ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันพฤหัสบดีที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ข่าวแอมเวย์ (Amway Thailand) : แอมเวย์จับมือกสิกรไทย เปิดตัว I'm Smart บริการช้อปสะดวก ทุกที่ ทุกเวลาผ่านสมาร์ทโฟน









นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด พร้อมด้วย นายชาติชาย พยุหนาวีชัย รองกรรมการผู้จัดการ ธนาคารกสิกรไทย และ นายอภิวัฒน์ ศิริสัมพันธ์ ผู้จัดการบริหารลูกค้าอาวุโส วีซ่า อินเตอร์เนชั่นแนล ประจำประเทศไทย ร่วมเปิดตัว Im Smart บริการรับชำระค่าสินค้าและบริการด้วยบัตรเครดิต ผ่านแอพพลิเคชั่นบนสมาร์ทโฟน Im Smart และ K-Merchant on Mobile เพิ่มความสะดวก ให้กับนักธุรกิจแอมเวย์ในการขายสินค้าและบริการแบบไร้ขีดจำกัดได้ทุกที่ทุกเวลา พร้อมส่งเอสเอ็มเอส หรืออีเมลแจ้งยืนยันทุกรายการใช้จ่าย นับเป็นธุรกิจเครือข่ายรายแรกและรายเดียวที่เปิดให้บริการ เพื่อตอกย้ำความเป็นผู้นำในธุรกิจเครือข่ายอันดับ 1 ของไทย และท่านที่สนใจสามารถเข้าชม รายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ www.amwayshopping.com

กิจกรรมกิฟฟารีน(Giffarine) : 17 ปีแห่งความมหัศจรรย์ กิฟฟารีนสร้างสุขนิรันดร์ดั่งเทพนิยาย








อาทิตย์ที่ 24 มีนาคม 2556ณ ศูนย์นิทรรศการและการประชุมไบเทค บางนา
ขอเชิญทุกท่านร่วมเฉลิมฉลอง 17 ปีแห่งความมหัศจรรย์กิฟฟารีนสร้างสุขนิรันดร์ดั่งเทพนิยาย


พบกับ 7 มหัศจรรย์แห่งความสุขดั่งฝันพร้อมชมคอนเสิร์ต 4 ศิลปินชั้นนำจาก GMM Grammyมอส ปฏิภาณ - ไอซ์ ศรัณยู - คริสติน่า - ใหม่ เจริญปุระ


บัตรราคา 200 / 400 / 600 บาทจำหน่ายแล้ววันนี้ที่ศูนย์ธุรกิจกิฟฟารีนทุกสาขา

La Chul Cosmetics Thailand วันแห่งศักดิ์ศรี เวทีแห่งเกียรติยศ ประจำปี 2555








 


วันแห่งศักดิ์ศรี เวทีแห่งเกียรติยศ ประจำปี 2555 ใน วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม 2556 ตั้งแต่เวลา 09.00 น. 19.00 น. ณ ชั้น 4 ห้องวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชัน เซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ


ภายในงานทุกท่านจะได้พบกับ มหกรรมแสดงผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพความงาม และ ผลิตภัณฑ์เกษตรอินทรีย์ ไจก้า ลาชูเล่ อาหารเสริมพืช ดินและน้ำ นำเข้าจากประเทศอิสราเอล ร่วมสืบสานวัฒนธรรมประเพณีไทยในพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่หาดูได้ยาก พิธีทำขวัญข้าว สืบสานตำนานพระแม่โพสพ นำโดยศิลปินแห่งชาติ แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ตำนานแม่เพลงพื้นบ้านและเพลงอีแซวอันดับหนึ่งของประเทศไทย พร้อมโซนนิทรรศการซึ่งประกอบไปด้วย หมู่บ้านนักธุรกิจเกษตรกรรม ตื่นตากับพืชผลที่ใหญ่ที่สุด จากการใช้ ไจก้า ลาชูเล่ มหัศจรรย์แห่งการเกษตรยุคใหม่ ร่วมพูดคุยกับเกษตรกรผู้ใช้จริงทั่วทุกภาคของประเทศไทยอย่างใกล้ชิด สัมผัสประสบการณ์จริงและเห็นถึงผลลัพธ์จากการทาน ไบโอ เอนไซม์ ไลฟ์ พลัส อาหารเสริมนำเข้าจากเยอรมัน ทานทุกวันต้านโรคร้าย ร่วมชม Hall of Frame ทำเนียบเกียรติยศผู้บริหารการขายระดับสูง ที่ประสบความสำเร็จของลาชูเล่ กรุ๊ป ช่วงพิธีการในห้องวายุภักษ์พบกับ Speaker Motivation ปลุกไฟนักธุรกิจ จากท่านรองประธาน ดร.วรวุฒิ เจริญศรีพรพงศ์ ลุ้นระทึกกับช่วงจับ แจก ลุ้นรับรางวัลใหญ่มูลค่ากว่า 500,000 บาท ปิดท้ายด้วยคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบจาก ตำนานเพลงเพื่อชีวิต คาราบาว พิเศษสุดร่วมเซอร์ไพร้ส์ตัดเค้กฉลองวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 54 ร.ต.ต. ดร.สุรเชษฐ์ เชื้อศรี ประธานกรรมการบริหาร ลาชูเล่ กรุ๊ป และบริษัทในเครือ

ข่าวซินเนอร์จี้ (Synergy WorldWide) : ซินเนอร์จี้อาสา ปีที่ 2 กับโครงการแบ่งปันความสุขเพื่อน้อง









กิจกรรมดี ๆ ที่ชาวซินเนอร์จี้ส่งมอบให้กับน้อง ๆ ในโครงการจิตอาสา ปีที่ 2 ต่อยอดความช่วยเหลือด้านทุนทรัพย์และสนับสนุนการศึกษาให้กับเด็กนักเรียนชาวกะเหรี่ยง ณ โรงเรียนบ้านบ้องตี้ล่าง อ.ไทรโยค จ.กาญจนบุรี เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา นำทีมอาสาโดยคุณศุภพงศ์ จันทรวีระกุล ผู้จัดการทั่วไปบริษัทซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ มาร์เก็ตติ้ง ประเทศไทยและเวียดนาม คณะผู้บริหาร พนักงาน และกลุ่มนักธุรกิจ ได้แก่ คุณภาวิตา อินทศิริ นพ.สุเทพ ปุณณะตระกูล คุณประภา อภิพัฒนา ทั้งนี้ทางบริษัทได้รวบรวมเงินบริจาค สิ่งของเครื่องใช้ อาทิ เสื้อผ้า และจัดซื้อชุดเครื่องเขียน อุปกรณ์การเรียนต่าง ๆ รวมมูลค่าทั้งสิ้น 450,000 บาท โดยทางคณะได้นำไปมอบให้กับน้อง ๆ นักเรียน โดยมี ผู้อำนวยการโรงเรียนบ้านบ้องตี้ล่าง อาจารย์แสงระวี สุขประเสริฐ เป็นผู้รับมอบของในครั้งนี้

วันพุธที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ข่าว จี พินนาเคิ้ล จำกัด (G Pinnacle Co.,Ltd.) : กิจกรรมรักล้นใจ แจกเต็มๆ








เมื่อวันอาทิตย์ 17 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา บริษัท จี พินนาเคิ้ล จำกัด (G Pinnacle Co.,Ltd.) ได้มีการจัดกิจกรรม รักล้นใจ แจกเต็มๆ ณ บริษัท จี พินนาเคิ้ล จำกัด(สำนักงานใหญ่) อาคารชัยพิทักษ์ 83/167 ถนนงามวงศ์วาน หมู่ 6 แขวงทุ่งสองห้อง เขตหลักสี่ กรุงเทพโดยมี คุณ ศุภกร รักษ์บุญยวง ประธานกรรมการบริหารบริษัท กล่าวเปิดงานอย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งอัดโปรโมชั่นดีๆอีกมายมายภายในงาน อาทิเช่น Top Sponsor รับไปเลย โทรศัพท์มือถือ LG Touchscreen 1 เครื่อง , เมื่อซื้อผลิตภัณฑ์ลดน้ำาหนัก เลอแอน 2 กล่อง แลกซื้อ กาแฟมายด์พลัส ได้ในราคาเพียง 49 บาท เท่านั้น ฯลฯ โปรโมชั่นสมนาคุณพิเศษเฉพาะงานนี้งานเดียวเท่านั้น นอกจากนี้ยังได้มีการแนะน าผลิตภัณฑ์ของบริษัทด้วย เช่น โปรไบโอเฮริ์บ ชมพู , โปรไบโอเฮริ์บ เขียว , คอลลาเจน , ดิวตี้พลัส และอื่นๆอีกมากมาย บรรยากาศภายในงานโดยรวมเป็นไปอย่างคึกคักตลอดทั้งงาน มีกิจกรรมเล่นเกมส์ต่างๆ การร่วมสนุกร้องเพลงคาราโอเกะจากท่านสมาชิก ท าให้งานนี้ครึกครื้นยิ่งนัก ส าหรับผู้ที่พลาดมาในงาน รักล้นใจ แจกเต็มๆ สามารถสอบถามผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม ได้ที่ บริษัท จีพินนาเคิ้ล จ ากัด โทร 02-580-9906 หรือ www.gpinnacle.co.th


 


[gallery]

สัมภาษณ์หัวเรือใหญ่ ยูซานา เฮลธ์ ไซเอนซ์(ประเทศไทย) คุณสาริณี เสฐียรภัคกุล ธุรกิจที่วงการขายตรงไทยต้องสะเทือน








ยูซานา เฮลธ์ ไซเอนซ์(ประเทศไทย) จำกัด เป็นบริษัทขายตรงที่จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ทางวิทยาศาสตร์เพื่อสุขภาพระดับแนวหน้าของโลก โดยสำนักงานใหญ่ได้ตั้งอยู่ที่ประเทศสหรัญอเมริกา รัฐยูทาห์ ซอลท์ เลค ซิตี้ ซึ่ง ยูซานา ได้สู่ตลาดหุ้นของ NASDAQ Stock Market หรือตลาดหลักทรัพย์ในปี 1996 ปัจจุบันได้ทำตลาดอยู่ 18 ประเทศทั่วโลก ได้แก่ สหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกง และ จีน


เมื่อวันที่ 16 มิถุนายน 2555 บริษัท ยูซานา เฮลธ์ ไซเอนซ์(ประเทศไทย) จำกัด ได้ทำการเปิดตัว ที่โรงละครสยามนิรมิต อย่างเป็นทางการโดยมีผู้บริหาร แขกผู้เกียรติ ผู้นำทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติ รวมถึงนักธุรกิจยูซานาเข้าร่วมงานกันอย่างคับคั่งกว่า 1,000 คน ซึ่งเป็นประเทศที่ 16 โดยผ่านบริษัท BabyCare, Ltd. ที่ USANA เป็นเจ้าของในประเทศจีน ซึ่งการเปิดตัวครั้งนี้ได้รับการจับตามองจากเหล่านักธุรกิจขายตรงมากมายด้วยความเป็นธุรกิจขายตรงน้ำดีจากประเทศสหรัฐอเมริกามีรางวัลการันตีความสำเร็จมากมายหากจะให้กล่าวแล้วก็คงไม่หมดภายในคอลัมน์นี้ ซึ่งวันนี้ทีมงานไทยเอ็มแอลเอ็มนิวส์ได้มีโอกาสเข้ามาสัมภาษณ์ คุณสาริณี เสถียรภัคกุล ผู้นั่งแท่นผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทย ที่จัตุรัสจามจุรี สแควร์


คุณสาริณี เสฐียรภัคกุลหัวเรือใหญ่ของยูซานาประเทศไทย ได้เข้ามาร่วมงานกับยูซานาในฐานะผู้จัดการทั่วไปเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 2012 ซึ่งถือว่าเป็นผู้จัดการทั่วไปประจำประเทศไทยเป็นคนแรก โดยคุณสาริณีได้เล่าว่า ก่อนหน้านี้ได้ดำรงตำแหน่งผู้จัดการอาวุโสฝ่ายขายและฝ่ายการตลาด บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด โดยคุณสาริณี ได้จบการศึกษาระดับปริญญาโทด้านการบริหารธุรกิจ โครงการปริญญาโทสำหรับผู้บริหาร คณะพาณิชยศาสตร์ และการบัญชี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และปริญญาตรี จากคณะนิเทศศาสตร์ ภาควิชาการโฆษณา และประชาสัมพันธ์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ประสบการณ์ที่ผ่านมาดำรงตำแหน่ง Account Marketing Director ในแผนกโฆษณา บริษัทขายตรงชั้นเดียวสัญชาติอเมริกันซึ่งติดอันดับท็อปเท็นของโลกแห่งหนึ่ง จากนั้นได้รับความไว้วางใจให้ดำรงตำแหน่ง Corporate Affairs Director โดยดูแลการดำเนินงานทั่วไปของบริษัทฯ รวมถึงภาพลักษณ์ การโฆษณา และประชาสัมพันธ์ของบริษัทการตลาดแบบเครือข่ายในเครือ


ทั้งนี้คุณสาริณีได้กล่าวถึงจุดแข็งของทางยูซานาอีกว่า เนื่องจากบริษัท ยูซานา เฮลธ์ ไซเอนซ์ (ประเทศไทย) ให้ข้อมูลในเชิงองค์ความรู้เกี่ยวกับแผนการตลาดแบบไบนารี่และนำเสนอข้อมูลเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพ ที่มีสำนักงานใหญ่ ตั้งอยู่ที่ ซอลท์ เลค ซิตี้ รัฐยูท่าห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา ซึ่งจัดจำหน่ายมาเป็นเวลา 20 ปี จนได้รับความไว้วางใจจากสถาบันต่างๆ ความมีประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์อันดับ 1 เหรียญทอง 5 ดาวจากสหรัฐอเมริกาจากการจัดอันดับผลิตภัณฑ์อาหารเสริมกว่า 1,500 แบรนด์ทั่วทวีปอเมริกาเหนือและยังได้รับรางวัลผลิตภัณฑ์ยอดเยี่ยมในระดับโลกมากมาย รวมถึงได้รับการยกย่องให้เป็นบริษัทที่มีแผนการจ่ายผลตอบแทนดีที่สุดจาก MLM Insider Awards ทำให้ลูกค้าและนักธุรกิจยูซานา รวมถึงนักธุรกิจใหม่ทุก ๆ รายเกิดความเชื่อมั่นและยอมรับในผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง มีความโดดเด่นและมีการการันตีว่ามีคุณภาพที่เหนือกว่าคู่แข่งในตลาด รวมถึงแผนการจ่ายผลตอบแทนที่ดีที่สุด


โดยกลยุทธ์ที่ใช้ในการสร้างแบรนด์ของยูซานาทางคุณสาริณี ได้มุ่งเน้นจัดกิจกรรมและส่งเสริมการขายต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยจัดกิจกรรม Road Show ไปตามจังหวัดต่าง ๆ เช่น ชุมพร สงขลา ภูเก็ต เชียงใหม่ อุบลราชธานี จันทบุรี นครราชสีมา พะเยาและระยอง เพื่อกระตุ้นให้เกิดการรับรู้แบรนด์และกระตุ้นให้เกิดยอดขายเพื่อให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ รวมถึงการจัดรายการส่งเสริมการขายในส่วนของการจัดชุดผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ การแจกของพรีเมี่ยม การส่งเสริมการเพิ่มจำนวนนักธุรกิจอิสระให้เดินทางไปท่องเที่ยว ซึ่งเมื่อเปิดตัวเป็นทางการได้ 6 เดือน เราก็สามารถมีนักธุรกิจอิสระในระดับโกลด์ไดเร็กเตอร์ร่วมเดินทางไปฉลองตำแหน่งที่เมืองเพิร์ธ ประเทศออสเตรเลีย ได้ถึง 6 ท่าน เมื่อช่วงกลางเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา และจะมีนักธุรกิจ และผู้นำที่จะเดินทางไปร่วมงาน Asia Pacific Convention 2013 ที่ฮ่องกง ในกลางเดือนมีนาคมนี้ อีกเกือบ 100 คน










นอกเหนือจากนี้ทางยูซานานั้นให้การสนับสนุนทางผลิตภัณฑ์ แก่นักกีฬาชื่อดังทั่วโลกทั่วโลกอย่างมากมายส่วนในประเทศไทย ก็มีแชมป์มวยสากลขวัญใจคนไทย ไอ้รถถัง พูลสวัสดิ์ กระทิงแดงยิม แชมป์ PABA รุ่นแบนตั้มเวทและ อดีตแชมป์ WBA ซูเปอร์แบนตั้มเวท และ ถิรชัย กระทิงแดงยิม เจ้าของแชมป์ แชมป์ PABA รุ่นเวลเตอร์เวท ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นถึงสินค้าที่ได้คุณภาพและปราศจากสารกระตุ้นใดๆ ทั้งสิ้น


คุณสาริณีหมายมั่นปั้นมือ ยูซานา ประเทศไทยเป็นจุดศูนย์กลาง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ประเทศไทย ถือเป็น Rising Star และได้รับการสนับสนุนเป็นอย่างดีในด้านการทำตลาด กิจกรรมและโปรโมชั่นต่าง ๆ ทยอยออกมาให้นักธุรกิจยูซานาและผู้บริโภคผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมีความความหวังว่า ประเทศไทยจะสามารถเติบโตและมียอดขายเพิ่มขึ้นทัดเทียมกับประเทศอื่น ๆ ในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิคที่ได้เปิดตัวไปก่อนหน้าและได้รับความสำเร็จเป็นอย่างสูง เช่น ฮ่องกง เกาหลีใต้ ไต้หวัน สิงคโปร์ มาเลเซียและฟิลิปปินส์ เป็นต้น ซึ่งยูซานาได้เปิดสำนักงานเพื่อจำหน่ายสินค้าให้แก่ผู้บริโภคและนักธุรกิจยูซานาในสหรัฐอเมริกา แคนาดา เม็กซิโก ฝรั่งเศส เบลเยี่ยม อังกฤษ เนเธอร์แลนด์ ออสเตรเลีย ฟิลิปปินส์ ไทย สิงคโปร์ มาเลเซีย เกาหลีใต้ ญี่ปุ่น ไต้หวัน ฮ่องกงและผ่านบริษัทเบบี้แคร์ ลิมิเต็ด ที่ยูซานาเป็นเจ้าของในประเทศจีน รวม 18 สาขาทั่วโลก


โดยสถิติที่ผ่านมา ยูซานาเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยที่ไม่ได้มีการโหมเปิดตลาดใหม่ จึงเป็นตัวชี้วัดได้ว่า ยูซานาสามารถเติบโตในตลาดเดิมได้อย่างต่อเนื่อง ซึ่งแสดงถึงว่ามีผู้บริโภคใช้ผลิตภัณฑ์อย่างแท้จริง ซึ่งเป้าหมายของยูซานาอยู่ที่การเข้าถึงและพัฒนาสุขภาพ และคุณภาพชีวิตให้กับครอบครัวต่างๆ ทั่วโลก


จากการประกาศผลประกอบการในปี 2555 ของมร.เดฟ เวนทซ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ยูซานา เฮลธ์ ไซเอนซ์ ที่ซอลท์เลค ซิตี้ สหรัฐอเมริกา บ่งบอกว่า ยูซานามียอดขายกว่า 648.7 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 11.5% จากช่วงเดียวกันของปี 2554 โดยมีกำไรสุทธิ 66.4 ล้านเหรียญสหรัฐ เพิ่มขึ้น 30.9% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้มีผลมาจากยอดขายที่เพิ่มสูงขึ้นและการลดค่าใช้จ่ายการบริหารต้นทุน โดยกำไรต่อหุ้นเพิ่มขึ้น 36.5% อยู่ที่ 4.45 ดอลลาร์ เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ 3.26 ดอลลาร์ต่อหุ้น เหตุผลสำคัญของการเพิ่มขึ้นซึ่งเป็นผลมาจากยอดขายที่เติบโตเพิ่มขึ้นอย่างมากในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิค อเมริกาเหนือและยุโรป โดยคาดการณ์ว่ายอดขายสุทธิในปี 2556 จะเพิ่มขึ้นเป็น 700 720 ล้านเหรียญสหรัฐ และมีกำไรต่อหุ้นอยู่ที่ 5.10 5.25 ดอลลาร์


ส่วนในประเทศไทยมีแนวโน้มการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่อง ทั้งในแง่ของจำนวนสมาชิกใหม่ที่เพิ่มขึ้น รวมถึงยอดขายที่เพิ่มขึ้นด้วย โดยเป้าหมายในปี 2556 จะมุ่งเน้นการเพิ่มจำนวนสมาชิกที่มีการทำธุรกิจและสั่งซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง


ทั้งนี้ บริษัทฯ มีฐานนักธุรกิจยูซานาและลูกค้าที่บริโภคผลิตภัณฑ์ที่มั่นคงและมีนักธุรกิจใหม่สนใจสมัครเข้ามาร่วมธุรกิจอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเพิ่มขึ้นกว่า 70% หลังจากงานเปิดตัวบริษัทฯ อย่างเป็นทางการในเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา สำหรับเหตุผลที่คนเข้ามาร่วมธุรกิจกับยูซานาเนื่องจาก ระบบไบนารี่ สามารถตอบโจทย์ให้กับนักธุรกิจยูซานาในการดูแลคนในองค์กรแค่ 2 คน ให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งจากการวิจัยของสมาคมขายตรงแห่งสหรัฐอเมริกาพบว่า บุคคลทั่วไปสามารถดูแลองค์กรให้ประสบความสำเร็จได้เพียง 2.5 สายงานเท่านั้น ซึ่งแผนไบนารี่สามารถตอบโจทย์ตรงนี้ได้ และมีผลตอบแทนที่คุ้มค่า ทำง่าย จ่ายเร็ว ทำให้นักธุรกิจใหม่ ๆ ที่เข้ามาร่วมธุรกิจมีรายได้เร็วขึ้นและทำให้ทั้งองค์กรมีรายได้ที่เสถียร รวมถึงความเชื่อมั่นในผลิตภัณฑ์ที่ดีที่สุดระดับโลกตามที่ได้กล่าวไปข้างต้น ซึ่งยูซานา ได้รับการโหวตจากนักธุรกิจอิสระให้เป็นบริษัทที่น่าร่วมทำธุรกิจด้วยเป็นอันดับ 1 ติดต่อกันทุกปี มาตั้งแต่ปี 1997 จากนิตยสาร Network Marketing & The MLM Insider Magazine ซึ่งได้ชื่อว่าเป็นเครือข่ายชุมชนของผู้ทำธุรกิจการตลาดแบบเครือข่ายที่ใหญ่ที่สุดในโลก









โดยผลิตภัณฑ์ยูซานาแบ่งเป็น 2 กลุ่มหลัก ๆ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและผลิตภัณฑ์บำรุงผิวพรรณ ซึ่งสัดส่วนยอดขายที่เกิดขึ้นจะมาจากกลุ่มอาหารเสริมเป็นหลัก จากตัวเลขยอดขายประมาณการของบริษัทอยู่ที่ 645 ล้านเหรียญสหรัฐ เติบโต 10.8% ในปีนี้ สัดส่วนยอดขายหลักประมาณ 80% มาจากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมตัวหลักของบริษัท ได้แก่ เอสเซนเชียลส์(วิตามิน แร่ธาตุและสารต้านอนุมูลอิสระ, โปรฟาวานอล 30(สารสกัดจากเมล็ดองุ่น), แอคทีฟ แคลเซียมและไบโอเมก้า(น้ำมันปลาบริสุทธิ์) โดยบริษัทมีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่ภายในปี 2556 นี้ เพื่อเป็นการขยายไลน์สินค้าให้ครอบคลุมและสอดคล้องกับความต้องการของนักธุรกิจยูซานาและผู้บริโภค


ทั้งนี้ทางคุณสาริณีได้กล่าวทิ้งท้ายไว้ว่า ยูซานานั้นมีพื้นฐานในการทำงานเป็นครอบครัวร่วมมือร่วมใจกันในก่อให้เกิดความสำเร็จที่แท้จริง ทำจริงได้จริง สินค้าได้คุณภาพ ซึ่งหากใครกำลังมองหา ครอบครัวที่จะมอบความสุข คุณภาพชีวิตที่ดี สุขภาพแข็งแรงสมบูรณ์ มีความมั่นคง พร้อมทั้ง อิสรภาพในการใช้ชีวิต ยูซานา นั้นคือคำตอบสุดท้ายสำหรับโจทย์เหล่านี้


จัดทำและเรียบเรียง www.thaimlmnews.com

รมิตา เสือซุ่มเร่งปูพรมบุกตลาดไทย-ตปท. ขนสินค้าใหม่ลงกระทุ้งยอดสิ้นปีทะลุ500ล.









นายใหญ่ รมิตา เผยหมัดเด็ดปี56 สั่งเร่งปูพรมขยายตลาดทั้งในและต่างประเทศ หลังปลื้มแผนยึดตลาดประเทศเพื่อนบ้านประสบความสำเร็จ ดันยอดปี55 ทะลุเป้า 220 ล้านบาท มั่นใจสิ้นปี56 ทะลัก 500 ล้านบาท หลังส่งซิกเตรียมยึดพม่า-เวียดนาม-มาเลเซีย พร้อมจ่อขนสินค้าใหม่ออกมากระตุ้นยอดขาย แนะภาครัฐเร่งปราบปรามแชร์ลูกโซ่-มันนี่เกมส์ หวั่นกระทบภาพลักษณ์ธุรกิจขายตรง ด้าน ใจกล้า กาดำดวน ระบุเดินหน้าต่อโปรโมชั่น X2 หลังปลุกกระแสได้ดี ล่าสุดจัดแคมเปญพิเศษทำยอดแค่ครั้งเดียวแต่เที่ยวฟรี 3 ประเทศ ยิ้มทริปพิเศษสำหรับสมาชิกที่เป็นมุสลิม เดินทางไปแสวงบุญที่นคร เมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบียกระแสตอบรับเกินคาด สั่งเดินหน้าจัดโปรโมชั่นต่อ


นายเค่งฮั้ว แซ่อื้อ ประธานกรรมการ บริษัท รมิตา เฮลธ์แอนด์บิวตี้ ให้สัมภาษณ์ถึงกลยุทธ์ในการรุกตลาดปี 2556 ว่า บริษัทเตรียมรุกตลาดใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นเพื่อให้ครอบคลุมครบทุกภาคของประเทศจากปัจจุบันที่มีฐานตลาดใหญ่อยู่ในพื้นที่ภาคใต้ และภาคอีสานเป็นหลัก โดยตลาดที่บริษัทได้ให้ความสำคัญในปีนี้ คือพื้นที่ภาคเหนือ และภาคกลาง โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือที่ปัจจุบันมีผู้นำได้เข้าไปขยายตลาดในพื้นที่ดังกล่าวแล้วและค่อนข้างได้รับผลตอบรับดีมากคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะสามารถเปิดเป็นศูนย์กระจายสินค้าในพื้นที่ภาคเหนือไม่ต่ำกว่า 7 แห่ง เพื่อรองรับการเติบโต และความตน้องการของสมาชิกในพื้นที่


นอกจากนี้บริษัทยังได้เตรียมความพร้อมในการขยายตลาดออกไปยังต่างประเทศ เช่น พม่า เวียดนาม และมาเลเซีย เป็นต้น โดยหลังจากก่อนหน้านี้รมิตาได้ขยายตลาดเข้าไปยังประเทศเพื่อนบ้าน 2 ประเทศแล้วได้แก่ สปป.ลาว และกัมพูชา ซึ่งปรากฏว่าได้รับการตอบรับดีมากโดยเฉพาะที่สปป.ลาวมีสมาชิกที่ประสบความสำเร็จมีรายได้กันเป็นจำนวนมาก ส่งให้ยอดขายในประเทศดังกล่าวเติบโตแบบก้าวกระโดด โดยปัจจุบันคิดเป็น 50 % ของยอดขายรวมทั้งบริษัท จากในปี 2555 ที่ผ่านมาที่มียอดขายรวม 220 ล้านบาท


สำหรับแผนการขยายตลาดต่างประเทศนั้น นายเค่งฮั้ว กล่าวว่า เพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ที่จะมาถึงนี้ บริษัทมีนโยบายในการรุกตลาดต่างประเทศที่ค่อนข้างแตกต่างจากบริษัทขายตรงอื่นๆ โดยจะเน้นในเรื่องของการดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องตามกฎหมายของประเทศนั้นๆ เช่น การยื่นขอจดทะเบียนในแต่ละประเทศและการแปลเอกสารเกี่ยวกับสินค้าไว้ก่อน เพื่อให้สมาชิกเข้าไปขยายตลาดในประเทศนั้นๆ ได้ทันที ไม่ต้องมารอให้บริษัทไปยื่นขอเอกสารทีหลัง


การรักตลาดต่างประเทศถือว่าทำง่ายกว่าประเทศไทย เพราะมีองค์ประกอบค่อนข้างเอื้อต่อการขยายตลาด เช่น สินค้าไทยมีคุณภาพ เพราะผู้บริโภคในแถบประเทศเพื่อนบ้านเขาได้สัมผัสกับสินค้าไทยมานานไม่ว่าจะเป็นสินค้าอุปโภคบริโภค หรือแม้แต่รถยนต์ ดังนั้นการที่เราเข้าไปขยายตลาดในกุ่มประเทศเหล่านี้จึงทำได้ง่ายกว่า ไม่ต้องพูดอะไรมาก รวมถึงการที่กลุ่มประเทศเพื่อนบ้านเรามีความรู้สึกที่ดีกับคนไทย จึงทำให้เราขยายตลาดได้ง่าย


นายเค่งฮั้ว กล่าวเพิ่มเติมว่า ปีนี้เราจะยังคงใช้กลยุทธ์ในการทำตลาดเหมือนกับปี 2555 ที่ผ่านมาคือ การขยายตลาดใหม่ ,การสนับสนุนผู้นำ ,การจัดโปรโมชั่นและการจัดหลักสูตรฝึกอบรมให้กับสมาชิกเพราะแนวทางดังกล่าวถือว่าได้ผลลัพธ์ที่ดี เพราะทำให้ยอดขายในปี 55 เติบโตเกินป้าหมายที่ตั้งไว้ นอกจากนี้เรายังได้อำนวยความสะดวกในการสั่งซื้อของสมาชิกด้วยการเปิดเป็นศูนย์กระจายสินค้าตามพื้นที่ต่างๆ ซึ่งปัจจุบันเรามีศูนย์กระจายสินค้าทั้งหมด 10 แห่ง แบ่งเป็นในไทย 7 แห่ง และในสปป.ลาวอีก 3 แห่ง นายเค่งฮั้ว อธิบาย


ขณะเดียวกันเรายังสนับสนุนให้มีการจัดประชุมให้กับผู้นำตามพื้นที่ต่างๆ โดยบริษัทมีการให้ยืมสินค้าออกไปก่อน เพื่อให้สมาชิกทำงานง่ายขึ้น รวมถึงการจัดโปรโมชั่นพิเศษให้กับผู้นำ นอกจากนี้เรายังได้เปิดตัวสินค้าใหม่ๆ เข้าสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขายซึ่งในปีนี้เรามีแผนจะเปิดตัวสินค้าใหม่เพิ่มอีกหลายรายการเช่น กลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเกษตร ซึ่งเป็นอาหารเสริม พืชชนิดน้ำสูตรนาโน,น้ำหอมสำหรับผู้ชาย และผู้หญิงและอีกกลุ่มเป็นกลุ่มอาหารเสริมที่เป็นไบโอเทคโนโลยีซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นยอดขายได้เป็นอย่างดี


นายเค่งฮั้ว กล่าวอีกว่า จากกลยุทธ์ที่กล่าวมาข้างต้น ทำให้บริษัทคาดว่าภายในสิ้นปีนี้จะมียอดขายไม่ต่ำกว่า 500 ล้านบาท แบ่งเป็นยอดขายจากไทยและสปป.ลาวรวมกัน 420 ล้านบาท และอีก 80 ล้านบาท อย่างไรก็ตามสำหรับสัดส่วนยอดขายของกลุ่มสินค้าที่ขายดี แบ่งเป็นกลุ่มอาหารเสริมคิดเป็น 50-55%ของยอดขายทั้งหมด รองลงมาเป็นกลุ่มเครื่องประดับ 20 % กลุ่มเครื่องสำอาง 10-15% และอุปโภคบริโภคอีก กว่า 10 %


ส่วนปัจจัยที่น่าเป็นห่วงสำหรับธุรกิจขายตรงในประเทศไทยในปีนี้นั้น นายเค่งฮั้ว กล่าวว่า ปัจจัยเรื่องของเศรษฐกิจ การเมือง และภัยธรรมชาติ ไม่น่าเป็นห่วงมากนัก แต่ปัจจัยที่น่าเป็นห่วง คือ ธุรกิจ แชร์ลูกโซ่หรือมันนี่เกมที่ปัจจุบันมักจะมีอะไรแปลกๆออกมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งยังมีผู้บริโภคบางคนยังแยกแยะไม่ออกว่าอันไหนคือธุรกิจขายตรง หรือ มันนี่เกม ดังนั้นอยากให้ภาครัฐเข้ามาดูแล และเร่งปราบปรามบริษัทหลอกลวงเหล่านี้ให้หมดไป เพราะหากปล่อยนานเกินไปอาจจะส่งผลกระทบกับภาพรวมธุรกิจขายตรงได้


ด้าน นายใจกล้า กาดำกวน รองประธานบริษัท รมิตา เฮลธ์แอนด์บิวตี้ จำกัด กล่าวเสริมว่า นอกจากกลยุทธ์ในการขยายตลาดแล้ว บริษัทยังได้ต่อโปรโมชั่น X2 ออกไปอีก เพื่อตอบแทนให้กับสมาชิกที่ออกไปขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังได้จัดโปรโมชั่นพิเศษใหม่ขึ้นมาอีก คือ ทำยอดแค่ครั้งเดียวได้เที่ยวฟรี 3 ทริป 3 ประเทศ ได้แก่ สิงคโปร์ ฮ่องกง-ปักกิ่ง และออสเตรเลียรวมถึงการจัดโปรโมชั่นพิเศษสำหรับสมาชิกที่เป็นชาวมุสลิมให้ได้เดินทางไปแสวงบุญที่นคร เมกกะ ประเทศซาอุดิอาระเบีย ซึ่งล่าสุดมีสมาชิกที่ผ่านคุณสมบัติสำหรับทริปดังกล่าวจำนวน 40 คน ดังนั้นเชื่อว่าหลังจากสมาชิกกลุ่มนี้เดินทางกลับมาจะช่วยกระตุ้นโปรโมชั่นนี้กันอย่างคึกคักแน่นอน




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพLEADER TIME ฉบับที่ 217 ประจำวันที่ 16-28 กุมภาพันธ์ 2556


ข่าว เอเชีย สุพรีม (Asia Supreme) : เอชีย สุพรีมขอวัดดวง ดึงแม่ทีมเบอร์ 1 พรีมาไลฟ์ ไทม์ ร่วมทัพหวังโตก้าวกระโดด พุ่งเป้าทะลวงยอดขายสิ้นปีนี้ 300 ล.









ขึ้นชื่อว่า ธุรกิจขายตรงหรือธุรกิจเน็ทเวิร์ค ซึ่งต้องสานต่อทำงานกับมวลชนจำนวนมากในการขับเคลื่อนธุรกิจให้เติบโต และแน่นอนว่าหากความคิด หรือ ผลประโยชน์ไม่ลงตัวย่อมเกิด รอยร้าว ขึ้นมาสุดท้ายก็ต้องแยกทางกันเดิน หรือดิ้นหนีตายซบชายคาหลังใหม่ จนกลายเป็นภาพชินตาเกิดขึ้นอยู่บ่อยครั้งของการโกมือลาย้ายออกจากค่ายโน้นแล้วมาซูฮกค่ายนี้ วนไปเวียนมา โดยเฉพาะบริษัทเปิดใหม่ช่วงอายุงาน 1-3 ปีจะมีกลุ่มคนหน้าเดิมๆ มาให้เลือกสรร ชนิดหัวบันไดออฟฟิสไม่แห้งเลยทีเดียว


อย่างล่าสุด กับความเคลื่อนไหวใหญ่รับต้นปี เกิดขึ้นภายในงานแถลงข่าว บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด เมื่อวันศุกร์ที่ 1 ก.พ.ที่ผ่านมาหลังจากแถลงข่าวถึงทิศทางธุรกิจในปี 2556 แล้วในครั้งนี้ยังได้ถือฤกษ์ดีเปิดตัวสายงานใหม่นำทัพโดย คุณเป็ด ธนินท์รัฐ และคุณนลันรัตน์ วรัตน์เตชานนท์ ผู้คล่ำหวอดในวงการขายตรงมานาน โดยก่อนหน้านี้ได้เคยร่วมทัพกับขายตรง พรีมาไลฟ์ ไทม์ มานับแรมปี แต่วันนี้ได้ประกาศตัวโบกมือลาไปอยู่อู่ข้าว อู่น้ำแห่งใหม่ เอเชีย สุพรีม อย่างเป็นทางการประมาณหนึ่งเดือนที่ผ่านมา และเมื่อได้ถามไถ่ถึงสาเหตุการย้ายครั้งนี้เจ้าตัวบอก ด้วยเหตุผลสั้นๆว่า ความคิดไม่รอย ผลประโยชน์ที่ไม่ลงตัว อย่างไรก็ตาม การก้าวมาร่วมทัพครั้งนี้ เอกดนัย สุฉันทบุตร รองกรรมการผู้จัดดการ บริษัทเอเชีย สุพรีม จำกัด กล่าวชี้แจงว่า ตลอด 6 เดือนที่ผ่านมาถือเป็นช่วงที่บริษัทเดินหน้ารุกตลาดอย่างจริงจัง มีผู้นำระดับสูงชุดเก่าราว 10 คน ส่วนกรณีการเข้ามาเสริมทัพสายงานใหม่ของธนินท์รัฐ นั้นได้เริ่มงานตั้งแต่ปลายปีที่ผ่านมา หรือหากคิดเฉพาะแม่ทีมระดับแกนนำราว 10 คน เช่นกัน แต่หากแตกแขนงสู่ทีมใหญ่มีมากถึงหลักร้อยคนทั่วประเทศ


การเข้ามาครั้งนี้เราได้มีการพูดคุยกันมาระยะหนึ่งแล้ว ซึ่งเริ่มจากพื้นฐานความเป็นเพื่อนที่รู้จักกันมานานกว่า 10 ปี ต่อมาทราบมาว่าคุณเป็ด มีปัญหารอยร้าวลึกๆกับบริษัทเดิมที่ถือเป็นชนวนใหญ่ จึงเป็นเหตุที่มาของการตัดสินใจมาอยู่ที่นี่ เรียกว่าการมาครั้งนี้เป็นช่วงจังหวะที่ดีของทั้งเขาและเรา ๆ พร้อมที่จะเปิดโอกาสให้กับทุกคน ละในเร็วๆนี้ ก็จะมีนักธุรกิจระดับแกนนำจากค่ายอื่นทยอยเข้ามาร่วมธุรกิจอีกมากมาย ผมเชื่อว่าสิ่งที่เขาเลือกเรา เพราะเราเป็นธุรกิจที่มีความแข็งแกร่งมั่นคง และทุกคนที่เข้ามาใหม่ก็ต้องเริ่มต้นทำงานตามขั้นตอนของบริษัททุกอย่าง


นอกจากกำลังทัพใหม่แล้ว ทิศทางการดำเนินธุรกิจของเอเชีย สุพรีมนั้นก็ไม่ธรรมดา บิ๊กบอสใหญ่ สุธีร์ รัตนนาคินทร์ ประธานผู้ก่อตั้งเอเชียสุพรีมฯ กล่าวว่า ปัจจุบันบริษัทเปิดดำเนินธุรกิจได้ปีกว่า แต่เริ่มทำธุรกิจอย่างจริงจังเมื่อราว 6 เดือนปีที่ผ่านมาด้วยเป้าหมายหลักของเอเชียสุพรีมในการทำขายตรงเชิงคุณภาพ ทำให้อัตราการเติบโตที่ผ่านมานั้นเติบโตแบบธรรมชาติ ผลักดันให้ผลประกอบการที่ผ่านมาบริษัทสามารถปิดยอดขายได้ที่ 60 ล้านบาท มีฐานสมาชิกอยู่ 6,000 คน และเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพความพร้อมทางธุรกิจหลายด้านทั้งเรื่องระบบและการพัฒนาการทำงานของสมาชิกรวมถึงความพร้อมตัวบริษัทเองจะทำให้ภาพรวมธุรกิจจากนี้เติบโตอีกมากพร้อมเดินหน้าสู่เป้าหมายใหญ่ที่มั่นคงในตลาดหลักทรัพย์


เอเชียสุพรีม ไม่ได้มุ่งเน้นขาเดียว แต่เป็นการนั่งเก้าอี้ 3 ขา จึงได้มุ่งสร้างพัฒนาคุณภาพสินค้า สมาชิกภายใต้สถาบันการพัฒนาบุคลากร ทั้งคนใหม่และคนเก่า เพื่อพัฒนาให้เกิดศักยภาพความมั่นคงทางอาชีพพร้อมที่จะแข่งขันทางการตลาดได้ และอีกหนึ่งสิ่งที่บริษัทไม่เคยละเลย คือเรื่องการคืนผลกำไรสู่สังคมด้วยการจัดกิจกรรมรูปแบบต่างๆ ภายใต้ มูลนิธิ เอเชียสุพรีม


ส่วนเป้าหมายที่คาดหวังในปี 2556 ของเอเชียสุพรีมนั้น สุธีร์ กล่าวว่า ด้วยศักยภาพขององค์รวมทางธุรกิจที่มีอยู่จะผลักดันให้ยอดขายเติบโตถึง 300 ล้านบาท มาพร้อมกับฐานสมาชิกใหม่เพิ่มขึ้นไม่ต่ำกว่า 1.5 หมื่นคน หรือคิดรวมสมาชิกทั้งหมดมากกว่า 2 หมื่นคน ส่วนฐานสมาชิกตลาดต่างประเทศของเอเชียสุพรีมมีมากมายทั้งที่ประเทศลาว กัมพูชา เวียดนาม มาเลเซีย


เป้าหมายการขับเคลื่อนธุรกิจที่บริษัทมุ่งเน้นเราได้ให้ความสำคัญคือ 1.การออกไลน์สินค้าใหม่ที่หลากหลายซึ่งปีนี้จะเพิ่มขึ้น 15 รายการ 2. อัดแน่นด้วยกิจกรรมทางการตลาด นอกเหนือจากการฝึกอบรมตามคอร์สพื้นฐานแล้ว บริษัทได้เตรียมอัดฉีดโปรโมชั่นต่างๆ เช่น การท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ ที่มากขึ้น โดยล่าสุดเอเชียสุพรีม ได้ปิดทริปท่องเที่ยวประเทศเวียดนาม และขณะเดียวกันอยู่ระหว่างการจัดทริปท่องเที่ยวใหม่ประเทศนิวซีแลนด์ต่อไป


นอกจากนี้ บริษัทเอเชียสุพรีม ยังเดินหน้ากระตุ้นชื่อเสียงให้กับแบรนด์ผ่านช่องทางระบบออนไลน์ และออฟไลน์(สื่อทั่วไป) ทั้งนี้เพื่อเพิ่มศักยภาพการทำงานสมาชิกให้มีความคล่องตัวยิ่งขึ้น และเป็นไปในทิศทางเดียวกันเพื่อนำไปสู่การค้าที่ยิ่งใหญ่ในตลาดต่างประเทศ อีกทั้งในปีนี้เพื่อรองรับการเติบโตทางธุรกิจบริษัทได้เตรียมขยายศูนย์สาขาเพิ่มขึ้น 2-3 แห่ง คือที่จังหวัดเชียงใหม่และพิษณุโลก พร้อมๆ กับการขยายคลังสินค้าเพิ่มมากขึ้น จากเดิมมีอยู่ 8 แห่งเพิ่มเป็น 10 แห่ง ทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัดโดยเล็งทำเลทองพื้นที่สมาชิกทำงานเป็นหลัก รวมถึงการขยายช่องทางโมบายเซ็นเตอร์ จากเดิมมี 50 แห่ง ปีนี้จะขยับเพิ่มให้ได้ 100 แห่งทั่วประเทศ และด้วยศักยภาพความพร้อมทางธุรกิจของเอเชียสุพรีมมีอยู่ เชื่อมั่นว่าในปี 2557 จะคว้าฝันเป้าหมาย 1,000 ล้านได้อย่างแน่นอน




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพLEADER TIME ฉบับที่ 217 ประจำวันที่ 16-28 กุมภาพันธ์ 2556

ข่าวยูแคนดู (youcando) : ระรินทร์ ขวัญเมือง Director มนุษย์เงินล้านคนที่ 2 ของยูแคนดู การให้และใส่ใจคือสิ่งที่ประเสริฐที่สุด









หลายคนต้องการโอกาสที่ดีให้กับชีวิต จึงต้องออกมาวิ่งหาโอกาสอยู่บ่อยครั้ง แต่มีอีกหลายคนที่แม้โอกาสจะวิ่งมาหา แต่กลับไม่ยอมที่ไขว่คว้าเอาไว้ ไม่ต่างกับ ระรินทร์ ขวัญเมือง ที่ตลอดชีวิตของเธอได้ออกตามหาคำว่า โอกาสที่ดีให้กับตัวเองมาโดยตลอด ยอมแลกกับตำแหน่งผู้บริหารของบริษัทเอกชนแห่งหนึ่งที่มีรายได้ 6 หลักต่อเดือน ออกมาค้นหาสิ่งในสิ่งที่ตนเองต้องการแต่เส้นทางชีวิตกลับไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ซ้ำร้ายชีวิตต้องตกต่ำจนแทบจะไม่มีที่ซุกหัวนอน


หากย้อนกลับไปเพียงแค่ 2-3 ปีที่แล้ว ชีวิตของ ระรินทร์ จากที่เคยใช้ชีวิตแบบไฮโซในจังหวัดขอนแก่น แต่ชีวิตผกผันต้องกลายมาเป็นแม่ค้าเปิดท้ายขายของตามตลาดนัด บ้านจากที่เคยอยู่อย่างสุขสบายต้องมาอาศัยรถเก่าๆ เป็นที่หลับนอน 2 คนกับแฟน แถมรายได้ที่เข้ามาก็ไม่พอกับรายจ่าย ทำให้เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง จนกระทั่งมาพบกับจุดเปลี่ยนครั้งใหญ่ในชีวิต


ด้วยความที่เราอยากจะเป็นนายตัวเอง ไม่อยากเป็นลูกจ้างใคร จึงตัดสินใจลาออกจากผู้บริหาร เพื่อมาเปิดธุรกิจเป็นของตัวเอง โดยมาทำในสิ่งที่เราถนัดคือ การนำเข้า-ส่งออก เปิดบริษัทรับเป็นที่ปรึกษาทางด้านนำเข้า-ส่งออก แต่จากการขาดการวิเคราะห์ที่ดี ทำให้ต้องประสบปัญหาขาดทุนอย่างย่อยับเพียงระยะเวลาไม่กี่เดือน ทำให้ต้องขายบ้านที่เก็บเงินซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรง เพื่อใช้หนี้ที่มีอยู่ไปบางส่วน เหลือเพียงรถเก่าๆ หนึ่งคัน คิดว่าเอาไว้ต่อยอดทำอย่างอื่นไม่ได้ จากนั้นก็ปรึกษากับแฟนโดยผันตัวเองมาเปิดท้ายขายของวิ่งตามตลาดนัดใหญ่ทั่วภาคอีสาน ซึ่งระยะแรกก็ขายดี แต่พอนานเข้าก็เริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง


ระรินทร์ เล่าให้ฟังอีกว่า จุดเปลี่ยนของชีวิต คือการได้มาพบกับ คุณภูษณิศ สิทธิวศิน (คุณหน่อง) ซึ่งเป็นเพื่อนกันมานาน 10 กว่าปี ได้แนะนำให้รู้จักกับบริษัท ยูแคนดู ซึ่งตอนแรกเราก็ไม่เชื่อว่าธุรกิจนี้จะพลิกชีวิตได้จริง เพราะตนเองไม่เคยทำมาก่อน อีกอย่างก่อนหน้านี้เคยเห็นคุณหน่องทำธุรกิจแนวนี้มาหลายบริษัทแล้ว คิดว่าหน้าจะเหมือนกับบริษัทอื่นๆ ที่ผ่านมา แต่โชคดีที่วันนั้นทางทีมบอร์ดบริหารไปด้วยก็เลยได้นั่งคุยกัน จึงปรึกษากับแฟนว่าถ้าหากธุรกิจนี้สามารถเปลี่ยนเราได้จริงก็น่าลองดูนะ


แม้จะไม่มีประสบการณ์ในธุรกิจขายตรงมาก่อน แต่การที่มีโค้ชที่ดี และมีระบบช่วยสนับสนุนที่ดี ทำให้ ระรินทร์ ใช้ระยะเวลาเพียง 20 วันในการทำงาน สามารถพิชิตตำแหน่ง Supervisor ของบริษัท ยูแคนดู ด้วยรายได้รวม 89,400 บาท จากนั้นได้วางเป้าหมายในการขึ้นตำแหน่ง Manager และตำแหน่ง Director ภายในระยะเวลาเพียงไม่กี่เดือนต่อมาก็สามารถพิชิตตำแหน่ง Director ซึ่งนั้นส่งผลให้เธอเป็นบุคคลที่มีรายได้หลักล้านบาทต่อเดือนเป็นคนที่ 2 ของบริษัทยูแคนดูทันที


แรงบันดาลใจที่ทำให้เราฮึดสู้จนมีรายได้เกือบแสนบาทภายในระยะเวลาแค่ 20 วัน เกิดจากความคิดที่ว่าในชีวิตนี้ไม่มีอะไรที่ยากลำบากไปกว่าในช่วงที่เป็นแม่ค้าที่วิ่งขายของตามตลาดนัดอีกแล้ว ซึ่งเราไม่อยากกลับไปอยู่ตรงจุดนั้นอีกแล้ว และหลังจากที่ตัดสินใจกับแฟนว่าจะลุยทำธุรกิจยูแคนดู ก็ไปปรึกษากับผู้แนะนำ (คุณหน่อง) ว่าจะต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งทางผู้แนะนำก็ได้วางแผนการทำงานให้ และจากการได้เข้ามาอยู่ในธุรกิจนี้ยิ่งทำให้เรามีความเชื่อมั่นในตัวบริษัท สินค้า และแผนการจ่ายผลตอบแทนมากขึ้น เพราะยูแคนดูสามารถช่วยพลิกชีวิตได้จริงๆ จากเดิมที่เราเคยมองข้ามไป


ส่วนหลักในการทำงานที่ ระรินทร์ ใช้ยึดมั่นจนประสบความสำเร็จในธุรกิจยูแคนดูได้นั้น เธอบอกว่า คือ การให้ และใส่ใจทีมงานโดยไม่หวังสิ่งตอบแทน ซึ่งเป็นผลจากความห่วงใยที่ออกมาจากใจอย่างแท้จริง ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าเป็นการสร้างภาพก็ตาม แต่นั่นคือตัวตนของเราจริงๆ และหากทุกคนมีแต่ให้และใส่ใจทีมงานอย่างแท้จริงเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตามเป้าหมายต่อไปคือการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งสูงสุดของบริษัทและการช่วยเหลือทีมงานที่เดินตามเรามาให้ประสบความสำเร็จเหมือนกับเราให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้


สุดท้ายเธอได้อยากฝากทิ้งท้ายสำหรับคนที่กำลังมองหาโอกาสที่จะเข้ามาในชีวิตว่า หากคิดจะทำอะไรสักอย่าง ควรที่จะปิดโอกาสให้ตัวเอง เท่ากับเปิดโอกาสให้เราก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ หากมองย้อนกลับไปในอดีตที่ผ่านมาตนเองก็เคยปิดกั้นตนเอง ไม่เปิดใจรับธุรกิจขายตรง แต่พอเราเปิดโอกาสให้กับตัวเองกลับกลายเป็นว่าสิ่งที่เราค้นหามาทั้งชีวิตกลับอยู่ในธุรกิจขายตรงทั้งหมด ดังนั้นอย่าปฏิเสธในสิ่งที่ตนเองยังไม่รู้และไม่ข้าใจเพราะสิ่งที่คุณปฏิเสธอาจเป็นสิ่งที่คุณค้นหามาทั้งชีวิตก็ได้ !


 


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพLEADER TIME ฉบับที่ 217 ประจำวันที่ 16-28 กุมภาพันธ์ 2556

ข่าวจอย แอนด์ คอยน์ (J&C) :J&Cรับลูกภาครัฐหนุนเอกชนบุก AEC สยายปีกห้างขายตรงโมเดิร์นเทรดต่างแดน









J&C รุกคืบเจาะตลาดต่างประเทศเข้าพบอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ เพื่อรับทราบนโยบายส่งเสริมการลงทุนในต่างประเทศตามแนวทางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ด้าน ดร.สมชาย หัชลีฬหา ประกาศปักธงเปิดแผนรุกหนักตลาดขายตรงในย่านอาเซียนจ่อผุดห้างขายตรงโมเดิร์นเทรดในพม่า-ลาว-เวียดนาม


ดร.สมชาย หัชลีฬหา ประธานกรรมการบริหาร บริษัทจอยแอนด์คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (J&C) พร้อมด้วย นายอนุวัฒน์ ธรมธัช กรรมการผู้จัดการ บริษัท จอยมาร์ท จำกัด เปิดเผยหลังเข้าพบคุณศรีรัตน์ รัษฐปานะ อธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เมื่อวันจันทร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา การเข้าพบอธิบดีกรมส่งเสริมการค้าระหว่างประเทศในครั้งนี้ เพื่อขอรับทราบนโยบายของหน่วยงานภาครัฐในการสนับสนุนการทำธุรกิจในต่างประเทศตามแนวทางของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)


นอกจากนี้ยังได้นำเสนอแนวทางในการทำธุรกิจของจอยแอนด์คอยน์ที่สามารถตอบสนองต่อนโยบายภาครัฐได้เป็นอย่างดีในการสนับสนุนสินค้าของคนไทยให้ไปตลาดยังต่างประเทศ ขณะเดียวกันยังได้แจ้งให้อธิบดีฯ ทราบว่าบริษัทจอยแอนด์คอยน์ได้เปิดทำการที่ประเทศกัมพูชามาได้หนึ่งปีแล้วและทางบริษัทจะทำการเปิดสาขาอย่างเป็นทางการพร้อมกับงานแสดงสินค้าจึงขอคำแนะนำ และเรียนเชิญคุณศรีรัตน์ เข้าร่วมงานดังกล่าว ณ กรุงพนมเปญ ประเทศกัมพูชาด้วย


สำหรับนโยบายการขยายธุรกิจในต่างประเทศนั้น ดร.สมชาย กล่าวว่าจะยังคงเน้นคอนเซ็ปต์เหมือนในประเทศไทยคือ การเป็นห้างขายตรงโมเดิร์นเทรด โดยก่อนหน้านี้บริษัทได้เข้าไปจดทะเบียนเพื่อขออนุญาตทำธุรกิจในประเทศกัมพูชาและได้รับการตอบรับดีมาก นอกจากนี้ล่าสุดได้เจรจากับนักลงทุนในประเทศพม่าเพื่อเข้าไปขยายตลาดในประเทศดังกล่าว ซึ่งหากการเจรจาดังกล่าวมีความคืบหน้าคาดว่าภายในปีนี้น่าจะได้เห็นจอยแอนด์คอยน์สาขาแรกในพม่า ขณะที่สปป.ลาวอยู่ระหว่างการยื่นขอจดทะเบียนอนุญาตใหม่ หลังจากได้คู่ค้ารายใหม่ที่เป็นนักการเมืองใหม่เข้ามาร่วมทุนด้วย ส่วนตลาดในประเทศเวียดนามที่อยู่ระหว่างการติดต่อจะเข้าไปคุยในรายละเอียดเกี่ยวกับการลงทุนในประเทศดังกล่าว


ส่วนของการเปิดตลาดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในช่วงแรกบริษัทจะเข้าไปลงทุนเฉพาะประเทศที่ติดกับไทยเป็นหลักก่อน เนื่องจากต้องการให้ไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาคนี้ ซึ่งรูปแบบของการเข้าไปลงทุนในประเทศต่างๆนั้นจะขึ้นอยู่กับนโยบายของแต่ละประเทศ เช่น ในพม่าอาจจะต้องตั้งบริษัทร่วมทุนขึ้นมาระหว่าง J&C กับนักลงทุนในประเทศ แต่ในกัมพูชาบริษัทสามารถเข้าไปถือหุ้นได้ 100% เลย ส่วนในลาวอาจจะเข้าไปถือร่วมกับบริษัทในประเทศตามสัดส่วนที่รัฐบาลกำหนด เช่นเดียวกับในมาเลเซียที่มีนักลงทุนท้องถิ่นเข้ามาถือหุ้นด้วย แต่การบริหารจัดการทั้งหมดก็ยังเป็นบริษัทในไทย


อย่างไรก็ดี การออกไปเปิดตลาดต่างประเทศยังมีข้อจำกัดในหลายเรื่อง เช่น การบริหารจัดการ , ภาษีท้องถิ่น ,อัตราค่าจ้างและต้นทุนในการดำเนินงานที่ไม่เท่ากัน ดังนั้นหากนำสินค้าเข้าไปจำหำน่ายในราคาที่เท่ากันกับประเทศไทยก็ถือเป็นเรื่องที่ยาก แต่ถึงกระนั้น จอยแอนด์คอยน์ ก็ยังมีข้อได้เปรียบที่เหนือกว่าบริษัทขายตรงอื่นๆ คือการเข้าไปจับมือกับผู้ผลิตสินค้าในแต่ละประเทศเพื่อนำสินค้าหรือผลิตภัณฑ์ในประเทศนั้นๆเข้ามาจำหน่ายในจอยแอนด์คอยน์ได้ ขณะที่บริษัทเองอาจจะเอาเฉพาะสินค้าที่เป็น กลุ่มหลักๆ ไปจำหน่ายอย่างเดียว ส่วนสินค้าอื่นๆ ก็ให้บริษัทท้องถิ่นเข้ามาร่วมกันด้วยซึ่งถือเป็นการลดต้นทุนในการดำเนินงานได้





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพLEADER TIME ฉบับที่ 217 ประจำวันที่ 16-28 กุมภาพันธ์ 2556

วันศุกร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ข่าวซูเลียน (Zhulian Thailand) : ซูเลียน จัดหนักอัดโปรฯเครื่องกรองน้ำ! เป้าหมาย1,000ล.ต่อเดือน









แม้จะปิดยอดขายในปี 2555 ได้สูงถึง 7,100 ล้านบาทและเป็นสถิติใหม่มาของบริษัทแต่ดูเหมือนว่าบริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด ยังคงไม่หยุดสร้างความยิ่งใหญ่อยู่เพียงเท่านี้ ล่าสุดประกาศอัดฉีดจัดโปรโมชั่นพิเศษ รุกตลาดเครื่องกรองน้ำ แบบเต็มสูบเป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปีของการทำธุรกิจ โดยใช้ระยะเวลาเพียง 6 เดือนเท่านั้น เผยขณะนี้มีผู้ผ่านโปรฯ เพื่อรับสิทธิ์ร่วมทัวร์ญี่ปุ่นแบบวีไอพีร่วม 250 คนแล้ว ในขณะที่บิ๊กบอสซูเลียน ดร.ปิยะวัชร์ บุญยืนยงสกุล มั่นใจถ้าเป็นไปตามเป้าหมายยอดขายจะแตะระดับพันล้านบาทต่อเดือนเลยทีเดียว


ดร.ปิยะวัชร์ บุญยืนยงสกุล ประธานกรรมการบริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ความสำเร็จของธุรกิจซูเลียนในปีที่ผ่านมาถือว่าอยู่ในระดับที่พึงพอใจเป็นอย่างมากเนื่องจากบริษัทฯสามารถปิดยอดขายปี 2555 ได้สูงถึง 7,100 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ประมาณ 1,560 ล้านบาทเมื่อเทียบกับตัวเลข 5,540 ล้านบาทที่ทำได้ในปี 2554 โดยมีกลุ่มสินค้าขายดีที่สุดก็คือ ผลิตภัณฑ์กาแฟผสมโสม ที่ทำยอดขายได้สูงสุดถึง 35% หรือประมาณ 3,000 ล้านบาทจากยอดขายรวมทั้งหมด อันดับที่ 2 เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องใช้ในครัวเรือน อาทิ ยาสีฟัน ผงซักฟอก น้ำยาล้างจานและน้ำยาขจัดคราบสกปรกในห้องน้ำ มีสัดส่วนย่อยขายประมาณ 12% และอันดับที่ 3 เป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเครื่องกรองน้ำซึ่งมีสัดส่วนยอดขายอยู่ที่ประมาณ 7% ส่วนที่เหลือเป็นผลิตภัณฑ์อื่นๆอาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เข็มขัด รวมถึงผลิตภัณฑ์เครื่องประดับเคลือบทองคำ เป็นต้น


ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จจากการขายสินค้าประเภทกาแฟมายาวนานซึ่งอาจจะพูดได้อย่างเต็มปากว่า ซูเลียนคือเบอร์หนึ่งที่ขายกาแฟได้มากที่สุดในวงการขายตรง ซึ่งผมได้วิเคราะห์ดูว่าขนาดขายสินค้าตัวเล็ก (ราคาไม่สูงมาก) เรายังทำยอดขายได้ถล่มทะลายถึงเพียงนี้แต่ถึงวันนี้ซูเลียนมีเอเยนซี่กระจายอยู่ทั่วประเทศเกือบ 250 แห่ง ผมจึงคิดโจทย์เล่นๆว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่เราจะลองจัดโปรโมชั่นขายสินค้าตัวใหญ่ดูบ้าง (หมายถึงเครื่องกรองน้ำ) เมื่อคิดโจทย์สำเร็จแล้วก็นำมาปรึกษาเพื่อหาความเป็นไปได้กับเหล่าผู้นำระดับสูงทั้งหมด ซึ่งผลสรุปออกมาเป็นที่น่าพึงพอใจอย่างยิ่ง


ดร.ปิยะวัชร์ กล่าวอีกว่า ถึงวันนี้หลังจากผ่านการจัดโปรโมชั่นไปผ่านไปหนึ่งเดือน (นับตั้งแต่มกราคม-มิถุนายน) มีผู้ผ่านโปรโมชั่นเดือนแรกไปแล้วรวม 250 คน ซึ่งผู้ที่ผ่านคุณสมบัติทั้งหมดจะได้รับสิทธิเดินทางท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่นในแบบ


วีไอพีอีกด้วย... วันนี้ซูเลียนมีฐานยอดขายอยู่ที่ประมาณ 600 กว่าล้านบาทต่อเดือน ซึ่งเป็นฐานตัวเลขที่ไม่ได้มาจากการขายเครื่องกรองน้ำตามโปรโมชั่นเลยแม้แต่น้อย ซึ่งมั่นใจว่าหลังจากนี้เป็นต้นไปเครื่องกรองน้ำบียอนด์ วอเตอร์ของบริษัทจะทำยอดขายได้อย่างถล่มทะลายเลยทีเดียว เผลอๆ ถ้าเอเยนซี่ซูเลียน 250 แห่งทั่วประเทศร่วมใจกันขายเครื่องกรองน้ำได้เอเยนซี่ละ1 เครื่องต่อวัน (เฉลี่ยวันละ 250 เครื่อง) ในหนึ่งเดือนบริษัทจะขายเครื่องกรองน้ำได้ถึง 7,500 เครื่องหรือ 90,000 เครื่องต่อปีเลยทีเดียว นั่นคือที่มาของการทำยอดขายให้ได้ 1,000 ล้านบาท ต่อเดือนที่บริษัทวางไว้


สำหรับเครื่องกรองน้ำ Beyond Water ของบริษัท ซูเลียนนับเป็นเครื่องกรองน้ำที่มีประสิทธิภาพสูงผ่านการรับรองจากสถาบันต่างๆ ในระดับสากล ถึง 18 หน่วยงาน อาทิ SIRIM ของประเทศอเมริกาที่ได้ทำการทดสอบมาแล้วว่าเครื่องกรองน้ำ บียอนด์ วอเตอร์ สามารถขจัดเชื้อแบคทีเรียและสิ่งปนเปื้อนอื่นๆ ได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ซึ่งเครื่องกรองน้ำบียอนด์ วอเตอร์ ประสิทธิภาพสูงของซูเลียนจำหน่ายในราคาสมาชิกอยู่ที่ 29,519 บาท




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพLEADER TIME ฉบับที่ 217 ประจำวันที่ 16-28 กุมภาพันธ์ 2556



ข่าวแอมเวย์ (Amway Thailand) : แอมเวย์ ทิ้งห่างไร้คู่แข่ง!ปิดบัญชีหรู 17,000 ล้านบาท แชมป์ยอดขายสูงสุดปี55









เป็นเวลานานนับสิบปีมาแล้วที่บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ยักษ์ใหญ่ขายตรงจากประเทศสหรัฐอเมริกาถือครองบัลลังก์แชมป์ บริษัทขายตรงที่มียอดขายมากที่สุดในประเทศไทย ด้วยยอดขายสูงกว่า 10,000 ล้านบาทต่อปีติดต่อกันมานานหลายปีและในปี 2555 ที่ผ่านมาก็เช่นกัน แอมเวย์ ได้สร้างสถิติใหม่อีกครั้งด้วยการปิดยอดขายเป็นตัวเลขกลมๆ สูงถึง 17,000 ล้านบาท... ซึ่งเป็นตัวเลขที่มีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีกราว 1,500 ล้านบาทหรือเติบโตเกือบ 10% ต่อปีเมื่อเทียบกับยอดขาย 15,500 ล้านบาทที่ทำได้ในปี 2554 ที่ผ่านมาและถ้าหากนำเอาตัวเลข 17,000 ล้านบาททมาหารเพื่อหาค่าเฉลี่ยยอดขายต่อเดือนดูจะพบว่าบริษัทแอมเวย์ฯมียอดขายเฉลี่ยต่อเดือนราว 1,417 ล้านบาทและ/หรือเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่วันละประมาณ 47.2 ล้านบาท


นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัทแอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าในปี 2555 ที่ผ่านมาบริษัทสามารถสร้างสถิติยอดขายใหม่ด้วยการเติบโตเกือบ 10 % มียอดขายรวม 17,000 ล้านบาท โดยกว่า 70 % เป็นยอดขายในกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามและผลิตภัณฑ์ที่สร้างยอดขายสูงสุด 3 อันดับแรก ได้แก่ (1) เครื่องกรองน้ำอีสปริง (2) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทรีไลท์ ออล แพลนท์ โปรตีนและนิวทรีไลท์กรีนที นิวทริ- โปรตีน และ (3) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์ ดับเบิ้ล เอ็กซ์ โดยปัจจัยความสำเร็จครั้งนี้ คาดมาจากการรุก 3 กลยุทธ์หลักสู่ความสำเร็จที่ยั่งยืน พร้อมการสร้างแบรนด์ที่ตอบสนองทุกมิติของความต้องการของผู้บริโภค


แอมเวย์ได้ประกาศแผนกลยุทธ์ 3 ประการเพื่อความสำเร็จอันยั่งยืนเมื่อต้นปี 2555 ได้แก่ 1) แบรนด์แห่งนวัตกรรม 2) แบรนด์ที่ตอบสนองทุกไลฟ์สไตล์ และ 3) แบรนด์แห่งจิตสำนึกเพื่อทุกคนในสังคม โดยปีที่ผ่านมาได้ดำเนินโครงการเพื่อรองรับกลยุทธ์ดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งการจัดรายการส่งเสริมการขายและโฆษณาประชาสัมพันธ์เต็มรูปแบบ 360 องศาในโอกาสที่บริษัทครบรอบ 25 ปี ประกอบกับความแข็งแกร่งขององค์กรนักธุรกิจแอมเวย์ที่ร่วมแรงร่วมใจในการดำเนินธุรกิจและให้บริการลูกค้าในฐานะมืออาชีพ จึงทำให้ผลประกอบการของบริษัทได้เติบโตเกินกว่าที่คาดการณ์ไว้ นายกิจธวัช กล่าว


ปี 2556 แอมเวย์ยังคงเน้นกลยุทธ์เดิมโดยมุ่งเน้นกิจกรรมที่ทำให้เกิดประสิทธิผลมากที่สุด พร้อมชูกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม เตรียมนำเสนอไลฟ์สไตล์โซลูชั่นสำหรับกลุ่มบุคคลในวัยและไลฟ์สไตล์ต่างๆ และนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่ตอบสนองปัญหาหรือความต้องการเฉพาะกลุ่มมากยิ่งขึ้น มั่นใจว่าด้วยทีมวิจัยในระดับโลกของแอมเวย์จะตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าได้เป็นอย่างดี


นอกจากนั้นบริษัทยังสานต่อการสื่อสารเชิงรุก ด้วยการสร้างแบรนด์ให้ใกล้ชิดกับผู้บริโภคผ่านการใช้กระแสโซเชียลมีเดียซึ่งปีที่ผ่านมาบริษัทประสบความสำเร็จในการเพิ่มจำนวนไลค์ของแฟนเพจรวม 4 แบรนด์ คือ แอมเวย์ อาร์ทิสทรี นิวทริไลท์และอีสปริง มียอดไลค์ (like) ถึง 273,218 ไลค์ บริษัทยังคงเดินหน้าสร้างแอมเวย์ ช็อป ให้กระจายสู่จังหวัดต่างๆ เพื่ออำนวยความสะดวกแก่นักธุรกิจแอมเวย์ สมาชิก และเป็นการเพิ่มช่องทางให้ผู้บริโภคสามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์แอมเวย์ได้ง่ายและสะดวกขึ้นรวมถึงเป็นการสร้างประสบการณ์โดยตรงให้ผู้บริโภคได้สัมผัสกับแบรนด์และผลิตภัณฑ์จากแอมเวย์


แผนงานหลักที่บริษัทให้ความสำคัญในปีนี้คือ การสร้างความแข็งแกร่งยิ่งขึ้นให้แก่นักธุรกิจแอมเวย์ในฐานะมืออาชีพ โดยบริษัทได้ตั้งแผนกใหม่ชื่อว่า แผนกส่งเสริมศักยภาพนักธุรกิจแอมเวย์เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของนักธุรกิจแอมเวย์ผ่านการจัดฝึกอบรม สัมมนา สร้าง ประสบการณ์ด้านผลิตภัณฑ์ โอกาสทางธุรกิจ แนวคิดและปรัชญาของแอมเวย์ รวมทั้งพัฒนาเครื่องมือในการทำงานของนักธุรกิจแอมเวย์ อาทิ การเปิดให้บริการ แอมเวย์ เอ็กซ์ พีเรียนซ์ เซ็นเตอร์ (Amway Experience Center) เป็นต้นเพื่อสร้างให้อาชีพนักธุรกิจแอมเวย์เป็นอาชีพที่ทรงคุณค่าและเป็นที่ต้องการของตลาดแรงงานามากยิ่งขึ้น ดังนั้นด้วยแผนการดำเนินงานปี 2556 ทั้งหมดดังกล่าว บริษัทจึงเชื่อมั่นว่ายอดขายจะเติบโตอีกไม่น้อยกว่า 7 % นายกิจธวัช กล่าว


สำหรับบริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ก่อตั้งเมื่อวันที่ 4 พฤษภาคม 2530 ปัจจุบันเป็นผู้นำในธุรกิจเครือข่ายระบบการตลาดหลายชั้นผ่านนักธุรกิจแอมเวย์ทั่วประเทศและมียอดขายอันดับหนึ่งของประเทศ (จากรายงานงบการเงินของกรมทะเบียนการค้า กระทรวงพาณิชย์ ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2555) ปัจจุบันแอมเวย์มีนักธุรกิจแอมเวย์ที่ดำเนินธุรกิจอย่างจริงจังและต่ออายุสมาชิกภาพอย่างต่อเนื่องทุกปี 330,000 รหัส มีสมาชิกที่สมัครเพื่อใช้สินค้า 720,000 ทั่วประเทศ


อนึ่งสำหรับผลประกอบการของบริษัทขายตรง 5 อันดับที่มียอดขายสูงสุดประจำปี 2555 ประกอบด้วย อันดับที่ 1.บริษัทแอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด มียอดขายรวม 17,000 ล้านบาท อันดับ.2บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด มียอดขายรวม7,100 ล้านบาท อันดับ 3 บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด มียอดขายรวม 6,000 ล้านบาท อันดับที่ 4 บริษัท นีโอไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด มียอดขายรวม 5,400 ล้านบาท และ5.บริษัทยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด มียอดขายรวม 3,700 ล้านบาท





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพLEADER TIME ฉบับที่ 217 ประจำวันที่ 16-28 กุมภาพันธ์ 2556

วันพฤหัสบดีที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ข่าว นีโอไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล งานฉลองเกียรติยศความสำเร็จประจำปี 2556 ก้าวสู่ปีที่ 13 อย่างยิ่งใหญ่








งานฉลองเกียรติยศความสำเร็จประจำปี 2556 New Year NeoLife Succes Together


วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ 2556


บริษัท นีโอไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ตอกย้ำความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการจัดงานฉลองเกียรติยศความสำเร็จประจำปี 2556 New Year NeoLife Succes Together 2013 Connect the Dot to ASEANโดย ดร. นพรุจ เวชกุล ประธานกรรมการบริหารบริษัท พร้อมด้วย ประธานรัชนี มหานิยม ประธานกรรมการบริหารฝ่ายสมาชิก และ คณะผู้บริหารบริษัท นีโอ ไลฟ์ เป็นผู้เปิดงานพร้อมตอกย้ำความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ซึ่งเห็นได้ชัดในงานฉลองเกียรติยศความสำเร็จก้าวเข้าสู่ปีที่ 13 ประจำปี 2556 วันที่ 17 กุมภาพันธ์ 2556 ณ อาคารชาเลนเจอร์ 2 อิมแพ็ค เมืองทองธานี


ภายในงานนี้ได้รับเกียรติจากท่านเลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) คุณจิรชัย มูลทองโร่ย ได้ขึ้นมากล่าวแสดงความยินดีกับผู้ประสบความสำเร็จและการก้าวเข้าสู่ปีที่ 13 ของ บริษัท นีโอไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และยังมีผู้มีเกียรติเข้าร่วมงานมากมายล้นแน่นขนัดอาคารชาเลนเจอร์แ ถือว่าเป็นขายตรงเชื้อชาติไทยอย่าง นีโอ ไลฟ์ฯประสบความสำเร็จมากขึ้นเรื่อย ๆ อย่างไม่หยุดยั้ง บริษัท นีโอ ไลฟ์ ฯ ถือได้ว่าเป็นบริษัท ขายตรงที่สร้างผู้ประสบความสำเร็จได้อย่างมากมาย และถือว่าเป็นหนึ่งในสุดยอดขายตรงของประเทศไทยเลยก็ว่าได้


นอกจากนี้ยังมีพิธีลงนามบันทึกข้อตกลงร่วมกับธนาคารไทยพาณิชย์ SCB Exclusive Payment Card บัตรชำระเงินธุรกิจเพื่อซื้อสินค้า นีโอ ไลฟ์ สะดวก ปลอดภัย เป็นบัตรที่จะช่วยให้สมาชิกนีโอ ไลฟ์ ดำเนินธุรกิจได้ง่ายและสะดวกยิ่งขึ้น เช่น ใช้บัตรเพื่อซื้อสินค้า ของบริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล , ลดความยุ่งยากในการจัดเตรียมเงินสดและการเบิกถอนเงินสด ,ปลอดภัย เพราะใช้ PIN ยืนยันก่อนทำรายการทุกครั้ง,รับ SMS ยืนยันการทำรายการทุกรายการ,ตรวจสอบรายการใช้บัตรได้ทันทีและสามารถดูย้อนหลังได้สูงสุด 6 เดือน และภายในงานยังมีพิธีการมอบถ้วยเกียรติยศ ตำแหน่ง MA จำนวน 1,400 ท่าน ตำแหน่ง SM จำนวน 200 ท่าน ตำแหน่ง DI จำนวน 100 ท่าน ตำแหน่ง SD จำนวน 40 ท่าน ตำแหน่ง VP จำนวน 12 ท่าน และผู้รับเข็มตำแหน่ง PR จำนวน 5 ท่าน ล้นหลามเวทีขนาดยักษ์ที่ได้จัดไว้ให้ประจักษ์แก่สายตาผู้เขาร่วมงานมากว่าหลายแสนคู่ อีกพร้อมทั้งยังมอบความสนุกสนานให้แก่ผู้เข้าร่วมงานโดยนักร้องนักแสดงชื่อดังอย่างเช่น ใหม่ เจริญปุระ กับคอนเสิร์ตเต็มวง อ๋อม อรรคพันธ์ และแพนเค้ก เขมนิจ และยังแจกรางวัลอีกมากมาย ในงานนี้ ไม่ว่าจะเป็น ไอโฟน 5 ไอแพด มินิ ทองคำหนัก 1 บาท และรางวัลใหญ่รถยนต์อีกหลายคัน


นับได้ว่าถ้าเข้ามาร่วมงานนี้ จะได้เห็นถึงความสำเร็จอย่างมากมายของบริษัทและผู้ประสบความสำเร็จแล้ว ยังได้ร่วมสนุกกับนักร้องชื่อดัง และแถมด้วยของรางวัลกลับบ้านติดไม้ติดมืออีกแต่ถ้าโชคดีอาจได้ขับรถยนต์คันใหม่กลับบ้านกันเลยทีเดียว ฉะนั้นจึงแสดงให้เห็นเลยว่า นีโอ ไลฟ์ ฯ สร้างความสำเร็จให้คุณได้อย่างยั่งยืนจริง ๆ


จัดทำและเรียบเรียงโดย www.Thaimlmnews.com


[gallery columns="4"]


ข่าวจอย แอนด์ คอยน์ (J&C) : J&C จัดทริปฉลองความสำเร็จ พานักธุรกิจตะลุยประเทศสหรัฐอเมริกา









บริษัทจอยแอนด์คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ได้จัดทริปท่องเที่ยว ฉลองความสำเร็จส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่ ณ ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 24 ธันวาคม 2555 ถึงวันที่ 1 มกราคม 2556 ที่ผ่านมา นำโดย ดร.สมชาย ดร. กฤตภัค หัชลีฬหา คณะผู้บริหารระดับสูง รวมทั้งแขกรับเชิญพิเศษ คุณนพปฏล เมฆเมฆา ผู้ตรวจราชการสำนักนายกรัฐมนตรี สื่อมวลชน และนักธุรกิจอิสระระดับ MDP กว่า 50 ท่านด้วยกัน การท่องเที่ยวอเมริกาในครั้งนี้คณะ J&C ได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษ ชมสิ่งมหัศจรรย์ของโลกที่สร้างความประทับใจเป็นอย่างมาก


โดยในวันแรกที่ไปถึงลอสแองเจลิส ทุกท่านได้เข้าพักที่โรงแรม Crow Plaza Commerce เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมก่อนเดินทางท่องเที่ยว ในวันรุ่งขึ้นคณะ ได้เดินทางไปชมเมืองซานติเอโกเมืองใหญ่อันดับที่สองของรัฐแคลิฟอร์เนีย ข้ามสะพาน โคโรลาโดที่เชื่อมระหว่างเมืองซานดีเอโก ชมบรรยากาศบริเวณริมอ่าว Marina Squre เมือง OLD Town SAN DIEGO หลังจากนั้นก็ได้เดินทางสู่เมืองปาล์มสปริงและเข้าพักที่ห้องสวีทของโรงแรม Hyatt Regency Suites Palm spring หลังจากนั้นในวันต่อมา คณะฯได้สัมผัสประสบการณ์สุดพิเศษในการขึ้น Palm Springs Aerial Tramway เป็นการนั่งกระเช้าลอยฟ้าแบบหมุน ชมวิวทิวทัศน์อันสวยงามและสนุกไปกับหิมะบนยอดเขา พร้อมทั้งไปเยือนเมืองแห่งแสงสีอย่าง ลาสเวกัส ที่มีคาสิโนชื่อดังอยู่ทั่วเมือง และเข้าพักที่ห้องสวีทสุดหรู ของ The Venetian วันถัดมาคณะฯได้พบกับประสบการณ์พิเศษสุดกับการขึ้น เฮลิคอปเตอร์ สู่แกรนด์แคนยอน เวสริม และสกายวอร์ค ชมประติมากรรมอันมหึมามหาศาลที่ธรรมชาติสร้างขึ้นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ทางธรรมชาติ 1 ใน 10 ของโลกพร้อมกับล่องเรือชมทิวทัศน์ที่ด้านล่างของแกรนด์แคนยอนอีกด้วย ในตอนค่ำ คณะได้ตื่นตาตื่นใจกับโชว์สุดอลังการJubilee ที่โรงแรม BALLYS และชมโชว์น้ำพุที่โรงแรม Bellagio พร้อมกับชมแสงสีและไปปาร์ตี้กันต่อที่ร้านอาหารไทยในลอสแองเจลิส ก่อนเข้าที่พักย่าน Universal Studio โรงแรม Hilton Los Angeles Universal City พร้อมกันนี้ทางคณะฯ ยังถือโอกาสนี้ไปเดินเล่นที่ Walmart ห้างสะดวกซื้อที่ประสบความสำเร็จและใหญ่ที่สุดในโลกและในตอนบ่ายวันเดียวกันยังได้ไปสนุกสนานกับเครื่องเล่นและชมโรงถ่ายภาพยนตร์ยูนิเวอร์แซลสตูดิโอ ซึ่งเป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ชื่อดังมากมาย วันสุดท้ายของการเดินทาง ดร.กฤตภัค หัชลีฬหา ได้ให้เกียรติไปเป็นตัวชาวคณะฯ ไปร่วมทำบุญซื้อที่ดินที่วัดไทยในแอลเอ จากนั้นชาวคณะ J&C ได้เดินทางไปช้อปปิ้งส่งท้าย ที่ Citadel Outlets ก่อนที่จะไปไชนีสเธียเตอร์ สถานที่ใช้มอบรางวัลออสการ์และชมรอยฝ่ามือและเท้าของดาราฮอลลีวู้ดชื่อดัง จากนั้นไปชมย่านเบเวอร์รี่ฮิลล์ ที่อยู่ของมหาเศรษฐีระดับโลก และถนนโรดิโอไดรฟ์ ที่เป็นแหล่งรวมแบรนด์เนมชั้นนำทั่วโลก พร้อมทั้งแวะรับประทานอาหาร Seafood นั่งชมบรรยากาศพระอาทิตย์ตกที่ Redondo Beach ก่อนจะเตรียมตัวเดินทางกลับมายังประเทศไทย


เรียกได้ว่าทริปนี้เป็นประสบการณ์พิเศษสุดหรูและอลังการทริปหนึ่งในชีวิตชาวคณะ J&C ที่บริษัทจอยแอนด์คอยด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด มอบให้เป็นดั่งของขวัญส่งท้ายปีเก่าต้อนรับปีใหม่สุดล้ำค่าเลยก็ว่าได้สมกับคำกล่าวที่ว่า จอยแอนด์คอยน์ โอกาสดีๆที่มีไม่รู้จบ จริงๆ




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 338 ประจำวันที่ 16-28 กุมภาพันธ์ 2556

วันพุธที่ 20 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ข่าวขายตรง (MLM) : ดีเอสไอจับ แชร์สามระบบสยบความจน พบเดินสายหลอกคนเหนือได้เงินร่วม 30 ล้าน









ดีเอสไอแถลงข่าวทลายแก๊งแชร์ สามระบบสยบความจน หลังพบเดินสายหลอกลวงคนทั่วภาคเหนือ ชวนทำธุรกิจขายตรง-ทำสหกรณ์-จ่ายเงิน 1 แสนเมื่อเสียชีวิต แต่ความจริงพบไม่มีสินค้าขาย-ไม่เคยตั้งสหกรณ์-ไม่จ่ายเงินช่วยเหลือ แถมหลอกประชาชนสมัครสมาชิกได้เงินไปอีกเพียบ พบเบื้องต้นตุ๋นเงินคนเหนือได้ร่วม 30 ล้าน เชียงใหม่-เชียงราย โดนเยอะสุด


วันนี้ (11 ก.พ.56) นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) แถลงข่าวการจับกุมแชร์สามระบบสยบความจน ณ ศูนย์ปฏิบัติการคดีพิเศษภาคเหนือ จ.เชียงใหม่ โดยมีประชาชนผู้ได้รับความเดือดร้อนจากแชร์ดังกล่าว จำนวนประมาณ 30 คน เดินทางมาขอบคุณและให้กำลังใจเจ้าหน้าที่ดีเอสไอในการจับกุมเครือข่ายแชร์ดังกล่าว


การจับกุมเครือข่ายแชร์ในครั้งนี้ สืบเนื่องจากเจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษได้เข้าตรวจสอบบริษัท ธรธรรมไทย เน็ทเวิร์ค จำกัด และ หจก. ตื่นได้เงินแสน พร้อมทั้งควบคุมตัวนางณกนกภ์ ธุรกิจ กรรมการบริษัท ธนธรรมไทย เน็ทเวิร์ค จำกัด และนายพรศิลป์ อินตานันท์ หุ้นส่วนผู้จัดการ หจก. ตื่นได้เงินแสน ในข้อหากู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชนและฉ้อโกงประชาชน หลังจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชนหลายท้องที่ในจังหวัดภาคเหนือ ว่าถูกผู้ต้องหากลุ่มนี้หลอกลวงด้วยการนำเสนอแผนการประกอบธุรกิจภายใต้ชื่อ สามระบบ สยบความจน ซึ่งประกอบด้วย 1. ตื่นได้เงินแสน 2. ตายได้เงินแสน และ 3. กู้ได้เงินแสน โดยอ้างกับผู้ที่เข้าร่วมจะได้รับเงินเมื่อเสียชีวิตรายละ 1 แสนบาท แต่เมื่อมีผู้เข้าร่วมโครงการแล้วกลับไม่มีการจ่ายเงินจริงตามที่กล่าวอ้าง


ทั้งนี้ กลุ่มผู้ต้องหาจะอาศัยการนำเสนอแผนธุรกิจผ่านการโฆษณาชวนเชื่อทางอินเตอร์เน็ต การบรรยายตามโรงแรมต่างๆ และการชวนให้ประชาชนสมัครเป็นสมาชิกเข้าร่วมธุรกิจ โดยอ้างว่าจะสร้างรายได้ผ่านช่องทางต่างๆ ประกอบด้วย 1. ทำธุรกิจขายตรง หากสมาชิกสามารถชักชวนผู้อื่นมาร่วมสมัครสมาชิกได้ จะได้รับค่าตอบแทนวันละ 200-1,600 บาท 2. ดำเนินการสหกรณ์ออมทรัพย์ธนธรรมไทย ซึ่งสมาชิกสามารถกู้เงินในวงเงิน 1 แสนบาท และ 3. อ้างว่าจะจัดตั้งกองทุนช่วยเหลือสมาชิกกรณีเสียชีวิต โดยจะได้รับเงินเมื่อเสียชีวิตรายละ 100,000 บาท


อย่างไรก็ตามเมื่อดีเอสไอทำการตรวจสอบกลับพบว่า ธุรกิจขายตรงที่ทางกลุ่มผู้ต้องหากล่าวอ้างไม่เคยมีการจำหน่ายสินค้าจริง โดยมีเพียงสินค้าตัวอย่างแถมให้กับผู้สมัครเป็นสมาชิกเท่านั้น อีกทั้งยังมีการจดทะเบียนธุรกิจขายตรงภายหลังชักชวนประชาชนให้ร่วมธุรกิจแล้ว ขณะที่การอ้างว่ามีการจัดตั้งสหกรณ์นั้น เมื่อตรวจสอบไปยังกรมส่งเสริมสหกรณ์ ไม่พบการจัดตั้งสหกรณ์ตามกฎหมายแต่อย่างใด ส่วนกรณีกองทุนช่วยเหลือเมื่อเสียชีวิตพบว่าไม่มีการจ่ายเงินจริงตามที่โฆษณาไว้


นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการชักจูงให้ผู้ที่จะเข้าร่วมโครงการจ่ายเงินค่าสมัครคนละ 2,650 บาท และหากต้องการเป็นหัวหน้าสายหรือ Stock Kits ต้องซื้อหุ้น 5,000 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท รวมเป็นเงิน 50,000 บาท ทำให้กลุ่มผู้ต้องหาสามารถหลอกลวงเอาเงินจากประชาชนผู้เสียหายได้เป็นจำนวนมาก เป็นเหตุให้ผู้เสียหายเข้าร้องเรียนต่อดีเอสไอ ก่อนที่ดีเอสไอจะสอบสวนจนพบการกระทำความผิดและเข้าจับกุมดังกล่าว


นายสุประดิษฐ์ ปัญญาสุริยะโชติ หนึ่งในกลุ่มผู้เสียหายที่เข้าร้องเรียนกับทางดีเอสไอกล่าวว่า ทางบริษัทอ้างว่าจะทำการจัดตั้งสหกรณ์ รวมทั้งจะมีการตั้งกองทุนช่วยเหลือเมื่อเสียชีวิต ทำให้มีคนหลงเชื่อสมัครเป็นสมาชิก อีกทั้งยังนำเสนอแผนธุรกิจขายตรงที่อ้างว่าจะสร้างรายได้จำนวนมากหากเป็นหัวหน้าสาย ทำให้มีผู้สนใจลงทุนร่วมธุรกิจด้วยเป็นจำนวนมาก อย่างไรก็ตามเมื่อสมัครเป็นสมาชิกแล้วพบว่าไม่มีการจัดตั้งสหกรณ์อย่างที่กล่าวอ้าง ขณะที่การจ่ายเงินช่วยเหลือเมื่อเสียชีวิตก็มีการเปลี่ยนแปลงตัวเลขจาก 100,000 แสนบาทเหลือ 30,000 บาท จนกระทั่งเบี้ยวไม่ยอมจ่ายเงินให้กับสมาชิก ทำให้ผู้ได้รับความเดือดร้อนรวมตัวกันมาร้องเรียนกับทางดีเอสไอ โดยได้นำเอกสสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องมามอบให้เจ้าหน้าที่ โดยในส่วนของจังหวัดเชียงใหม่นั้นคาดว่าน่าจะมีผู้หลงเชื่อถูกเครือข่ายเหล่านี้หลอกลวงนับหมื่นราย


ด้านนายธาริตกล่าวว่า บริษัทและ หจก.ดังกล่าวมีที่ตั้งอยู่ในจังหวัดปทุมธานี โดยหลังจากได้รับการร้องเรียนจากประชาชน ดีเอสไอได้ติดตามตรวจสอบพฤติกรรมและการดำเนินงานของกลุ่มคนร้ายประมาณ 2 เดือน ก็จะขอหมายศาลเข้าตรวจค้นและจับกุมผู้ต้องหา โดยจากการสอบสวนพบว่าผู้เสียหายส่วนใหญ่อยู่ในจังหวัดเชียงใหม่และเชียงราย โดยในภาคเหนือคาดว่ามีผู้เสียหายประมาณ 12,000 ราย ขณะที่ผู้เสียหายที่เข้าร้องทุกข์กับทางดีเอสไอในขณะนี้มีทั้งสิ้น 880 ราย มูลค่าความเสียหายประมาณ 30 ล้านบาท


อย่างไรก็ตามเชื่อว่าจำนวนผู้เสียหายและมูลค่าความเสียหายที่แท้จริงจะสูงกว่านี้ เนื่องจากยังมีผู้เสียหายอีกเป็นจำนวนมากที่ไม่ได้เข้าร้องเรียนกับทางดีเอสไอ




Credit By :http://www.manager.co.th

ข่าวประชาสัมพันธ์อาวียองซ์ (Aviance Thailand) : อาวียองซ์ต้อนรับ ปารณีย์ ทัศน์พล บู้หลง REBA รหัสใหม่ล่าสุด เผยความสำเร็จที่พลิกวิกฤตให้เป็นโอกาสทองของชีวิตในงาน U Success Day คุณทำได้...เราทำได้









อบอวลไปด้วยความรักทั่วทั้งงาน U Success Dayคุณทำได้...เราทำได้ ที่จัดขึ้นเป็นครั้งแรกในปี 2013 และยังจัดขึ้นในเดือนแห่งความรักที่ สุชาดา ธีรวชิรกุล ประธานบริหาร อาวียองซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด สาวเก่งผู้อยู่เบื้องหลังความเกรียงไกร แบรนด์ความงามระดับพรีเมี่ยม อาวียองซ์ (aviance) ตั้งใจจัดขึ้นเพื่อต้อนรับคู่รักคนเก่ง ปารณีย์ ทัศน์พล บู้หลง ที่ฟันฝ่าอุปสรรคพลิกวิกฤตเป็นโอกาสทองบนเส้นทางธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์ จนก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง Regional Executive Business Associate ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในงาน ร่วมด้วยเหล่าสมาชิกผู้ร่วมธุรกิจที่ได้รับตำแหน่งตั้งแต่ระดับ Senior Business Associate กว่า 500 รหัส พร้อมทั้งยังเปิดโอกาสให้ผู้สนใจเข้าร่วมงานได้ทดลองสัมผัสกับกล้องวิเคราะห์ผิวและผม อาวียองซ์ ไมโครพอด (aviance microPOD) ที่พกพาสะดวก สามารถตรวจวิเคราะห์ผิวและผมได้ทุกที่ทุกเวลา ณ หอประชุมมหิศร ไทยพาณิชย์ ปาร์ค พลาซ่า


สุชาดา ธีรวชิรกุล ประธานบริหาร อาวียองซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด เผยว่า เป็นอีกครั้งที่เราชาวอาวียองซ์รู้สึกภูมิใจ ยูนิลีเวอร์ภูมิใจ และเชื่อว่าถ้าลอร์ดลีเวอร์ยังมีชีวิตอยู่ ท่านต้องภูมิใจเช่นกัน ต้องบอกว่าอาวียองซ์ได้เริ่มต้นปี 2013 ดีมากๆ ด้วยผลงานที่ดี และเรายังได้มีโอกาสต้อนรับ REBA รหัสล่าสุดคือคุณปารณีย์และ คุณทัศน์พล บู้หลง และในอนาคตอันใกล้เราก็กำลังจะมี REBA เพิ่มขึ้นอีก คือคุณไพโรจน์ ดิลกพัฒนมงคล ซึ่งเป็นสิ่งที่ยืนยันและตอกย้ำว่าทุกท่านที่มาร่วมงานในครั้งนี้ก็สามารถทำได้ ถ้าเราทำตามอัพไลน์ เราก็สามารถประสพความสำเร็จเหมือนเช่นผู้ร่วมธุรกิจเหล่านี้ได้ เมื่อเขาทำได้เราก็ทำได้เช่นกัน ดังนั้นกลยุทธ์ปี 2013 เราจะก้าวไปในความสำเร็จด้วยกันอย่างไร ปีนี้เราจะมีนวัตกรรมสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่อง และยังคงความเป็นสุดยอดตลอดทั้งปี รวมถึงการทำงานของผู้ร่วมธุรกิจเครือข่ายที่มีทั้งแบบรูปธรรมและนามธรรม การที่เหล่าสมาชิกผู้ร่วมธุรกิจสามารถชักชวนคนให้เข้ามาร่วมฟังการสัมมนาต่างๆ ที่ทาง อาวียองซ์จัดขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น เป็นการแสดงให้เห็นถึงการทำงานที่เป็นรูปธรรม แล้วการทำงานที่เป็นนามธรรมคืออะไร คือการทำงานที่ทำร่วมกัน เพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ร่วมกัน การที่ผู้ร่วมธุรกิจชักชวนให้ท่านเข้ามาทำธุรกิจร่วมกันนั้น แสดงว่าผู้ร่วมธุรกิจได้เล็งเห็นถึงศักยภาพของท่านที่สามารถสร้างความยิ่งใหญ่ไปด้วยกัน เพียงแค่ท่านเริ่มต้นลงมือทำ ทำตามระบบ รวมตัวกันและช่วยกันสร้างผลงาน เพราะพลังของการทำงานร่วมกันมันเป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาล และผลลัพธ์ที่ได้คือความยิ่งใหญ่ที่ท่านอาจคาดไม่ถึง


ภายในงานยังได้รับเกียรติจากสาวเก่ง อรอนงค์ ศิริวาณิชย์ Regional Executive Business Associate มาร่วมปลุกพลังเพื่อสร้างความยิ่งใหญ่ให้แก่อาวียองซ์ว่า ทุกท่านเชื่อเหมือนดิฉันไหมค่ะว่าเราทุกคนนั้นมียักษ์ที่ซ่อนอยู่ในตัว เพียงแต่เราไม่เคยปลุกยักษ์ในตัวให้ออกมา ดังนั้นธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์จะเป็นธุรกิจที่ทำให้เราได้ปลุกยักษ์ในตัวที่ซ่อนอยู่ ได้ปลดปล่อยศักยภาพในด้านดีของเราออกมา และศักยภาพนี้เองที่จะเป็นสิ่งที่ช่วยตอบโจทย์ความฝัน ความต้องการทุกๆ อย่าง ที่เราตั้งเป้าหมายไว้ ดิฉันเชื่อว่าทุกท่านที่มาร่วมงานในครั้งนี้ ท่านมาถูกที่และถูกเวลาที่จะปลดล็อคตัวเอง หลายคนอาจยังสงสัยว่าจะทำได้จริงหรือ แต่อาวียองซ์เชื่อว่าทุกท่านทำได้ เพียงทุกท่าน Show the Plan Share the Product วันละ 3 ครั้ง ทำทุกวัน ให้ดาวน์ไลน์มาร่วมช่วยกันทำ ยิ่งขยันทำ ทำมากเท่าไร ก็เหมือนเราได้บอกกล่าวสิ่งดีๆ ผลิตภัณฑ์คุณภาพดีๆ ออกไปให้คนที่ยังไม่เคยได้ลองสัมผัส ดิฉันเชื่อว่าถ้าทุกท่านช่วยกันทำ คนเหล่านั้นจะต้องมีการเปลี่ยนแปลงในด้านดีๆ เกิดขึ้นอย่างแน่นอน


กระทั่งบรรยากาศแห่งความสำเร็จได้เริ่มขึ้น เมื่อขบวนพาเหรดตั้งแถวเดินเรียงรายพร้อมธง U Success Day โบกสะบัดต้อนรับ Regional Executive Business Associate รหัสใหม่ล่าสุด ปารณีย์ - ทัศน์พล บู้หลง ที่มาเผยความรู้สึกแห่งความสำเร็จในครั้งนี้ทั้งน้ำตาว่า ดิฉันเดินเข้าสู่ธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์นี้เพราะรายได้ที่มีไม่พอใช้ ทั้งที่ก่อนหน้านี้ 2 ปี ดิฉันหันหลังและปฏิเสธธุรกิจนี้จากเพื่อนรักมาโดยตลอด กระทั่งวันที่ดิฉันคลอดลูกสาวและเพื่อนที่ชักชวนให้รู้จักกับธุรกิจเครือข่ายนี้ได้มาเยี่ยม ดิฉันได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของเขาที่ดูดีขึ้น มีรถยนต์ป้ายแดงขับ พร้อมกับรายได้เดือนละ 70,000 บาท ดิฉันจึงเริ่มสนใจและสมัครด้วยเงิน 600 บาท ในขณะที่สามีดิฉันซึ่งเป็นตำรวจไม่เปิดใจยอมรับในธุรกิจนี้ ดิฉันพยายามอธิบายเหตุผลแต่ก็ไม่สำเร็จ ดิฉันจึงต้องแอบทำ ในเวลานั้นเพื่อนดิฉันที่เป็นอัพไลน์ถามว่าดิฉันต้องการรายได้เพิ่มขึ้นเท่าไร เวลานั้นดิฉันบอก 15,000 บาท ก็พอใจแล้ว เพราะเงินเดือนงานประจำของดิฉัน 13,000 บาทเท่านั้น เดือนแรกที่ดิฉันทำ เงินก้อนแรกจากอาวียองซ์ 4,000 กว่าบาท หลายคนอาจมองว่ามันเล็กน้อย แต่สำหรับดิฉันมันซื้อนมซื้อแพมเพอร์สให้ลูกสาวได้ เดือนที่ 2 รับรายได้ที่ 7,000 กว่าบาท กระทั่งเดือนที่ 3 ดิฉันก็ได้รายได้ที่ 15,000 บาทตามที่ตั้งใจไว้ พร้อมกับเอาสลิปสเตทเมนท์ให้สามีดู เขาถึงเข้าใจ แต่แล้วจุดเปลี่ยนของชีวิตก็เกิดขึ้น เมื่อสามีดิฉันโดนลอบยิง 8 นัด ผู้หญิงอายุ 24 ปี ที่มีลูกวัย 11 เดือน และสามีโดนยิง 8 นัด นอนผ่าตัดในห้อง I.C.U. คิดว่าจะทำยังไงทันที ดิฉันบอกสามีที่ข้างเตียงว่า ดิฉันอาจจะเป็นภรรยาที่ไม่ได้ดูแล แต่เป็นภรรยาที่กำลังจะออกไปทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่กลับเข้ามา 1 ปีที่สามีนอนรักษาตัวที่โรงพยาบาลและ 1 ปีกับความอดทนที่ดิฉันต้องเป็นผู้นำครอบครัว ขับรถจากบางมด 7 โมงเช้าไปทำงานที่รามอินทรา เลิกงานมาที่ SCB เพื่อมาพบกับดาวน์ไลน์เพื่อคุยธุรกิจจนถึง 3 ทุ่ม บางครั้งนั่งกินข้าวกล่องในรถ ร้องไห้ในรถ กลับไปหาสามีที่โรงพยาบาลตอนเที่ยงคืนก็ไปนั่งร้องไห้ข้างเตียงสามีเงียบๆ คนเดียว แม้ว่าจะมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ถึงดิฉันที่ไม่ดีต่างๆ นานา แต่ดิฉันไม่สนใจ


กระทั่งตุลาคม 2550 ดิฉันตัดสินใจลาออกจากงานประจำด้วยแรงยุของอัพไลน์ที่บอกว่า ดิฉันสามารถสร้างรายได้ที่มากกว่านี้ แม้เวลานั้นดิฉันรับรายได้จากอาวียองซ์ประมาณ 30,000 บาท ในวันที่สลิปสเตทเมนท์แรกหลังจากลาออกจากงานประจำมาส่งที่บ้าน วันนั้นบ้านเราโดนตัดไฟฟ้า ดิฉันกำสลิปที่ยังไม่กล้าแม้จะเปิดดูไปการไฟฟ้าเพื่อไปทำเรื่องจ่ายค่าไฟ กลับมาที่รถดิฉันตัดสินใจเปิดดูและก็ต้องร้องไห้โฮด้วยความดีใจ เพราะในสลิปนั้นแจ้งว่าดิฉันรับรายได้ที่เป็นตัวเลข 6 หลัก ดิฉันตัดสินใจซื้อบ้านให้สามีอยู่ทันที ก่อนที่สามีจะออกจากโรงพยาบาล เพราะไม่ต้องการให้สามีอาศัยอยู่บ้านพักข้าราชการ และโดนแอบมองจากคนรอบข้างที่สามีดิฉันต้องเป็นอัมพฤกษ์ช่วงล่างจากการโดนลอบยิง ธุรกิจนี้จึงเติมเต็มฝันให้ดิฉันมีบ้าน ได้เดินทางไปต่างประเทศ ที่ใช่แค่แต่เราที่เดินทาง แต่เรายังสามารถพาคนที่รัก ครอบครัวพ่อแม่พี่น้องร่วมเดินทางไปกับเราด้วย และยังเป็นทริปที่สุดเอ็กซ์คลูซีฟจริงๆ และธุรกิจนี้ที่ยังทำให้ดิฉันมีรถยนต์ขับ จากเมื่อก่อนขับรถยนต์เก่าๆ แต่เวลานี้ดิฉันได้เป็นเจ้าของรถยนต์คันหรูจากยุโรป หลายครั้งที่ดิฉันมักจะบอกกับดาวน์ไลน์เสมอว่า อย่ามองว่าดิฉันขับรถอะไร แต่ให้มองว่าดิฉันต้องแลกกับอะไรบ้างถึงมีวันนี้


ด้านสามี ทัศน์พล บู้หลง เผยว่า หลายคนอาจมองว่าการที่ผมโดนยิง ทำให้ครอบครัวผมเกิดวิกฤต แต่ครอบครัวผมกลับมองว่ามันเป็นโอกาสที่ทำให้พบกับความสำเร็จ ถ้าผมไม่โดนยิงผมก็คงไม่เปิดใจยอมรับธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์ ตำแหน่ง REBA ที่ได้รับในครั้งนี้เป็นตำแหน่งที่ 8 จาก 9 ตำแหน่งที่ครอบครัวเราใช้เวลาทำธุรกิจเพียง 6 ปี ในขณะที่ตำแหน่งทางราชการ ผมเป็นตำรวจมา 18 ปี แต่ได้ปรับตำแหน่งเลื่อนขั้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้นจนจบอาชีพข้าราชการเพราะถูกยิง ผมยังมองว่าครอบครัวเราเริ่มสตาร์ทการทำธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์ด้วยต้นทุนที่น้อยกว่าคนอื่น แต่มันทำให้เราแข็งแกร่งกว่าคนอื่น จริงอยู่ผมเดินไม่ได้ต้องนั่งรถเข็น หลายคนมองว่ามันเป็นอุปสรรค แต่สำหรับผมผมมีที่นั่งส่วนตัวที่ไม่ต้องไปแย่งเก้าอี้กับใคร หลายคนมีรถขับต้องแย่งกันหาที่จอดรถ แต่รถเข็นของผมมีที่จอดทุกที่ เพราะธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์ที่ทำให้วิธีคิดและมุมมองของชีวิตผมเปลี่ยนไป ดังนั้นเมื่อผมและครอบครัวยังทำได้ คุณก็ต้องทำได้เช่นกัน


ความปลาบปลื้มยังไม่หมดลง พร้อมกับเสียงบูม เสียงเชียร์ ที่ดังกึกก้อง กับการแสดงความยินดีในพิธีประดับเข็มเกียรติยศ และพิธีมอบใบประกาศเกียรติคุณในตำแหน่งอื่นๆ โดยก่อนจบงาน U Success Day ในครั้งนี้ ยังได้ถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึกร่วมกัน พร้อมรอยยิ้ม เสียงหัวเราะ และดอกไม้หลากหลายสีจากผู้ที่มาร่วมแสดงความยินดีนับหลายร้อยคน


[gallery link="file" columns="4" orderby="title"]



************************************************************


หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ บริษัท แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์ จำกัด


โทร.0-2619-0429 ถึง 30 สุจินดา, แสงนภา, ภัควลัญชญ์


 

วันอังคารที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ข่าวสตาร์ ซันไชน์ (Star Sunshine) : จากอาชีพแม่ค้าสู่เศรษฐีใหม่ สตาร์ซันไชน์ ...ปุณยานุช ปุญยมณีกูล นักสู้สตรีเหล็ก









วันนี้หากใครคิดที่จะทำธุรกิจสตาร์ซันไชน์แล้ว ก็ขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง ถึงจะมีรายได้อย่างแน่นอนและไม่ต้องพูดถึงเพียงแค่หลักหมื่น ขอให้พูดถึงหลักแสน หลักล้านไว้ เพราะหลักหมื่นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับที่นี่หลักแสน หลักล้านนี่แหล่ะ ที่เราควรจะคว้าให้เร็วที่สุด เพราะสินค้าดี แผนดี เราต้องรีบทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเพียงแค่การตัดสินใจครั้งเดียว ชีวิตก็สามารถประสบความสำเร็จได้


...ใครจะเชื่อบ้างว่า แม่ค้าขายของชำ ที่ยึดมั่นอยู่แต่ในอาชีพของตัวเองมานาน 20 กว่าปี ปุณยานุช ปุญยมณีกูล จะกล้าย่างเท้าก้าวออกมาเดิมพันความอยู่รอดของครอบครัวกับ ธุรกิจสตาร์ซันไชน์...เพราะที่ผ่านมา เธอแทบจะไม่เหลียวมองธุรกิจใดเลย นอกจากเป็น แม่ค้า ขายของไปวัน ๆ


และเหตุใด ปุณยานุช ถึงยอมทิ้งอาชีพแม่ค้าและร้านค้าของตัวเอง ด้วยการปล่อยให้คนอื่นเซ้งร้านต่อ แล้วหันมาฝากอนาคตของครอบครัวไว้กับ ธุรกิจสตาร์ซันไชน์


...ปริศนาเริ่มคลี่คลาย เมื่อทีมงานได้ทราบว่า ธุรกิจสตาร์ซันไชน์ สามารถพลิกชะตาชีวิตของเธอจากหน้ามือเป็นหลังมือ...เมื่อเธอตัดสินใจเปลี่ยนแนวคิด หลังมีโอกาสได้พูดคุยกับ โกสิทธิ์ ผะลิวรรณ ประธานกรรมการ บริษัท สตาร์ซันไชน์ จำกัด


โดย ปุณยานุช ได้เผยผ่าน ตลาดวิเคราะห์ ว่า ก่อนหน้านี้เธอไม่เคยคิดที่จะทำธุรกิจขายตรงเลย...แต่ที่เข้ามาเพียงเพราะฟังวิทยุแล้วโทรหา ก็มีผู้เข้ามาแนะนำให้ทำธุรกิจ และเมื่อเห็นสินค้า ราคาโอเค บวกกับได้ลองทานเอง สุขภาพก็เริ่มดีขึ้น จึงได้ตัดสินใจสมัครเป็นสมาชิก พร้อมกับนำสินค้ามาขายด้วย ผลปรากฏว่าขายได้ดี และมีกำไร พอสั่งซื้อก็มีค่าคอมมิชชั่นออกมา ด้วยเหตุนี้เอง จึงรู้สึกว่า มีรายได้เข้ามาเยอะกว่าที่ขายของ


ชำอยู่ ณ ปัจจุบัน และก็เริ่มมีความรู้สึกว่าสนุกกับธุรกิจขายตรง


ช่วงที่ขายของชำ ปุณยานุช เอง ก็มีธุรกิจห้องพัก เพราะจากที่เป็นแม่ค้าขายของชำ ก็พยายามถีบตัวเองให้มีอาชีพเสริมมากกว่าการเป็นแม่ค้าขายของชำ เริ่มจากการทำธุรกิจห้องพักให้เช่า เริ่มยกระดับขึ้นมาเรื่อย ๆ เป็นหอพัก และมีธุรกิจรถตู้ให้เช่า และจากธุรกิจเสริมที่เริ่มมีมากขึ้น ทำให้เรื่องของภาระหนี้สินของ เธอผู้นี้ก็เพิ่มขึ้นมาตามด้วยกว่า 10 ล้านบาทเลยทีเดียว...แต่หลังจากที่เธอได้หันเข้ามาสู่ ธุรกิจสตาร์ซันไชน์ ภาระหนี้สินที่มีท่วมหัว ก็เริ่มลดน้อยลงเรื่อย ๆ...


และจากวันนั้นจนถึงวันนี้ คำตอบของชีวิตที่ดีขึ้น สำหรับเธอก็ได้ค้นพบแล้วที่ สตาร์ซันไชน์ เห็นได้จากผลของการตั้งใจทำงาน มุ่งมั่นและขยัน ส่งผลมาถึงความสำเร็จที่เธอควรได้รับ และได้รับจริง นั่นคือ การมีรายได้อยู่ที่ 500,000 บาทต่อเดือน พร้อมกับสามารถมีเงินซื้อตึก 2 คูหา มูลค่า 10,000,000 บาท ในปีที่ 3 ของการทำงาน และปีที่ 4 ก็ยังสามารถซื้อตึกได้อีก 2 ห้องด้วยเงินสด พร้อมกับมีเงินซื้อรถยนต์ได้อีก 5 คันด้วย รวมถึงมีรายได้รวมจากการทำธุรกิจนี้ในปีที่ผ่านมาอยู่ที่ประมาณ 10 กว่าล้านบาทอีกด้วย


ปุณยานุช บอกกับ ตลาดวิเคราะห์ อีกว่า ขณะนี้ตนเองมีสมาชิกใต้สายงานค่อนข้างเยอะมากมาย เนื่องจากธุรกิจขายตรง ต้องบอกว่าความสำเร็จไม่ได้อยู่ที่เราคนเดียว แต่ทุกคนสามารถสำเร็จในธุรกิจนี้ได้ เพราะหากเราไม่มีสมาชิก เราก็อาจจะมาไม่ถึงจุดนี้ด้วยเช่นกัน


ตนเอง จะสอนสมาชิกอยู่เสมอว่า ขอให้เราคิดว่าตนเองคือ ผู้บริโภค 100% รักองค์กร รักบริษัท มีความจริงใจให้กับสมาชิกและทีมงาน พร้อมกับต้องแนะนำผู้ที่ยังไม่สำเร็จให้เขาได้สำเร็จ อีกทั้งการทำงานอะไรก็แล้วแต่ อย่าเลือกงานว่าจะต้องทำมาก ทำน้อยแค่ไหน เพราะการเป็นผู้นำ จะต้องเป็นแบบอย่างที่ดีด้วย ซึ่งวันนี้อุปสรรคในการทำงานทุกคนถือว่ามี แต่เราก็ต้องผ่านมันไปให้ได้ เพราะปัญหาทุกปัญหา เราต้องขอบคุณ เนื่องจากทุกปัญหา มันทำให้เรามีความแข็งแกร่งขึ้นนั่นเอง


...วันนี้ดูเหมือนว่า ปุณยานุช เริ่มที่จะรักและชอบในธุรกิจขายตรงที่ สตาร์ซันไชน์ จนถอนตัวไม่ขึ้น เนื่องจากสามารถทำให้ประสบความสำเร็จจริง ที่สำคัญ ยังทำให้เธอได้ท่องเที่ยวไปทั่วทุกจังหวัด และยังมีโอกาสไปเที่ยวต่างประเทศอีกหลากหลายประเทศด้วย ซึ่งถ้าหากเธอยังเป็นแม่ค้าขายของชำอยู่ เธอคงไม่มีโอกาสที่จะไปท่องเที่ยวแบบนี้ได้แน่


และผลพวงจาก ธุรกิจสตาร์ซันไชน์ ที่สร้างรายได้เข้ามาให้ ปุณยานุช อย่างต่อเนื่อง ทำให้เธอดึงสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดเข้ามาสู่ธุรกิจ จนวันนี้เธอกล้าพูดได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่า จะขอฝากชีวิตไว้กับสตาร์ซันไชน์ เพราะไม่มีที่ไหนให้เธอได้มากกว่านี้...


ซึ่งใครจะเชื่อว่า ระยะเวลาที่ขายของมากว่า 20 ปี เธอแทบจะไม่มีเงินเก็บ แต่เมื่อก้าวเข้ามาใน ธุรกิจสตาร์ซันไชน์ เพียงแค่ไม่กี่ปี กลับมีเงินเก็บหลายแสนหลายล้าน และยังมีเงินส่งลูกเรียนมหาวิทยาลัยในต่างประเทศ โดยที่ไม่ต้องกู้หนี้ ยืมสิน เหมือนที่ผ่าน ๆ มา


สำหรับเป้าหมายของชีวิตนับจากนี้ต่อไปนั้น ปุณยานุช บอกว่า ต้องการอยากให้สมาชิกเข้าวัด อยากให้ทุกคนเอาธรรมะเข้ามาใช้ในชีวิตประจำวัน เพราะปัจจุบันเราอยากให้ลูกทีมเรามีเท่าเรา เราได้มาเท่าไหร่ก็อยากให้ลูกทีมได้อย่างที่เราได้ ความสุขของเราอยู่ตรงนั้นมากกว่า


วันนี้หากใครคิดที่จะทำธุรกิจสตาร์ซันไชน์แล้ว ก็ขอให้ทำอย่างต่อเนื่อง ถึงจะมีรายได้อย่างแน่นอน และไม่ต้องพูดถึงเพียงแค่หลักหมื่น ขอให้พูดถึงหลักแสน หลักล้านไว้ เพราะหลักหมื่นเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับที่นี่ หลักแสน หลักล้านนี่แหล่ะ ที่เราควรจะคว้าให้เร็วที่สุด เพราะสินค้าดี แผนดี เราต้องรีบทำอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเพียงแค่การตัดสินใจครั้งเดียว ชีวิตก็สามารถประสบความสำเร็จได้


ปุณยานุช ยังบอกอีกว่า ค่อนข้างมีความสุขกับการทำงานเครือข่ายมาก เพราะเราไม่ได้เรียนจบปริญญาก็สามารถทำสำเร็จได้ ชีวิตเปลี่ยน มีความสุข สุขภาพดี อิสรภาพทางเวลาและการเงินมีมากขึ้น มีเวลาเข้าวัดทำบุญกับสมาชิกบ่อยขึ้น ได้มีโอกาสดูแลคนป่วย คนมีปัญหาสุขภาพ พลิกชีวิตเกษตรกร แบบถาวร เปลี่ยนชีวิตคนหลายคน จากคนจนเป็นคนที่พร้อมทุกอย่าง สังคมยอมรับมากขึ้น คนรวยก็รวยมากขึ้น พร้อมได้ของแถมรวยสุขภาพ หนุ่มขึ้น สวยขึ้น ต่างจากคนที่มีเงินทองมากมาย แต่ไม่สามารถซื้อชีวิต ซื้อสุขภาพที่แข็งแรงได้


...เรียกได้ว่า ความสำเร็จของคนเครือข่ายวันนี้ ล้วนแล้วเกิดจากความพยายามแทบทั้งสิ้น ยิ่งขยันมาก อดทนมาก มุ่งมั่นมากเท่าไหร่ ความสำเร็จก็จะก่อเกิดได้เร็วขึ้นด้วยเช่นกัน เหมือนเช่นดั่งเธอผู้นี้ ปุณยานุช ปุญยมณีกูล ...!!





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 338 ประจำวันที่ 16-28 กุมภาพันธ์ 2556

ข่าวพระรามเก้า เน็ตเวิร์ค (Praram 9 Network) : เปิดกึ๋นขายตรงน้องใหม่ พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค ปี56อัดยาแรงระบบเทรนนิ่ง/เสริมเขี้ยวเล็บสินค้าใหม่



เกมการแข่งขันในปัจจุบันนี้ ต้องยอมรับว่าเต็มเปี่ยมไปด้วยการ แข่งขันที่ค่อนข้าง รุนแรง และ ดุเดือด อย่างมากทีเดียว ยิ่งใครที่ คิดช้า ทำช้า ย่อมเสียเปรียบทางธุรกิจอย่างปฏิเสธ ไม่ได้เช่นกัน บวกกับ ณ เวลานี้ เรื่องของชั้นเชิงทางธุรกิจก็ต้อง มีไหวพริบ และ ปฏิภาณ เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องด้วย ขืนช้าอาจ เสียโอกาสได้เช่นกัน นอกจากนี้ ในเรื่องของศาสตราวุทธของธุรกิจ ไม่ใช่อยู่ที่คนใดคนหนึ่ง แต่อยู่ที่ความพร้อมเพียงขององค์กร ซึ่งค่า ย ไหนที่ใช้ศาสตราวุทธเป็น นับได้ว่าเป็นประโยชน์อย่างยิ่งที่จะต่อกร กับ คูแข่ง ใน สมรภูมิรบ เช่นนี้


ในขณะเดียวกัน ก็มี ธุรกิจหน้าใหม่ และ ธุรกิจหน้าเก่า ต่างออกมา เขย่าขวดความแรง ของธุรกิจอย่าง ออกรสออก ชาติ ทีเดียว ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะต้องการสร้างภาพของธุรกิจให้ ผู้บริโภคได้เกิดการรับรู้และรับทราบว่าธุรกิจของตัวเองนั้น ดำเนิน งานไปถึงไหนแล้วและจะสามารถฟันฝ่าวิกฤตินานาประการที่อยู่ใน ปัจจุบันนี้ได้หรือไม่!....
หากจะให้มองถึงเกมการแข่งขันในช่วงต้นปี 2556 แล้วล่ะก็... เริ่มที่จะมีเสียงคำรามของธุรกิจก่อตัวประทุจุดเดือดออกมาให้เห็น กันบ้างแล้ว เห็นได้จากหลาย ๆ ธุรกิจออกมาเริ่มวาดลวดลายทาง ธุรกิจกันแบบ เย้ยฟ้าท้าดิน กันเลยทีเดียว...ล่าสุดธุรกิจขายตรง น้องใหม่อย่าง พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค ภายใต้การนำทัพของ เสกข์สรร ธีระวาณิชย์ ที่ดำรงตำแหน่งประธานกรรมการบริษัท ก็ออกมาสร้างความเคลื่อนไหวของธุรกิจให้ค้นเครือข่ายไดรั้บรู้เช่น กันว่า ...วันนี้พระรามเก้าเน็ตเวิรค์ ยังอยู่และไมได้ไปไหน...


1 ปี พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค


...เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านในที่นี้ ต่างอยากที่จะรู้ว่าค่ายน้องใหม่ ที่ชื่อ พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค ในวันนี้ ความเคลื่อนไหวของธุรกิจ ไปถึงไหนแล้วและแผนการรบสยบคูแข่งในปี 2556 นี้จะดำเนินไป ในทิศทางไหน โดยทางด้าน พงษ์กฤตย์ องค์ศิริวัฒนา กรรมการ ผู้จัดการ บริษัท พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค จำกัด เผยผ่าน ตลาด วิเคราะห์ ว่า หลังจากที่บริษัทฯ ได้ดำเนินธุรกิจเครือข่ายมาตั้งแต่ วันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2555 ที่ผ่านมา เรียกได้ว่า ในช่วงปีแรกถือเป็นการ วางรากฐานของธุรกิจเลยก็ว่าได้ พร้อมกับมีสินค้าที่เป็นหัวหอกที่ สำคัญ ในการทำธุรกิจนั่นก็คือ ยาน้ำสมุนไพรจีน ปาซินซุย่ และ ซินแป๊ะฮ้อ ที่ถือเป็นสินค้าพระเอกของบริษัทฯ
ในช่วง 4-5 เดือนแรกของการทำธุรกิจ กลยุทธ์แรกที่บริษัทฯ ใช้ คือ เริ่มตั้งแต่การโหมโรงด้วยการประชาสัมพันธ์ทั้งสื่อทีวี สื่อวิทยุ ส่งผลให้ในช่วงปลายปีที่ ผ่านมา บริษัทฯ เริ่มที่จะได้รับการตอบรับที่ ดีจากกลุ่มผู้บริโภคอย่า งมาก เห็นได้จาก มีกลุ่ม ผู้บริโภคที่ใช้สิ้นค้า ของบริษัทฯ จริงถึง 90% ส่วนที่เหลืออีก 10% เป็นผู้ที่ทำธุรกิจ ที่สำคัญ ยังพบอีกว่า เริ่มมีผู้นำต่าง ๆ เข้ามาสู่ธุรกิจของบริษัทฯ มาก ขึ้นด้วย พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้ตั้งเป้าหมายยอดขายในปีนี้ไว้ที่ 100 ล้านบาทอีกด้วย


ปี56อัดระบบเทรนนิ่ง/เสริมเขี้ยวเล็บสินค้าใหม่


สำหรับกลยุทธ์ในการขับเคลื่อนธุรกิจของ พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค ในปีนี้นั้น เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งปีที่ พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค ได้ประกาศพร้อมที่จะบุกตลาดเครือข่ายแบบเต็มพิกัดกัน เลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นในเรื่องของการวางระบบคอร์สอบรมสร้าง ผู้นำสู่มืออาชีพ ซึ่งจะมีการจัดคอร์สอบรมดังกล่าวทุกเดือน เพื่อ เป็นการพัฒนานักขายมืออาชีพอย่างแท้จริง โดยทางด้าน พงษ์กฤตย์ ยังได้กล่าวยํ้ากับ ตลาด วิเคราะห์ อีกว่า ปีนี้ บริษัทฯ จะเน้นหนักในเรื่องระบบเทรนนิ่งถึง 50% เลยทีเดียว พร้อมกับมีเป้าหมายที่จะสร้างผู้นำให้เ ติบโตในปีนี้ อย่างน้อย 30% อีกด้วย พร้อมกันนี้ ก็จะมีการจัดคอร์สอบรมตาม จังหวัดต่าง ๆ หรือที่เรียกว่า OPP เป็นประจำอย่างน้อยเดือนละ 2-3 ครั้งอีกด้วย ซึ่งขณะนี้ได้มีการเริ่มจัดคอร์สอบรมดังกล่าวไปบ้างแล้ว ในปีนี้นอกเหนือจาก การโหมโรงในเรื่องของระบบเทรนนิ่งแล้ว ทางพระรามเก้า เน็ตเวิร์ค ยังมีในส่วนของศูนย์กระจายสินค้า เพื่อ เสริมศักยภาพในการทำงานของสมาชิกอีกด้วย พร้อมกับมีระบบ สต๊อกคิดส์ ออนไลน์ ที่เปรียบเสมือนศูนย์กระจายสินค้าขนาดหย่อม ที่สามารถเอาสินค้าไปกระจายตามจุดต่าง ๆ ให้กับสมาชิกเพื่อเพิ่ม ความสะดวกและรวดเร็วในการทำงานอีกด้วย ส่วนอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญ ของ พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค ในปีนี้ คือ การเพิ่มไลน์สินค้าใหม่ ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของ ผู้บริโภคโดยในปีนี้ พระรามเก้า เน็ตเวิรค์ มีแผนที่จะเพิ่มกลุ่ม สินค้าตัวใหม่เ พิ่มเข้ามาอีก 1 กลุ่ม คือ กลุ่มสินค้าปศุสัตว์โดยสินค้า กลุ่มแรกที่ค่ายนี้จะเข็นออกมาทำตลาดนั่นก็คือ อาหารเสริมของสุนัข และแมว สาเหตุที่บริษัทฯ หันมาทำตลาดกลุ่มปศุสัตว์เป็นเพราะมอง ว่าในธุรกิจขายตรง ยังไมมีบริษัทฯ ไหนที่ทำสินค้า ในกลุ่มนี้เลย อีก ทั้งยังพบว่า ธุรกิจเกี่ยวกับอาหารสัตว์ค่อนข้างที่จะมีการเติบโตที่ดี อย่างต่อ เนื่อง เห็นได้จ ากในช่วงที่ผ่านมา มีการเติบโตอยู่ที่หลัก 2-3 หมื่นล้านบาทเลยทีเดียว ซึ่งผลิตภัณฑก์ลุ่มนี้ ทางบริษัทฯ คาดว่า จะเปิดตัวได้ในช่ว งกลางปีนี้ พร้อมกับเชื่อมั่นว่า สินค้า กลุ่มดังกล่าว จะเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่จะสอดรับกับตลาดอาเซียนที่จะมีขึ้นในปี 2558 นี้อีกด้วย ที่สำคัญ ทางท่านประธานบริษัทฯ ยังมีแผนที่จะขยายตัวโรงงานใหม่ที่จังหวัดบุรีรัมย์ให้ใหญ่ขึ้นด้วย พร้อมกับมีแผนที่จะสร้าง โรงงานที่อำเภอวังน้อย จังหวัดอยุธยา ให้เป็นโรงงานผลิตอาหาร สัตว์แบบครบวงจร พงษ์กฤตย์ กล่าวเสริมว่า สำหรับแผนการเปิดตัวสินค้าใหม่ ในปีนี้นั้น บริษัทฯ จะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่าง ต่อเนื่อง อย่างล่าสุดเมื่อช่วงต้นปี บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวสินค้าใหม่ไปแล้ว โดยเป็นกาแฟสำหรับผู้หญิง ซึ่งขณะนี้ค่อนข้างได้รับการตอบ รับจากผู้บริโภคและสมาชิกเป็นอย่างดี พร้อมกันนี้ ในช่วงประมาณ เดือนมีนาคมนี้บริษัทฯ จะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มอีก 1 รายการ เป็น ผลิตภัณฑ์กาแฟสำหรับผู้ช ายต่อจากนี้ในชว่ งไตรมาสที่ 2 ก็จะเป็นการเปิดตัวผลิตภัณฑ์อาหารเสริมสัตว์ รวมถึงยาจีนที่ เป็นชนิดเม็ดอีกด้วย ปัจจุบันบริษัทฯ มีสินค้าอยู่ 3 กลุ่ม หลัก คือ 1. กลุ่มยาจีน มี สัดส่วนยอดขายอยู่ที่ 70% 2. กลุ่ม อาหารเสริม มีสัดส่วนอยู่ที่ 20% และ 3. กลุ่มเครื่องสำอางมีสัดส่วนอยู่ที่ 10% โดยกลุ่มสินค้าที่ขาย ดีของ พระรามเก้าเน็ตเวิรค์ คือ กลุ่มของยาจีน ซึ่งถือเป็นสินค้า ที่มีกลุ่มผู้บริโภคที่ทานแล้วเห็นผลจริง ๆ นอกจากนี้ ในช่วงประมาณ ปลายปีนี้ บริษัทฯ ยังมีแผนที่จะเพิ่มกลุ่มสินค้าใหม่เกี่ยวกับ เกษตรกรรม เข้ามาสู่ตลาดเครือข่ายอีกด้ว ย นอกจากนี้ อีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญ ของ พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค ในปีนี้นั้น ทางด้าน พงษ์กฤตย์ เผยว่า ปีนี้เป็นปีที่ บริษัทฯ จะหันมาเริ่มประชาสัมพันธ์แบรนด์ของตัวเองมากขึ้น โดย จะรุกทั้งสื่อวิทยุ สื่อสิ่งพิมพ์ รวมถึงสื่อเคเบิลทีวี ให้มากขึ้น พร้อม กับมีในส่วนของโปรโมชั่นท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ อีกด้วย


พระรามเก้า เน็ตเวิร์คปี56พร้อมเต็มร้อย


ทั้งนี้ ทางด้าน เต็มดวง ผดุงสุนทรารักษ์ ผู้อำนวยการฝ่าย พัฒนาธุรกิจ บริษัท พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค จำกัด ยังกล่าวเสริมอีกว่า ในปีที่ผ่านมา บอกได้เลยว่า พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค แทบที่จะไม่มี แม่ทีมเลย โดยจะมีในส่วนของผู้บริโภคเป็นส่วนใหญ่ และส่วนน้อย ที่เป็นนักธุรกิจ อย่างล่าสุดในช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา พบว่า เริ่มที่จะมี สมาชิกเพิ่มขึ้นมาบ้างแล้ว ซึ่งปัจจุบันตัวเลขสมาชิกของบริษัทฯ อยู่ที่หลักพันเท่านั้นเอง จึงทำให้ในช่วงที่ผ่านมา ภาพของธุรกิจ
พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค จึงไม่ค่อยหวือหวามากนัก เหมือนค่าย อื่น ๆ แต่เชื่อว่าตั้งแต่ปีนี้เป็นต้นไป พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค จะต้อง มีคนรู้จักอย่า งแน่น่อน สำหรับเครือข่ายของ พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค ที่ถือว่าเป็น ความแตกต่างจากค่ายอื่น ๆ นั่นก็คือ ทีมผู้บริหารของที่นี่ค่อนข้างที่ จะเข้าถึงผู้บริโภคและสมาชิกอย่างใกล้ชิด รวมถึงในเรื่องของสินค้า ที่มีความโดดเด่นตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ที่สำคัญ บริษัทฯ มีโรงงานผลิตสินค้าเป็นของตัวเองด้วย นอกจากนี้ พงษ์กฤตย์ ยังได้เผยถึงความพร้อมของธุรกิจ พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค อีกว่า ในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา ต้องบอกว่า หากธุรกิจของบริษัทฯ ถ้าไม่มีความพร้อมจริง ๆ คงไม่อยู่จนถึงวันนี้ แน่นอน ที่สำคัญ บริษัทฯ เริ่มมีสมาชิกเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ที่สำคัญ ในปีนี้ บริษัทฯ ยังมีการปรับกลยุทธ์ต่าง ๆ ในหลาย ๆ ด้าน ทั้งในเรื่อง ของการวางระบบการเทรนนิ่งที่เข้มข้น การเพิ่มไลน์สินค้าใหม่ ๆ เข้ามาในธุรกิจ รวมถึงการรุกตลาดในภูมิภาคต่าง ๆ มากขึ้น จึงอยาก ให้ทุกคนที่จะเข้ามาสู่ธุรกิจพระรามเก้า เน็ตเวิร์ค มั่นใจได้เลยว่า สามารถพาทุกท่านให้ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
ในปีที่ 2 ของ พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค ต้องบอกว่า ภาพของ ธุรกิจ น่าที่จะมีความชัดเจนมากขึ้นแน่นอน เห็นได้จากนโยบายของบริษัทฯ ในปีนี้ ที่จะเน้นในเรื่องของการสร้างผู้นำใหม่ๆ รวมถึงคอร์สเทรนนิ่งที่เข้มข้นมากขึ้นให้กับสมาชิก โดยบริษัทฯ เชื่อว่า นับจากนี้ กลุ่มผู้บริโภคน่าที่จะเข้ามาสู่ธุรกิจของเรามากขึ้นด้วย เช่นกัน เห็นได้จากในปีนี้ ที่บริษัทฯ เตรียมที่จะออกสื่อมากขึ้น เพื่อ ช่วยให้สมาชิกสามารถทำงานได้ง่ายนั่นเอง สำหรับการแข่งขันในธุรกิจขายตรงปีนี้นั้น พงษ์กฤตย์ ให้ความเห็นว่า
การแข่งขันในธุรกิจขายตรงในปีนี้นั้น ต้องบอกว่า ใครที่ไปบุกตลาดเออีซีได้เร็วที่สุดตอนนี้ ค่อนข้างที่จะได้เปรียบกว่า ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทฯขายตรงค่ายยักษ์ใหญ่ ในขณะเดียวกัน ยังมองอีกว่า บริษัทขายตรง ที่เปิดใหม่อยู่ในขณะนี้นั้น ส่วนใหญ่ต้องการที่จะปูรากฐานใน ประเทศให้แน่นที่สุดก่อน แต่อย่างไรเสีย ก็ยังมีขายตรงน้องใหม่บาง ค่าย ที่หันมาปรับกลยุทธ์เพื่อให้สอดรับกับตลาดเออีซีด้วยเช่นกัน เหมือนเช่นดั่งพระรามเก้า เน็ตเวิร์ค ...และนี่ก็คือ แผนการบุกตลาดของ บริษัท พระรามเก้าเน็ตเวิร์ค จำกัด ในปี 2556 ที่เรียกได้ว่า ออกมาสตาร์ทบุกตลาด กันตั้งแต่ต้นปีเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นการรุกตลาดขายตรงแบบ บูรณาการ ทั้งการลงพื้นที่ของผู้บริหารทุ่ม เม็ดเงินผ่านสื่อทีวี เดิน หน้าตีตลาดต่างประเทศรับตลาดอาเซียน การจัดคอร์สอบรมที่เข้ม ข้นรวมถึงส่ง ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ สู่ท้องตลาด และด้วยยุทธศ์ าสตร์ ทั้งหมดนี้ในปี 2556 จะสามารถทำให้ บริษัท พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค จำกัด ก้าวถึงเป้าหมายที่วางไว้หรือไม่ และความ ใฝ่ฝัน ที่จะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำขายตรงในระดับต้น ๆ ในอนาคต อันใกล้นี้ จะเป็นไปได้มากน้อยเพียงใด ซึ่งก็ต้องติดตามกัน ต่อไป!




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 338 ประจำวันที่ 16-28 กุมภาพันธ์ 2556

วันจันทร์ที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ข่าวเวิล์ด ฟรีดอม ซัคเซซ (World Freedom Success) : เหตุเกิดที่ World Freedom Success ลูกทีมร้องกองปราบ แม่ทีมเบี้ยว บ.โกง



เวิล์ด ฟรีดอม ซัคเซซ ป่วน ลูกทีมพาเหรดแจ้งความกองปราบ หลังแม่ทีม หลอกเอารถมาจัดไฟแนนซ์หาเงินอุ้มลูกทีม แถมบริษัทฯ จู่ๆ ประกาศยกเลิกแผนการตลาดกลางคัน คดีนี้จะจบลงอย่างไร พลาด ไม่ได้เป็นอันขาด !!


เปิดศักราชปีมะเส็งได้ยังไม่ทันถึง วันตรุษจีน เหตุการณ์ในบริษัทขายตรง บางค่ายก็เริ่มมีเสียงเอะอะโวยวายออก มา จนเป็นเรื่องเป็นราวถึงขนาดต้องเดิน หน้าเข้าแจ้งความต่อกองปราบ ประเด็นที่น่าสนใจในเรื่องนี้ แม้จะ ยังไม่ถึงขั้นรุนแรง ที่สำนักงานคณะ กรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ต้องออก โรงมาเช็คบิลสั่งปิดกิจการอย่างถาวร แต่อย่างน้อยก็เริ่มส่งสัญญาณว่า การ ดำเนินธุรกิจของกิจการแห่งนี้ เริ่มมีความ ไม่ชอบมาพากล
ร.ต.ภิญโญ ศุภมงคล หนึ่งใน สมาชิกที่ระบุว่าตนเองเป็นผู้เสียหาย จากการเข้าสมัครเป็นสมาชิกบริษัท เวิล์ด ฟรีดอม ซัคเซซ จำกัด เขาเล่าว่ากิจการแห่งนี้ เป็นกิจการ ขายตรง ระบบ Unilevel เน้นการขาย สินค้าอุปโภค-บริโภค เป็นหลัก นอกจาก นี้ ก็ยังมีการทำธุรกิจ แฟรนไชน์ บริการ เติมเงินโทรศัพท์มือถือให้กับค่าย AIS ที่ มีลักษณะคล้ายคลึงกับ บริษัท ท็อปอัพ ทูริช จำกัด (ดังที่กล่าวในฉบับปก) กิจการแห่งนี้ มี นายพิตรพิบูล พิบูลมงคลสกุล เป็นประธานบริษัท มี นางขวัญวรีย์ อภิวรวัสส์ เป็นประธาน ภาคกลาง และภาคตะวันออก รวมทั้ง เป็นเจ้าของศูนย์จังหวัดนครปฐม ร.ต.ภิญโญ เข้าสมัครเป็นสมาชิก ด้วยรหัส W010048576 ตามโครงการ ที่เรียกว่า ซื้อกินซื้อใช้ได้เงินคืน
โดยสมาชิกซื้อสินค้า 250 บาท/ เดือน ได้คะแนน 50 PV ซื้อสินค้าต่อ เนื่อง ครบ 1 ปี จะได้รับคูปองส่วนลด พิเศษ 500 บาท/ปี ซื้อสินค้าต่อเนื่องครบ 2 ปี ได้รับคูปองส่วนลดสินค้า 1,000 บาท/ปี ซื้อสินค้าต่อเนื่องครบ 3 ปี ได้รับ คูปองส่วนลดพิเศษ 1,500 บาท/ปี นี่คือรายได้ ที่บริษัทเรียกว่า กระเป๋า ที่ 1 ที่มีการซื้อสินค้าเป็นราย เดือนรายปี ส่วนรายได้ กระเป๋าที่ 2 จะเป็น รายได้ตามแผนการตลาดแบบ Unilevel 1:4 หมายความว่า ในแต่ละบุคคล จะมี Front Line ใต้สายงาน 4 รหัส โดยจะ จัดเรียงแบบอัตโนมัติ (Auto Run) โดย จะจ่ายรหัสละ 10 บาท 10 ชั้นลึก หรือ คิดเป็นรายได้ 1 รหัส/เดือนสูงสุด 13,981,000 บาท ส่วนรายได้ กระเป๋าที่ 3 จะเป็น รายได้ ที่ได้รับประโยชน์จากลูกทีมภาย ใต้องค์กร ตามลำดับชั้น โดยในแต่ละชั้น จะนำมาคำนวณรายได้ ในอัตรา 1:10 ยกตัวอย่าง หากลำดับชั้นที่ 10 มี จำนวน 1 ล้านรหัส สมาชิกก็จะมีรายได้ เท่ากับ 10 ล้านบาท
กิจการแห่งนี้มีการแสดงใบ อนุญาตการประกอบธุรกิจขายตรง ผ่าน การรับรองจาก สคบ.เป็นที่เรียบร้อย ทำให้ประชาชนทั่วไปต่างให้ความเชื่อถือ แต่แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ก็เริ่มมี สัญญาณที่ไม่สู้ดีนัก เมื่อมีสมาชิกกลุ่ม หนึ่งออกมาเอะอะโวยวาย เนื่องจาก บริษัทฯ เริ่มมีการปรับเปลี่ยนแผนการ ตลาด โดยไม่แจ้งให้ทราบล่วงหน้า สมาชิกของบริษัทส่วนใหญ่ ที่เป็น สมาชิกมาหลายเดือนแล้ว แต่ก็ยังไม่ได้ จัดเรียงลำดับแบบ กระเป๋าที่ 2 หรือตาม แบบ Auto Run เลย ต่อมาเดือนธ.ค. 2555 จู่ ๆ บริษัท ก็มาประกาศยกเลิก โครงการ 250 บาท ร.ต.ภิญโญ ศุภมงคล หนึ่งใน สมาชิกที่ได้รับผลกระทบ เปิดเผยกับ ตลาดวิเคราะห์ หลังจากนั้น ก็เริ่มมีการเคลื่อนไหว จากคนกลุ่ม หนึ่งไปสู่คนอีกกลุ่มหนึ่ง จน ทำให้ภาพพจน์ของบริษัทฯ ในสายตาของสมาชิกทั่วไปไม่สู้จะดีนัก
สุดท้ายเมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา สมาชิกกลุ่มหนึ่งนำ โดย ร.ต.ภิญโญ ศุภมงคล ได้เข้า แจ้งความร้องทุกข์กับกอง ปราบ ด้วยความผิดในข้อหา การประกอบธุรกิจผิดพ.ร.บ. ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 ในมาตรา 21 ที่ผู้ ประกอบธุรกิจขายตรงต้อง ดำเนินกิจการให้เป็นไปตาม แผนการจ่ายผลตอบแทนของ ตน โดยความผิดจะเข้าข่าย มาตรา 48 ที่ผู้ใดฝ่าฝืนม.21 ก็จะต้องระวางโทษปรับไม่ เกิน 300,000 บาท หรือนอกจากนี้ ก็อาจ จะมีการดำเนินคดีอาญาอีก ด้วย ไม่เพียงกรณี ปัญหา การยกเลิกแผน กระเป๋าที่ 2 ของบริษัทฯ เท่านั้น ปัญหา ระหว่างแม่ทีมกับลูกทีม ก็ยัง ฝุ่นตลบ จนเป็นเหตุที่ต้องมี การดำเนินคดีในเวลาไล่เลี่ย กัน
เรื่องนี้ อาจดูสลับซับ ซ้อน แต่เท่าที่จับประเด็นได้ ก็คือว่า ร.ต.ภิญโญ ได้สมัคร เป็นสมาชิกกับแม่ทีมคนหนึ่ง มีชื่อว่า ขวัญรวีย์ อภิวรวัสส์ ซึ่งมีตำแหน่งเป็นประธาน ภาคกลาง และเป็นเจ้าของ ศูนย์จ.นครปฐม ทั้งสองมีข้อตกลงกันว่า ฝ่ายร.ต.ภิญโญ จะเอารถยนต์ นั่งของตน มาจัดไฟแนนซ์ ใน มูลค่า 350,000 บาท เพื่อเอา เงินเข้าบริษัท ฯ โดยอ้างว่า จะ นำเงินไปสนับสนุนลูกทีม 30 คนให้แข็งแกร่ง โดยใน 30 คน จะมีการยืมเงินกองกลางก้อน นี้ไปลงทุน พร้อมกับจะจ่าย ดอกเบี้ยให้
ที่สำคัญ นางขวัญรวีย์ ก็ออกมาการันตี ว่าค่างวดใน การผ่อนรถ ทั้ง 48 งวด ตน จะเป็นคนรับผิดชอบการผ่อน ให้ทั้งหมด มิหนำซํ้า หลังจากจัด ไฟแนนซ์สำเร็จ ก็จะมีการ โอนเงินได้ส่วนหนึ่งจำนวน 64,000 บาทให้ ร.ต.ภิญโญ ทันที แต่เอาเข้าจริงปรากฏ ว่า ทั้งเงินได้จำนวน 64,000 บาท นางขวัญรวีย์ ไม่ได้มี การโอนให้ตามที่ได้ตกลงกัน นอกจากนี้ เงินผ่อนชำระค่า งวดรถยนต์ ก็มีการผลัดผ่อน การชำระอย่างไม่มีกำหนด ครั้นเมื่อมีการทวงถาม มากขึ้น นางขวัญรวีย์ กลับมี อาการโกรธ โดยเรียก ร.ต. ภิญโญ รวมทั้งเพื่อร่วมทีมอีก 1 คน คือ นายชรินทร์ มหาศรี มาต่อว่า แถมยังมีการขู่ว่าจะถอนการคํ้าประกันรถยนต์ รวมทั้งจะไม่มีการจ่ายเงินผล ประโยชน์ให้กับลูกทีมอีก 4 คน โดยโยนภาระไปให้ ร.ต.ภิญโญพร้อมกับเพื่อน ร่วมทีมรับผิดชอบเอง ไม่ว่าจะเป็นเงินค่า แฟรนไชส์ 5 แฟรนไชส์ ๆ ละ 7,500 บาท รวมทั้งเงินผล ประโยชน์ลูกทีมคนอื่น ๆ อีก คนละ 36,000 บาท จนสุดท้าย ทั้งร.ต. ภิญโญ ศุภมงคล รวมทั้งลูก ทีมรายอื่น ๆ จึงได้เข้าแจ้ง ความร้องทุกข์กับกองปราบ ซึ่งความคืบหน้าของคดีจะ เป็นอย่างไร ทั้งกรณีเรื่องการ ยกเลิกแผน กระเป๋าใบที่ 2 รวมไปถึงกรณีปัญหาระหว่าง แม่ทีมกับลูกทีม ตลาดวิเคราะห์ จะนำ มารายงานในโอกาสต่อไป..











ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 338 ประจำวันที่ 16-28 กุมภาพันธ์ 2556

TDNA โหมโรงเรื้อกม.ขายตรง นิโรธ แนะตั้ง กรม คุมเข้มธุรกิจ









สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย (TDNA) ประกาศ เดินหน้าแก้กม.ขายตรง เสนอให้มีหน่วยงานดูแลธุรกิจโดยเฉพาะ อ้างปัจจุบัน ธุรกิจขายตรงเหมือนถูก ฝากเลี้ยง เอาไว้ กับสคบ. เหตุคนกำกับดูแลมีเพียง6 คน ขณะที่ผู้ป ระกอบการพุ่งสูงถึง 885 ราย ชี้ควร แยกให้เด็ดขาดระหว่าง ธุรกิจขายตรงกับธุรกิจตลาดแบบตรง พร้อมเสนอตั้ง กองทุนคุ้มครอง ผู้เสียหายจากการทำธุรกิจขายตรง


รายงานล่าสุดเปิดเผยว่า เมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2556 ที่ผ่านมา สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย หรือ TDNA นำโดยอดีตเลขาธิการสำนักงานคณะ กรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.นายนิโรธ เจริญประกอบ นายกสมาคม ฯ คนปัจจุบัน ได้ เปิดเผยว่า กฎหมายขายตรง หรือพระราชบัญญัติขายตรง และตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 ซึ่งบังคับใช้มาเป็นเวลา 11 ปี เต็ม พบว่ายังมีปัญหาในการ บังคับใช้ค่อนข้างมาก
ทั้งนี้เนื่องจากตัวกฎหมายเองที่ล้าสมัย ไม่ สามารถจัดการปัญหาต่าง ๆ ได้ ตามเจตนารมณ์ของกฎหมาย มี หลายมาตราไม่สอดคล้องกับ ธุรกิจที่พัฒนาไปไกลกว่า กฎหมาย เช่นนิยามคำว่า ขาย ตรง ไม่ครอบคลุมการทำธุรกิจ โดยรวมทั้งหมด จึงได้มีการพูด คุยเรื่องนี้กันในสมาคม และ เสนอให้มีการรณรงค์แก้ไข กฎหมายครั้งใหญ่ รวมทั้งเสนอ ให้มีการตั้งสำนักงานเทียบเท่า กรมเพื่อกำกับดูแลธุรกิจขาย ตรงเป็นการเฉพาะ
โดยประเด็นหลักที่ทาง สมาคม ฯ ออกมาผลักดัน จำเป็นที่คนในวงการขายตรง ต้องร่วมกันผลักดัน เช่นนิยาม คำว่า ขายตรง ในตัวพระราช บัญญัติขายตรงและตลาดแบบ ตรง พ.ศ.2545 มีความหมาย แคบไป ไม่ครอบคลุมลักษณะ ของธุรกิจขายตรงที่เป็นอยู่ใน ปัจจุบัน ซึ่งมีลักษณะที่เป็น ธุรกิจเครือข่ายในสัดส่วนที่ มากขึ้น ดังนั้นควรที่จะเพิ่มให้ ครอบคลุมความหมายตาม ความเป็นจริงไปถึงธุรกิจเครือ ข่ายด้วย
ประเด็นต่อมาที่เป็น ปัญหาการบังคับใช้มาโดย ตลอด ตามกฎหมายเดิมปี 2545 ธุรกิจขายตรงและตลาด แบบตรง มีการรวมเอาไว้ใน ฉบับเดียวกัน จึงสมควรเสนอให้ มีการแยกเป็นธุรกิจขายตรงและ เครือข่ายเอาไว้ฉบับหนึ่ง และ ธุรกิจตลาดแบบตรงไว้อีกฉบับ ต่างหาก
ในส่วนของการคุ้มครองผู้บริโภค ควรที่จะมีการบัญญัติ ให้มีการจัดตั้งกองทุนของธุรกิจ ขายตรง เฉกเช่นเดียวกับกองทุน ประกันภัย หรือกองทุนคุ้มครอง ผู้ฝากเงิน โดยให้มีการตั้งคณะ กรรมการกองทุนเพื่อมาบริหาร จัดการ ในกรณีที่บริษัทขายตรง กระทำผิดทำให้ผู้บริโภคหรือนัก ธุรกิจอิสระเสียหาย ก็จะ สามารถใช้เงินกองทุนมาชดใช้ เยียวยาได้ โดยให้มีการจัดเก็บ เงินกองทุน ตามรายได้ผล ประกอบการของแต่ละบริษัท เป็นเปอร์เซนต์
นอกจากนี้ควรแก้กฎหมายกำหนดให้มีการขึ้น ทะเบียนนักธุรกิจอิสระ ให้หน่วย งานราชการที่ควบคุมกำกับดูแล เป็นผู้พิจารณาการรับรองการ ออกบัตรประจำตัวให้กับนัก ธุรกิจอิสระ และประเด็นสุดท้าย ที่มี ผลต่ออนาคตของธุรกิจ จึง สมควรแก้ไขกฎหมายกำหนด ให้มีหน่วยงานราชการเฉพาะซึ่ง มีสถานะเทียบเท่ากรม เป็นผู้ ควบคุม กำกับดูแลและรับรอง การประกอบธุรกิจขายตรงแทน สคบ. เนื่องจากปัจจุบันธุรกิจ ขายตรงเป็นธุรกิจขนาดใหญ่ มูลค่ารวมเกือบแสนล้าน/ปี เกี่ยวข้องกับการเติบโตทาง เศรษฐกิจ สร้างงานสร้างรายได้ ให้คนไทยจำนวนมหาศาล มีผู้ เกี่ยวข้องทั้งการบริโภค และการ ประกอบเป็นอาชีพทั่วประเทศ กว่า 10 ล้านคน
โดยล่าสุดข้อมูลการจด ทะเบียนผู้ประกอบธุรกิจ ขายตรง ตั้งแต่ปี 2545 -30 พฤศจิกายน 2555 มีผู้ได้รับการ จดทะเบียนให้ประกอบธุรกิจ ขายตรงไปแล้ว 885 ราย ที่ผ่านมา จะเห็นว่า สคบ.มีบุคลากรจำ กัด งบ ประมาณก็จำกัด โดยมีบุคคลที่ ดูแลด้านธุรกิจขายตรงเพียง 6 คนเท่านั้นขณะที่ผู้ประกอบการมีการจดทะเบียนเพิ่มขึ้นเป็น 885 ราย ทำให้การกำกับดูแล ไม่มีประสิทธิภาพเท่าที่ควร
นายนิโรธ กล่าวพร้อมกับ เสริมว่าจำนวนผู้ประกอบการที่ เพิ่มขึ้นทุกปี รวมทั้งมูลค่าตลาด จำนวนมหาศาล และคนที่ เกี่ยวข้องกับการขายตรงมี จำนวนมากขึ้นทุกวัน ยังไม่รวม ว่าประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน กำลังจะเกิดขึ้นเต็มรูปแบบในปี 2558 นี้ ซึ่งจะทำให้ทุนใหม่ ๆ ด้านธุรกิจขายตรงจากต่างชาติ จะไหลทะลักเข้ามามากขึ้น ขนาดธุรกิจและการเกี่ยวข้อง ของผู้สนใจในธุรกิจนี้ก็จะเพิ่ม มากขึ้นซึ่งสาเหตุสำคัญก็จะทำ ให้สคบ.รับภาระหนักมากขึ้น โดยที่ปัจจุบันก็แบกภาระด้านนี้ มากเกินกำลังอยู่แล้วแม่ล่าสุด สคบ.จะมีความพยายามทำงาน แบบบูรณาการร่วมกับหน่วย งานรัฐอื่น ๆ เพื่อให้มีประสิทธิ ภาพมากขึ้นแต่ก็สามารถกำกับ ดูแลได้แค่ระดับหนึ่งเท่านั้น นอกจากนี้ในประเด็น เรื่อง ความรัดกุมทางด้าน กฎหมายก็ยังไม่เพียงพอ โดยมี กิจการที่มีการทำธุรกิจไม่ชอบ อาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย เข้า มาดำ เนินธุรกิจ จนทำ ให้ ภาพพจน์ของธุรกิจขายตรงเสีย หาย รวมไปถึง พ.ร.บ.ขายตรง ฯ ก็ไม่มีบทลงโทษอะไรเลย กรณี ผู้ประกอบการที่ไม่มีใบอนุญาต มาดำเนินธุรกิจขายตรง ส่วนเรื่อง การที่จะต้อง รายงานผลการดำเนินงาน ใน ทางกฎหมายก็ระบุเอาไว้ชัดเจน ให้ผู้ประกอบการที่ได้รับใบ อนุญาตจะต้องรายงานผลการ ดำเนินงานทุก 6 เดือน หรือปีละ 2 ครั้ง แต่ที่ผ่านมาก็ไม่ค่อยได้ รับความสนใจ สคบ.ขาดความ จริงจังในการบังคับใช้กฎหมาย การดำเนินการส่วนใหญ่ จึงเป็นไปในลักษณะตั้งรับ คือ เมื่อเกิดกรณีปัญหา หรือเกิด ความเสียหายขึ้น จึงจะมีการ เข้าไปดำเนินการ ซึ่งตรงนี้ไม่ เพียงแต่ส่งผลเสียกับประชาชน ทั่วไป แต่ยังจะส่งผลเสียต่อผู้ ประกอบการที่ทำธุรกิจตรงไป ตรงมาด้วย
ไม่เพียงในประเด็น หลัก ๆ ที่กล่าวมาเท่านั้น ในการ พิจารณาคัดเลือกบริษัทที่จะรับ ใบอนุญาต ก็ยังมีการกำหนด กรอบไม่ชัดเจน โดยเฉพาะใน ประเด็น เรื่องตัวสินค้า ที่ยังมี การถกเถียงกันอยู่ก็คือ กรณี ของ สินค้าประเภทบริการ ซึ่ง ปัจจุบัน สคบ.มองว่า เป็นสินค้า ที่ไม่มีความชัดเจน จึงไม่มีการ อนุญาตให้ผู้ประกอบการที่ขาย สินค้าบริการ ได้รับใบอนุญาต การประกอบธุรกิจขายตรงได้ แต่ในหลักความเป็นจริง สินค้า บริการ หากซื้อแล้วสามารถ คืนได้ก็น่าจะอยู่ในกลุ่มสินค้า ทั่วไป นอกจากนี้ก็ยังมีประเด็น ปลีกย่อยอื่น ๆ อีกมากมาย ซึ่งจริง ๆ แล้ว เราเคยเสนอไป ในช่วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ โดยเสนอไป 5 ประเด็นหลัก แต่รัฐบาลก็มีการ ประกาศยุบสภาเสียก่อน จวบ จนกระทั่งมาถึงรัฐบาลปัจจุบัน จึงถือเป็นโอกาสดีที่จะมีกลับ มาทบทวนใหม่ โดยทางเราได้ เตรียมเสนอแก้กฎหมายใน ประเด็นหลัก ๆ เอาไว้ 10 ประเด็นด้วยกัน ซึ่งหลังจากนี้ก็ จะมีการหารือร่วมกับอีก 3 สมาคม ที่ทำธุรกิจด้านขายตรง ก่อนที่จะเสนอเรื่องผ่านไปยัง รัฐบาล นายนิโรธ กล่าว


 


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 338 ประจำวันที่ 16-28 กุมภาพันธ์ 2556

ข่าวไทยเฮลท์ (Thai Health) : ฉลองก้าวสู่ปีที่ 4 ยอดทะลุเป้า100 ล้าน พร้อมปรับแผนรุกขยายตลาดเครือข่ายทั่วประเทศ









ไทยเฮลท์ ปลื้มยอดขายปีที่ผ่านมา ทะลุเป้า สูงถึง 100 ล้าน พร้อมประกาศปี56 ขอเติบโตกว่า 5 เท่า หรือยอดขายไม่น้อยกว่า 500 ล้าน ฉลองการก้าวสู่ปีที่ 4 พร้อมชูกลยุทธ์การขยายเครือข่ายจากสื่อสถานีวิทยุชุมชน เข้าสู่สถานีวิทยุหลักจำนวน 12 สถานี และเพิ่มช่องรายการโทรทัศน์ เพื่อเข้าถึงผู้บริโภคให้กว้าง พร้อมพ่วงท้ายด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อสุขภาพใหม่อีก 5 รายการ เสริมจุดแข็งธุรกิจ

นายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไทยเฮลท์ จำกัด เผยถึง ผลประกอบการในปีที่ผ่านมาว่า ไทยเฮลท์ประสบความสำเร็จมียอดขายสูงสุดถึง 100 ล้านบาทตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ ซึ่ง ไทยเฮลท์ถือเป็นบริษัทขายตรงลูกผสมสื่อ ที่มีจุดเด่นในการทำตลาดผ่านเครือข่ายวิทยุชมชนที่มีอยู่กว่า 300 สถานี ครอบคลุมทั่วประเทศ และจากยอดขายที่ประสบความ สำเร็จนี้ในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่ง ยังมาจากแผนการตลาดที่มี ประสิทธิภาพ และศักยภาพอัน แข็งแกร่งของผู้แทนจำหน่ายด้วย
ต้องบอกว่า วันนี้ ไทย เฮลท์ มีความพร้อมในการทำ คอนเทนท์ต่าง ๆ มีทีมงานที่ทำ อยู่ตรงจุดนี้โดยเฉพาะ และก็มี เยอะ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของ เรดิโอ โอเค และก็ในส่วนของ บริษัท ไทยพลัส มีเดีย จำกัด พร้อมที่จะซัพพอร์ตตลอดเวลา แต่ละบริษัทนั้น ก็ถือว่าเป็น บริษัทในเครืออยู่แล้วเช่นบริษัท ไทยพลัส มีเดีย ก็เปิดเมื่อ ประมาณต้นปีที่แล้ว แต่ในส่วน ของ เรดิโอ โอเค ได้เปิดมานาน แล้วย่างเข้าสู่ปีที่ 6 ซึ่งความ พร้อมทุกอย่างของบริษัทฯ เรียก ได้ว่ามีครบถ้วนทีเดียว
นายพันธ์ยศ กล่าวอีกว่า ในเรื่องของสื่อวิทยุ ถือว่า ไทย เฮลท์ มีความพร้อมอย่างมาก เพราะบริษัทฯ มีวิธีการที่จะ สื่อสารออกไป โดยการเอาโมเดล มาประยุกต์ใช้กับไดเร็คเซลล์ ซึ่งถือว่าน่าสนใจมาก เนื่องจาก จะเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการหา พันธมิตรทางธุรกิจใหม่ ๆ นั้นเอง ซึ่งที่ผ่านมาทางบริษัทฯ ก็ใช้ โมเดลดังกล่าวประสบความ สำเร็จเกินคาดทีเดียว เรียกได้ว่า เป็นเจ้าแรกที่ทำในระบบขาย ตรงเลยก็ว่าได้
สำหรับในปี 2556 นี้ ไทย เฮลท์ ตั้งเป้ายอดขายเติบโตไม่ น้อยกว่า 5 เท่าตัว หรือมียอดขาย ประมาณ 500 ล้านบาท เพื่อ เป็นการเฉลิมฉลองก้าวสู่ปีที่ 4 นอกจากนี้ไทยเฮลท์ ยังประสบ ความสำเร็จ ในการขยายเครือ ขายสถานีวิทยุชุมชนไปสู่สถานี หลักได้ทั้งหมด 12 คลื่นหลัก และ เพิ่มอีก 1 ช่องรายการโทรทัศน์ใน ระบบดาวเทียมผ่านทางช่อง 80 ของระบบ C-Band (จานดำ) ใน ชื่อสวัสดีเมืองไทย มาช่วยเสริม ทัพให้แข็งแกร่งขึ้น จากเดิมที่ได้ รับความนิยมจากผู้ชมทางช่อง รายการ สวัสดี ทีวี ในระบบ CBAND (จานดำ) ช่อง 69 ที่สำคัญ ไทยเฮลท์ ยังได้มีการขยาย สาขาไปยังประเทศเพื่อนบ้านอีก ด้วย ซึ่งคาดว่าในปีนี้ จะขยายไป ยังประเทศลาวต่อไป
การขยายเครือข่ายสถานี วิทยุชุมชนไปสู่สถานีหลักและ การเพิ่มช่องทางรายการโทรทัศน์ ใหม่ จะช่วยเพิ่มช่องทางการ สื่อสาร ให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคใน วงกว้างมากขึ้น พร้อมกับยังคาด ว่าจะสามารถขยายฐานผู้รับฟัง รายการวิทยุจาก 3 ล้านคน และ ขยายฐานผู้รับชมรายการทีวี จาก 6 แสนคน เพิ่มขึ้นอีกไม่ตํ่า กว่าเท่าตัวอีกด้วย ซึ่งนี่ก็คือ อีก หนึ่งในกลยุทธ์หลักที่แข็งแกร่ง ของไทยเฮลท์ ในการมองหาช่องทาง และวางแผนขยายเครือข่าย สื่ออย่างต่อเนื่องทุกปีนั่นเอง
สำหรับปัจจัยที่สำคัญ ที่ทำให้ ไทยเฮลท์ สามารถ เติบโตแบบก้าวกระโดด ตรงตาม เป้าหมาย ส่วนหนึ่งก็มาจาก ผลิตภัณฑ์ที่ดีและตอบโจทย์ ความต้องการของสมาชิกได้ อย่างยอดเยี่ยม อย่างล่าสุด ไทยเฮลท์ ได้มีการวางแผนที่ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่เน้นกลุ่ม เป้าหมายไปที่กลุ่มลูกค้าผู้สูง อายุและกลุ่มคนรักสุขภาพ พร้อมกับการผลักดันกิจกรรมส่ง เสริมการขาย เพื่อกระตุ้นยอดผู้ แทนจำหน่ายอีกด้วย
ซึ่งผู้ที่สนใจจะเข้ามาทำ ธุรกิจนี้ จะต้องมีคุณสมบัติ คือ 1. รูปแบบที่มีสถานี หรือเป็นสื่อ อยู่แล้ว ก็เข้ามาร่วมธุรกิจกัน 2. รูป แบบที่สอง คือ ไม่รู้ ไม่เป็น แต่ อยากลงทุนเพราะเห็นช่องทางใน การทำธุรกิจที่ดี ในตรงนี้ บริษัทก็ จะมีการฝึกอบรมเรื่องของการ ทำสื่อให้ และทางบริษัทฯ ก็มี เจ้าหน้าที่ที่จะลงไปสอน ไปติดตั้ง ให้ คือเรียกว่า บริษัทฯ ซัพพอร์ต ทุกอย่าง แค่คุณมีเงินมาลงทุน คล้ายกับแฟรนไชส์เป็นส่วนหนึ่ง งบลงทุนก็แล้วแต่กำลัง ในส่วน การลงทุนเรื่องสินค้า ก็ไม่มีอะไร มากมาย และรูปแบบการโฆษณา บริษัทฯ จะเป็นผู้วางแผนให้ว่าจะ ต้องทำอย่างไร ซึ่งหากทุกคนมี ความพร้อมบริษัทฯ ก็สามารถ จัดการให้ทันที
ตอนนี้เราต้องการทำให้ สอดคล้องกับกฎหมายที่ทาง กสทช.ได้ออกมา และทาง ไทย เฮลท์ ก็ได้ทำการขอใบอนุญาต ไว้ค่อนข้างเยอะ ในหนึ่งใบ อนุญาตก็เท่ากับ 1 ร้านค้าที่เรา มีอยู่เพราะจะมีการเปิดร้านค้า โดยไม่มีขีดจำกัดไม่ได้ ตรงนี้ต้อง มีขีดจำกัด แต่ตรงนี้ใน ไทย เฮลท์ สามารถเปิดไปได้ทั่ว ประเทศ เพราะจังหวัดหนึ่งเรา สามารถเปิดได้หลายสถานี ตาม ที่มีใบอนุญาต ลงทุนตั้งแต่ 1 ล้านบาทขึ้นไป
นายพันธ์ยศ กล่าวเสริมอีก ว่า ในปีนี้ ไทยเฮลท์ ได้วาง แคมเปญ ไทยเฮลท์จัดเต็ม แจก รถ 9 คัน รวมมูลค่ากว่า 10 ล้าน บาท และแคมเปญท่องเที่ยวใน ประเทศ อีกหลากหลายทริป พร้อมด้วยแคมเปญท่องเที่ยวต่าง ประเทศ เพื่อเป็นแรงผลักดันและ เป็นรางวัลให้กับตัวแทนจำหน่าย ที่มีความมุ่งมั่นในการดำเนิน ธุรกิจอีกด้วย จากปัจจุบันที่ ไทย เฮลท์มียอดผู้แทนจำหน่ายอยู่ที่ ประมาณ 1,000 ราย




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 338 ประจำวันที่ 16-28 กุมภาพันธ์ 2556