ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์: เจาะใจท่านประธาน สาคร ใสกมล ผู้ที่เต็มเปี่ยมด้วยพลัง วาทะศิลป์ และสายตาอันยาวไกลตอบโจทย์ขายตรงยุค 2012








เจาะใจดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ กับท่านประธาน สาคร ใสกมล ผู้ที่เต็มเปี่ยมด้วยพลังที่ยิ่งวาทะศิลป์ และสายตาอันยาวไกลตอบโจทย์ขายตรงยุค 2012


1.ก่อนอื่นทางเว็บไซต์ ไทยเอ็มแอลเอ็มนิวส์ อยากทราบก่อนเลยว่าทาง ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ มีความเป็นมาอย่างไรบ้าง


อาจารย์สาคร ได้อยู่แวดวงขายตรงมา 23 ปี และเริ่มต้นจากการเป็น เมมเบอร์ทั่วๆ ไปและก็ได้มาเป็น ลีดเดอร์ จากนั้นก็ได้ก้าวมาสู่ระดับผู้บริหารและได้ผันตนเองมาเป็นผู้ประกอบการซึ่งผมได้ก้าวเดินในเส้นทางขายตรงมาอย่างยาวนาน ซึ่งผมมองเห็นถึงปัญหาใหญ่ๆ ในแวดวงธุรกิจขายตรงนั้นหลักๆ มีอยู่ 2 ข้อด้วยกัน 1. บริษัทโตแต่สมาชิกโตยากอันนี้อนึ่งสืบเนื่องมาจากแผนการตลาดที่ทำได้จริงยาก 2. รายได้เมมเบอร์ดีมากแต่บริษัทไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ปัญหาเหล่านี้เกิดจากทางผู้ประกอบการไม่เป็นมืออาชีพอย่างเพียงพอที่จะบริหารธุรกิจได้อย่างงตลอดรอดฝั่ง ซึ่งนั่นคือสิ่งที่เป็นพื้นฐานให้แก่ทาง ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ ซึ่งทางเราจะสร้างให้เมมเบอร์ต่างๆ ประสบความสำเร็จไปพร้อมๆ กับบริษัทของเราด้วย พร้อมอยู่อย่างยั่งยืนเพื่อให้เป็นตำนานในบริษัทขายตรงของประเทศไทยอีกด้วย ในคำว่าตำนานคำนี้นั้นหมายถึงเป็นธุรกิจขายตรงสีขาวบริสุทธิ์ 100% พร้อมๆ กับบุคลากรที่มีประสิทธิภาพและมากๆ ขึ้นไปอีกด้วยโดยไม่อาศัยการย้ายค่ายย้ายผู้นำทางอาจารย์เล็งเห็นถึงจุดนี้ว่าหากเราย้ายไปย้ายมาไม่ได้สร้างบุคลากรที่แข็งแกร่งขึ้นมานั้นก็เหมือนการจำกัดตลาดขายตรงให้อยู่ในแวดวงเดิมๆ เท่านั้น สิ่งเหล่าทำให้ก่อนเกิดคำว่าตัว ดี ขึ้นมาพื้นฐานมาจาก 5 ดี คือ บริษัทดี สินค้าดี บุคลากรดี แผนดี และ ระบบดี ต่อมาคำว่าเครือข่ายก็คือ เน็ทเวิร์ค นั่นเอง จากนั้นก็ตาด้วย เวิลด์ไวด์ เพื่อให้ครอบคลุมสื่อในประจุดรวดเร็วครอบคลุมทั่วโลก พื้นฐานเหล่านี้จึงก่อให้เกิด ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ ขึ้นมา ซึ่งทางเราต้องการให้ ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ ให้เป็นขายตรงมืออาชีพจริงๆ ที่ไม่ใช่เพียงแค่เป็นอาชีพเท่านั้น และต้องเป็นขายตรงน้ำดีไม่มีการซื้อผู้นำ เสนอเงื่อนไขอะไรต่างๆ ไม่มีโค้ดฟรี ด้วยตัวของอาจารย์ สาคร เองเชื่อว่าหากเราทำธุรกิจอย่างตรงไปตรงมาซื่อสัจสุจริตแล้วไปไม่รอดก็ไม่เป็นไรดีกว่าไปทำธุรกิจที่โตได้แต่ต้องหลบๆ ซ่อนๆ เปิดมาปิดไป ทำแบบนี้ถึงเราจะประสบความสำเร็จจริงเราไม่มีความภูมิใจอย่างแน่นอน


2.สิ่งที่สำคัญมากๆ ที่ผู้มุ่งหวังให้ความสนใจเข้าร่วมธุรกิจกับขายตรงต่างๆ คือวิสัยทัศน์ของผู้นำองค์กรอยากทราบถึงทางวิสัยทัศน์ทางท่านประธานหน่อยครับว่ามีวิสัยทัศน์ที่จะพา ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ ไปให้ถึงฝันเป็นเช่นไรบ้าง


อาจารย์สาคร มองธุรกิจเป็น 4 ยุคด้วยกันคือ ยุคแรกคือ ยุคของการผูกขาดทางธุรกิจ ยุคที่สองคือ ยุคแห่งนายทุนซึ่งเป็นยุคที่หากใครมีทุนก็กระโดดเข้าสู่ธุรกิจขายตรงได้ทันทีเป็นยุคที่ขายตรงเกิดเป็นดอกเห็ดก่อให้เกิดธุรกิจขายตรงกลายเป็นธุรกิจสีเทาเปิดๆ ปิดๆ กันหลายๆ บริษัท ซึ่งคาบเกี่ยวมาสู่ปัจจุบันนั่นคือยุคที่สาม ยุคมืออาชีพซึ่งทางผู้ประกอบการและเมมเบอร์ต่างๆ ต้องมีองค์ความรู้ความสามารถจริงๆ ถึงสามารถที่จะอยู่รอดได้อย่างปลอดภัย และในอนาคตก็จะก้าวเข้าสู่ยุคที่สี่ซึ่งเป็นยุคสุดท้ายคือยุคธุรกิจสีขาวกับธุรกิจสีดำแบ่งแยกกันชัดเจน ซึ่งธุรกิจสีขาวหมายถึงบริษัทที่เป็นมืออาชีพจริงๆ ถึงจะสามารถที่จะเติบโตได้จริงๆ และ ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ กำลังจะเป็นบริษัทที่จะเป็นมืออาชีพอย่างแท้จริงโดยปณิธานของดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ คือเราจะไม่ร้องขอให้ใครทำในสิ่งที่เขาไม่อยากทำ เราจะไม่ร้องขอให้ใครทำในสิ่งที่เราทำไม่ได้ แต่เราจะทำให้เขาดูและให้เขาดูเราทำ


3.เท่าที่ทราบ ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์เปิดมาเกือบเป็นเวลา 3 ปี ที่แน่นอนช่วงปีแรกคือปีแห่งการบุกเบิก ตอนนี้ย่างเข้าสู่ปีที่ 3 แล้วทาง ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ขอทราบได้ไหมครับว่าปีนี้ตั้งเป้าไว้ที่เท่าไหร่และสำเร็จไปกี่เปอร์เซ็นแล้วครับ


ปีแรกของเราเริ่มได้ที่ 71 ล้านบาท ปีที่สอง 117 ล้านบาท ในส่วนปีที่สามคือปีนี้เองเราตั้งเป้าไว้ที่ 500 ล้านบาท ซึ่งท่าหากเข้า 300 ล้านบาทถือว่าเราประสบความสำเร็จแล้วเพราะทางอาจารย์เป็นคนพูดตรงๆ เป้าเราต้องตั้งไว้สูงเข้าไว้ก่อนสำเร็จไม่สำเร็จเราค่อยว่ากันแต่มันคือหนึ่งในแรงผลักดันที่ดีให้เราเข้าไปถึงจุดนั้นได้ท่าหากไม่ได้ใกล้เคียงก็ถือว่าประสบผลสำเร็จแล้ว ซึ่งปีหน้าปี 2556 นั้นทางผมตั้งเป้าไว้ พันล้านบาท ซึ่งทางผมมั่นใจว่าต้องได้ใกล้เคียงอย่างแน่นอน


4.ปี 2556 ที่จะถึงนี้มีวางแผนที่จะกระจายสินค้าสู่มือผู้บริโภคและแผนการตลาดวางไว้เป็นเช่นไรบ้างครับ


ปี 2556 ก็อย่างที่บอกครับตั้งเป้าไว้ พันล้านบาท ส่วนในแผนการตลาดนั้นผมเตรียมไว้ 4 ช่องทางคือ ช่องทางแรกทหารหารบก คือการ สปอนเซอร์นั่นเองเข้าไปประชิดตัวแนะนำกันตัวต่อตัว สองรบทางเรือคือเหมือนนำคนขึ้นเรือไปรบเช่นจัดประชุมตามแหล่งชุมชน มหาลัยต่างๆ ส่วนช่องทางที่สามคือการรบแบบใต้ดินเปรียบได้ดั่งโลกออนไลน์ ช่องทางที่สี่คือทหารอากาศเปรียบได้ดั่งประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ซึ่งเราประชาสัมพันธ์คบทุกช่องทาง


5.ในปี 2558 ประเทศไทยเราจะเข้าร่วมกับสมาคมอาเซียน ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ มีวางแผนการในอนาคตระยะยาวตรงส่วนนี้ไว้บ้างแล้วหรือยังครับ


ทาง ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ มีความพร้อมเป็นอย่างมากหากมีการเปิดสมาคมอาเซียนเมื่อไรไม่ว่าด้านภาษาบนเว็บไซต์ทางเราได้เขียนเว็บไซต์รองรับภาษาไว้ถึง 63 ภาษา และมีการฝึกทีมงานในประเทศไทยอย่างดีและสินค้า ดีเบรม(D-Braime) จดลิขสิทธิ์ในต่างประเทศไว้ถึง 5 ประเทศด้วยกันแล้วได้แก่ ไทย กัมพูชา เวียดนาม พม่า และ ลาว ตอนนี้เรามีแผนที่จะเปิดศูนย์สำนักงานอาเซียนที่จังหวัดขอนแก่นเป็นตึกของตัวเองงบการสร้างเป็นหลักร้อยล้านขึ้นไปและใช้ชื่อคอนเซ๊ปว่าศูนย์ประสารงานอาเซียน ซึ่งทางเราได้เตรียมแผนไว้เป็นอย่างดีแล้ว


6.สินค้าของทาง ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ มีหลากหลายมากๆ โดยเฉพาะสินค้านวัตกรรมทางเราอยากทราบมากๆ ครับว่าท่าให้พูดถึงสินค้าที่เป็นพระเอกหรือสินค้ายอดฮิตของดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ เป็นสินค้าอะไรและมีสรรพคุณอะไรบ้าง


อาจารย์ขอพูดถึงคอนเซ็ปของสินค้าของเราต้องมีนโยบายหรือคอนเซ็ปก่อนอันดับแรกเลย ต้องเป็นสินค้านวัตกรรมใหม่ๆ ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ เราไม่นิยมเป็นผู้ตามเราต้องเป็นผู้นำทางการตลาด สองต้องเห็นผลลัพธ์อาจารย์มองว่าคนไทยกับคนต่างชาติการซื้อสินค้ามาบริโภคนั้นต่างกันคนต่างชาตินิยมการดูรายละเอียดจากงานวิจัยต่างๆ การอ้างอิงต่างๆ ส่วนคนไทยเน้นผลลัพธ์มากกว่า สามคือต้องมีลิขสิทธิ์เป็นของเราผู้เดียวต้องไม่มี สี่สินค้าต้องมีน้ำหนักเบาเพื่อสะดวกในการจัดส่งเพราะปัจจุบันเราเน้นความรวดเร็วลูกค้าสั่งมาแล้วสินค้าสามารถถึงมือลูกค้าได้อย่างรวดเร็วนั่นคือสิ่งที่เรามุ่งหวังเป็นอย่างมาก ห้าสินค้าต้องมีราคาเหมาะสมกับผู้บริโภคและเมมเบอร์ สุดท้ายสินค้าทุกตัวต้องเป็นรองรับตลาดอาเซียน สินค้าอันดับหนึ่งของเราคือ โกเรจิ้นส์ เป็นสินค้าเพื่อสุขภาพดีผิวพรรณสวยงาม


7.ในเร็วๆ นี้จะมีเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ เพิ่มเติมไหมครับ


ทาง ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ มีแผนเปิดตัวสินค้าใหม่เป็นประจำอยู่แล้วครับ เร็วๆ นี้ก็ ดี คอนแท๊ค และ เยลลี่ กัมมี่ ครับซึ่งเป็นในส่วนของอาหารเสริมที่ยังไม่มีใครทำครับ


8.อยากทราบครับว่าทำไมแม่ทีมต่างๆ หรือผู้ที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิตถึงต้องมาก้าวเดินร่วมกับทาง ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ ครับ


คอนเซ็ปของเราเมมเบอร์ประสบความสำเร็จเท่ากับคือความสำเร็จของบริษัทเช่นกัน และที่กล่าวไปในข้างต้นคือกฎ 5 ดี ของเรา คือ บริษัทดี สินค้าดี บุคลากรดี แผนดี และ ระบบดี ที่จะช่วยให้เมมเบอร์ของเราประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน


9.ทาง ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ มีอะไรที่อยากจะฝากทิ้งท้ายกับ www.thaimlmnews.com บ้างครับ


อาจารย์ขอฝากว่าการจะทำธุรกิจอะไรก็ตามขอให้มีความซื่อสัตย์ก่อนเป็นอันดับแรกหากเรามีความซื่อสัตย์ต่อผู้อื่นอาจารย์เชื่อได้เลยว่าธุรกิจนั้นอยู่ได้ เปรียบได้ดั่ง สามเหลี่ยมคุณธรรมคือ ซื่อสัตย์ต่อตนเอง ซื่อสัตย์ต่อองค์กร และ ซื่อสัตย์ต่อลูกค้า และทางอาจารย์ได้สร้างบริษัทที่สร้างมาจากพื้นฐานดั่งกล่าวขึ้นมาเพื่อเป็นขายตรงที่ยั่งยืนอย่างแท้จริงอาจารย์เชื่อว่าการบริหารงานอย่างซื่อสัตย์และมีเมตตาธรรมค้ำจุนกันนั้นเป็นที่ดีและอาจารย์ก็นำมาใช้กับองค์กรของเรา

ขายตรง(MLM) ยึดหัวหาด ยุทธภูมิทองคำ (อุดรฯ-ขอนแก่น) รับ AEC ฝั่งตะวันออก


เป็นที่ทราบกันดีในวงกว้างว่า ในช่วงปลายปี 2558 จะเป็นเวลาที่กลุ่มประเทศอาเซียนจะกลายเป็นหนึ่งเดียวกัน โดยเฉพาะเรื่องของการค้าการลงทุน โดยจะมีการเปิดความร่วมมือประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนขึ้น หรือที่รู้จักกันในนามของ AEC โดยความร่วมมือ ดังกล่าว กลุ่มประเทศอาเซียนจะมีการนำเข้าส่งออก สินค้า และทำธุรกิจมากมายหลายอย่างซึ่งกันและกัน โดยปลอดจากกำแพงภาษีที่เคยมี


สิ่งที่กล่าวมา สร้างการตื่นตัวให้เกิดขึ้นโดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ ขายตรงในประเทศไทย โดยหลายบริษัทเริ่มที่จะวางแผนงานรับมือสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอีก 3 ปีข้างหน้า โดยเน้นไปที่การวางรากฐานในเรื่องของการเปิดศูนย์ธุรกิจเพื่อเป็นจุดยุทธศาสตร์ในการทำตลาดอนาคต โดยยกขอนแก่น และอุดรธานี เป็นยุทธ-ภูมิทองคำ รองรับการเปิด AEC ซึ่งประเทศเพื่อนบ้านฝั่งตะวันออกนี้ล้วนเป็นกลุ่มประเทศเศรษฐกิจใหม่ ไม่ว่าจะเป็น เวียดนาม, ลาว และกัมพูชา ซึ่งหาก AEC เกิดขึ้น ขอนแก่น และอุดรธานี ก็ไม่ต่างอะไรจากเมืองเศรษฐกิจใหญ่ๆ ของโลกเลยทีเดียว


- มิลค์กี้ เวย์ ทุ่ม 100 ล. ปั้นอุดรฯ เป็นฮับ


นายสุมิตร วชโรดมทรัพย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค จำกัด เปิดเผยว่า บริษัท มิลค์กี้ เวย์ เริ่มต้นก้าวสู่จุดสตาร์ตของธุรกิจ MLM อย่างเต็มตัว โดยก้าวต่อไปบริษัทเตรียมรุกตลาดเครือข่ายอย่างต่อเนื่อง ล่าสุดได้มีการเปิดสาขาใหม่อย่างเป็นทางการ ที่ อิมพีเรียล ลาดพร้าว ชั้น 4 แหล่งศูนย์ รวมธุรกิจเครือข่าย เพื่อรองรับการขยายตัวของธุรกิจในเมือง-หลวง ส่วนสาขาอื่นๆ ปัจจุบัน บริษัทมีสาขาหรือศูนย์เซ็นเตอร์อยู่ตามหัวเมืองใหญ่ๆ ครอบคลุมทั่วประเทศ ไม่ว่าจะเป็นภาคใต้ ในจังหวัดสงขลา (หาดใหญ่) และกำลังจะเปิดที่จังหวัดสุราษฎร์ธานี, ภาคเหนือ ที่จ.เชียงใหม่ และพิษณุโลก, ภาคอีสาน ที่จ.ขอนแก่น และอุดรธานี


สุมิตร ได้เปิดเผยว่า ศูนย์จังหวัดอุดรธานี ถือเป็นพื้นที่ยุทธศาสตร์สำคัญที่สามารถขยายธุรกิจไปสู่ประเทศอาเซียน ได้ ดังนั้น บริษัทจึงเตรียมทุ่มงบลงทุนเพื่อ สร้างฐานธุรกิจอย่างเต็มที่ในพื้นที่ดังกล่าว เพื่อทำตลาดรองรับการเปิดเสรีการค้าอาเซียนที่จะมีขึ้นในอนาคต โดยคาดว่าอาจ ใช้เงินลงทุนทั้งหมด 100 ล้านบาท และเป็นเงินสดทั้งสิ้น


วันนี้ด้วยความพร้อมของธุรกิจ มิลค์กี้ เวย์ ในประเทศไทย ตนจึงคิดว่าน่าจะ ถึงเวลาที่บริษัทจะเริ่มรุกเข้าสู่ตลาดต่าง-ประเทศ ซึ่งการเปิดศูนย์สาขาใหญ่ในพื้นที่ ยุทธศาสตร์ จะสามารถช่วยย่นระยะเวลาการทำธุรกิจและเพิ่มความสะดวกในด้าน ลอจิสติกส์ นอกจากนั้น จะเน้นการทำธุรกิจ ขายตรงแบบหลายภาษาเตรียมความพร้อม ในการเข้าสู่ตลาดสากล


อย่างไรก็ดี ในช่วงปลายปีนี้ หรืออาจเป็นต้นปีหน้า บริษัทจะมีการเปิดสาขา ต่างประเทศในมาเลเซียเป็นประเทศแรก โดยจากเดิมที่คาดว่าน่าจะเป็นประเทศอินเดีย เพราะบริษัทเป็นพันธมิตรทางการ ค้ากับอินเดีย เรียกได้ว่ามีสายป่านทางการ ค้าอยู่มาก แต่เมื่อประเทศมาเลเซียมีความ พร้อมก่อน จึงไม่ควรรอช้าที่จะเข้าไปขยาย ธุรกิจ โดยได้มีการวางงบลงทุนการเปิดศูนย์ธุรกิจที่มาเลเซียไว้เกือบพันล้านบาท ถือเป็นการเริ่มต้นเจาะตลาดไปยังกลุ่มประเทศเอเชียใต้อย่างเต็มกำลัง


- ดีไลฟ์ หวังขอนแก่นเป็นประตู AEC อีสาน


ด้านนายเทวัญ ดีใจงาม ประธานกรรมการและผู้ก่อตั้งบริษัท ดีไลฟ์ อิน-เตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ปีนี้ ดีไลฟ์ เตรียมที่จะบุกตลาดแบบเต็มอัตรา ศึก ทั้งในส่วนของการขยายสาขา และการขยายโรงเรียนสอนธุรกิจ DNA ตามภูมิภาค ต่างๆ โดยในปีนี้ ดีไลฟ์จะมุ่งเน้นไปที่ภาคอีสานเสียส่วนใหญ่ ที่ถือเป็นเป้าหมายหลัก ของบริษัท โดยสาขาที่จะเปิดใหม่ในปีนี้นั้น ประกอบด้วย ขอนแก่น, อุบลราชธานี และ ร้อยเอ็ด ซึ่งสาขาแห่งใหม่ล่าสุดในจังหวัด ขอนแก่นนั้น ตั้งอยู่บนห้างโลตัสขอนแก่น และเชื่อว่าสาขาดังกล่าวนี้ น่าที่จะเป็นอีก หนึ่งแห่งที่จะช่วยสร้างธุรกิจดีไลฟ์ ให้ผู้-บริโภคได้รู้จักด้วยเช่นกัน


โดยการเลือกเปิดสาขาแห่งใหม่ที่จังหวัดขอนแก่นนั้น นายเทวัญ ดีใจงาม บอสใหญ่ค่าย ดีไลฟ์ ได้เล่าว่า สาเหตุที่เลือกเปิดสาขาใหม่ที่จังหวัดขอนแก่นนั้น มองว่าในพื้นที่ดังกล่าวค่อนข้างมีขายตรง ที่เข้ามาเปิดน้อยมาก ในขณะเดียวกัน การ เปิดสาขาที่ขอนแก่น ถือเป็นการสร้างความมั่นใจว่าธุรกิจดีไลฟ์ เป็นธุรกิจที่มีความมั่นคง รากฐานแข็งแกร่ง และต้องบอกว่า การที่เราเลือกเปิดสาขาที่ห้างโลตัส นั้น ถือว่าไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะเปิดได้ เนื่อง จากต้องผ่านหลายขั้นตอนพอสมควร และ การที่ดีไลฟ์เข้ามาเปิดธุรกิจขายตรงที่ห้าง โลตัสได้ ย่อมต้องเป็นธุรกิจที่ไม่ธรรมดาด้วยเช่นกัน


นายเทวัญ บอกต่ออีกว่า ในปีนี้ที่ ดีไลฟ์ฯ มุ่งเน้นทำตลาดในภาคอีสานเป็นหลัก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะสมาชิกส่วนใหญ่ ของดีไลฟ์เป็นคนภาคอีสาน ในขณะเดียว กันยังเห็นว่าภาคอีสานน่าที่จะเป็นประตูสำคัญสู่ตลาดอาเซียนในปี 2558 นี้ได้ด้วย


นอกจากนี้ เครื่องมือในการสร้างความยิ่งใหญ่ของ ดีไลฟ์ ไม่ใช่มีเพียง แค่การรุกเปิดสาขาใหม่ตามภูมิภาคต่างๆ เพียงอย่างเดียว แต่ยังมีอีกหนึ่งหัวหอกที่สำคัญในการสร้างผู้นำสู่ความเป็นมืออาชีพ ในธุรกิจขายตรงนี้ด้วยนั่นก็คือ โรงเรียนสอนธุรกิจ ที่ปัจจุบัน ดีไลฟ์ ได้เปิดให้มีโรงเรียนดังกล่าวไปบ้างแล้ว อาทิ พิษณุ-โลก, เชียงใหม่, อุบลราชธานี, อุดรธานี, นครราชสีมา และชลบุรี เป็นต้น


- MLM เฮโลปักธงแดนที่ราบสูงคึก


นายจักรพันธ์ สุทธโทธน กรรมการ ผู้อำนวยการ เฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่น-แนล (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด เปิดเผยว่า ภายในปีนี้จนถึงต้นปี 2556 บริษัทมีแผน ที่จะเปิดศูนย์สาขา ที่มีลักษณะเป็น Sale Center เนื่องจากมองเห็นถึงศักยภาพ ความพร้อมต่างๆ ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยอาจจะเข้าไปประเดิมในภาคอีสานเป็นพื้นที่ แรก เนื่องจากอัตราการเติบโตขยายตัวเป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาดว่าจะมีการใช้ งบประมาณในการเปิดศูนย์ แต่ละศูนย์ประมาณ 5 ล้านบาท และในอนาคตจะมีการขยายไปที่ภาคใต้ ภาคเหนือเป็นลำดับ ถัดไป


ปีนี้สัดส่วนยอดขายของบริษัทเติบโต ขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่บริษัทปรับกลยุทธ์การตลาด โดยเข้าไปรุกในส่วนของ ตลาดภูมิภาคมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนยอดขายในช่วงไตรมาสแรกของภูมิภาคต่างๆ มีอัตราสูงขึ้น โดยภาคอีสาน มียอดขายโต 100%, ภาคใต้ 30% และภาคเหนือโต 5% ตามลำดับ โดยปัจจุบัน บริษัทมีสมาชิกแอ็กทีฟประมาณ 2.3 หมื่น รหัส จาก 50 จังหวัดทั่วประเทศ ปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มอีก 5 พันรหัส


ด้านนายวิชัย ทองขุนคำ ประธานกรรมการ บริษัท ธนาธร ยูเนี่ยนไลฟ์ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับศูนย์จำหน่ายสินค้าของบริษัทในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่จะ เป็นของสมาชิก ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ที่จังหวัด กระบี่, สุราษฎร์ธานี, แม่สอด, ตราด, เชียง-ใหม่, เชียงราย, ขอนแก่น, กาฬสินธุ์, นคร-ราชสีมา, ชัยภูมิ และบุรีรัมย์ โดยปีนี้ตั้งเป้า ที่จะมีศูนย์ให้ได้ประมาณ 40 จังหวัด และปี หน้าคาดว่า ธนาธรจะต้องมีศูนย์ครบทุกจังหวัดอีกด้วย


เป้าหมายของเราคือ 3 ปีแรกเป็น การตั้งรับ 3 ปีที่ 2 เป็นการทำตลาดเชิงรุก 3 ปีที่ 3 เป็นการสร้างแบรนด์ ขณะเดียวกัน ในภาวะที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้ เราขอที่ จะ เติบโตอย่างไม่หวือหวา ไม่อยากที่จะแข่งขัน กับใคร ต้องการที่จะแข่งขันกับตัวเองเสีย มากกว่า และต้องการโตแบบมีคุณภาพ โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเป็นยอดขายที่อาจจะไม่เยอะแต่หาก ทำได้ตรง ตามเป้า ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความสำเร็จของ เราด้วยเช่นกัน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1348 ประจำวันที่ 31-10-2012 ถึง2-11-2012

ไอยราแพลนเน็ต (Aiyara Planet) ตามกระแสฮิตส่งสินค้า ไอลดา Ailada เอาใจหญิง


ไอยรา จัดงานเกียรติยศครั้ง แรกของบริษัท ติดเข็มนักธุรกิจระดับ โกลด์สตาร์ 70 คน พร้อมเปิดตัวสินค้า ใหม่ทีเดียว 2 ตัว เจาะตลาดผู้หญิงเป็นหลัก ทั้งเสริมอาหารช่วยการทำงานภายในที่กำลังฮอตฮิต และผลิตภัณฑ์บำรุงผิว กาปฏิทินเดือน ก.พ.จัดงานใหญ่ เปิดสินค้าใหม่เพิ่มอีก 10 ตัว เน้นส่วนผสมงาดำ ตั้งตัวเป็น เจ้าของลิขสิทธิ์สินค้าจากงาดำ

นายกัมปนาท บุญราศรี ประธานกรรมการ บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้จัดงานซอฟต์โอเพนนิ่ง ขึ้น เพื่อเป็นการมอบเกียรติคุณให้แก่นักธุรกิจ ของบริษัทระดับโกลด์สตาร์ โดยมีนักธุรกิจที่ได้รับรางวัลนี้ทั้งหมด 70 คน จากการประกาศใช้แผนงานและเปิดตัวบริษัทมาได้ประมาณ 7 เดือน

โดย 7 เดือนที่ผ่านมา มีผู้ประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง ซึ่งงานดังกล่าว นับเป็นงานที่สำคัญ ไม่เพียงแต่เป็นงานมอบ เข็มเท่านั้น แต่บริษัทต้องการที่จะแสดงถึงความเป็นบริษัทที่ขาวสะอาด เป็นธุรกิจขาย ตรงสีขาว อีกทั้งบริษัทยังต้องการที่จะแสดง ศักยภาพให้สมาชิกได้เห็น ประธาน ไอยรา เผย

อย่างไรก็ดี ไอยรา ได้กำหนดตำแหน่ง ของบริษัทไว้ทั้งหมด 9 ตำแหน่ง โดยในตำแหน่งโกลด์สตาร์ซึ่งเป็นตำแหน่งที่บริษัท จัดงานมอบเข็มให้นี้ เป็นตำแหน่งที่ 3 ของ บริษัท ซึ่งผู้ที่จะได้ตำแหน่งนี้ จะต้องมีเครือ ข่าย ซ้าย 10 ขวา 10 ตามแผนงานที่บริษัท ได้กำหนด โดยไอยรามีความต้องการให้ผู้ที่ เดินเข้ามาในบริษัททำงานจริง ซึ่งในงานนี้ บริษัทคาดว่าจะมีผู้มาร่วมงานประมาณ 1 พันคน

ในส่วนของตำแหน่งอื่นๆ นั้น บริษัท ได้รอที่จะจัดงานแกรนด์ขึ้น ในช่วงต้นปีหน้า ประมาณเดือนก.พ.ซึ่งเป็นงานที่จัดขึ้นเพื่อมอบรางวัลให้กับนักธุรกิจในระดับต่างของบริษัท โดยจะเป็นงานใหญ่ประจำปีของบริษัท เลยทีเดียว กัมปนาท กล่าว

นอกจากในส่วนของงานที่บริษัทได้จัดขึ้นมานี้ โดยในวันเดียวกันนั้น ไอยรายังได้จัดเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท ซึ่งเป็นสินค้าเกี่ยวกับผู้หญิง ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อระบบการทำงานภายในของผู้หญิง ซึ่งกำลังเป็นที่นิยมในตลาด ซึ่งบริษัทขายตรงหลายค่ายใช้สินค้าประเภทนี้เป็นสินค้าเรือธง อีกทั้งยังมีสินค้ากลุ่มบำรุง ผิวสำหรับผู้หญิง ชื่อ ไอลดา อีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ โดยบริษัทต้องการตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคที่เป็นผู้หญิงให้มากขึ้น

นับจากนี้ บริษัทจะหยุดในเรื่องของ การเปิดตัวสินค้าใหม่ โดยจะรอให้ถึงงานแกรนด์ในช่วงเดือนก.พ. ที่บริษัทจะจัดงานใหญ่ เพื่อเปิดตัวสินค้าใหม่ต่อไป ซึ่งคาดว่า ในงานวันนั้น บริษัทจะเปิดตัวสินค้าเพิ่มอีก ประมาณ 10 รายการ หัวเรือ ไอยรา เผยถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ในอนาคต

อย่างไรก็ตาม หลังจากที่บริษัทได้เปิด ตัวสินค้าที่สกัดจาก งาดำ ไปเมื่อช่วงก่อนหน้านี้ โดยได้ส่งสินค้าเรือธงอย่างผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร อิมมูล่า สารสกัดจากงาดำที่ได้รับการวิจัยจากนักวิทยาศาสตร์ผู้เชี่ยวชาญออกจำหน่ายอย่างเป็นทางการ ปรากฏว่าผลตอบรับดีเกินความคาดหมาย ครึ่งปีแรกบริษัทปิดยอดขายได้มากกว่า 50 ล้านบาท สิ้นปีนี้มั่นใจว่าจะเกินเป้าหมายที่ตั้งไว้ 100 ล้าน บาทอย่างแน่นอน ส่วน ยอดสมาชิกคาดว่า สิ้นปีอาจถึง เป้า 1.5 หมื่นรหัส เนื่องจากปัจจุบันมีอยู่แล้วกว่า 8 พันรหัส

ในส่วนของนักวิจัยผู้คิด ค้นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพให้กับ บริษัทนั้น กัมปนาท เปิดเผยว่า บริษัทได้รับความร่วมมือจาก รศ.ดร.ปรัชญา คงทวีเลิศ นักวิจัยจากคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ผู้เป็นหัวหน้าหน่วยวิจัยวิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด ซึ่งคิดค้นงานวิจัยสารสกัดงาดำ และนำผลงานวิจัยตีพิมพ์ในวารสารโลกมาร่วมเป็นทีม ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทอย่างเป็นทางการ จึงทำให้ปัจจุบันไอยราได้ถือสิทธิบัตรงานวิจัย 1 ใน 5 ใบ ซึ่งเป็นเซซามีน ผลิตภัณฑ์งาดำชั้น 1 โดยผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สกัดจากงาดำตัวนี้ของบริษัทมีชื่อว่า อิมมูล่า

โดยจากความสำเร็จดังกล่าว บริษัทมีความต้องการทำให้บริษัทเป็นจ้าวแห่งสินค้าที่มีการสกัดจาก งาดำ โดยจะทำให้สินค้าของบริษัททุกรายการ มีสารสกัดของ งาดำ ผสมอยู่ เนื่องจากการเล็งเห็นถึงคุณประโยชน์ต่างๆ ที่มีอยู่ในงาดำ

ในส่วนของยอดขาย 100 ล้านบาท ซึ่งเป็นเป้าหมายตัวเลขยอดขายของบริษัท ในปีนี้ บริษัทเชื่อว่าในเวลาอีกไม่นานนัก บริษัทจะสามารถทำเป้าหมายยอดขายให้ได้ตามเป้าหมาย

ในช่วงท้ายของปี บริษัทได้วางกลยุทธ์ ลงภาคสนามเข้าถึงผู้บริโภคมากขึ้น เพื่อเป็น การขยายโอกาสทางธุรกิจให้เป็นที่รู้จักของ คนทั่วประเทศ นอกจากนั้น บริษัทกำลังเร่ง ดำเนินการในเรื่องของระบบการฝึกอบรม โดยดึงอาจารย์ชาญวิทย์ เมธาชัยวุฒิ วิทยากรผู้เชี่ยวชาญในการฝึกอบรม มาร่วมผนึกกำลังเสริมความแกร่งให้กับบริษัท ซึ่งอาจารย์ชาญวิทย์ กล่าวว่า การอบรมจะ แบ่งเป็น 5 หลักสูตร ได้แก่ 1.คนที่เริ่มทำธุรกิจจะอบรมถึงการเปลี่ยนแปลงเพื่อการเติมเต็ม 2.การพัฒนาบุคลากรในสถาบันอบรมให้พวกเขารู้ว่าธุรกิจคืออะไร 3.วิถีผู้นำ ไอยรา ภาวะผู้นำ 4.หลักสูตรผู้บริหาร และ 5.ชื่อคอร์ส ว่า We are Aiyara ทุกคนคือไอยรา

สำหรับการทำงานของบริษัทนับจาก นี้ จะเน้นไปที่เรื่องของคนเป็นสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ขึ้น ทำอะคาเดมี่ AEO อีกทั้งยังมีเรื่องของการทำโรดโชว์ในจังหวัต่างๆ อาทิ เชียงใหม่, สุรินทร์, สุพรรณ, ชุมพร, และกระบี่ โดยบริษัทเน้นไปที่การเทรนนิ่งนักธุรกิจเป็นหลัก พร้อมกันนี้ บริษัทยังส่งเสริมให้นักธุรกิจทำเฮาส์มีตติ้งขึ้น โดยจะเป็นการจัดอบรมตามบ้านของสมาชิก โดยสมาชิกด้วยกัน

ในส่วนของหลักสูตรการฝึกอบรมวิทยากร หรือผู้นำนั้น บริษัทได้มีการจัดฝึกอบรมไปแล้ว 4 รุ่น รุ่นละ 25 คน รวมทั้งหมด 100 คน ซึ่งเหตุที่บริษัทหันไป เน้นหลักสูตร นี้มากขึ้น เนื่องจากมองว่า วิทยากรจะเป็นเหมือนกระบอกเสียง หรือผู้ที่สามารถประชาสัมพันธ์ข้อมูลที่ถูกต้อง ให้กับผู้บริโภค และนักธุรกิจรายใหม่ได้ โดยที่ผ่านมาจัดอบรมไปแล้ว 4 รุ่นจำนวน 100 คน และมีแผนจะเปิดการอบรมอีก 4 รุ่น จำนวน 100 คนเช่นเดิม ซึ่งเมื่อเสร็จสิ้นบริษัทก็จะมีวิทยากรผู้เชี่ยวชาญที่จะช่วยประชาสัมพันธ์ ข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง ให้กับบริษัทถึง 200 คนด้วยกัน

โดยในส่วนของเป้าหมายของนักธุรกิจนั้น บริษัทวางเป้าไว้ที่ 1.5 หมื่นคน ซึ่งบริษัทจะพยายามสร้างยอดสมาชิกให้ถึงตัวเลขดังกล่าวให้ได้ในช่วงปลายปี ทั้งนี้ กัมปนาท ยังได้กล่าวในตอนท้ายว่า บริษัทต้องการให้ผู้บริหารลุยงานเองรวมทั้งตัวเอง ไม่ใช่เพียงแต่ใช้เงินซื้อความสำเร็จมา ซึ่งหากผู้บริหารลงมือ ลงแรง เอง จะมีความสำเร็จที่ยั่งยืนมากกว่า และแข็งแกร่งกว่าการซื้อความสำเร็จ


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1348 ประจำวันที่ 31-10-2012 ถึง2-11-2012

สุขุม สุขโข : "กว่าจะมาถึงวันนี้ต้องใช้เวลาบวกความอดทน" เยี่ยมบ้านนักขายผู้สำเร็จค่าย ไบเน็ท


วันนี้อาจจะมีหลายคนถามผมว่า คุ้มไหมกับการเข้ามาทำธุรกิจเครือข่าย ผมกล้าพูดได้เลยว่าคุ้มอย่างมากทีเดียว ซึ่งสิ่งสำคัญที่สุดของการเข้ามาสู่ธุรกิจนี้แล้ว คือ คุณต้องมีความทุ่มเทด้วยใจ หากคุณทุ่มเทกับมันเชื่อได้เลยว่าสำเร็จอย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้ผมเองรอที่จะรับตำแหน่งไดมอนที่ถือเป็นตำแหน่งสูงสุดของบริษัท และหากใครที่อยากจะประสบความสำเร็จเหมือนอย่างผม ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้เช่นกัน...


อย่าคิดว่าสูญเสียแล้วชีวิตจะต้องเป็นศูนย์ เรานับหนึ่งใหม่ได้เสมอ หากเราคิดจะนับซะอย่างเป็นอีกหนึ่งสำนวนชวนคิด ที่เชื่อว่า หากใครหลายคนได้ลองเก็บเอาไปคิดแล้ว คงน่าที่จะได้อะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิตอย่างแน่นอน...คอลัมน์เยือนบ้านนักขายปักษ์นี้ ขอร่วมเปิดบทบันทึกความสำเร็จของนักขายบริษัท ไบเน็ท ยูเนี่ยน โกลด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัดนามว่าสุขุม สุขโขหนุ่มผู้ที่ไม่ยอมแพ้กับชะตาชีวิต!!


...สุขุม สุขโขอดีตรับราชการเป็นทหารเรือ ที่ตัดสินใจสลัดคราบเครื่องแบบมาวางมือเดิมพันชีวิตกับธุรกิจขายตรง...กับบริษัท ไบเน็ท ยูเนี่ยน โกลด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัดเพียงแค่ต้องการหลุดพ้นจากความยากลำบากของคำว่ามนุษย์เงินเดือนที่มีรายได้ค่อนข้างไม่พอกิน พอใช้ ต้องหารายได้เสริมด้วยการทำธุรกิจเปิดกิจการร้านอาหารแต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จ จนมีหนี้สินล้นตัว...


และดูเหมือนว่าฟ้าจะสั่งให้มาพลิกชะตา เพื่อลิขิตชีวิตเขา ให้มาพบกับความร่ำรวยในเส้นทางสายขายตรงนี้ ซึ่งหลังจากที่เขาได้เริ่มต้นทำธุรกิจขายตรงเพียงแค่ 6 เดือน ก็สามารถมีรายได้เดือนละแสน ซึ่งต่างจากงานที่ผ่านมา ๆ ที่กว่าจะได้เดือนละแสนเลือดตาแทบกระเด็น...และจากภาพความสำเร็จที่เริ่มมองเห็นทำให้สุขุมได้พูดกับตัวเองว่าวันนี้ความร่ำรวยเริ่มที่จะมาเยือนเขาแล้ว...


เมื่อตัดสินใจเข้ามาทำธุรกิจอย่างจริงจัง และวาดฝันอนาคตไว้อย่างสวยหรูกับไบเน็ทหนุ่มนักสู้อย่างสุขุม สุขโขก็ออกลุยพื้นที่อย่างหนัก ด้วยการช่วยเหลือลูกทีม วางแผนสายงานและจัดสัมมนา, จัด OPP,จัดเทรนนิ่งผู้นำ และก็ทำอยู่อย่างนี้มา 5-6 ปี ทำถึงขนาดว่าไม่มีเวลานอนกันเลยทีเดียว...
...และแล้ว เหมือนฟ้าได้กลั่นแกล้งเขาหรืออย่างไรไม่รู้!สุขุม สุขโขได้ป่วยเป็นโรคมะเร็ง...ซึ่งตอนนั้น ต้องบอกว่า ตัวเขาเอง ได้ต่อสู้กับโรคมะเร็งนี้มายาวนานหลายปี แต่ด้วยความที่เป็นคนที่สู้ ไม่ยอมแพ้ เขาเองก็ได้ดูแลสุขภาพของตัวเองมาโดยตลอด จนกระทั่งอาการก็เริ่มดีขึ้นเรื่อย ๆ แต่ซ้ำร้ายไปกว่านั้น เขาผู้นี้ได้เหลือปอดอยู่หนึ่งข้าง ไตหนึ่งข้าง...ซึ่งถึงแม้ร่างกายของเขาอาจจะไม่พร้อม แต่หากมองถึงสภาพจิตใจของชายที่ชื่อสุขุมแล้ว ต้องบอกว่าพร้อมที่จะทำงานอย่างเต็มที่เพื่อให้ชีวิตของตนเองดีขึ้น ที่สำคัญ การต่อสู้ในครั้งนี้ไม่ใช่เพียงแค่เขาคนเดียวเท่านั้น แต่เป็นการสู้เพื่อลูกชายและคนที่อยู่ข้างหลังนั่นเอง!
สุขุม สุขโขบอกกับเราอีกว่า...ชีวิตที่เหลืออีกครึ่งชีวิตนั้น ตนเองขอสร้างอะไรดีๆ สักอย่าง ไว้เพื่ออนาคตที่ดีให้กับลูก หลาน..ดังนั้นผลพวงจากความขยัน อดทน และต่อสู้ส่งผลให้สุขุมเติบโตในธุรกิจเครือข่ายเพียงระยะเวลาไม่กี่ปี และปัจจุบันเขามีรายได้กับไบเน็ท ยูเนียน โกลด์สูงสุดถึง 2,000,000 บาท/เดือนเลยทีเดียว ซึ่งยังไม่นับรวมกับคลับเฮ้าส์ที่ จ.อุดรธานี และคลับเฮ้าส์ที่ จ.ขอนแก่น อีกมูลค่ากว่า 60 ล้านบาท...


ซึ่งความสำเร็จ ยังคงไม่หยุดแค่นี้ เพราะก่อนหน้านี้ตัวสุขุมเอง ก็ยังคงมีบ้าน รถ ที่ดินและเงินเก็บเพื่อเป็นทุนการศึกษาของลูกอยู่บ้าง อย่างบ้านก็จะมีอยู่ที่ อ.สัตหีบ จ.ชลบุรี ราคา 3 ล้านกว่าบาท ที่ถือเป็นบ้านหลังแรกที่เขาผู้นี้บอกว่าค่อนข้างมีความภูมิใจอย่างมาก เพราะได้มาจากธุรกิจนี้ ซึ่งปัจจุบันนี้เขาไม่ได้ไปอยู่แล้ว โดยเปิดให้ลูกทีมแวะไปพัก ไปเที่ยวเสียส่วนใหญ่ ซึ่งลักษณะเป็นแบบบ้านเดี่ยวทั่วไป 2 ชั้นมี 4 ห้องนอน โดยด้านหน้าได้ต่อเติมเป็นออฟฟิศ....
สุขุมไม่ได้มีบ้านเพียงแค่หลังเดียวเท่านั้น แต่เขาผู้นี้ยังมีบ้านหลังที่ 2 ที่ซื้อไว้เพราะความจำเป็นอีกหนึ่งหลัง อยู่ภาคเหนือ อ.แม่สอด จ.ตาก ราคา 5.2 ล้านกว่าบนเนื้อที่ 120 ตารางวา เป็นบ้านเดี่ยว 1 ชั้น ตั้งอยู่ในโครงการแม่สอดวิลล่า หน้าบ้านก็จะมีสวนดอกไม้เล็ก ๆ มีโต๊ะม้าหินอ่อน ไว้สำหรับนั่งเล่นนั่งพักผ่อนกับลูก ๆ เวลาเครียด ๆ กับงาน ก็จะไปพักบ้าง โดยเฉพาะบรรยากาศในช่วงฤดูหนาว ยามเช้าก็จะมองเห็นละอองน้ำจาง ๆ และน้ำค้างที่ตกอยู่บนยอดหญ้า ทำให้จิตใจเบิกบาน ชุ่มฉ่ำไม่เครียด ซึ่งปัจจุบันบ้านหลังนี้ ก็ได้ปล่อยเช่าไปแล้ว...


ซึ่งอสังหาริมทรัพย์ของสุขุมยังไม่หมดเพียงแค่นี้ แต่ยังมีบ้านอีกหลังอยู่ที่ จ.ขอนแก่น ซึ่งถือเป็นบ้านเกิดของสุขุมเอง โดยบ้านหลังนี้ ไม่ได้เป็นบ้านหลังใหม่ เป็นบ้านหลังเดิมที่สุขุม สุขโขอาศัย
อยู่มาตั้งแต่เด็ก โดยบ้านหลังนี้ ได้มีการปรับเปลี่ยนและปรับปรุงต่อเติมนิดหน่อย โดยเป็นบ้านแนวสไตล์โฮมสเตย์ 2 หลังติดกัน มีห้องโถงเชื่อม....
โดยสุขุมเอง ได้อธิบายเล่าให้ฟังว่า บรรยากาศภายในบริเวณบ้านหลังนี้ เรียกได้ว่าเป็นบ้านสวนร่ม ๆ ตั้งอยู่บนเนื้อที่ 4 ไร่ มีการจัดแบ่งเป็นสัดส่วน ไม่ว่าจะเป็นโซนแรกที่พบเจอก็จะเป็นสวนขนาดเล็ก ๆ อยู่บริเวณหน้าบ้านและข้าง ๆ บ้านมีการปลูกทั้งไม้ดอก ไม้ประดับ...


ถัดมาก็เป็นในส่วนของตัวบ้าน ที่เป็นบ้านทรงไทยโบราณ แต่ออกแนวโมเดลสักหน่อย เรียกว่าเป็นการเอาไม้มาบิวด์อินใส่เข้ากับปูน และยังเอาความเป็นโมเดลของสมัยใหม่ใส่เข้าไปด้วย ผสมผสานกันอย่างลงตัว มองดูคล้ายกับโฮมสเตย์ 2 หลัง เชื่อมระหว่างกลาง ด้วยห้องโถงขนาดใหญ่ที่ไว้สำหรับสมาชิกมาเยี่ยมเยือน หรือมีการจัดประชุมก็จุคนได้เป็นร้อยท่าน...


นอกจากนี้สุขุมยังได้พูดถึงหลักการทำงานให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่ายว่า สิ่งแรกเลย คือ ต้องมีความมุ่งมั่น ตั้งใจและลงมือทำอย่างจริงจัง เพราะตอนนี้รหัสที่อยู่ภายใต้สายงาน ของสุขุมมีล้านรหัส แต่ก็ยังมีเพียงแค่10,000 รหัส ที่ทำตามระบบของเขาเท่านั้น...


... วันนี้อาจจะมีหลายคนถามผมว่า คุ้มไหมกับการเข้ามาทำธุรกิจเครือข่าย ผมกล้าพูดได้เลยว่าคุ้มอย่างมากทีเดียว ซึ่งสิ่งสำคัญ ที่สุดของการเข้ามาสู่ธุรกิจนี้แล้ว คือ คุณต้องมีความทุ่มเทด้วยใจ หากคุณทุ่มเทกับมันเชื่อได้เลยว่าสำเร็จอย่างแน่นอน ซึ่งตอนนี้ผมเองรอที่จะรับตำแหน่งไดมอนที่ถือเป็นตำแหน่งสูงสุดของบริษัท และหากใครที่อยากจะประสบความสำเร็จเหมือนอย่างผม ผมเชื่อว่าทุกคนทำได้เช่นกัน...


...และนี่ก็คือ อีกหนึ่งภาพความสำเร็จของนักขายค่ายไบเน็ท ยูเนียน โกลด์ ที่ชื่อสุขุม สุขโขซึ่งต้องบอกว่าเขาผู้นี้กว่าที่จะเข็นตัวเองให้ประสบความสำเร็จจนมีชีวิตที่ดีเช่นนี้ได้ ก็ต้องอาศัยความอดทนเช่นกัน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. ตลาดวิเคราะห์ ประจำวันที่ 1 - 15 พฤศจิกายน 2555ฉบับ331

ห้องเรียนเงินล้าน เวิลด์โปร WorldPro วิถี 2 ครูผู้สอน กิตติพงษ์ อัฐพร - อัจฉรา จุฬาวิริยาภรณ์


เส้นทางสำเร็จ...กับบริษัท เวิลด์โปร (ประเทศไทย) จำกัด2 ครูผู้สั่งสอนและอบรมปุถุชนคนรุ่นใหม่ - เก่า ให้มีจิตใจรักในอาชีพขายตรง ส่งเสริมให้ทุกคนที่อยู่ภายใต้เครือข่ายให้ยึดขายตรงเป็นอาชีพหลัก หรือทำเป็นอาชีพเสริม...เพื่อเติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์


กิตติพงษ์ อัฐพรและอัจฉรา จุฬาวิริยาภรณ์ซึ่งบ่อยครั้งที่ รายการ : คลับเงินล้าน ออกอากาศทางสถานี INTV และ TVD จะได้รับเกียรติจากบุคคลทั้ง 2 มาร่วมแชร์ประสบการณ์เครือข่ายขายตรง อาชีพที่มักไม่มีใครเชื่อว่า จะสามารถสร้างความร่ำรวยได้ พลิกชีวิตจากดินสู่ดาว...และเมื่อมีโอกาสได้เปิดอกคุยกับมนุษย์เงินล้านทั้ง 2 ท่านอีกครั้ง ต้องบอกว่า ไม่ผิดหวังเช่นเดิม...เพราะแนวคิดของ 2 ท่านนี้ ได้ปรับอะแด็ปวิธีการทำงาน วิธีการเรียนรู้ แตกต่างจากผู้นำเงินล้านทั่วไป


ถามว่า...แตกต่างกันอย่างไรกิตติพงษ์และอัจฉรามีวิธีการสอนสมาชิกหรือดาวไลน์ ให้ผิดแผกแตกต่างจากวงการที่มีบทบัญญัติ บทเรียน ที่ต้องเข้าห้อง 1 2 3 4 ออกมาแล้วสำเร็จเลย โดยไม่เคยรู้ว่า...สิ่งที่เขาได้รับการถ่ายทอดมานั้น พอมาถึงภาคปฏิบัติทีมงานกลับทำไม่เป็น


กิตติพงษ์และอัจฉราพลิกตำราสอนใหม่ เริ่มสอนด้วยวิธีการของตัวเอง ตั้งแต่การไปหาแหล่งน้ำ เพื่อที่จะตกปลา แล้วสังเกตว่าตรงนั้นมีปลาหรือไม่ จากนั้นค่อยเกี่ยวเบ็ดทิ้งไว้ เมื่อได้ปลามานำมาปรุงเป็นอาหาร แล้วแบ่งปันให้คนอื่นทาน...ฟังดูแล้วอาจจะงง ๆ ง่าย ๆ อาจจะขยายความได้ว่า เมื่อชวนคนมาทำขายตรง เริ่มจากการทำความเข้าใจก่อน แล้วค่อยเฟ้นหาความเชี่ยวชาญ เพราะแต่ละคนจะมีความเชี่ยวชาญที่ต่างกัน จากนั้นใส่ตำราบันทึกไว้ในสมอง แล้วค่อยลงมือปฏิบัติจริง เรียกว่า เรียนรู้ตั้งแต่ต้นยันจบ โดยไม่ละทิ้งทีมงานแม้แต่ขั้นตอนเดียว แถมยังรวมการปลูกฝังวัฒนธรรมองค์กรเข้าไปด้วย


เพราะการทำงานแต่ละครั้ง เราได้สมาชิกที่มาจากต่างระดับ ต่างการศึกษา แต่เมื่อมาอยู่รวมกันก็จะถูกหล่อหลอมให้รักกัน เผื่อแผ่ซึ่งกันและกัน...นี่จึงเป็นที่มาของชื่อทีมบราเธอร์ & ซิสเตอร์ที่สร้างทุกคนให้อยู่ภายใต้อารมณ์และวัฒนธรรมเดียวกัน ที่นี่ จึงไม่ต่างจากโรงเรียนสอนธุรกิจขายตรง...และเมื่อจบคอร์สทุกคนก็จะมีรายได้หลักหมื่น หลักแสน หลักล้าน เสมือนใบปริญญาการันตีคุณภาพแห่งความสำเร็จ


อัจฉราผู้ซึ่งมองโลกเครือข่าย เป็นธุรกิจที่สวยงามเสมอ และทุกครั้งที่เธอได้ถ่ายทอด เธอก็จะย้ำกับทีมงานทุก ๆ คน ว่าขายตรงเป็นธุรกิจที่ทำได้ง่ายมาก แค่ทำให้คนข้างล่างประสบความสำเร็จเยอะที่สุด เมื่อเขาประสบความสำเร็จ เราก็ประสบความสำเร็จตาม...แค่นั้นเอง

ยิ่งถ้าถามถึงความสำเร็จกับเราทั้ง 2 คน เราสำเร็จถือว่า เป็นเรื่องปกติ เพราะเรามีประสบการณ์การทำเครือข่ายมาหลายปีแล้ว แต่วันนี้ความสำเร็จที่แท้จริง มันจะต้องสำเร็จมาจากองค์กรข้างล่าง ซึ่งจะส่งผลให้เรามีรายได้ตาม อย่างที่ คุณน้อง - อัจฉรา กล่าวให้ฟังเมื่อสักครู่นี้กิตติพงษ์กล่าวและเสริมต่อว่า


สิ่งหนึ่งที่ บราเธอร์ & ซิสเตอร์ เราเองได้พิสูจน์มาตลอดจนถึงวันนี้ มันสัมฤทธิ์ผลอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรม นั่นก็คือ การทำงานอย่างเป็นระบบ เราใช้ระบบทำงาน หากเทียบกับอดีตคนที่ประสบความสำเร็จมีรายได้หลักแสน หรือหลักล้านต่อเดือนในวงการธุรกิจขายตรงมีไม่กี่คน ต้องบอกว่าซุปเปอร์แมนมีไม่เยอะหรอกครับ อย่างดีก็คนสองคน แต่วันนี้โจทย์ที่สำคัญที่สุดคือ เราจะทำอย่างไรให้คนที่ไม่มีประสบการณ์ หรือมีประสบการณ์น้อย ให้เขาประสบความสำเร็จมีรายได้หลักหมื่น หลักแสน หรือเป็นล้านในอนาคต ก็ต้องพึ่งระบบเท่านั้นครับ
หลาย ๆ ที่ หลาย ๆ ทีมที่เราไปคุยกันเขา ก็บอกว่าเขามีระบบ การมีระบบอันที่จริงแล้วมันต้องมีประสิทธิภาพ และคนที่ถูกส่งเข้าสู่ระบบ อย่างน้อยที่สุดก็ประสบความสำเร็จในเรื่องของรายได้ วันนี้ บราเธอร์ & ซิสเตอร์ ทีมเราทำงานสำเร็จ ซึ่งผมก็ดีใจที่ได้เอาภาพความสำเร็จของน้อง ๆ มาให้ทุกท่านได้สัมผัส และมาร่วมแชร์ประสบการณ์กัน


ชื่นใจค่ะกับความสำเร็จของพวกเขาอัจฉรากล่าวอย่างมาดมั่น...เพราะว่าอย่างน้อย ๆ น้องที่เรียนหนังสืออยู่ก็มีรายได้ 4 - 5 หมื่นบาท/เดือน เขาไม่ต้องไปขอเงินคุณพ่อ - คุณแม่ ไม่เป็นภาระของสังคม น้อง ๆ แทบจะทุกมหาวิทยาลัยที่มาร่วมกับทีมเรา นักศึกษาแพทย์ก็มี


วันนี้ การทำงานของเรา ทำงานรูปแบบใหม่ที่ไม่ใช่ธุรกิจเครือข่ายเดิม ๆ ซึ่งไม่จำเป็นต้องอาศัยประสบการณ์ ที่สำคัญเราใช้สื่อเข้ามาช่วย อย่างเช่น อินเตอร์เน็ต เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จได้ ที่นี่ เราจึงอยู่กันเหมือนพี่ - น้อง เหมือนมหาวิทยาลัย ซึ่งเราเคยบอกทุกครั้งว่า วันนี้ถ้าเราสำเร็จไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าน้อง ๆ ในทีมสำเร็จ ตรงนี้สิแปลก และเราก็ชื่นใจมาก ที่มองเห็นภาพความสำเร็จของน้อง ๆ เดือนหนึ่งรับรายได้หลักหมื่นบาท/เดือนเยอะมาก ส่วนหลักแสนก็ขยับตามมา


ที่สำคัญที่สุดคือ ภาพความสำเร็จมันฟ้อง...เพราะเขาเป็นเจ้าของรถป้ายแดง ในวันที่ 12 สิงหาคม 2555 ที่ผ่านมา ทั้งรถโตโยต้าแคมรี่ ไฮบริดจ์, เชฟโรเลต, ฮอนด้าแจ๊ส, ฮอนด้าแอคคอร์ด วันที่เขาออกรถมีความหมายหมดนะค่ะ เพราะมันคือ วันแม่ หรือ วันพ่อ เปรียบเสมือนเป็นของขวัญวันเกิดและตอบแทนพระคุณท่านให้ท่านมีกำลังใจ อัจฉรา กล่าวอย่างภาคภูมิใจและต่อว่า
น้อง ๆ รุ่นใหม่ที่มาอยู่กับเรา ส่วนใหญ่เขายังไม่มีครอบครัว เราจะสอนให้เขารักคุณพ่อ - คุณแม่ มีความกตัญญูรู้คุณ เพราะอย่างน้อยเชื่อว่าความกตัญญู มันส่งผลให้ชีวิตเขาเจริญรุ่งเรือง เราสอนให้เขาทำแบบนี้ค่ะ พูดให้เขาคิดเลยว่า ชีวิตที่ดีในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร และต่อไปต้องทำอะไร ไม่ใช่ชีวิตของเขาเอง แต่เป็นชีวิตของคนที่เขารัก นั่นก็คือ คุณพ่อ คุณแม่ มันปรากฏให้เห็นชัดแล้วค่ะ ว่า ก่อนหน้านั้นเราอาจยังไม่มีภาพความสำเร็จของน้อง ๆ แต่วันนี้เราทำสำเร็จแล้วส่วนหนึ่ง


พวกเขากำลังมีอนาคตที่ก้าวไกล ซึ่งกล้าพูดเลยว่า เครือข่ายในประเทศไทยที่จะเห็นภาพแบบนี้กับเด็กใหม่ ๆ นั้น...มันยากมาก
วันที่น้องหลาย ๆ คนไปออกรถ เขาก็เชิญคุณพ่อ - คุณแม่มาด้วย แถมยังดีใจและมาฝากฝัง จากเดิมที่ปฏิเสธไม่ให้ลูกทำเครือข่าย บอกลูกว่า อย่าไปทำเลย งานอะไรก็ไม่รู้ ให้ทำงานประจำดีกว่าไหม แต่ปัจจุบันนี้โทรหาลูกบ่อย ไปทำงานรึยัง เข้าบริษัทรึยัง เห็นไหมคะ ว่า เขาต้องเปิดใจโดยอัตโนมัติ จ
ากภาพที่ลูกเขาประสบความสำเร็จจริง ๆ

แต่การที่จะเอาเด็กนักเรียนมานั่งทำเครือข่ายนั้น มันไม่ใช่เรื่องง่าย คือให้คิดอย่างนี้ ว่า คอนเซ็ปต์ บราเธอร์ & ซิสเตอร์ ส่วนใหญ่จะเป็นนักศึกษาเยอะ ซึ่งอุปนิสัยเดิมเขาจะเป็นคนที่ติดเกมส์ เล่อินเตอร์เน็ตกันทั้งวันทั้งคืน แค่วันนี้เขาติดเกมส์แล้วเปลี่ยนวิถีชีวิตเขาใหม่ให้มารู้จักสร้างชีวิต สร้างอนาคตในวัยหนุ่ม - สาวจะดีกว่าไหม.. นี่คือ คำถามประโยคแรก ที่เราต้องใฝ่หาคำตอบ


ตรงนี้เราไม่ได้ไปปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเขาเยอะ แค่ปรับการทำงานให้สอดคล้องกับอุปนิสัย ซึ่งเป็นพฤติกรรมในแต่ละวันของเขาที่ใช้อินเตอร์เน็ตอยู่แล้ว แต่จะปรับอย่างไรให้เกิดรายได้ ตรงนี้ก็มีระบบรองรับ นี่คือ การทำงานรูปแบบใหม่จริง ๆ ผมบอกได้เลยว่า น่าจะเป็นที่เดียวในประเทศไทยที่เราวางรูปแบบนี้ เราออกแบบงานให้เหมาะกับคน เราไม่ต้องการคนให้เหมาะกับงาน แค่เราเปลี่ยนคอนเซ็ปต์ใหม่ ก็ได้ผลลัพธ์กลับมาสมดังตั้งใจ


ทีม บราเธอร์ & ซิสเตอร์ เราแน่นปึกทางด้านความรู้ เพราะเราเป็นนักธุรกิจเครือข่ายมืออาชีพในทุกเรื่อง ถามว่าระบบเทรนนิ่งมีการเทรนด์คล้ายกับประกันหรือไม่ ต้องบอกว่า...น่าจะมากกว่านี้ค่ะ อัจฉรากล่าวสั้น ๆ แบบได้ใจความ กิตติพงษ์ เสริมต่อว่า ประกันชีวิตเป็นสิ่งที่ดีเราสามารถเอามาต่อยอดธุรกิจได้ เพราะต้นกำเนิดเครือข่ายอาจจะมาจากที่เดียวกัน ก็นำมาประยุกต์ให้เข้ากับองค์กร เข้ากับบุคลิกของแต่ละคน ที่เข้ามาทำธุรกิจ มันก็เลยส่งผลให้น้อง ๆ ประสบความสำเร็จกันอย่างรวดเร็ว ในมุมมองของเราที่เป็นผู้ดู ผมถือว่า บราเธอร์ & ซิสเตอร์ เราประสบความสำเร็จมาก


เราสามารถกำหนดอนาคตเด็ก ๆ ตั้งแต่วัยหนุ่มสาว 20 ต้น ๆ ที่สามารถทำธุรกิจแล้วสำเร็จด้วยตัวเอง นี่คือ คอนเซ็ปต์ของเรา เพราะอย่างน้อยที่สุดเบื้องต้นคุณดูแลตัวเองได้ แบ่งเบาภาระคุณพ่อ - คุณแม่ หลังจากที่เราขอเงินทุกเดือน แต่ปัจจุบันเรามีรายได้ 4 - 5 พันบาท/เดือน หรือมีรายได้หลักหมื่น หลักแสนต่อเดือน แต่เราต้องก้าวทีละสเต็ป ทีละขั้นตอน และจะไม่มาโมติเวทกันว่า ตรงนี้ทำรายได้เป็นแสน เป็นล้าน นั่นมันเรื่องของอนาคตค่อยว่ากัน


ถามว่า...ระหว่างสินค้า บริษัท ระบบ ประธาน คุณเฉลี่ยความสำคัญอย่างไร... ในการตัดสินใจเดินเข้าร่วมธุรกิจ ผมว่าคำตอบง่ายนิดเดียว เพราะเรื่องสินค้าทุกบริษัทก็เคลมว่าต่างคนต่างดีอยู่แล้ว หากสินค้าสามารถสู้กันในท้องตลาดได้ ดังนั้น จุดเด่นจึงอยู่ที่การออกแบบงานให้เหมาะกับกลุ่มคน เพราะสถานการณ์ขายตรงมันเปลี่ยนไป เราจะไปจับกลุ่มนักเรียน นักศึกษา แล้วให้ไปลิสต์รายชื่อมา หรือไปขอสปอนเซอร์มา คงทำไม่ได้ แต่จะคิดค้นสูตรสำเร็จแนวใหม่ เพื่อให้ทันต่อสถานการณ์โลกที่หมุนเวียนเปลี่ยนไปตลอดเวลา


ฉะนั้น การทำงานภายใต้ทีม บราเธอร์ & ซิสเตอร์ เราได้ออกแบบความสำเร็จ หรือระบบให้ทุกคนประสบความสำเร็จได้ เพียงแค่คุณพาตัวเองเข้ามาสู่ระบบ ผมอยากยกตัวอย่างให้ฟังง่าย ๆ แล้วลองคิดและจินตนาการตามนะครับว่า ถ้าเราทำเครือข่ายขายตรงในอดีต เราต้องทำอะไรบ้าง และแน่นอนครับ 1. ต้องมีรายชื่อ 2. ต้องมีกลุ่มผู้มุ่งหวัง 3. ต้องโทรนัด และ 4. ต้องออกไปคุย ไปอธิบาย ไปสาธิต ก็อย่างที่ได้บอกตั้งแต่ตอนต้นแล้วว่า ถ้าทำอย่างนี้ขายตรงจะมีซูเปอร์แมนสักกี่คนที่สำเร็จ มันยากมาก นั่นคือ สิ่งที่ทำให้คนที่อยู่ในธุรกิจเครือข่ายขายตรงไม่ค่อยประสบความสำเร็จกันสักเท่าไหร่


ผมเลยมองว่า งานในเครือข่ายมันมีอะไรบ้าง การออกไปพบลูกค้าแน่นอนว่า ปฏิเสธไม่ได้ เพราะธุรกิจนี้เราต้องออกไปหาลูกค้า ไปพบลูกค้า แต่บังเอิญว่าบางคนอาจไม่ถนัด ไม่ชอบที่จะคุยหรือพูดไม่เก่ง ไม่มีเวลาบ้าง แสดงว่าคนเหล่านี้จะทำเครือข่ายไม่ได้เลยหรือ มันก็ไม่ใช่คำตอบครับ
แต่ทีม บราเธอร์ & ซิสเตอร์ มีคำตอบ เพราะตรงนี้เรามีทีมงานที่เป็นมืออาชีพไปพรีเซ็นต์ ไปพูดแทน ใครถนัดเรื่องไหน เราจะให้ทำในสิ่งที่เขาถนัด เพราะความหมายของคำว่า ทีม ทีมไม่ใช่องค์กรนะครับ คนที่อยู่ใต้ล่าง นั่นก็คือ ทีม เพราะทุกคนมีความสามารถโดดเด่นไม่เหมือนกัน การทำกิจกรรมใดกิจกรรมหนึ่ง เพื่อความสำเร็จของแต่ละคน ผมเลยมองว่า ใครถนัดเรื่องอะไรให้ทำเรื่องนั้น


นี่คือระบบของ บราเธอร์ & ซิสเตอร์ เราแบ่งงานกันทำ ใครถนัดด้านไหนทำด้านนั้น และเราก็โชคดีที่ได้คุณน้อง - อัจฉราเข้ามาดูแลความเป็นอยู่ภายในครอบครัวของเรา
เหตุผลที่ต้องดูแลกันเป็นพิเศษ เพราะว่าน้อง ๆ เขายังอ่อนวัย อารมณ์ไม่นิ่ง บางคนอกหัก ทะเลาะกับแฟน เราก็ต้องเข้าใจ เอาใจเขามาใส่ใจเรา เพราะน้องคิดอย่างเดียวว่า ธุรกิจเครือข่ายง่ายมาก ง่ายตรงที่ว่าธุรกิจเครือข่ายมันไม่ใช่งานประจำ มันไม่มีกฎระเบียบข้อบังคับ แต่ถ้าได้ใจใครมาอะไรก็ได้หมด คือใช้เงินซื้อใจไม่ได้ หากเรารักเขา เขาก็รักเรา เราห่วงเขา เขาก็ห่วงเรา แค่นี้เองคะสำหรับกฎการอยู่ร่วมกัน


ถามว่ายากไหม.. เพราะเราอยู่กันเป็นครอบครัวใหญ่ ก็ไม่หรอกค่ะ เพราะเราจะทำเป็นวัฒนธรรม คือจะสอนให้แต่ละคนดูแลกันต่อลงไปเรื่อย ๆ สมมติ ถ้าวันหนึ่งเราสองคนไม่อยู่ สถาบันของเราก็ยังอยู่ ซึ่งถ้าเราทำเองคนเดียว คงทำไม่ได้ เพราะว่ามีองค์กรหลายหมื่นคน ฉะนั้น รุ่นพี่ที่มาแรก ๆ คุณจะต้องทำแบบนี้ และท้ายสุดเราก็ดูแลอยู่ในภาพรวม


การทำธุรกิจโดยเฉพาะกับ บราเธอร์ & ซิสเตอร์ เราไม่ทำแบบไร่เลื่อนลอย เราต้องการให้มันหยุดได้จริง ๆ เหมือนที่เขาบอกว่าธุรกิจเครือข่าย คุณต้องหยุดได้แล้วรายได้ไม่หยุด ดังนั้น องค์กรของคุณต้องแน่นหนา ต้องเป็นปึกแผ่น คุณถึงจะตลอดรอดฝั่ง เพราะการทำไร่เลื่อนลอย มันจะเหนื่อยไม่สิ้นสุด แต่วันนี้น้องสามารถที่จะหยุดมันได้ นั่นหมายความว่า น้องไม่จำเป็นต้องอยู่ออฟฟิศตลอดเวลา สามารถไปโน่นไปนี่ได้ ซึ่งเรามีผู้นำที่สร้างขึ้นมา แต่เราจะไม่เน้นหา
นี่เป็นจุดเด่นของทีม บราเธอร์ & ซิสเตอร์ ทุกคนเป็นหมด หากคนไหนมีความสามารถเราส่งขึ้นเวที บริษัทให้คุณเป็นวิทยากร เราก็จะส่งเสริมทุกด้าน ไม่ต้องไปกดเขา วันนี้ น้องเชื่อว่าคนเราเปลี่ยนแปลงได้ เพราะว่าทุกคนก็ต้องการฝึกฝน ฉะนั้น การเป็นผู้นำที่ดีจะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีของทุกเรื่องด้วย อัจฉรา กล่าวปิดท้าย


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. ตลาดวิเคราะห์ ประจำวันที่ 1 - 15 พฤศจิกายน 2555 ฉบับ 331

โอทู OTWO สู่ปีที่ 9 เนรมิตสำนักงานใหญ่ ขยายโรงงานสู่เมืองกรุงมูลค่าร่วม 200 ล้าน.


ครบ 8 ปี เข้าสู่ปีที่ 9 บริษัท โอทู อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด บุคคลที่ร่วมพูดคุยกับเราในวันนี้ นั่นคือ บอสใหญ่ ฉัตรชัย ประเสริฐสุวรรณ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท โอทู อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ผู้ที่จะถ่ายทอดยุทธศาสตร์ผ่านปลายปากกาเล่มนี้

ก่อนอื่นขอย้อนอดีตกลับไปเมื่อปลายปีที่ผ่านมา เมื่อครั้งเกิดน้ำท่วมใหญ่ หากเทียบกับปีนี้ที่มีน้ำท่วมเหมือนกัน ผมจำได้ว่า ช่วงนี้ของปีที่แล้ว จ.อยุธยา อ.บางปะหัน น้ำได้ท่วมหนักไปแล้ว ปัจจุบันไม่มีปัญหาเรื่องน้ำ ถึงแม้จะท่วมก็มีบางพื้นที่ที่เป็นทางผ่านของน้ำ หรือพื้นที่ที่อยู่ใกล้ริมแม่น้ำ แต่ก็ไม่ได้รับผลกระทบอะไรกับโอทูเพราะน้ำที่ท่วมไม่ได้กินบริเวณกว้างอย่างเช่นที่ผ่าน ๆ มา

ดังนั้น ก้าวสู่ปีที่ 9โอทูก็ถือเป็นการบ้านที่ไม่หนักเหมือนปีที่ผ่านมา และก็ได้มีการเปลี่ยนกล่องสินค้าใหม่ ยังคงเน้นย้ำความเป็นออแกนิค เพราะได้เปิดตัวสินค้าใหม่โอทูซุปเปอร์พรีเมี่ยมออแกนิคโดย ดร.สยามรัฐ ป้านภูมิ นักวิจัยเป็นผู้ค้นคิดสูตรใหม่ขึ้นมา พร้อมเปิดตัวให้กับสมาชิกระดับผู้นำที่มาร่วมงานงานฉลองครบรอบและจัดสัมมนาประมาณ 250 คน เพื่อเอาสินค้าตัวนี้ออกไปกระจายภายใต้เครือข่ายตัวเอง

ก้าวสู่ปีที่ 9 เรามีตัวแทนศูนย์จำหน่าย 250 ศูนย์ สิ้นปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้นอีกมากมาย เพราะเรามีกลยุทธ์ที่มีการปรับเปลี่ยน ทั้งในส่วนของการตลาดและสมาชิก คือจะมุ่งเน้นคนที่ประสบความสำเร็จมากขึ้น เมื่อเขาประสบความสำเร็จมาก ยอดขายก็จะตามมามากเช่นกัน ฉะนั้น การดำเนินธุรกิจภายใต้เป้าหมายใหม่ จึงมุ่งสร้างให้คนประสบความสำเร็จมากขึ้นกว่าเดิม และจะไม่มุ่งเน้นที่ยอดขายเพียงอย่างเดียว

ซึ่งขั้นตอนแรกของการปฏิบัติงาน เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ นั่นคือ การแต่งตั้งผู้ร่วมบริหารขึ้นมา 11 คนด้วยกัน โดยให้พวกเขาก้าวขึ้นมามีบทบาท สืบเนื่องจากผู้นำเหล่านี้คลุกคลีอยู่กับเครือข่ายที่มีสายงานจำนวนมาก ก็ย่อมรับรู้ปัญหาเครือข่ายของตนเองเป็นอย่างดี ฉะนั้น จึงต้องใช้หน้าที่บุคลากรคุณภาพกลุ่มนี้ไปบริหารคน เพื่อต้องการความสำเร็จให้มากขึ้นกว่าเดิม โดยกลุ่มผู้นำทั้ง 11 คน สามารถบริหารให้ครอบคลุมและดูแลไปทั่วประเทศได้เป็นอย่างดี

อีกโจทย์หนึ่งที่มีการลงมติร่วมกันในที่ประชุม นั่นก็คือ ฝ่ายตลาดหรือฝ่ายบริหารร่วม ต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้กับคนที่จะเข้ามาร่วมธุรกิจกับโอทูอยากให้เขามองว่า เรามีความพร้อม ณ ปัจจุบันอาคารสำนักงานใหญ่ยังมีขนาดเล็ก และที่สำคัญยังมีที่จอดรถไม่เพียงพอ จึงอยากจะเพิ่มความสะดวกสบาย ตรงนี้เราก็มีนโยบายการจัดการให้เร็วที่สุด

ซึ่งก็ต้องบอกว่ามีแปลนสร้างสำนักงานใหญ่เป็นที่เรียบร้อย ส่วนโรงงานผลิตก็ยังตั้งอยู่ที่เชียงราย ก็ได้หารือกับ ดร.สยามรัฐ ว่าเราจะย้ายฐานการผลิตมาที่กรุงเทพมหานครด้วยได้หรือไม่ เพราะเรามีพื้นที่ 3 ไร่ สามารถสร้างโรงงานการผลิต และสำนักงานในที่เดียวกันที่กรุงเทพมหานครแห่งนี้ โดยวางงบประมาณก่อสร้างในขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 150 - 200 ล้านบาท

เมื่อแผนการตลาดถูกพลิกมิติใหม่ สินค้าก็ถูกพลิกมิติใหม่ตามที่กล่าวมาข้างต้น เพราะผลิตภัณฑ์โอทูซุปเปอร์พรีเมี่ยมออแกนิคที่ถูกคิดค้นขึ้นมา วิวัฒนาการของตัวสินค้าก็จะไม่หยุดอยู่แค่นี้ ก็จะคิดค้นและพัฒนาไปเรื่อย ๆ รวมถึงสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพ ดร.สยามรัฐ ในฐานะนักวิจัยก็จะใช้เวลาว่างในการสร้างสรรค์ผลิตภัณฑ์ เพื่อจะดึงสมาชิกให้เข้ามาทำโอทูได้หลากหลายมากขึ้น

และที่สำคัญสินค้าบางตัวจะมีการปรับลงมาเป็นไซด์มินิ จากไซด์ที่มีขนาดใหญ่ เหตุผลก็เพราะว่า เกษตรกรบางรายมีที่ดินแปลงเล็ก - ใหญ่ ไม่เท่ากัน การปรับไซด์ตรงนี้จึงเหมาะสำหรับคนมีที่แปลงเล็กขวดเดียวใช้ได้ประมาณ 25 ไร่/ครั้ง ส่วนขวดใหญ่ก็ใช้ได้ประมาณ 50ไร่/ครั้ง หากมีที่ดินแปลงเล็ก ก็เท่ากับเป็นการสนองความต้องการของเกษตรกร บางคนจากที่เคยซื้อขวดใหญ่เหลือใช้ไม่หมด ฉะนั้น เราจึงมีขวดเล็กเป็นอีกทางเลือกหนึ่ง เรียกว่าเป็นยุทธศาสตร์ใหม่ของโอทูแต่ตรงนี้ก็มีการปรับใช้มานานแล้ว ผลตอบรับก็ดีเกินคาด เพราะเกษตรกรสามารถเซฟต้นทุนได้ดี

ส่วนศูนย์บริการโอทูก็ยังเปิดรับอย่างต่อเนื่อง ซึ่งถ้ามีคนสนใจก็สามารถติดต่อแม่ทีมหรือทางศูนย์จะขึ้นเบอร์โทรผ่านทางสถานี IN TV และ TVD ถ้าใครสนใจก็ติดต่อมาได้เลยทันที ประเด็นสำคัญอีกส่วนหนึ่งที่ทางโอทูให้ความสำคัญ นั่นคือ ระบบการฝึกอบรม ที่มีการปรับระบบใหม่ให้เข้มข้น เพื่อสอดรับกับยุทธศาสตร์ใหม่

ด้วยการวางระบบอบรม OPP และระบบ OPF ถ้าเป็นระบบ OPP ก็จะมุ่งเน้นการขาย ส่วนระบบการอบรมแบบ OPF จะมุ่งเน้นด้านการขยายงานเครือข่าย เพื่อเติมเต็มให้คนมีความรู้ เติมประสิทธิภาพลงไปมากขึ้น มุ่งเน้นคุณภาพ เน้นการขยายเครือข่ายที่สามารถสร้างงานสร้างคนให้เก่งได้ บริษัทก็มีระบบที่รองรับแบบพร้อม 100% ซึ่งจำเป็นต้องเน้นให้สมาชิกทำงานเป็นทีม ทำงานอย่างมีคุณภาพ เพราะสินค้าโอทูเป็นสินค้าที่ค่อนข้างละเอียดอ่อน เพราะว่าพืชแต่ละชนิด ดินแต่ละแห่ง เราจะต้องไปสำรวจก่อนว่า พอใช้สินค้าเราแล้วได้ผลแค่ไหน พืชชนิดไหนต้องใช้ปริมาณเท่าไหร่ ถึงจะได้ผลดี ถ้าไปแนะนำแบบผิด ๆ ถูก ๆ หากพืชมีปัญหา ก็จะทำให้เกิดผลลบต่อบริษัทคืนกลับมา นั่นหมายความว่า การอบรมต้องเกิดประโยชน์ สมาชิกต้องอธิบายได้อย่างชัดเจน และเป็นไปตามโฆษณาที่เราพูด คือใช้สินค้าแล้วต้องชัดเจน ช่วยปัญหาชาวไร่ - ชาวนาได้จริง

ซึ่งถ้าแผนงานที่วางไว้ประสบความสำเร็จ โดยใช้ยุทธศาสตร์การขาย + ขยาย เน้นการทำงานให้เกิดประสิทธิภาพกับคน แต่จะไม่มุ่งเน้นขายของอย่างเดียว เพราะเราต้องรับผิดชอบสินค้าของเราพอสมควร ฉะนั้น การเซ็ท ระบบ OPF ก็เหมือนกับเราสามารถบริหารคน บริหารสายงานของคุณได้ หรือเรียกอีกอย่างหนึ่งว่ายุทธศาสตร์เก่งคน-เก่งงาน

สำหรับเป้าหมายที่เคยวางไว้ ก็จะไม่กว้างเหมือนในอดีต นั่นหมายความว่า เราได้ตั้งเป้าหมายของเราแคบลง เหตุผลก็เนื่องจากโอทูผู้ที่สำเร็จระดับสูงสุดในตำแหน่ง CDM 1 - 3 ณ ปัจจุบันมีอยู่กว่า 3,000 คน เราก็เอาคนเหล่านี้มาปรุงให้เก่งให้เกิดคุณภาพ ให้คนเหล่านี้ประสบความสำเร็จมากขึ้นกว่าเดิม และจะไม่เอายอดขายนำอีกต่อไป แต่เราจะเอาความสำเร็จของสมาชิก ของคนในองค์กรนำ สุดท้ายยอดขายก็จะโตตามเองในที่สุด

ส่วนแผนในการจัดงานเกียรติยศที่จะจัดขึ้นในต้นปีหน้านี้ ก็จะย่อส่วนลงเช่นเดียวกัน โดยจะให้ความสำคัญกับผู้นำที่ก้าวขึ้นตำแหน่ง CDM 1 - 3 เพื่อเป็นการจัดงานเชิดชูเกียรติให้กับนักขายเกียรติยศโดยตรง เป้าหมายของเราจึงแคบลง เพราะเราให้เกียรติผู้นำโอทูที่ประสบความสำเร็จ และปีหน้าจะเห็นโฉมโอทูภายใต้มิติใหม่อย่างแน่นอน บอสใหญ่ฉัตรชัยกล่าวทิ้งท้าย

บอร์ดบริหารที่สำคัญอีกคนหนึ่ง ที่เป็นเครื่องจักรกลคนสำคัญที่ขับเคลื่อนโอทูไปสู่เป้าหมายได้สำเร็จ นั่นคือ บอร์ดบริหารภนเอกสะอาดวงศ์รองประธานกรรมการบริหาร ที่จะมาปูพรมยุทธศาสตร์สู่ปีที่ 9โอทูน่าจะมีอะไรเปลี่ยนแปลงอีกมาก ลองมาศึกษายุทธศาสตร์คร่าว ๆ ดังนี้คือ
ยุทธศาสตร์สำคัญของโอทูในระบบขายตรง ถูกแบ่งออกเป็น 3 เซ็ทด้วยกัน คือ บริษัท สินค้า และแผนการตลาด บริษัทก็ได้เซ็ทระบบลงตัวแล้ว ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรม ส่วนนี้ก็เป็นส่วนที่เพิ่มให้กับสมาชิก ตรงนี้ต้องบอกว่าลงตัวแล้ว ซึ่งจริง ๆ เราจะมีการประกาศยุทธศาสตร์อีกครั้งในเดือนมกราคม ปี 2556 เพราะเราวางระบบและยุทธศาสตร์ของเราได้เข้าที่และแน่นปึกเป็นที่สุด

ถึงแม้จะมีติดขัดบ้างในช่วงแรก แต่เมื่อเราปรับเปลี่ยนระบบใหม่ในปี 2556 ก็เท่ากับว่ายุทธศาสตร์ที่มีการปรับในวันนี้ก็จะรันเต็มตัวในปีหน้า ซึ่งทุกอย่างจะลงตัวหมด เพราะ 8 ปีที่ผ่านมา เราก็มีการเรียนรู้ทุก ๆ อย่าง ตอนนี้เราพร้อมแล้ว แต่สิ่งที่สำคัญที่สร้างความพร้อมให้เกิด นั่นก็คือ ตัวสินค้า เพราะระบบจะเดินไปได้สินค้าก็ต้องดีเลิศและเป็นที่ต้องการในท้องตลาดและเกิดการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง แต่วันนี้สินค้าที่เราทำตลาดมา 4 - 5 ปี ทุกอย่างดีมาก ๆ เราจึงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพราะเรามีนักวิจัยที่สามารถค้นคิดค้นผลิตภัณฑ์ใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่มีการถอยหลัง มีแต่พัฒนาให้ดียิ่ง ๆ ขึ้นไป ดังนั้น ส่วนตัวบริษัทกับสินค้าก็ต้องเดินคู่กันไป ส่วนเรื่องระบบก็จะมีการปรับเปลี่ยนให้สมบูรณ์ขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องปกติ อย่างที่ท่านประธานฯ บอก ทำอย่างไรให้สมาชิก 100 คน สามารถขยายเครือข่ายได้ 1,000 คน นี่คือโจทย์ที่จะก้าวสู่ความสำเร็จอย่างแท้จริง

ซึ่งตลอดระยะเวลา 5 - 8 ปีที่ผ่านมา เราปูพื้นไว้หมดแล้ว สินค้าเราก็เป็นที่รู้จักกับคนทั่วไป ซึ่งก็ไม่ยากที่จะดึงสมาชิกใหม่เข้ามา เมื่อแบรนด์ถูกสร้างให้ติดตลาดมานานแล้ว ฉะนั้น โจทย์ต่อไปจะสร้างให้ผู้นำจากที่ประสบความสำเร็จ 100 - 200 คน ทำอย่างไรในปี 2556 ขยายไป 1,000 คน สำหรับผู้นำเงินล้าน ซึ่งเราก็จะเริ่มจัดการที่ 100 คนแรกก่อน เพื่อที่จะขยายให้สำเร็จสู่หลัก 1,000 คน ตรงนี้ก็จะเพิ่มยุทธศาสตร์เข้าไปช่วยให้สำเร็จตามเป้าหมาย

สำคัญที่สุด วันนี้ในภาคปฏิบัติผมยังคงทำหน้าที่ลงภาคสนามลงไปคลุกกับรากหญ้า ไปคลุกกับผู้นำท้องถิ่น เพราะผมเป็นคนชอบเรื่องเกษตร ชอบลงพื้นที่ อยากเห็นด้วยตา สัมผัสด้วยมือ เพราะฟังจากเขาพูดก็เดาไม่ออกว่า มันดีจริงมั้ย เมื่อทดลองใช้กับพืชชนิดนี้ ได้ผลดีรึเปล่า ต้องมีการทดสอบด้วย ถือว่าเป็นการเยี่ยมเยียน ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็ไม่เหมือนกัน ก็จะมีวิธีการใช้แตกต่างกัน ยกตัวอย่าง อ้อย เมืองกาญจน์ กับอ้อย อุดรธานี มันต่างกัน เพราะพืชมันทนแล้งผิดกัน ข้าว พืช ผลไม้ต่าง ๆ ก็ไม่เหมือนกัน ยุทธศาสตร์จึงถูกปรับเปลี่ยนด้วยการลงพื้นที่เอง เพื่อแก้ปัญหาทุกอย่างอย่างถูกต้อง

ทุกวันนี้โอทูจึงไม่มีปัญหาเรื่องสินค้า เพราะเราไม่ใช้ระบบสั่งการ เราบริหารเป็นระบบจากข้างล่างขึ้นบน การทำอย่างนี้ทำให้เรารู้ปัญหา รู้ผู้นำทุกคนว่าจะแก้ไขอย่างไร แต่บางบริษัทอาจเน้นระบบสั่งการอย่างเดียว ก็ทำให้ไม่ค่อยรับทราบปัญหาที่แท้จริงเท่าที่ควร

เมื่อทุกยุทธศาสตร์ถูกกากบาทถูก ถามว่าแล้วยอดขายจะเพิ่มขึ้นหรือไม่ ตอบได้เลยว่า เมื่อเราวางระบบสำเร็จอย่างน้อย ๆ ยอดต้องเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน และคงเติบโตคงไม่หนีห่างจากปีที่ผ่านมาเท่าไหร่ หรืออาจจะตกลงสักเล็กน้อย และต่อจากนี้ไปคงทวีเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ

ส่วนความเคลื่อนไหวทางด้านศูนย์จำหน่าย ปกติผู้นำจะมีศูนย์จำหน่ายเป็นของตัวเอง แต่ตอนนี้จะปรับใหม่ไม่ทำแบบเดิม เพราะเราต้องการขยายศูนย์ไปตามจังหวัดใหญ่ ๆ ใน 77 จังหวัด จากนี้ต่อไปแต่ละศูนย์ที่เปิดขึ้นจะเป็นเครือของโอทูและจะต้องเปิดเป็นศูนย์ของบริษัท แผนงานนี้จะรันหลังจากมีการสร้างสำนักงาน โรงงาน เสร็จ ก็จะขยับภาพลักษณ์ศูนย์เป็นแผนต่อมา และจะปรับให้เป็นศูนย์อินเตอร์ด้วย เพื่อจะได้ป้อนคนเข้าระบบ ถามว่าถ้าเรามีศูนย์ทั่วประเทศและทำได้เหมือนบริษัท ก็ไม่มีเหตุผลใดที่จะทำให้ยอดขายไม่โต ถามว่าแล้วทำไมถึงกล้าลงทุนขนาดนั้น ก็เพราะตัวสินค้าเราขายได้ เกิดการซื้อซ้ำ แต่ถ้าเล่นสินค้าตามกระแส พอกระแสหดสักแป๊บนึงก็ถึงจุดอิ่มตัว

ส่วนผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ ก็จะมีการเติมไลน์ลงไปตลอดเวลา ส่งผลให้ยอดผู้นำที่สำเร็จเพิ่มขึ้นตามมา เพราะเรามีสินค้าหลักที่ไม่ใช่สินค้ากระแสนำร่อง ฉะนั้น 8 ปีจึงมีความหมายกับเราทุกคน เพราะมันพัฒนาจาก 1 เหมือนกันหมดทุกคน นี่คือความมั่นคงของเรา ไม่ว่าจะเป็นโรงงาน สินค้า ศูนย์ฝึกอบรม นั่นคือ การเติมเต็มชีวิตของผู้นำและสมาชิกให้มีความมั่นคงและแข็งแกร่งยิ่งขึ้น

หากถามว่า ณ นาทีนี้ การเติบโตของโอทูกระจายไปทั่วประเทศหรือยัง ต้องบอกว่า ยังไม่ทั่วถึง โดยเฉพาะบางพื้นที่อย่างภาคใต้ยังไม่ได้เปิดฐาน ยังคงกระจุกอยู่ที่เดียว ทั้ง ๆ ที่ภาคใต้มีพืชเศรษฐกิจเยอะ ก็จะต้องเปิดพื้นที่บุกกันต่อไป เพราะ 8 ปี ที่ดำเนินการมา เรายังเดินไปไม่ทั่วประเทศ แม้ว่ายอดขายจะแตะเกิน 1,000 ล้านบาทแล้วก็ตาม ก็ยังคงมีพื้นที่ที่ยังไม่เข้าไปเจาะอีกมากมายหลายแห่ง ภายใต้สินค้าหลัก 2 ตัว นั่นคือ สินค้าเกษตร และสินค้าคนเมืองอย่าง F2 ก็ยังไม่มีแผนเพิ่มไลน์สินค้าตัวอื่นแต่อย่างใด

นักวิจัยและค้นคว้าคนสำคัญที่นำพาโอทูก้าวสู่บันไดแห่งความสำเร็จ นั่นคือ ดร.สยามรัฐ ป้านภูมิ ที่ปรึกษาและนักวิจัย บริษัท โอทู อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งก่อนหน้านี้มีคำถามมากมายเหลือเกินว่า ยังเป็นผู้ผลิต คิดค้น และวิจัย ให้กับโอทูอีกหรือไม่ ก็ต้องบอกว่า ผมเป็นนักวิจัยอยู่ที่โอทูมา 5 ปี ขอให้สมาชิกเชื่อมั่นได้เลยว่า ผมยังอยู่ที่นี่ สาเหตุที่ไม่ได้ปรากฏตัวบ่อย ก็เพราะว่าติดภารกิจอยู่ที่โรงงาน จ.เชียงราย

ตลอดระยะเวลา 5 ปีที่ผ่านมา ผมผลิตสินค้าเกษตรให้กับโอทูมีทั้งหมดอยู่ 6 ตัวจนถึงปัจจุบัน เป็นของพืช 5 ตัว สัตว์อีก 1 ตัว สำหรับพืช 5 ตัวเป็นที่รู้จักกันดี เพราะมีการโปรโมทบ่อยมาก ส่วนสินค้าสำหรับสัตว์ 1 ตัว ไม่ค่อยได้เผยแพร่ซักเท่าไหร่ เอาเป็นว่าสินค้าพืชมี 5 ชนิดด้วยกัน ได้แก่ ฟลาโวเจน, ฟลาโวก้า, ฟลาโวนิน, พรีเมี่ยม และล่าสุด โอทู ซุปเปอร์ พรีเมี่ยม เป็นตัวออแกนิค 100% เพื่อให้เกษตรกรสะดวกในการใช้ คนใช้ไม่ต้องผสมทีละตัว คนขายแนะนำคนซื้อได้ง่าย ๆ จึงเป็นการรวมสูตรจาก 4 ขวดไว้ในขวดเดียว ซึ่งถือเป็นสุดยอดนวัตกรรมสินค้าทางการเกษตรตัวใหม่ที่น่าจับตามองทีเดียว โดยในช่วงแรกจะออกเป็นตัว 500 cc และอีกซักปีเราก็จะมีขวดเล็กลอนซ์ตามมา

โอทูเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติหมายความว่าไม่ใช่สารที่เป็นพิษคือเป็นสารธรรมชาติ100%คนที่ใช้มั่นใจคนที่กินมั่นใจโดยไม่ต้องห่วงว่าจะมีสารเคมีอยู่ในแปลงพืชที่เรากินใช้รวมถึงยังเป็นผลดีต่อธรรมชาติถามว่าการนำเอาสูตรทั้ง4ตัวมารวมกันในขาดเดียวจะมีปฏิกิริยาต่อกันหรือไม่คำตอบคือไม่เพราะว่าสารทั้งหมดเป็นสารธรรมชาติเมื่อเอามารวมกันจะไม่เกิดปฏิกิริยาใดต่อกัน

สังเกตได้จากการนำเอาสมุนไพรหลายชนิดมารวมกันนับ 100 ชนิด สมุนไพรแต่ละชนิดก็ยังออกฤทธิ์อยู่เหมือนเดิม ซึ่งถ้าเป็นผลิตภัณฑ์ธรรมชาติรวมกัน ก็ยังเกิดประสิทธิภาพ แต่ถ้าเป็นเคมีเอามารวมกันเมื่อไหร่ ก็จะเกิดการตกตะกอนชนกัน ก็เท่ากับว่าหมดฤทธิ์ไปเลย แต่ถ้าเป็นสินค้าของเราตัวนี้ เมื่อมีการนำมารวมกัน ก็จะเกิดประสิทธิภาพเป็นดับเบิ้ลมีคุณภาพมากกว่าเดิม 4 เท่าตัว โดยสินค้าที่เป็นนวัตกรรม ถ้ายิ่งมีการพัฒนาต่อเนื่อง ถามว่าจะเกิดการเพี้ยนหรือไม่ ซึ่งถ้าเราควบคุมดีมีหลักในการวิจัย ก็จะได้มาตรฐานตลอด แต่ถ้าเราไม่มีขั้นตอนการควบคุมที่ดี สินค้าก็อาจจะด้อยประสิทธิภาพลงได้ หรืออาจเพี้ยนลงได้เช่นกัน

สำหรับสินค้าตัวใหม่นี้ตอบโจทย์เกษตรกรได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการเร่งพืชให้โตเร็วกว่าปกติ 2 - 3 เท่า สามารถป้องกันแมลงได้ ปรับปรุงดิน ป้องกันดินได้ด้วย หรือพืชที่หล่นลงไปในดิน ดินก็จะได้รับผลประโยชน์ด้วย สรุปว่า ฟลาโวกาปรับปรุงดิน, ฟลาโวนิน ป้องกันแมลง, ฟลาโวเจน หรือ พรีเมี่ยมช่วยเร่งเซลล์ เป็นต้น เพราะงานวิจัยตัวแรกที่คิดค้นขึ้นมา ก็ถือว่ายากสุด แต่สำหรับการพัฒนาสูตรใหม่ในตัวต่อ ๆ ไปก็ถือเป็นเรื่องง่ายครับ

สำหรับผลงานการวิจัย ผมจะไม่หยุดอยู่กับที่ และต้องทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ ผมคิดเสมอว่า จะต้องมีสินค้าที่ดีกว่านี้อีก อย่างเช่น สินค้าตัวเดียวใช้ได้แทบทุกอย่าง แม้กระทั่งปุ๋ย ใบ ดอก ผล ราก ที่สำคัญคือไม่ต้องใช้ปุ๋ยเคมี หรือว่าเราอาจจะใช้ปุ๋ยมาสกัดอย่างละเอียด แล้วเอามาผสมกับผลิตภัณฑ์เพื่อสร้างสรรค์สินค้าให้สมบูรณ์แบบขึ้นมา คือเป็นเคมีที่ปลอดภัยไม่เป็นพิษเป็นภัยต่อสิ่งแวดล้อม คิดว่านวัตกรรมชิ้นนี้คงออกมาในปี 2557 ก็ทำให้หลากหลายมากขึ้น ตรงนี้ขึ้นอยู่กับความถนัดของผู้ใช้ บางคนอาจจะใช้เป็นผง เพื่อความสะดวกในการขนส่ง เราสามารถเปลี่ยนของเหลวให้เป็นผงได้ หรือเป็นสเปรย์ก็ได้เหมือนกัน ที่สำคัญยังส่งออกไปทั่วโลกได้อีกด้วย

ดร.สยามรัฐ กล่าวทิ้งท้ายเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมรับมือ AEC ในปี 2558 ต้องบอกว่า นักวิจัยเกษตรกรไทยเรียกว่า เป็นจ้าวตลาดเกษตรของไทยมาอันดับ 1 ซึ่งสามารถแข่งขันในตลาดอาเซียนได้ และที่สำคัญโอทูก็เป็นจ้าวตลาดอันดับ 1 ในเรื่องเกษตรอินทรีย์ ขณะนี้ความพร้อมของคนไทย เราก้าวหน้าไปจากประเทศเพื่อนบ้าน 10 ปี จึงไม่ต้องกลัวเรื่องการแข่งขัน ถือเป็นเรื่องดี ถือเป็นโอกาสที่เราจะเอาสินค้าของเราออกไปจำหน่าย ส่วนอุปสรรคในเรื่องภาษา ภาคเกษตรบางทีอาจไม่มีความจำเป็น ดังนั้น หากตลาดอาเซียนเปิดเมื่อไหร่ โรงงานผลิตก็สามารถรับกำลังผลิตได้เดือนละ 100,000 ขวด วัตถุดิบก็พร้อม ทุกอย่างพร้อมรบหมดครับ...ไม่มีปัญหา..!!


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. ตลาดวิเคราะห์ ประจำวันที่ 1 - 15 พฤศจิกายน 2555ฉบับ331

ทีวี ไดเร็ค (TV Direct) เข็นแบรนด์ "Sharper Image" เสริมธุรกิจ ประกาศเดินหน้าสยายปีกรุกตลาดไทย-อินโดไชน่า


ทีวีไดเร็ค กดรีโมทธุรกิจปลายปี ล่าสุดดึงแบรนด์ดังจากสหรัฐอเมริการุกตลาดในไทยภายใต้ชื่อ Sharper Image เน้นจุดขายด้านดีไซน์และฟังก์ชั่นการใช้งาน รับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ พร้อมส่งสินค้าชิมลางยั่วน้ำลายลูกค้ากว่า 30 รายการ ก่อนที่จะเข็นออกมาเพิ่มในปีหน้าอีก 10-15 รายการ ตั้งเป้ายอดขายปีแรกขอแตะ 20-25 ล้าน ก่อนสยายปีกลุยตลาดอินโดไชน่าปีหน้า

เป็นอีกหนึ่งความเคลื่อนไหวในช่วงปลายปีสำหรับ ทีวี ไดเร็ค ล่าสุด ได้ออกมาเสริมความแกร่งทางธุรกิจด้วยการนำสินค้านวัตกรรมและมีเทคโนโลยีเข้ามาทำตลาดในเมืองไทยภายใต้ชื่อว่า Sharper Image ที่ถือเป็นแบรนด์ดังจากสหรัฐอเมริกา โดยการบุกตลาดในช่วงท้ายปีนี้กับแบรนด์ที่ชื่อ Sharper Image นั้น...ทางด้านนายธนวัฒน์ เรวัตรบวรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่ปฏิบัติการสายงานค้าปลีก-ค้าส่ง บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) ได้เปิดเผยว่าขณะนี้ทางบริษัทฯ เอง ได้มีแผนที่จะสร้างความแข็งแกร่งด้านความหลากหลายของสินค้าในหมวดสินค้านวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ให้มากขึ้น โดยล่าสุด บริษัทฯ ได้มีการนำเข้าสินค้าจากแบรนด์ Sharper Image จากประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีจุดเด่นด้านดีไซน์ออกแบบและฟังก์ชั่น การใช้งานที่ง่าย เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยในช่วงปลายปีนี้

ซึ่งกลุ่มสินค้าที่นำเข้ามาทำตลาดในปีแรกนั้น จะมีประมาณ กว่า 30 รายการ ประกอบ ด้วยในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์เก็ตเจ็ต กลุ่มเครื่องใช้ภายในบ้าน กลุ่มเครื่องครัวและกลุ่มสินค้าอุปกรณ์ท่องเที่ยว ที่มีจุดเด่นด้านการออกแบบด้วยแนวคิดสวย เรียบ หรู ฟังก์ชั่นพร้อมใช้งานเหมาะกับไลฟ์สไตล์คนรุ่นใหม่ เช่น อุปกรณ์เสริมสำหรับมือถือสมาร์ทโฟน ตู้อบ เครื่องปั่นน้ำผลไม้ หรือกล้องส่องทางไกลถ่ายรูปได้ เพื่อเจาะกลุ่มลูกค้าคนรุ่นใหม่ที่มีกำลังซื้อสูง

นายธนวัฒน์ เผยต่ออีกว่า ในส่วนของแนวทางการทำตลาดช่วงเริ่มนั้น บริษัทฯ จะผนึกช่องทางการสื่อสารการตลาดและการจำหน่ายสินค้าและบริการที่หลากหลาย ทั้งช่องทางของทีวี ไดเร็ค, โทรทัศน์ภาคปกติหรือฟรีทีวี, เคเบิลทีวี, เคเบิลท้องถิ่นแบบบอกรับสมาชิก รวมถึงโทรทัศน์ดาวเทียมที่ส่งสัญญาณผ่านเคยูแบนด์ ซียูแบนด์, เว็บไซต์ รวมถึงจัดทำแคตตาล็อกสินค้า Sharper Image พร้อมกับวางจำหน่ายสินค้าผ่านร้านค้าปลีก TV Direct Showcase เพื่อสร้างโอกาสการขายสินค้าให้มากขึ้น หลังจาก

ที่พบว่า พฤติกรรมผู้บริโภคให้ความนิยมเลือกซื้อสินค้าผ่านโฮมช้อปปิ้งมากขึ้น โดยส่งผลดีต่อภาพรวมตลาดโฮมช้อปปิ้งในไทย ที่เติบโตกว่าเท่าตัว หรือมีมูลค่าตลาดกว่า 5,000 ล้านบาทนั่นเอง

ต้องยอมรับว่า ในช่วงที่ผ่านมา สินค้าในกลุ่มสินค้านวัตกรรมและเทคโนโลยี ที่เรานำเข้ามาทำจำหน่าย ยังไม่มีคาแรค เตอร์ของแบรนด์ที่ชัดเจน ซึ่งการนำ Sharper Image ถือเป็นแบรนด์ดังในประเทศสหรัฐอเมริกา ที่มีดีไซน์สินค้าที่โดดเด่นและมีฟังก์ชั่นการใช้งานที่เหมาะกับการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่ มาเป็นจุดขายในการทำตลาด โดยตรงนี้เชื่อว่าจะช่วยสร้างความแข็งแกร่งให้กับสินค้า รวมถึงสามารถทำยอดขายได้เป็นอย่างดีด้วยเช่นกัน
นายธนวัฒน์ ทิ้งท้ายต่อว่า สำหรับเป้าหมายยอดขายแบรนด์ Sharper Image นั้น บริษัทฯ ได้ตั้งเป้าไว้ที่ประมาณ 20-25 ล้านบาท และในปีหน้า บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะนำเข้าสินค้า เข้ามาทำตลาดเพิ่มอีก 10-15 รายการ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคคนไทย รวมถึงมีแผนขยายตลาดไปยังอินโดไชน่าเพิ่มเติมอีกด้วย


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. ตลาดวิเคราะห์ ประจำวันที่ 1 - 15 พฤศจิกายน 2555ฉบับ331

วัดองศาเดือด! ขายตรง(MLM) คลื่นลูกใหม่ ออกตัวแรงกระแทกใจหมายยึดพื้นที่รบ


ซูมทิศธุรกิจขายตรงน้องใหม่ท้ายปี!...พบหลากค่ายเร่งระเบิดความแรงหมายพิชิตใจคนเครือข่าย ไทยอาเซียนเน็ตเวอร์ค ประกาศจุดยืนขอนำพานักขายสำเร็จ ต้อนรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้านขายตรง ยูเอฟโอ อินเตอร์เนชั่นแนล ชูจุดแข็งรอบด้าน พร้อมเปิดโปรโมชั่นเร้าใจกระตุกต่อมอยากคนเครือข่ายเพียบ!ส่วน อองเทอร์ แจงคนเครือข่ายหากต้องการสำเร็จและความมั่นคงแบบยั่งยืนต้องที่นี่ทีเดียว...ด้าน โมสท์ เวลล์-วอลลารา-นาน่า-MIR เข็นสินค้าคุณภาพสู้ศึกเพียบ พร้อมเสริมความน่าสนใจด้วยโปรโมชั่น

...เป็นที่จับจ้องมองกันอยู่นานทีเดียว สำหรับความเคลื่อนไหวของธุรกิจขายตรงในช่วงนี้ ซึ่งต้องบอกว่า เริ่มที่จะเห็นสัญญาณความเคลื่อนไหวของธุรกิจนี้บ้างแล้ว แต่ที่น่าจับตามองเป็นพิเศษคงหนีไม่พ้น การเตรียมแจ้งเกิดของบริษัทขายตรงหน้าใหม่ ๆ ที่กำลังกระโดดมาร่วมสร้างสีสันให้กับธุรกิจขายตรงนั่นเอง!!
ซึ่งต้องยอมรับอย่างหนึ่งว่า ธุรกิจขายตรงเมืองไทยถือเป็นอีกหนึ่งตลาดที่ทั้งนักลงทุนต่างชาติและผู้ที่คร่ำหวอดในเมืองไทย ต่างอยากที่จะลงมาเล่นสวมบทแม่ทัพเสียเอง และผลก็ปรากฏว่า ใครที่ไม่ใช่ของจริง มักถูกเขี่ยกระเด็นหลุดออกจากวงโคจรแทบที่จะมุดแผ่นดินหนีกันเลยทีเดียว...

โดยที่ผ่านมา ไม่มีใครกล้าปฏิเสธได้ว่า พื้นพิภพขายตรง ค่อนข้างที่จะมีอาถรรพ์จริง ๆ เพราะหากใครที่มาเพื่อสร้างภาพ หลอกลวงไปวัน ๆ โดยที่ไม่มีจุดยืนและวิสัยทัศน์ที่จับต้องได้ โอกาสที่จะล้มทั้งยืน เหมือนกับขายตรงน้องใหม่ที่เกิดขึ้นมา แล้วตายเพียงครั้งเดียว หรืออาจจะชั่วนิรันดร์ ก็มีความเป็นไปได้สูงเช่นเดียวกัน


เจาะลึกขายตรงน้องใหม่
งัดทีเด็ดสู้ศึกรอบทิศทาง
ปักษ์นี้ทีมข่าว ตลาดวิเคราะห์ ขอเจาะลึกความเคลื่อนไหวของ ธุรกิจขายตรงคลื่นลูกใหม่ ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ว่ามีค่ายไหนบ้าง และแต่ละค่ายโชว์ความเหนือชั้นทางธุรกิจของตัวเองมากน้อยแค่ไหน...โดยขออุ่นเครื่องกับขายตรงน้องใหม่ที่ชื่อ ไทยอาเซียนเน็ตเวอร์ค ที่ช่วงนี้เริ่มออกตัวแรงผ่านสื่ออินเตอร์เน็ตด้วยการโพสต์ตามเว็บไซต์ต่าง ๆ ด้วยข้อความที่ว่า...

ธุรกิจเครือข่ายน้องใหม่ บริษัท ไทยอาเซียนเน็ตเวอร์ค กำลังจะเปิดตัวอย่างเป็นทางการกลางเดือนนี้ โดยมีหลายสาขาในประเทศแล้ว เพื่อเตรียมความพร้อมกับการเปิดประตูอาเซียนในพ.ศ. 2558 โดยบริษัทมีผู้นำที่มีประสบการณ์ และเทคนิคต่าง ๆ ในการทำเครือข่ายให้ประสบความสำเร็จในระยะเวลาสั้น ไทยอาเซียนเน็ตเวอร์ค ใช้แผนการตลาดที่มีคุณธรรมมี สคบ. ถูกต้องตามกฎหมาย และสินค้าก็มีคุณภาพราคาไม่แพงจนเกินไปตอบสนองความต้องการของสมาชิกได้อย่างดี สินค้าทุกตัวมี อย. รับประกัน ขณะนี้บริษัทกำลังเตรียมขยายสาขาในประเทศอาเซียนภายในปี 2558 นี้...

นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า สินค้าที่ใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจของ ไทยอาเซียนเน็ตเวอร์ค นั้น ถือว่าก็ไม่ได้แตกต่างอะไรไปจากขายตรงค่ายอื่น ๆ ในขณะนี้ แต่ที่ชวนสงสัยคงหนีไม่พ้นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสำหรับผู้หญิงที่ชื่อ ซัน คลาร่า นั่นเอง ที่เห็นค่ายนี้ชูผลิตภัณฑ์ดังกล่าวเป็นตัวเอกในการทำตลาดช่วงแรก รวมถึงหน้าเว็บไซต์ยังมีการออกโปรโมชั่นที่ร้อนแรงออกมาเรียกน้ำย่อยของผู้ที่สนใจอยากจะทำธุรกิจนี้อีกด้วย
...เช่นเดียวกับทางด้านขายตรงน้องใหม่อย่าง ยูเอฟโอ อินเตอร์เนชั่นแนล ที่ได้ออกมากระตุกธุรกิจเครือข่ายผ่านทางเว็บไซต์ ด้วยข้อความที่ว่า...ธุรกิจจะเริ่มลงรหัส วันที่ 1 สิงหาคม 2555 เตรียมพบกับปรากฏการณ์ใหม่ในวงการเครือข่ายขายตรงเร็ว ๆ นี้แน่นอน พร้อมกับยังระบุอีกว่า เตรียมพบกับการตลาดนวัตกรรมใหม่ที่ไม่มีที่ไหน แค่มีคะแนนทีมอ่อน 1,000 pv ต่อเดือน มีสิทธิ์รับรายได้ถึงเดือนละ 200,000 บาท!!...

นอกจากนี้ ทางด้าน ยูเอฟโอ อินเตอร์เนชั่นแนล เอง ยังได้มีการชูถึงจุดเด่นของธุรกิจอีกด้วย คือ 1. มีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตัวเอง ซึ่งโรงงานนี้ส่งออกสินค้าแบรนด์เนมชื่อดังให้กับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ 2. ได้รับมาตราฐาน GMP ในระดับที่ดีมาก 3. สินค้าอาหารเสริมทุกชนิด ใช้การผลิตแบบออแกนิค คือ ปลอดสารเคมี 100% มีเอกสารพร้อมให้ตรวจสอบชัดเจนทุกมาตรฐาน และ 5. สินค้ามีหลากหลาย โดยเจาะตลาดผู้บริโภคได้ทุกกลุ่ม

พร้อมกันนี้ ทางค่ายนี้ ยังได้ประกาศเป้าหมายระยะสั้น ที่จะสร้างผู้นำให้มีรายได้ 50,000-100,000 บาทต่อเดือน จำนวน 100 คนแรก ภายในวันที่ 31 มกราคม 2556 อีกด้วย...นอกจากนี้ ยังพบอีก หากใครที่เข้าไปในเว็บไซต์ของค่ายนี้ จะเห็นการออกโปรโมชั่นที่เร้าใจและน่าสนอกสนใจไม่น้อยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นซื้อสินค้าแถมสินค้า โปรโมชั่นขึ้นตำแหน่ง โปรโมชั่นล่องเรือ รวมถึงโปรโมชั่นขึ้นตำแหน่ง เป็นต้นซึ่งถือเป็นการออกมาจุดกระแสที่เรียกได้ว่าค่อนข้างเร้าใจจนน่าคิดอย่างมากทีเดียว

ด้านขายตรงน้องใหม่อีกหนึ่งค่ายที่ชื่อว่า บริษัท อองเทอร์ กรุ๊ป จำกัด ก็ได้ออกมาเปิดตัวชิมลางธุรกิจเช่นกัน ซึ่งค่ายนี้มีแม่ทัพหน้าที่เคยผ่านสังเวียนขายตรงมามากกว่า 10 ปีนั่นก็คือ พรจิต พัวเพิ่มพูนศิริ ที่ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริหาร พร้อมกับยังมีที่ปรึกษากิตติมศักดิ์อย่าง นพ. พิชัย พัวเพิ่มพูนศิริ ที่เป็นแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้าน หู คอ จมูกมาแล้วเป็นหนึ่งในอองเทอร์อีกด้วย โดยฐานบัญชาเกมรบของค่ายนี้ตั้งอยู่ที่ลาดพร้าว 120

เราต้องการเติบโตอย่างยั่งยืน มั่นคงบนรากฐานของความซื่อตรง โดยมีแผนการจ่ายรายได้ที่ตรงไปตรงมา มีการพัฒนาหลักสูตรการอบรมผู้นำอย่างเป็นระบบ เพื่อให้สมาชิกก้าวสู่ความเป็นมืออาชีพ สามารถสร้างองค์กรให้แข็งแกร่ง มีการนำระบบ E-Marketing เข้ามาใช้ เพื่อเพิ่มความคล่องตัวในการทำธุรกิจ สามารถทำงานที่บ้าน ต่างจังหวัด หรือแม้กระทั่งในต่างประเทศ โดยสามารถสั่งซื้อสินค้าและรับสินค้าได้อย่างรวดเร็วนี่คือ เป้าหมายทางธุรกิจที่ พรจิต พัวเพิ่มพูนศิริ ประธานกรรมการบริหาร อองเทอร์ ได้ประกาศไว้เพื่อต้องการที่จะบุกเครือข่ายขายตรงอย่างจริงจังในช่วงโค้งสุดท้ายปีนี้
สำหรับสินค้าที่บุกตลาดของค่าย อองเทอร์ นั้น พบว่า ที่นี่จะเน้นผลิตภัณฑ์ที่ช่วยดูแลสุขภาพเช่นเดียวกับขายตรงค่าย อื่น ๆ คือ เน้นไปที่ผลิตภัณฑ์ทางด้านความสวยความงาม ผลิต ภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่มความอ่อนวัย สามารถชะลอโรคเสื่อมต่าง ๆ รวมถึงยังมีในส่วนของผลิตภัณฑ์ทางด้านการเกษตรอีกด้วย


ขายตรงสายป่านยาวโอกาสโตมี
ชี้!หากรู้จริงเรื่องธุรกิจสำเร็จไม่ยาก
...จะเห็นได้ว่า การบุกตลาดขายตรงในปัจจุบันนี้ เรื่องของสายป่านทางธุรกิจก็เป็นอีกหนึ่งตัวแปรสำคัญในการเจาะตลาดเพื่อให้เข้าถึงใจผู้บริโภคเช่นเดียวกัน เห็นได้จากอีกหนึ่งขายตรงน้องใหม่ที่ชื่อ บริษัท เอ็มไออาร์เวิลด์วายด์ จำกัด หรือ MIR ที่ออกมาเพิ่มทางเลือกใหม่ให้กับคนเครือข่าย หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้ส่ง ไออาร์ บิวติน่า มาเขย่าตลาดเครือข่ายอยู่พักหนึ่ง แต่ก็ยังไม่สามารถที่จะตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกบางกลุ่มเท่าไหร่ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ทางท่านประธานใหญ่ ภก.ดร.พิศาล จันทฤทธิรัศมี จึงได้ตัดสินใจเปิดอีกหนึ่งบริษัทขึ้นมาเพื่อให้สอดรับกับความต้องการของสมาชิกรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของวงการขายตรงที่ต้องบอกว่ามีการแข่งขันที่ดุเดือดนั่นเอง!

โดยความโดดเด่นของขายตรงน้องใหม่ MIR นั้น พบว่า ค่ายนี้จะเน้นการชูถึงแผนการตลาดแนวใหม่ที่จะเน้นทั้งในส่วนของระบบค้าปลีก ระบบไบนารี่ และระบบยูนิเลเวล ซึ่งจะเป็นการเอาแผนการตลาดจากทั่วโลกมาเฉลี่ยกัน เพื่อให้เข้ากับยุคสมัยที่มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา พร้อมกันนี้ ยังมีเป้าหมายเพื่อต้องการที่จะเติบโตในระดับโลกอีกด้วย ขณะเดียวกัน สินค้าที่จะใช้ชูโรงในการบุกตลาดของที่นี่ ในช่วงแรก พบว่า จะมีอยู่ 2 รายการด้วยกัน คือ ผลิตภัณฑ์น้ำมันรำข้าวและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร
ปู่จิงตัน

...เช่นเดียวกับอีกหนึ่งขายตรงน้องใหม่ที่ชื่อ วอลลารา ขายตรงสัญชาติอเมริกัน ที่หลังจากที่บุกตลาดในเมืองไทยมาได้ครบ 1 ปีในปีนี้ เรียกได้ว่าสามารถสร้างความน่าสนใจให้กับคนเครือข่ายได้ไม่น้อยทีเดียว ซึ่งการออกมาบุกตลาดขายตรงในเมืองไทยของค่ายนี้นั้น พบว่า ได้มีเป้าหมายที่จะใช้ประเทศไทยเป็นประตูสู่ประเทศอื่นในทวีปเอเชีย โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียนนั่นเอง

พร้อมกันนี้ ยังโชว์จุดเด่นของวอลลารา ด้วยนวัตกรรมการจัดการน้ำและอากาศ ซึ่งเป็นผลผลิตจากเทคโนโลยีขององค์การอวกาศนาซ่า ที่ได้รับการรับรองจาก Space Foundation อีกด้วย โดยสินค้าของวอลลาราในการทำตลาดในเมืองไทยนั้น จะเป็นผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องฟอกอากาศ เครื่องปรับสภาพน้ำสำหรับการซักผ้า และเครื่องทำน้ำเพื่อสุขภาพ ที่ค่ายนี้บอกว่า จะเน้นการนำเสนอเทคโนโลยีเพื่อสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนใหญ่...ซึ่งก็ต้องดูกันต่อไปว่าขายตรงสัญชาติอเมริกันค่ายนี้จะสำแดงฤทธิ์เดชในธุรกิจขายตรงเมืองไทยได้มากน้อยแค่ไหน เพราะวันนี้มีขายตรงที่เกิดขึ้นมาใหม่ ล้วนแล้วแต่โชว์จุดต่างที่ใครเห็นแล้ว ต่างโดนใจออกมาแทบทั้งนั้น

...เหมือนกับน้องใหม่ขายตรงค่าย โมสท์ เวลล์ ที่เรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งคลื่นลูกใหม่ที่น่าจับตามองทีเดียว ที่สำคัญ ค่ายนี้ยังมีอดีตปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี อดีตวุฒิสมาชิกนั่งแท่นรับเป็นที่ปรึกษาให้อีกด้วย นั่นก็คือ ศ.ดร.ยงยุทธ สาระสมบัติ โดยค่าย โมสท์ เวลล์ ต้องบอกว่าเป็นอีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ผู้ผลิตสินค้าเกี่ยวกับ พลูคาว ให้กับหลาย ๆ ค่ายใน ธุรกิจขายตรง กันเลย และจากกระแสของการเติบโตของผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพที่กำลังมาแรงนี่เอง ส่งผลให้

จากผู้ที่ผลิตผลิตภัณฑ์ให้กับที่อื่นมานาน จึงอยากที่จะขอชิมลาง ลองวัดกึ๋นทางธุรกิจดูเองบ้างนั่นเอง
สำหรับรูปแบบแผนการตลาดของค่ายนี้ จะใช้ในรูปแบบแผนไบนารี่ที่หลาย ๆ ค่ายน้องใหม่ส่วนใหญ่ใช้กัน พร้อมกับยังมีสินค้าที่จะใช้ในการขับเคลื่อนธุรกิจอยู่ด้วยกัน 6 กลุ่ม คือ 1. กลุ่มเสริมภูมิคุ้มกัน 2. กลุ่มฮอร์โมนทดแทนสำหรับสตรี 3. กลุ่มเสริมสุขภาพบุรุษ 4. กลุ่มสมุนไพรสกัดเข้มข้นสูง 5. กลุ่ม BIO ACTIVE COMPOUNDS และ6. กลุ่มกาแฟผสมสมุนไพร

โดยสินค้าที่ใช้เป็นใบเบิกทางธุรกิจช่วงแรกของค่ายนี้คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำสมุน ไพรตรา ฮุตต้าพลัส ที่เป็นผลิตภัณฑ์สมุนไพรจาก คาว ตอง ที่ โมสท์ เวลล์ มีโรงงานผลิตเป็นของตัวเองนับได้ว่าจากผู้ผลิตที่ผลิตสินค้าให้กับขายตรงค่ายอื่น ๆ ที่สำคัญ ลงมาสวมบทบาทนักธุรกิจในทัพหน้าเสียเองเช่นนี้ คงจะเป็นอีกหนึ่งสีสันของตลาดเพื่อสุขภาพโดยเฉพาะตลาด พลูคาว น่าที่จะมีการแข่งขันที่สนุกอย่างมากทีเดียวในชั่วโมงนี้

ด้านขายตรงน้องใหม่ภายใต้ปีกของ นิติพล ที่ใช้ชื่อว่า บริษัท นาน่า คอร์เปอร์เรชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ก็ไม่ได้น้อยหน้าขายตรงน้องใหม่ค่ายอื่น ๆ เช่นกัน ซึ่งหลาย ๆ ท่านอาจจะมองว่าค่ายนี้ซุ่มเงียบ แต่หากใครที่ท่องเว็บหรือติดตามข่าวสารความเคลื่อนไหวของธุรกิจขายตรงแล้วจะพบว่า ค่ายนี้กับเรื่องของการโปรโมทธุรกิจไม่ได้ยิ่งหย่อนไปกว่าขายตรงค่ายอื่น ๆ เช่นกัน เห็นได้จาก การออกมาชูความโดดเด่นของธุรกิจ ด้วยสินค้าที่มีคุณภาพและเป็นที่ยอมรับของผู้บริโภค

นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของโปรโมชั่นต่าง ๆ มากมาย ออกมานำเสนอ ทั้งโปรโมชั่นการขึ้นตำแหน่ง รวมถึงโปรโมชั่นท่องเที่ยวต่างประเทศ เป็นต้น เรียกได้ว่า ค่ายนี้เร่งที่จะสร้างความน่าสนใจเหมือนเช่นดั่งขายตรงค่าย อื่น ๆ ทำเช่นกัน ที่สำคัญ ยังพบอีกว่า การเปิดตลาดของขายตรงค่ายนี้ในช่วงแรกนั้น จะเป็นการนำเสนอผลินภัณฑ์เพื่อสร้างการรับรู้ของผู้บริโภคประมาณ 6 กลุ่มด้วยกัน พร้อมกับยังเตรียมที่จะเข็นสินค้าใหม่ออกมาสู่ตลาดขายตรงภายในสิ้นปีนี้อีกกว่า 30 รายการเลยทีเดียว เรียกว่ามีแบล็คอัพดีน่าที่จะมีชัยไปกว่าครึ่งกันเลย แต่ทั้งนี้ การที่จะอยู่ในธุรกิจขายตรงได้ไม่ใช่ว่าสินค้าดีแล้วจะสามารถยืนหยัดในสมรภูมิรบขายตรงได้เสมอไป ซึ่งต้องมีหลาย ๆ องค์ประกอบที่สำคัญในการขับเคลื่อนธุรกิจให้ก้าวเดินไปข้างหน้าด้วยเช่นกัน

...เรียกได้ว่า ในช่วงท้ายปีนี้ ขายตรงที่กำลังเตรียมที่จะแจ้งเกิด เริ่มที่จะออกมาอย่างมากหน้าหลายตาทีเดียว ซึ่งก็ต้องดูว่าค่ายไหนของจริง ค่ายไหนของปลอม เพราะวันนี้เชื่อว่าหลาย ๆ คนที่อยู่ในธุรกิจขายตรงคงจะมองดูออกว่าค่ายไหนที่น่าจะร่วมวงษ์ไพบูลย์ด้วย และค่ายไหนที่ไม่ควรจะร่วมวงษ์ไพบูลย์ด้วย แต่ทั้งนี้ ก็ต้องดูว่าการออกตัวอย่างร้อนแรงของขายตรงน้องใหม่หลากหลายค่ายที่เกิดขึ้นนี้ จะดึงดูดใจคนเครือข่ายได้หรือไม่ ซึ่งไม่เกินปลายปีนี้คงได้รู้แน่!!...


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. ตลาดวิเคราะห์ ประจำวันที่ 1 - 15 พฤศจิกายน 2555ฉบับ331

ตามหาความจริงคดีแชร์ลูกโซ่ DCHL สูญเสีย 5 พันล. ล่าตัวการ 11 คนไทยที่เหลือ เจอที่ไหนประกาศจับที่นั่น..!!


สคบ. DSI กองปราบฯ จับมือ 3 ประสาน บุกจับตัวการใหญ่ DCHL 9 ราย รวบตัวทันควัน คงเหลือระดับดุกซ์อีก 11 รายคนไทย เจอที่ไหนจับที่นั่นเตือนมาร์ควิสอีกกว่า 500 ราย หากข่มขู่สมาชิกหรือแอบเปิดดำเนินต่อ สั่งเชือดเป็นรายต่อไป และสั่งปรับวันละ 10,000กองปราบฯ ลั่นหากผู้เสียหายโดนข่มขู่ แจ้งความได้ที่ สน.ท้องที่ ตำรวจจะเฝ้าระวังภัยให้เป็นพิเศษ สคบ. เล็งติดตามพฤติกรรมเพิ่มอีก 2 ค่าย เข้าข่ายหมิ่นแหม่แชร์ลูกโซ่หรือไม่..


วันที่ 26 สิงหาคม 2555 ทีมข่าว นสพ.ตลาดวิเคราะห์ และสถานี INTV TVD ได้รับร้องเรียนจากสามี ภรรยา คู่หนึ่งที่ได้หอบหิ้วเอกสารเป็นแฟ้มปึกใหญ่ พร้อมเอกสารการเข้าไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ DSI ว่ามีบริษัทขายตรงบริษัทหนึ่งที่ยื่นขอใบอนุญาตจดทะเบียนขายตรง สคบ.เป็นที่เรียบร้อย โดยจำหน่ายสินค้าตะเกียง - น้ำมันหอมระเหย ตนจึงได้ตัดสินใจสมัครในเดือนมีนาคม 2544 ในนามบริษัท ดิจิตอล คราวน์ โฮลดิ้ง จำกัด (DCHL) เป็นบริษัทสัญชาติจีน พอทำไปได้สักระยะหนึ่งก็เกิดสงสัยในพฤติกรรมการกระทำว่า ธุรกิจเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่


ตนกับสามีจึงได้เข้าไปแจ้งความไว้ที่ DSI ไว้ก่อน ขณะเดียวกันที่สาขาโคราช ก็ได้มีชาวบ้านรวมตัวกันเข้าไปแจ้งความร้องทุกข์เช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากขั้นตอนการทำงานของ DSI ที่ทำการสืบสวนสอบสวนล่าช้า และหวั่นเกรงว่าภัยจะมาถึงตัว เพราะโดนขู่ฆ่ามาแล้วหลายครั้ง จึงได้ตัดสินใจหอบหลักฐานมาที่สำนักงาน นสพ.ตลาดวิเคราะห์ และสถานี INTV TVD เพื่อแจ้งเบาะแสให้ทราบ โดยมีสื่อในวงการขายตรงด้วยกันแนะนำ ว่า ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ให้แจ้งไปที่สำนักงานตลาดวิเคราะห์จะเกิดผลกว่า ตนและสามีจึงรุดมาที่สำนักงานในวันดังกล่าว


เมื่อทีมข่าวรับทราบเรื่องราวดังกล่าว ก็ได้ทำการเสาะหาข้อมูลในเชิงลึกอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านั้นทีมข่าวก็ได้รับการร้องเรียนมาเช่นเดียวกัน และได้ส่งทีมงานไปเจาะหาข้อมูล แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ สืบเนื่องจากไม่มีผู้แนะนำ จึงไม่อนุญาตให้เข้าไปสังเกตการณ์ได้ เพราะที่นี่มีระบบป้องกันอย่างแน่นหนา ก็ได้นำข้อมูลเพียงบางส่วนมาตีพิมพ์ข่าว เพื่อสื่อถึง สคบ.รับทราบ แต่การกระทำในครั้งแรกไม่เกิดผลใด ๆ เมื่อทีมข่าวได้รับทราบข้อมูลเบื้องลึกจาก 2 สามี ภรรยา อีกครั้ง จึงได้ทำการประสานงานทันที โดยเริ่มติดต่อไปยัง สมาคมผู้สื่อข่าวอาชญากรรม ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 โดยรวบรวมผู้เสียหายกว่า 30 คน เดินทางไปที่สมาคมผู้สื่อข่าวอาชญากรรมฯ


นักข่าวสายอาชญากรรมจาก นสพ.ไทยรัฐ เมื่อเห็นผู้ร้องทุกข์จำนวนมาก จึงแนะนำให้มาที่กองปราบฯ เพราะที่นี่มีความพร้อมมากกว่า ทางทีมข่าวตลาดวิเคราะห์ จึงได้ประสานงานไปยัง พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปราม/โฆษก มือปราบชื่อดัง เป็นผู้รับเรื่องราวร้องทุกข์ด้วยตนเอง และจัดแถลงข่าวโดยทันที ในวันเดียวกัน เวลา 15.00 น. และ นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ได้ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ตลาดวิเคราะห์ พร้อมออกอากาศทางรายการข่าวสถานี INTV ไปพร้อม ๆ กัน ในฉบับวันที่ 1 15 สิงหาคม 2555 โดย พ.ต.อ.ได้แถลงข่าว เพื่อรับทำเป็นคดีพิเศษร่วมมือกับทาง DSI มีใจความคร่าว ๆ ที่สำคัญดังนี้
ตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสอบสวนของ DSI ก็ได้รับเป็นคดีพิเศษไปแล้ว เนื่องจากว่าเป็นภัยคุกคามต่อประชาชนโดยทั่วไป โดยเน้นไปที่คนภาคอีสาน และตอนนี้กำลังเพิ่มไปที่ภาคเหนือที่ อ.แม่สาย มีข้อมูลเชิงลึก และกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการและคิดว่าคงจะร่วมมือกับทาง DSI อย่างใกล้ชิด ในการที่จะจับกุมผู้กระทำผิดรายนี้ ถือว่าเป็นรายใหญ่มาก


ในส่วนตัวของกระผมเองก็เคยขับรถผ่านเส้นทางพระราม 9 ก็เห็นเหมือนน้องนักข่าวเห็น ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันเหมือนตลาดนัดเพราะคนเยอะมาก เราก็คิดว่ามันมีงานอะไร พอทราบตรงนี้ก็มองเห็นภาพเลยว่า มีคนโดนหลอกเยอะมาก ขอให้คำมั่นว่าทางกองปราบปรามฯ จะร่วมมือกับ DSI ในการที่จะสอบสวนสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดรายนี้ทุกคน และขอให้คำมั่นว่าทางผู้เสียหายรายใดที่ถูกคุกคาม ก็สามารถติดต่อมาที่เราได้เลยที่กองปราบฯ ที่หมายเลข Call Center ที่ 1195 เรามีเจ้าหน้าที่รับสายอยู่บริการ 24 ชั่วโมง ก็บอกว่ามาแจ้งความเรื่องนี้ หากถูกใครคุกคามขู่อย่างไร แบบไหน ให้เล่าเลยไม่ต้องกลัว ก็เหมือนเปิดหน้าเล่นกันเลย
และเราขอยืนยันว่าทางเราจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด เพราะถือว่าเป็นภัยคุกคามประเทศไทย บ้านเราไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ไม่ว่าเขาอาจจะไปแอบอ้างด้วยวิธีการใด ๆ เราจะรีบดำเนินการ ในตรงนี้ความผิดก็คือในภาษาพูดเราเรียกว่าแชร์ลูกโซ่ ความผิดทางกฎหมาย ก็คือฉ้อโกงประชาชน คือหลอกลวงให้ประชาชนโดยทั่วไปหลงเชื่อ อย่างนี้ก็คือว่าหลงเชื่อให้มาลงทุนนะ เอามา 2 แสนแล้วจะได้คุณจะได้ประมาณ 10% ไปเรื่อย ๆ ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วมันไม่ใช่การทำธุรกิจจริง ๆ อย่างมาซื้อตะเกียง ตะเกียงก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่เหมือนลงทุนไปทางเกษตร มีการลงทุนแล้วนำไปค้าขาย ตรงนี้ก็คล้าย ๆ คดีที่มีในอดีต ไม่ว่าจะเป็นแชร์ชะม้อย หรือแชร์อะไรต่าง ๆ พวกนี้ ก็เหมือนกับเขาจะกดดันให้ผู้ที่มาร่วมลงทุนไปหาลูกค้ารายใหม่หรือเหยื่อรายใหม่ ๆ เข้ามา เมื่อได้รายใหม่มา 2 แสน เขาก็ให้รางวัล 2 หมื่น เพราะทางบริษัท


ก็จะให้แสนแปดไปเรื่อย ๆ คนเก่าก็ไปหาคนใหม่ ๆ หาลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น มันก็เป็นที่เขาเรียกว่าอัพไลน์ - ดาวไลน์
ดังนั้น ความเสียหายก็เกิดขึ้นอย่างที่ทางผู้เสียหายได้บอกว่า เหยื่อรายใหม่ที่ไม่สามารถไปหาลูกค้ารายใหม่ ไม่สามารถหาเงินมาได้ครบ มันก็จะสะดุด ถ้าสะดุดทางนี้ก็จะไม่ได้รับค่าตอบแทน ค่าตอบแทนสำหรับบางคนที่เข้ามาใหม่ ๆ มันก็จะได้ไม่คุ้ม อย่างเช่น ทำมาซักสามเดือนอย่างเก่งก็ได้ไปหกหมื่น แต่ตัวเองต้องไปกู้เงินมาถึง 2 แสน ใน 2 แสนนี้ต้องมีเสียดอกเบี้ยนอกระบบ หรือที่ไปขายฝาก ทำให้ขาดจำนอง โดนยึดไปอีกกลายเป็นปัญหามากมาย เพราะถ้าปล่อยไปมันจะกระทบความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ ถ้าประเมินมูลค่าความเสียหายในตอนนี้ก็เยอะมาก ถ้าเอา 2 แสน ด้วยจำนวนผู้เสียหายที่ชำระไปแล้ว แล้วยังมีต่อเนื่องอีก บางคนเอามา 2 แสน และก็มาเพิ่มขึ้นอีก ยังต้องเสียดอกเบี้ยนอกระบบเพิ่มขึ้นอีก หรือคนที่เอาที่ดินแปลงนึงไปขายฝาก พอครบสิ้นปีไม่เอาเงินมาให้เขาก็ยึดที่ดินไป เพราะฉะนั้นมูลค่าความเสียหายมันมากกว่า 2 แสน ตอนนี้ยอดผู้เสียหายประมาณ 2 หมื่นคน ก็เอา 2 หมื่นคนคูณด้วย 2 แสน ก็เท่ากับ 4,000 ล้านบาท
นั่นแปลว่าบวก ๆ ขึ้นไปอีก เพราะมันยังมีผลต่อเนื่องจากความเสียหาย เพราะการสูญเสียเวลา สูญเสียโอกาสในการทำงาน ทั้งทรัพย์สินที่เอาไปค้ำประกัน จำนองหรือขายฝากก็โดนยึดอะไรต่าง ๆ ไป เดี๋ยวทางกองปราบฯ ก็จะรีบดำเนินการกับทาง DSI ทางเราก็จะลงบันทึกประจำวันไว้ว่า มาขอความร่วมมือกับเรา และเราก็จะร่วมมือด้วยความเต็มใจ เพราะหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาหน่วยนี้ก็จะเป็นหน่วยปราบปราม ไม่ว่าจะเป็นแชร์ชะม้อย แชร์นกแก้ว เราก็ได้ทำมาแล้ว เรามีประสบการณ์ในเรื่องนี้ ขอให้มั่นใจในเรื่องของความปลอดภัย ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกคุกคาม ท่านใดถูกคุกคาม ก็โทรมาแจ้งได้ที่ 1195 เพราะเราก็อยากจะได้ข้อมูลและข้อเท็จจริงว่า มีใครมาคุยอะไรกับเรา ไม่ว่าจะมาขู่หรือมาชวนให้เชื่ออะไรก็โทรมาที่ 1195 ได้เลย หรือจะทำเป็นจดหมายมาก็ได้ มาถึงผู้บังคับการกองปราบปราม จะเปิดผนึกหรือจะลงชื่อ ไม่ลงชื่อมาก็ได้ หรือใครที่มีข้อมูลที่คิดว่าเป็นความลับ ก็มาพบผมโดยตรงเลยก็ได้ เรายินดีที่จะให้ความร่วมมือ จากนี้ไปเราก็จะไปประชุมหารือกันว่า ใครที่กระทำความผิดบ้าง และเงินผู้ที่เสียหาย ได้เสียหายไปเท่าไหร่ จะทำอย่างไรที่จะทำให้ผู้เสียหายได้รับเงินคืนให้เร็วที่สุด เราคงตั้งคณะสอบสวนให้สอบสวนในเรื่องนี้โดยด่วนที่สุด


3 เดือนเศษเร่งเก็บข้อมูล
ปฏิบัติการจับทั่วไทย12-13 ต.ค.
ภายหลังแถลงข่าวใหญ่จากวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา เมื่อกองปราบฯ ประกาศจับมือทำงานร่วมกับทาง DSI ก็มีผู้เสียหายเดินทางเข้ามาแจ้งความเพิ่มขึ้นอย่างไม่ขาดสายที่ DSI เมื่อทราบว่าทางเจ้าหน้าที่เริ่มจะเอาจริง บริษัท DCHL จึงได้ปรับเปลี่ยนแผนภายในใหม่ ด้วยการประกาศรับคืนสินค้าพร้อมกับคืนเงินบางส่วน 30 40% โดยใช้วิธีการหักเงินจากอัพไลน์ (แม่ทีมใหญ่) หาก อัพไลน์คนไหนโดนดาวไลน์ (ลูกทีม) คืนสินค้าเยอะเท่าไหร่ อัพไลน์ก็จะโดนหักเงินปันผลมากเท่านั้น จากที่เคยได้รับเงินปันผลเต็มและมีกำไรบ้าง ก็เริ่มจะหมดตัว เพราะถือเป็นความผิดของอัพไลน์ที่ไม่สามารถทำให้ดาวไลน์ขยายสายงานต่อได้ และยังมาคืนสินค้าแล้วรับเงินคืนอีก แถมยังสั่งให้สมาชิก รูดซิบปาก ห้ามรับรู้ข้อมูลข่าวสารใด ๆ ภายนอก ส่วนข่าวที่ถูกโจมตีจากสื่อ ระดับดุกซ์ (ผู้นำสูงสุด) กับผู้บริหาร 20 คน ก็บอกว่าสามารถเคลียร์กับตำรวจได้ ด้วยการใช้เงินเป็นใบเบิกทาง

พร้อมกับกำชับให้อัพไลน์คุมดาวไลน์เข้มทุกพื้นที่ ยึดมือถือ ห้ามดูทีวี ห้ามเล่นอินเตอร์เน็ต ห้ามอ่านหนังสือพิมพ์ ห้ามพูดคุยกับคนภายนอก เพราะจะได้ไม่หวั่นไหวกับข้อมูลข่าวสาร และที่สำคัญยังเปิดห้องเช่าให้มาอยู่รวมกันใกล้ ๆ กับศูนย์ฝึกอบรม สาขาพระราม 2 ที่จุคนได้ประมาณ 2,000 คน เพราะสามารถจำกัดคน จำกัดพื้นที่ในการเสพข่าวสารได้ และให้ฟังข่าวสารจากทางบริษัทเท่านั้น ซึ่งผู้เสียหายบางคนจากการที่ได้พูดคุยกับทีมข่าว แทบจะไม่เคยได้ดูทีวีเลยเป็นเวลานานกว่า 1 ปี

ส่วนอัพไลน์ที่แตกแถวไม่อยู่ในกรอบ หากคนไหนดอดไปแจ้งสื่อ ไปแจ้งความ หรือไปตั้งกระทู้ใน สคบ.ก็จะโดนขู่ฆ่า ตามรังควาน จนกระทั่งอัพไลน์ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว ต้องย้ายที่อยู่ระเหเร่ร่อนไปเรื่อย ๆ บางคนยอมทิ้งทรัพย์เพื่อหนีเอาตัวรอด เพราะกลัวโดนตามล่า เมื่อปฏิบัติการ

การจัดวางระบบใหม่ของ DCHL เริ่มเข้มข้นกับอัพไลน์ผู้ที่แหกกฎบริษัทเริ่มต่อต้านและออกมาแจ้งความเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทาง DCHL ก็เปิดกฎที่เข้มข้นรุนแรงกว่าเก่าในรอบ 3 เดือนกว่า ๆ ก่อนที่ทาง DSI และกองปราบฯ จะเริ่มปฏิบัติการจับกุมทั่วประเทศ

โดยเฉพาะ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปราม/โฆษก ร่วมด้วย พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 ที่ได้รับมอบหมายจาก นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI ทำการจับกุมผู้กระทำความผิดทั่วไทย ดังรายละเอียดต่อไปนี้

วันนี้ 12 ตุลาคม 2555 เวลา 15.00 น. พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์ ผู้บัญชาการสำนักดคีอาญาพิเศษ 1 พ.ต.อ.ไชยา คงทรัพย์ ผกก.สน.มักกะสัน พ.ต.ท.กัมพล รัตนประทีป เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.มักกะสัน พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ DSI จำนวนกว่า 30 คน นำหมายค้นของศาลอาญาเข้าตรวจค้นตึกเลขที่ 338 อาคาร DCHL ถนนพระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ หลังได้รับร้องเรียนว่าบริษัท

ดังกล่าวได้เปิดเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่น้ำมันหอมระเหยพร้อมตะเกียงวิเศษ หลอกลวง และฉ้อโกงประชาชน เบื้องต้นมูลค่าความเสียหายมูลค่าเกินกว่า 10 ล้านบาท
ณ วันนั้นมีสมาชิกที่อยู่ในบริษัทจำนวนมากหลายร้อยคนอยู่ในตึก DCHLและยังมีตึกด้านหลังไว้สำหรับเก็บบัญชีสต๊อกสินค้า และรายรับ - รายจ่ายทำบัญชีการเงินทั้งหมด รวมถึงได้เคยแจ้งกับทางสมาชิกให้ทราบว่าจะปรับเป็นสปา เพื่อไว้ให้สมาชิกไว้ใช้บริการ จากการตรวจสอบพบว่า มียอดเงินหมุนเวียนวิ่งเข้ามาในบัญชีเฉพาะเดือนกันยายนเดือนเดียว ทั้งสิ้น 139 ล้านบาท และสำหรับวันเดียวกันนี้มียอดเงินวิ่งเข้ามา จำนวน 39 ล้านบาท ทางเจ้าหน้าที่จึงยึดเอกสารทั้งหมดเพื่อนำไปตรวจสอบที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ

และทราบว่าจะมีตัวการใหญ่ซึ่งเป็นชาวต่างชาติได้เดินทางกลับเข้ามา 1 คน ทราบชื่อภายหลังคือ นายฮวง เชียง เซียง อายุ 43 ปี สัญชาติจีนไต้หวัน ตามหมายจับ จึงรีบมาควบคุมตัวพร้อมขอตรวจค้นทันที ซึ่งตัวการใหญ่มีทั้งหมด 3 คน ขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่กองปราบปรามได้แจ้งว่า สามารถควบคุมตัวได้แล้ว 2 ราย ชื่อ น.ส.เฉิน เป่า หยี อายุ 32 ปี สัญชาติจีน และ น.ส.หว่อง คิน ซีย อายุ 36 ปี สัญชาติจีน อยู่ระหว่างการสอบสวน

นอกจากนี้ ยังได้ออกหมายจับไปแล้วจำนวน 20 คน ซึ่งเป็นตัวการใหญ่ชาวต่างชาติ 3 ราย อีก 17 ราย เป็นคนไทย ที่ทำหน้าที่เป็นดุกซ์ และยังมีศูนย์ใหญ่อีกที่อยู่จังหวัดนครราชสีมา โดยคนไทยจะทำหน้าที่เป็นผู้บริหารขึ้นเวทีพูดชักชวนหลอกลวงลูกค้าให้มาลงทุน ตามเกณฑ์การลงทุนเป็นระดับ ๆ แบ่งซอยย่อย พบว่ามีการลงทุนขั้นต่ำประมาณ 200,000 บาท และจะมีการโชว์สลิปให้เห็นยอดเงินตอบแทนที่ได้คืนมาทุกวันที่ 20 ของเดือน จะได้ผลตอบแทนที่เกินจริง ทำให้ผู้ลงทุนหลงเชื่อซึ่งจะได้มาประมาณแค่ 1 - 2 เดือนแรก จากนั้นก็จะไม่มีเงินเข้ามาในบัญชีทำให้ผู้ลงทุนทวงถามถึงส่วนแบ่งผลตอบแทนที่จะได้รับทุกเดือน โดยทางอัพไลน์จะแจ้งให้ทราบว่า หากอยากได้ผลตอบแทนกลับคืน ก็ต้องไปหาผู้มาร่วมลงทุนมาลงทุนอีก ถึงจะได้ผลตอบแทนกลับไป ก็ทำให้มีผู้หลงเชื่อมาเป็นทอด ๆ
ด้านนายอิสรพงศ์ สาพงษ์เอี่ยม เจ้าหน้าที่คดีพิเศษ DSI กล่าวว่า คดีนี้เจ้าหน้าที่มีการสืบ ติดตามตั้งแต่ปี 2553 บริษัทขายตรงที่จำหน่ายตะเกียงน้ำมันหอมระเหยที่อวดสรรพคุณบำบัดสารพัดโรค ดำเนินงานปีนี้เข้าสู่ปีที่ 10 ซึ่งปีที่ผ่านมามีฐานสมาชิกกว่า 20,000 ราย และปัจจุบันฐานสมาชิกปิดที่ราว 40,000 ราย ซึ่งผู้เสียหายส่วนใหญ่จะอยู่ทางภาคเหนือและภาคอีสาน โดยเฉพาะ จ.สุรินทร์และโคราช ที่ลุกลามเกือบทั่วทั้งจังหวัด ส่งผลให้ผู้เสียหายบางรายต้องขายที่นา สิ้นเนื้อประดาตัว และหนักถึงขั้นแขวนคอตายในบางราย

การนำกำลังเข้าตรวจสอบครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยึดของกลาง สมุดเงินฝาก และเข้าตรวจสอบเก็บข้อมูลเบื้องต้นภายในห้องบัญชี ห้องคอมพิวเตอร์ โดยยึดเซิร์ฟเวอร์เพื่อนำกลับไปตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ จำนวน 1 เครื่อง นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบสมุดรายวันทั่วไป บัญชีรายรับแต่ละเดือน ที่พบว่าบริษัทนี้มีรายรับ เงินวิ่งเข้ามาในบัญชีเดือนกันยายน ล่าสุด! 139 ล้านบาท และรายได้ที่วิ่งเข้ามาในบัญชีวันที่บุกตรวจสอบวันเดียวปาเข้าไปถึง 39 ล้านบาท...!!
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาตัวการใหญ่ 3 รายว่า ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 4 และมาตรา 5 มาตรา 12 และ 15 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 มาตรา 343 ประกอบมาตรา 83
ต่อมาที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 19.30 น.พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แถลงข่าวจับกุม น.ส.หว่อง คิน ซี อายุ 36 ปี น.ส.เฉิน เป่า หยี อายุ 32 ปี ทั้งสองสัญชาติจีน น.ส.มีนา สุขสงวน อายุ 32 ปี และ น.ส.วนิสา ศิลาอ่อน อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตาม พรก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 โดยจับกุม น.ส.หว่อง คิน ซี และ น.ส.เฉิน เป่า หยี ได้ที่บริเวณลานจอดรถ อาคารเดอะสตาร์ แอท พระราม 3 ถนนพระราม 3 เแขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กทม. น.ส.มีนา ได้ที่หน้าบ้านเลขที่ 73/219 หมู่ 5 ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ส่วน น.ส.วนิสา จับกุมได้บริเวณกองปราบปราม ถนนพหลโยธิน
ด้านผู้ต้องหาทั้งหมดต่างให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้หลอกขาย เนื่องจากลูกค้าจะซื้อของก็ซื้อไปเลยไม่ต้องสมัครสมาชิกตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ นางมีนา นั้นถือเป็นวิทยากรการพูดชักจูงใจอันดับต้น ๆ ของประเทศ ซึ่งทางบริษัทดังกล่าวยอมจ่ายเงินให้เดือนละ 5 แสนบาท ให้มาสอนพนักงานของบริษัทเพื่อไปหลอกลวงสมาชิกต่อไป

และในวันเดียวกัน เมื่อเวลา 12.00 น.พ.ต.ท.ภูวเดช ภูวปรีชานนท์ สว.กก.1 บก.ป. พ.ต.ท.พุทธพงศ์ เมฆเอี่ยมนภา สว.กก.1 บก.ป. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการ นำกำลังจับกุมตัว นายสายันต์ ประกอบสัญฑ์ อายุ 31 ปี ชาว จ.สกลนคร และ น.ส.พเยาว์ กาบมาลี อายุ 31 ปี ชาว จ.สระแก้ว สองสามี - ภรรยาในฐานความผิดร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 โดยสามารถจับกุมได้ที่อาคารเลขที่ 689 ปากซอยเอกชัย 16 แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กทม.

ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามสืบทราบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ซึ่งเป็นสามี - ภรรยาได้พักอาศัยอยู่ที่อาคารดังกล่าว และเป็นผู้ต้องหาที่ทาง DSI ได้ออกหมายจับไว้ในคดีแชร์ลูกโซ่ขายน้ำมันหอมระเหย จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ และทำการจับกุมได้ดังกล่าว จากการสอบสวนทั้งสองให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะให้การในชั้นศาลเท่านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 รายส่งพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนขยายผล และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ต่อมา ที่ศาลอาญาเมื่อเวลา 11.00 น.พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) คุมตัว นายฮวง เชียง เซียง ชาวจีน น.ส.หว่อง คิน ซี ชาวจีน น.ส.เฉิน เป่า หยี ชาวจีน น.ส.มีนา สุขสงวน นางวนิสา ศิลาอ่อน และนายคำสิงห์ วรรณประภา ผู้ต้องหาที่ 1 - 6 ในข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ไปฝากขังที่ศาลอาญาครั้งแรก มีกำหนด 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 13 - 24 ต.ค.55

คำร้องฝากขังบรรยายว่า ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิจิตอล คราวน์ โฮลดิ้ง จำกัด ทำธุรกิจขายตรง นำเข้าน้ำหอมระเหยจากต่างประเทศ โดยมีการโฆษณาชักชวนหาสมาชิกผ่านเว็บไซต์ www.dchl.com เชิญชวนให้สมาชิกเข้าร่วมรับการอบรมโดยผู้ต้องหาทั้ง 6 จะเป็นผู้บรรยายในการสัมมนา ให้สมาชิกร่วมลงทุนกับบริษัท ไม่ใช่การขายสินค้า สร้างความเสียหายมูลค่า 10 ล้านบาท เหตุเกิดระหว่างวันที่ 11 ส.ค.53 - 15 พ.ค.54 การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องสอบปากคำพยานอีก 30 ปาก รอผลการตรวจประวัติอาชญากร ขออนุญาตศาลฝากขัง พร้อมคัดค้านการประกันตัวเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี
ศาลพิจารณาคำร้องอนุญาตให้ฝากขังได้ (ขอบคุณ : ข้อมูลบางส่วนคัดลอกมาจาก ASTV)


25 ต.ค.55 ผู้เสียหายกว่า 40 คน
นัดออกสื่อช่องTPBS และ INTV
วันที่ 25 ธันวาคม 2555 ความพยายามของผู้นำระดับสูง 41% หรือ มาร์ควิส และอัพไลน์ ได้รวมตัวกันอีกครั้งกว่า 40 คน ได้นัดรวมตัวกันเพื่อให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ : สถานีประชาชน ช่อง TPBS รวมถึงสถานี INTV ในวันเดียวกัน เพื่อประกาศต่อสมาชิกหรือดาวไลน์ที่ยังโดนอัพไลน์ระดับมาร์ควิสกว่า 500 คน กระจายอยู่ทั่วประเทศ ที่ยังป้อนข้อมูลข่าวสารที่ผิดไปจากความจริง ทั้งที่เป็นข่าวครึกโครม ว่าตัวการใหญ่โดนจับกุม 9 คน คงเหลืออีก 11 คนที่ตามรวบตัวอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะระดับมาร์ควิสยังปิดบังข้อมูลข่าวสารที่แท้จริง และได้แจ้งข้อมูลเท็จให้กับสมาชิกรับทราบว่า ระดับดุกซ์ที่โดนจับกุมตัวนั้นไม่จริงเขาไม่ได้หายไปไหน เหตุที่มาไม่ได้เพราะไปแข่งขันกีฬาสี

สืบเนื่องจากยังมีสมาชิกอีกจำนวนมากที่ยังไม่รับทราบข่าวสาร เพราะโดนปิดหู ปิดตา ห้ามเสพข่าวสารทุกชนิด พร้อมยึดมือถือห้ามติดต่อผู้ใด ขณะเดียวกันยังมีแฟนหนุ่มของดุกซ์ที่โดนจับกุมตัวไป จำนวน 3 คน ได้เข้าไปเฝ้าสังเกตการณ์ผู้เสียหายที่ให้สัมภาษณ์ที่ช่อง TPBS โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายและสื่อแต่อย่างใด วึ่งตามที่เคยให้ข้อมูลกับสมาชิกว่า เรามีเงินเยอะพอที่จะจ่ายให้กับตำรวจ และประกาศจะตามล่าหัวมาร์ควิสและอัพไลน์ที่ออกให้สัมภาษณ์สื่อด้วย

และในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่จาก สคบ. นายณัชภัทร ขาวแก้ว นิติกรชำนาญการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ กองบังคับการปราบปราม ออกให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ : สถานีประชาชน พร้อมกับผู้เสียหาย เพื่อแจ้งเตือนผู้ที่หลงเป็นเหยื่อ

จากนั้นได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางช่อง INTV ที่ออกในรายการ : ข่าวเด่นวันนี้ รวมถึงมาร์ควิสและอัพไลน์ ผู้เสียหายรวมตัวกันกว่า 10 คน เพื่อให้สัมภาษณ์อย่างละเอียดผ่านรายการ : ตลาดวิเคราะห์ ทางสถานี INTV และ TVD ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนคนเครือข่ายตลอดมา ซึ่งมีใจความสำคัญดังต่อไปนี้

พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวกับทีมข่าว INTV ในรายการ : ข่าวเด่นวันนี้ ว่าในจำนวนผู้เสียหายที่มาร้องเรียนกว่า 2,600 คน ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษจะคืนเงินให้กับผู้เสียอย่างไร ในเบื้องต้นก็ได้รับคำตอบว่า จากปริมาณผู้เสียหายประมาณ 2,600 คน เราก็มีวิธีการบริหารจัดการ ก็คือ เราได้จัดเจ้าหน้าที่ประมาณ 5 นาย ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนเข้าเวรสอบสวน วันหนึ่ง ๆ เราคาดว่าจะทำได้ 40 คน แต่ว่าถ้ามีปริมาณผู้เสียหายมากขึ้น ก็จะเพิ่มพนักงานสอบสวนให้มากขึ้น และก็จัดสถานที่เพิ่มเติมมากขึ้น และต้องขออนุญาตท่านอธิบดีที่จะดำเนินการตามนี้ แต่ในเบื้องต้นเราคิดว่าจะจัดซัก 5 คนและ 1 วันไม่ต่ำกว่า 40 คน ซึ่งผมคิดว่าถ้าทำไปนาน ๆ มันก็จะเกิดความเชี่ยวชาญและก็จะทำได้เร็วขึ้น อาจจะให้คนที่สอบคนเดิมเพิ่มได้ประมาณ 20% ก็น่าจะได้วันละ 60 คนต่อวัน

สำหรับเม็ดเงินที่อายัดไว้ ถ้ามีผู้เสียหายมีจำนวนมากเกิน 10,000 คนขึ้นไป เงินที่อายัดไว้นำมาจ่ายไม่เพียงพอ ซึ่งถ้าพูดกันตามหลักกฎหมาย มันจะมีหน่วยงานที่อาจจะให้ความช่วยเหลือได้ เช่น กระทรวงยุติธรรม เรามีหน่วยงานอยู่หน่วยงานหนึ่งที่เปิดขึ้นมา หากมีความเสียหายทางคดีอาญาเกิดขึ้น เราก็สามารถที่จะไปติดต่อก็คือ กรมคุ้มครองสิทธิ์ ซึ่งผมจะไปตรวจสอบดูว่ากรณีที่ถูกหลอกลวงเป็นคดีอาญา จะมีการชดเชยค่าเสียหายทางแพ่งได้หรือไม่ แต่ทั้งนี้ผมยังไม่รับปาก แต่ว่าเป็นกรณีที่ผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีแล้ว ต่อมาศาลยกฟ้องตรงนี้ก็สามารถเรียกค่าเสียหายได้ ผมยังไม่แน่ใจว่ากรมคุ้มครองสิทธิ์จะทำได้แค่ไหน เพียงได
แต่อย่างไรก็ดีผมอาจจะเสนอผู้บังคับบัญชาว่า กรณีที่เกิดขึ้นแบบนี้ ทางหน่วยงานของรัฐนี้จะสามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ในเบื้องต้นอย่างที่ผมบอก ก็คือ ถ้าเดินทางมาแล้วก็มาให้การ ผมก็จะจ่ายค่าเดินทางในกรุงเทพฯ 200 บาท ต่างจังหวัดก็ 500 บาทอย่างที่กราบเรียนไป

ถามว่าคดีนี้จะยืดเยื้อหรือไม่ หากมีผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้น คดีนี้จะเสร็จเป็นส่วน ๆ ส่วนหนึ่งอย่างที่ผมกราบเรียนก็คือ 70 คนแรกภายในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2555 เราจะรีบส่งฟ้องศาล ส่วนที่เหลือเราสอบสวนผู้เสียหายหมดเมื่อไหร่ เราจะรีบส่งสำนวนเสนอพนักงานอัยการ ซึ่งคาดว่าจะไม่เกิน 3 เดือน ก็เราพยายามทำให้เสร็จภายในกรอบนี้ โดยเพิ่มพนักงานสอบสวนอย่างที่กราบเรียน

ในเบื้องต้น DSI มีการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องแชร์ลูกโซ่ ที่มีความต่างจากขายตรง โดยปกติเราจะมีการผลิตเอกสารชี้แจง นอกจากนั้นก็ยังมีในเว็บไซต์ของกรมสอบสวนคดีพิเศษที่เปิดเข้าไปดู อย่างที่บอกเมื่อกี้ ก็คือ แง่คิด สะกิดใจ ห่างไกลแชร์ลูกโซ่ วิธีการสังเกตธุรกิจไหนเป็นธุรกิจขายตรง ธุรกิจไหนเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ เราก็จะมีข้อมูลอยู่ หากท่านทำธุรกิจขายตรงอยู่และไม่แน่ใจ ขอให้เข้าไปดูแง่คิด สะกิดใจ แล้วนำไปวิเคราะห์ดู ถ้ามันเป็นไปในแง่ของแชร์ลูกโซ่ ท่านก็อาจจะต้องรีบถอยออกมาและก็แจ้งให้เราทราบต่อไป

เหตุผลที่เราต้องใช้เวลาสืบสวนนานกว่า 3 เดือน เป็นเพราะเรื่องของการรวบรวมพยานหลักฐาน มันต้องมีทั้งการแฝงตัว การตรวจสอบบัญชีเงินฝาก ซึ่งก็ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร แต่ละคดีเราไม่สามารถยืนยันได้ว่า ใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่ เพราะว่าถ้ารีบดำเนินการ อาจจะส่งผลเสียในรูปคดี เช่น มีผู้ต้องหาบางรายที่หลุดรอดไป เพราะว่าเราต้องดูพยานหลักฐานให้ละเอียด ถ้าดูไม่ดี ถ้ารีบร้อนก็จะได้ผู้ต้องหาที่ไม่ครบถ้วน จึงทำให้พนักงานสอบสวนกังวลกัน


รวบทันที9 รายตัวการใหญ่ไม่รอด
ตามล่าอีก11 รายเจอที่ไหนจับที่นั่น
ทางด้าน พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ กองบังคับการปราบปราม กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีการเข้าไปจับกุมว่า หลังจากที่ได้รับร้องเรียนในครั้งแรกที่กองปราบฯ เราก็ทำการสอบสวนปากคำผู้เสียหายไว้ และก็ประมาณเรื่องแล้วมันเข้าลักษณะของคดีพิเศษที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจะต้องดำเนินการ เราจึงส่งเรื่องให้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หลังจากนั้นกรมสอบสวนคดีพิเศษก็จะทำการสอบสวนอย่างต่อเนื่อง

เมื่อผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียนที่กองปราบฯ เราก็จะรับเรื่องส่งต่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการ จากนั้นก็รวบรวมพยานและหลักฐานส่งให้กรมสอบสอบสวนคดีพิเศษได้ออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 20 ราย และหมายจับนี้ก็เริ่มมาปรึกษากับเราว่า จะเริ่มดำเนินการวันไหน เพราะว่ามันจะมีผู้ต้องหาที่เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งอยู่นอกราชอาณาจักร เราก็ไม่อยากไปจับคนอื่นที่อยู่ในราชอาณาจักรก่อน เพราะเกรงว่าถ้าจับไปก่อนแล้วคนที่อยู่เมืองนอกนั้นจะทราบ ก็ไม่ยอมเข้ามาในราชอาณาจักร ทำให้การจับกุมลำบาก จึงได้รอ

เมื่อทาง สคบ.แจ้งว่า ในวันที่ 12 ต.ค.นี้ ทางผู้บริหารเบอร์ 1 ของบริษัทจะเข้ามาทำการเสียค่าปรับที่ สคบ. วันนั้นเราก็ตกลงว่าจะลงมือจับกุมถ้าเขามาจริง เพราะคนอื่นอยู่ในราชอาณาจักรอยู่แล้ว ถ้าตัวใหญ่อยู่นอกราชอาณาจักรมาเมื่อไหร่จับกุมคนในประเทศได้ คนอื่นก็จะตามมา วันที่ 12 ต.ค. ผู้บริหารระดับสูงเขาก็มาที่ DSI ก็เลยไปจับกุมเบอร์ 1 และหลังจากนั้นวันเดียวกันเราก็สามารถจับกุมได้เพิ่มอีก 5 ราย ในวันที่ 13 ต.ค.จับได้อีก 2 ราย และไปมอบตัวที่ DSI อีก 1 ราย สรุปกองปราบฯ จับกุม 7 ราย DSI 2 ราย รวมทั้งสิ้นเป็น 9 ราย คงเหลือติดตามการจับกุมอีก 11 ราย ตอนนี้เราก็พยายามติดตามสืบสวนจับกุมอยู่ พวกนี้ก็เริ่มรู้ตัวและเริ่มหลบหนีกัน ตอนนี้ก็กำลังเช็คข้อมูลว่าเขาไปอยู่ตรงไหน

ส่วน 11 รายที่เหลือ ก็ไม่ได้แบ่งใครจับ ทาง DSI ก็จะมีหมาย ทางเราก็จะมีหมาย และจะร่วมกันติดตามสืบสวนจับกุมและร่วมมือกับตำรวจท้องที่ด้วย ถ้าใครเจอก็จับได้หมด ไม่มีระยะเวลาว่าจะจับเมื่อนั้นเมื่อนี้ ทุกวันนี้ก็ยังดำเนินการอยู่เจอเมื่อไหร่ก็จับ 11 คนเมื่อนั้น คงเหลือแต่คนไทยทั้งนั้นละครับ กระทำผิดในข้อหากู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ก็จำคุกตั้งแต่ 5 -10 ปี และก็ปรับตั้งแต่ 5 แสน ถึง หนึ่งล้านบาท และก็ปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท หากเปิดดำเนินการต่อจนกว่าจะหยุดดำเนินการ ซึ่งตอนนี้เขาหยุดไปแล้ว

ในส่วนของพยาน ถ้าใครรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความปลอดภัย มันมีกฎหมายคุ้มครองพยานอยู่แล้ว เขาสามารถมายื่นคำร้องได้ อาจจะไปยื่นกับตำรวจท้องที่หรือมายืนที่กองปราบฯ ว่า หากเกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรมก็จะมีการจัดการพิจารณาและจัดชุดคุ้มครองตามความเหมาะสม

ถามว่าผู้เสียหายยังมาแจ้งได้ที่กองปราบฯ หรือไม่ ก็ยังมาได้ครับ ในส่วนของคดีอื่น ๆ ถ้าเราสอบสวนแล้วมันเข้าลักษณะฉ้อโกงประชาชน การกู้ยืมเป็นการฉ้อโกงประชาชน เราก็ต้องส่งเรื่องให้ DSI ก็ร่วมมือกันอยู่แล้วครับ และถ้ามีใครชักชวนให้ทำธุรกิจโดยที่ท่านไม่มีส่วนในการบริหารอะไรเลย ทำหน้าที่เพียงเอาเงินมาลงทุน หรือไปหาสมาชิกเพิ่มและก็ได้ผลตอบแทนที่มันสูง ตรงนี้มันผิดปกติ และให้ท่านตั้งข้อสังเกตไว้เลยว่า มันอาจจะเข้าลักษณะแชร์ลูกโซ่ เพราะว่าคงไม่มีใครเขาหวังดีกับเราขนาดนั้น ที่ว่าได้เงินง่าย ๆ แล้วจะมาชวนเราทำ เขาก็คงทำเองไปแล้ว และถ้าใครเจอพฤติกรรมอย่างนี้ก็ให้ติดต่อตำรวจท้องที่ หรือว่ากองปราบฯ หรือว่า DSI ก็ได้ และต้องตรวจสอบก่อนที่ท่านจะตัดสินใจไปลงทุน พ.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย


15 ต.ค.ถอนใบอนุญาต สคบ.
เตือนภัยขายตรงอีก2ค่ายจ่อคิวเชือด
นายณัชภัทร ขาวแก้ว นิติกรชำนาญการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวถึงในส่วนของบริษัท DCHL ก็คือ ณ วันนี้ทางเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ก็ได้มีคำสั่งเพิกถอนไม่อนุญาตบริษัทนี้ประกอบธุรกิจขายตรงตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป ถ้าหากกระทำการฝ่าฝืน มันก็มีบทลงโทษก็คือปรับเป็นรายวัน วันละไม่เกิน 10,000 บาท อันนี้ก็คือบทลงโทษหลังจากการเพิกถอน

ทำไมถึงมีการกระทำที่ล่าช้า ทั้งที่มีการตั้งกระทู้ถามในเว็บ สคบ.มานานแล้ว อยากบอกว่ามีการดำเนินการมาพอสมควรแล้ว เพียงแต่การร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานเพื่อที่จะเอาผิด เอาคนเข้าคุก มันก็ต้องใช้เวลานิดนึง เพราะถ้าเกิดการผิดพลาดอะไรคงไม่ได้ ตรงนี้เราก็มีการประชุมร่วมกันกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ และก็สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและกลุ่มป้องปรามการเงินนอกระบบอยู่เป็น

ระยะ ๆ เมื่อมีข้อเท็จจริงและก็ได้หลักฐานใหม่มา เพื่อที่จะนำไปสู่กระบวนการขั้นสุดท้ายเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้ ก็มีการประชุมกันเรื่อย ๆ เพราะมีคนร้องเรียนเข้ามาตั้งแต่ปลายปี 2553 เพียงแต่พฤติกรรมมันแตกต่างกันไปบ้าง มันยังไม่ชัดเจนพอที่จะให้เราดำเนินคดีฐานความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ณ วันนี้

ถามว่าก่อนหน้านี้มีการแฝงตัวเข้าไปดูบ้างหรือไม่ ก็มีทางตำรวจกรมสอบสวนได้แฝงตัวเข้าไป และก็ทางป้องปรามทาง ปปง.ได้แฝงตัวเข้าไป แต่ว่าเข้าไปตอนไหนอย่างไรนั้น ก็คงเข้าไปลับ ๆ ไม่ได้เปิดเผยตัวตน ณ ตอนนี้ตามที่ผู้บังคับการสำนักคดีอาญาพิเศษ ที่ได้บอกไว้นะครับว่า คนที่เสียหายก็ขอให้เข้าไปแจ้งความร้องทุกข์ลงชื่อไว้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษทั้งหมด เนื่องจากว่าทางกรมสอบสวนรับเป็นคดีพิเศษแล้ว และจะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา
ตอนนี้ก็รวบตัวได้ทั้งหมดเลย ทั้งที่สาขาสำนักงานใหญ่หลัก ๆ ก็คือ ตรงพระราม 9 และที่โคราช อันนี้ก็คิดว่าคงปิดทำการแล้ว และคงไม่สามารถเปิดทำการได้อีกแล้ว ถ้ายังเปิดก็มีโทษปรับอีกต่อวันไม่เกิน 10,000 บาท สิ่งที่ทางรัฐอำนวยความสะดวกกระทำได้พร้อมกัน เพราะว่าตึก สคบ.กับ DSI อยู่ตึกเดียวกันเพียง แต่คนละชั้น สามารถเข้ามาปรึกษาเข้ามาร้องเรียนอะไรได้ เราก็จะอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างยิ่ง

ส่วนผู้เสียหายเกินหลักหมื่นหรือไม่ อันนี้ผมยังตอบไม่ได้ เพราะว่าที่ผ่านมาในฐานข้อมูลของบริษัท มันก็มีเป็นหลักหมื่น แต่คนที่เสียหายจริง ๆ ที่เดินเข้ามาร้องทุกข์มันก็ไม่ถึง จากนี้ไป สคบ.ก็คงชี้แจงไปทุกจังหวัด เดี๋ยวเราจะมีหนังสือแจ้งทางจังหวัดให้ประสานเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เรื่องเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ต่อไป
ที่สำคัญก่อนหน้านี้มีการเชิญบริษัทขายตรงที่เข้าข่ายว่าเป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่ ก็มีการเชิญมา 2 ค่าย ก็ได้ทำตามขั้นตอนกระบวนการของกฎหมายที่ให้อำนาจ สคบ.ไว้ คงจะดูประเด็นในเรื่องของข้อเท็จจริง และประเด็นของการร้องเรียน รวมถึงพฤติกรรมของบริษัทที่ไปทำ คงต้องปรับเข้ากฎหมายว่า มันสามารถที่จะดำเนินการได้ตามข้อกฎหมายข้อใดบ้าง

โดยเฉพาะข้อกฎหมายที่เอาหนักสุดเลย มาตรา 19 หลัก ๆ ก็คือ ผู้ใดประกอบธุรกิจขายตรง โดยมีลักษณะเป็นการชักชวนให้ประชาชนเข้ารวมธุรกิจโดยจ่ายผลตอบแทนจากการคิดคำนวณ จากจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นประมาณนี้ ก็มีโทษจำคุกไม่มีโทษปรับเฉพาะมาตรานี้ แต่สำหรับความผิดฐานมาตราอื่น ๆ เช่น มาตรา 38 มาตรา 27 มาตรา 20 อันนี้มีบทลงโทษในเรื่องของการเสียค่าปรับอยู่ ตรงนี้ก็ดูเป็นแต่ละฐานความผิดไป

จึงอยากฝากถึงประชาชนก่อนที่จะเข้าร่วมธุรกิจ ก็คงจะต้องมีการตรวจสอบ อย่างแรกที่อยากให้ตรวจ ก็คือ 1. บริษัทได้รับการจดทะเบียนจาก สคบ.หรือไม่ ตรวจสอบในเว็บไซต์ของสำนักงานได้ว่า บริษัทนี้ได้จดทะเบียนหรือไม่ 2. ถ้าตรวจสอบพบแล้วว่า พบบริษัทจดทะเบียนแล้ว ถ้ามีพฤติกรรมแบบนี้ให้โทรมาถามเจ้าหน้าที่สักนิดหนึ่ง เพราะเจ้าหน้าที่ในส่วน สคบ.เขาก็จะมีข้อมูลของบริษัทอยู่เบื้องต้น ที่สามารถอธิบายหรือว่าบอกในข้อเท็จจริงได้ และเพียงพอที่จะให้ท่านตัดสินใจในการที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมในการทำธุรกิจ ส่วนบริษัทที่อยู่ภายใต้แนวนโยบายของท่านเลขาธิการคนปัจจุบัน นายจิรชัย มูลทองโร่ย ก็คือ ส่งเสริมทุกบริษัทที่ทำดีแน่นอน และก็เน้นหนักปราบปรามกับบริษัทที่มีพฤติกรรมที่เป็นแชร์ลูกโซ่ ตรงนี้ท่านก็ให้นโยบายมาชัดเจน


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. ตลาดวิเคราะห์ ประจำวันที่ 1 - 15 พฤศจิกายน 2555ฉบับ331

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ข่าวพระราม 9 เน็ต:ยาน้ำสมุนไพรจีน "ปาซินซุ่ย" และ "ซินแป๊ะฮ้อ" มาแรงงงบุกตลาดนักกอล์ฟ











ยาน้ำสมุนไพรจีน "ปาซินซุ่ย" และ "ซินแป๊ะฮ้อ" มาแรงงง!! กระแสตอบรับดีเกินคาด...โปรกอล์ฟชื่อดังต่างให้ความสนใจสั่งไปลองชิมเพื่อดูแลสุขภาพกัน อาทิ คุณสุกรี อ่อนช่ำแวดวงนักกอล์ฟ คุณสุกรี อ่อนฉ่ำ นักกอล์ฟผู้ซึ่งได้รับการยกย่องว่าเป็น "แชมป์ของแชมป์" คือ เป็นสุดยอดฝีมือในเชิงกอล์ฟของเมืองไทยครั้งแรกกับการบุกตลาดนักกอล์ฟ ณ Panorama Golf and Country Club ในการแข่งขัน "CISCO Challenge 2012"

หนึ่งในนักธุรกิจพระราม 9 เน็ตเวิร์ค Praram 9 Networkคุณเอกพงษ์ แก้วสุรินทร์



ตำนานซีเนียร์โปรชื่อดังของเมืองไทย ผู้ที่มีชื่อเสียงและเป็นที่รู้จักกันดีในแวดวงกอล์ฟ ร่วมพาทีมงานบุกเบิก เริ่มปลุกกระแสใน "สมาคมนักกอล์ฟอาชีพอาวุโสไทย" ให้หันมาดูแลสุขภาพ เสริมความแข็งแกร่ง บำรุงกำลังก่อนลงสนามกัน ว่าเหมาะที่จะเป็น "ของฝากนักกอล์ฟ" จริงๆ

ข่าวพระราม 9 เน็ตเวิร์ค : งานอบรม "การเสริมสร้างความมั่นใจ" เพื่อเสริมสร้างคุณภาพแก่นักธุรกิจ








อ.พะเยาว์ พัฒนพงศ์ นักพูด วิทยากร และผู้บรรยายให้ความรู้การอบรมด้านการพูดที่มีชื่อเสียงของประเทศไทย มาบรรยายให้แก่นักธุรกิจพระราม 9 เน็ตเวิร์ค Praram 9 Networkและผู้ที่สนใจ เข้าร่วมงานอบรม "การเสริมสร้างความมั่นใจ" เพื่อให้นักธุรกิจเกิดความมั่นใจที่จะแบ่งปันประสบการณ์ของตนเองในฐานะผู้ใช้สินค้าจริงในวันเสาร์ที่ 27 ตุลาคม 2555 ณ บริษัท พระราม 9 เน็ตเวิร์ค จำกัดPraram 9 Networkอาคารเลอคองคอร์ด ชั้น 7 ห้อง 708 เวลา 13.00-16.00 น.
ทุกท่านได้สาระความรู้ แนวคิด และเทคนิคดีๆ จนเกิดความมั่นใจที่จะสร้างเครือข่าย ได้นำไปใช้เพื่อความสำเร็จในอาชีพนักธุรกิจเครือข่าย พระราม 9 เน็ตเวิร์คPraram 9 Network


[gallery columns="4"]


credit: www.thaimlmnews.com


ข่าวพระราม 9 เน็ตเวิร์ค: บุกขยายตลาดทางภาคใต้เป็นครั้งแรก ตอกย้ำการเติบโตอย่างรวดเร็ว








คณะผู้บริหาร คุณพงษ์กฤตย์ องค์ศิริวัฒนา กรรมการผู้จัดการ, คุณนัทธวัฒน์ ธีระวาณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด
คุณเต็มดวง ผดุงสุนทรารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจ
และที่ปรึกษา อ.เสริมวิทย์ สิริพูนกิติกุล ถ่ายรูปร่วมกับผู้นำนักธุรกิจขยายตลาดสู่ภาคใต้


งานประชุมและต้อนรับผู้นำนักธุรกิจพระราม 9 เน็ตเวิร์ค เปิดตัว บุกขยายตลาดทางภาคใต้เป็นครั้งแรก ณ จังหวัดนครศรีธรรมราช ผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 60 คน โดยมีคณะผู้บริหาร คุณพงษ์กฤตย์ องค์ศิริวัฒนา กรรมการผู้จัดการ, คุณนัทธวัฒน์ ธีระวาณิชย์ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด และคุณเต็มดวง ผดุงสุนทรารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาธุรกิจและที่ปรึกษา อ.เสริมวิทย์ สิริพูนกิติกุล เดินทางไปเพื่อให้ความมั่นใจแก่นักธุรกิจด้วย โดยกล่าววิสัยทัศน์ตอกย้ำความมั่นใจให้แก่พี่น้อง จ.นครศรีธรรมราช ในการเข้ามาเป็นส่วนหนึ่ง และร่วมธุรกิจสร้างเครือข่ายให้โตไปกับพระราม 9 เน็ตเวิร์ค และตอกย้ำในคุณภาพแบรนด์ผลิตภัณฑ์อันล้ำค่าและทรงประสิทธิภาพ ว่าพระราม 9 เน็ตเวิร์ค ตัวจริงและเหนือชั้นของจริง ทั้งนี้ จะลงไปประชุมแนะนำโอกาสทางธุรกิจ (POM) อีกครั้งทั้งคณะผู้บริหารและทีมงาน คาดรวมคนได้ 100-300 คน ในวันที่ 10 พฤศจิกายน 2555 นี้


[gallery columns="4"]