ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันพฤหัสบดีที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2556

เศรษฐีมาเลฯ ดัน 'เอพพิค' ขอแจ้งเกิดธุรกิจ MLM







photo (Mobile)

 


เศรษฐีมาเลย์เจ้าของ "อีคอสเวย์" จับมือ "เกล็น เจนเซน" อดีตซีอีโอ "เอเจล" เข้าบริหาร "เอพพิค" บริษัทขายตรงน้องใหม่ ปรับยุทธศาสตร์ทางธุรกิจ ใช้แผนการตลาดแบบ "ไบนารี่" มาเป็นแรงส่งธุรกิจเพื่อแจ้งเกิดวงการ MLM แม่ทีมเก่า-ใหม่คึกคักเร่งจัดทัพ ล่าสุด The best power กลุ่มลูกหม้อเก่า นำโดย "เทพภูวิศค์ เตชะสมบูรณะกิจ" ผู้นำอีคอสเวย์ไทย ดึง ศุภกิจ รุ่งโรจน์ สุดยอดนักโมติเวทเตอร์ของเมืองไทยเข้าร่วมทีม พร้อมระดมพลสมาชิกร้านค้า "อีคอสเวย์ไทย" กว่า 50 แห่งทั่วประเทศ และนักขายมือทองในสังกัด รวมกว่า 400 คนเพื่อเตรียมความพร้อมก่อนเปิดฉากลุยขยายเครือข่าย


นายเทพภูวิศค์ เตชะสมบูรณะกิจ" ผู้นำทีม The best power ซึ่งเป็นผู้นำสูงสุดบริษัท อีคอสเวย์ ประเทศไทย เปิดเผยว่า เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัท "คอสเวย์" เจ้าของแบรนด์ "อีคอสเวย์" ซึ่งเป็นบริษัทหนึ่งในเครือ "เบอร์จายา กรุ๊ป" ของมหาเศรษฐีชาวมาเลเซีย "วินเซนต์ ตัน ฉียูน" ได้จับมือกับนายจับมือ "เกล็น เจนเซน" อดีตซีอีโอ "เอเจล" เข้ามาบริหารบริษัท เอพพิคเพื่อรุกขยายธุรกิจภายใต้แผนการตลาดใหม่ในระบบ "ไบนารี่" และ "ไตรนารี่" เข้ามาเป็นแผนจ่ายของบริษัทฯ


ด้วยความหลากหลายสินค้าของอีคอสเวย์เดิมที่มีอยู่เกือบ 600 รายการ และมีฐานร้านค้าอยู่กว่า 50 แห่ง เมื่อมีแผนการตลาดใหม่ที่มีแผนจ่ายผลตอบแทนที่ดี เชื่อว่าจะสามารถตอบสนองผู้นำธุรกิจเครือข่ายได้เป็นอย่างดี ซึ่งมั่นใจว่าด้วยแผนแนวใหม่นี้จะสร้างปรากฏการณ์ใหม่ให้กับทีมงาน มีความแข็งแกร่งมากยิ่งๆ ขึ้น โดยจะมีพลังและการขยายตัวอย่างไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน


"และเพื่อให้ทีมงานมีความแข็งแกร่งยิ่งขึ้น ทาง The best power ได้ดึง ศุภกิจ รุ่งโรจน์ สุดยอดนักโมติเวทเตอร์ของเมืองไทยเข้าร่วมทีม พร้อมกับเรียกประชุมสมาชิกร้านค้า "อีคอสเวย์ไทย" เดิมกว่า 50 แห่งทั่วประเทศ และนักขายมือทองในสังกัด รวมกว่า 400 คน ปลุกพลังสมาชิกก่อนก้าวสู่การเปลี่ยนแปลงการครั้งสำคัญที่โรงแรมเจ้าพระยาปาร์ค ไปเมื่อเร็วๆ นี้"


นอกจากนี้ทางทีมงานThe best power ยังได้รับการสนุนจาก นาย Tan Too Hou (ตัน ตู เฮา) อัพไลน์ระดับผู้นำเอเชียที่ประสบความสำเร็จใน อีคอสเวย์ มีรายได้รวมมากกว่า 100 ล้านบาท ในคอสเวย์ มีเครือข่ายร้านค้ารวมมากกว่า 500 ร้านค้าทั่วเอเชีย และได้มาร่วมการประชุมครั้งที่ผ่านมาด้วย ซึ่งทางนายตัน ตู เฮา ก็ยืนยันพร้อมให้การสนับสนุน และมั่นใจว่าด้วยฐานที่แข็งแกร่งของอีคอสเวย์ทั้งในไทยและต่างประเทศ และแผนตลาดที่ให้ผลตอบแทนที่ดี จะทำให้ "เอพพิค" เติบโตอย่างรวดเร็ว


สำหรับเป้าหมายของ "เอพพิค" ที่บริษัทฯ ได้ตั้งไว้คาดว่าจะสามารถสร้างสมาชิกได้ถึง 5,000 รหัสก่อนสิ้นปี และสามารถสร้างยอดขายในปีแรก (ปี 57) ประมาณ 1 พันล้านบาท


ทั้งนี้ นายเทพภูวิศค์ เป็นนักธุรกิจอีคอสเวย์ รุ่นบุกเบิก ถือว่าเป็นลูกหม้ออย่างแท้จริง ไม่เคยคิดย้ายค่ายไปไหน มุ่งมั่นสร้างเครือข่ายทั้งในประเทศและต่างประเทศ ถึงแม้ว่าธุรกิจอีคอสเวย์จะประสบกับวิกฤติในช่วงที่ผ่านมา ก็ยังมุ่งมั่นเดินหน้ากู้วิกฤติอยู่เคียงคู่มากับบริษัท อีคอสเวย์ มาโดยตลอด จนกระทั่งธุรกิจสามารถเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคง เพราะมีผู้ร่วมคิดและให้กำลังใจจากอัพไลน์ชาวมาเลเซีย ผู้ประสบความสำเร็จสูงสุดของ อีคอสเวย์ รวมทั้งดาวน์ไลน์ทั้ง 5 ชาติ และชาวไทย


 


 


 


Credit By : http://www.ryt9.com

ข่าวโมรินดา (Morinda) : โมรินดาฮึดสู้ขนสินค้าใหม่ปั๊มยอด







Capture-Mobile14-300x345

 


มรินดา เจอพิษการเมืองยอดหลุดเป้า ตั้งแนวรบใหม่เกาะกระแสทรูเอจเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ขนสินค้าลุยศึกขายตรงปีหน้า เดินเกมรุกโหมโปรโมชั่น ขยายฐานลูกค้าครอบคลุมภาคอีสานครบทุกจังหวัด เตรียมจัดงานใหญ่ ตั้งเป้าโตเท่าตัว


นางวิภารัตน์ รัตนพรหมมา ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท โมรินดา เวิร์ลไวด์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากสถานการณ์ความไม่แน่นอนทางการเมืองของประเทศไทยส่งผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจทำให้ยอดขายในปี 2556 ไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ แต่ก็ถือว่าเป็นที่น่าพอใจของบริษัทแม่ ทั้งนี้จากการตอบรับที่ดีของผลิตภัณฑ์ตลอดจนบริษัทมีผู้นำใหม่ๆ เกิดขึ้น ทำให้เกิดยอดการเติบโตที่ต่อเนื่องและมีแนวโน้มที่ดีขึ้นในปีหน้าด้วย


"ปีนี้เรามีกลุ่มผู้นำใหม่เข้ามามากขึ้น และเรามีผลิตภัณฑ์ตัวที่ประสบความสำเร็จ คือ แมกซ์ ตัวนี้เราพูดเสมอเรื่องลดค่า AGE แล้วก็จาก 1 ปีที่ผ่านมาจะได้ผลตอบรับสินค้าที่ดี ส่วนเรื่องการจัดอบรมในต่างจังหวัดก็มีผลมาก ในไทย ใน 1 ไตรมาสเราจะจัดเทรนนิ่ง 1 ครั้ง เป็นคีย์แมน ที่ทำโปรโมชั่นที่ค่อนข้างหิน ที่ผ่านมา เราเชิญวิทยากรด้านนอกมาอบรม อันนี้คือส่งท้ายปีของปีนี้"


นอกจากนั้นบริษัทยังประสบความสำเร็จในการขยายฐานลูกค้า โดยในส่วนของภาคกลางที่ จ.ชลบุรี และทางภาคอีสานได้เกิดกลุ่มผู้นำใหม่ๆ ขึ้น ทำให้ฐานลูกค้าเพิ่มขึ้นในจังหวัดมุกดาหาร ร้อยเอ็ด นครพนม มหาสารคาม และขอนแก่น ซึ่งปีหน้าบริษัทจะขยายฐานลูกค้าทางภาคอีสานให้ครอบคลุมทุกจังหวัด


นางวิภารัตน์ กล่าวว่า ปีหน้าบริษัทจะออกสินค้าใหม่ โดยยังคงเน้นเรื่องการลดค่า AGE โดยจะเป็นสินค้าที่เข้ามาเสริมทัพแมกซ์ ซึ่งเป็นสินค้ายอดนิยม โดยเบื้องต้นคาดว่าจะเปิดตัวภายในปีหน้า 3 ตัว ในกลุ่มอาหารเสริมและสกินแคร์ ซึ่งจะมีการจัดจำหน่ายแบบยกเซตตามความต้องการของลูกค้าเพื่อเป็นทางเลือกและกระตุ้นตลาด


"ปีหน้าเราจะมีโปรดักส์ใหม่เรื่อง AGE ในไตรมาสสุดท้ายของปีจะออกให้ครบ 2 ตัว เสริมอาหารและสกินแคร์ที่ดูแลเรื่อง AGE เพราะค่าความเสื่อมของร่างกายไม่ใช่ค่าอายุอย่างเดียว ริ้วรอยต่างๆ ความเหี่ยวย่น ก็เป็นเอฟเฟกต์ของค่า AGE ตัวนั้นปีหน้าเราจะขยายไลน์เพื่อเป็นตัวเลือกให้คนดูแลค่าความเสื่อมของร่างกาย คือ อย่างคนออกกำลังกาย เป็นผงชงดื่ม หลังออกกำลังกาย คล้ายเอ็นเนอร์จี้ดริ๊งค์ ตั้งเป้าว่าปีหน้า TrueAGE ไลน์ เหล่านี้จะมาเสริมทัพ"


ด้านกลยุทธ์ทางการตลาด บริษัทมีการออกโปรโมชั่นส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อสนับสนุนการทำงานของนักขาย นอกจากนั้น ปีหน้าบริษัทจะจัดงานอบรมสัมมนาอย่างต่อเนื่อง ควบคู่กับการดูงานต่างประเทศ โดยในเดือนกุมภาพันธ์ที่จะถึงนี้ บริษัทเตรียมนำทัพผู้นำเข้าร่วมการประชุมใหญ่ระดับเซาท์อีสต์เอเชียที่ประเทศเกาหลี เป็นเวลา 5 วัน และไทยเตรียมเป็นเจ้าภาพในปีถัดไปด้วย ส่วนเป้าหมายด้านยอดขายในปีหน้า บริษัทตั้งเป้าหมายว่าจะเติบโตเท่าตัวจากยอดการเติบโตของปีนี้


"เราตั้งเป้าหมายการเติบโตเพิ่มขึ้น 100% ในทุกๆ ปี อยู่ที่ว่าเราจะโตขึ้นขนาดไหน ถ้าเราวางแผนดี มีช่องทางเลือกให้ลูกค้าได้มากขึ้น คนจะนึกว่าเรามีแต่น้ำโนนิหรือเปล่า ปัจจุบันเรามีหลายตัวให้เลือก คาดว่าจะมีหลายตัวมา เสริมแมกซ์ ตั้งแต่ที่ทำกับโมรินดามา แมกซ์เป็นผลิตภัณฑ์ตัวที่ขายดีมาก เหนือความคาดหมาย เทียบเท่ากับที่เราขายตาฮิเตียนโนนิ เพราะคนใช้แล้วเห็นผลจึงตอบรับ" นางวิภารัตน์ กล่าว


 


 


 


 


Credit By : http://www.ryt9.com

จับตา 'โซล' น้องใหม่ MLM ดูดแม่ทีมแนวหน้าดันยอดพันล้าน







1509180_705449496156110_1876372096_n (Mobile)

 


มนุษย์เงินล้านระดับแนวหน้าของประเทศไทย "ธนะสิทธิ์-ธเนศ" อดีตแม่ทีมใหญ่ "เอมสตาร์ เน็ตเวิร์ค" ซบอกขายตรงน้องใหม่ "โซล คอร์ปอร์เรชั่น" เปิดใจ เลือกโซลเพราะบริษัทรักษาจรรยาบรรณเหนียวแน่น ฝั่งผู้บริหารตบเท้าพร้อมสนับสนุน เตรียมระบบรองรับการเติบโต ทั้งขยายสาขา เปิดตัวสินค้าใหม่ ตั้งเป้ายอดขายพันล้านภายในสิ้นปี 57


นางเพ็ญทิพย์ โปษยานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โซล คอร์ปอร์เรชั่น อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า จากการที่บริษัทเปิดดำเนินธุรกิจในระบบเครือข่ายขายตรงหลายชั้น (MLM) มาเป็นเวลากว่า 2 ปี มียอดขาย ณ ปัจจุบันอยู่ที่ 250 ล้านบาท มีฐานสมาชิกว่า 5 หมื่นราย ซึ่งสิ่งที่ทำให้เกิดการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญมาจากการที่บริษัทมีจุดเด่นด้านผลิตภัณฑ์ โดยมีนักวิจัยภายใต้ SCI Center ที่มีความเข้าใจในการประยุกต์ในนาโนเทคโนโลยีกับการดูแลสุขภาพและผิวพรรณ ซึ่งพยายามคิดค้นพัฒนาผลิตภัณฑ์ต่างๆ ภายใต้ศาสตร์ของนาโนเทคโนโลยีที่ผนวกเข้ากับศาสตร์แห่งพลังชีวิต โดยเริ่มต้นทดลองตลาดครีมมัสเซล เอฟเฟกต์ ปรากฏว่า ได้ผลลัพธ์ที่ดีมาก จึงมีการพัฒนานำไปสู่การทำธุรกิจเครือข่ายในที่สุด


"ครอบครัวทำธุรกิจวิจัยเกี่ยวกับทองคำ เพชร พลอย ซึ่งมีห้องแล็บที่อยู่ในระดับเกรดเอ ติดอันดับ 1 ใน 3 ของประเทศ และติด 1 ใน 5 ของโลก ซึ่งมีทีมวิจัยที่เป็นสมาชิกในครอบครัวทำกันเองมาตั้งแต่ดั้งเดิมมานานมาก โดยมีมาตรฐานในการตรวจสอบทองคำถึง 1.92% และ มีพันธมิตรที่เข้ามาติดต่อธุรกิจร่วมอยู่มากมายทั้งในและต่างประเทศ"


นางเพ็ญทิพย์ กล่าวว่า บริษัทได้เปิดตัวผู้นำระดับแนวหน้าของประเทศไทยที่จะมาร่วมธุรกิจกับโซลฯ ได้แก่ นายธนะสิทธิ์ พรสิริกุลนันท์ และนายธเนศ ลีลาภรณ์ (อดีตนักธุรกิจระดับทริปเปิ้ลไดมอนด์ บริษัท เอมสตาร์ เน็ตเวิร์ค) ซึ่งได้ยื่นใบลาออกจากบริษัทต้นสังกัดเดิมและสมัครเข้าร่วมทำธุรกิจกับโซล โดยเป็นการร่วมงานของคนรุ่นใหม่ที่มีแนวคิดและอุดมการณ์ในทิศทางเดียวกันที่จะทำธุรกิจขายตรงสีขาว


"คุณธนสิทธิ์และคุณธเนศ เป็น 1 ใน 5 ผู้นำในประเทศไทย การร่วมเดินทางด้วยกัน เรามองว่า เราเป็นคนรุ่นใหม่ มีนวัตกรรมในแนวคิด วิธีการทำงานแนวคิดการทำเครือข่ายสีขาว เครือข่ายผู้ให้ ด้วยวิธีคิด วิธีการตรงกัน ทำให้มีวันนี้ โดยบริษัทเตรียมทกลยุทธ์การขยายตัวทุกรูปแบบ ทั้งขยายสาขา เปิดตัวสินค้าใหม่ ตลอดจนร่วมมือกับพันธมิตรในการซื้อขายและจ่ายเงิน เช่น เซเว่น อีเลฟเว่น"


สำหรับผลิตภัณฑ์ที่ใช้ในการรุกตลาดของโซล ปัจจุบันมี 29 รายการ แบ่งออกเป็น 4 หมวดใหญ่ๆ ประกอบด้วย โซลคอสเมติก, โซลฟังก์ชั่นส์, โซลเฮลธ์ และโซลไลฟ์สไตล์ ซึ่งบริษัทมีสินค้าเปิดใจที่จะเน้นคอนเซ็ปต์ "ใช้ครั้งเดียวเห็นผลทันที" เพราะสินค้าทั้งหมดเมื่อใช้แล้วจะทำให้อ่อนเยาว์ลง ได้ออกผลิตภัณฑ์คอสเมติก และไฮโดรเซลลูชั่น


ด้าน นายธเนศ ลีลาภรณ์ มนุษย์เงินล้านและนักธุรกิจอิสระ เผยว่า ก่อนที่ตนเองจะสมัครเข้าร่วมธุรกิจกับโซลได้ศึกษาบริษัทขายตรงหลายที่และมีหลายบริษัทติดต่อมา แต่สาเหตุที่เลือกทำธุรกิจกับโซลเพราะมองว่าบริษัททำธุรกิจโดยยึดหลักจรรยาบรรณอย่างเหนียวแน่น และมีปัจจัยที่ทำให้ธุรกิจเติบโตคือ มีผลิตภัณฑ์ที่ตอบโจทย์ในธุรกิจเครือข่าย ทั้งนี้ มีการทำผลงานวิจัยมาแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ปี ที่สำคัญคือตอบโจทย์ในการเติบโตของทีมงาน โดยมุ่งสร้างนักธุรกิจเงินล้านภายในปีแรกให้ได้ 12 คน เปิดศูนย์ธุรกิจรองรับการเติบโต 10-20 แห่ง และสร้างยอดขายรวมให้บริษัทภายในสิ้นปี 2557 ไม่ต่ำกว่า 1,000 ล้านบาท


"ผมรวบรวมประสบการณ์ในธุรกิจเครือข่าย 11 ปี มาใช้ในธุรกิจนี้ โดยใช้เครื่องมือที่เรียกว่าระบบ S55 เป็นการระดมสมองของทีมงานที่ชี้ให้เห็นว่าทำไม่ต้องทำเครือข่าย ทำไมต้องทำโซลฯ ตลอดจนการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่ ยอดขึ้นต่ำพันล้าน วางผู้นำหลักล้านไว้ 12 คนในปีแรก เปิดศูนย์ธุรกิจเกือบ 10-20 แห่ง ภายในปีหน้า เน้นให้เป็นเครือข่ายสีขาว พยายามทำให้เป็นรูปธรรมมากที่สุด"


ฝั่ง นายธนะสิทธิ์ พรสิริกุลนันท์ อีกหนึ่งมนุษย์เงินล้านและนักธุรกิจอิสระ กล่าวเสริมว่า "สิงที่ตนเองและทีมงานต้องการคือการทำธุรกิจกับบริษัทที่สามารถทำธุรกิจไปได้ยาวๆ โดยมองว่าเครือข่ายที่สร้างต้องสามารถหยุดได้จริง ซึ่งถามว่าที่ผ่านมาปัจจัยในการตัดสินใจ อยู่บนพื้นฐานของการเติบโตของทีมงาน หากวันนี้ตนเองอยู่ได้บนพื้นฐานที่ต้องเอาเปรียบทีมงาน เครือข่ายนั้นก็ไม่ใช่คำตอบ


"เรามองหาเครือข่ายที่เราสร้างแล้วหยุดได้จริงๆ คำถามคือ แล้วก่อนหน้านี้เราหยุดไม่ได้เหรอ สำหรับผมกับคุณธเนศ เราโอเค. แต่ปัจจัยในการตัดสินใจคือ ทำอย่างไรให้ทีมงานอยู่ได้และเขาเติบโตต่อได้ อาจไม่ต้องโตเร็วมากมาย แต่ค่อยๆ โตสะสม ซึ่งเครือข่ายที่โต ตอบโจทย์เราเรื่องสินค้าที่ดี แผนยุติธรรม โปร่งใส ไม่หมกเม็ด นายธนะสิทธิ์ กล่าวและว่า ผมขอบริษัทแค่ 2 อย่าง คือ เรื่องกฎ จรรยาบรรณ ในการโอนย้ายสายงานเพื่อไม่ให้คนที่ตั้งใจทำอย่างถูกต้อง เสียกำลังใจ กับสองคือเรื่องสินค้าตัดราคา ซึ่งผมต้องการให้บริษัทดูแลเรื่องสินค้าตัดราคา เพราะสุดท้ายเราจะไม่สามารถสะสมเครือข่ายได้จริงๆ เราหามาร้อย ก็โดนออกไปซื้อสินค้าตัดราคาร้อย อย่างนี้เราก็ไม่สามารถเติบโตได้ ต่อให้เป็นธุรกิจอื่นหาลูกค้าใหม่มายังไง ก็แค่ทดแทนสิ่งที่ขาดหายไป ซึ่งโซล ค่อนข้างมีกฎ จรรยาบรรณตรงนี้เข้มเข็ง คนที่สำเร็จทำต่อเนื่อง 3 ปี 5 ปี 10 ปี เราก็เติบโตได้" นายธนะสิทธิ์ กล่าวในที่สุด

'อำพล'ปฏิรูป'สคบ.'! ดันแก้ก.ม. MLM / เล็งมัดรวม 4 ส.ยกระดับธุรกิจ







Ampol (Small) (Mobile)

 


"อำพล วงศ์ศิริ" ฟิต! เดินหน้าปฏิรูปการทำงานของ "สคบ." ดันแก้ไขกฎหมายขายตรง ดึงผู้เชี่ยวชาญร่วมร่างกฎหมายใหม่ ช็อก! เห็นบอร์ดขายตรง รักษาการนาน 2 ปี เตรียมเลือกบอร์ดขายตรงใหม่ พร้อมตรวจแถว MLM ใหม่-เก่า อุดรูบริษัทผุดแผนเถื่อนส่อแววกลายพันธุ์ ตั้ง "กองขายตรง" เพิ่มคนดูแลธุรกิจ ประกาศหาวิธีรวม 4 สมาคม ยกระดับวงการธุรกิจ ย้ำแชร์ลูกโซ่ตัวทำลายภาพลักษณ์ แนะ ประชาชนตั้งข้อสังเกตก่อนเทใจ


นายอำพล วงศ์ศิริ เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า หลังจากที่ตนได้เข้ามารับตำแหน่งเลขาธิการ สคบ. ตั้งแต่วันที่ 31 ต.ค.2556 ซึ่งเป็นการย้ายข้ามห้วยมาจากกระทรวงยุติธรรม โดยรัฐบาลต้องการให้ สคบ.ทำงานเชิง รุกมากขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมา สคบ. มีแนวทางการทำงานลักษณะรับมากจนเกินไป


"ตนได้รับมอบหมายคำสั่งจาก สันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ให้เข้ามาเป็นเลขาธิการ สคบ. โดยมีโจทย์การทำงาน เชิงรุกมากยิ่งขึ้น คือ ต้องดูแลผู้บริโภค ตั้งแต่ในระดับต้นน้ำ เน้นการทำงานแบบป้องปราม ให้ความสำคัญกับผู้บริโภคในระดับรากหญ้ามากยิ่งขึ้น หลังจากช่วงที่ผ่านมา กลุ่มคนรากหญ้า ซึ่งส่วนใหญ่เป็นกลุ่มคนต่างจังหวัด มักถูกเอารัดเอาเปรียบจากกลุ่มนายทุน" เลขาธิการ สคบ.คนใหม่ เผย


อย่างไรก็ดี ในส่วนของธุรกิจขายตรง ในฐานะที่ สคบ.ถือเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่กำกับดูแลโดยตรง เลขาธิการ สคบ.คนใหม่ ต้องการที่จะเดินหน้าปลูกฝังให้กลุ่มผู้ประกอบการขายตรงทำธุรกิจให้ถูกต้องตาม กฎหมาย เพื่อให้เกิดผลอย่างชัดเจน โดยที่ผ่านมา กลุ่มผู้ประกอบการโดยเฉพาะรายใหม่ๆ มักจะมีการขอใบอนุญาตการทำขายตรง หลังจากที่ได้ทำธุรกิจไปแล้วระยะหนึ่ง ซึ่งถือว่ามีความผิด


 ผุดแผนปิดช่องธุรกิจกลายพันธุ์


"บริษัทขายตรงเปิดใหม่มักจะเปิดทำธุรกิจสร้างเครือข่ายก่อนที่จะเข้ามาขอใบอนุญาต ซึ่งเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย อีกทั้งเวลามาขอใบอนุญาตก็มักข่มขู่เรื่องระยะเวลาต่อหน่วยงานรัฐ โดยให้เหตุผลว่าเอกสารครบ รัฐต้องทำงานให้เสร็จ และออกใบอนุญาต ในระยะเวลา 15 วัน ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่ถูก เพราะ สคบ.ต้องตรวจสอบหลายสิ่งหลายอย่าง การกระทำเช่นนี้ก็ถือว่ามีความผิด ในส่วนของกลุ่มบริษัทเก่า ขณะนี้ตนก็กำลังหาทางที่จะตรวจสอบว่า หลังจากที่ได้ รับใบอนุญาตจาก สคบ.ไปแล้ว ได้ปฏิบัติสิ่ง ต่างๆ ตามที่ยื่นมาในตอนแรกหรือไม่อย่างไร ซึ่งกลุ่มบริษัทขายตรง มักมีการปรับแผนจ่าย โดยที่ไม่แจ้ง สคบ.เพื่อดึงดูดสมาชิก ส่วนนี้ ถือว่ามีความผิด" อำพล กล่าว


การตรวจสอบของ สคบ. ต้องการที่จะเข้าไปติดตามตรวจสอบบริษัทขายตรงที่ได้รับใบอนุญาตไปแล้วในทุก 2-3 ปี ว่าได้ กระทำอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่จดยื่นต่อสคบ.หรือไม่ หากมีการปรับ หรือแก้ไข สิ่งนี้ ถือว่ามีความผิด


นอกจากนี้ ทาง สคบ. ภายใต้การกุม บังเหียนของนายใหญ่คนใหม่ มีความคิดที่จะ แก้ไขกฎหมายขายตรง ซึ่งปัจจุบันได้ใช้ พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง 2545 ในการควบคุมดูแลธุรกิจอยู่ โดยที่ขณะนี้ สคบ.กำลังเตรียมสรรหากลุ่มคนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ ซึ่งอาจเป็นกลุ่มคนในหลากหลายวงการเข้ามาช่วยกันคิดว่า จะแก้ไขข้อไหนอย่างไร


ขณะที่ในเรื่องของบอร์ดขายตรง ชุดปัจจุบันที่เป็นกลุ่มบอร์ดรักษาการนั้น "อำพล" เผยในเรื่องนี้ว่า "ต้องยอมรับว่าตนรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย ที่ได้เห็นกลุ่มบอร์ดขายตรงในปัจจุบัน เพราะบอร์ดชุดนี้ เป็นบอร์ดขายตรงที่หมดวาระไปแล้ว ตั้งแต่ 2 ปีที่แล้ว โดยที่มีตำแหน่งเป็นบอร์ดรักษา-การ โดยที่นั่งรักษาการมาเป็นระยะเวลา 2 ปี ซึ่งถือเป็นอีกรอบวาระ ตนจึงแปลกใจ ว่า ทำไมรักษาการนานขนาดนี้ เกิดอะไรขึ้น กับธุรกิจ ซึ่งตนต้องการตั้งบอร์ดชุดใหม่ โดยเร็ว"


"ผู้ประกอบการขายตรงจะต้องประกอบธุรกิจขายตรงให้เป็นไปตามแผน การจ่ายผลตอบแทนที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น หากมีการประกอบธุรกิจที่ผิดแตกต่างไปจากที่ได้รับการจดทะเบียน นายทะเบียนมีอำนาจเพิกถอนใบอนุญาต และหากมีการประกอบธุรกิจในลักษณะขายตรงแอบแฝง ผู้ประกอบการท่านนั้นๆ จะต้องถูกดำเนินคดี และยึดทรัพย์ตามกฎหมาย" อำพล กล่าว


ตั้ง "กอง" เฝ้าระวัง


อย่างไรก็ดี การทำงานของ สคบ. หลังจากนี้จะเดินคู่กับ "กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ" เพื่อทำงานป้องปรามตามเจตนารมณ์ของรัฐบาล ซึ่งที่ผ่านมาในแต่ละปี สคบ.จะมีเรื่องร้องเรียนมาที่หน่วย งานเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภคประมาณ 1 หมื่นคดี แบ่งเป็นคดีที่เกี่ยวกับธุรกิจขายตรงประมาณ 5% ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นเรื่องการไม่จ่ายผลตอบแทนตามที่ได้ตกลงระหว่าง บริษัทกับกลุ่มนักธุรกิจอิสระ


"ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าเรามีคนทำงานน้อยเกินไป แต่หลังจากนี้ ทาง สคบ. ได้แยกธุรกิจขายตรงออกมาดูแลในฐานะ "กอง" ภายใต้ชื่อ "กองคุ้มครองผู้บริโภค ด้านธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง" โดยในอนาคตจะมีคนทำงานในส่วนนี้เพิ่มขึ้นมา เป็น 10-15 คน จากเดิมที่มีอยู่เพียง 8 คน"


เล็งมัดรวม 4 ก๊ก ยกระดับธุรกิจ


นอกจากนี้ "อำพล" ยังได้กล่าวถึงในประเด็นที่วงการขายตรงแตกเป็น 4 สมาคม ว่า "เรื่องของการตั้งสมาคมขายตรงที่ปัจจุบันมีถึง 4 สมาคมนั้น ตนถือว่าแปลกใจ ไม่น้อย เพราะไม่ค่อยเห็นกลุ่มธุรกิจไหนจะแตกเป็นกลุ่มเยอะขนาดนี้ โดยที่ตนก็มีความ คิดที่จะหาทางดึงทั้ง 4 สมาคมเข้ามาทำงาน ร่วมกัน แต่ยังไม่ทราบว่าจะทำได้ในระดับใด โดยที่ความต้องการสูงสุดคือการรวมทั้ง 4 สมาคม เป็นหนึ่งเดียว หรือไม่ก็จะหาความร่วมมือจาก 4 สมาคม เพื่อทำงานร่วมกัน เพื่อเป็นการยกระดับวงการขายตรงไทย"


ทั้งนี้ เลขาธิการ สคบ.ยังเผยต่อว่า "ตนไม่มีความคิดที่เข้าข้าง หรือให้ความสำคัญกับสมาคมใดเป็นพิเศษ โดยตนจะให้ความสำคัญกับทุกสมาคม และทุกบริษัท"


แชร์ลูกโซ่ยังมี ประชาชนระวัง


"กรณีผู้จำหน่ายหรือตัวแทนขายตรง นำสินค้าไปจำหน่ายให้กับผู้บริโภค จะต้องได้รับอนุญาตจากผู้บริโภคหรือผู้ครอบครอง สถานที่นั้นเสียก่อน และต้องไม่ทำอะไรที่ถือเป็นการรบกวนผู้บริโภค อีกทั้งต้องแสดง บัตรประจำตัวประชาชนและบัตรประจำตัวผู้แทนจำหน่าย ซึ่งออกโดยผู้ประกอบธุรกิจขายตรงด้วย หากฝ่าฝืนถือเป็นความผิดทางกฎหมาย"


"ในเรื่องของแชร์ลูกโซ่มักจะเกิดขึ้นมากในช่วงเศรษฐกิจขาลง ความเติบโตทาง เศรษฐกิจอยู่ในเกณฑ์ต่ำ เมื่อรายได้ของคน มีน้อยในขณะที่รายจ่ายเพิ่มขึ้น ก็ต้องพยายาม หารายได้อื่นมาเสริม การหลอกลวงหรือระดมทุนแบบแชร์ลูกโซ่จึงเกิดขึ้นมาก เพราะ มีการเสนอผลตอบแทนที่สูง มีทั้งอาศัยธุรกิจ ขายตรงแอบแฝง และรูปแบบแชร์ลูกโซ่โดย ตรง ซึ่งในส่วนนี้ทาง สคบ.จึงได้ร่วมมือกับ ดีเอสไอ และสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน เพื่อเข้าไปกำกับดูแลวงการธุรกิจ เพื่อไม่ให้เกิดเรื่องไม่ดีขึ้น" เลขาธิการ สคบ. เผยถึงความร่วมมือ


ทั้งนี้ "อำพล" ได้กล่าวในตอนท้ายว่า "รูปแบบหลอกลวงที่เข้าข่ายเป็นความผิด "แชร์ลูกโซ่" มีมากมายหลายรูปแบบ ขอให้ประชาชนตั้งข้อสังเกตเปรียบเทียบดูว่าหากธุรกิจใดมีสัดส่วนการลงไม่มาก แต่ให้ผลตอบแทนสูงในระยะเวลาสั้นๆ ก็อาจเป็น แชร์ลูกโซ่ได้ ดังนั้น หากประชาชนเกิด ข้อสงสัย สามารถสอบถามมาที่ สคบ. ที่หมายเลขโทรศัพท์ 1166 หรือกลุ่มงานป้องปรามเงินนอกระบบ สำนักงานปลัดกระทรวงการคลัง เบอร์ 1359"


 


 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com/

วันศุกร์ที่ 20 ธันวาคม พ.ศ. 2556

‘มนตรี ชะคำรอด’ ชวนสร้างบ้าน ‘โฮลี่ วอน’







yyy (Mobile)

 


จากพนักงานโรงแรมที่รับเงินเดือนกว่าครึ่งแสน แต่ “มนตรี ชะคำรอด” กลับเมินหน้า และมาฝากหวังไว้กับธุรกิจส่วนตัว แต่สุดท้ายก็ต้องสลัดทิ้ง...เป็นเพราะอะไร..?


มาค้นหาสิ่งดี ๆ กับหนุ่มผู้นี้ “มนตรี ชะคำรอด”


ในห้วงเส้นทางเดินของธุรกิจขายตรง “มนตรี” เคยสัมผัสมาตั้งแต่เด็ก ๆ และมาสัมผัสอย่างจริง ๆ จัง ๆ ในปี 2545 - 2546 เพราะมีความรู้สึกว่า ธุรกิจขายตรงมีอะไร...ที่น่าศึกษาอยู่อีกมาก แต่การเข้าสัมผัสขายตรงครั้งแรก ยังเจอโค้ชที่ให้คำแนะนำยังไม่ดีพอ ก็ได้แต่เรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์มากกว่า


“ความสวยงามของธุรกิจขายตรง ทำให้คนนับร้อยคน คาดหวังและมีความเป็นไปได้ว่า ทุกคนจะสำเร็จได้ ถ้ามีความตั้งใจ แต่ถ้าเป็นธุรกิจอื่นโดยทั่วไปแล้ว ต้องอาศัยองค์ประกอบหลายอย่าง ทั้งความรู้ ประสบการณ์ เรื่องของทุน พื้นฐานของครอบครัว ประสบการณ์จากคุณพ่อคุณแม่ที่ส่งต่อกันมา แต่สำหรับขายตรงผมได้ศึกษาแล้วว่า มันมีความเป็นไปได้สูง และถ้าทุกคนทำตามแผนการตลาด คนทั้งโลกสามารถทำได้ ไม่ใช่แต่เฉพาะตัวผม”


และเหตุผลสำคัญที่ตัดสินใจเลือก “โฮลี่ วอน” เพราะความเป็น “ศักดิ์สิทธิ์ อัลลอย” ที่ยืนหยัดและประสบความสำเร็จในธุรกิจมากว่า 40 ปี


การฝ่าฟันธุรกิจ ความเข้าใจในเนื้อหาของธุรกิจ การรอที่จะสำเร็จได้ และสามารถลงทุนต่ำ นั่นคือ คำตอบทั้งหมดที่มาลงเอยกับที่นี่


เมื่อเจอสิ่งที่ “ชอบ” และสิ่งที่ “ใช่”...“มนตรี” จึงไม่รอช้า ผนึกทีมงานให้มีความกลมเกลียว แนะนำคนที่มีประสบการณ์มาร่วมทีม ผนวกกับการเปิดใจฟังซึ่งกันและกัน ทุก ๆ สิ่ง ทุก ๆ อย่างที่กล่าวมา ก็จะถูกหล่อหลอมเกิด “หลักสูตรสำเร็จ” ที่นำพาทุก ๆ ท่านภายใต้ทีม...ให้ก้าวไปสู่ความสำเร็จพร้อม ๆ กัน


กลยุทธ์และวิธีการทำงาน จึงไม่ได้ถูกวางอย่างพิถีพิถัน เพียงแต่เราใช้ความเข้าใจพื้นฐาน MLM แล้วก้าวเดินตามสเต็ป 1 2 3 4 แล้วให้เวลากับมัน มันก็จะกลายเป็นกระบวนความคิดแล้วแปลงเป็นทรัพย์อันมีค่าในวัน


ข้างหน้า


เพราะคนที่ตัดสินใจทำธุรกิจ MLM เขาจะไม่ขาดทุน ถ้าไม่คิดนอกกรอบระบบธุรกิจ เนื่องจาก MLM คือ ธุรกิจที่ต้องลงมือทำ แต่ไม่ใช่การกอบโกยเพียงชั่วครู่


ฉะนั้น การเข้ามาอยู่ภายใต้รั้ว “โฮลี่ วอน” รายได้จึงค่อย ๆ ขยับตามวันเวลา ตามความขยัน และลงมือทำจริง จากเดิมรายได้ต่อเดือนขยับอยู่ 3 - 4 หมื่นบาท วันนี้ขยับไต่ระดับอยู่ที่เดือนละแสน แต่รายได้ที่รับก็จะขยับตามจังหวะรายจ่ายเช่นกัน ผมสามารถมาจุนเจือครอบครัว บ้าน และ


ที่สำคัญได้เพิ่มประสบการณ์ตามมาอีกบทหนึ่ง


ในอนาคตข้างหน้า...การเดินบนเส้นทางขายตรงของ “มนตรี” มีการกำหนดเป้าที่ชัดเจน และทำงานอย่างมีแบบแผน ก็จะสามารถผลักดันให้ธุรกิจเราเติบโตได้ และจะต้องได้มากกว่าเดิมด้วย แต่ต้องไม่ลืมขับเคลื่อนทีมงานให้เติบโตไปพร้อม ๆ กับเรา อย่างน้อย ๆ ผมจะสร้างทีมงานให้สำเร็จสัก 40 - 50 คน ที่รับรายได้ 4 - 5 หมื่นบาท/คน


เพราะ “โฮลี่ วอน” ได้ทำการขยายสาขาไปสู่ต่างจังหวัด อาทิ เซ็นเตอร์ ณ จังหวัดปราจีนบุรี ราชบุรี และเวียงจันทน์ โดยมีฝ่ายบริหารอีกกลุ่มเข้าไปดูแล เมื่อบริษัทขยายก็เท่ากับส่งผลให้ทีมงานผมขยายตัวตามเช่นเดียวกัน แต่ยังไม่ก้าวไกลไปอาเซียน คงได้แต่เตรียมแผนรองรับความแข็งแกร่ง เตรียมทีมให้พร้อม เพื่อรองรับการแข่งขันที่กำลังจะเกิดขึ้นในภายภาคหน้า


และที่สำคัญคนใหม่ที่สนใจเข้ามาทำเครือข่ายในวันนี้ จำเป็นต้องเรียนรู้กับธุรกิจก่อน หากเป็นธุรกิจสีเทา - ดำจะเอากิเลสมาหลอกล่อให้ลงทุน คือ “ไม่อยากทำงานแต่มีรายได้” นี่คือ จุดแข็งของธุรกิจขายตรงสีเทา - ดำ ที่หลอกล่อจุดอ่อนของคน วันนี้ จึงเกิดธุรกิจแบบนี้เกิดขึ้นแล้ว เกิดขึ้นเล่า เป็นช่องทางในการสร้างรายได้และเป็นโอกาสที่จะฉกฉวยธุรกิจขายตรงที่ดี ๆ จึงต้องเป็นหน้าที่ของผู้นำและบริษัทที่จะต้องชี้แจงให้ผู้บริโภคทราบ แต่ในท้ายที่สุดแล้ว ผู้บริโภคก็จะเป็นคนเลือกตัดสินใจเอง


“มนตรี” ยังแนะนำปิดท้ายว่า วันนี้ธุรกิจเครือข่ายเป็นธุรกิจที่สวยงาม ผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่อยากจะการันตี เพราะผมเป็นทั้งพนักงานประจำ และเคยทำธุรกิจส่วนตัวมาก่อน แต่ในธุรกิจเครือข่าย มันเป็นธุรกิจที่สามารถ


ช่วยเหลือซึ่งกันและกันได้ ซึ่งถ้ามองในแง่ของการทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ มันอยู่ที่การเห็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่ในธุรกิจ MLM หรือไม่ นั่นเป็นสิ่งที่ต้องร่วมกันค้นหาคำตอบ


วันนี้ “บริษัท โฮลี่ วอน จำกัด” คือ ขายตรงน้องใหม่ โสด ซิง เพราะเพิ่งเปิดมาได้ 6 เดือน ที่ผ่านมาเราได้พิสูจน์กับผู้บริโภคของเราได้ชัดเจนแล้วว่า สินค้าสามารถตอบโจทย์ได้ชัดเจน แผนการตลาดทำแล้วเห็นผล โดยเฉพาะ


ในเรื่องของระบบที่บริษัทได้วางเอาไว้ต่อเนื่องไปจนถึง “เออีซี” ก็มีการเตรียมแผนการวางไว้อย่างชัดเจนแล้ว สำหรับคนที่จะประสบความสำเร็จกับ “โฮลี่ วอน” คุณคือคนหนึ่งประสบความสำเร็จในธุรกิจเครือข่าย


ผมฝาก “โฮลี่ วอน” ไว้ในอ้อมอก และเชื่อว่า เราจะสร้างเวทีนี้ให้ยิ่งใหญ่ร่วมกันได้..!!


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

‘เยส ไอ แคน’ปล่อยอาวุธเด็ด หลังชิมลางตลาด MLM ไปได้สวย







Capture (Mobile)

 


ขายตรง “เยส ไอ แคน” เดินเครื่องรุกตลาดเครือข่ายโค้งสุดท้าย หวังสร้างการรับรู้ พร้อมยอมรับ 2 ปีโตช้า การดำเนินธุรกิจมีสะดุด แต่ไม่ล้ม...ล่าสุดเข็นสินค้านางเอก “X-Factor” ตัวใหม่เสริมทัพธุรกิจ หลังปล่อยกลุ่มอาหารเสริมพืชชิมลางไปแล้ว ประสบความสำเร็จเกินเป้า...เตรียมอัดโปรโมชั่นเสริม รุกตลาดต่างจังหวัดต่อยอด...แย้มเป้าสิ้นปีขอยอดแตะ 130 ล้าน


“บริษัท เยส ไอ แคน คอร์เปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด” ถือเป็นอีกหนึ่งขายตรงที่จำเป็นต้องสปีด เพราะการเปิดตลาด 2 ปี ไม่เป็นที่หวือหวาเท่าที่ควร ล่าสุด เตรียมสร้างการรับรู้แบรนด์บริษัทภายใต้มิติใหม่ เพราะช่วงตลอดระยะเวลา 2 ปีที่ผ่านมา ยังแจ้งเกิดตลาดขายตรงไทย ยังไม่เต็มรูปแบบมากนัก ส่งผลให้ยอดเติบโตช้ากว่าที่ควรจะเป็น


ล่าสุด จึงมีการจัดงานเปิดตัวสินค้าใหม่ส่งท้ายปี เพื่อต้องการสร้างการรับรู้ให้มากขึ้น...โดย “ภัททิยา พชรอัศวกาล” กรรมการผู้จัดการ บริษัท เยส ไอ แคน คอร์ เปอเรชั่น (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดเผยกลยุทธ์ผ่าน “นสพ.ตลาดวิเคราะห์” ว่า ในช่วง 2 ปีที่บริษัทดำเนินธุรกิจขายตรง ถือว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จอย่างมากพอสมควร ทั้งในเรื่องของยอดขายและสมาชิก โดยกลุ่มสินค้าที่เป็นตัวชูโรงในช่วงเริ่มแรกคือ กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมพืช


หากเทียบอัตราการเติบโตในช่วงปีแรกกับปีที่ 2 พบว่า มีอัตราการเติบโตอยู่ที่ประมาณ 10% ซึ่งถือว่าเป็นการเติบโตที่ดีทีเดียว โดยอัตราการเติบโตไม่ต้องการที่จะโตแบบก้าวกระโดด แต่ต้องการจะเติบโตอย่างมั่นคงและต่อเนื่อง ณ วันนี้บริษัทมีผู้นำหลัก 12 ท่านด้วยกัน ที่สามารถก้าวขึ้นตำแหน่งเพรสซิเด้นท์


โดยผลิตภัณฑ์ “เยส ไอ แคน” มีอยู่ด้วยกัน 3 กลุ่มที่เปิดเกมบุกตลาด ประกอบด้วย


1. กลุ่มนาโนเกษตร อาหารเสริมพืชชนิดแคปซูลนาโน


2. กลุ่มคอสเมติก


3. นาโนสุขภาพ ล่าสุด ได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามาเสริมทัพธุรกิจอีกหนึ่งรายการ คือ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสุขภาพที่ชื่อว่า “X-Factor” เป็นผลิตภัณฑ์ที่นำเข้ามาจากประเทศมาเลเซีย


“บริษัทฯ มีความมั่นใจว่า ผลิตภัณฑ์ใหม่ “X-Factor” จะเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่จะสร้างยอดขายให้กับบริษัทอย่างแน่นอน รองจากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมพืช โดยเชื่อว่าจะช่วยดันยอดขายให้เติบโตก่อนสิ้นปีอยู่ที่ 130 ล้านบาท พร้อมกับมียอดขายเฉพาะในส่วนของผลิตภัณฑ์ “X-Factor” ในไตรมาสแรกอยู่ที่ 10 ล้านบาทด้วยเช่นกัน”


ส่วนกลยุทธ์การตลาดของ “เยส ไอ แคน” นอกเหนือจากการเสริมทัพด้วยสินค้าใหม่ นับจากนี้จะเน้นในเรื่องของการจัดรายการโปรโมชั่น พร้อมกับการรุกตลาดในพื้นที่ต่างจังหวัดเป็นหลักก่อน โดยปลุกสินค้ากลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมพืชเป็นตัวนำร่อง ส่วนในพื้นที่เขตเมืองจะเป็นการเน้นสินค้าใหม่ X-Factor เป็นหลัก


หากถามความพร้อมของ เยส ไอ แคน ณ เวลานี้ ถือว่าพร้อมอย่างมากทีเดียว ทั้งในเรื่องของสินค้า แผนการตลาด ระบบไอที ซึ่งอยากจะให้ทุกท่านได้ลองมาสัมผัสกับธุรกิจที่นี่ ก็จะรู้ว่าองค์ประกอบที่ได้กล่าวไว้ เยส ไอ แคน สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของสมาชิกได้อย่างแน่นอน ส่วนทิศทางการแข่งขันในตลาดขายตรงนับจากนี้ เชื่อว่า ยังคงมีการแข่งขันที่รุนแรงอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกัน นางภัททิยา กล่าวทิ้งท้าย


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

‘มาร์เวลแมกซ์’ฮ่องกงบุกไทย ดัน3กลยุทธ์ ขับเคลื่อนเครือข่าย







ggg (Mobile)

 


“มาร์เวลแมกซ์” ขายตรงน้องใหม่ฮ่องกง พร้อมรุกตลาดเครือข่ายเมืองไทย เผย! เหตุที่โฟกัสเมืองไทยเพราะมีความพร้อมทุกอย่าง...แย้มตั้งเป้า 3 ปี ขยายธุรกิจครอบประเทศอาเซียน ขอยอดแตะ 500 ล้านปี’57…แจง 3 กลยุทธ์หลักขับเคลื่อนธุรกิจสู่ความสำเร็จ


เดินเครื่องกันแบบเร้าร้อนอีกหนึ่งค่าย สำหรับธุรกิจ “ขายตรงน้องใหม่จากฮ่องกง” ขณะนี้ได้ออกมาสร้างความเคลื่อนไหว เพื่อสร้างการรับรู้ให้กับคนเครือข่าย ด้วยการประกาศที่จะบุกตลาดขายตรงเมืองไทยแบบเต็มอัตราศึกกันเลยทีเดียว หลังจากได้มีการเปิดดำเนินการในเมืองไทย เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมานี่เอง


อีกหนึ่งเครื่องส่งสัญญาณความร้อนแรงในสมรภูมิรบ “ขายตรง” กับตลาดเมืองไทยที่พบว่า เริ่มจะเห็นขายตรงหน้าใหม่ ๆ ผุดในภูมิภาคเอเชียหรือประเทศเพื่อนบ้าน ต่างโฟกัสเข้ามาเจาะตลาดในเมืองไทยมากขึ้น ซึ่งอาจกล่าวได้ว่า การแข่งขันนับจากนี้ นอกเหนือจากผู้บริโภคจะมีตัวเลือกที่มากขึ้นแล้ว ในส่วนของทางผู้ประกอบการ “ธุรกิจขายตรง” ก็ต้องมีการปรับตัวด้วยเช่นกัน


จะเห็นว่า ปิดท้ายปลายปี “น้องใหม่ขายตรง” เริ่มเข้ามาสร้างสีสันในตลาด และต่างก็มีทีเด็ดออกมาดึงดูดความน่าสนใจชนิดที่ว่า ไม่แพ้บริษัทขายตรงที่เปิดมาก่อนเช่นกัน


ดั่งเช่นขายตรงน้องใหม่จากฮ่องกงอย่าง “บริษัท มาร์เวลแมกซ์ โฮลดิ้งกรุ๊ป จำกัด” โดยมี “มร.มาร์ติก โก” กุมแท่นบริหารงาน ก็ได้ประกาศเตรียมพร้อมที่จะสร้างเครือข่ายในเมืองไทยให้เติบโต พร้อมกับแผนที่จะลุยตลาดในภูมิภาคอาเซียนด้วย


“มร.ไมเคิล จาง” ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท มาร์เวลแมกซ์ โฮลดิ้งกรุ๊ป จำกัด ได้เผยถึงสาเหตุ


ที่เลือกเมืองไทยเป็นยุทธ ศาสตร์หลักในการทำตลาดเครือข่าย ว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะมองว่าในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้นค่อนข้างที่จะมีความคุ้นเคยในธุรกิจขายตรงอย่างมาก ซึ่งก่อนที่จะเลือกประเทศไทยนั้น ทางด้านประเทศอินโด


นีเซีย มาเลเซีย ก็เป็นประเทศที่น่าเข้าไปลงทุนเช่นกัน แต่เมื่อเปรียบเทียบกับประเทศไทยแล้ว ถือว่าไทยนั้นค่อนข้างได้เปรียบหลาย ๆ อย่าง ในขณะเดียวกันประเทศไทยเอง ก็มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับประเทศจีนมาอย่างช้านาน


“ก้าวสำคัญของธุรกิจ “มาร์เวลแมกซ์” วางเป้าหมายต้องการจะสร้างแบรนด์ มาร์เวลแมกซ์ ให้เป็นขายตรงระดับโลก โดยจะเริ่มต้นจากพื้นที่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก่อน ซึ่งไทยถือเป็นสาขาแรกของ มาร์เวลแมกซ์ จากนั้นมีแผนจะเข้าไปเปิดสาขาที่ 2 ในประเทศไต้หวันช่วงเดือนธันวาคมนี้ พร้อมกับประเทศพม่า ลาว ในลำดับต่อไป ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเตรียมการ โดยตั้งเป้า 3 ปี เจาะตลาดอาเซียนครบทุกประเทศ รวมถึงการขยายตลาดไปสู่พื้นที่ต่าง ๆ ให้กว้างมากขึ้น อาทิ จีน รัสเซีย เป็นต้น พร้อมกับเป้าหมายยอดขาย 500 ล้านบาท ในปี 2014”


ด้าน “อแมนด้า โลว์” ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ บริษัท มาร์เวลแมกซ์ โฮลดิ้งกรุ๊ป จำกัด กล่าวเสริมอีกว่า ยุทธศาสตร์ที่สำคัญในการบุกตลาดเมืองไทยนั้น บริษัทฯ เตรียมที่จะใช้ 3 กลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจ ประกอบด้วย กลยุทธ์ที่


1. การสร้าง มาร์เวลแมกซ์ ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง (Know us) ผ่านช่องทางสื่อประชาสัมพันธ์ การฝึกอบรม


2. การนำเสนอผลิต ภัณฑ์ที่มีคุณภาพและหลากหลาย และแผนการจ่ายผลตอบแทนที่น่าดึงดูดมาเป็นตัวนำให้ทุกคนสนใจในแบรนด์ (Like us)


และ 3. การสร้างความมั่นใจ (Believe us) ด้วยศักยภาพด้านเงินทุน การบริหารงาน และทีมงานที่เป็นมืออาชีพ พร้อมกับการชูจุดเด่นทางด้านระบบเครือข่ายภายใต้ชื่อว่า “Promax” ที่จะช่วยให้สมาชิกทุกคนประสบความสำเร็จ


ขณะนี้พื้นที่ตลาดหลักของ มาร์เวลแมกซ์ อยู่ที่โดนภาคเหนือและภาคอีสาน สาเหตุที่พุ่งเป้าไปที่ 2 โซน ดังกล่าวนั้น เนื่องจากเป็นพื้นที่ที่จะสามารถต่อยอดธุรกิจไปที่ประเทศเพื่อนบ้านได้ นอกจากนี้ ในพื้นที่ภาคใต้บริษัทยังมีสำนักงานอยู่ที่หาดใหญ่ด้วยเช่นกัน เหตุผลที่เลือกหาดใหญ่เป็นจุดยุทธ ศาสตร์หลักทางใต้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะกำลังซื้อของผู้บริโภคที่ค่อนข้างดีด้วยนั่นเอง


สำหรับผลิตภัณฑ์ของ มาร์เวลแมกซ์ ที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยมีอยู่ด้วยกัน 5 กลุ่ม คือ


1. กลุ่มเครื่องใช้ในครัวเรือน (Healthy Living) ประกอบด้วย เครื่องกรองน้ำ Spring Max เป็นสินค้าพระเอกของบริษัท


2. กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มและน้ำผลไม้ ได้แก่ กาแฟเพื่อสุขภาพ Koffie Max Gluta Collagen++ และ Koffie Max Fiber++


3. กลุ่มผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม วิชั่น บูส


4. กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ดูแลผิวหน้า La JolieMax Hydro+ White Series และ


5. กลุ่มผลิตภัณฑ์ในครัวเรือน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดบ้าน ผลิตภัณฑ์ซักผ้า และผลิตภัณฑ์ดูแลรักษารถยนต์ ฯลฯ


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

เปิดบันทึกสมุดเครือข่าย 2556ดาวเงินล้านเกิดพรึบ







nnnn (Mobile)

 


“เส้นทางเงินล้าน” ฉบับปราชญ์เดินดิน คัดลอกได้ ซีร็อกได้ ก็อปปี้ได้ ภายใต้รหัส “ความสำเร็จ” คือจุดมุ่งหมายเดียวกัน ก่อนไต่บังลังก์ “รวย” คือ เป้าหมายสูงสุด...1 ในความสำเร็จที่ทุก ๆ คนต้องควรใฝ่รู้และใฝ่หา เพราะมันคือตำราฉบับย่อที่ลงบันทึกไว้ใน “หลักสูตรสำเร็จขายตรงฉบับสมบูรณ์” เรียนที่เดียวจบจริง..!


บนถนนคนเครือข่ายแห่งนี้...ได้พลิกชีวิตนักขายให้ประสบผลสำเร็จมานักต่อนัก โดยนักขายอิสระเหล่านี้ได้ใช้หลากหลายวิธีที่ก้าวเดินบนถนนดวงดาว จนสามารถยืนหยัดเป็นนักขายแถวหน้า ที่พรั่งพร้อมไปด้วยทรัพย์ศฤงคาร


“นสพ.ตลาดวิเคราะห์” ปักษ์ส่งท้ายปี 2556 อยากจะหยิบยก “นักธุรกิจอิสระ” ที่สามารถไต่บัลลังก์ดาวจนสำเร็จ มาย้อนยุคกันอีกครั้ง เพื่อเป็นแบบอย่างให้กับผู้คนทั่วไปที่สนใจงานขาย และเป็นแบบอย่างให้กับนักขายที่มุ่งมั่นทำงานด้วยความตั้งใจ จะสำเร็จบนบัลลังก์ดาวในปี 2557


 “กัลยากร - สุรเดช - อุษากานต์”


เผยเคล็ดพุ่งทะยานสู่ความสำเร็จ


...ล้วงลึกเส้นทางสู่ถนนเครือข่าย “นักธุรกิจอิสระ” ท่านแรก เธอผู้นี้มีนามว่า “กันยากร มะลิสา” แห่ง “บริษัท คิงส์เฮิร์บ เวิลด์ 1999 จำกัด” จากอดีตเคยยึดอาชีพค้าขาย และคำว่าค้าขายนี่แหละ ที่สร้างให้ชีวิตเธอมีกินมีใช้ จนเปิดเนอสเซอรี่และร้านอาหาร สุดท้ายก็ยังไม่ใช่คำตอบที่ “ใช่” สำหรับเธอ


เพราะความมุทะลุ และการไขว่หาความสำเร็จยังมีไม่เพียงพอ...เธอจึงควานหารายได้ทางที่ 3 เป็นอาชีพเสริม


“กัลยากร” จึงเลือกทางที่ลงทุนต่ำ แต่รับรายได้สูง งานอาชีพเครือข่ายจึงน่าจะเหมาะกับเธอมากที่สุด ที่สำคัญเธอชอบงานขายเป็นชีวิตจิตใจ...และเมื่อเหยียบย่างบนถนนเส้นเครือข่าย เธอก็พยายามควานหาความสำเร็จอย่างไม่ลดละ ถึงแม้จะเข้าค่ายโน้นออกจากค่ายนี้ หมุนเวียนกันไปเรื่อย ๆ แต่เธอก็ไม่ยอมเหนื่อยและไม่ยอมหน่ายกับมัน เพราะเชื่อมั่นว่า สักวัน...ฉันจะต้องสำเร็จบนเวทีขายตรง


วันเวลาที่สูญเสียไปเนิ่นนานพอสมควร แต่เธอก็ไม่เคยท้อกลับไปแสวงหาต่อ จนมาวันหนึ่งเธอเดินทางมาบรรจบที่ค่าย “คิงส์เฮิร์บ” ค่ายที่เธอเปิดใจ และเดินตามหลักสูตรขายตรง นั่นคือทดลองใช้สินค้าแล้วบอกต่อ จากคำบอกต่อก็ทำให้ชีวิตดีขึ้นเรื่อย ๆ


ทั้งรายได้ที่เข้ากระเป๋าอย่างต่อเนื่อง มีบ้าน มีรถยนต์ขับ รวมถึงรางวัลท่องเที่ยวต่างประเทศ


“กันยากร” จึงแนะเคล็ดที่ไม่ลับกับการทำธุรกิจขายตรงว่า “การจะทำธุรกิจอะไรให้สำเร็จ ต้องถามใจตัวเองด้วยว่า สู้หรือไม่ พร้อมหรือไม่ เพราะระหว่างทางที่เดินต้องเจอทั้งอุปสรรคและปัญหา หากคุณสามารถก้าวผ่านอุปสรรคและปัญหามาได้ คุณก็จะประสบความสำเร็จในธุรกิจอย่างแน่นอน”


…เช่นเดียวกับนักขายท่านนี้ “สุรเดช เวชกุล” นักรบแห่ง “นีโอ ไลฟ์” อดีตเป็นถึงช่างเคาะพ่นสีรถยนต์


แต่อนาคตยังไม่รู้ชะตากรรมว่า เส้นทางความสำเร็จยืนอยู่ ณ จุดไหน?..จนกระทั่งได้มาสัมผัสกับ “ธุรกิจขายตรง” พอเริ่มตีโจทย์แตก ก็เริ่มมองเห็นโอกาสและความสำเร็จของชีวิต ว่า นับจากนี้คงมอบชีวิตให้กับ “ธุรกิจขายตรง” เพราะเชื่อว่า ผมทำสำเร็จแน่นอน!


เส้นทางชีวิตของ “สุรเดช” เข้ามาสู่ธุรกิจขายตรงได้ เนื่องจากลูกสาวและภรรยามีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ ส่วนปัญหาที่สำคัญกว่านั้น นั่นคือ เรื่องของค่าใช้จ่ายที่ไม่พอกับรายรับ จนมีหนี้สินล้นพ้นตัว กลายเป็นตัวแปรที่ต้องหารายได้เสริมเพื่อมาจุนเจือครอบครัว และคำตอบที่อยู่ตรงหน้า ก็หนีไม่พ้น “ธุรกิจขายตรง” ธุรกิจที่มีความเสี่ยงด้านการลงทุนต่ำที่สุด


เมื่อเขาเดินเข้ามาสู่เส้นทางนี้ ก็ยึดคติประจำใจที่ว่า...“การเป็นตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอน”...


คือ อย่ามองอะไรให้เป็นปัญหา แต่ให้มองว่า ปัญหาทุกอย่างมีทางออก เพราะทุกชีวิตมีปัญหากันแทบทั้งนั้น หากเรามีสติ ก็เท่ากับเรามีหนทางแก้ ตรงนี้ก็จะเป็นเส้นทางให้คุณประสบความสำเร็จในชีวิตของการทำงาน


จากวันนั้นจนถึงวันนี้ “สุรเดช” สิ่งได้รับจากธุรกิจขายตรง “นีโอ ไลฟ์” คือ รายได้ ทรัพย์สิน รถยนต์ เงินเก็บในธนาคาร รวมถึงสมาชิกภายใต้สายงานมีอาชีพ มีอนาคตที่ดีขึ้นตามลำดับ สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ เกิดมาจากความอดทน ความมุ่งมั่น และไม่เคยเสียใจที่ได้เข้ามาสู่ธุรกิจนี้


…มาดูกันอีกหนึ่งสาวมั่นค่าย “จอยแอนด์คอยน์” เธอผู้นี้มีนามว่า “อุษากานต์ ศรีบาง”...กับชีวิตที่เคยลำบากมาก่อนจะประสบความสำเร็จ อาจเป็นเพราะรับเงินเดือนที่ไม่พอกับรายจ่าย 10 ปี ที่ทนต่อสู้กับงาน คำว่า “มนุษย์เงินเดือน” ไม่เคยหล่อเลี้ยงชีวิตได้เพียงพอซะที


เธอจึงมองหารายได้เสริม โดยลงมือทำ “ธุรกิจขายตรง”...และไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่า หลังจากเข้ามาสู่ “ธุรกิจขายตรง” ที่ “จอยแอนด์คอยน์” ชีวิตของเธอจะเปลี่ยนจากดินสู่ดาว จากคนที่เคยมองหาอนาคตและความสำเร็จไม่เจอ มาวันนี้กลับสำเร็จโดยง่ายกับอาชีพเครือข่ายขายตรง


ไม่ว่าจะอยู่อาชีพไหน..? “อุษากานต์” จะยึดมั่นถือมั่นมาโดยตลอด นั่นก็คือ...“การทำงานขายตรงให้เปรียบเสมือนทำงานประจำ และต้องกระทำอย่างต่อเนื่อง เมื่อสำเร็จแล้วก็ต้องถ่ายทอดเทคนิคทั้งหมดให้ทีมงานได้สำเร็จตามไปด้วย เราก็จะพบคำว่า “สำเร็จอย่างไม่มีวันสิ้นสุด”


 แพ็คความสำเร็จลงกระเป๋า


เพราะทุกเป้าหมายมีไว้พุ่งชน


…“นักธุรกิจอิสระ” อีกท่านหนึ่งที่จะหยิบยกความสำเร็จขึ้นมาเอ่ย “ปพน จันพลา” หนุ่มใหญ่ชาวสวน - ชาวไร่ “บริษัท โกลด์ แคทส์ มาร์เก็ตติ้ง จำกัด” ที่ยังไม่เคยสะกดคำว่า “รวย” เป็นเสียที ชีวิตอยู่กับแค่คำว่า “จน” ไม่ได้สุขสบายเหมือนใคร ๆ เพราะไม่ได้เรียนหนังสือ แถมยึดอาชีพเกษตรกรเลี้ยงชีพมาโดยตลอด เรียกว่า อาชีพหาเช้ากินค่ำนั่นเอง


แต่ด้วยความบากบั่น เป็นคนขยัน ไม่ย่อท้อต่ออุปสรรค เส้นทางความสำเร็จจึงเริ่มสดใส และเจิดจรัสมากขึ้น เพราะการได้มารู้จักกับธุรกิจขายตรงค่าย “โกลด์ แคทส์ฯ” ได้พลิกชีวิตจากชาวไร่สู่การเป็นเศรษฐีเงินแสนเงินล้านภายในไม่กี่ปี...


จนกลายเป็นตัวชี้วัดว่า การศึกษาไม่เคยวัดระดับความสำเร็จบนธุรกิจขายตรง ได้


สุดท้ายนี้ “ปพน” ยังฝากข้อคิดเล็ก ๆ น้อย ๆ ว่า...“บนความสำเร็จ มักอยู่ที่การตัดสินใจ หากเรารู้จักเปิดใจ เปิดโอกาสเข้ามา และ กล้าตัดสินใจ พร้อมที่จะค้นหาความสำเร็จ ทุกอย่างก็จะสำเร็จได้ไม่ยาก เพราะความสำเร็จไม่ใช่โชคลาภ ไม่ใช่ฟ้าลิขิต หรือฟ้าประทาน แต่เป็นการตัดสินใจที่ต้องคิดไตร่ตรองเป็นอย่างดี ซึ่งหากตัดสินใจที่ถูกทาง ความสำเร็จก็จะเดินมาถูกที่ด้วยเช่นกัน...”


...เหมือนเช่นดั่ง “พงศ์ณัชฐกรณ์ ผลพูลธนา” อดีตข้าราชการครู สังกัดกรมอาชีวะ รับราชการมากว่า 28 ปี แต่สุดท้ายก็ต้องมาผันตัวเองสู่นักธุรกิจขายตรง จนประสบความสำเร็จและได้ขึ้นตำแหน่งสูงสุดของค่าย “พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค”


แต่ใช่ว่า “พงศ์ณัชฐกรณ์” จะเข้ามาสู่ “ธุรกิจขายตรง” แล้วประสบความสำเร็จกับ “พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค” เสียทีเดียว เพราะเส้นทางที่เดินผ่านเครือข่ายมาหลายแห่ง ก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จ...


หลังจากที่ “พงศ์ณัชฐกรณ์” เข้ามาสัมผัสในธุรกิจ “พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค” สิ่งที่เขามองเห็นและสัมผัสได้ นั่นคือ ความมั่นคงและความน่าเชื่อถือในธุรกิจ จนเกิดความศรัทธาในตัวบริษัท จนมุ่งมั่นก้าวสู่ความสำเร็จอย่างไม่ลดละ


เริ่มจากความเชื่อมั่นในตัวสินค้า 100%...เข้าสู่ระบบ หมั่นฝึกอบรมอย่างสม่ำเสมอ และฝึกเรียนรู้กับผู้ที่ประสบความสำเร็จ แล้วเราจะสำเร็จได้ดั่งใจหมาย...นี่คือเคล็ดที่ไม่ลับกับการพิชิตเส้นทางความสำเร็จ


…“อุสา ทวีรัมย์” แห่งค่าย “เค มาร์เก็ตติ้ง” ถือเป็นอีกหนึ่ง “นักขาย” กว่าจะก้าวมาสู่ความสำเร็จ จนมีรายได้ และมีชีวิตที่ดีขึ้น เธอผู้นี้เคยผ่านเรื่องราวต่าง ๆ ในชีวิตมาอย่างมากมาย จากเกษตร กรธรรมดา ๆ คนหนึ่งที่หาเช้ากินค่ำ บัดนี้ เธอมีชีวิตที่แปรเปลี่ยนผันอย่างเห็นได้ชัดกับธุรกิจขายตรง


“ยอมรับว่า เคยผ่านธุรกิจขายตรงมาหลายแห่ง แต่ยังไม่มีสักแห่งที่ช่วยผลักดันให้ประสบความสำเร็จ แต่ “เค มาร์เก็ตติ้ง” เป็นที่ที่ทำให้เธอได้รู้จักคำว่า “สำเร็จ” เพราะสามารถพลิกชีวิตจากเกษตรกรธรรมดา สู่นักธุรกิจเงินแสนเงินล้าน ก้าวสู่ชีวิตใหม่ที่ดีกว่าวันวาน


จากรายได้ที่รับเพิ่มขึ้น มีบ้านหลังใหม่ มีศูนย์จำหน่ายเป็นของตัวเอง...ทุกอย่างล้วนยืนภายใต้เคล็ดลับที่ว่า... “การทำงานต้องสอนสมาชิกให้รู้จักทำงานเป็น ต้องเป็นแบบอย่างที่ดีให้เขา ทั้งในเรื่องความซื่อสัตย์ การไม่เอารัดเอาเปรียบ ยึดมั่นในเรื่องจรรยาบรรณ การช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เป็นพี่เป็นน้อง เป็นครอบครัวเดียวกัน เพียงแค่นี้งานที่ว่ายาก ทุกอย่างก็จะง่ายเช่นกัน”!!


...“จงขอให้เป็นตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอน” เพียงเท่านี้คุณก็จะเจอคำว่า “สำเร็จ” อุสา ทิ้งวลีเด็ดปิดท้าย


2 สามีภรรยาคู่ขวัญ “สวนี สวนใจ - วิริยะ บัวขำ” แห่ง “ไอยรา แพลนเน็ต” ทั้งคู่เข้ามาสู่ “ธุรกิจขายตรง” ได้ เพราะมีเรื่องภาระหนี้สินเป็นตัวนำ จึงอยากจะเข้ามาปลดเปลื้องภาระหนี้สิ้นจากธุรกิจนี้ เพราะมองว่าหากเป็น “มนุษย์เงินเดือน” คงไม่มีทางที่จะชดใช้หนี้สินหมดให้หมดไปได้


แต่กว่าจะมายืน ณ จุดนี้ได้ ก็เกิดอาการท้อ สิ้นหวัง มาหลายครั้ง แต่ก็พร้อมที่จะเผชิญต่ออุปสรรคและปัญหา เพราะเชื่อมั่นว่า สักวันหนึ่งเราต้องประสบความสำเร็จและมีชีวิตที่ดีขึ้น


...และเมื่อฟ้าเปิด สวรรค์มีตา นำทั้งคู่มาเจอะเจอกับโอกาสทองของธุรกิจที่ “ไอยรา แพลนเน็ต”...


อาณาจักรขายตรง “ไอยรา แพลนเน็ต” ก็ไม่ได้ทำให้ทั้งคู่ผิดหวัง เมื่อชีวิตเริ่มเปลี่ยน รายได้เริ่มเพิ่มพูนเข้ามาอย่างไม่รู้เนื้อ รู้ตัว ผลจากความสำเร็จที่เริ่มจากศูนย์ วันนี้ วิถีชีวิตได้ลบตัวเลขศูนย์ไปจนหมดเกลี้ยง คงมีแต่กอบและโกยจากมันสมองสองมือที่ลงมือทำ...จนสำเร็จ


เหล่านี้คือ ที่มานักขายเงินแสน เงินล้าน ที่ต้องแลกมาด้วยหยาดเหงื่อแรงกาย ฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ นานา จวบจนวันนี้ วันที่มีแต่คำว่า “ความสำเร็จ” มาเยือน..!!


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

‘รูอันเวิลด์’เคาะระฆังยกแรก มุ่งสร้างแบรนด์ปักฐานความเชื่อมั่น







1491714_259590474197691_308195700_n (Mobile)

 


“รูอัน เวิลด์ (ไทยแลนด์)” เปิดแผนเผด็จศึกเครือข่ายเมืองไทย!...ล่าสุดยึดฐานบัญชาการ อาคารอโยธยา ทาวเวอร์ ชั้น 19 เป็นสำนักงานแห่งใหม่ในเมืองไทย พร้อมประกาศเป้าสิ้นปี’57 ขอยอดแตะ 500 ล้าน. ระบุเป้าหมายที่ตั้งไว้สัมฤทธิ์ผลแน่ ด้วยกลยุทธ์การตลาดที่เตรียมสร้างการรับรู้แบบครบเครื่อง


ขยับทัพในช่วงปลายปีอีกหนึ่งค่าย สำหรับธุรกิจขายตรงน้องใหม่จากประเทศเกาหลี นั่นก็คือ ขายตรงที่ชื่อ “รูอัน” ซึ่งถือเป็นการเข้ามาเกาะกระแสเกาหลีฟีเวอร์ในเมืองไทยที่กำลังฮิต...ล่าสุด เมื่อวันที่ 2 ธันวาคม 2556 ที่ผ่านมา ทางค่ายนี้ก็ได้มีการจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวสำนักงานแห่งใหม่ที่ประเทศไทย ณ อาคารอโยธยา ทาวเวอร์ ชั้น 19 ย่านรัชดาภิเษก


นับได้ว่า เป็นการลั่นระฆังในยกแรกกับความพร้อมรับทำศึกหนักใน “ตลาดเครือข่าย” เมืองไทย...ซึ่งการเข้ามาของ “รูอัน” ในครั้งนี้ จะใช้ชื่อในนาม “บริษัท รูอัน เวิลด์ (ไทยแลนด์) จำกัด” นำทัพโดย “มร.เจมส์ ลี ดำรงตำแหน่งประธานบริหาร และ มร.เมียง วัน คิม ดำรงตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ ร่วมกับ “มร.พาร์ค อิน ชอน” ดำรงตำแหน่งประธานบริหาร บริษัท รูอัน (ประเทศเกาหลี) จำกัด มาร่วมขับเคลื่อนธุรกิจเมืองไทยในครั้งนี้


โดยสินค้าในช่วงล็อตแรกที่เข้ามาเจาะตลาดในเมืองไทย พบว่าเป็นกลุ่มต่อต้านความชรา Anti-Aging รวมถึงผลิตภัณฑ์ความงามที่ชื่อว่า “MONG-NIS Skin Vitalizing Essence” เป็นสเปรย์ เซลล์บูสเตอร์สารสกัดจากธรรมชาติที่จะช่วยปรนนิบัติผิวพรรณให้คงความอ่อนเยาว์ ซึ่งนอกเหนือจากการใช้สินค้าที่มีความเด่นในเรื่องของคุณภาพแล้ว “รูอัน เวิลด์ (ไทยแลนด์)” ยังได้มีการเตรียมแผนงานในการสร้างการรับรู้ต่อผู้บริโภค ด้วยสื่อสารทางการตลาดแบบหลากหลายรูปแบบด้วยกัน


ทั้งนี้ “มร.เจมส์ ลี ประธานบริหาร บริษัท รูอัน เวิลด์ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้เผยถึงเป้าหมายยอดขายของ “รูอัน เวิลด์ (ไทยแลนด์)” นับจากนี้ว่า ก่อนสิ้นปีนี้ได้ตั้งเป้าจะกวาดยอดขายอยู่ที่ 10 ล้านบาท พร้อมกับโฟกัสเป้ายอดขายในช่วงกลางปี 2557 อยู่ที่ 200 ล้านบาท และมียอดขายแตะที่ 500 ล้านบาทในสิ้นปี 2557 รวมถึงมีแผนที่จะนำเข้าสินค้าจากประเทศเกาหลี เพื่อทำตลาดในเมืองไทยอย่างต่อเนื่องด้วย


“เรามีความเชื่อมั่นว่า ยอดขายที่บริษัทได้ตั้งเป้าไว้ จะสามารถทำได้อย่างแน่นอน ซึ่งกลยุทธ์ที่จะช่วยขับเคลื่อนธุรกิจสู่เป้าหมาย ประกอบไปด้วย การให้ความรู้ในเรื่องของสินค้า การอบรมอย่างสม่ำเสมอ พร้อมกับการประชาสัมพันธ์ธุรกิจให้คนเครือข่ายและผู้บริโภคได้รับรู้อย่างต่อเนื่อง”


ด้าน “มร.พาร์ค อิน ชอน” ประธานบริหาร บริษัท รูอัน (ประเทศเกาหลี) จำกัด ได้กล่าวเสริมอีกว่า แผนงานการขยายธุรกิจรูอัน นับจากนี้ นอกเหนือจากการบุกประเทศไทยแล้ว บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะขยายไปที่สหรัฐอเมริกา แคนาดา รวมถึงตลาดอาเซียน อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย เป็นต้น โดยหากประเทศไหนที่มีการขออนุญาตทำธุรกิจแล้วเสร็จก่อน ก็จะมีการเปิดตัวที่ประเทศนั้นก่อนเป็นลำดับต่อไป


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

รวมช็อตเด็ดขายตรงปี’56 ‘ข่าวเด่น - ประเด็นร้อน’ฮอตทั้งปี







mlm (Mobile)

 


ประมวลภาพขายตรงปี 2556 แต่ละไตรมาส พบ “ข่าวเด่น - ประเด็นร้อน” เพียบ...ทั้ง “แชร์ลูกโซ่ - ซิมเติมเงิน - สินค้าละเมิดลิขสิทธิ์” ร้องเรียนกันให้ควั่ก...ฮอตสะเทือนวงการ หนีไม่พ้นปลด เลขาสคบ. “จิรชัย มูลทองโร่ย” เด้งแบบฟ้าผ่า ต้นเหตุทำงานคลุมเครือ...ฝั่ง “ผู้ประกอบการ” เร่งเครื่องปลายปี ดันยอดสู่เป้าหมาย


ถือเป็นธรรมเนียมประจำปี ที่ทีมข่าว “ตลาดวิเคราะห์” จะต้องหยิบยกและรวบรวม “ข่าวเด่น - ประเด็นร้อน” ในช่วงต้นปีจนถึงปลายปีมานำเสนอแก่ผู้อ่านได้รับทราบกัน ซึ่งเชื่อว่าทุก ๆ เหตุการณ์ใน “ธุรกิจขายตรง” สะท้อนถึงการเติบโตธุรกิจได้เป็นอย่างดี ทั้งความเคลื่อนไหวแวดวงภาคเอกชน และภาครัฐ ที่ต้องทำงานสอดประสานและ “ล้อ” ไปด้วยกันได้ แต่หากเพิกเฉยก็จะเจอทีเด็ด ปลดแบบสายฟ้าฟาดก็มีให้เห็นมาแล้ว


นี่คือ การส่งสัญญาณที่ดี ที่ทั้งเอกชนและภาครัฐ จะต้องกำหนดนโยบายและทิศทางธุรกิจ จะต้องก้าวเดินไปด้วยกัน และร่วมกันเดินอย่างถูกวิธี เพื่อรองรับการเติบโตอุตสาหกรรมขายตรงที่กำลังโตวันโตคืน และปรับสถานการณ์ให้ก้าวทัน “เออีซี”


และบทสรุปความร้อนแรงของธุรกิจขายตรงในแต่ละไตรมาส มีประเด็นร้อน ประเด็นเด็ดอะไร?....ให้น่าติดตาม


 Q1 ขายตรงร้อนระอุ!


แชร์ฉาวโฉ่เริ่มขยับตัว


...เริ่มต้นความเคลื่อนไหวของ “ธุรกิจขายตรง” ในช่วงไตรมาสแรกของปี 2556 พบว่า ข่าวที่มาสร้างสีสันประเด็นร้อนแรงตั้งแต่ต้นปีนี้ คงจำกันได้เป็นอย่างดี นั่นก็คือ ข่าวค่าย “คิงส์เฮลท์ตี้” ที่มีกระแสออกมาทั้งในเชิงบวกและแง่ลบ โดยส่วนใหญ่แล้วข่าวเชิงลบเรื่องการปั่นเงินจะออกมาค่อนข้างหนาหูมากทีเดียวสำหรับค่ายนี้


ซึ่งข่าวที่สร้างความฮือฮาในช่วงเวลานั้น ก็คือ การเปิดดำเนินธุรกิจมาเพียงแค่ระยะสั้นราว ๆ 3 ปี แต่สามารถสร้างยอดขายได้ถึง 2,000 ล้านบาท ที่สำคัญได้มีการกำหนดเป้าหมายที่จะต้องฟันยอดขาย 5,000 ล้านบาทต่อปีอีกด้วย หากมองถึงเนื้อแท้ของความเป็นจริงแล้ว บริษัทที่เกิดขึ้นมาเพียงไม่นาน จะสามารถสร้างยอดขายได้พุ่งแรงมากมายขนาดนี้ได้เชียวหรือ?...ซึ่งต้องมีปัจจัยด้านอื่นมากระตุ้นยอดขายแน่นอน


แต่ในที่สุด กระแสของค่าย “คิงส์เฮลท์ตี้” ก็ได้เริ่มซบเซาลงอย่างน่าตกใจ ด้วยสาเหตุในเรื่องของปัญหาทางการเงินนั่นเอง รวมถึงยังเกิดปัญหาเรื่องของผู้นำทั้งเบอร์ 1 และเบอร์รอง ๆ ต่างวงแตกออกจากค่ายนี้ไปซบค่ายอื่นกันหลายต่อหลายคนด้วยกัน รวมถึงยังได้มีการไปเปิดบริษัทเป็นของตัวเองอีกด้วย...อาจจะนับได้ว่า ในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ เรื่องข่าวร้อน ข่าวแรงค่าย “คิงส์เฮลท์ตี้” นับเป็นข่าวที่พูดกันหนาหูกันอย่างมากในช่วงเวลานั้นนั่นเอง!..


...ส่วนอีกหนึ่งข่าวเป็นเรื่องที่หลาย ๆ คนเริ่มหันมาสนใจมากขึ้น โดยเฉพาะ “เหล่าผู้ประกอบการ” ใน “ธุรกิจขายตรง” นั่นก็คือ กระแสของการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ตลาดเออีซี ที่ทางคนในธุรกิจขายตรงเริ่มที่จะเคลื่อนทัพให้เริ่มเห็นกันบ้างแล้ว เห็นได้จากทั้งในส่วนของหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชน ได้ร่วมมือกันแชร์ความคิดในเรื่องดังกล่าวมากขึ้น


ซึ่งการเปิดตลาดเออีซี ต้องบอกว่าไม่ได้ถือเป็นเรื่องใหม่แต่อย่างใด แต่อาจจะเป็นเพราะกระแสของตลาดเออีซี เริ่มที่จะมีผลต่อหลาย ๆ ธุรกิจ ด้วยเหตุนี้เอง จึงส่งผลให้ในภาคอุตสาหกรรมขายตรง จึงได้มีการขยับตัวเพื่อให้สอดรับกับกระแสที่เกิดขึ้น


แต่ในทางกลับกัน เชื่อว่าการที่ “เหล่าผู้ประกอบการ” จ ะกรีฑาทัพเข้าสู่ตลาดเออีซีได้นั้น เรื่องของความพร้อมจำเป็นอย่างยิ่งที่จะปรับให้พร้อมเพื่อรับมือ หากเดินตามกระแสโดยที่ไม่พร้อม โอกาสที่จะเจ็บตัวก็มีสูงด้วยเช่นกัน...ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งข่าวที่บรรดาผู้ประกอบการขายตรงต่างตื่นตัวกันอย่างมากทีเดียว


ขณะเดียวกันหลาย ๆ คน ต่างจับตามองความเคลื่อนไหว นั่นก็คือ กรณีของ “บัตรเติมเงิน” กับ “ธุรกิจขายตรง” ที่ต่างคนต่างมองว่า มันใช่ธุรกิจขายตรงหรือไม่ เพราะด้วยตัวสินค้าที่ไม่ใช่อยู่ในหมวดอุปโภค - บริโภคชัดเจนเท่าที่ควร และคาบเกี่ยวกับ “ธุรกิจแชร์ลูกโซ่” หรือไม่ ยังไม่มีคำตอบออกมาเป็นที่แน่ชัด เพราะมีการเชิญชวนและลงรหัสคล้าย ๆ กับธุรกิจขายตรง ซึ่งในกรณีดังกล่าวนี้ หลายฝ่ายต่างออกมาแสดงความคิดเห็นกันอย่างชัดเจน ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเริ่มเห็นธุรกิจชนิดนี้ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ดนั่นเอง


โดยข้อความที่เชิญชวนและถูกโพสผ่านเว็บต่าง ๆ ถือว่า อาจจะเป็นตัวบ่งชี้ว่า เข้าข่ายหรือคาบเกี่ยวกับ “ธุรกิจแชร์ลูกโซ่” หรือไม่ ก็ไม่มีหน่วยงานใดออกมาระบุเป็นที่แน่ชัด ยกตัวอย่าง ข้อความที่ถูกโพสไว้ดังรายละเอียดต่อไปนี้ คือ...“วันนี้ ไม่ว่าคุณจะใช้มือถือเครือข่ายไหน ระบบไหน คุณสามารถที่จะรวยได้ด้วยสุดยอดเทคโนโลยี ผสมผสานกับแนวคิดทางการตลาดที่ลงตัว ที่สามารถสร้างรายได้มหาศาลให้กับคุณ นี่ไม่ใช่รายได้เสริมเล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะทำให้คุณต้องเสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์ แต่นี่จะเป็นรายได้มากกว่ารายได้หลักที่ท่านเคยได้รับ พิสูจน์ด้วยตัวคุณเองครับ”…อย่างนี้เป็นต้น


เช่นเดียวกับข่าวในเรื่องของ “การแก้ไขกฎหมายขายตรง” ที่หลาย ๆ คน ในธุรกิจนี้ อยากจะเห็นว่าจะออกมาในรูปแบบไหน และจะสามารถสร้างแรงผลักดันให้กับธุรกิจนี้ได้มากน้อยเพียงใด โดยในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีนี้ ทาง “สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย” หรือ (TDNA) ที่มีอดีตเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.อย่าง “นิโรธ เจริญประกอบ” นั่งเป็นนายกสมาคมฯ อยู่นั้น ก็ได้ออกมาโชว์ออฟประกาศเดินหน้าเสนอให้มีหน่วยงานดูแลธุรกิจขายตรงโดยเฉพาะ พร้อมกับยังมีการเสนอให้ตั้ง “กองทุนคุ้มครองผู้เสียหายจากการทำธุรกิจขายตรง” อีกด้วย


…ข่าวเด่น - ประเด็นร้อนที่ “นสพ.ตลาดวิเคราะห์” ได้ออกมาพาดหัวข่าวใหญ่หน้า 1 “ล้างบาง‘ขายตรงนอกรีต’ ปิดฉาก ‘สหกรณ์’ กำมะลอ” ซึ่งถือเป็นการเปิดโปงขบวนการของแก๊งค์มิจฉาชีพที่มีการแสดงพฤติกรรมแบบซ่อนเร้น ด้วยการเปิดสหกรณ์บังหน้า จากนั้นมีการกลายพันธุ์สู่ธุรกิจขายตรงแบบเต็มรูปแบบ


ซึ่งหากใครยังจำขบวนการ นี้ได้ คงพอที่จะทราบว่า ในช่วงเวลานั้นพฤติกรรมของ “ขายตรงเถื่อน” พวกนี้ ได้มีการใช้คำโฆษณาชวนเชื่อแบบล่อแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ด้วยแคมเปญที่ว่า “ตื่น - ตาย กู้ได้เงินแสน” และจากพฤติกรรมนี้เอง ที่ทำให้มีผู้เสียหายต่างมาร้องทุกข์กันมากกว่า 12,000 รายทีเดียว


 ขายตรง Q2 ยังคุกรุ่น


ข่าวเด่น - ข่าวร้อนตรึม


...เปิดฉากความเคลื่อน ไหวของ “ธุรกิจขายตรง” ในช่วง “ไตรมาสที่ 2” ของปี ก็ยังถือว่ากระแสของ “ข่าวเด่น - ข่าวร้อน” ยังคงดุเดือดเลือดพล่านอย่างต่อเนื่อง...เห็นได้จากข่าวของทาง “เวิลด์ เวนเจอร์” ที่คนในเครือข่ายต่างจับจ้องมองดูถึงความเคลื่อนไหวแบบเกาะติดสถานการณ์


จากข้อมูล ณ ช่วงเวลานั้น พบว่าเป็นบริษัทที่มีการสร้างเครือข่ายขายตรงผ่านช่องทางอินเตอร์เน็ต ซึ่งสินค้าหลักเป็นการให้บริการด้านการท่องเที่ยว การให้บริการจองที่พัก จองเที่ยวบิน ที่สำคัญยังได้มีการแอบอ้างว่า มีขอบข่ายธุรกิจกว้างไกลทั่วโลก มีคำโฆษณา ที่ปรากฏในหน้าเว็บไซต์ ระบุชัดเจนว่า สมาชิกสามารถซื้อบริการที่พักโรงแรมระดับ 2 - 3 ดาว แต่จะได้บริการที่สูงเลอเลิศเทียบเท่าระดับ 5 ดาวอีกด้วย


ซึ่งบริษัทดังกล่าวนี้ หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง จะพบว่าค่อนข้างที่จะคาบเกี่ยวกับธุรกิจ “แชร์ลูกโซ่” ด้วยเช่นกัน เพราะการโฆษณาชวนเชื่อ รวมถึงการเรียกเก็บค่าสมาชิกดังกล่าว ยังถือว่าค่อนข้างที่จะแพงอย่างมากทีเดียว หากเทียบเท่ากับบริษัทอื่นที่ทำ “ธุรกิจขายตรง” ในลักษณะเดียวกัน!...


…ส่วนอีกข่าวที่หลาย ๆ คนเฝ้าติดตามเช่นเดียวกัน ที่ถูกโยงว่ามีข่าวฉาวเรื่องของ “แชร์ลูกโซ่” พ่วงออกมาด้วย ส่วนจะจริงหรือไม่ ก็ยังไม่มีการยืนยันเป็นที่แน่ชัด เพราะยังไม่มีหน่วยงานรัฐและกฎหมายใด ๆ เข้าไปจัดการ มีเพียงแต่กระแสที่ติดลมบนจนมีข่าวออกมาอย่างหนาหู นั่นก็คือ ขายตรงน้องใหม่ “มิ้ลค์กี้ฯ” ที่มีข่าวทั้งในแง่บวกและในแง่ลบ ซึ่งมีออกมาให้เห็นแทบจะต่อเนื่องเลยทีเดียว


ไม่ว่าจะเป็นทั้งในเรื่องของการปรับเปลี่ยนทัพผู้นำใหม่หมด ปรับทีมผู้บริหาร รวมถึงการปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์องค์กรใหม่ แม้กระทั่งการเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่ พร้อมกับเสริมพันธมิตรใหม่ ๆ สถานการณ์ของค่ายนี้ ก็ยังถือว่าไม่นิ่งพอสมควร และยิ่งมีการแตกหักระหว่างสามี - ภรรยาด้วยแล้ว ต้องบอกว่า เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่สำคัญ ที่ทำให้ธุรกิจของทั้ง 2 ฝ่ายต่างหยุดชะงัก และเริ่มสั่นคลอนออกมาให้เห็นนั่นเอง...ซึ่งหากใครที่ติดตามค่ายนี้ให้ดี จะพบว่า มีข่าวความเคลื่อนไหว รวมถึงการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์แทบจะทุกนาทีเลยก็ว่าได้


อีกหนึ่งความเคลื่อนไหวของธุรกิจขายตรงในช่วงไตรมาสที่ 2 นั่นก็คือ เรื่องของการมอบตราสัญลักษณ์กับ 29 บริษัทขายตรงล็อตแรก ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งการสกรีนบริษัทที่ถูกกฎหมาย และต่อมาทางด้านหน่วยงานรัฐอย่าง สคบ. ก็ได้ออกใบรับรองการทำธุรกิจให้กับ 353 บริษัทในธุรกิจขายตรง ที่มีการยื่นเรื่องว่า ดำเนินการอยู่ จากที่ปัจจุบันพบว่ามีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจขายตรงเกือบ 1,000 บริษัทด้วยกัน ที่เข้ามาสู่ธุรกิจนี้


…เช่นเดียวกับทางด้าน “สมาคมพัฒนาการขายตรงไทย” ที่ได้มีการเลือกนายกสมาคมฯ คนใหม่ในช่วงไตรมาสที่ 2 ซึ่งผลที่ออกมาผู้ที่เข้ารับตำแหน่งดังกล่าว นั่นก็คือ “ดร.สมชาย หัชลีฬหา” โดยหลังจากที่ได้เข้ามารับตำแหน่งดังกล่าว “ดร.สมชาย” ก็ได้ประกาศที่จะนำเหล่าสมาชิกในสมาคมฯ ลุยตลาดเออีซีที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2558 นี้ ซึ่งถือเป็นการเริ่มขยับทัพอีกก้าวของฝั่ง “สมาคมการพัฒนาการขายตรงไทย”


ส่วนฝั่งของ “สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย” หรือ TDNA ก็ไม่รีรอเช่นกัน ได้ออกมาจับมือกับ 4 พันธมิตรอย่าง “TDNA - สคบ. - ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ - ศูนย์อาเซียน” พร้อมที่จะเดินหน้าและผลักดันธุรกิจขายตรงเมืองไทยสู่ระดับสากล ไม่ว่าจะเป็นทั้งมาตรฐานด้านกฎหมายและวิชาชีพ รวมถึงการปรับระบบฐานข้อมูล ตัวเลขยอดขายที่เป็นจริง และแยกแยะกลุ่มผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจจริงให้มีความชัดเจน


พร้อมกันนี้ TDNA ยังได้เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายอีกด้วย ไม่ว่าจะเป็นการสร้างความชัดเจนในกรอบหรือหลักเกณฑ์ในการกำหนดพฤติกรรมผู้ประกอบการ ไม่ให้เดินออกไปนอกกรอบ การสร้างความชัดเจนในอำนาจในการกำกับดูแลผู้ประกอบการอย่างมีเอกภาพ และมีความพร้อมในการเข้ามาทำหน้าที่กำกับดูแลอย่างทั่วถึง รวมถึงต้องการเห็นหน่วยงานหรือองค์กรที่สถาปนาขึ้นมา จะต้องมีความศักดิ์สิทธิ์ในการบังคับใช้กฎหมาย โดยจะต้องให้คุณและให้โทษแก่ผู้ประกอบการได้ตามสมควร


ส่วนทางด้าน “สมาคมการขายตรงไทย” ก็ได้ออกมาเตรียมผลักดัน “สมาพันธ์ขายตรงอาเซียน” อย่างสุดกำลัง โดยคาดว่าจะเห็นภาพที่ชัดเจนภายใน 2 ปีข้างหน้านี้อย่างแน่นอน อีกทั้งยังได้มีการประกาศอีกด้วยว่า สมาคมการขายตรงไทย ถือเป็นสมาคมเดียวที่น่าจะมีศักยภาพมากพอในการดำเนินการในเรื่องนี้ได้…ถือเป็นการประกาศจุดยืนที่ชัดเจน จนทำให้เหล่าสมาคมต่าง ๆ ในธุรกิจขายตรงต่างนิ่งอึ้งไปเลยทีเดียว!!


 Q3 MLMผิดกม.มาแรง


จี้! รัฐเร่งบี้เอาความผิด


...เข้าสู่ไตรมาสที่ 3 สถานการณ์ของ “ธุรกิจขายตรง” ก็ยังคงร้อนแรงเหมือนเช่นดั่ง ไตรมาสที่ 1 และ ไตรมาสที่ 2 เห็นได้จากข่าวของการออกมาแฉพฤติกรรมของผู้ประกอบการหัวใส ที่ออกมายื่นขอใบอนุญาตขายตรง เพื่อหวังที่จะเอามาเร่ขายใบอนุญาต ที่เสนอราคาขายอยู่ที่ใบละ 300,000 บาท ที่สำคัญยังไม่รวมกับค่าที่ปรึกษารายเดือนอีกเดือนละ 50,000 บาท ถือเป็นอีกหนึ่งพฤติกรรมที่เรียกว่า เป็นการกระทำผิดกฎหมายร้ายแรงอย่างมากทีเดียว


เหมือนเช่นดั่งข่าวประเด็นร้อนอย่าง “ขายตรงซิม - เติมเงินมือถือ” ที่เริ่มระบาดหนักในช่วงที่ผ่านมา เป็นอีกหนึ่งเหตุการณ์ที่คนเครือข่ายเฝ้ามองดูกันอย่างมาก เพราะคนในสังคมต่างออกมาพูดกันหนาหูว่า ธุรกิจซิมมือถือแท้ที่จริงแล้ว “ถูกกฎหมาย” หรือ “ผิดกฎหมาย” กันแน่!


ด้าน นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ออกมาประกาศพร้อมที่จะเข้าไปตรวจสอบแบบปูพรมทั่วประเทศกันเลยทีเดียว สำหรับธุรกิจที่เข้าข่ายฉ้อโกงประชาชน แต่จนแล้วจนเล่า ถึงเวลานี้


ยังพบว่า ยังมีกิจการหลายแห่งที่ยังลอยหน้าลอยตาแหกตาประชาชน ว่าเป็นธุรกิจโปร่งใส ซึ่งกฎหมายไม่สามารถเอาผิดเอาโทษได้แบบจริงจังเสียที


นอกจากนี้ ยังมีข่าวเรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์เกี่ยวกับสินค้าเกิดขึ้น ซึ่งข่าวดังกล่าวที่ทำให้ผู้ประกอบการที่โดนเชือด ต่างออกมาเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม เห็นได้จากผลิตภัณฑ์ “คอลลาเจน” หากสังเกตให้ดีจะพบว่ามีหลาย ๆ ค่ายต่างออกมาลงชิงแชร์ในตลาดนี้กันอย่างมากทีเดียว ซึ่งก็ไม่รู้ว่าของใครจริง ของใครปลอมกันแน่!...


ในกรณีของข่าว “ดี เน็ทเวิร์ค” ได้ออกมาแถลงข่าวชี้แจ้ง เรื่องกรณีถูกก็อปปี้สินค้า “ดี-เท็น” พร้อมเตรียมรวบรวมหลักฐานเอาผิดผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์สินค้า...เช่นเดียวกับทางด้าน “แม็กซ์ เฮลท์ตี้” ก็เจอแบบเดียวกันเต็ม ๆ อีกราย เตรียมฟ้องกลับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์แบรนด์สินค้า “Maxx Collagen Plus” หลังสร้างความเสียหายต่อธุรกิจ และทำให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งนักธุรกิจและผู้บริโภค


…ต่อมาไม่นาน กรณีของค่าย “แม็กซ์ เฮลท์ตี้” ที่โดนอีกฝั่งละเมิดสิทธิ์นั้น ขณะนี้ก็ได้มีการเจรจายอมความและร่วมเป็นพันธมิตรกันใหม่เป็นที่เรียบร้อยแล้ว


…มาดูอีกหนึ่งข่าวที่สร้างความกังวลใจกับหลาย ๆ ธุรกิจไม่น้อยในช่วงไตรมาสที่ 3 รวมถึง “ธุรกิจขายตรง” ถึงแม้ว่าจะมีผู้ประกอบการหลายท่าน ต่างมองว่าไม่มีผลกระทบแต่อย่างใด นั่นคือ เรื่องกำลังซื้อจากผู้บริโภค ที่เริ่มมีการชะลอตัวอย่างเห็นได้ชัด และจากความกังวลใจในเรื่องของกำลังซื้อที่ลดลง ก็เริ่มเห็น “ผู้ประกอบการ” จำนวนไม่น้อย ต่างดาหน้าเร่งเข็นโปรโมชั่น ออกมายั่วน้ำลายผู้บริโภคกันอย่างหนักทีเดียว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้องการที่จะดึงกำลังซื้อกลับคืนมา


อีกหนึ่งข่าวความเคลื่อน ไหวของ “สมาคมการขายตรงไทย” ที่ได้ออกมาผนึกกำลังร่วมกับ สมาคมขายตรง 3 ชาติ ไม่ว่าจะเป็น ไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ที่มาร่วมแชร์ประสบการณ์ ถึงการที่จะเข้าไปทำธุรกิจในประเทศดังกล่าวว่า จะต้องเจอกับปัญหาและอุปสรรคอะไรบ้าง


เช่นเดียวกับทางฝั่งของ “สคบ.” ก็ได้ออกมาเตรียมที่จะเข็น 3 นโยบายเร่งด่วน ไม่ว่าจะเป็น “การใช้รหัสมาตรฐานสากล GS1 การคุมเข้มโฆษณาผ่านสื่อ” รวมถึงยังได้เดินหน้าประชาพิจารณ์ “ตัวแทนขายตรง” ทั้งประเทศ เพื่อต้องการที่จะรู้ถึงปัญหาที่มีอยู่ในปัจจุบันนี้...ซึ่งข่าวความเคลื่อนไหวในช่วงไตรมาสที่ 3 นี้ ถือว่ายังคงมีประเด็นหลาย ๆ เรื่องที่ชวนน่าติดตามอย่างมากทีเดียว?...ซึ่งน่าจะเป็นข่าวร้อนในปีหน้า


 Q4 เลขาฯสคบ.ถูกปลด


เอกชนเร่งปล่อยกลยุทธ์


...เริ่มเข้าสู่ไตรมาสที่ 4 เหตุการณ์ข่าวร้อน ๆ แรง ๆ ช็อกยังมีอย่างต่อเนื่อง เมื่อ “จิรชัย มูลทองโร่ย” ก็ถูกเด้งพ้นสภาพจากการนั่งในตำแหน่ง เลขาธิการ สคบ.เป็นที่เรียบร้อย...ซึ่งกรณีที่ทาง “จิรชัย” ถูกเด้งนั้น พบว่ามาจาก 3 สาเหตุด้วยกัน คือ


1. มีการร้องเรียนไปยัง นายสันติ พร้อมพัฒน์ เกี่ยวกับกรณี นายจิรชัย มีสายสัมพันธ์กับบริษัทเอกชนขายตรง หลายแห่งอย่างออกหน้าออกตา ส่งผลทำให้ภาพลักษณ์องค์กร สคบ.เสียหาย และส่อว่าจะมีผลประโยชน์ทับซ้อน


2. การทำงานไม่เข้าขากับคณะทำงานของรัฐมนตรี โดยเฉพาะตัวเลขานุการรัฐมนตรี และ


3. การทำงานแบบไร้ยุทธศาสตร์ ไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน…นับเป็นอีกหนึ่งข่าวร้อน ในช่วงเริ่มต้นไตรมาสที่ 4 เรียกว่า ช็อกกันทั้งวงการขายตรงกันเลยทีเดียว


ส่วนการออกมาแข่งขันเพื่อช่วงชิงยอดขายของแต่ละบริษัท ต้องบอกว่าเล่นกันหนักเลยทีเดียว ไม่เว้นแม้กระทั่ง “ขายตรงข้ามชาติ” ที่หันมาออกอาวุธสร้างแรงศรัทธาของธุรกิจ เพื่อให้เกิดความเชื่อมั่น รวมถึงการประคองยอดขายของตนเองให้ตรงตามเป้าหมาย


เห็นได้จากขายตรงข้ามชาติอย่าง “เจอเนสส์” ก็ได้ออกมาจัดงานประชุมนานาชาติที่ประเทศไทย เพื่อหวังที่จะปลุกความเชื่อมั่นของธุรกิจให้ตื่น รวมถึงค่าย “เออาร์เอส” ขายตรงสัญชาติมาเลเซีย ก็เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการสิ้นปีนี้ หลังจากที่ซุ่มเงียบทำธุรกิจมากว่า 10 เดือน พร้อมกับเตรียมชูจุดแข็งแผนการตลาดที่ไม่เหมือนใคร


รวมถึงค่าย “ซินเนอร์จี้” ในช่วงไตรมาสสุดท้าย ก็ออกมาเร่งสร้างผู้นำออโต้ชิพ พร้อมกับการสกัดกั้นพวกที่ขายสินค้าตัดราคา ส่วนอีกหนึ่งขายตรงน้องใหม่อย่าง “EPIC” บริษัทในเครือ Berjaya Group ประเทศมาเลเซีย ก็ออกมาบุกตลาดขายตรงไทยแบบเต็มสตรีมกันเลย ที่สำคัญยังได้มือดีอย่าง “ชัยวัฒน์ ชัยจินดาวัธน์” รองประธานฝ่ายภูมิภาคเอเชีย บริษัท อีพิค ประเทศไทย จำกัด มาร่วมปลุกกระแสของธุรกิจในเมืองไทยด้วย


และไม่ใช่ “ขายตรงข้ามชาติ” เพียงอย่างเดียวที่ ออกแรงฟาดฟันแบบเต็มอัตราศึก แต่ยังมีขายตรงสัญชาติไทยน้องใหม่ลูกผสมอย่าง “ไทยเฮลท์” ที่ได้ประกาศศักดาความพร้อมและความเหนือชั้นของธุรกิจ ด้วยการส่งพรีเซ็นเตอร์กองทัพดาราดัง มาร่วมเป็นพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์บริษัทอีกด้วย


อาทิ “ใบเตย อาร์สยาม” เป็นตัวแทนผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิง ซ้อเจ็ด เซทคัพ “อาจารย์วิโรจน์ ตั้งวาณิชย์” เป็นตัวแทนผลิตภัณฑ์น้ำเห็ดสกัด ตรา มัชรูม พลัส (Mushroom Plus) นักมวยแชมป์เปี้ยนระดับตำนาน “สามารถ พยัคฆ์อรุณ” และ “สมรักษ์ คำสิงห์” เป็นตัวแทนผลิตภัณฑ์น้ำมันจมูกข้าว ผสมน้ำมันรำข้าว และน้ำมันจมูกข้าวสาลี ยูนิไรซ์ (Uni Rice) และ “สมเล็ก ศักดิกุล” พร้อมสองสาวเซ็กซี่ “หมวย แม็กซิม” และ “อะตอม ภัคจิรา” เป็นตัวแทนผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อผู้ชาย วีเอ็ม พลัส (VM Plus)


ล่าสุด ได้มีการเพิ่มอาวุธทางธุรกิจอีกหนึ่งช่องทาง นั่นคือ คลื่น FM90 ในพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นตัวจุดกระแสของธุรกิจ หากใครที่ยังติดตามค่ายนี้ จะพบว่ามีการจับมือกับพันธมิตรค่อนข้างมากทีเดียว โดยเฉพาะสื่อเคเบิ้ลทีวีและสื่อวิทยุชุมชน


ไม่เว้นแม้กระทั่งค่าย “ดี เน็ทเวิร์ค” ก็ออกมาสร้างการรับรู้ของธุรกิจด้วยพรีเซ็นเตอร์เช่นกัน ซึ่งประกอบด้วย 1. “เขาทราย กาแล็คซี่” อดีตแชมป์มวยโลกขวัญใจชาวไทย เป็นพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์โกเรจินส์ ผ่านรายการมวยเป็นหลัก 2. “ปิยะ ตระกูลราษฎร์” พิธีกรรายการ “อัศวินดำ” เป็นพรีเซ็นเตอร์ ผลิตภัณฑ์สารบำรุงสมองพืช ภายใต้ชื่อ “บานเย็น” 3. “ครูสลา คุณวุฒิ” ครูเพลงลูกทุ่งชื่อดัง มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์ “ดี เบรม” 4. “นางสาวกรรณิกา ขันแก้ว” นางงามผิวสวย เวทีมิสไทยแลนด์เวิลด์ 2012 และเจ้าของตำแหน่งรองอันดับ 2 Miss World Next Top Model 2013 มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์ “สวีท พาวเดอร์” และ 5. “นางสาวณัฐมน กฤษณคุปต์” รองอันดับ 2 มีสไทยแลนด์ยูนิเวิร์ส 2011 มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ผลิต ภัณฑ์ “ดีเทน พลัส”


...จะเห็นได้ว่า “ข่าวเด่น - ประเด็นร้อน” ตลอดปี 2556 นี้ ยังมีอีกหลายเหตุการณ์ จะต้องหาทางออกให้เจอในปี 2557 และยังถือเป็นประเด็นร้อนที่ต้องติดตามกันต่อไป ซึ่งเชื่อว่าความร้อนแรงของ “ธุรกิจขายตรง” ในปี 2557 นี้ คงจะมีเรื่องราวให้น่าติดตามอย่างมากมายกันเลยทีเดียว


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

เปิดใจ‘วิธิเนศร์ เนียมมีศรี’นิติกรชำนาญการ สคบ. ไม่เคยยืนยันว่าท็อปอัพทูริชเป็นธุรกิจที่ถูกกฎหมาย”







hhh (Mobile)

 


อยากเรียนถาม คุณวิธิเนศร์ เกี่ยวกับกรณีของบริษัท ท็อป อัพทูริช ซึ่งที่ผ่านมาพยายามบอกประชาชนเสมอว่า ภาครัฐให้การยอมรับว่ากิจการของเขาชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งมีการออกหนังสือยืนยันเป็นลายลักษณ์อักษรชัดเจน


กรณีท็อปอัพฯ เขามีหนังสือขอหารือในเรื่องของการประกอบธุรกิจของเขาว่า เข้าข่ายการประกอบธุรกิจขายตรงหรือไม่ ซึ่งทาง สคบ.ก็ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการขายตรงและการตลาดแบบตรง เพื่อพิจารณาการประกอบธุรกิจของบริษัทว่า เข้าข่ายการประกอบธุรกิจขายตรงหรือไม่ เราก็มีหนังสือตอบกับไปที่ นร.0306/3705 ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2556 ก็เป็นการแจ้งผลการพิจารณาข้อหารือการจดทะเบียนขายตรงของบริษัท ตามที่ปรากฏที่คุณเสนอมา ก็คือ บริษัทนั้นนำข้อความไปลง เพื่อเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ซึ่งไม่ครบถ้วนทั้งหมดตามหนังสือที่สคบ.ได้มีการแจ้งไปยังผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งมีการลงไปในประเด็นที่เป็นประโยชน์กับตัวเขา


จริง ๆ แล้วในเนื้อหาของหนังสือนั้นตามที่เขาได้มีการลง เขาบอกว่า สคบ.ได้พิจารณาข้อหารือของท็อปอัพทูริช แล้วเห็นว่า ลักษณะการประกอบธุรกิจของท็อปอัพทูริช ไม่เป็นการประกอบธุรกิจขายตรงตามพ.ร.บ.ขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ.2545


ซึ่งเขาก็ได้ลงข้อความเพียงแค่นี้ แต่จริง ๆ แล้วนั้น มีข้อความอีกซึ่งเขาลงไม่ทั้งหมด ผมจึงขออนุญาตอ่านแล้วก็เพื่อให้เป็นการทำความเข้าใจกับประชาชนทั้งหลายที่ติดตามอยู่ตรงนี้


มันจะมีข้อความต่อไปอีกว่า ทั้งนี้การประกอบธุรกิจในลักษณะดังกล่าว อาจเข้าข่ายลักษณะการประกอบธุรกิจการตลาดแบบตรง แต่เมื่อพิจารณาจากแผนการจ่ายผลตอบแทนของบริษัทแล้ว เห็นว่ารายได้ของสมาชิกของบริษัท มีลักษณะเป็นรายได้ที่กำหนดให้สมาชิกได้รับผลตอบแทนที่เป็นรายได้หลักจากการรับสมัครบุคคลหรือแนะนำสมาชิกใหม่เข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจ ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น โดยที่ผลตอบแทนของสมาชิกที่เป็นรายได้หลัก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการขายสินค้าหรือบริการแก่ผู้บริโภค ซึ่งขัดกับกฎหมายตามมาตรา 19 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว คือ พ.ร.บ.ขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545


ซึ่งมาตรา 19 นี้ เป็นลักษณะของการประกอบธุรกิจขายตรง ที่รายได้หลักของสมาชิกไม่ได้มาจากการขายสินค้า แต่ถ้ามาจากการชักชวนบุคคลเข้าร่วมเครือข่าย โดยคิดคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น ก็จะเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 19 พ.ร.บ.ขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ.2545


 อันนี้คือใจความสำคัญเลยใช่ไหม


ครับซึ่งนี่คือใจความที่ผู้ประกอบการได้นำไปเผยแพร่ไม่ทั้งหมด เป็นการหยิบยกเฉพาะบางประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อผู้ประกอบธุรกิจ แต่ถ้าหากว่าประชาชนโดยทั่วไปได้เห็นข้อความในหนังสือตรงนี้ทั้งหมด ก็คิดว่ามีความกระจ่างพอสมควร


ดูแล้วก็เป็นการเอาข้อความยืนยันบางส่วนไปสร้างความเชื่อมั่นให้กับเหล่าสมาชิกของตนเอง หรือคนมาร่วมกิจกรรมเครือข่าย


 ทีนี้ดูจากมาตรา 19 ที่ว่านี้ ดูจากที่คุณวิธิเนศธ์พูดมาทั้งหมดก็น่าจะผิดชัดเจน


ก็อาจจะเข้าข่าย ถ้าหากว่ารายได้ของสมาชิกนั้นไม่ได้มาจากการขายสินค้าหรือบริการ แต่ถ้าหากว่ารายได้มาจากการชักชวนบุคคลเข้าร่วมเครือข่ายโดยคิดคำนวณจากจำนวนเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น ไม่ว่าเป็นผู้ประกอบธุรกิจรายใดก็แล้วแต่ ถ้าทำเช่นนี้ ก็จะเข้าข่ายความผิดตรามาตรา 19 ของพ.ร.บ.ขายตรงและการตลาดแบบตรง


 โทษหนักไหม


ก็มีทั้งจำทั้งปรับนะครับ


ในส่วนของกระบวนการในการดำเนินการของ สคบ.จะดำเนิน การอย่างไร เท่าที่ทราบก็มีคนร้องเรียนไปยังบก.ปคบ.เหมือนกันมีผู้ได้รับความเสียหายหรือไม่อย่างไร


การทำงานตอนนี้ก็ต้องทำงานร่วมกันทั้งหมด มันก็มีหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค ทั้งกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ บก.ปคบ. เขาก็ได้มีหนังสือเพื่อขอทราบข้อเท็จจริงว่า บริษัทนี้ได้มีการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรงหรือไม่ มีแผนการตลาดเป็นอย่างไร ตรงนี้ทาง สคบ.ก็มีการประสานข้อมูลระหว่างกัน


 ดูจากรูปแบบการทำธุรกิจ ในรูปแบบการทำตลาดต่าง ๆ ถ้าเจาะลึกลงไป ในมุมมองของ สคบ.คิดว่าชัดไหม


อันนี้เรายังไม่อยากฟันธง เพราะว่ามันต้องดูองค์ประกอบหลายอย่างว่า รายได้ของสมาชิกมาจากส่วนไหน ถ้าหากรายได้สมาชิกไม่ได้มาจากการจำหน่ายสินค้าหรือบริการ ก็อาจจะเข้าข่ายความผิดทางกฎหมายได้ ซึ่งอาจจะไม่ได้เฉพาะกฎหมายขายตรงอย่างเดียว อาจจะเป็นความผิดเกี่ยวข้องกับพ.ร.ก.การกู้ยืนเงินอันเป็นการฉ้อโกงด้วย


ทีนี้ในเรื่องของการที่บริษัทมีการอ้างชื่อหน่วยงานภาครัฐ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขายตรง หรือธุรกิจแชร์ลูกโซ่ต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงการคลัง ดีเอสไอ สคบ. หรือบก.ปคบ. มีการเขียนหนังสือชี้ชวนไปยังมวลหมู่สมาชิกทั้งหลายว่า องค์กรเหล่านี้ให้การรับรองว่าบริษัทนี้ไม่ผิดกฎหมาย ถูกต้องตามกฎหมายทุกประการ ไม่ทราบว่า สคบ.เราเคยยืนยันไปในลักษณะนั้นหรือเปล่า


คือถ้าดูจากหนังสือที่ตอบข้อหารือ ทาง สคบ.หลังจากที่คณะกรรมการมีคำวินิจฉัยออกมา ทาง สคบ.ไม่เคยมีการรับรองว่า การประกอบธุรกิจดังกล่าวว่า เป็นธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย และก็ผมคิดว่าไม่มีหน่วยงานไหนที่จะไปรับรองตรงนี้ เพราะตามหนังสือเราเพียงตอบข้อหารือว่าการประกอบธุรกิจนั้น ไม่เป็นการประกอบธุรกิจขายตรง และก็มีข้อความต่อไปว่า การประกอบธุรกิจของบริษัทนั้นอาจเข้าข่ายเป็นความผิดตามกฎหมายอื่นด้วย และมาตรา 19 ของ พ.ร.บ.ขายตรงฯ ซึ่งหนังสือตรงนี้ถือว่าเป็นการยืนยันได้ชัดเจนว่า สคบ.นั้นไม่ได้เป็นการรับรองการประกอบธุรกิจของบริษัทว่า เป็นการประกอบธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย


เรียนถามว่าคุณวิธิเนศว์ว่า กรณีที่นำชื่อ สคบ.ไปอ้างว่ามีการรับรองว่าถูกต้องตามกฎหมาย เพื่อเอาไปแสวงหาประโยชน์ ตรงนี้ถือว่ามีความผิดทางกฎหมายหรือไม่ จะมีการดำเนินการอย่างไร


กรณีที่นำชื่อของหน่วยงานไปแอบอ้างว่า ให้การรับรองว่าการประกอบธุรกิจของบริษัทนั้นถูกต้องตามกฎหมาย ทาง สคบ.ก็คงจะเป็นหน้าที่ของสำนักกฎหมายและคดี จะทำหน้าที่รวบรวมข้อเท็จจริงทั้งหมดว่า พฤติกรรมการนำเอาชื่อหน่วยงานดังกล่าวไปแอบอ้างหรือไม่ ถ้าหากเข้าข่ายความผิดเราก็จะดำเนินการต่อไป


ตอนนี้มีภาพและข้อมูลปรากฏในเว็บไซต์ ต่าง ๆ ของบริษัท ซึ่งบริษัทก็เชิญชวนคนมาร่วมธุรกิจกับโฆษณาอย่างชัดเจน โดยเฉพาะในช่วงที่มีข่าวมากระทบความเชือมั่น ก็จะเอาตรงนี้มาเป็นเครื่องมือ ตอนนี้หน่วยงานภาครัฐเหมือนดาบสองคม ถ้าหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไม่ออกมาทำอะไร เขาก็สามารถดำเนินธุรกิจไปในลักษณะที่อาจสร้างความเสียหายกับประชาชน อันนี้ก็อยากให้คุณวิธิเนศธ์ ในฐานะที่เป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ประชาชน แนะนำประชาชนว่าควรจะทำอย่างไร


สคบ.มีภาระหน้าที่ รวมทั้งการรับจดทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรง ซึ่งเป็นไปตาม พ.ร.บ.ขายตรงฯ ที่กำหนดให้ผู้ประกอบธุรกิจจะต้องมาจดทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรงกับ สคบ. หากผู้ประกอบธุรกิจประกอบธุรกิจโดยไม่ได้รับการจดทะเบียน ก็จะมีโทษทางกฎหมายทั้งจำทั้งปรับ ซึ่งตรงนี้จะต้องตรวจสอบบริษัทที่จะมาประกอบธุรกิจนั้น จะต้องมีการยื่นเอกสารหลักฐานต่าง ๆ รวมทั้งแผนการจ่ายผลตอบแทน ซึ่งแผนการจ่ายผลตอบแทนจะต้องไม่เป็นการฝ่าฝืนมาตรา 19 และมาตรา 21 ซึ่งแผนการจ่ายผลตอบแทนนั้นรายได้หลักของสมาชิกจะต้องมาจากการจำหน่ายสินค้าและบริการ ซึ่งปัจจุบันมีกิจการมีผู้ประกอบธุรกิจมายื่นคำขอจดทะเบียนกับ สคบ.ค่อนข้างเยอะประมาณ 800 กว่าราย แต่หลังจากที่ สคบ.มีการสำรวจข้อมูลให้ผู้ประกอบธุรกิจรายงานผลการดำเนินธุรกิจมายังสคบ. ก็ปรากฏว่ามีผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจขายตรงจริง ๆ และยังมีตัวตนอยู่ประมาณ 350 กว่าบริษัท เพราะฉะนั้นบริษัทที่หายไปนั้นก็อาจจะไม่ได้ประกอบธุรกิจแล้ว หรือบางกรณีก็มีการย้ายที่อยู่ไปโดยไม่แจ้งหรือรายงานมายัง สคบ. มันก็คล้าย ๆ กับว่าหลุดจากสารบบไปเลย 300 กว่าบริษัท ปัจจุบันมีลักษณะการยื่นจดทะเบียนกับสคบ.เพื่อที่จะสร้างความน่าเชื่อถือกับประชาชนทั่วไป ว่าบริษัทนั้นได้รับการจดทะเบียนจาก สคบ.แล้ว ตรงนี้ก็เหมือนกับดาบสองคมด้วยเช่นกัน เพราะเอาใบอนุญาตมาอำพรางซ่อนเร้น คล้าย ๆ มาหลบอยู่ใต้พ.ร.บ.ขายตรงฯ เพื่อทำให้เห็นว่าบริษัทของเขาเป็นบริษัทที่ได้รับการจดทะเบียนแล้ว ซึ่งจริง ๆ แล้วเขายื่นขอใบอนุญาตขายตรง เวลายื่นแผนมาทำแบบหนึ่ง แต่เขาก็ใช้แผนอีกแบบหนึ่ง แล้วก็มีหลายบริษัทที่สคบ.ร่วมมือกับดีเอสไอ ดำเนินการจับกุม ดำเนินคดี แล้วก็พิพากษาไปแล้ว บางกิจการจำคุกเป็นพัน ๆ ปี แต่โดยผลของกฎหมายก็ลดโทษให้เหลือ 20 ปี ก็ดำเนินการไปแล้วหลายบริษัท


ผมเองก็มีข้อสังเกต กรณีมีการชักชวนให้ร่วมธุรกิจ หนึ่ง.ก็คือชักชวนให้ร่วมลงทุน พวกแชร์อะไรต่าง ๆ เช่น แชร์ข้าวสาร แชร์กะปิ แชร์น้ำมัน แชร์ข้าวกล่อง แชร์รถยนต์ แชร์ยางพารา หรือแชร์ล็อตเตอรรี่ เขาจะมีการชักชวนแตกต่างกับธุรกิจขายตรง ขายตรงค่าสมัครสมาชิกไม่เยอะ แล้วก็รายได้ของสมาชิกมาจากการขายสินค้า ขายสินค้าเยอะก็ได้ผลตอบแทนเยอะ แต่แชร์ลูกโซ่ จะเน้นการชักชวนให้ลงทุน ลงทุนอะไรก็แล้วแต่เขาจะอุปโลกน์ขึ้นมา สมมุติลงทุน 1,000 บาท ได้ ผลตอบแทน 1,200 บาท โดยไม่ต้องทำอะไร เพียงแค่เอาเงินมาลงทุน สอง.ก็ได้ผลตอบแทนในระยะเวลาอันรวดเร็ว อาจจะหนึ่งเดือนหรือสองเดือน ซึ่งในลักษณะโดยธุรกิจโดยทั่วไป การที่จะเอาเงินมาลงทุนแล้วได้ผลตอบแทนในเชิงเศรษฐศาสตร์ ผมคิดว่าเป็นไปได้ยาก เพราะเอาเงินมาลงทุนโดยไม่ต้องทำอะไร มันขัดกับหลักเศรษฐศาสตร์ อย่างเงินกู้นอกระบบก็ดี มีเงินแล้วให้กู้ อันนี้ก็ไม่ได้ต่างกันเท่าไร อันนี้เป็นการเอาเงินมาลงทุนไม่ต้องทำอะไรแล้วได้ผลตอบแทนเยอะ สิ่งที่ผมอยากจะฝากก็คือ เราต้องมีสติ ต้องขจัดความโลภออกไป สิ่งนี้คือสิ่งที่สำคัญ เพราะธุรกิจแชร์ลูกโซ่ อาศัยรายได้จากสมาชิกใหม่ ถ้าวันหนึ่งไม่มีสมาชิกใหม่เข้ามา มันก็จะล้ม เพราะรายได้ของเขามาจากการเอาเงินจากรายใหม่มาจ่ายรายเก่า


เพราะฉะนั้นตรงนี้จะเห็นได้ชัดว่า เราติดตามข่าวมาโดยตลอด เพราะธุรกิจประเภทนี้ไม่มีบริษัทใดที่จะอยู่ชั่วฟ้าดินสลายเลยวันใดวันหนึ่งต้องล้มอย่างแน่นอน ปัญหาก็คือ จะล้มเมื่อไร เพียงแต่ว่ากระบวนการทางกฎหมายจะเข้าได้ถึงเร็วขนาดไหน ส่วนมากจะรู้ก็สายแล้ว ทีนี้คำถามสุดท้าย กรณีที่บริษัทถูกชี้ชัดจากหน่วยงานที่กำกับดูแลอย่าง สคบ.แล้วว่าไม่เข้าหลักกฎหมายขายตรง แต่วิธีการทำธุรกิจถอดแบบมาจากธุรกิจ


ขายตรงเป๊ะเลย อันนี้ดูในกฎหมาย พ.ร.บ.ขายตรงฯ ก็มีการเขียนเอาไว้เหมือนกันที่ให้อำนาจ สคบ.ดำเนินการได้ แม้จะไม่ได้เป็นบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตก็ตาม


คือกรณีบริษัทดังกล่าว ได้มีหนังสือหารือเข้ามา เรามีหนังสือตอบกลับไปว่า การประกอบธุรกิจของบริษัทนั้นไมได้เป็นการประกอบธุรกิจขายตรงตาม พ.ร.บ.ขายตรงฯ ซึ่งตรงนี้ไม่ใช่ว่า ไม่เข้าข่ายการประกอบธุรกิจขายตรงแล้ว จะดำเนินธุรกิจได้ในทันที มันก็ต้องใช้กฎหมายอื่นประกอบ เช่นดู พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกง หรือตามประมวลกฎหมายอาญาก็ดี ว่าการประกอบธุรกิจในลักษณะดังกล่าว อาจมีความผิดในกฎหมายอื่น ไม่ใช่ สคบ.บอกว่าไม่เข้าข่ายธุรกิจขายตรงแล้ว ไม่ผิดกฎหมายอื่นใดเลย ต้องไปดูกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย


ปัญหาก็คือใครจะเป็นคนพิจารณาว่า กฎหมายอื่นจะผิดหรือไม่ผิด


อันนี้คงต้องหารือร่วมกันทั้ง สคบ. บก.ปคบ. กลุ่มงานป้องปรามการเงินนอกระบบของกระทรวงการคลัง รวมทั้งหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง อาจจะเป็นความผิดของดีเอสไอก็ได้ เพราะ 3 - 4 หน่วยงานก็จะต้องหารือร่วมกัน ว่าเข้าข่ายความผิดอื่นหรือไม่


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

จ่อฟันบัตรเติมเงินTopup2Rich ฐานตัดต่อข้อมูลแอบอ้างภาครัฐหากิน







ttr (Mobile)

 


สคบ.,ดีเอสไอ, บก.ปคบ., และ ปปง. ชี้ชัดไม่เคยการันตีว่าค่าย Topup2Rich ทำธุรกิจชอบด้วยกฎหมาย ตามที่บริษัทได้โฆษณาชวนเชื่อทางเว็บไซต์ เตรียมยื่นฟ้องหลังตัดตอนข้อความ อ้างชื่อองค์กรการันตีความบริสุทธิ์ของตนเอง เหตุยังมีพฤติกรรมที่ส่อว่าเข้าข่ายผิดกฎหมายหลายด้าน เริ่มตั้งแต่กรณีความผิดตามมาตรา 19 พ.ร.บ.


ขายตรงและการตลาดแบบตรง และการระดมทุนนอกระบบ รวมไปถึงที่มาของรายได้ มีที่มาที่ไปอย่างไร เตือนประชาชนใช้วิจารณญาณก่อนร่วมธุรกิจ


กรณีท็อปอัพทูริช หรือ T2R แม้ในวันนี้จะยังไม่มีหน่วยงานรัฐที่ทำหน้าที่กำกับดูแลออกมาชี้ชัดว่า เป็นธุรกิจที่ผิดกฎหมายหรือถูกกฎหมาย แต่สิ่งใดก็ตามที่มีความสุ่มเสี่ยงต่อความเสียหายของประชาชน “ตลาดวิเคราะห์” ก็จะนำเสนอเพื่อส่งสัญญาณเตือนภัยให้ผู้คนได้ตรึกตรอง ยั้งคิด ก่อนตัดสินใจ หรือตั้งข้อสังเกตในหลาย ๆ มิติ เพราะที่ผ่านมาประชาชนเป็นจำนวนมากต้องตกเป็นเหยื่อของแชร์ลูกโซ่ อาทิ น้ำมันหอมระเหย แชร์ล็อตเตอรี่ มูลค่าหลายพันล้านบาทมาแล้ว


ตลอดระยะเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา มักจะมีคำถามจากประชาชนอย่างต่อเนื่อง เกี่ยวกับ บริษัท ท็อปอัพทูริช จำกัด หรือ T2R ว่า เป็นธุรกิจที่ผิดกฎหมายหรือถูกกฎหมายหรือไม่อย่างไร เพราะรูปแบบการทำธุรกิจคือ การใช้แผนการตลาดจ่ายผลตอบแทนไปในลักษณะธุรกิจขายตรง


ทั้ง ๆ ที่ไม่มีใบอนุญาตประกอบธุรกิจขายตรง แต่ยังทำธุรกิจขายตรงได้ คำถามก็คือว่า ถ้าอย่างนั้นคนที่ทำธุรกิจขายตรง ต่อไปก็ไม่จำเป็นจะต้องไปขอใบอนุญาตขายตรงให้เสียเวลาใช่หรือไม่


แค่เพียงบริหารแผนการตลาดไม่ให้เกิดภาวะที่เรียกว่า “โอเวอร์เพลย์” ก็สามารถยืนอยู่บนถนนธุรกิจสายนี้ได้


นี่คือ สิ่งที่ประชาชนจำนวนไม่น้อยมีข้อสงสัย แม้แต่ตัวผู้บริหารของ ท็อปอัพทูริช เองก็อยากรู้คำตอบเช่นกันว่ากฎหมายเอื้อให้พวกเขาทำธุรกิจได้จริงหรือไม่


เรื่องนี้ เป็นประเด็นทางกฎหมาย ที่น่าศึกษากรณีหนึ่ง เพราะเท่าที่วงการธุรกิจขายตรงถือกำเนิดมาก็ยังไม่เคยมีเหตุการณ์ในลักษณะเช่นนี้เกิดขึ้นบ่อยนัก


ในมุมของ ท็อปอัพทูริชเองไม่เพียงแต่ถูกสังคมตั้งคำถาม แม้แต่มวลหมู่สมาชิกที่มาร่วมทำธุรกิจกับท็อปอัพทูริช ก็มีความคลางแคลงใจเช่นกัน


เส้นทางการต่อสู้ ของท็อป อัพทูริช ขั้นตอนที่หนึ่งเริ่มต้นด้วยการ ทำหนังสือขอหารือไปยังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในเรื่องของการประกอบธุรกิจของตนเองว่า เข้าข่ายการประกอบธุรกิจขายตรงหรือไม่


ต่อจากนั้น ทาง สคบ.ก็ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการขายตรงและการตลาดแบบตรง เพื่อพิจารณาตามคำร้องขอ


จนกระทั่งในที่สุดเมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2556 อันเป็นยุคที่นายจิรชัย มูลทองโร่ย เป็นเลขาธิการ สคบ.ก็ได้มีหนังสือตอบกลับไปยังท็อปอัพทูริช ที่นร.0306/3705 โดยแจ้งว่าผลการพิจารณาข้อหารือการจดทะเบียนขายตรงของบริษัท ทางคณะกรรมการขายตรงและการตลาดแบบตรงเห็นว่า ลักษณะการประกอบธุรกิจของท็อปอัพทูริช ไม่เป็นการประกอบธุรกิจขายตรงตาม พ.ร.บ.ขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 เนื่องจาก...สินค้าไม่เข้าข่ายการประกอบธุรกิจขายตรง เป็นเหตุให้ ท็อปอัพทูริช ไม่มีความจำเป็นจะต้องขอใบอนุญาตขายตรง


ประเด็นนี้แหละที่ผู้บริหารได้โฆษณาผ่านเว็บไซต์ของตนเอง โดยการนำเอาหลักฐานที่เป็นลายลักษณ์อักษรมายืนยันกับเหล่าสมาชิกของตนเองว่า เป็นกิจการที่ถูกต้องตามกฎหมาย ไม่ได้เป็นกิจการ “ขายตรงเถื่อน” แต่เมื่อ “ตลาดวิเคราะห์” ได้เข้าไปตรวจสอบข้อเท็จจริง กลับพบว่า ทางฝ่ายบริหารของท็อปอัพทูริช มีการนำเอาเอกสารการตอบรับจาก สคบ.เพียงบางส่วนเท่านั้นมาเผยแพร่


ซึ่งไม่ได้ลงข้อความทั้งหมดที่ สคบ.ตอบกลับไป จนทำให้ผู้คนเข้าใจไปว่า การกระทำของบริษัทฯ ดังกล่าวชอบด้วยกฎหมาย สามารถดำเนินการธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ ได้อย่างเสรี


นายวิธิเนศร์ เนียมมีศรี นิติกรชำนาญการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ) กล่าวยืนยันอย่างหนักแน่นกับ “ตลาดวิเคราะห์” ว่า กรณี ท็อปอัพฯ เขามีหนังสือขอหารือในเรื่องของการประกอบธุรกิจของเขาว่า เข้าข่ายการประกอบธุรกิจขายตรงหรือไม่ ซึ่งทาง สคบ.ก็ส่งเรื่องไปยังคณะกรรมการขายตรงและการตลาดแบบตรง เพื่อพิจารณาการประกอบธุรกิจของบริษัทว่า เข้าข่ายการประกอบธุรกิจขายตรงหรือไม่ เราก็มีหนังสือตอบกับไปที่ นร.0306/3705 ลงวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2556 ก็เป็นการแจ้งผลการพิจารณาข้อหารือการจดทะเบียนขายตรงของบริษัท ตามที่ปรากฏที่คุณเสนอมา ก็คือ บริษัทนั้นนำข้อความไปลงเพื่อเป็นการเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ ซึ่งไม่ครบถ้วนทั้งหมดตามหนังสือที่ สคบ.ได้มีการแจ้งไปยังผู้ประกอบธุรกิจ ซึ่งมีการลงไปในประเด็นที่เป็นประโยชน์กับตัวเขา จริง ๆ แล้วในเนื้อหาของหนังสือนั้นตามที่เขาได้มีการลง เขาบอกว่า สคบ.ได้พิจารณาข้อหารือของท็อปอัพทูริช แล้วเห็นว่า ลักษณะการประกอบธุรกิจของท็อปอัพทูริช ไม่เป็นการประกอบธุรกิจขายตรงตาม พ.ร.บ.ขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 ซึ่งเขาก็ได้ลงข้อความเพียงแค่นี้ แต่จริง ๆ แล้วนั้น มีข้อความอีกซึ่งเขาลงไม่ทั้งหมด


“ในเอกสารที่ตอบกลับไป จะมีข้อความต่อไปอีกว่า ทั้งนี้การประกอบธุรกิจในลักษณะดังกล่าว อาจเข้าข่ายลักษณะการประกอบธุรกิจการตลาดแบบตรง แต่เมื่อพิจารณาจากแผนการจ่ายผลตอบแทนของบริษัทแล้ว เห็นว่ารายได้ของสมาชิกของบริษัท มีลักษณะเป็นรายได้ที่กำหนดให้สมาชิกได้รับผลตอบแทนที่เป็นรายได้หลักจากการรับสมัครบุคคลหรือแนะนำสมาชิกใหม่เข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจ ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น โดยที่ผลตอบแทนของสมาชิกที่เป็นรายได้หลัก ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการขายสินค้าหรือบริการแก่ผู้บริโภค ซึ่งขัดกับกฎหมายตามมาตรา 19 แห่ง พ.ร.บ.ดังกล่าว คือ พ.ร.บ. ขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ.2545...


ซึ่งมาตรา 19 นี้ เป็นลักษณะของการประกอบธุรกิจขายตรง ที่รายได้หลักของสมาชิกไม่ได้มาจากการขายสินค้า แต่ถ้ามาจากการชักชวนบุคคลเข้าร่วมเครือข่ายโดยคิดคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น ก็จะเป็นการฝ่าฝืนมาตรา 19 พ.ร.บ.ขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ.2545”


นี่คือปมเงื่อน ที่ยังเป็นปริศนาคาใจ อยู่ว่า เหตุใดท็อป อัพทูริช จึงนำเอาเอกสารทางราชการไปบิดเบือน และแอบอ้างโดยเลือกนำเอาข้อความที่สมาชิกอ่านแล้วสบายใจไปเผยแพร่ ไม่ได้ลงเอกสารตอบรับจากสคบ.ทั้งฉบับ


เพราะหากดูจากข้อความที่ สคบ.นำมาเปิดเผยทั้งหมด จะเห็นว่า ข้อความบางส่วนที่ตัดทอนออกไป แม้จะไม่ชี้ชัดว่ากิจการของท็อปอัพทูริช เข้าข่ายผิดกฎหมายมาตรา 19 ตาม พ.ร.บ. ขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 แต่ก็มีการตั้งข้อสังเกตเอาไว้ ว่ามีความสุ่มเสี่ยงต่อการฝ่าฝืนกฎหมาย


ที่สำคัญกระบวนการในการตรวจสอบการดำเนินธุรกิจของท็อปทัพทูริช ว่าเป็นกิจการที่ชอบหรือไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ยังไม่มีข้อยุติ


การที่จะมีหน่วยงานภาครัฐหน่วยงานใดออกมาการันตี ความถูกต้องในการดำเนินธุรกิจของท็อปอัพทูริช จึงไม่มีใครสามารถยืนยันได้


ในเอกสารที่ปรากฏในเว็บไซต์ ฉบับหนึ่ง ที่ “ตลาดวิเคราะห์” ได้ไปรวบรวมมา มีข้อความบางช่วงบางตอนที่ผู้บริหารท็อปอัพทูริช นำมาเปิดเผย จะเห็นว่า จุดมุ่งหมาย มิได้เพียงแค่หวังใช้เอกสาร สคบ. ฉบับดังกล่าว เป็นเครื่องมือในการสร้างความเชื่อมั่นเท่านั้น


หากแต่ยังพยายามลดความคลางแคลงสงสัย ที่เกี่ยวโยงไปยังหน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแลกฎหมายที่เกี่ยวข้องอีกหลายหน่วยงาน


มีข้อความตอนหนึ่ง ระบุว่า.... “เมื่อ สคบ.ตอบมาเช่นนั้น ก็ไม่ได้หมายความว่าจะทำได้หรือถูกกฎหมาย จะต้องไปดูกฎหมายตัวอื่นประกอบ ก็คือ กฎหมายระดมทุน แชร์ลูกโซ่ ซึ่งไปที่กองป้องปรามการเงินนอกระบบ กระทรวงการคลัง หน่วยงานนี้เป็นหน่วยงานที่จะประสานกับ DSI ตำรวจเศรษฐกิจ กองปรามฯ สคบ. เราก็ไปและพบกับเจ้าหน้าที่ที่ดูแล เอากฎหมายมาดู และได้ข้อสรุปว่า เราไม่เข้าข่ายเป็นระดมทุน หรือแชร์ลูกโซ่”


นี่คือ สิ่งที่ฝ่ายบริหารท็อปอัพทูริช ออกมายืนยันว่า กิจการของตนเป็นกิจการที่โปร่งใส ถูกต้องตามกฎหมาย


แต่เมื่อ “ตลาดวิเคราะห์” ได้เข้าไปสอบถาม เจ้าหน้าที่ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลโดยตรง หลายหน่วยงาน กลับได้รับคำยืนยันว่า ยังไม่เคยให้การรับรองท็อปอัพทูริช ว่าเป็นกิจการที่ถูกต้องตามกฎหมายแต่อย่างใด


สคบ. เองก็ออกมายืนยันว่า กรณีของท็อปอัพทูริช ยังอยู่ในระหว่างตรวจสอบข้อมูลเพื่อหาข้อยุติ โดยแม้จะยังไม่มีการดำเนินคดี แต่ก็จะต้องมีข้อสรุปที่ชัดเจนออกมาในเร็ววันนี้


พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 ดีเอสไอเปิดเผยกับ “ตลาดวิเคราะห์”ว่า มีการทำงานประสานกันอย่างใกล้ชิดกับกองป้องปรามการเงินนอกระบบ รวมไปถึง สคบ. โดยกรณีของท็อปอัพทูริช ตนยอมรับว่า ทางฝ่ายบริหารมาขอความชัดเจนในเรื่องกฎหมาย มีการแสดงข้อมูล การทำธุรกิจ ตลอดจนแนวทางทางการตลาด แต่ก็เป็นเพียงแค่การรับฟังเท่านั้น ยังไม่ได้มีการรับรอง หรือยืนยันว่าท็อปอัพทูริช เป็นกิจการที่ถูกต้องตามกฎหมายแต่อย่างใด


“ถ้ามีการแอบอ้างชื่อดีเอสไอ ไปแสวงหาประโยชน์ หรือไปบอกว่า เรารับรองว่ากิจการนี้ถูกกฎหมาย เราจะดำเนินคดีอย่างแน่นอน” พ.ต.อ.นิรันดร์ ย้ำอีกครั้ง


พร้อมกันนี้ยังเปิดเผยว่า กำลังเร่งหาข้อสรุปในทางกฎหมายกับกองป้องปรามเงินนอกระบบ กระทรวงการคลัง ว่าการดำเนินธุรกิจของ “ท็อปอัพทูริช” เข้าข่ายความผิดพ.ร.ก.การกู้ยืมเงินอันเป็นการฉ้อโกง หรือไม่ ภายใน 1 เดือนนี้


พ.ต.ท.นิธิพัฒน์ วุฒิบุญยสิทธิ์ พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญการพิเศษ กองบังคับคดีปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค บก. ปคบ. ยอมรับกับ “ตลาดวิเคราะห์” ว่า บริษัทดังกล่าวได้นำชื่อของตนและหน่วยงาน ไปอ้างว่าให้การยอมรับว่าท็อปอัพทูริช เป็นกิจการถูกต้องตามกฎหมายเช่นกัน


โดยล่าสุดก็ออกมาปฏิเสธว่า บก.ปคบ.ไม่เคย รับรองว่า กิจการนี้ชอบด้วยกฎหมาย ตามคำกล่าวอ้างในหนังสือชี้แจงของฝ่ายบริหาร และพร้อมที่จะดำเนินคดีเช่นกัน


ถึงตอนนี้ คำถามก็เลยย้อนกลับมาที่ “ท็อปอัพทูริช”ว่าเหตุใด จึงนำเอาหน่วยงานภาครัฐทั้ง 4 แห่ง มายืนยันความโปร่งใสในการทำธุรกิจ


นี่คือ ข้อสังเกตประการหนึ่ง


ประการต่อมา หากการพิจารณาจากหนังสือชี้แจงของสคบ. มีการระบุว่า การดำเนินธุรกิจของ ท็อปอัพทูริช อาจฝ่าฝืนกฎหมายมาตรา 19 พ.ร.บ. ขายตรงและการตลาดแบบตรงพ.ศ.2545 แต่ก็เป็นที่น่าสังเกต ที่ฝ่ายบริหารของท็อปอัพทูริช กลับไม่นำเอาข้อความในเอกสารทั้งหมดมาเปิดเผย หากแต่มีการตัดตอนเฉพาะในส่วนที่เป็นประโยชน์ของตนเองนำมาเผยแพร่


นี่ก็เป็น สิ่งยืนยันความผิดปกติในการดำเนินธุรกิจของกิจการแห่งนี้อีกประการหนึ่ง


ประการสุดท้าย หน่วยงานที่ทำหน้าที่ดูแลธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ทั้งดีเอสไอ และกองป้องปรามการเงินนอกระบบ ก็ยืนยันอย่างหนักแน่นว่า กำลังอยู่ในระหว่างการรวบรวมข้อมูลหลักฐาน รวมไปถึงการเข้าไปดูที่มารายได้ของกิจการแห่งนี้ว่ามีที่มาจากอะไร


สอดคล้องกับการยืนยันของผู้บริหาร ที่ยอมรับว่า รายได้หลักมิได้มาจากการให้บริการเติมเงินออนไลน์ หากแต่เป็นรายได้มาจากการขายแฟรนไชน์ ที่สมาชิกจะเข้าร่วมธุรกิจจะต้องเสียค่าสมัครสมาชิกรายละ 1,000 บาท


นี่คือคำตอบ ที่จะต้องมีการเฉลยออกมาในไม่ช้านี้


โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมาฟังคำยืนยัน จาก ดร.สมชาย หัชลีฬหา นายกสมาคมพัฒนา การขายตรงไทย และประธานบริหาร บริษัท จอยแอนด์คอยน์ จำกัด ผู้เชี่ยวชาญด้านธุรกิจขายตรง ที่มีประสบการณ์มายาวนานกว่า 20 ปี ที่เคยให้สัมภาษณ์ กับ “ตลาดวิเคราะห์” ในฉบับที่ผ่านมา ก็ยืนยันชัดเจน ว่ารายได้จากบริการเติมเงินออนไลน์ ไม่สูงพอที่จะนำไปจ่ายผลประโยชน์ตามแผนการตลาด เนื่องจากบริษัทฯ จะมีรายได้จากคอมมิชชั่นจากค่ายมือถือเพียง 3 - 5% เท่านั้น


“เราเองก็ทำธุรกิจบริการเติมเงินออนไลน์ เช่นกัน เพื่อเป็นรายได้เสริมสำหรับสมาชิกที่เปิดจอยน์มาร์ท ซึ่งถ้ารายได้มาจากการเติมเงิน จะเอามาเป็นรายได้หลักไม่ได้ แต่เอามาเป็นรายได้เสริมได้ โดยเฉพาะถ้าไปเน้นการขายแฟรนไชน์เป็นหลัก มันก็อาจเข้าข่ายระดมเงิน”


เพราะฉะนั้น อนาคตหรือบทสรุปของ ท็อปอัพทูริช จะเป็นอย่างไร คงต้องรอการพิสูจน์กันว่า กิจการแห่งนี้จะบริสุทธิ์โปร่งใส ตามที่ผู้คนเข้าใจหรือไม่


 


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

MLM เดือด! ทิ้งทวนปี 56 'อัดโบนัส-ปรับแผนจ่าย-เพิ่มรายได้-กระตุ้นยอด'







bonus (Mobile)

 


อีกไม่กี่วันปี 2556 ก็จะผ่านไป กลุ่มบริษัทขายตรงพยายามดิ้นสู้กระทุ้งยอดขายครั้งสุดท้าย เพื่อเก็บเกี่ยวรายรับให้ได้มากที่สุด โดยที่ผ่านมาต้องยอมรับว่าปี 2556 นี้ ไม่ใช่ปีทองดั่งที่หลาย ฝ่ายคาดการณ์ โดยที่ผ่านมาไม่ว่าจะเป็นในส่วนของสภาพเศรษฐกิจที่ส่งผลให้ผู้บริโภคชะลอ การซื้อ รวมถึงเหตุการณ์ทางการเมืองในช่วง ท้ายกลายเป็นแรงเสริมตอกย้ำปัญหา ทำให้กลุ่มบริษัทขายตรงต้องทำงานหนักกว่าหลายปีที่ ผ่านมา


โดยกลุ่มบริษัทขายตรง พยายามออกกลยุทธ์และแผนงานกระตุ้นยอดขายในช่วงปลายปี ซึ่งถือเป็นช่วงที่ดีที่สุดของวงการขายตรงไทยในการเก็บเกี่ยวยอดขาย ไม่ว่าจะเป็นกลยุทธ์ ลด แลก แจก แถม ที่ถูกงัดออกมาใช้ ตลอดจนไปถึงยาแรง นั่นคือการปรับแผนจ่าย เพื่อเป็นการปลุกเร้าสมาชิกในการสร้าง กำไร


เริ่มตั้งแต่ ดร.นพรุจ เวชกุล ประธานกรรมการ บริษัท นีโอไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่มีการปรับแผนรายได้ของ บริษัท โดย "ดร.นพรุจ" เปิดเผยว่า เดิมทีทางบริษัทมีแผนการตลาดที่ยอดเยี่ยมอยู่แล้ว แต่ทางบริษัทยังไม่หยุดคิดจึงมีการพัฒนา ต่อยอด มีการนำเทคนิคใหม่ๆ เข้ามาสนับสนุนให้สมาชิกทำงานได้ง่ายและประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว


"เราจึงมีการเปิดแผนการคิดรายได้แบบทวีคูณขึ้นมา นอกเหนือจะเป็นการ ส่งเสริมให้สมาชิกมีประกันชีวิตทุกคนแล้ว ยังมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกเท่าตัว สมาชิกของ นีโอไลฟ์สามารถสมัครเข้าร่วมโครงการรายได้ทวีคูณ โดยเสียค่าสมัครเพียง 200 บาท ทางบริษัทยินดีมอบประกันชีวิตวงเงิน 120,000 บาท เป็นเวลานาน 1 ปี นี่ถือเป็นสวัสดิการที่ทางบริษัทมอบให้กับสมาชิกที่ร่วมโครงการ"


ต่อไปสมาชิกของนีโอไลฟ์จะมีรายได้ 2 ทาง และจะเป็นสิ่งที่ทำให้สมาชิกของนีโอไลฟ์ ประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืนและมั่นคง เพียงแต่สมาชิกที่เข้าร่วมโครงการทวีคูณ เชิญสมาชิกให้ทำการซื้อสินค้าซ้ำระหว่างเดือน โดยทางบริษัทจะนำเอาคะแนน ไปคิดในผังองค์กรแบบทวีคูณ ทำให้สมาชิก มีรายได้เพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว


ด้านนางสุชาดา ธีรวชิรกุล ประธานบริหาร ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค แบรนด์ขายตรงในเครือ บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ก็เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่มีการปรับเรื่อง ของแผนจ่ายเช่นเดียวกัน โดยนายใหญ่ของ "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" กล่าวว่า เพื่อให้ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค สามารถเติบโต 2 เท่า ภายในปี 2555-2563 สอดคล้องกับนโยบาย ของยูนิลีเวอร์ได้วางไว้ จึงต้องขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เพื่อเพิ่มสมาชิกผู้ร่วมธุรกิจและกลุ่มลูกค้า ทั้งนี้ บริษัทใช้งบฯ ลงทุนวิจัย 1,000 ล้านยูโรต่อปี และศักยภาพด้านการ จ่ายผลตอบแทน ภายใต้แผน i12 (ไอทเวลฟ์) ซึ่งมีจุดแข็งก็คือสมาชิกสมัครครั้งเดียว สามารถไปทำธุรกิจเครือข่ายได้ทั่วโลก และ ตั้งแต่กรกฎาคมได้ปรับแผนการจ่ายเงินรางวัลหรือโบนัสเพิ่มอีก 4-5% เพื่อกระตุ้น นักธุรกิจ


การปรับแผนจ่ายนับเป็นเรื่องที่กลุ่มบริษัทขายตรงได้ให้ความสำคัญ ในการสร้างยอดขายในช่วงนี้เป็นอย่างยิ่ง โดยที่ "สุพรีเดอร์ม" ก็เป็นหนึ่งในบริษัทขายตรงที่มีการปรับในส่วนนี้


โดย พ.ต.ท.นพ.มั่น อุดมพาณิชย์ ประธานกรรมการ บริษัท สุพรีเดอร์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางบริษัทได้มีการปรับแผนจ่ายของบริษัท เพื่อให้เกิดการสอดรับกับยุคสมัยที่เปลี่ยนแปลง โดยบริษัทได้มีการปรับแผนจ่ายภายใต้ ชื่อ P17


"P17 เป็นแผนจ่ายเพื่อสร้างให้เป็นมรดกของสมาชิก โดยสุพรีเดอร์มเป็นบริษัท ที่ล้างสมองผู้คนที่เข้ามาไม่เก่งนัก ทำให้บริษัทต้องเดินหน้าธุรกิจด้วยการดึงผู้คนให้มาเป็นผู้บริโภค โดยบริษัทจะเน้นการสร้างฐานผู้บริโภคเป็นหลัก" พ.ต.ท.นพ.มั่น เผย


ไม่เพียงแต่การปรับเปลี่ยนในส่วนของ แผนจ่ายเท่านั้น ที่กลุ่มบริษัทขายตรงพยายามทำในช่วงสุดท้ายของปี แต่กับหลาย บริษัทก็มีการผุดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม รวมถึงการกระตุ้นตลาดผ่านการโฆษณาทีวี


โดยนายภาวัช หรัญรัตน์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เลิฟยู (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ในช่วงท้ายปี บ.เลิฟยูฯ ได้ทำการกระตุ้นตลาดด้วยการจัดโปรโมชั่น ลด แลก แจก แถม และยังได้ออกไปจัดโรดโชว์ตามจังหวัดใหญ่ๆ เพื่อขยายเครือข่ายของบริษัทโดยตรง ทั้งยังเป็น การกระตุ้นให้มีการซื้อสินค้ามากขึ้น ซึ่งในส่วนของสาขาที่ทำหน้าที่จำหน่ายสินค้ามี อยู่ประมาณ 10 แห่ง ครอบคลุม 4 ภาคของ ประเทศ โดยที่สำนักงานใหญ่ที่เปิดทำการครบวงจร หลักๆ จะอยู่ที่ภาคตะวันออก-เฉียงเหนือกับภาคใต้ เนื่องจากทั้ง 2 ภาค มีความนิยมในสินค้าของบริษัท


อย่างไรก็ตาม เลิฟยู คาดว่าปี 56 บริษัทจะต้องเติบโตตลอดทั้งปีถึง 60% และ ยอดขายมั่นใจว่าจะเพิ่มขึ้นไปถึง 350 ล้านบาท ถือว่าเป็นยอดขายสูงสุดของบริษัท โดยปีก่อนทำได้ 200 ล้านบาท ในส่วนของสมาชิกที่ปรับถ่ายเทสายเลือดใหม่นั้น ถึงเวลานี้มีอยู่ 10,000 รหัส คาดว่า สิ้นปีนี้ต้อง เพิ่มขึ้นถึง 15,000 รหัส และในปี 2557 บริษัท เตรียมจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของผลิตภัณฑ์ด้านความงาม, ผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร และสินค้ากลุ่มของใช้ประจำวัน พร้อมจะขยายสาขาในต่างจังหวัดเพิ่มให้เป็น 50 สาขา เพื่อให้ครอบคลุมทั่วประเทศ


ด้านกลุ่มบริษัทขายตรงที่ใช้การโฆษณาประชาสัมพันธ์สินค้า และแบรนด์ในช่วงปลายปีนี้ ก็มีตั้งแต่บริษัทใหญ่ๆ อย่าง "กิฟฟารีน" ที่อัดงบกว่า 50 ล้านบาท เพื่อสร้างโฆษณาสินค้าเสริมอาหาร "อีสเลท" โดยได้ทำการดึง "เจมส์มาร์" ดาราชายวัยรุ่นที่กำลังเป็นที่นิยมมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และอีกหนึ่งบริษัทที่ใช้การโฆษณาสินค้ามากระตุ้นยอดขายในช่วงปลายปีอีกราย นั่นคือ "ดี เน็ทเวิร์ค"


โดยนายสาคร ใสกมล ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด เปิดเผยว่า ในสเต็ปแรกนี้ทางบริษัททุ่มงบไป กว่า 20 ล้านบาท ในการประชาสัมพันธ์ทาง ฟรีทีวี เพื่อสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง


"การโฆษณาผ่านทางฟรีทีวีนั้น ในส่วน ของผลิตภัณฑ์ของบริษัท เราคาดหวังว่าจะ ทำให้เกิดกระแสใน 3 กลุ่มหลักๆ คือกลุ่มที่บริโภคอยู่แล้วก็จะบริโภคต่อเนื่อง กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มที่ยังไม่ได้ตัดสินใจว่าจะบริโภคดีหรือไม่ เมื่อได้ชมโฆษณาก็ตัดสินใจซื้อ กลุ่มที่ 3 คือกลุ่มที่ยังไม่รู้จัก ก็ได้รับรู้และรู้จักผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ตนคาดหวังว่าคนจะรู้จักสินค้า เรามากขึ้น สำหรับสินค้าบานเย็นซึ่งเป็นสินค้าในกลุ่มเกษตรนั้น เราก็คาดหวังว่าเกษตรกร ไทยจะรู้จักผลิตภัณฑ์ตัวนี้ และเมื่อครบปี ทางบริษัทจะนำเอาเทปรายการเกษตรไทย น่ารู้ที่ออกอากาศไปแล้วราว 21 ครั้ง ให้ผู้นำที่มีรายการ มีสื่อของตัวเอง นำเอาไปเป็นเครื่องมือในการทำธุรกิจที่เราทำการประชาสัมพันธ์ทางฟรีทีวี เนื่องจากเราอยากนำร่องให้กับนักธุรกิจและสมาชิก จุดประสงค์ หลักก็คือเราอยากให้สมาชิก ดี เน็ทเวิร์ค ทำงานได้ง่ายขึ้น"


 


 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com/