ยวกับเบี้ยประกันที่ต้องจ่าย แต่เบื้องต้นคาดว่า จะมีการจัดเก็บเบี้ยประกันภัยในอัตรา 0.1-0.5% ของราคา สินค้า

กับประเด็นดังกล่าว ได้มีการตั้งคำถามกันในวงกว้าง ว่า สุดท้ายแล้วโครงการนี้จะเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กับ ผู้ที่เกี่ยวข้องด้วยกันทุกฝ่ายหรือไม่ โดยเฉพาะผู้ประกอบการ ที่อาจจะต้องแบกรับภาระต้นทุนค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง เรื่องนี้ผู้ประกอบการได้ออกมาแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับ โครงการตราสัญลักษณ์โดยเริ่มจาก น.ต.พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยกับ เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ว่า โครงการที่ สคบ. จัดทำขึ้นนี้ ถือว่าเป็นโครงการที่ดีในการส่งเสริมยกย่องบริษัท ที่ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้อง แต่ในมุมกลับกันคงต้องมีการพูด คุยหารือถึงแนวทางที่ทุกฝ่ายยอมรับได้ โดยเฉพาะประเด็น เบี้ยประกัน ที่จะมีการจัดเก็บในอัตรา 0.1-0.5% ของราคา สินค้านั้น ถือว่าเป็นอัตราที่สูงมาก

ทั้งนี้ การจัดเก็บในอัตราดังกล่าว บริษัทจะต้องมี การจ่ายเบี้ยประกันสูงถึง 15-25 ล้านบาทต่อปี ซึ่งถือเป็น เม็ดเงินที่สูงมาก เนื่องจากตามปกติบริษัทมีระบบที่รองรับ ความเสียหายและรับผิดชอบลูกค้าอยู่แล้ว ซึ่งจากการหารือ กับผู้ประกอบการในสมาคมการขายตรงไทยในช่วงที่ผ่านมา พบว่า ในกรณีที่เกิดความเสียหายเกี่ยวกับตัวสินค้าหรือ บริการนั้น ค่าเสียหายที่เกิดขึ้นมีการชดเชยแค่ระดับหลัก หมื่นบาทเท่านั้น ซึ่งหากต้องจ่ายค่าเบี้ยประกันสูงขึ้น ถือว่า เป็นเงินที่สูงเกินไป แต่คงต้องมีการหารือถึงแนวทางที่ เหมาะสมอีกครั้ง

ด้าน อิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า ประเด็นตราสัญลักษณ์ สคบ. คงต้องรอความชัดเจนจากการ ประชุมร่วมกับสมาชิกสมาคมการขายตรงไทย หรือ TDSA เพื่อหาแนวทางกันอีกครั้ง ซึ่งเรื่องนี้ส่วนตัวมองว่าเป็น โครงการที่ดี แต่ในทางกลับกันโครงการมอบตราสัญลักษณ์ จะกระทบต่อต้นทุนสินค้า ดังนั้น คงต้องมานั่งคุยกันหลายๆ ฝ่าย เพื่อให้อยู่ในขอบข่ายและอยู่ในเกณฑ์ที่รับได้

ขณะที่ วิภารัตน์ รัตนพรหมมา ผู้จัดการฝ่ายขาย ประจำประเทศไทย บริษัท โมรินดา เวิร์ลไวด์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึง โครงการมอบตราสัญลักษณ์ สคบ. ว่า โครงการดังกล่าวเป็นโครงการที่ดี เนื่องจากจะทำให้ผู้บริโภค มีความมั่นใจในการซื้อสินค้า ซึ่งส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะ จะเป็นการเพิ่มภาระค่าใช้จ่ายให้กับผู้ประกอบการ เรื่องนี้ หน่วยงานภาครัฐควรกลับไปทบทวนเกี่ยวกับโครงการ ดังกล่าวว่า การมอบตราสัญลักษณ์นั้นจะเป็นการทำงาน ที่ซํ้าซ้อนกันหรือไม่

สินค้าทุกตัวต้องผ่าน อย. ก่อนนำออกมาขายอยู่ แล้ว แน่นอนว่าถ้าไม่ผ่านสินค้าก็ออกมาสู่ตลาดไม่ได้ อันนี้ เมื่อได้รับการอนุมัติจาก อย. แล้ว จะต้องไปผ่านตรา สัญลักษณ์จาก สคบ. อีก เรื่องนี้รัฐคงต้องไปคิดทบทวนดูก่อน ว่า การที่จะมาทำโครงการนี้ รัฐควรที่จะเอาเวลาไปตรวจ สอบผู้ประกอบการขายตรงที่ปัจจุบันมีมากกว่า 800 บริษัท ดีกว่าจะมาทำโครงการนี้ดีกว่าไหม วิภารัตน์ กล่าว

ส่วน ร.ต.ต.ดร.สุรเชษฐ์ เชื้อศรี ประธานกรรมการ- บริหาร บริษัท ลาชูเล่ คอสเมติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า การนำเสนอโครงการตราสัญลักษณ์ผู้บริโภค เป็นสิ่งที่ดี แต่ยังไม่เหมาะ เรื่องนี้ควรจะให้สถานการณ์บ้าน- เมืองมีความเสถียรกว่านี้ โดยเฉพาะปัญหานํ้าท่วมที่คาดว่า จะเกิดขึ้นอีกในปีนี้ รวมถึงการเตรียมรับตลาดประชาคม เศรษฐกิจอาเซียนที่ใกล้จะมาถึงในปี 2558 ซึ่งจะมีการแข่งขัน ที่สูงขึ้น เรื่องนี้มีหน่วยงานใดที่จะรับมือกับการฟอกเงิน หรือไม่ และมีกฎหมายฟอกเงินจากต่างชาติที่จะเข้ามา รองรับแล้วหรือไม่ ซึ่งประเด็นดังกล่าวถือเป็นประเด็น ที่เร่งด่วน เนื่องจากต่างชาติมีกฎหมายรองรับเป็นอย่างดี

โครงการนี้มันทำ ให้เกิดการระคายเคืองต่อ ผู้เสียภาษี และคิดว่ายังไม่เหมาะสม อยากให้รัฐยืดเวลา ออกไปก่อน ควรนำเรื่องนี้มาคุยกับผู้ประกอการเพื่อเรียก ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องมาหารือร่วมกัน ในการหาทางออก เพราะ เท่าที่คุยผู้ประกอบการส่วนใหญ่ไม่เห็นด้วย ดังนั้น เราอยาก ให้รัฐออกกฎหมายเข้มงวด เพื่อตรวจสอบผู้ประกอบการกว่า 800 บริษัทใหไ้ ดก้ อ่ น อีกอย่างบุคลากรที่ปฏิบัติงานสว่ นงาน ขายตรงก็มีน้อยด้วย เรื่องนี้อยากให้มีการแยกแยะ หากรัฐ คิดที่จะทำโครงการแบบนี้ก็ถือว่าฆ่าตัวตายชัดๆ ตรงนี้ก็อยาก ให้ประเทศชาติขับเคลื่อนไปได้ สมาคมการขายตรงไทย เปิดมามากกว่า 20 ปียังไม่เคยเจอ ฉะนั้น รัฐต้องทบทวน และอยากให้นำกลับไปคิดใหม่ทำใหม่ ที่สำคัญเรื่องนี้ อยากให้มีการทำประชาพิจารณ์ถามผู้ประกอบการ 828 บริษัทก่อนว่าเห็นด้วยหรือไม่อย่างไรกับโครงการนี้ ร.ต.ต.ดร.สุรเชษฐ์ กล่าว

อย่างไรก็ตาม เรื่องนี้ยังคงเป็นประเด็นให้ติดตาม กันต่อว่า สุดท้ายแล้วโครงการตราสัญลักษณ์ที่ วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ปิ๊ง ไอเดียออกมานั้น จะเป็นอย่างไรต่อไป และจะมีการเดิน- หน้าโครงการหรือไม่ หากมีเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการ ที่ไม่เห็นด้วยกับโครงการดังกล่าว และคงต้องเป็นประเด็น ที่ทุกฝ่ายต้องถกหารือร่วมกันต่อไป เพื่อให้ทุกฝ่ายได้รับ ความเสมอภาคเท่าเทียมกันที่สุด


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 203 วันที่ 16-31 กรกฏาคม พ.ศ. 2555

ข่าว คังเซน-เคนโก (Kangzen-Kenko) : เล็งขายไลเซนซ์มะกัน ดึงแผนเฟส 2 สร้างตึกแฝด


คังเซน-เคนโก ตบเท้าเข้าสู่ธุรกิจใหม่ แย้มเล็ง ขายไลเซนซ์ หลังนักลงทุนอเมริกันเจรจาเรื่อง สินค้า เดินหน้าประกบนักลงทุนไต้หวัน สร้าง โรงงานแห่งใหม่ มูลค่า 30 ล้านบาท พร้อม ประกาศแผน 2 สร้างตึก 2 คังเซนฯ ชี้รอ ใบอนุญาตสิ่งแวดล้อมอีก 4 เดือน ด้านตลาด ต่างประเทศ พาเหรดเปิดต่อเนื่อง หวังขยาย- ฐานสู่ตลาดอินโดจีนทุกประเทศ ขณะที่ยอดขาย 6 เดือนแรกของปียังทรงตัว คาดปิดยอดขายสิ้นปีได้ 2,000 ล้านบาท


อิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่าที่ผ่านมามีกลุ่มนักลงทุนจากรัฐเท็กซัส ประเทศสหรัฐอเมริกา สนใจ และมองเห็นโอกาสเกี่ยวกับสินค้าของคังเซนฯ หลังจากผู้นำคังเซนฯ จาก สปป.ลาว นำสินค้าไปจำหน่าย ที่อเมริกาและได้รับการตอบรับที่ดี บริษัทจึงมีแผนที่จะขาย ไลเซนซ์คังเซนฯ ให้กับนักลงทุนที่สนใจเกี่ยวกับสินค้า ซึ่ง ที่ผ่านมามีการพูดคุยกันแล้วในระดับหนึ่ง


นอกจากนี้บริษัทได้ร่วมลงทุนกับพันธมิตรไต้หวัน ในการสร้างโรงงานผลิตสินค้าในกลุ่มคอสเมติกส์ มูลค่า 30 ล้านบาท ที่ไต้หวัน คาดว่าจะเริ่มเดินเครื่องจักรและผลิต- สินค้าได้ในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ขณะเดียวกันบริษัทกำลัง เตรียมแผนเฟส 2 ในการก่อสร้างตึกคังเซนฯ 2 ด้วยมูลค่า การลงทุน 250-300 ล้านบาท เพื่อเป็นการต้อนรับ คังเซนฯ 2 ทศวรรษ อีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่งการก่อสร้างตึกคังเซนฯ นั้น ต้องรอใบอนุญาตเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมอีก 4 เดือน จึงจะ สามารถเริ่มต้นเฟส 2 ได้


ในส่วนของแผนงานต่างประเทศในปีนี้บริษัทเตรียม เปิดสาขาใหม่ที่เมืองย่างกุ้ง, มัณฑะเลย์ และเนปิดอร์ เนื่องจากในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พม่ามีอัตราการเติบโต 5-7% โดยมียอดขายแต่ละปีประมาณ 15 ล้านบาท และในปีนี้จะ เห็นได้ว่ายอดขายของประเทศดังกล่าวเพิ่มขึ้น 2-3 ล้านบาท ต่อเดือน ดังนั้น ภายในสิ้นปีบริษัทคาดว่าประเทศพม่าจะปิด ยอดขายได้ประมาณ 25 ล้านบาท ภายหลังจากที่ประเทศ ดังกล่าวมีการเปิดประเทศมากขึ้น ซึ่งส่งผลดีต่อนักลงทุน มากขึ้นเช่นเดียวกัน


สำหรับประเทศที่มียอดขายเป็นอับดับ 1 ได้แก่ อินโดนีเซีย ปิดยอดขายในปี 2554 ได้กว่า 900 ล้านบาท อันดับ 2 ได้แก่ สปป.ลาว ปิดยอดขายได้ 160 ล้านบาท อันดับ 3 ได้แก่ พม่า และอันดับ 4 ที่บริษัทเพิ่งเปิดดำเนินธุรกิจ ได้แก่ กัมพูชา ปิดยอดขายได้ 8-9 แสนบาท อย่างไรก็ดี บริษัท เตรียมเปิดสาขาใหม่ที่เวียดนาม ได้แก่ เมืองโฮจิมินห์ และ ฮานอย ในปีนี้ เพื่อก้าวเข้าสู่ตลาดอินโดจีนทุกๆ ประเทศด้วย แผนการลงทุนเอง 100% ขณะที่แผนการบุกตลาดต่าง- ประเทศต่อไป คือ ฮ่องกง และฟิลิปปินส์


อิทธิศักดิ์ กล่าวต่อว่า ภาพรวมบริษัทในช่วง 6 เดือน ที่ผ่านมายังอยู่ในภาวะทรงตัว เนื่องจากปลายปี 2554 ที่ผ่านมาบริษัทได้ปรับตัว และปรับเปลี่ยนโครงสร้างการ- บริหารงานภายใน จากรูปแบบครอบครัวเปลี่ยนเป็นการ สร้างองค์กรเครือข่ายเน็ตเวิร์คอย่างแท้จริง ด้วยการดึงระบบ Evolution Success System เข้ามาเสริมความแข็งแกร่ง ซึ่งจุดเด่นคือการมีนักธุรกิจที่จำหน่ายสินค้าเก่งมากถึง 70% บริษัทจึงเน้นวางแผนไปยังกลุ่มนักธุรกิจดังกล่าว ซึ่งมี เป้าหมายการสร้างเน็ตเวิร์คบิวเดอร์ให้ได้ 50% ในปีนี้


ช่วงนี้เป็นช่วงปรับเปลี่ยน หลังจากเจอปัญหา เรา เจอจุดอ่อนภายใน แล้วเราก็มาปรับหาจุดแข็งเพื่อให้องค์กร เติบโตต่อไป อย่างการปรับตัวครั้งนี้ไม่ได้กำหนดระยะเวลา ว่าเมื่อไหร่จะต้องทำให้เสร็จ และเมื่อทำเสร็จก็ต้องหาจุดอ่อน และต้องพัฒนา ต่อไปให้องค์กรภายในดีขึ้นเรื่อยๆ


อย่างไรก็ตาม จนถึงสิ้นปี บริษัทตั้งเป้ายอดขาย 1,900-2,000 ล้านบาท ซึ่งเหตุผลหลักที่บริษัทไม่ได้วาง เป้าสูงถึง 2,500-3,000 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทรู้ว่า ภายในบริษัทเป็นอย่างไร มีจุดอ่อนและจุดแข็งอย่างไร ซึ่งว่ากันไปตามความเป็นจริงมากกว่าที่จะตั้งเป้าหมาย ไว้สูงเกินจริง


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 203 วันที่ 16-31 กรกฏาคม พ.ศ. 2555

ข่าว อาเจล (Agel) : ครึ่งหลัง Agel ลุยตลาดเต็มพิกัด บริษัทแม่ปักธงไทยเป็นฮับเอเชีย


Agel เผยครึ่งปีแรกเติบโตในระดับน่าพอใจ ประกาศครึ่งหลังพร้อมลุยอย่างเต็มที่ เตรียมอัด โปรโมชั่นสมาชิก พร้อมเข้าสนับสนุนนักกีฬาไทยอย่าง เป็นทางการ เผยสมาชิกเก่ากลับสู่อ้อมอกอีกครั้ง มั่นใจไตรมาสแรกปี 2556 โรงงานผลิตสินค้าพี่ไทย เดินเครื่องได้ชัวร์

วสันต์ ลิขิตเสถียร รองประธานอาวุโส บริษัท อาเจล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผย ถึงอัตราการเติบโตของอาเจลในช่วงครึ่งแรกของ ปีว่า Agel ทั่วโลกมีอัตราการเติบโต 10% ซึ่งเป็น อัตราการเติบโตที่น่าพอใจ เมื่อเปรียบเทียบกับ ช่วงระยะเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะ ประเทศไทย ซึ่งในช่วงที่ผ่านมามีอัตราการ- เติบโต จนสามารถมีผู้ได้รับตำแหน่ง Director ใหม่ถึง 3 รหัส

นอกจากนี้บริษัทยังได้จัดกิจกรรมเพื่อเป็นการสร้าง การเติบโต ด้วยการจัดโครงการ Agel Olympic ซึ่งเป็น อีกหนึ่งโปรโมชั่นที่บริษัทแม่ที่อเมริกาได้จัดขึ้นเพื่อเป็น การแข่งขันของสมาชิก Agel ทั่วโลก โดยผู้ที่ได้รับคัดเลือก จะเป็นสมาชิกของ Agel ที่อยู่ในตำแหน่งในภูมิภาคใดก็ได้ ซึ่งผู้ที่ทำคะแนนได้สูงสุดจะได้รับสิทธิพิเศษ 5 วัน และ ขณะนี้อยู่ในขั้นตอนของการค้นหาบุคคลที่มีคุณสมบัติที่ เหมาะสม โดยประเทศที่เข้าแข่งขันจะมีสมาชิกที่เข้าแข่งขัน ในทีมเทา่ ๆ กนั และหากประเทศใดเปน็ ผชู้ นะโครงการ Agel Care ก็จะต้องมาอยู่ในประเทศนั้น

สำหรับโครงการ Agel Care ในประเทศไทย ล่าสุด ได้จัดมอบคอมพิวเตอร์มือสองที่ปรับปรุงใหม่ให้กับโรงเรียน วัดโคกเข็ม จังหวัดชัยนาท และยังมีสมาชิกบางส่วนได้ร่วม ทำกิจกรรมให้กับนักเรียน สำหรับโครงการดังกล่าวสามารถ บริจาคได้โดยการดื่มผลิตภัณฑ์ของ Agel และทุกๆ ฝาจุก ของอาเจลมีมูลค่า 1 เซ็น หรือประมาณ 30 สตางค์ จะถูก ส่งมอบให้กับโครงการดังกล่าว

พร้อมกันนี้ Agel ยังได้เปิดตัวสินค้าใหม่ 2 รายการ ได้แก่ OM-3 โอเมก้า 3 ที่สกัดจากปลาทะเลนํ้าลึกแถบ ประเทศนอร์เวย์ และ อาเจล คอฟฟี่ พลัส การแฟกระชับ สัดส่วนที่บริษัทนำสินค้ามารีเฟรชแบรนด์ใหม่ และเครื่องชง กาแฟอัตโนมัติ ที่สามารถนำไปให้บริการได้ที่ฟิตเนส โรงเรียน กวดวิชา และคอมมูนิตี้มอลล์ คาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมีเครื่อง ชงกาแฟอัตโนมัติวางให้บริการตามจุดต่างๆ ไม่น้อยกว่า 200 เครื่อง อีกทั้งบริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าเพิ่มใหม่อีก 2 รายการ

ในส่วนของโปรโมชั่นท่องเที่ยว บริษัทได้จัดอย่าง ต่อเนื่อง ล่าสุดได้พาสมาชิกกว่า 60 คน ท่องเที่ยวที่กรุง- ลอนดอน และในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้บริษัทเตรียมพา สมาชิกไปเที่ยวที่อเมริกา พร้อมกันนี้ยังได้วางแผนที่จะไป ท่องเทียวที่อิตาลี และฝรั่งเศส ตามลำดับ อีกทั้งยังได้จัด Manager Trip ซึ่งเป็นการท่องเที่ยวในภูมภาคเอเชีย นอกจากนี้บริษัทยังได้จัดพ็อกเกตมันนี่มูลค่า 2,000,000 บาทต่อคน ให้กับสมาชิกในระดับ Director ที่สามารถทำ คุณสมบัติได้ตามกำหนดในการท่องเที่ยวแต่ละครั้ง

แผนการจ่ายผลตอบแทน Agel ได้เพิ่มเวลาใน การจ่ายผลตอบแทนแบบ ไฮบริด พลัส ไปจนถึงสิ้นปีจากเดิม แผนการจ่ายผลตอบแทนดังกล่าวหมดระยะเวลาลงในสิ้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งการต่อระยะเวลาแผนการ แบ่งจ่ายนี้ บริษัทแม่ที่อเมริกาได้มีความเห็นชอบด้วยเป็น อย่างยิ่ง

ทั้งนี้ Agel ยังได้ร่วมมือกับธนาคารไทยพาณิชย์ และ บริษัท รถไฟฟ้ากรุงเทพ จำกัด (มหาชน) MRT ในการจัดทำ บัตร SCB Cash Card ซึ่งเป็นบัตรที่ใช้เป็นทั้งบัตรเอทีเอ็ม และบัตรรถไฟฟ้า พร้อมกับเป็นบัตรของสมาชิก Agel ในบัตร เดียวกัน โดยบัตรดังกล่าวในประเทศไทยมีเพียง 2 บริษัท ที่ได้รับอนุญาตให้ใช้ ได้แก่ บริษัท สิงห์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด และ บริษัท อาเจล อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด

ขณะที่โครงการ Sports Hero ล่าสุด Agel ได้เข้า ร่วมกับ การกีฬาแห่งประเทศไทย (กกท) ในการร่วมสนับสนุน ผลิตภัณฑ์สำหรับนักกีฬา โดยได้ลงนามอย่างเป็นทางการกับ กกท. ซึ่งการลงนามครั้งนี้มีสัญญาทั้งสิ้น 2 ปี โดยข้างกล่อง ของผลิตภัณฑ์ของ Agel จะระบุว่า Agel ผู้สนับสนุน โครงการ Sports Hero อย่างเป็นทางการ

วสันต์ กล่าวต่อไปว่า ในช่วงที่ผ่านมาที่มีกระแสข่าว การไหลออกของสมาชิก Agel ที่ออกเป็นจำนวนหนึ่งนั้น ตอนนี้บริษัทมีความยินดีที่สมาชิกเหล่านั้นได้กลับคืนมา อีกครั้ง แต่อย่างไรก็ตาม การรับกลับเข้ามาครั้งนี้ไม่ได้รับ ทุกคนที่ต้องการกลับเข้ามาแต่ต้องดูถึงสาเหตุที่ออกไป และ สาเหตุในการกลับเข้ามาเสียก่อน โดยล่าสุดบริษัทได้พูดคุย กับตระกูลเจนวิชชุวงศ์ ในการกลับเข้ามาร่วมงานกันอีกครั้ง และตอนนี้ตระกูลดังกล่าวได้กลับเข้ามาร่วมงาน โดยเริ่มใหม่ จากข้างซ้าย 0 คะแนน และข้างขวา 0 คะแนน ซึ่งในตอน ที่ไปอยู่ที่อื่นนั้นนับว่าอยู่ในตำแหน่งที่สูง นอกจากนี้การ กลับมาของตระกูลดังกล่าวยังเป็นการนำทัพของคนที่ออกไป และคนใหม่กลับเข้ามาสู่ Agel อีกครั้ง

ด้าน Joel Rockwood รองประธานบริหารฝ่ายวิจัย และพัฒนา บริษัท Agel Enterprises.LLC. เปิดเผยถึงการ เข้ามาเปิดโรงงานผลิตสินค้าในประเทศไทยจากที่เคย พิจารณาหลายๆ ประเทศในภูมิภาคเดียวกันว่า การที่ Agel ได้ตัดสินใจเข้ามาเปิดโรงงานในประเทศไทย เนื่องจากบริษัท ได้มองเห็นแล้วว่าประเทศไทยเป็นประเทศที่มีภูมิประเทศ ที่เหมาะสมในการเป็นฮับของ Agel ในภูมิภาคอาเซียน และ เอเชีย-แปซิฟิก

อย่างไรก็ตาม ในเบื้องต้นบริษัทได้วางแผนที่จะ ว่าจ้างโรงงานที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตสินค้า ซึ่ง บริษัทจะส่งผู้เชี่ยวชาญการผลิตจากต่างประเทศ เข้ามา ควบคุมการผลิต ซึ่งคาดว่าผลิตภัณฑ์แรกที่จะทำการผลิต ในประเทศไทยได้ คือ OMI หลังจากนั้นจะเป็นกลุ่มสินค้า ที่มีความต้องการของตลาดประมาณ 3-4 รายการ พร้อมกันนี้บริษัทมีความเชื่อมั่นว่าเมื่อโรงงานผลิตสินค้า ในประเทศไทยแล้วเสร็จ จะสามารถทำให้ผู้บริโภคใน ประเทศไทยและภูมิภาคอาเซียนมีสินค้าที่มีราคา ที่เหมาะสม โดยคาดว่าโรงงานจะสามารถเริ่มดำเนินการ ผลิตได้ในไตรมาสแรกของปี 2556


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 203 วันที่ 16-31 กรกฏาคม พ.ศ. 2555

ข่าว มิลค์กี้เวย์ เน็ตเวิร์ค (Milkyway Network) : ผนึก 4 ผู้นำลุย มิลค์กี้ เวย์


ฮือฮา สันติศักดิ์ ประกาศอำลา เอปูเซ่ โผล่ซบขายตรงน้องใหม่ มิลค์กี้ เวย์ ตีตรามนุษย์เงินล้านคนที่ 4 ที่โดดร่วมวง มิลค์กี้ เวย์ จาก ก่อนหน้า ทั้ง บิ๊กแจ๊ก ธนนท์ และ ณิชานันทน์ 3 ผู้นำหลักจับมือลงสนาม ก่อนหน้า เจ้าตัวเผยสาเหตุที่ออกเป็นการตัดสินใจส่วนตัวและต้องการหาความท้าทายใหม่ ลั่น! มั่นใจบริษัทใหม่ ถูกที่ ถูกจังหวะ ธุรกิจเอื้อสร้างเงินด่วน อีกทั้งชื่นชอบตัว สินค้าราคาไม่เอาเปรียบผู้บริโภค แถมคุณภาพไม่แพ้ใคร ขณะที่ข่าววงในระบุมีมนุษย์เงินล้านอีกกว่า 3 ราย เตรียม เปิดตัวลุย มิลค์กื้ เวย์ เร็วๆ นี้

มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค ภายใต้การบริหารของ สุมิตร วชโรดมทรัพย์ นักธุรกิจส่งออกหนุ่มไฟแรง โดย บริษัทขายตรงน้องใหม่แห่งนี้กำลังได้ความนิยมอย่างต่อเนื่อง ในปัจจุบัน

มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค ขายตรงน้องใหม่ที่เพิ่งเปิด ดำเนินธุรกิจอย่างเป็นทางการเมื่อปลายเดือนพฤษภาคม 2555 ที่ผ่านมา โดยมี 3 ผู้นำหลักตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจตั้งแต่ บริษัทเพิ่งเริ่มตั้งไข่ อาทิ บิ๊กแจ๊ก-ณฐกร คงอัครฐากูล, ณิชานันทน์ ศรีหาจันทร์ และ ธนนท์-ไตรสิทธิ์ พิริยเมธนนท์ โดยทั้ง 3 ราย ถือเป็นผู้นำแถวหน้าที่ประสบความสำเร็จใน ธุรกิจขายตรงแทบทั้งสิ้น

ทั้งนี้ มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค นับจากวันที่เริ่มรันรหัส อย่างเป็นทางการเมื่อช่วงปลายเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา จนถึงวันนี้สามารถสร้างยอดขายได้อย่างรวดเร็วมากกว่า 10 ล้านบาทต่อเดือน และมีฐานสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เดือนเศษมียอดรหัสเข้ามาเกือบ 4,000 รหัส อีกทั้ง ยังก้าว สู่บริษัทขายตรงน้องใหม่ที่ติดชาร์ตขายตรงมาแรงอันดับต้นๆ ของเมืองไทยในปัจจุบัน

และจากการเติบโตอย่างรวดเร็วดังกล่าว ส่งผลให้ ทางคณะบริหารของบริษัทมีแนวคิดที่จะย้ายสำนักงานใหญ่ จากย่านพระราม 2 มาตั้งฐานอยู่บน ชั้น 4 ห้างอิมพีเรียล ลาดพร้าว ซึ่งปัจจุบันได้ขยายฐานบัญชาการเพิ่มเติมบนห้างฯ แห่งนี้เพื่อรองรับการเติบโต และเพิ่มความสะดวกในการใช้ บริการของสมาชิก

ในขณะเดียวกันเมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค ยังได้ผู้นำเงินล้านเข้ามาเสริมทัพอีกราย ภายใต้ชื่อผู้นำเงินล้านที่ชื่อ สันติศักดิ์ ครุฑธามาศ ซึ่งอดีต เป็นผู้นำหมายเลขหนึ่งของ เอปูเซ่ (ประเทศไทย) โดย การขยับเข้ามาของ สันติศักดิ์ สร้างความฮือฮาให้กับคนใน วงการขายตรงไม่น้อย

การเข้ามาของ สันติศักดิ์ สร้างความแปลกใจให้ คนในวงการไม่น้อย เพราะ สันติศักดิ์ ก่อนที่จะตัดสินใจย้ายออกจากบริษัทเก่ายังคงมียอดรายได้ที่สูงในบริษัทแห่งนี้ พอสมควร

สันติศักดิ์ ครุฑธามาศ เปิดใจกับ เดอะ พาว- เวอร์ เน็ตเวิร์ค หลังการตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจ มิลค์กี้ เวย์ ว่า ตัวเองไม่ได้มีปัญหาอะไรกับบริษัทเก่า เพราะการ ตัดสินใจในครั้งนี้เป็นการตัดสินใจส่วนตัวเพื่อสานต่อ ความฝันที่ได้วางไว้ และต้องการหาประสบการใหม่ๆ ให้กับ ชีวิต โดยได้ตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจกับ มิลค์กี้ เวย์ เมื่อ ต้นเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากมองว่า บริษัทแห่งนี้มีโอกาส ที่ซ่อนอยู่มากมาย โดยเฉพาะสินค้าที่จำหน่ายในราคา ที่ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค ขณะที่แผนรายได้มีจุดเด่นในแผน มากมายให้ค้นหา ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ไม่อยากพูดอะไรไป มากกว่านี้

การทำงานของผมจะไม่ย้อนกลับอดีต โดยเฉพาะ ที่เก่าที่สร้างโอกาส สร้างชีวิตที่ดีให้กับผมมากมาย แต่การ ตัดสินใจครั้งนี้ ขอยํ้าอีกครั้งว่า เป็นการตัดสินใจส่วนตัว เพราะอยากเปิดรับความท้าทายใหม่ๆ โดยมีเป้าหมายทุบ สถิติการสร้างรายได้ให้กับตัวเองภายใน 2-3 ปีนับจากนี้ เหนือกว่าประสบการณ์ที่เคยทำขายตรงมา นอกจากนั้นยังมี เป้าหมายหลักในการสร้างทีมงานใหม่ให้เกิดรายได้อย่าง รวดเร็ว ซึ่งตัวเองพร้อมที่จะให้บริการสมาชิกอย่างเต็มที่ นับจากนี้เป็นต้นไป สันติศักดิ์ กล่าวทิ้งท้าย

อย่างไรก็ตาม กับบริษัทขายตรงน้องใหม่แห่งนี้ ยังมีกระแสข่าวออกมาว่า ขณะนี้ยังมีผู้นำเงินล้าน อีกประมาณ 3 ราย ที่ได้ตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจกับ มิลค์กี้ เวย์ เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ซึ่งคาดว่า จะเริ่มทยอย เปิดตัวอย่างเป็นทางการในช่วงเดือนสิงหาคมที่จะถึงนี้ ซึ่งหากเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง บริษัทขายตรงน้องใหม่แห่งนี้ จะมีผู้นำเงินล้านเข้ามารวมตัวกันในเดือนหน้าไม่ตํ่ากว่า 7 ราย และจะสามารถเพิ่มกระแสความร้อนแรงทาง ด้านการแข่งขันให้กับวงการขายตรงเมืองไทยได้ไม่มาก ก็น้อย


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 203 วันที่ 16-31 กรกฏาคม พ.ศ. 2555

วันพุธที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข่าวกิฟฟารีน (Giffarine Thailand) : Top 25 Women CEO "พญ.นลินี ไพบูลย์"


หนึ่งในผู้ถูกจัดอยู่ในทำเนียบผู้หญิงเก่งแน่นอนต้องมีชื่อของ พญ.นลินี ไพบูลย์ หรือ หมอต้อย ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ที่ผันชีวิตตัวเองหันมาเป็น นักธุรกิจขายตรง สร้างอาณาจักร กิฟฟารีน จากยอดขายปีแรกเพียง 384 ล้านบาท ไต่เพดาสสู่ยอดขายกว่า 5,000 ล้านบาท ภายในเวลา 16 ปี จนกลายเป็นหลุ่มบริษัทขายตรงชั้นนำของโลกที่มีผลประกอบการสูงติดหนึ่งในร้อยบริษัท ตามการจัดอันดับของนิตยสาร Direct Selling News ในสหรัฐ


พญ.นลินี เล่าย้อนไปถึงจุดเริ่มต้นของการตัดสินใจดำเนินธุรกิจกิฟฟารีน เมื่อปี 2539 ว่า เป็นเพราะเคยมีประสบการณ์ในธุรกิจขายตรงมาก่อนทว่าก่อนที่จะเริ่มต้นธุรกิจ เธอต้องแก้โจทย์ 3 ข้อให้ได้ก่อน
ข้อแรกคือ ต้องทำให้คนไทยเชื่อมั่นในแบรนด์กิฟฟารีน
ข้อที่สอง คุณภายสินค้าต้องมาก่อน
ข้อสุดท้าย ภายที่คนมองธุรกิจขายตรง ยังมีความไม่เข้าใจอยู่มาก ส่วนใหญ่มองว่าเป็นงานที่ไปกดดันคนอื่น ไปบังคับหรือเปล่าจึงต้องออกแบบวิธีการทำงานให้สะดวกใจคนไทยมากที่สุด


กฏเหล็กเจ้าแม่กิฟฟารีน


- คิดต่าง เข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง


- เชื่อมั่นในตนเอง ทว่าพร้อมเปิดใจเรียนรู้


- ทุ่มเท สนุกสนาน ยึดหยุ่น ไม่ยึดติด


- เป็นนักวางแผนที่ดี


นิสัยคนไทยไม่ชอบงานขาย แต่มีความต้องการที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจมากกว่า ดังนั้นการปรับเปลี่ยนนิสัยคนไทยจึงไม่ใช่เรื่องง่าย การเชิญให้มาเป็นเจ้าของร่วมกันซึ่งน่าจะทำได้ง่ายกว่าเพียงแต่ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเชื่อมั่นและจริงใจต่อกัน


โดยเธอจะบอกนักธุรกิจอยู่เสมอว่า ธุรกิจนี้ ไม่ได้ขายของ แต่เป็น การสร้างเครือข่ายผู้ใช้ เพราะฉะนั้นการออกแบบธุรกิจของกิฟฟารีนจะเป็นโครงสร้างที่ทำให้นักขายรู้สึกถึงความเป็นเจ้าของบริษัทลูก


คุณหมอ นลินี บอกว่า ภารกิจปั้นแบรนด์กิฟฟารีนสำเร็จเกินความคาดหมาย เพียงปีแรกยอดขายพุ่ง 384 ล้านบาท ก่อนก้าวกระโดด เป็น 1,500 ล้านบาทในปีที่ 2 เติบโตถึง 4-5 เท่าตัว จนสินค้าขาดตลาด ทำให้เกิดวิกฤติการขายอย่างหนัก จนปีที่สาม สี่ ธุรกิจจึงตั้งหลักได้


จนทุกวันนี้ กลายเป็นโมเดลธุรกิจต้นแบบให้แบรนด์อื่นๆ เดินตามรอย


อย่างไรก็ตามธุรกิจใช่ว่าจะไร้อุปสรรค!!


จะว่าไปแล้วไม่ใช่เราไม่มีอุปสรรค เรามีมาตลอด เหนื่อยมากเพราะตอนนั้นเป็นสินค้าใหม่ แบรนด์ก็ยังไม่เป็นที่รู้จัก และยังเป็นของคนไทยด้วย ความเชื่อมั่นไม่ค่อยมีก็ต้องสร้างกำลังใจให้กับนักขายค่อข้างมาก ปีแรกเรามีปัญหาเรื่องการโตเร็ว แย่มากๆ ตรงที่เราเตรียมสินค้าไม่ทัน แต่ในที่สุดปัญหาก็ลุล่วงไปได้ คุณหมด นลินีกล่าว


สำหรับเธอแล้ว หลักการบริหารที่ทำให้ กิฟฟารีน มีวันนี้เกิดจากการวางโมเดลธุรกิจที่มีรูปแบบ แตกต่าง-โดนใจ ตกผลึกมาจากประสบการณ์ และวิธีคิดแบบผู้ที่อยู่ในอาชีพหมอโดยเฉพาะการตีโจทย์ความต้องการผู้บริโภอย่างลึกซึ่ง การวางโปรดักซ์ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมาย และมีระบบผลตอบแทนตัวแทนขาย เช่น เดียวกับผู้ถือหุ้นบริษัท ซึ่งค่อนข้างแตกต่างจากแบรนด์อื่นๆ


ธุรกิจขายตรง ยังมีความแตกต่างไปจากธุรกิจอื่นๆ มีอะหรมากกว่า รายได้-กำไร เพราะเป็นงานที่ทำแล้วได้ความสุขที่เกิดจากการหยิบยื่นให้กับลูกค้าผ่านการใช้ผลิตภัณฑ์


เราได้หยิบยื่นสิ่งดีๆ ให้กับใครๆ ฟังล้วเหมือนนิยาย แต่มันเป็นอย่างนั้นจริงๆ มันเป็นงานที่ได้หลายๆ อย่างพร้อมกัน ตอนที่เปิดกิฟฟารีนในใจมีความรู้สึกอยากจะสอน อยากจะถ่ายทอดความรู้ ประสบการณ์ที่มีให้คนไทยที่อยากจะเป็นเจ้าของกิจการ ให้เขามีโอกาสเป็นเจ้าของในสิ่งที่เข้าสร้าง พญ.นลินี กล่าว


ดังนั้น ความสำเร็จที่แท้จริงของหมอต้อยจึงไม่ได้วัดที่ตัวเลขเพียงอย่งเดียว แต่วันจากคนหลายแสนครอบครัวที่อยู่กับกิฟฟารีนแล้วมความสุข เหมือนรางวัลชีวิตที่มาหาเราทุกวินาที


เธอบอกว่า ที่ผ่านมาไม่เคยเหนื่อย หรือท้อกับการบริหารคนจำนวนมาก โดยมองว่าการที่ได้รู้จักคนมากๆ เหมือนการอ่านหนังสือที่แตกต่างกันลักษณะการทำงานของเธอยังต่างจากซีอีโออื่นๆ ตรงที่ต้องดูแลคนสองกลุ่มที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง กลุ่มแรกคือพนักงานประจำ ก็จะหมือนซีอีโอ ท่านอื่นๆที่ดูแลสตาฟฟ์ในบริษัทตนเอง กับอีกกลุ่มหนึ่งคือ ดูแลนักธุรกิจอิสระที่ชวนเข้ามาเป็นเจ้าของบริษัทลูก โดยเขาไม่ใช่ลูกจ้างเรา ไม่ได้รับเงินเดือนหรือรายได้จากเรา แต่เขามาสร้างกิจการของเขาเอง ก็ช่วยเหลือดูแล


งานของเธอเปรียบไปก็เหมือนการเป็นทั้งครูที่ต้องให้ความรู้ ให้กำลังใจคน และยังต้องเจอปัญหาหลายๆ แบบ เจอคนหลายๆ ลักษณะบนพื้นฐานที่ต้องทำให้ทุกคนอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ไม่ว่าจะเป็นพนักงานหรือนักธุรกิจแต่ละคนก็เหมือนหนังสือเล่มหนึ่งที่ไม่เหมือนกันเลย ถือเป็นความท้าท้ายที่สนุก


ถ้าเราคิดจะท้อกับการเจอคน จะทำงานแบบนี้ไม่ได้เลย เพราะงานแบบนี้คืองานที่ต้องเจอคนตลอดเวลา เธอบอก


ขณะที่หลักการทำงานของเธอ คือต้องเชื่อมั่นในตัวเองและเรียนรู้ในงาน ส่วนหนึ่งคงเป็นเพราะนิสัที่เป็นคนไม่ยึดติด ยอมรับว่าตัวเองไม่ใช่คนเก่ง แต่การที่จบหมอแล้วมาทำธุรกิจ ทำให้ค่อนข้างจะ zero based คือมีใจที่จะมองทุกอย่างอยู่ตรงกลาง และพร้อมจะเริ่มต้นจากศูนย์


อะไรที่เราไม่รู้ เราต้องเรียนรู้ เราก็ต้องไปฟังไปอ่าน เพราะไม่ได้เรียนมาทางนี้ เพราะฉะนั้นความไม่ยึดติดตรงนี้ทำให้เราเป็นคนที่มีความยึดหยุ่น มีความคล่องตัวสูงที่จะปรับตัวที่จะยอมรับคนและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ


เธอยังเป็นคนที่ใช้ใจทำงาน และเป็นคนที่สนุกสนาน ไม่เก็บความทุกข์มาไว้ในใจมากมาย มองว่าเวาลานอนก็ต้องวางภาระ แล้ววันรุ่งขึ้นก็ต้องดูแลสิ่งที่ได้เตรียมมาอย่างดีที่สุดต้องวางแผนทั้งระยะสั้นและระยะยาว ว้าองทำอะไรก่อนหลัง


ขายตรงยังเป็นงานสนุกถ้าเรารักมัน แต่เป็นงานที่เหนื่อย เพราะจะไม่มีวันพักผ่อน เสาร์-อาทิตย์ ก็ต้องออกไปต่างจังหวัด ถามว่ามีเรื่องไม่ดีเข้ามาในชีวิตไหม มี เราจะเจอคนไม่ดีไหม มี แต่ถ้าเราผ่านไปได้ นั้นหมายความว่าต่อไปนี้ อะไรที่ง่ายกว่านี้เราทำได้หมด เพราะฉะนั้นอย่าไปกลัวถนนของคนเก่งต้องเป็นถนนของคนที่ผ่านอุปสรรคมามากพอสมควร แต่ว่าล้มแล้วก็ต้องลุกให้เป็นแล้วก็วิ่งเลย


สำหรับหมอต้อยแล้ว เธอบอกว่าความยิ่งใหญ่ของกิฟฟารีนในวันนี้ มาเกิดกว่าความฝันแล้ว แต่ต้องเดินต่อไป เดินต่อไปวันนี้คงไม่ใช่ความฝันของตัอง แต่เป็นการเดินเพื่อสานต่อความฝันของผู้อื่นที่เข้ามาอยู่ในกิฟฟารีนมากกว่า ต้องดูแลบริษัทให้เติบโตต่อไป เพราะว่าทุกคนมีความคาดหวัง


พนักงานก็อยากมีโบนัส มีสวัดิการเพิ่มขึ้น นักธุรกิจที่เข้ามาก็อยากมีรายได้เพิ่มขึ้น มีคุณภาพชีวิตที่ดี เพราะฉะนันเราจึงเติบโต


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.กรุงเทพธุรกิจ

ข่าวแอมเวย์ (Amway Thailand) : ห้องสมุดเคลื่อนที่ 25 ปี แอมเวย์ไทย

ในโอกาสที่ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ฉลองครบรอบ 25 ปีแห่งการดำเนิน
ธุรกิจในประเทศไทย บริษัทฯ ได้ร่วมฉลองความสำเร็จด้วยการตอบแทนบุญคุณของสังคม โดยจัดโครงการ ห้องสมุดแอมเวย์เคลื่อนที่ เพื่อจัดทำห้องสมุดเคลื่อนที่ให้แก่ 77 โรงเรียนใน 77 จังหวัด


ข่าวแอมเวย์ (Amway Thailand) : นิวทริไลท์ (NUTRILITE) ชวนส่งรูปคุณแม่กับกิจกรรม "Super Mom Super Hero"

นิวทริไลท์ชวนส่งรูปคุณแม่กับกิจกรรม "Super Mom Super Hero"




วันแม่แห่งชาติปีนี้...นิวทริไลท์ขอชวนลูกๆ ร่วมกิจกรรม Super Mom Super Hero เพียงส่งภาพถ่ายสุดประทับใจของคุณแม่ในอิริยาบถต่างๆ พร้อมเขียนข้อความบอกเล่าสิ่งดีๆ สิ่งที่คุณอยากทำให้เป็นของขวัญคุณแม่ในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็นของขวัญสุดพิเศษ กิจกรรมสุดแสนเซอร์ไพรส์ หรือจะเป็นคำอวยพรซึ้งๆ ที่ผูกพันและประทับใจมิรู้ลืม ส่งผ่านทาง www.nutrilite.co.th/supermom ภาพถ่ายและข้อความใดโดนใจได้รับการกดโหวตสูงสุด รับไปเลย! บัตรรับประทานอาหารญี่ปุ่นเพื่อสุขภาพโอโตยะ 1 รางวัล มูลค่า 3,000 บาท และลุ้นรับของรางวัลอื่นๆอีกมากมาย มูลค่ารวมกว่า 11,000 บาท


ร่วมสนุกพร้อมแบ่งปันสิ่งดีๆ ของคุณและคุณแม่ได้ตั้งแต่วันที่ 1 - 15 ส.ค. 55 ประกาศผล วันที่ 16 ส.ค. 55 สามารถดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.nutrilite.co.th/supermom หรือติดต่อAmwayCallCenter 0-2725-8000


###


สอบถามข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อบริษัทที่ปรึกษาประชาสัมพันธ์แอมเวย์: เวิรฟ


อรรณพ ธีรวัฒนเศรษฐ์ (จุ้ย) โทร.0-2204-8213, 081-750-4237
พรชนันท์ ยามะรัต (กิฟท์) โทร.0-2204-8223, 081-755-1105
ศรุตยา มหากายี (โอ๋) โทร.0-2204-8224, 089-665-6819

ข่าวกิฟฟารีน (Giffarine News) บริจาคเงินสมทบทุนร่วมกับ เนชั่น กรุ๊ป ในโอกาสครบรอบ 42 ปี


บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด นำโดยคุณพงษ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการตลาด และคุณสริญญา สาระสุทธิ ผู้จัดการฝ่ายประชาสัมพันธ์ ร่วมแสดงความยินดีกับบริษัท เนชั่น มัลติมีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) เนื่องในโอกาสครบรอบก่อตั้ง 42 ปี พร้อมมอบเงินจำนวน 20,000 บาท บริจาคสมทบทุนโครงการปลูกถ่ายอวัยวะ ศูนย์การแพทย์สิริกิติ์ มูลนิธิรามาธิบดี และมูลนิธิพระดาบส ให้กับเนชั่น กรุ๊ป เพื่อนำไปบริจาคช่วยเหลือมูลนิธิฯ ทั้งสองแห่งต่อไป ณ อาคารเนชั่นทาวเวอร์ ถนนบางนา ตราด เมื่อเร็วๆ นี้


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้

ข่าวกิฟฟารีน (Giffarine) รับรางวัล "อย. ควอลิตี้ อวอร์ด 2555"

[gallery link="file" columns="2"]


พญ. นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ในนามบริษัท สกายไลน์ เฮลท์แคร์ จำกัด ผู้ผลิตผลิตภัณฑ์อาหารเสริมภายใต้แบรนด์ กิฟฟารีน รับรางวัล อย. ควอลิตี้ อวอร์ด 2555 รางวัลสถานประกอบการที่โดดเด่นด้านกระบวนการผลิตและจริยธรรมในสถานประกอบการ ในประเภทผลิตภัณฑ์อาหาร โดยมี นพ. สุรวิทย์ คนสมบูรณ์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงสาธารณสุข ให้เกียรติมอบรางวัล ณ โรงแรม มิราเคิล แกรนด์ เมื่อเร็วๆ นี้


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย:กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้

ติดตรา สคบ.ส่อเค้าวุ่น! ผู้ประกอบการบ่นเบี้ยประกันแพงเว่อร์!


จากนโยบาย ติดตราสัญลักษณ์ สคบ. ของ วรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รัฐมนตรีประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานการคุ้มครองผู้บริโภค ทำให้เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์การทำงานของ สคบ. ที่ในช่วงก่อนหน้าได้จัด โครงการสัมมนาให้ความรู้กับผู้ประกอบธุรกิจและรณรงค์การขอรับตราสัญลักษณ์คุ้มครองผู้บริโภคของธุรกิจขายตรง ประจำปีงบประมาณ พ.ศ.2555 เพื่อเป็นการให้ความรู้กฎเกณฑ์การขอรับตราสัญลักษณ์กับผู้ประกอบการ


โดยงานดังกล่าว มีการระบุว่าให้ความรู้กับผู้ประกอบการ และต้องการให้บริษัทขายตรงกว่า 800 บริษัทเข้าขอรับตราสัญลักษณ์ แต่ปรากฏว่า งานสัมมนาที่จัดขึ้นมานั้น มีการเชิญบริษัทของ 3 สมาคมขายตรงเท่านั้น ซึ่งมีสมาชิกรวมกันเพียง 60 กว่าบริษัท กลับกลายเป็นว่า อีกกว่า 700 บริษัทไม่ทราบเรื่อง ใดๆ ทั้งสิ้น


นอกจากนี้ ยังมีเรื่องของกฎระเบียบการขอรับตราสัญลักษณ์ ที่ดูจะขัดกับแนวทางของธุรกิจ อาทิ การต้องทำประกันกับบริษัท ทิพยประกันภัยฯ ในเบี้ยประกันประมาณ 0.5% จากยอดขาย ซึ่งเป็นจำนวนที่เยอะมากสำหรับบริษัทขายตรง รวมทั้งกฎกติกา อื่นๆ ที่มองแล้วจะสร้างความลำบากให้เกิดขึ้นกับวงการขายตรง บ้านเรา


> บีฮิป โอดเบี้ยประกันแพงเกิน



นายชัยวัฒน์ ชัยจินดาวัธน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีฮิป(ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่า สคบ.ควรจะออกจดหมายเชิญทุกบริษัทที่จดทะเบียน ควรกระจายข้อมูลข่าวสารให้รับรู้อย่างทั่วกัน แม้บริษัทภายนอกสมาคมอาจจะไม่ได้ มีส่วนร่วมในการตัดสินใจ แต่ก็น่าจะให้เราทราบข้อมูลที่จะเกี่ยว ข้องกับเราเองด้วย ไม่ใช่มารู้ภายหลังจากสื่อเช่นนี้


โดยเฉพาะเรื่องเบี้ยประกันภัย หากเป็นไปตามเงื่อนไขแรก ที่สคบ.จะให้บริษัททิพยฯเข้ามาดูแลเกี่ยวกับการประกันภัย และคิดเบี้ยประกันภัยประมาณ 0.5-0.1 ของยอดขายในแต่ละปีของแต่ละบริษัท ตนคิดว่าเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม เนื่องจากอัตรา ดังกล่าวเป็นตัวเลขที่สูงมาก ตนเชื่อว่าไม่มีบริษัทไหนเข้าขอรับติดตราอย่างแน่นอนจริงๆ ไม่ควรจะคิดจากยอดขาย แต่น่าจะคิด จากยอดสมาชิกของแต่ละบริษัทมากกว่า เพราะระบบขายตรงสมาชิกก็คือ ผู้บริโภค การคิดเบี้ยประกันตามจำนวนสมาชิก ก็จะ เป็นการคุ้มครองผู้บริโภคโดยตรง บริษัทไหนมีสมาชิกจำนวนน้อย ก็จ่ายน้อย หรือบริษัทไหนมีสมาชิกมากก็จ่ายเพิ่มขึ้น


นอกจากนี้ สคบ.ควรจะมีการจัดให้บริษัทประกันภัยอื่นๆ เข้ามามีส่วนร่วมในโครงการนี้ เพื่อจะได้มีการจัดแข่งขันกันเกี่ยวกับการออกเบี้ยประกัน ซึ่งจะทำให้ผู้ประกอบการมีทางเลือก และเกิดการร่วมมือที่ดีกว่านี้ ไม่ใช่ติดต่อเพียงบริษัทเดียว เพราะเห็นว่าเป็นบริษัทที่รัฐถือหุ้นอยู่ เงื่อนไขข้อนี้ทาง สคบ.จึงควรเตรียมพร้อมให้มีรายละเอียดที่ชัดเจนกว่านี้ก่อน


อย่างไรก็ดี บริษัทประกันก็น่าจะมีการลดหย่อนเบี้ยประกัน ให้กับบริษัทที่ไม่มีประวัติความผิดทางกฎหมายมากกว่าจะไปโอนอ่อนให้เฉพาะบริษัทที่อยู่ภายในสมาคม เพราะการเป็นบริษัท สมาชิกในสมาคมก็ไม่ได้หมายความว่าจะดีเลิศไปทั้งหมด สคบ. ควรพิจารณาตามหลักความเป็นจริงมากกว่า ว่าบริษัทไหน ประพฤติปฏิบัติดี แต่อยู่ภายนอกสมาคมก็ควรมีสิทธิ์ได้รับการลดหย่อนเบี้ยประกันด้วย


ส่วนหลักเกณฑ์ที่สำคัญอีกประการหนึ่ง คือบริษัทขายตรงที่จะขอรับตราสัญลักษณ์สคบ.นั้น จะต้องมีแผนการจ่าย ผลตอบแทนไม่เกินร้อยละ 55 ของราคาสินค้า นายชัยวัฒน์ กล่าวแย้งในหลักเกณฑ์ ดังกล่าวว่า แม้บริษัทบีฮิปจะจ่ายไม่เกิน เกณฑ์ดังกล่าวอยู่แล้ว แต่ตนก็ไม่เห็นว่าเป็นข้อจำกัดอะไรที่ต้องไปทำเช่นนั้นกับเขา คิดว่าเป็นคนละเรื่องกันกับการคุ้มครอง เพราะสคบ.เองก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่ามีบริษัท ไหนบ้างที่เขาจ่ายถึงขนาดไหน สรุปว่าพวก เขาเหล่านั้นก็กลายเป็นจุดอ่อนที่ต้องกำจัดไป ทั้งๆ ที่เขาได้ดำเนินธุรกิจอย่างมี จรรยาบรรณ โดยไม่ทำให้ใครเดือดร้อน เช่นนั้นหรือ


> แซนสยาม ไม่เห็นด้วย ทิพยฯ ลดเบี้ยประกันให้แค่บริษัทสังกัดสมาคม



นายปธิกร โยทองยศ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัท แซนสยาม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผย สยามธุรกิจ ว่า ตนไม่ได้รับทราบข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวมาก่อนเลย แต่ก็มองในแง่ดีว่า หน่วยงานสคบ.อาจจะต้องการนำร่องโครงการดังกล่าวกับบริษัทใน 3 สมาคมขายตรงไทยก่อน เนื่องจากทั้ง 3 สมาคมมีบทบาทสูงในธุรกิจนี้ หากสมาคมไม่ให้ความร่วมมือ ก็คงยากที่บริษัทขายตรงอื่นๆ อีกเกือบ 1 พันบริษัทจะยอมรับ ฉะนั้นตน ก็ไม่ได้ซีเรียสในเรื่องดังกล่าว ถือว่าเป็นที่เข้าใจกันได้


อย่างไรก็ดี ด้านเงื่อนไขการคิดเบี้ยประกันภัย นายปธิกร กล่าวว่า เรื่องเบี้ยประกันภัยเป็นเรื่องสำคัญ แม้เราจะเห็นด้วยเกี่ยวกับโครงการดังกล่าวของทาง สคบ. แต่การคิดเบี้ยประกันภัยก็ต้องคิดอย่างสมเหตุสมผล ไม่ควรเอากำไรเกินควร ต้องให้ผู้ประกอบการได้มีส่วนตัดสินใจ เพื่อกำหนดเบี้ยประกันอย่างยุติธรรมและ สมเหตุสมผล ซึ่งแนวทางหนึ่ง สคบ.ควรจะมีการจัดให้บริษัทประกันภัยอื่นๆ เข้ามา มีส่วนร่วมในโครงการนี้ เพื่อจะได้มีการจัดแข่งขันกันเกี่ยวกับการออกเบี้ยประกัน ไม่ใช่ติดต่อเพียงบริษัทเดียว เพราะเห็นว่าเป็นบริษัทที่รัฐถือหุ้นอยู่ เงื่อนไขข้อนี้ทางสคบ.จึงควรเตรียมพร้อมให้มีรายละเอียดที่ชัดเจนกว่านี้ก่อน จึงจะเริ่มออก รณรงค์ เพราะไม่เช่นนั้นคงไม่มีบริษัทไหน ตัดสินใจเข้ายื่นขอตราสัญลักษณ์แน่


ส่วนเงื่อนไขที่อาจมีการลดหย่อนเบี้ยประกันให้แก่บริษัทที่อยู่ในสังกัด 3 สมาคมนั้น ตนไม่เห็นด้วยกับใครก็ตามที่กำลังคิดแนวทางนี้อยู่ เพราะบริษัทอื่นที่อยู่นอกสมาคมหากเป็นบริษัทที่ไม่เคยกระทำความผิด แต่ไม่ได้สังกัดสมาคมเรา ก็เสียเปรียบ ส่วนเงื่อนไขสำคัญอีกข้อหนึ่ง ที่อาจเกิดผลกระทบกับบริษัทขายตรงหลายๆ ค่าย คือข้อจำกัดเรื่องการจ่ายผลตอบแทน ที่มีหลักเกณฑ์ว่า บริษัทขายตรงที่จะขอรับ ตราสัญลักษณ์สคบ.นั้น จะต้องมีแผนการ จ่ายผลตอบแทนไม่เกินร้อยละ 55 ของราคาสินค้า ซึ่งนายปธิกรก็ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับข้อมูลดังกล่าวว่า ตนเห็นด้วย กับการจำกัดตัวเลข แต่ต้องดูว่าตัวเลขเท่าไหร่จึงเหมาะสมที่สุด เพราะหากจ่ายสูงเกินไป ก็จะทำให้บริษัทไปตั้งราคาที่สูงเกินเหตุ และผู้บริโภคอาจจะได้สินค้าที่ไม่สมราคา โดยตนขอยืนยันว่า ตัวเลขในเงื่อนไขข้อนี้ สามารถตั้งขึ้นมาได้ แต่ก็ต้อง เป็นตัวเลขที่เราทุกคนเห็นพ้องกัน ซึ่งตนคิดว่าอัตราที่เหมาะสมอยู่ที่ 60% กำลังดี เพราะกรณีนี้ถือเป็นตราชั่ง หากบริษัทไหน มีการจ่ายโบนัสสูง ทำให้หลายคนเข้ามาเพราะแผนการจ่ายผลตอบแทน ส่วนผู้บริโภคที่เข้ามาซื้อสินค้าจริงๆ อาจจะไม่ได้ รับสินค้าที่มีคุณภาพดี และหากจ่ายน้อยไป ก็จะไม่ชอบธรรมกับคนทำธุรกิจ


> ดี ไลฟ์ วอนรัฐควรให้ความเป็นธรรมกับทุกบริษัท



นายเทวัญ ดีใจงาม ประธานกรรมการ บริษัท ดี ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวว่า ตนไม่เห็นด้วยอย่างยิ่งกับการกระทำดังกล่าวของ สคบ. ที่ไม่แจ้งข้อมูลใดๆ ให้บริษัทภายนอกสมาคมกว่า 700 บริษัททราบ ทั้งๆ ที่เรื่อง ดังกล่าว ก็เกี่ยวข้องกับภาพลักษณ์ของธุรกิจขายตรงโดยรวม ไม่ใช่จำกัดอยู่เฉพาะวงแคบอย่าง 3 สมาคมเท่านั้น ฉะนั้นตนเองจึงอยากวิงวอนให้ สคบ. เปลี่ยนแปลงระบบการทำงานโดยด่วน ซึ่งสิ่งที่กล่าวมาตนก็ไม่ได้หมายความว่า อยากจะเข้าไปแทรกแซงการทำงานของหน่วยงานภาครัฐ แต่อย่างน้อย สคบ.ก็ควรส่งจดหมายบอกข่าวสารความเคลื่อนไหวกันบ้าง ไม่ใช่มาทราบภายหลัง จากผู้อื่นเช่นนี้


ทั้งนี้ในส่วนของเงื่อนไขหลัก เกี่ยวกับการกำหนดเบี้ยประกันภัย นายเทวัญ ก็ได้ให้ความเห็นว่า หากมีการปรึกษากันและกำหนดเบี้ยประกันภัยในอัตราที่สูงเกินไป ตนถือว่าไม่เหมาะสม และโดยเฉพาะอย่างยิ่งบริษัทประกันภัยที่มีเพียงบริษัทเดียว ยิ่งจะเป็นการเอาเปรียบผู้ประกอบการเกินไป หน่วยงานภาครัฐควร ออกมาตรการที่ชัดเจนและให้ความเป็นธรรมกับทุกๆ บริษัท โดยไม่จำกัดอยู่เฉพาะ วงแคบอีกเช่นเคย เช่น การลดเบี้ยประกันเฉพาะบริษัทที่อยู่ภายใน 3 สมาคม เพราะเห็นว่าน่าเชื่อถือ ตรวจสอบได้ง่าย ตรงนี้ไม่เหมาะสม


บริษัทที่อยู่ภายใน 3 สมาคม โดยภาพรวมจะเป็นบริษัทที่ดี ปฏิบัติตามกฎระเบียบจรรยาบรรณ ตรงนี้ตนเห็นด้วย แต่ บริษัทที่อยู่ภายนอกสมาคมหลายบริษัทก็ไม่เคยกระทำผิดต่อผู้บริโภค หรือกระทำผิดกฎระเบียบจรรยาบรรณ ตรงนี้รัฐบาล จึงสมควรให้ความเป็นธรรมกับเขาด้วย หากมีการลดหย่อนภาษีจริง ก็ควรต้องตรวจสอบประวัติความเสี่ยงภัยของแต่ละบริษัท และกำหนดเบี้ยประกันอย่างยุติธรรมในราคาที่เหมาะสม ทั้งนี้ในส่วนของบริษัทประกันภัย ก็ควรจะมีการติดต่อประสานงาน ยื่นเสนอโครงการ ให้บริษัทประกันอื่นๆ มีสิทธิเข้าร่วมด้วย เพื่อเป็นทางเลือกให้กับผู้ประกอบการ และผู้บริโภค


ดังนั้นโดยภาพรวม ตนก็เห็นด้วยกับโครงการติดตราสัญลักษณ์เพื่อคุ้มครองผู้บริโภค แต่โดยรายละเอียดของเงื่อนไขการขอรับตราสัญลักษณ์ คงต้องรอคำชี้แจงจากทางภาครัฐอีกครั้งหนึ่ง ซึ่งหากรัฐยังคงยืนยันถึงหลักเกณฑ์เดิม โดยเฉพาะเงื่อนไขที่ไม่เป็นธรรมกับผู้ประกอบการหลายๆ ราย ตน เชื่อว่าทั้งบริษัทดี ไลฟ์และขายตรงค่าย อื่นๆ คงยากที่จะให้ความร่วมมือ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจฉบับที่ 1320 ประจำวันที่ 25-7-2012 ถึง27-7-2012