ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันศุกร์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2556

ข่าวทีวี ไดเร็ค (TV Direct) : ทีวี ไดเร็ค โชว์ฟอร์มโกยกำไร 40% ลั่นปี 56 เร่งเครื่องดันยอดเพิ่ม 20%









ทีวี ไดเร็ค โชว์ความฟิตสตาร์ทเครื่องเรียกความเชื่อมั่น หลังเข้าตลาดหลักทรัพย์โกยกำไรเน้นๆ 49 ล้านบาท เติบโตเพิ่มอีก 40 % จากปีก่อน ขณะที่รายได้ปี 2555 ปิดบัญชีอยู่ที่ 2,237 ล้านบาท ประกาศจ่ายเงินปันผลงวดครึ่งปีหลังอัตราหุ้นละ 0.10 บาท พร้อมลั่นเดินหน้ารุกตลาดปี 2556 เต็มอัตราศึก เตรียมส่งสินค้าใหม่ให้ครอบคลุมทุกไลฟ์สไตล์ ผู้บริโภค ยุคใหม่ ชูจุดแข็งด้านช่วงทางขายที่หลากหลาย เชื่อมั่นสิ้นปีโกยรายได้เพิ่มอีก 20%


นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวีไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD เปิดเผยถึงผลดำเนินงานในช่วงปีที่ผ่านมาว่า ในปี 2555 บริษัทมีการเพิ่มศักยภาพในการดำเนินธุรกิจของ TVD เพื่อสร้างความเชื่อมั่นในธุรกิจโดยเฉพาะการเข้าสู่ตลาดหลักทรัพย์เป็นบริษัทมหาชน ซึ่งตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา TVD ได้รับการตอบรับจากประชาชนเป็นอย่างดีส่งผลให้การดำเนินงานในปี 2555 บริษัทมีกำไรสุทธิ 49.82 ล้านบาท เติบโต 40.58% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมาซึ่งมีกำไรสุทธิ 35.44 ล้านบาทขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 2,237.08 ล้านบาทเติบ 17.58% เทียบกับช่วงเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทั้งนี้การเติบโตดังกล่าวมาจากความสำเร็จด้านการทำตลาดและจำหน่ายสินค้าผ่านช่องทางการจัดจำหน่ายของ TVD ที่ประกอบด้วย สื่อโทรทัศน์ ทั้งฟรีทีวี เคเบิ้ลทีวีแบบบอกรับสมาชิก เคเบิ้ลท้องถิ่น ทีวีดาวเทียม โทรศัพท์ ออนไลน์และร้านค้าปลีก รวมถึงการนำเสนอสินค้าหลากหลาย แปลกใหม่ ทันสมัย ที่เข้าถึงความต้องการผู้บริโภคทุกกลุ่ม


ในปี 2555 ที่ผ่านมา ผลการดำเนินงานของ TVD เติบโตได้อย่างแข็งแกร่งทั้งในแง่กำไรและยอดขายที่มีความโดดเด่น แม้ว่า ในช่วงไตรมาส 4 เราจะประสบปัญหาเพลิงไหม้คลังสินค้าหลักที่บริษัทฯ ได้เช่าพื้นที่ ซึ่งสร้างความเสียหายเป็นจำนวนมาก แต่เราก็ยังสามารถจัดส่งสินค้าให้แก่ลูกค้าให้แก่ลูกค้าได้ตรงตามกำหนด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความเป็นมืออาชีพและความแข็งแกร่งในการดำเนินธุรกิจที่มีการบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพ ขณะเดียวกันบริษัทฯ ยังบันทึกรายได้จากการเคลมค่าสินไหมทดแทน จากบริษัทประกันภัยในวงเงิน 82 ล้านบาทในไตรมาส 4/2555 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว นายทรงพล กล่าว


ทั้งนี้จากความสำเร็จของผลการดำเนินงานดังกล่าว คณะกรรมการบริษัทฯจึงมีมติจ่ายเงินปันผลสำหรับผลการดำเนินงานปี 2555 (ม.ค.-ธ.ค.) ให้กับผู้ถือหุ้น ในอัตราหุ้นละ 0.15 บาท ซึ่งบริษัทฯ ได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลไปแล้ว เมื่อวันที่ 22 ตุลาคม 2555 ในอัตราหุ้นละ 0.05 บาท โดยจะจ่ายเงินปันผลอีกครั้งในอัตราหุ้นละ 0.10 บาท กำหนดวันขึ้นเครื่องหมาย XD ในวันที่12-14 มีนาคม 2556 และจ่ายปันผลใน วันที่ 11 เมษายน 2556 ซึ่งเป็นไปตามนโยบายการจ่ายเงินปันผลของบริษัทฯ ที่กำหนดจ่ายในอัตราไม่ต่ำกว่า 55% ของกำไรสุทธิ


นายทรงพล กล่าวเพิ่มเติมถึง กลยุทธ์สำหรับการขับเคลื่อนธุรกิจในปีนี้ว่า สำหรับแผนดำเนินงานปี 2556 บริษัทฯ มรแผนรุกทำตลาดโฮมช้อปปิ้งในประเทศไทยมากขึ้น หลังจากภาพรวมตลาดมีอัตราการเติบโตกว่า 100 % หรือมูลค่าตลาดรวม 5,000 ล้านบาท ซึ่งมีปัจจัยจากการมีคู่แข่งรายใหม่เข้ามาร่วมทำตลาดสร้างความคึกคักมากขึ้น รวมถึงการขยายตัวของเคเบิ้ลทีวีและทีวีดาวเทียมที่สามารถเข้าถึงกลุ่ม ผู้ชม ได้ถึง 10 ล้านครัวเรือน ส่งผลดีต่อผู้บริโภคที่จะได้รับโอกาสเลือกสินค้าที่มีความหลากหลาย และกระตุ้นให้เกิดการเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางดังกล่าวมากขึ้น จึงมั่นใจว่าศักยภาพการเติบโตของธุรกิจโฮมช้อปปิ้งในเมืองไทยจะยังมีแนวโน้มขยายตัวได้อีกมาก


นอกจากนี้ บริษัทฯ มีแผนเพิ่มสาขา TV Showcase เพิ่มอีกประมาณ 10 แห่ง จากเดิมที่มีอยู่ 70 แห่ง พร้อมเติมความแข็งแกร่งของช่องทางการจำหน่ายสินค้าอย่างต่อเนื่อง รวมถึงการเพิ่มสินค้าใหม่ๆ ให้สอดรับกับไลฟ์สไตล์ของลูกค้าเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น


ในปีนี้เรามองว่า ตลาดโฮมช้อปปิ้งจะมีความคึกคักเป็นอย่างมาก เนื่องจากมีคู่แข่งเข้ามาทำตลาดมากขึ้น โดย TVD จะใช้จุดแข็งด้านคุณภาพสินค้าและบริการที่ดีรวมถึงช่องทางการขายที่ครอบคลุมทุกช่องทางทั้งเคเบิ้ลทีวี ทีวีดาวเทียม ฟรีทีวีและแอพพลิเคชั่นบนมือถือสมาร์ทโฟน เข้ามาเสริมความแข็งแกร่งให้ธุรกิจ ประกอบกับแบรนด์ทีวี ไดเร็ค ที่อยู่ในตลาดมานานกว่า 10 ปี ซึ่งผู้บริโภคให้การยอมรับและเชื่อมั่น จึงมั่นใจว่าจะสามารถผลักดันได้ในปี 2556 ให้เติบโตขึ้น 20 %




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.LEADER TIME ฉบับที่ 219 ประจำวันที่ 16-31 มีนาคม 2556


 

ข่าวโมรินดา (Morinda) : เปิดใจ...วิภารัตน์ รัตนพรหมมา เปิดกลยุทธ์ 13 ปี Morinda ...the Spirit of'96









ก้าวเข้าสู่ปีที่ 13 แล้วสำหรับ โมรินดา บริษัทยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน ที่เคยสร้างประวัติศาสตร์ให้กับนักธุรกิจขายตรงด้วยการปลุกกระแส โนนิ ฟีเวอร์ ปั๊มยอดขายติดอันดับ 1 ใน 5 บริษัทขายตรงในประเทศไทยที่มียอดขายสูงสุดและสร้างผู้นำระดับแถวหน้าอยู่ในวงการขายตรงมานักต่อนัก จุดเด่นของ โมรินดาคือความเป็นต้นตำหรับที่ได้นำเอา โนนิ มาเป็นวัตถุดิบหลักในการผลิต ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารรูปแบบน้ำภายใต้ชื่อ ตาฮิเตียน โนนิ จากนั้นได้ขยายสาขาไปยัง 77 ประเทศทั่วโลกและแตกไลน์ผลิตภัณฑ์ไปยังกลุ่มสินค้าเพื่อสุขภาพอื่นๆอย่างต่อเนื่อง จนกระทั่งปีปัจจุบันกับการสร้างแบรนด์ใหม่ ภายใต้คอนเซ็ปต์ The Spirit of96


บริษัทโมรินดา เวิร์ลไวด์ (ประเทศไทย) จำกัด มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่มลรัฐยูท่าห์ ประเทศสหรัฐอเมริกา เปิดดำเนินธุรกิจตั้งแต่ปี ค.ศ. 1996 โดยผู้ก่อตั้งทั้งหมด 5 คนได้แก่ เคอร์รี่ เอเซ่ย์,จอห์น วาดส์เวิร์ธ,เคลลี่ โอลเซ่น,สตีเฟ่น สตอรี่ และคิม เอเซย์ ต่อมาในระยะเวลาเพียง 5 ปี หรือเมื่อปี 2001 โมรินดาได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร INC 500 ให้เป็นบริษัทเอกชนลำดับที่ 26 ที่มีอัตราการเติบโตรวดเร็วที่สุดในสหรัฐอเมริกาและเป็นบริษัทธุรกิจขายตรงเพียงรายเดียวที่ได้รับการจัดอันดับ


หลังจากประสบความสำเร็จในประเทศสหรัฐอเมริกา โมรินดาได้เดินหน้าส่งมอบพันธกิจในการแบ่งปันสิ่งดีๆและคุณค่าที่ดีต่อสุขภาพจากผลโนนิ(ลูกยอ) ที่อุดมด้วยสารอาหารที่เรียกว่า อิริดอยส์ ให้กับผู้คนทั่วโลก การวิจัยและพัฒนาอย่างจริงจังทำให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตาฮิเตียน โนนิ ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางจนกระทั่งเมื่อปี 2008 ได้สร้างสถิติใหม่ด้วยการพิชิตยอดขายรวมกว่า 4 พันล้านเหรียญสหรัฐและมียอดคอมมิชชั่นที่จ่ายให้กับที่ปรึกษาผลิตภัณฑ์อิสระ (IPCs) หรือนักธุรกิจโมรินดารวมกว่า 2.1 พันล้านเหรียญสหรัฐ ทั้งนี้ยังไม่รวมรางวัลพิเศษที่สร้างแรงจูงใจในการทำงานอื่นๆ อีกมากกว่า 100 ล้านเหรียญสหรัฐ


โมรินดาสามารถช่วยให้ผู้คนมีสุขภาพดีด้วยผลิตภัณฑ์อันทรงคุณค่าที่ได้รับการวิจัยและพัฒนาอย่างไม่หยุดยั้ง ควบคู่กับการมีรายได้จากแผนการจ่ายผลตอบแทนที่จ่ายออกสูงสุดมากถึง 53% นอกจากนี้ยังมีโอกาสเดินทางท่องเที่ยวไปยังทั่วทุกมุมโลก ซึ่งเป็นหนึ่งในรางวัลการจ่ายผลตอบแทนที่โมรินดามอบให้กับที่ปรึกษาผลิตภัณฑ์อิสระ


คอนเซ็ปต์ The Spirit of 96 เป็นแนวคิดที่ต้องการให้ครอบครัวโมรินดาระลึกถึงที่มาบริษัท และบอกเล่าเรื่องราวของโมรินดาให้กับผู้คนทั่วโลก สร้างจุดแข็งด้วยการเป็นเจ้าแรกในตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดน้ำที่ผลิตจากผลโนนิ ภายใต้แบรนด์ ตาฮิเตียน โนนิ นอกจากนี้โมรินดายังได้เปิดตัวนวัตกรรมใหม่ที่เป็นทั้งเครื่องมือในการทำงานของที่ปรึกษาผลิตภัณฑ์อิสระทั่วโลกและเป็น แบรนด์ใหม่ ที่จะเปิดตัวเป็นทางการภายในงานประชุมนานาชาติประจำปี 2013 ในเดือนเมษายนที่จะถึงนี้คือ TruAge


สำหรับกลยุทธ์ทางการตลาดของโมรินดาในปีนี้จะมุ่งเน้นไปยัง 3 ส่วนใหญ่ๆที่มีความสำคัญต่อการขยายฐานธุรกิจ ได้แก่การพัฒนาและวิจัยผลิตภัณฑ์ให้สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างครอบคลุม,การสร้างวัฒนธรรมให้ IPCs มีการสั่งซื้อผลิตภัณฑ์อย่างต่อเนื่องทุกเดือน ภายใต้โปรแกรม Auto ship,รางวัลแผนการจ่ายผลตอบแทนหรือฟาสสตาร์ท โบนัสต่างๆทั่วโลก รวมไปถึง Incentive Trip กับบริษัทที่มีการจัดทริปอย่างต่อเนื่องเป็นประจำทั้งที่เป็น Global Incentive,SEA Incentive, Local Incentiveโดยเป้าหมายหลักคือการทำให้ IPCs มีรายได้ขั้นต่ำ 30,000 ต่อเดือน มีโอกาสเข้าร่วมทริปประชุมสัมมนารอบโลกกับบริษัท


คุณวิภารัตน์ รัตนพรหมมา ผู้จัดการประจำ ประเทศไทย บริษัท โมรินดา เวิร์ลไวด์ (ประเทศไทย จำกัด) เปิดเผยว่า The Spirit of 96 เป็นแนวคิดที่มีเป้าหมายเพื่อสร้างการรับรู้และระลึกถึงจุดเริ่มต้นของธุรกิจ โมรินดา นั่นหมายถึงว่า เมื่อเอ่ยถึง โนนิ (ลูกยอ) จะต้องนึกถึง โมรินดา ซึ่งเป็นบริษัทแรก ที่นำเอาวัตถุดิบที่ถูกเรียกว่าเป็น Medicinal Plant หรือพืชสมุนไพรที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพ ซึ่งได้รับการยอมรับจากชาวพื้นเมือง แห่งเกาะตาฮิติ มาแล้วกว่าพันปีว่าสามารถช่วยให้มีสุขภาพของดีและมีอายุยืนยาว ด้วยคุณประโยชน์ของโนนิ จึงเป็นที่มาของ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตาฮิเตียน โนนิ ไอโอแอคทีฟและผลิตภัณฑ์อื่นๆ อีกกว่าร้อยรายการที่ล้วนแล้ว แต่ใช้โนนิเป็นวัตถุดิบหลัก ไม่ว่าจะเป็นผล ใบและเมล็ด


เมื่อเอ่ยถึงคำว่า แบรนด์ เราต้องสามารถทำให้ผู้บริโภคนึกถึงความเป็นตวามเป็นค้นฉบับ ความเป็นเอกลักษณ์ ความแตกต่างที่เหนือกว่าคู่แข่งขันตามท้องตลาด การที่จะทำให้แบรนด์ได้รับการยอมรับและเป็นที่น่าจดจำ คือ สิ่งที่สำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าคุณภาพสินค้า เพราะหากสินค้ามีคุณภาพดีแต่แบรนด์ไม่เป็นที่รู้จัก แน่นอนว่าโอกาสทางการค้าย่อมลดลงตามไปด้วย นอกจากที่กล่าวมาข้างต้น TruAge จะเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่จะมาเสรอมกำลังทัพของเราในการบุกตลาดปีนี้ TruAge จะมีทั้งเป็น เครื่องมือที่จะช่วยวัดค่าอายุ ความเสื่อมของอร่างกาย มีผลิตภัณฑ์ ที่จะนำมาสนับสนุนแบรนด์นี้


โมรินดา ไม่เคยหยุดที่จะวิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์เพื่อส่งมอบสุขภาพและโอกาสทางธุรกิจที่ดีให้กับผู้บริโภค โดยใช้การศึกษาทางคลินิกในมนุษย์ ทำให้ได้ผลลัพธ์ที่ชัดเจมากกว่าเอเทียบการศึกษาในสัตว์ หรือพืช มี ผลงานวิจัยมากกว่า 16 ชิ้น ที่ได้รับการตีพิมพ์และเผยแพร่ในวารสารทางการแพทย์ โดยเฉพาะการค้นพบ อิริดอยส์ สารอาหารที่มีอยู่ในโนนิ ซึ่งมีคุณสมบัติเพื่อการต้านอนุมูลอิสระที่จะช่วยให้ร่างกายมีภูมิต้านทานต่อสิ่งแปลกปลอมที่เข้ามาในร่างกายไม่ว่าจะเป็นการหายใจ การรับประทานอาหารและเครื่องดื่ม กระทั่งถึงภาวะความเครียดจากการใช้ชีวิตประจำวัน ซึ่งส่งผลต่อระดับของ AGE ในร่างกายที่ไม่สมดุล และส่งผลร้ายต่อสุขภาพผ่านโรคภัยไข้เจ็บต่างๆ


คุณวิภารัตน์ กล่าวต่อไปว่า ในปีนี้ AGE จะเข้ามามีบทบาทมากที่สุด โดยทางบริษัทจะมีเครื่องสแกนที่เรียกว่า TruAge ในร่างกายได้ว่าอยู่ในระดับใด เหมือนกับการตรวจวัดระดับคลอเรสเตอรอล,ระดับไขมัน หรือระดับความดันโลหิตในร่างกาย ผลที่ปรากฏจากการใช้เครื่องสแกนจะช่วยให้การดูแลสุขภาพเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง


AGE ตามความเข้าใจของทุกคนคือ AGE หมายถึง อายุ ซึ่งเป็นการแปลความหมายของคำจากภาษาอังกฤษมาเป็นภาษาไทย ในความเป็นจริงแล้ว AGE คือ Advanced Gyration End products ซึ่งหมายถึงความเสื่อมถอยของระบบต่างๆ ที่ตามมาจากการศึกษาวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ค้นพบว่า AGE คือปัจจัยสำคัญที่ทำให้เกิดริ้วรอยและการเสื่อมสภาพตามส่วนต่างๆของร่างกายส่งผลต่อความยืดหยุ่นและความคล่องตัว รวมไปถึงภูมิต้านทานโรคที่จะลดลงเมื่อ AGE ในร่างกายขาดความสมดุล หรือเทียบอีกนัยหนึ่งที่ง่ายๆ คือระบบการทำงานภายในร่างกายมากกว่าอายุจริงตามที่เราเป็นอยู่ เช่น เรามีอายุ 39 ปี แต่ระบบการทำงานต่างๆ ของร่างกายเราเท่ากับคนอายุ 45 ปี หรือ 50 สิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นกับผู้คนโดยทั่วไป ทำให้เกิดคำถามว่าจะมีสักกี่คนที่ระบบการทำงานภายใน น้อยกว่า อายุจริงที่นับตามปีปฏิทิน


กลยุทธ์การสร้างการรับรู้ให้กับที่ปรึกษาผลิตภัณฑ์อิสระเกี่ยวกับ AGE ผ่านการแชร์วีดีโอจาก www.TruAge.com ผ่าน Social media ไม่ว่าจะเป็น เฟซบุ๊ค,ทวิสเตอร์,อีเมล์และกูเกิ้ล พลัส เพื่อสร้างสิทธิ์ลุ้นรับของรางวัลมูลค่ารวมเกือบ 3.2 ล้านบาท อาทิ ทริปเดินทาง กรุงเทพ-ฮาวาย, มินิไอแพดและอื่นๆอีกมากมาย


สิ่งหนึ่งที่จะทำให้เราได้เป็นคนที่มีระบบการทำงานภายในน้อยกว่าอายุจริง คือการบริโภคผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีคุณสมบัติในการต้านอนุมูลอิสระ ที่อุดมด้วยสารอาหารที่เรียกว่า อิริดอยส์ โดยพบมากที่สุดใน โนนิ บลูเบอร์รี่ แคนเบอร์รี่และองุ่นสีม่วง ที่มีส่วนช่วยให้ AGE ของเราลดลง ส่วนผสมทั้งหมดนี้มีอยู่ที่ผลิตภัณฑ์ MAX ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารในรูปแบบน้ำที่มีงานวิจัยรองรับว่าการดื่ม MAX ประจำทุกวัน AGE ในร่างกายของเราจะลดลงหรือพูดอีกนัยหนึ่งคือ ผิวพรรณ หน้าตา ระบบต่างๆ ร่างกายเราจะทำงานมีประสิทธิภาพมากกว่าอายุจริง ถึงเวลาแล้วนะคะที่เราจะช่วยกันส่งมอบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่ดีมีคุณภาพให้กับคนที่เรารัก เร่งสร้างความสมดุลให้กับระดับ AGE ในร่างกายของคุณและคนที่คุณรักเพื่อสุขภาพที่ดี และที่สำคัญคือได้ความรู้สึกที่พิสูจน์ได้จากประสิทธิภาพการทำงานของร่างกายที่คล่องตัว ยืดหยุ่นและและแข็งแรงดุจคนวัยสาว คุณวิภารัตน์ กล่าว


อย่างไรก็ตาม แนวทางการทำงานของโมรินดาเพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่วางไว้ในแต่ละประเทศก็จะสอดคล้องกับนโยบายหลักจากสำนักงานใหญ่ คือการตอกย้ำแนวคิด ควบคู่ไปกับแผนการทำงานของประเทศนั้นๆ ในส่วนของประเทศไทยนั้นจะให้ความสำคัญกับการสนับสนุนให้ที่ปรึกษาผลิตภัณฑ์อิสระประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นการจัดทำโปรโมชั่น,การอบรมสัมมนา, Leadership Training ไตรมาสละ 1ครั้ง, กิจกรรมผสานความสามัคคี One Day Trip 6 ครั้งต่อปี และการจัดประชุมรายสัปดาห์ รวมไปถึงการออกบูธแสดงสินค้าเพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคโดยตรงนอกจากนี้ยังคงทำการโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆควบคู่ไปกับกิจกรรมดังกล่าวตลอดทั้งปี


กิจกรรมที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆนี้ คือ งานประชุมผู้นำระดับนานาชาติ ตั้งแต่วันที่ 10-14 เมษายน ที่ฮาวาย ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยในปีนี้มีผู้นำคนไทยและทั่วโลกได้ลงทะเบียนเข้าร่วมงานดังกล่าวแล้วหลากหลายพันคนซึ่งก่อนหน้านี้เราๆได้มีการทำโปรโมชั่น Hawaii 5.0 มอบโชคให้กับผู้นำทั้งหมด 77 สาขาทั่วโลก รวมระยะเวลา 3 เดือน โดยทำการจับรางวัลทุกสัปดาห์รวมทั้งสิ้น 12 ครั้ง และมีคนไทยโชคดีได้รับรางวัลใหญ่ ตั๋วเครื่องบินไป-กลับ กรุงเทพ-ฮาวาย,ที่พักโรงแรมระดับ 5 ดาว 4 คืน 5 วัน ที่ฮาวาย และรางวัลส่วนรถต่างๆเป็นจำนวนมาก


สำหรับประเทศไทยได้วางแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ไตรมาสละ 1 ครั้ง สำหรับในไตรมาสแรกนี้ จะประเดิมตลาดด้วยผลิตภัณฑ์ MAX ตามด้วยการเข้าร่วมงานประชุมระดับภูมิภาคและระดับนานาชาติ อาทิ ILC 2013, Pearl Camp, Vision Retreat, Jade Retreat ,Outrigger และอื่นๆอีกมากมาย ที่ได้จัดเตรียมไว้สำหรับสนับสนุนการทำงานของ IPCS ในประเทศไทย โดยตั้งเป้าผลประกอบการปี 2013 ว่าจะเติบโตขึ้นอีก 100% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา


หากจะกล่าวถึงภาพรวมของตลาดน้ำลูกยอในประเทศไทย คงต้องบอกว่ามีมากมายหลายยี่ห้อแต่สำหรับยี่ห้อที่ทำตลาดอยู่ในธุรกิจเครือข่าย เป็นที่ยอมรับของผู้บริโภคและยังคงเป็นยี่ห้อที่ครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุดก็คือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตาฮิเตียน โนนิ เพราะผลิตภัณฑ์ของเราหากมองในแง่ของมาตรฐานการผลิตตั้งแต่ต้นน้ำ คือ การคัดเลือกสายพันธุ์ของลูกยอที่ดีที่สุด ปลูกในพื้นที่ที่ปราศจากมลภาวะอย่างเกาะตาฮิติ มีการสลักหมายเลขไว้บนต้นทุกต้นและทุกผลว่ามาจากต้นใด เพื่อที่จะใช้เป็นข้อมูลในการตรวจเช็คหากพบว่าผู้บริโภคได้รับผลข้างเขียงจากการใช้ผลิตภัณฑ์ ซึ่งข้อมูลต่างๆ เหล่านี้จะถูกสลักลงบนขวดด้วยเช่นกัน
ในขณะเดียวกันการที่โมรินดาจะออกผลิตพันธุ์ใหม่ในแต่ละรายการจะต้องได้รับการวิจัยและพัฒนาในคลินิกทางมนุษย์ก่อนทุกครั้ง ซึ่งแตกต่างจากการวิจัยของผลิตภัณฑ์อื่นๆที่อาจจะใช้สัตว์ หรือพืชในการทำการวิจัยทำให้ผลลัพธ์ที่ออกมาอาจจะไม่สมบูรณ์เท่ากับการวิจัยทางมนุษย์ ดังนั้นจึงเป็นคำตอบที่ดีว่าทำไมตาฮิเตียน โนนิ จึงยังคงยืนหยัดอยู่คู่คนไทยมาร่วม 13 ปี เพราะผู้บริโภคมีการซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง ฐานลูกค้าของโมรินดาที่ประเทศไทยมากกว่า 70 % คือ End User และมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์เป็นอย่างมาก




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.LEADER TIME ฉบับที่ 219 ประจำวันที่ 16-31 มีนาคม 2556



วันพฤหัสบดีที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2556

ข่าวจอย แอนด์ คอยน์ (J&C) : สมศรี นพรัตน์ แดงเย็น นักธุรกิจมือทอง จอย แอนด์ คอยน์ ความซื่อสัตย์เป็นส่วนหนึ่งในความสำเร็จของเรา









ทุกเส้นทางสู่ความสำเร็จ ย่อมมีปัญหาและอุปสรรค เวลาเจอปัญหาจะไม่มองว่าเป็นปัญหา ตามองว่าเป็นบันไดก้าวสู่ความสำเร็จยิ่งก้าวมากเท่าไหร่เราก็จะประสบความสำเร็จเร็วเท่านั้น เช่นเดียวกันบันไดชีวิตใหม่ของผู้นำมือพระกาฬ สมศรี นพรัตน์ นักธุรกิจตำแหน่งไดเร็คเตอร์ แผนทวิน บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอปอเรชั่น จำกัด ผู้ที่ไม่ยอมแพ้ต่อโชคชะตาและสามารถฟันฝ่าอุปสรรคชีวิตจนมีดีถึงทุกวันนี้


สมศรี แดงเย็น อดีตข้าราชการระดับสูง โรงพยาบาลปัตตานี จากความคิดเดิมๆเธอคาดหวังว่าอาชีพรับราชการจะเติมเต็มความมั่นคงให้แก่ชีวิตเหตุเพราะถูกปลูกฝังมาตั้งแต่เยาว์วัย ละเป็นอาชีพที่เป็นความฝันของครอบครัวที่ต้องการให้ลูกผู้หญิงรับราชการ เพราะจะได้หมดห่วง จึงทำให้เธอเดินบนเส้นทางการใช้ชีวิตแบบเดิมๆ ตลอดระยะเวลา 24 ปีที่ผ่านมาบนเส้นทางที่เธอเลือก แต่แล้วเมื่อมาถึงจังหวะชีวิตที่ทำให้เธอฉุกคิดว่าบนเส้นทางแบบเดิมๆนี้แม้จะมีความมั่นคงสูง แต่งานที่ทำไม่สามารถตอบสนองความมั่งคั่ง หรือยกระดับฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้นได้ โดยเฉพาะโจทย์ชีวิตความต้องการด้านปัจจัยสี่ ที่มนุษย์ทุกคนพึงได้ทั้งหมด มิหนำซ้ำหลังจากเลือกใช้ชีวิตคู่แต่งงานอยู่กินกับสามี (คุณนพรัตน์ แดงเย็น) และมีทายาทสืบสกุล 2 คน ยิ่งทำให้ค่าใช้จ่ายในครอบครัวเริ่มขัดสน เรียกได้ว่ารายจ่ายมากกว่ารายรับเกิดขึ้นทุกเดือน ทำให้เธอเริ่มมองหาลู่ทางใหม่เพื่อต้องการหารายได้เสริมด้วยการลงทุนธุรกิจ พร้อมๆกับการกู้เงินมาลงทุนอย่างต่อเนื่องแต่สุดท้ายงานที่ทำนั้นก็ไม่ทำให้ทั้งคู่ก้าวถึงฝั่งฝันเพราะทุกธุรกิจที่ทำเป็นเงินทุนหมุนเวียนได้ได้ไม่คุ้มเสีย จนกลายเป็นหนี้สินดินพอกหางหมูมากกว่า 3 ล้านบาท


จนกระทั่งปี 2545 ฟ้าก็ได้เปิดชีวิตใหม่ให้กับเธอและสามีได้รู้จักกับธุรกิจเครือข่าย J&C (บริษัทจอย แอนด์ คอยน์ คอปอเรชั่น จำกัด) จากคำแนะนำของ เพรสซิเด้นส์ บรรเจิด-สายฝน แก้วสมวงศ์ และได้สัมผัสถึงจุดแข็งทางธุรกิจที่ทำให้เธอมีชีวิตที่ดีกว่าได้อย่างชัดเจน ประการที่ 1.ผลิตภัณฑ์ดีจริงใช้แล้วเห็นผลชัดเจน โดยเฉพาะสมุนไพร โหย่งเหิง ที่ทำให้สามีของเธอหายจากโรคหัวใจขาดเลือด 2.ให้ผลตอบแทนสูงจ่ายจริง 3. ธุรกิจจอย แอนด์ คอยน์ เป็นทั้งธุรกิจค้าส่ง ค้าปลีกและธุรกิจขายตรงในเครือเดียวกัน ถือเป็นธุรกิจที่มหัศจรรย์เจ้าแรก เจ้าเดียวในไทยและระดับโลก นับเป็นเจ้าของธุรกิจเครือข่ายผู้บริโภคอย่างแท้จริง และหลังจากที่ได้ซึมซับธุรกิจอย่างแตกฉานมองเห็นลู่ทางการสร้างชีวิตใหม่ที่ได้ทั้งความมั่นคงและมั่งคั่ง สุดท้ายเมื่อตกผลึกความคิดใหม่เธอจึงตัดสินใจลาออกจากชีวิตข้าราชการมุ่งธุรกิจเน็ทเวิร์ค J&C เต็มตัว หลังจากนั้นก็ไต่ระดับความสำเร็จก้าวสู่ผู้นำคุณภาพที่มีทีมงานมากมาย


ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา ดิฉันมีอิสรภาพการใช้ชีวิตทุกอย่าง แม้ว่าจะหยุดงานแต่รายได้ไม่หยุดตาม และสามารถปลดล็อคหนี้สินหลัก 3 ล้านบาทได้ภายในเวลาอันรวดเร็ว ชีวิตมั่นคงขึ้นมาก มีเงินซื้อบ้านแฝดให้ลูกได้อยู่อาศัย ถอยรถป้ายแดงไว้ขับชิลๆ ถึง 2 คัน และล่าสุดเมื่อปลายปีที่ผ่านมาได้ซื้อบ้านเดี่ยว ราคา 6 ล้านบาทเป็นของขวัญวันเกิดให้กับตนเอง พร้อมทั้งเปิดโลกกกว้างด้วยการเดินทางท่องเที่ยวต่างประเทศฟรีๆ เฉลี่ยปีละ 3-5ประเทศ อย่างมีความสุขล้วนเป็นความสุขที่J&C มอบให้ทั้งสิ้น


หากถามถึงเป้าหมายความสำเร็จขั้นต่อไป สมศรี เธอบอกอย่างมั่นใจว่า จะเป็นผู้พลิกฝันร้ายทีมงานพี่น้องชาวใต้ที่ใช้ชีวิตอย่างสุ่มเสี่ยงกับเหตุการณ์อันไม่สงบ ได้พบกับฝันดีของการมีชีวิตใหม่ด้วยการก้าวขึ้นแท่นผู้นำธุรกิจระดับเดียวกับเธอให้ได้มากที่สุด


ส่วนเป้าหมายตัวเธอนั้นแน่นอนว่าจะพิชิตเป้าหมายใหญ่ในตำแหน่งเพรสซิเด้นส์ แผนทวินก่อนสิ้นปีนี้ และความสำเร็จที่เกิดขึ้นอย่างสวยหรูนี้เป็นเพราะผู้นำคุณภาพทั้งคู่ยึดมั่น ปรัชญาการทำงาน ความซื่อสัตย์เป็นส่วนหนึ่งของความสำเร็จเรา




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.LEADER TIME ฉบับที่ 219 ประจำวันที่ 16-31 มีนาคม 2556

ข่าว 4ไล้ฟ์ (4life ) : กิจภูเบศ ธนกิจสุนทร คีย์แมนขายตรงอินเตอร์ 4 ไล้ฟ์ชูภารกิจ...ขยับก้าวโต 30 % เล็งผุดศูนย์สาขาเจาะภาคเหนือ









ขอโตเงียบ...ไม่หวือหวาสำหรับยักษ์ขายตรงอินเตอร์ฯในนามบริษัท 4ไล้ฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยมีคีย์แมนคนสำคัญอย่าง กิจภูเบศ ธนกิจสุนทร (ที่ 3 จากขวา)นั่งกุมบังเหียนผู้จัดการทั่วไป ซึ่งยังคงขยับยอดขายให้พุ่งทะยานได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ในระดับ 30 % ทั้งเตรียมวางหมากดันผู้บริโภคเป็นผู้จำหน่ายขยายธุรกิจไปพร้อมๆกับการผุดศูนย์สาขาไว้รองรับตลาดภาคเหนือ โดยเฉพาะที่เชียงใหม่ภายในปลายปีนี้ รวมถึงการกางแผนเข็นสินค้าใหม่ 2 รายการเด่น ผลิตดูแลรูปร่าง และ ผลิตภัณฑ์ทรานฟอแฟ็คเตอร์ พุ่งเป้าบำรุงหัวใจเข้ามาเจาะตลาดในไทย ซึ่งเชื่อมั่นว่าสิ้นปีนี้จะสามารถกวาดยอดขายเพิ่มขึ้น 30% อีกด้วยเช่นกัน


หากพูดถึงภาพความสำเร็จของธุรกิจ 4 ไล้ฟ์ (ประเทศไทย) ในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมาถือว่า เติบโตเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก ด้วยยอดขายเติบโตสูงถึง 30 % ขณะที่ยอดผู้จำหน่ายอิสระที่สมัครใหม่เข้ามาตัวเลขเพิ่มขึ้นถึง 35 % เมื่อเทียบกับช่วง 2 ปีที่ผ่านมา ไม่เพียงเท่านั้นยอดจำนวนผู้จำหน่ายที่ก้าวขึ้นตำแหน่งในระดับสูงก็เพิ่มขึ้นด้วย โดยในปีที่ผ่านมามีผู้จำหน่ายอิสระก้าวขึ้นในตำแหน่งระดับสูงเพิ่มอีก 2 รหัส ขณะที่ภาพรวมของ 4 ไล้ฟ์ทั่วโลกยังคงมีทิศทางเติบโตต่อเนื่องเช่นกันโดยในปีนี้ 4 ไล้ฟ์ทั่วโลกคาดว่าจะถูกจัดอันดับให้สูงขึ้นจากเมื่อ 2 ปีก่อนที่ Direct selling News จัดอันดับให้อยู่ที่ 45 ของโลก


การเติบโตของ 4 ไล้ฟ์ที่ค่อนข้างโดดเด่นในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมา บุคคลที่ถือว่ามีส่วนสำคัญในการผลักดันให้ธุรกิจขายตรงข้ามชาติก้าวขึ้นมาผงาดอยู่ในระดับแถวหน้าของเมืองไทยได้ นั่นคือ กิจภูเบศ ธนกิจสุนทร ผู้จัดการทั่วไป ซึ่งเขาถือเป็นคีย์แมนคนสำคัญในการวางกลยุทธ์ให้บริษัท 4 ไล้ฟ์เติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน


กิจภูเบศ ธนกิจสุนทร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท 4 ไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับภาพรวมของธุรกิจ 4 ไล้ฟ์ทั้งในประเทศไทยและทั่วโลกว่า ในช่วงปี 2555 ที่ผ่านมา 4 ไล้ฟ์ มีการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เป็นผลมาจากในช่วงตลอด 6 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้วางรากฐานไว้ค่อนข้างแน่น โดยมีบริษัทมีนโยบายไม่เน้นการเติบโตแบบหวือหวา แต่จะเน้นการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนเป็นหลัก


สำหรับกลยุทธ์ในการทำตลาดในปี 2556 นั้น บริษัทได้เตรียมผลักดันในส่วนของสมาชิกที่เป็นผู้บริโภคให้หันมาเป็นผู้จำหน่ายเพิ่มมากขึ้น พร้อมทั้งการขยายฐานผู้จำหน่ายอิสระรายใหม่ๆ ให้เข้ามาสู่ธุรกิจ 4 ไลฟ์มากขึ้นเช่นกัน นอกจากนี้ยังได้เสริมกลยุทธ์ใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการทำงานของผู้จำหน่ายอิสระในหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นการจัดทริปท่องเที่ยวต่างประเทศ,การออกผลิตภัณฑ์ใหม่ เพื่อตอบสนองกับไลฟ์สไตล์ของคนไทยให้เพิ่มมากขึ้นและการจัดหลักสูตรฝึกอบรมเพื่อเสริมศักยภาพผู้นำให้มีความรู้ในธุรกิจขายตรงมากขึ้น โดยปัจจุบันสัดส่วนของผู้จำหน่ายอิสระที่เป็นทำธุรกิจประมาณ 30 %และอีก70% เป็นผู้บริโภค


เราจะมีการปรับหลักสูตรฝึกอบรม เพื่อเป็นแรงผลักดันให้ผู้บริโภคเข้ามาเป็นผู้ทำธุรกิจ ควบคู่ไปกับการดึงวิทยากรจากภายนอกเข้ามาช่วยพัฒนาศักยภาพของผู้นำ เช่น การจัดหลักสูตรไดมอนด์แคมป์ ตลอดจนการวางกลยุทธ์หลักที่เราเน้นมาโดยตลอด คือ การทำงานร่วมกับผู้นำ ทำให้เราสามารถสับสนุนการทำงานของผู้นำได้อย่างเต็มที่ และทำให้ผู้นำสามารถออกไปขยายเครือข่ายได้ง่ายขึ้นด้วย กิจภูเบศ กล่าว และอธิบายเพิ่มเติมอีกว่า


ในปีนี้เราคาดว่าจะมีผู้นำที่ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งในระดับสูงเพิ่มขึ้นอย่างน้อย 2-3 รหัส รวมถึงผู้นำที่อยู่ในระดับตำแหน่งโกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล ไดมอนด์และแพลทตินั่ม อินเตอร์เนชั่นแนล ไดมอนด์ ซึ่งเป็นตำแหน่งสูงสุดในระดับโลก โดยปัจจุบันมีผู้จำหน่ายอิสระที่ขึ้นตำแหน่งระดับแพลทตินั่มฯ


จากทั่วโลกมีทั้งหมด 9 รหัสและมีเพียง 1 รหัสที่เป็นผู้นำจากสิงคโปร์ ซึ่งเราคาดว่าจะมีผู้นำจากประเทศไทยสามารถพิชิตตำแหน่งเหล่านี้มาได้ภายในไม่เกิน 3-5ปีอย่างแน่นอน


นอกจากการวางกลยุทธ์ดังกล่าวข้างต้นแล้ว ในส่วนของการขยายศูนย์สาขาเพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตก็ถือเป็นสิ่งจำเป็น โดยในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้


บริษัทมีแผนจะเปิดศูนย์สาขาที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อรองรับกับความต้องการของผู้จำหน่ายอิสระที่จะเข้ามาเพิ่มขึ้น สาเหตุที่เลือกจังหวัดเชียงใหม่เป็นศูนย์สาขาแรกในภาคเหนือ เนื่องจากเชียงใหม่เป็นจังหวัดใหญ่และเป็นศูนย์กลางของภาคเหนือ ซึ่งถือเป็นตลาดที่สำคัญเป็นอันดับ 2 รองจากภาคกลาง ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียดเพิ่มเติมเท่านั้น


นายกิจภูเบศ กล่าวอีกว่า อีกหนึ่งกลยุทธ์หลักที่สำคัญในการผลักดันยอดขายในปีนี้ให้เติบโต 30-40% คือการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ออกมากระตุ้นยอดขายอย่างต่อเนื่อง เช่นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มดูแลรูปร่างที่คาดว่าจะเปิดตัวได้ภายในช่วงไตรมาสแรกของปีนี้, กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลผิวผิวพรรณและกลุ่มผลิตภัณฑ์บอดี้แคร์นอกจากนี้ 4 ไล้ฟ์ยังมีแผนจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆที่เป็นหมัดเด็ดออกมาอาทิ ทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ ที่มีความโดดเด่น มีคุณสมบัติเสริมภูมิคุ้มกันในร่างกานให้แข็งแรง รวมทั้งเป็นผลิตภัณฑ์ตัวแรกที่ได้รับสิทธิบัตร และเป็นผลิตภัณฑ์บำรุงหัวใจ อย่างไรก็ดีคาดว่าหลังจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ในกลุ่มดูแลรูปร่างจะช่วยเพิ่มยอดขายให้เติบโตเพิ่มขึ้น 30-40%


เรายังมีกลยุทธ์อื่นๆ ที่จะนำเข้ามาเสริมทัพในอนาคตอันใกล้นี้ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจ คือการเพิ่มช่องทางในการทำธุรกิจ โดยการนำเทคโนโลยีใหม่ๆ เข้ามาใช้เช่น แอพพลิเคชั่นใหม่ๆที่ทางสำนักงานใหญ่เป็นผู้พัฒนาขึ้นมา ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเข้ามาเสริมศักยภาพให้กับผู้จำหน่ายอิสระให้สามารถออกไปทำธุรกิจได้ง่ายขึ้น อีกทั้งยังเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่มุ่งหวังเจาะผู้จำหน่ายอิสระที่เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้เข้ามาร่วมธุรกิจกับ 4 ไล้ฟ์ มากยิ่งขึ้นด้วย


กิจภูเบศ กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า การก้าวเข้าสู่ปีที่ 7 ของ 4 ไล้ฟ์ ถือเป็นการเติบโตที่มั่นคง และถือว่ามีความแข็งแกร่ง เนื่องจากบริษัทมีฐานผู้บริโภคที่ค่อนข้างเหนียวแน่นมาก ซึ่งบริษัทได้วางแผนอนาคตสำหรับการก้าวเข้าสู่ 1 ทศวรรษที่ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยไว้ว่าจะต้องเติบโตแบบทวีคูณเท่าตัว 100% ให้ได้ภายใน 3 ปี ข้างหน้าด้วยกลยุทธ์ที่กล่าวมาแล้วทั้งหมด




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.LEADER TIME ฉบับที่ 219 ประจำวันที่ 16-31 มีนาคม 2556

ข่าวกิฟฟารีน (Giffarine Thailand) : กิฟฟารีน ดีดยอดพุ่งโตเพิ่ม7.01% เล็งเป้าหมาย 6,500 ล้าน ! เขย่าตลาดปี56








กิฟฟารีนโชว์ตัวเลขเติบโตสำหรับปี 2555 ที่รับทรัพย์ทะลักกระเป๋า!!หลังปิดบัญชียอดขายได้สูงถึง 5,878 ล้านบาทหรือคิดเป็นอัตราการเติบโต 7.01 % ทั้งเตรียมเดินหน้าเขย่าตลาดปีมะเส็งเต็มพิกัดศึกตอกย้ำ 4 กลยุทธ์หลักให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น ตั้งเป้าโตเพิ่มอีก 7% หวังคว้ายอดขาย 6,500 ล้านบาทในปีนี้พร้อมเสริมทัพช่องทาง กิฟฟารีน แชนเนล เพิ่มความหลากหลาย โชว์สดแบบเรียลไทม์ (Real time) บนอินเตอร์เน็ต


พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เผยถึงผลประกอบการในปี 2555 ว่าการเติบโตของกิฟฟารีนในช่วงปีที่ผ่านมาเป็นที่น่าพอใจโดยสามารถเติบโตเพิ่มขึ้นได้มากถึง 7.01% หรือคิดเป็นตัวเลขยอดขายโดยรวมในระดับ 5,878 ล้านบาท ซึ่งคาดเคลื่อนไปจากดกเป้าหมายเดิมที่ตั้งไว้ที่ 6,000 ล้านบาท อันเนื่องมาจากผลพวงจากสถานการณ์อุทกภัยในช่วงในช่วงปลายปี 2554 ที่ทำให้สายการผลิตที่โรงงานได้ราบผลกระทบ จึงมีผลต่อยอดขายในไตรมาสแรก แต่ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดและแคมเปญต่างๆในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้สามารถตีตื้นยอดขายขึ้นได้


สำหรับทิศทางการตลาดโดยรวมในปี 2556 นี้ กิฟฟารีนตั้งเป้าไว้ที่ 6,500 ล้านบาท โดยนโยบายหลักจะเน้นในเรื่องการสร้างภาพลักษณ์ทางธุรกิจ ผ่านเครื่องมือทางการตลาดอย่าง กิฟฟารีน แชนเนล ที่พร้อมออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ทางอินเตอร์เน็ต เพื่อแสวงหากลุ่มเป้าหมายใหม่และการขยายเครือข่ายไปสู่คนรุ่นใหม่ พร้อมทั้งกระตุ้นผู้สมัครใหม่ให้ใช้สินค้าอย่างต่อเนื่องด้วยโปรโมชั่นและแคมเปญต่างๆตลอดจนการตอบแทนผลกำไรคืนสู่สมาชิกในรูปแบบใหม่ที่น่าตื่นเต้น อาทิ การท่องเที่ยวประเทศญี่ปุ่น (Fantastic Japan Awards) การมอบรางวัลทางธุรกิจ (Unilevel Awards) เป็นต้น


ด้านนายพงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการตลาด บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวเสริมถึงแผนการตลาดในปี 2556 ว่า การตลาดในปีนี้ จะเน้นหนักใน 4 กลยุทธ์เป็นสำคัญ ได้แก่ การฝึกอบรม (Training) แบ่งเป็นการอบรมด้านผลิตภัณฑ์และการอบรมด้านธุรกิจ ที่มีการพัฒนาบุคลากรและหลักสูตรให้เข้าใจง่าย มีความทันสมัย เพื่อให้นักธุรกิจนำไปขยายงานได้ง่ายขึ้น การประชาสัมพันธ์และการใช้เครื่องมือทางการตลาดต่างๆ ซึ่งปัจจุบันได้เพิ่มเครื่องมือที่ช่วยในการขยายช่องทางการตลาดมากขึ้น การพัฒนาคุณภาพของผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ โดยบริษัทได้วางแผนเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในเดือน มีนาคมและกันยายน ที่จะถึงนี้ และสุดท้ายในส่วนของกิฟฟารีนแชนแนล ที่เพิ่งเปิดตัวไปเมื่อปีที่แล้ว และได้รับเสียงตอบรับที่ดีจากสมาชิกกิฟฟารีนกว่าแสนหลังคาเรือน รวมทั้งในปีนี้จะเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นผู้ชมทั่วไป โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบรายการให้มีความหลากหลายมากยิ่งขึ้น ทั้งเนื้อหาสาระและความบันเทิงแบบครบครัน



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.LEADER TIME ฉบับที่ 219 ประจำวันที่ 16-31 มีนาคม 2556

ขายตรงมาเลฯโตสวนกระแส มูลค่ารวมยอดทะลัก90,000ล.









ที่ปรึกษาบริษัทขายตรงเบอร์ 1 ของประเทศมาเลเซียเผยยอดรวมมูลค่าขายตรงปี55 เติบโตสูงถึง 90,000 ล้านบาทเพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้านี้ถึง 15 % แม้ในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจของประเทศชะลอตัวส่งผลให้บริษัทขายตรงต้องปิดกิจการถึง 34 บริษัท เผยปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวส่งผลดีต่อภาพรวมขายตรงทั้งระบบเพราะประชาชนหันมาทำธุรกิจขายตรงเพื่อชดเชยรายได้ที่หดหายกันมากยิ่งขึ้น


Mr.S.Y.Khor กรรมการผู้จัดการ บริษัท MLM SMART RESOURCES (Malaysia) จำกัด ในฐานะบริษัทที่ปรึกษาการลงทุนให้กับหน่วยงานภาคเอกชนและหน่วยงานราชการเกี่ยวกับการดำเนินธุรกิจขายตรงอีกทั้งยังเป็นบริษัทที่ปรึกษาทางการตลาดอันดับหนึ่งในประเทศมาเลเซีย เปิดเผยถึงภาพรวมธุรกิจขายตรงในประเทศมาเลเซียประจำปี 2555 ที่ผ่านมาว่า ถึงแม้ในปีที่ผ่านมาเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศมาเลเซียจะอยู่ในภาวะชะลอตัวแต่ในภาคส่วนของธุรกิจขายตรงยังคงมีอัตราการเติบโตที่เพิ่มสูงขึ้น โดยคิดเป็นมูลค่าประมาณ 9,000 ล้านริงกิต (หรือประมาณ 90,000 ล้านบาท) เฉลี่ยอัตราการเติบโตประมาณ 15% เมื่อเทียบกับปี 2554 ที่ผ่านมาที่ธุรกิจขายตรงในประเทศมาเลเซียมีมูลค่าโดยรวมประมาณ 8,000 ล้านริงกิต


ปัญหาเศรษฐกิจชะลอตัวเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจขายตรงในประเทศมาเลเซียเติบโตขึ้นแบบสวนกระแสเนื่องจากประชาชนภายในประเทศแทบทุกครัวเรือนจำเป็นต้องหางานทำเพิ่มขึ้น ทั้งงานพาร์ทไทม์ (งานเสริม) และงานฟูลไทม์ (งานประจำ) เพื่อชดเชยกับรายได้ที่ขาดหายไปและธุรกิจขายตรงก็เป็นทางเลือกที่ผู้คนส่วนใหญ่ชื่นชอบเพราะนอกจากจะได้เห็นผลตอบแทนที่ดีกลับมาแล้วในส่วนของการลงทุนทำธุรกิจก็ไม่จำเป็นต้องใช้เงินลงทุนมากนัก อีกทั้งสินค้าก็มีให้เลือกหลากหลายรายการ ทั้งอาหารเสริมสุขภาพและสินค้าอุปโภค-บริโภค ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวันอยู่แล้ว Mr.S.Y.Khor กล่าวต่ออีกว่า จากปัญหาเศรษฐกิจที่ชะลอตัวภายในประเทศมาเลเซียเมื่อปี 2555 ที่ผ่านมาส่งผลให้บริษัทขายตรงจำนวนมากถึง 34 บริษัท จำเป็นต้องปิดกิจการลงด้วยปัญหาดังกล่าวซึ่งจะเห็นได้ว่านับตั้งแต่เดือนมกราคม 2555 มีบริษัทขายตรง (ทุกแผนการตลาด) ที่เปิดดำเนินกิจการทั้งหมดจำนวน 556 บริษัท และจากการสำรวจครั้งล่าสุดเมื่อเดือนธันวาคมที่ผ่านมาพบว่ามีบริษัทขายตรงที่ยังประกอบธุรกิจอยู่มีจำนวนทั้งสิ้น 522 บริษัท และในจำนวนบริษัททั้งหมดนี้ 20% เป็นบริษัทต่างประเทศที่เข้ามาลงทุนและอีก 80% เป็นบริษัทขายตรงภายในประเทศ




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.LEADER TIME ฉบับที่ 219 ประจำวันที่ 16-31 มีนาคม 2556


หลักเกณฑ์และคุณสมบัติของบริษัทขายตรงที่มีสิทธิรับตราสัญลักษณ์คุ้มครองผู้บริโภค









1.ได้รับการจดทะเบียนพาณิชย์ตามพระราชบัญญัติทะเบียนพาณิชย์ พ.ศ.2499


2. ได้รับการจดทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรงตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545


3. ผู้ประกอบธุรกิจต้องไม่เคยกระทำผิดอาญาตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 หรือพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโดกงประชาชน พ.ศ.2527 เว้นแต่ได้พ้นโทษในความผิดดังกล่าวมาแล้วไม่น้อยกว่า 2 ปี


4. ไม่เคยถูกเพิกถอนใบอนุญาตการประกอบธุรกิจขายตรงตามพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ.2545


5. จัดให้มีการรับประกันความเสียหายที่เกิดจากการใช้สินค้าอย่างใดอย่างหนึ่งต่อไปนี้


5.1 จัดให้มีธนาคารออกหนังสือรับประกันที่จะชดใช้ความเสียหายในวงเงินที่สำนักงานฯเห็นสมควร


5.2 จัดให้มีกองทุนชดใช้ความเสียหาย โดยให้สมาคมที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นสมาชิก ออกหนังสือรับประกันที่จะชดใช้ความเสียหายกรณีที่สำนักงานฯ สั่งให้ชดเชยความเสียหาย


5.3 จัดให้มีกรมธรรม์รับผิดชดใช้ความเสียหายตามจำนวนวงเงินความเสียหายที่สำนักงานฯเห็นสมควร


6. ต้องดำเนินการประกอบธุรกิจขายตรงมาแล้วไม่ต่ำกว่า 2 ปีและเป็นสมาชิกสมาคมที่มีวัตถุประสงค์เกี่ยวกับธุรกิจขายตรง


7. ยื่นงบการเงินต่อกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เป็นประจำต่อเนื่องทุกปี


8. ผู้มีอำนาจจัดการกิจการองค์กรบริษัทหรือนิติบุคคลต้องไม่มีประวัติเสื่อมเสียในการดำเนินธุรกิจขายตรงมาก่อน


9.ไม่มีประวัติการขาดทุนอย่างต่อเนื่องเกินกว่า 2 ปี


10. แผนการจ่ายผลตอบแทน สินค้า หรือบริการและหลักเกณฑ์เงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจของผู้ประกอบธุรกิจต้องเป็นไปตามที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภครับจดทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรง


11. ต้องรายงานผลการประกอบธุรกิจต่อสำนักงานฯอย่างต่อเนื่องทุกๆ 6 เดือน


12. สินค้าที่นำมาจ่ายต้องได้รับอนุญาต รับรอง หรือ จดแจ้งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เว้นแต่เป็นสินค้าที่กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ต้องขออนุญาต รับรองหรือจดแจ้งจากหน่วยงานดังกล่าว


13. สินค้าที่นำมาจำหน่ายต้องแสดงฉลากถูกต้องตามที่กฎหมายกำหนด


14. การโฆษณาและประชาสัมพันธ์อยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงไม่อวดอ้างสรรพคุณเกินความเป็นจริง


15. สัญญาระหว่างผู้ประกอบธุรกิจกับผู้จำหน่ายอิสระหรือผู้บริโภคทุกฉบับต้องเป็นธรรมและไม่เอาเปรียบ


16. มีการกำหนดให้รับคืนสินค้าจากผู้จำหน่ายอิสระหรือตัวแทนจำหน่ายภายใน 30 วันนับแต่วันที่ได้รับสินค้าโดยการหักค่าดำเนินการตามที่จ่ายจริง


17. มีการกำหนดให้รับคืนสินค้าจากผู้บริโภคภายใน7 วันนับแต่วันที่ได้รับสินค้า


18. มีการจัดทำและส่งมอบเอกสารซื้อขายสินค้าหรือบริการให้กับผู้บริโภค รวมทั้งจัดทำและส่งมอบเอกสารการซื้อขายสินค้าหรือบริการหรือคู่มือการดำเนินธุรกิจให้กับผู้จำหน่ายอิสระ


19. มีช่องทางการรับแจ้งข้อมูลจากลูกค้า เช่น ข้อร้องเรียน มีข้อเสนอแนะอย่างชัดเจน




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.LEADER TIME ฉบับที่ 219 ประจำวันที่ 16-31 มีนาคม 2556


ปรับเพิ่มวงเงินแบงก์การันตี สคบ. ขอห้าแสน ! บ.ขายตรง รับตราสัญลักษณ์









สคบ.รุกคืบขอปรับเพิ่มวงเงิน แบงก์การันตี สำหรับกลุ่มบริษัทสมาชิกสมาคมการขายตรง (TDSA) ใหม่ยกทั้งกระบิ! หลังจากเห็นตัวเลขวงเงินที่ ทีดีเอสเอ นำเสนอมาตั้งแต่ 100,000 บาท 300,000 บาท ตามขนาดของธุรกิจเพื่อขอรับ ตราสัญลักษณ์สคบ. ยังไม่จูงใจเท่าที่ควร ประกาศขอปรับเพิ่มเป็น 500,000 บาท เท่ากันทุกบริษัทและมีกำหนดระยะเวลาค้ำประกันตั้งแต่ 30 เมษายน 2556 30 เมษายน 2558 ในขณะที่ กิจธวัช ฤทธีราวี นายกฯ ทีดีเอสเอขานรับนโยบายภาครัฐ ส่งหนังสือประสานขอความร่วมมือบริษัทสมาชิกสมาคมร่วมปฎิบัติตามอย่างเร่งด่วนและเชื่อมั่นว่าบริษัทสมาชิกสมาคมฯ ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดี ด้าน จิรชัย มูลทองโร่ย นายใหญ่สคบ. ประกาศชัด สมาคมการขายตรงไทย ซึ่งมีสมาชิกบริษัทขายตรงอยู่ในสังกัด 34 บริษัทจะเป็นสมาคมแรกที่นำร่อง รับตราสัญลักษณ์คุ้มครองผู้บริโภค ซึ่งจะจัดขึ้นในงานวันคุ้มครองผู้บริโภค 29-30 เมษายนนี้


จากกรณีที่สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เล็งเห็นว่าในปัจจุบันปัญหาการร้องเรียนของผู้บริโภคที่รับความเดือดร้อนหรือเสียหายอันเนื่องมาจากการกระทำของผู้ประกอบธุรกิจทั้งในด้านการจำหน่ายสินค้าและการให้บริการที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง สคบ. จึงได้กำหนดโครงการ ตราสัญลักษณ์คุ้มครองผู้บริโภค เพื่อเป็นการประกันการชดเชยความเสียหายให้แก่ผู้บริโภคอันเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคในการบริโภคสินค้าและการบริการที่เข้าร่วมโครงการ จำนวน 26 ประเภท ได้แก่ รถยนต์ใช้แล้ว ทองรูปพรรณ อัญมณี โทรศัพท์มือถือ ห้างสรรพสินค้า เครื่องใช้ไฟฟ้า สินค้าเกษตร บัตรเครดิต ธุรกิจเสริมความงาม สถานบริการน้ำมัน โรงพยาบาล ศูนย์บริการดูแลเด็ก ผู้ป่วย ผู้สู.อายุ รถยนต์ใหม่ หอพัก บ้านจัดสรรและอาคารชุด ธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ ฟิตเนส อู่ซ่อมรถยนต์ ตั๋วเครื่องบิน บริษัทนำเที่ยว โรงเรียนกวดวิชาต่างๆ โรงแรม โรงภาพยนตร์ ธุรกิจขายตรง ธุรกิจออนไลน์และบริษัทออกแบบ


ทั้งนี้ตราสัญลักษณ์การคุ้มครองผู้บริโภค (Consumer Protection Guarantee) นอกจากจะเป็นการคุ้มครองผู้บริโภคแล้วยังมีข้อดีต่อผู้ประกอบธุรกิจในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภคแล้วยังมีข้อดีต่อผู้ประกอบธุรกิจในการสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค ลดปัญหาหารฟ้องร้องทั้งทางแพ่งและอาญาอีกทั้งเป็นการ ส่งเสริมผู้ประกอบการที่มีความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ซึ่งเป็นผลดีต่อการเตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 อีกด้วย


สำหรับในภาคส่วนของ ธุรกิจขายตรง ที่ปัจจุบันมีผู้ประกอบการที่ได้ยื่นขออนุญาตประกอบธุรกิจขายตรงตั้งแต่ปี 2545-ปัจจุบัน มีจำนวนรวมทั้งหมด 856 บริษัทและธุรกิจขายตรงก็จัดอยู่ในกลุ่ม ธุรกิจการให้บริการ ที่จะต้องเข้าหลักเกณฑ์ ข้อบังคับ ว่าด้วยการใช้เครื่องหมายรับรองตราสัญลักษณ์การคุ้มครองผู้บริโภคด้วยเช่นกัน แต่ทั้งนี้บริษัทขายตรงที่จะมีสิทธิได้รับตราสัญลักษณ์ฯดังกล่าวนี้... จะต้องเป็นบริษัทขายตรงที่ได้รับการรับรองสถานะของการเป็นสมาชิกสมาคมขายตรง จากสมาคมที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขายาตรงเป็นลำดับแรก ซึ่งข้อสรุปในจุดนี้ก็คือ บริษัทขายตรงที่มีสิทธิได้รับตราสัญลักษณ์ฯจะต้องเป็นสมาชิกของสมาคมการขายตรงแห่งใดแห่งหนึ่งเท่านั้นและบริษัทขายตรงที่ไม่มีสังกัดหรือไม่ได้เป็นสมาชิกของสมาคมใดสมาคมหนึ่งที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขายตรงก็จะไม่มีโอกาสรับตราสัญลักษณ์ดังกล่าวนี้


ซึ่งในปัจจุบันประเทศไทยมีสมาคมที่เกี่ยวข้องกับภาคส่วนธุรกิจขายตรงถึง 4 สมาคมด้วยกันคือ 1.สมาคมการขายตรง (TDSA) ปัจจุบันมี นายกิจธวัช ฤทธิราวี จาก บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ดำรงตำแหน่งนายกสมาคม ซึ่งสมาคมนี้ถือเป็นสมาคมขายตรงเพียงแห่งเดียวที่เป็นสมาชิกของสมาพันธ์การขายตรงโลก (WFDSA) ที่ก่อตั้งมานานถึง 30 ปีแล้วและปัจจุบันมีบริษัทขายตรงรายใหญ่ของเมืองไทยและต่างประเทศเข้าร่วมเป็นสมาชิก ประมาณ 34 บริษัท 2. สมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย (TDIA) ซึ่งสมาคมนี้ก่อตั้งมานานร่วม 16 ปีแล้ว มีสมาชิกประมาณ 24 บริษัทและปัจจุบันมี นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ กรรมการผู้จัดการบริษัท โควิก เคทท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ดำรงตำแหน่งนายกฯ 3. สมาคมพัฒนาการขายตรงไทย (TSDA) ก่อตั้งเมื่อราว 3 ปีที่ผ่านมา มีสมาชิกบริษัทขายตรงเข้าร่วมเป็นสมาชิกประมาณ 13 บริษัทมี นายอนุวัฒน์ ธรมธัช กรรมการผู้จัดการบริษัท จอยน์ มาร์ท จำกัด ดำรงตำแหน่งนายกสมาคมฯ และสมาคมที่ 4.สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย (TDNA) ซึ่งเป็นสมาคมขายตรงล่าสุดที่เปิดตัวเมื่อราวกลางเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมาโดยมี นายนิโรธ เจริญประกอบ อดีตเลขาฯ สคบ. ดำรงตำแหน่งนายกฯ โดยมีบริษัท นีโอไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนลจำกัด,บริษัท โมนาวี ประเทศไทย จำกัด,บริษัท เวิลด์โปร์ จำกัด ร่วมกันจัดตั้งสมาคมขึ้นมาอย่างเป็นทางการ


อย่างไรก็ตามเป็นที่รับรู้กันอย่างกว้างขวางว่า... โอกาสที่ทั้ง 4 สมาคมขายตรงที่มีอยู่ในประเทศไทยในเวลานี้จะมารวมตัวกันเป็นหนึ่งเดียวกันได้นั้นนับว่าเป็นเรื่องที่ยากที่จะมีความเป็นไปได้อย่างยิ่งถึงแม้ว่าทั้ง 4 สมาคมจะมีวัตถุประสงค์ในการจัดตั้งสมาคมฯขึ้นมาเหมือนๆ กันคือ... ร่วมกันส่งเสริมพัฒนาและยกระดับมาตรฐานธุรกิจขายตรงให้เป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้น ก็ตาม!


ขณะเดียวกันในเรื่องของหลักเกณฑ์ต่างๆ ที่นายกสมาคมขายตรงของแต่ละสมาคมจะหาข้อสรุปร่วมกันระหว่างบริษัทสมาชิกสมาคมเพื่อเป็นทางสำหรับการขอรับมอบตราสัญลักษณ์คุมครองผู้บริโภคตามนโยบายของสคบ. ภายใต้กรอบกติกาข้อบังคับ 3 ข้อที่สคบ.กำหนดไว้เป็นแนวทางในการปฏิบัติคือ 1.จัดให้ธนาคารออกหนังสือรับประกัน (แบงก์การันตี) ที่จะชดใช้ความเสียหายในวงเงินที่สำนักงานฯเห็นสมควร 2.จัดให้มีกองทุนชดใช้ความเสียหาย โดยให้สมาคมที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นสมาชิกออกหนังสือรับประกันที่จะชดใช้ความเสียหายกรณีที่สำนักงานฯ สั่งให้ชดเชยความเสียหาย 3.จัดให้มีกรมธรรม์รับผิดชดใช้ความเสียหายตามจำนวนวงเงินความเสียหายตามจำนวนวงเงินความเสียหายที่สำนักงานฯเห็นสมควร(ซึ่งแนวทางในข้อ 3 นี้เดิมกำหนดให้ทุกบริษัทขายตรงจะต้องซื้อประกันกับบริษัทประกันภายในอัตรา0.25%-0.50%จากยอดขายในแต่ละปี) ซึ่งแต่ละแนวทางนี้ขึ้นอยู่กับสมาคมขายตรงแต่ละสมาคมจะไปหาข้อสรุปกันเองว่า จะเลือกใช้แนวทางไหน หรืออาจจะเลือกแนวทางที่เหมือนกันก็เป็นได้


ก่อนหน้านั้นเมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ 2556 นายกิจธวัช ฤทธิราวี นายกสมาคมการขายตรงไทย (TDSA) ได้มีการจัดประชุมหารือระหว่างคณะผู้บริหารจากบริษัทสมาชิกของสมาคม ในวันงาน CEOs Meet CEOs เพื่อหารือเกี่ยวกับประเด็นเกี่ยวกับหลักเกณฑ์การมอบตราสัญลักษณ์คุ้มตรองผู้บริโภคในประเภทธุรกิจขายตรง ที่ทางสคบ. กำหนดทางเลือกให้แกผู้ประกอบการเป็น 3 แนวทาง (ตามแนวทางที่ได้กล่าวไว้ข้างต้น) ซึ่งมติเสียงส่วนใหญ่จากผู้เข้าร่วมประชุมเห็นชอบให้สมาชิกทุกบริษัทของสมาคมที่ประสงค์จะขอรับตราสัญลักษณ์ดังกล่าวนี้ใช้เป็นแนวทางเลือกที่ 1 คือ จัดให้ธนาคารทางเกี่ยวกับการรับทราบหลักเกณฑ์และวงเงินที่จะจัดทำแบงก์การันตีในการขอรับตราสัญลักษณ์ฯจากสคบ.สำหรับออกหนังสือรับประกัน (Bank Guarantee) ที่จะชดใช้ความเสียหายในวงเงินที่สำนักงานฯเห็นสมควร


ทั้งนี้การประชุมหารือระหว่างคณะผู้บริหารจากบริษัทสมาชิกสมาคมในวันนั้น ได้มีข้อสรุปเกี่ยวกับวงเงินสำหรับการจัดทำแบงก์การันตีไว้ดังนี้ 1.บริษัทขายตรงที่มียอดขายต่ำกว่า 1,000 ล้านบาทต่อปีจะต้องทำแบงก์การันตีไว้ที่ 100,000 บาท 2.บริษัทขายตรงที่มียอดขายตั้งแต่ 1,000-5,000 ล้านบาทจะต้องการันตีไว้ที่ 200,000 บาท และ 3.บริษัทที่ยอดขายมากกกว่า 5,000 ล้านบาทขึ้นไปต่อปีจะต้องทำแบงก์การันตีไว้ที่ 300,000 บาท โดยธนาคารจะคิดค่าธรรมเนียมประมาณร้อยละ 2.5 ของวงเงินที่ได้ทำแบงก์การันตีไว้ ซึ่งจากข้อสรุปสมาคมการขายตรงไทยในวันนั้นได้ถูกนำเสนอให้นายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการสคบ. พิจารณาถึงความเหมาะอีกครั้งหนึ่งแล้วจะแจ้งผลการพิจารณากลับให้กับสมาคมฯ ทราบภายใน 1 สัปดาห์ ถัดไป


ล่าสุดเมื่อวันที่ 1 มีนาคม 56 ที่ผ่านมา คุณสุกานดา ชุณหชัชราชัย ผู้จัดการสมาคมการขายตรง (TDSA) ได้ส่งเอกสารแจ้งไปยังบริษัทสมาชิกสมาคมฯ ถึงผลการพิจารณาของสคบ. เกี่ยวกับวงเงินในการจัดทำแบงก์การันตีโดยได้ข้อสรุปว่า สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคได้มีการพิจารณากำหนดหลักเกณฑ์ใหม่เกี่ยวกับวงเงินเพื่อการรับประกันความเสียหายที่เกิดจากการใช้สินค้าหรือบริการจากวงเงินเดิมที่สมาคมฯเคยเสนอไปให้พิจารณา ซึ่งทางสคบ. ได้พิจารณาแล้วและขอแก้ไขจำนวนวงเงินใหม่ เป็น 500,000 บาท โดยทุกบริษัทต้องดำเนินการในวงเงินเท่ากันทั้งหมดและมีกำหนดระยะเวลาค้ำประกันตั้งแต่ 30 เมษายน 2556-30 เมษายน 2558 ซึ่งหากบริษัทสมาชิกสมาคมสามารถดำเนินตามที่สคบ.กำหนดไว้ได้ก็จะมีการมอบตราสัญลักษณ์พร้อมทั้งใบประกาศให้อย่างเป็นทางการในวันที่29-30เมษายนที่จะถึงนี้


อย่างไรก็ตาม จากเอกสารที่ส่งให้กับบริษัทสมาชิกสมาคมทราบนั้น นายกสมาคมการขายตรงไทย ยังได้กำชับขอความร่วมมือมายังบริษัทสมาชิกของสมาคมทุกบริษัทเพื่อขอให้การสนับสนุนในโครงการขอรับตราสัญลักษณ์จากสคบ.ตามที่ได้มีการประชุมร่วมกันก่อนหน้านั้น และบริษัทที่ให้การสนับสนุนโครงการดังกล่าวจะมีการรับมอบตราสัญลักษณ์จากสคบ.อย่างเป็นทางการในงานวันคุ้มครองผู้บริโภคที่สคบ.จัดขึ้นระหว่างวันที่ 29-30 เมษายนนี้อีกด้วย


ทั้งนี้จากการสอบถามไปยังผู้ประกอบการขายตรงที่เป็นสมาชิกของสมาคมการขายตรงไทย (TDSA) เกี่ยวกับวงเงิน แบงก์การันตี ที่สคบ. ขอปรับเพิ่มเป็น 5 แสนบาทเท่ากันทุกบริษัทนั้นว่าเห็นด้วยหรือไม่ ทั้งนี้จากการสอบถามไปยังบริษัทสมาชิกสมาคมหลากหลายบริษัท อาทิ บริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด,บริษัท โมรินดา เวิลด์ไวด์ จำกัด , บริษัท วิน วิน เวิลด์ ไวด์ จำกัด ,บริษัทคังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด, บริษัท ลาชูเล่ คอสเมติคส์ จำกัด,บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด,บริษัท สุพรีเดอร์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด,บริษัทยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพรส์ (ประเทศไทย) จำกัด,บริษัท คามิโอเฮ้าส์ จำกัด, บริษัท สปอร์ตทรอนฯ จำกัด,บริษัท นิวไลฟ์ เวิลด์ไวด์ (ไทยแลนด์) จำกัด,บริษัทแอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่งทุกบริษัทกล่าวไปในทิศทางเดียวกันว่า ไม่ขัดข้องและพร้อมที่จะดำเนินตามนโยบายของภาครัฐด้วยกันทั้งสิ้นแม้ว่าหลายๆ บริษัทจะมีภาระเพิ่มมากขึ้นก็ตามแต่เพื่อประโยชน์และความสบายใจของผู้บริโภคก็ยินดีที่จะปฎิบัติตาม


ขณะเดียวกันในส่วนของสมาคมพัฒนาธุรกิจการขายตรงไทย (TSDA) โดย ดร.สมชาย หัชลีฬหา ในฐานะ เลขาธิการสมาคมฯ ได้แชร์มุมมองเกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า จากที่ทาง สคบ.ได้นำเสนอแนวทางในเรื่องนี้ไว้ 3 แนวทางข้างต้นโดยส่วนตัวแล้วเชื่อมั่นว่า แนวทางที่ 1 คือ การจัดให้ธนาคารออกหนังสือรับประกัน (แบงก์การันตี) ที่จะชดใช้ความเสียหายในวงเงินที่สำนักงานฯเห็นสมควร และแนวทางที่ 2 คือ การจัดให้มีกองทุนชดใช้ความเสียหาย โดยให้สมาคมที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นสมาชิกออกหนังสือรับประกันที่จะชดเชยความเสียหายกรณีที่สำนักงานฯ สั่งให้ชดเชยความเสียหายนั้น ถือเป็นแนวทางที่มีความน่าสนใจมากกว่าเพราะเป็นเงินของแต่ละบริษัท และเงินไม่ได้หายไปไหน ไม่ต้องเสียค่าเบี้ย เหมือนอย่างการทำประกัน ที่ต้องเสียค่าเบี้ย แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็ขึ้นอยู่กับหลักเกณฑ์ของ สคบ.ว่า เงินค้ำประกันกำหนดไว้เท่าไร โดยหากมีการวัดจากผลประกอบการของแต่ละบริษัท อาจจะเป็น 1 ล้านบาท 5 ล้านบาท หรือ 10 ล้านบาท แต่จากที่ได้สอบถามไปนั้นยังไม่ได้มีความชัดเจนตอบกลับมา


ทางสมาคมฯ เองก็มีแนวโน้มเห็นด้วยทั้งสองแนวทางที่เราได้วางแผนกันไว้นั้นมีเงินลงขันกันให้ได้ 10 กว่าล้านบาทและทำประกันโดยรวมทุกบริษัท เพื่อเป็นการลดต้นทุนของแต่ละคนด้วย แลหาก สคบ. ขอปรับเพิ่มเป็น 5 แสนบาทเท่ากันทุกบริษัทนั้นว่าเห็นด้วยหรือไม่นั้นทางสมาคมฯก็ต้องมีการหารือร่วมกันก่อนอีกครั้งหนึ่ง


ขณะที่ นายนิโรธ เจริญประกอบ นายกสมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย (TDNA) ระบุถึงแนวทางนำพาบริษัทสมาชิกของสมาคมทีดีเอ็นเอเข้ารับตราสัญลักษณ์คุ้มครองผู้บริโภคในประเภทธุรกิจขายตรง ตามนโยบายของ สคบ. ที่ได้กำหนดกรอบกติกาข้อบังคับไว้ 3 ข้อว่า ขณะนี้ในส่วนของสมาคมทีดีเอ็นเอยังไม่ได้หารือร่วมกันอย่างเป็นทางการ แต่คาดว่าคงอยู่ที่ดุลพินิจของแต่ละบริษัทสมาชิกในสมาคมฯเป็นผู้ตัดสินใจกันเองว่าจะเลือกแนวทางใด ดังนั้นสมาคมฯจึงไม่สามารถชี้ชัดได้รวมทั้งไม่บังคับสมาชิกด้วยว่าจะต้องดำเนินการหรือไม่ หรือในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง


ขณะเดียวกันในส่วนของบริษัทนีโอไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ซึ่งนายนิโรธ นั่งเก้าอี้ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์นั้นก็ยอมรับว่า เห็นด้วยกับแนวทางที่ให้ธนาคารออกหนังสือรับประกัน (แบงก์การันตี) ส่วนบริษัทอื่นๆ ที่เป็นสมาชิกในสมาคมทีดีเอ็นแอจะเลือกแนวทางใดก็ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของบริษัทนั้นๆเป็นสำคัญ


ด้านนายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย (TDIA) กล่าวว่า การที่ สคบ.ได้กำหนดกรอบกตนิกาข้อบังคับในการยื่นขอรับมอบตราสัญลักษณ์คุ้มครองผู้บริโภคที่ได้กำหนดไว้ 3 แนวทาง ได้แก่ 1.การจัดให้ธนาคารออกหนังสือรับประกัน (แบงก์การันตี) ที่จะขอใช้ความเสียหายในวงเงินที่สคบ.เห็นควร 2.จัดให้มีกองทุนชดใช้ความเสียหายโดยให้สมาคมที่ผู้ประกอบธุรกิจเป็นสมาชิกออกหนังสือรับประกันที่จะชดเชยความเสียหายกรณีที่สคบ.สั่งให้ชดเชยความเสียหาย และ 3.จัดให้มีกรมธรรม์รับผิดชดใช้ความเสียหายตามจำนวนเงินความเสียหายที่สคบ. เห็นควรทางสมาคม TDIA เห็นด้วยกับทั้ง 3 แนวทางดังกล่าว เนื่องจากไม่เกี่ยวกับการกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์ของ ยอดขายเหมือนในอดีต ซึ่งทั้ง 3 แนวทางสมาคม TDIA คิดว่าแนวทางในข้อแรกน่าจะเป็นทางออกที่ดีที่สุด เพราะทางผู้ประกอบการไม่ต้องแบกรับภาระมากนัก เพียงแค่นำเงินไปฝากไว้กับทางธนาคาร แล้วให้ธนาคารการันตี อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ทางสมาคมได้มีการประชุมกับบริษัทสมาชิกของสมาคมโดยได้เชิญนายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการ สคบ. เข้ามาชี้แจงรายละเอเยดซึ่งทั้งหมดก็มีความเห็นไปในทิศทางเดียวกัน


จากที่ได้มีการประชุมกันของสมาคม TDIA เกี่ยวกับโครงการตราสัญลักษณ์สคบ.ซึ่งสมาชิกส่วนใหญ่ก็เห็นด้วย โดยทั้ง 3 แนวทางคิดว่าแนวทางในการให้แบงก์การันตีน่าจะเป็นทางเลือกที่ดี เพราะเป็นการนำเงินไปฝากแบงก์ แล้วให้แบงก์การันตี ซึ่งจะไม่เกี่ยวกับเปอร์เซ็นต์ของยอดขาย ส่วนโครงการดังกล่าวจะเริ่มเมื่อไหร่นั้นคงต้องรอความชัดเจนจากทางสคบ.อีกครั้ง!




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.LEADER TIME ฉบับที่ 219 ประจำวันที่ 16-31 มีนาคม 2556

วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

ข่าวลาชูเล่(La Chul): พิธีประดับเข็มวันแห่งศักดิ์ศรี เวทีแห่งเกียรติยศ ลาชูเล่ ประจำปี 2555








 


ลาชูเล่...จัดพิธีประดับเข็มฉลองชัยแห่งความสำเร็จ สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้วงการเกษตรอินทรีย์โชว์พืชผล บิ๊ก...จัมโบ้ ไจก้า ลาชูเล่ ปลอดสารพิษ 100% และปลุกตำนานทำขวัญข้าว ประเพณีวัฒนธรรมที่เก่าแก่ที่สุด สมศักดิ์ศรี...ยิ่งใหญ่...อลังการ...เหนือคำบรรยาย


ร.ต.ต. ดร.สุรเชษฐ์ เชื้อศรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลาชูเล่ คอสเมติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ลาชูเล่ (เอเชีย) จำกัด ได้ถือฤกษ์งามยามดี จัดงาน วันแห่งศักดิ์ศรี เวทีแห่งเกียรติยศ ประจำปี 2555 ในวันเสาร์ที่ 23 มีนาคม 2556 ณ ชั้น 4 ห้องวายุภักษ์ โรงแรมเซ็นทรา ศูนย์ราชการและคอนเวนชันเซ็นเตอร์ แจ้งวัฒนะ อย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งในปีนี้ ร.ต.ต. ดร.สุรเชษฐ์ เชื้อศรี แม้ทัพใหญ่ผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลมุ่งมั่นเต็มใจเนรมิตงานประดับเข็มเกียรติยศแห่งความสำเร็จ ด้วยมีวัตถุประสงค์เพื่อเชิดชูเกียรติและประดับเข็มเกียรติยศแห่งความสำเร็จ ด้วยมีวัตถุประสงค์เพื่อเชิดชูเกียรติและประดับเข็มเกียรติยศแห่งความสำเร็จให้กับผู้บริหารการขายทั้ง 2 บริษัท ซึ่งรางวัลอันยิ่งใหญ่นี้เกิดจากความมุ่งมั่น ความพากเพียร ความอุตสาหะที่มีมาอย่างต่อเนื่องของทุกคน


ภายในงานมีการจัด มหกรรมแสดงผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม พร้อมบูทชงชิม ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มลดน้ำหนัก เข้าสู่ช่วงพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ที่หาดูได้ยาก พิธีทำขวัญข้าว สืบสานตำนานพระแม่โพสพ ประเพณีวัฒนธรรมของชาวนาที่เก่าแก่ที่สุด นำโดยศิลปินแห่งชาติ แม่ขวัญจิต ศรีประจันต์ ตำนานแม่เพลงพื้นบ้านและเพลงอีแซวอันดับหนึ่งของประเทศไทย พร้อมโซนนิทรรศการซึ่งประกอบไปด้วย ทุ่งเศรษฐี...เกษตรอินทรีย์ชีวภาพ ตื่นตากับพืชผลที่ใหญ่ที่สุด จากการใช้ ไจก้า ลาชูเล่ อาหารเสริมพืช ดินและน้ำ ผลิตภัณฑ์คุณภาพสูง นำเข้าจากประเทศอิสราเอล มหัศจรรย์แห่งการเกษตรยุคใหม่ และร่วมพูดคุยกับเกษตรกรผู้ใช้จริงทั่วทุกภาคของประเทศไทยอย่างใกล้ชิด ถัดมาสู่โซนเสริมอาหาร...สัมผัสประสบการณ์จริงและเห็นผลถึงผลลัพธ์จากการทาน ไบโอ เอนไซม์ ไลฟ์ พลัส อาหารเสริมนำเข้าจากเยอรมนี ฟื้นฟูสุขภาพ...ลดเบาหวาน...ต้านโรคร้าย ช่วงพิธีการในห้องวายุภักษ์พบกับเคล็ดลับสู่ความสำเร็จ ความสวยงามของการเริ่มธุรกิจกับลาชูเล่ จากท่านรองประธาน ดร.วรวุฒิ เจริญศรีพรพงศ์ ลุ้นระทึกกับช่วง จับ แจก ลุ้นรับรางวัลใหญ่รถจักรยานยนต์ฟีโน่รุ่นล่าสุด และรางวัลอื่นๆ อีกมากมาย มูลค่ากว่า 500,000 บาท

ปิดท้ายด้วยคอนเสิร์ตเต็มรูปแบบจาก ตำนานเพลงเพื่อชีวิต คาราบาว และในช่วงท้ายสุดของงานยังมีการเซอร์ไพร้ส์สุดพิเศษตัดเค้กฉลองวันคล้ายวันเกิดครบรอบ 54 ปี ร.ต.ต. ดร.สุรเชษฐ์ เชื้อศรี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลาชูเล่ คอสเมติคส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัทในเครือ


[gallery columns="4"]

ข่าว จี พินนาเคิ้ล(G Pinnacle): จี พินนาเคิ้ล จัดหนัก มีนา พารวยแจกมากกว่า 5 ล้าน








โดยเมื่อวันเสาร์ที่ 9 มีนาคม 2556 ที่ผ่านมา บริษัท จี พินนาเคิ้ล จำกัด (G Pinnacle Co., Ltd.)จัดแคมเปญแบบเน้นๆ เดือนมีนาคมโดยใช้ชื่อแคมเปญว่า "มีนา พารวย" แจกรถโตโยต้า คัมรี่ ถึง 4 คัน โดยบรรยากาศภายในงานเต็มไปด้วยความคึกคัก นำทีมโดย อ. อธิวัฒน์ รุ่งเรืองอัครสิน กล่าวตอกย้ำเรื่องสุดยอดโปรแกรมการตลาด โปรแกรมรายได้ที่เยอะแบบไร้ขีดจำกัด เท่านั้นยังไม่พอ ทางบริษัทยังมีผู้มากความสามารถอีกหลายท่าน อาธิเช่น ดร.จิรศักดิ์ โรจเสน , อ.ภูริวัฒน์ แก้วชังกล่าวเรื่อง ความมุ่งมั่นตั้งใจ ในธุกิจ MLM นอกจากนี้ยังได้มีการแนะนำผลิตภัณฑ์ของบริษัทด้วยเช่น โปรไบโอเฮริ์บ ชมพู , โปรไบโอเฮริ์บ เขียว , คอลลาเจน , ดิวตี้พลัสพร้อมทั้งมีจัดชงชิม ให้สมาชิกได้ลิ้มลองรสชาติของสุดยอดน้ำสมุนไพรกันถ้วนหน้าบรรยากาศภายในงานโดยรวมเป็นไปอย่างคึกคักตลอดทั้งงานสำหรับผู้ที่พลาดมาในงาน มีนา พารวย ไม่ต้องเสียใจไป เพราะ บริษัท จีพินนาเคิ้ลทุ่มงบ จัดประชุมย่อย OPP ทุกวันอาทิตย์ สามารถสอบถามผลิตภัณฑ์เพิ่มเติม ได้ที่บริษัท จีพินนาเคิ้ล จำกัด โทร 02-580-9906 หรือ www.gpinnacle.co.th


[gallery columns="4"]


 

ข่าวอาวียองซ์ (Aviance Thailand) : เพิ่มคุณค่าในวัยเกษียณกับอาวียองซ์









แม้วัยจะเป็นเพียงตัวเลขที่นำหน้า แต่หากสองมือยังมีแรง บวกกับใจที่มีเกินร้อย พร้อมความคิดบวก ไม่ว่าวัยจะก้าวไปที่ตัวเลขใดก็ไม่เป็นอุปสรรค เฉกเช่น 2 นักธุรกิจเครือข่าย อาวียองซ์ ที่ค้นพบความสุขและความสำเร็จในชีวิตหลังวัยเกษียณ ที่ใจยังไม่ยอมเกษียณ


หนุ่มใหญ่วัย 60 ที่ไม่ยอมหยุดนิ่ง ไพโรจน์ ดิลกพัฒนมงคล เผยว่า ผมมองว่าคนวัย 60 ปี ควรเป็นวัยที่ต้องไร้ความกังวล และเป็นวัยที่ต้องเริ่มมีความสุขกับชีวิตบั้นปลาย โดยก่อนหน้าที่ผมจะเข้าสู่ธุรกิจเครือข่ายนี้อย่างจริงจัง ผมทำงานประจำอยู่ที่รัฐวิสาหกิจแห่งหนึ่งในตำแหน่งผู้บริหารระดับสูง แต่เพราะชอบการทำธุรกิจเครือข่ายที่แตกต่างจากธุรกิจอื่นที่ไม่ได้มุ่งหวังแต่ผลประโยชน์ แต่เรายังได้สร้างโอกาสให้แก่คนอื่นๆ ได้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น และได้พัฒนาศักยภาพด้านความคิด ไม่เว้นแม้แต่ตัวผมเอง ยิ่งเวลานี้ธุรกิจกำลังขยายสู่ตลาดในต่างประเทศทั้งในกัมพูชา และมาเลเซีย เพื่อนๆ ผมหลายคนเวลานี้นับถอยหลังรอวันเกษียณ หรือหลายๆ คนกำลังหง่วนอยู่กับเอกสารกองโตที่โต๊ะประจำ แต่ผมกลับเดินทางไปดูแลธุรกิจในประเทศมาเลเซียที่ตัวเองได้สร้างเอาไว้ ผมไม่มองว่าตัวเองเหนื่อย แต่มองว่าคือความท้าทาย และสนุกกับการทำงาน ที่ในงานประจำยิ่งคุณใกล้เกษียณ เพื่อนร่วมงานในวัยที่อ่อนกว่า อาจจะไม่กล้าให้งาน ด้วยความเกรงใจว่าพี่เขาใกล้จะเกษียณ แต่ในการทำธุรกิจเครือข่าย จะไม่มีคำว่าแก่คำว่าอ่อนกว่า มีแต่การยอมรับและขอคำปรึกษา เพื่อช่วยกันให้ทีมงานสามารถขยายไปสู่เป้าหมายที่วางไว้ ถึงแม้ว่าเรี่ยวแรงผมจะค่อยๆ ถดถอย แต่พลังสมองยังสร้างสรรค์คุณภาพของงานได้ ผมก็จะทำธุรกิจไปเรื่อยๆ โดยมีเป้าหมายที่อยากจะพาธุรกิจนี้ขยายสู่ตลาดเวียดนาม และขยายก้าวสู่จีน ตลาดทางการค้าที่ใหญ่มากๆ ของโลก โดยมีคนไทยเป็นต้นสายของการทำธุรกิจ


ด้าน นงลัคขษ์ ธัชสัมฤทธิ์ คุณป้าวัย 70 ปี ที่ยิ่งตอกย้ำว่าอายุเป็นเพียงตัวเลขจริงๆ ด้วยพลังกายและใจที่ Young @ Heart ทำให้เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของคนสูงวัยที่เพียบพร้อมไปด้วยความสุข ตลอด 40 ปีที่ดิฉันทำงานที่ได้รับทั้งความสุข และล้มลุกคลุกคลาน ผ่านมาจนอายุอานามล่วงเข้าวัย 60 ปี พร้อมเริ่มต้นชีวิตแบบคนสูงวัยเมื่อ 10 ปีที่แล้ว แต่เมื่อมีคนแนะนำให้รู้จักกับธุรกิจเครือข่าย อาวียองซ์ ดิฉันมั่นใจในความมั่นคงและความยิ่งใหญ่ของบริษัท จึงได้เริ่มต้นศึกษาการทำธุรกิจอีกครั้งเมื่อใกล้วัยเกษียณ เพราะธุรกิจนี้ก็ยังให้ความอิสระ ทั้งทางด้านเวลา หรือแม้แต่ความคิด เห็นได้จากการที่ผู้บริหารยอมรับในความคิดและวิธีการทำงานของดิฉัน จนในสุดดิฉันพับเก็บความคิดที่จะใช้ชีวิตแบบคนสูงวัย แต่หันมาเริ่มต้นทำธุรกิจเครือข่ายด้วยใจที่เปิดรับอย่างจริงจัง ทุกวันนี้ดิฉันทำธุรกิจด้วยใจที่อยากทำกุศล อยากถ่ายทอดความรู้วิธีการทำธุรกิจเครือข่ายอย่างไรให้ประสพความสำเร็จแก่คนรุ่นหลัง ซึ่งทำให้ดิฉันได้แลกเปลี่ยนความรู้ และยังได้เพิ่มสีสันให้กับชีวิตของตัวเองด้วย เช่น วิทยาการความทันสมัยของเทคโนโลยี ที่ผู้ใหญ่ในวัย 70 อย่างดิฉันสามารถใช้คอมพิเตอร์ได้อย่างคล่องแคล่ว ซึ่งความรู้ต่างๆ ก็ได้จากน้องๆ คนรุ่นหลังที่เป็นลูกทีม ช่วยกันสอนช่วยกันพัฒนา ทำให้ดิฉันสามารถก้าวเดินไปทันพร้อมๆ กับคนรุ่นลูกรุ่นหลานได้อย่างมั่นใจ ไม่เพียงเท่านี้ธุรกิจที่ดิฉันทำ ยังเติมเต็มความสุขให้ชายหญิงสูงวัยได้มีโอกาสเดินทางมาแล้ว 32 ทริปในหลายๆ ประเทศทั้งในเอเชีย ยุโรป และอเมริกา


โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆ เพราะธุรกิจนี้ที่ทำให้ดิฉันและสามีเป็นผู้สูงวัยที่ไม่ต้องเป็นภาระให้ลูกหลานดูแล แถมเรายังมีวิธีการเติมเต็มความหวานให้ชีวิตคู่ในบั้นปลายมีความสุข ที่สำคัญหลายคนทัก แม้กระทั่งเพื่อนเก่าๆ ที่กลับมาเจอกันว่า ทำไมเธอดูอ่อนกว่าวัย และยังดูแข็งแรง กระฉับกระเฉง ไม่เหมือนคนวัย 70 ปี เพราะดิฉันไม่หยุดนิ่งแต่ทำธุรกิจที่ทำให้ได้พบปะกับคนมากมาย หลากหลายวัย ดิฉันคิดว่าความสุขไม่ได้อยู่ที่ตัวเงินที่ได้รับ แต่อยู่ที่ว่าเราจะหาความสุขให้กับชีวิตได้จากอะไร เหมือนดิฉันที่แสดงให้เห็นว่าอายุไม่ใช่อุปสรรคในการทำธุรกิจ สุดท้ายแล้วธุรกิจนั่นเองคืนความสุขมาให้เรา


ตัวอย่างดีๆ ของ 2 นักธุรกิจรุ่นใหญ่ ที่ประสพความสำเร็จจากการทำธุรกิจ ที่ทุกคนยังยืนยันว่า ตราบใดที่เรี่ยวแรงยังมีจะไม่ยอมเกษียณอายุจากการทำธุรกิจเครือข่ายอย่างแน่นอน


[gallery order="DESC" columns="2"]

วันเสาร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2556

ข่าวกิฟฟารีน (Giffarine Thailand) : กิฟฟารีนร่วมสนับสนุนงานสถาปนาสมาคมสตรีไทยดีเด่นแห่งชาติ









คุณพงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการตลาด บริษัทกิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ร่วมงานสถาปนาสมาคมสตรีไทยดีเด่นแห่งชาติ สมาคมสตรีไทยดีเด่นแห่งชาติ ร่วมสานสายใยผ้าไทยเทิดพระเกียรติ และได้รับเกียรติเข้ารับมอบโล่ประกาศเกียรติคุณในฐานะตัวแทนบริษัทผู้ให้การสนับสนุนจาก ฯพณฯ ท่านนายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ประธานในพิธี พร้อมร่วมชมการประกวดชุด ผ้าไหมศูนย์ศิลปาชีพฯ และการแสดงแฟชั่นโชว์ชุด ผ้าไทยสไตล์บาติก โดย Mr. Milo Migliavacca ดีไซน์เนอร์ชั้นนำของโลกชาวอิตาเลี่ยน จากประเทศอินโดนีเซีย ณ ห้องรอยัลจูบิลี่ บอลรูม ศูนย์การแสดงสินค้า และการประชุมอิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อเร็วๆนี้

วันศุกร์ที่ 22 มีนาคม พ.ศ. 2556

ข่าวแอมเวย์(Amway) : อาร์ทิสทรีทุ่มพีอาร์ฝันยอดขาย3พันล.








 


 


นางรัตนา ชาญนรา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ปัจจุบันธุรกิจขายตรงมีการแข่งขันที่สูงมาก ดังนั้น บริษัทฯ จึงต้องมีการดำเนินกลยุทธ์ทางการตลาดแบบบูรณาการ รวมไปถึงนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ มานำเสนอ เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างต่อเนื่อง


ปัจจุบันผลิตภัณฑ์ของ อาร์ทิสทรี กลุ่มที่มียอดขายสูงสุดคือ สกินแคร์ โดยมีส่วนแบ่งตลาดผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่ง 20% จากมูลค่าตลาดรวม ที่ 28% ผลิตภัณฑ์สำหรับลดริ้วรอย สัดส่วนกว่า 40% จากมูลค่าตลาดรวม ที่ 37% และสัดส่วนที่เหลือเป็นผลิตภัณฑ์กลุ่มเบสิก


"ปี 55 ที่ผ่านมา อาร์ทิสทรี ยังคงครองแชมป์เป็นเครื่องสำอางพรีเมียมแบรนด์อันดับ 1 ของเมืองไทย มีส่วนแบ่งการตลาดอยู่ถึง 20% เรามองเห็นโอกาสทางการตลาด โดยเฉพาะการเติบโตของเครื่องสำอางเพื่อผิวขาวใส โดยปี 55 นั้น กลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อผิวกระจ่างใสของอาร์ทิสทรี มีรายได้ประมาณ 400 ล้านบาท และคาดว่าปี 56 จะมีรายได้สำหรับกลุ่มนี้ถึง 450 ล้านบาท และมั่นใจว่ายอดขายรวมของอาร์ทิสทรี ปี 56 นี้ จะถึง 3,100 ล้านบาท แน่นอน" นางรัตนา กล่าว


ส่วนงบประมาณที่จะส่งเสริมการขาย และประชาสัมพันธ์ในปีนี้ จะอยู่ที่ประมาณ 120 ล้านบาท และสิ้นปีนี้จะทำการเปิดศูนย์บริการแอมเวย์ให้ครบ 80 แห่งทั่วประเทศ จากปีที่แล้วที่มีแค่ 74 แห่ง ภายในงาน อาร์ทิสทรี ได้เปิดตัว อาร์ทิสทรี ไอดีล เรเดียนซ์ เป็นชุดผลิตภัณฑ์บำรุงผิวเพื่อความกระจ่างใสที่ทรงประสิทธิภาพสูง แต่อ่อนโยนต่อผิว.


 


 


Credit by :http://www.ryt9.com

อ.ย.เฮี๊ยบเข้มขายตรงผ่านสื่อ เปิดศักราชใหม่ก้าวสู่ตลาดเสรี








 


ต้องยอมรับว่าช่องทางการขายสินค้าในปัจจุบันมีมากมายที่ถูกส่งตรงถึงผู้บริโภคอย่างรวดเร็วบางครั้งไม่ได้รับการคัดกรองก่อน โดยเฉพาะผลิตภัณฑ์สุขภาพจำนวนมากยังมีการโฆษณาโอ้อวดสรรพคุณผ่านสื่อต่างๆ ทั้งสิ่งพิมพ์ วิทยุ โทรทัศน์ และสื่อมัลตีมีเดียโดยมุ่งหวังยอดขายเพียงอย่างเดียว


แม้ว่าที่ผ่านมาสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา จะมีนโยบายเกี่ยวกับการคุมเข้มสื่อโฆษณาเกี่ยวกับยาและอาหารผ่านสื่อ โดยเฉพาะโฆษณาที่ออกอากาศในสื่อโทรทัศน์ดาวเทียม วิทยุท้องถิ่น และเว็บไซต์ ตลอดจนโซเชียลเน็ตเวิร์คต่างๆ


ปัจจุบัน ก็ยังพบว่ามีผู้กระทำผิด และถูกจับกุมดำเนินคดีไปหลายต่อหลายราย โดยในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมามีมากกว่า 11,450 ราย ยึดของกลางได้กว่า 3,248 รายการ และในจำนวนคดีนี้มีคดีที่ยึดของกลางมูลค่ากว่า 20 ล้านบาท ถึง 15 ครั้ง


อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าตกใจก็คือการโฆษณายาและอาการที่อวดอ้างสรรพคุณทางยาที่ผิดกฎหมาย อาทิ อาหาร เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ และวัตถุออกฤทธิ์ต่อจิตประสาท ช่องทางตามเสียงวิทยุท้องถิ่น หรือแทรกในรายการเคเบิ้ลทีวีและโทรทัศน์ดาวเทียม ที่มีมากจนเข้าขั้นน่าวิตก ทั้งนี้ ยังไม่นับช่องทางสื่อสารผ่านเว็บไซต์ที่เต็มไปด้วยโฆษณาและอาหารหลอกลวงผู้บริโภคให้หลงเชื่อ


นพ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ยอมรับว่าอุปสรรคและปัญหาสำคัญของอย. คือเรื่องกำลังคนกับปริมาณงานไม่าสอดคล้องกัน กล่าวคือ โดยปัจจุบันอย.มีเจ้าหน้าที่ที่เป็นข้าราชการประมาณ 700-800 คน นอกนั้นเป็นลูกจ้างในขณะที่ปริมาณผลิตภัณฑ์สุขภาพ การซื้อขายของผู้บริโภคเพิ่มมากขึ้นทุกวัน ซึ่งนักวิชาการได้เข้ามาทำการศึกษาแล้วว่า อย. ต้องการคนอีกประมาณ 200-400 คน ที่จะทำให้ครบและครอบคลุมกับงานที่ดูแลทั้งหมดได้


แต่อย่างไรก็ตามในปี 2556 อย. ได้กำหนดทิศทางในฐานะที่เป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่หลักในการปกป้อง คุ้มครอง และส่งเสริมสุขภาพประชาชนจากการบริโภคผลิตภัณฑ์สุขภาพ โดยในปีนี้ปัญหาเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่จะต้องเร่งแก้ไข คือ อาหารและยาจำพวกอาหารเสริมและยาสมุนไพรนั่นเอง


โดยพบว่าปัจจุบัน มีการโฆษณาเกินจริง และมีช่องทางโฆษณาที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นทั้งทางหนังสือ นิตยสาร วารสาร หนังสือพิมพ์ ฟรีทีวี โดยเฉพาะทางช่องเคเบิ้ลทีวีหรือ ทีวีดาวเทียม และทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งพบว่าจะมีการโฆษณาเยอะมาก


ส่วนการโฆษณาเครื่องสำอางนั้น น.พ.บุญชัย บอกว่า ไม่ค่อยมีปัญหามากนัก แต่จะมีปัญหาเรื่องการผลิตและขายโดยที่ไม่แจ้งรายละเอียดของผลิตภัณฑ์กับ อย. ทำให้ไม่รู้ว่าใครเป็นผู้ผลิต ซึ่งส่วนใหญ่จะนำไปขายในตลาดล่าง พวกตลาดเคลื่อนที่ ตลาดเร่ หรือตลาดนัด เป็นต้น


อย่างไรก็ตาม อย. กำลังเร่งแก้ไขปัญหา การโฆษณาเกินจริงโดยได้เซ็นข้อตกลงร่วมกับ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สำนักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) และกระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร เพื่อจะช่วยกันแก้ปัญหาเรื่องนี้


น.พ.บุญชัย กล่าวต่อว่า เมื่อไทยก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียนจะมีการเปิดการค้าเสรี ทำให้มีการไหลเข้ามาของสินค้าจากประเทศในอาเซียนค่อนข้างมาก ไม่ว่าจะเป็นสินค้าประเภทอาหาร ยา เครื่องสำอาง และผลิตภัณฑ์สุขภาพอื่นๆ ในการเตรียมความพร้อมของทาง อย. จะมีหลายเรื่องด้วยกัน อาทิเช่น การเข้าไปร่วมกับประเทศกลุ่มสมาชิกอาเซียน ในการกำหนดกฎหมาย กฎระเบียบในการขออนุญาตขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์สุขภาพ กฎระเบียบในการที่จะระบุเกณฑ์มาตรฐานต่างๆ ร่วมกัน ให้มีความเข้าใจกับคำว่า "คุณภาพและความปลอดภัย" ที่ตรงกันเพื่อให้เป็นมาตรฐานของอาเซียน ซึ่งจะเป็นหลักประกันได้ว่าผลิตภัณฑ์สุขภาพทั้งในประเทศไทยและในอาเซียนเป็นมาตรฐานเดียวกันทั้งหมด


นอกจากนี้ อย.ยังต้องช่วยในเรื่องของการเตรียมความพร้อมและเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจให้กับผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผลิตในประเทศไทย ทั้งบริษัทขนาดใหญ่ หรือที่ผลิตในชุมชนขนาดเล็ก ให้มีศักยภาพในการแข่งขันกับประเทศอื่นๆ ในอาเซียน และยังมีเรื่องของการเพิ่มศักยภาพในการตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ออกสู่ท้องตลาดและเข้ามาในประเทศไทยแล้ว โดยจะสุ่มเก็บตัวอย่างผลิตภัณฑ์ส่งตรวจวิเคราะห์ ถ้าพบว่ามีปัญหาก็จะทำการ ยึด อายัด ทำลาย และดำเนินคดีตามขั้นตอนต่อไป


"อย.กำหนดให้มีจุดตรวจสอบผลิตภัณฑ์สุขภาพอยู่ในด่านสำคัญๆ ทั่วประเทศ ทั้งทางบก ทางน้ำ และทางอากาศ ซึ่งมีประมาณ 40 จุด โดยขณะนี้กำลังพยายามพัฒนาด่านเหล่านี้ให้สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ทั้งในด้านการทำงานร่วมกับกรมศุลกากร และทางตำรวจตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งได้มีการเชื่อมโยงข้อมูลผ่านระบบไอที ช่วยให้การตรวจสินค้าและการปล่อยสินค้ามีความรวดเร็วขึ้น เกิดประโยชน์ต่อทั้งเจ้าหน้าที่และผู้ประกอบการที่จะนำเข้าสินค้าด้วย"


 


 


Credit By :http://www.ryt9.com

ข่าวสตาร์ ซันไชน์ (Star Sunshine) : 'สตาร์ ซันไชน์' เปิดตัวชุดปรับสรีระ ส่งโรแมนซ์นำเข้าลุยตลาด Mass









นายโกสิทธิ์ ผะลิวรรณ ประธานกรรมการ บริษัท สตาร์ ซันไชน์ จำกัด กล่าวว่า ปี 56 นี้บริษัทก้าวสู่ปีที่ 9 ในการดำเนินธุรกิจ โดยที่ผ่านมาบริษัทได้มีการเลือกสรรผลิตภัณฑ์ที่ดีเพื่อตอบสนองความต้องการของสมาชิกและผู้บริโภคสินค้า ภายใต้สโลแกน "ธุรกิจขายตรง ราคาขายส่ง" มาโดยตลอด ทั้งนี้บริษัทฯ ยังได้ขยาย Shop ทั่วประเทศหลายจังหวัด รวมถึงในประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อรับตลาดที่กำลังเติบโตและก้าวไปสู่การเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)


ล่าสุด สตาร์ ซันไชน์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ชุดปรับสรีระ โรแมนซ์ นำเข้าจากประเทศไต้หวัน ยกระดับมาตรฐาน แต่ยังเจาะกลุ่มเป้าหมายเดิม คือสาวออฟฟิศ หนุ่มสาวโรงงาน โดยปีนี้บริษัทฯ จะทำตลาดผ่านสื่อต่างๆ มากขึ้น เพื่อต้องการให้ผู้บริโภคมีสุขภาพดีอย่างครบวงจร


"ชุดปรับสรีระ โรแมนซ์ เราได้จดลิขสิทธิ์สินค้าถึง 5 ประเทศ คือ ไทย กัมพูชา ลาว เวียดนาม และ พม่า เนื่องจากหากมีการปลอมแปลงเราจะสามารถจับกุมได้ ล่าสุด สตาร์ซันไชน์ ได้เปิดสาขาพนมเปญ อย่างเรียบร้อยแล้ว"


ด้าน นายกฤษณ์ เหลืองอาร่าม ผู้จัดการทั่วไป บริษัท สตาร์ ซันไชน์ จำกัด กล่าวว่า ในฐานะที่ตนได้รับความไว้วางใจให้เข้ามาบริหารที่ สตาร์ ซันไชน์ ในส่วนของชุดปรับสรีระโรแมนซ์ โดยเริ่มต้นจากการรีโนเวตออฟฟิศใหม่ทั้งหมดรวม 5 ชั้น


สำหรับชุดปรับสรีระโรแมนซ์ มีทั้งหมด 2 ชนิด คือ ชุดรัดกระชับสัดส่วน ซึ่งมีราคาหลักพัน และชุดปรับสรีระที่มีราคาหลักหมื่น โดยสตาร์ ซันไชน์ ได้เล็งเห็นความสำคัญของคนรักสุขภาพ จึงได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ชุดปรับสรีระโรแมนซ์นำเข้ามาจากไต้หวัน เป็นชุดเทคโนโลยีของใยผ้าชนิดใหม่ที่เพิ่งเกิดขึ้นในโลก และได้จดลิขสิทธิ์เมืองไทยเพียงเจ้าเดียว


"ส่วนเทคนิคการทำตลาด คือ 1.ทำธุรกิจ MLM แบบเดิม โดยสมาชิกสามารถไปแนะนำต่อๆ กันด้วยตัวเอง 2.เราใช้ทางลัดในการช่วยให้สมาชิกสามารถทำการแนะนำได้ง่ายขึ้น ผ่านสื่อโฆษณาต่างๆ 3.เราจะต้องมีจุดอำนวยความสะดวก ให้มีจุดตอบสนองได้ง่ายที่สุด ผ่านศูนย์บริการที่เปิดแล้ว คือ เชียงใหม่ โคราช อุบลฯ และกำลังลงทุนที่หาดใหญ่ ด้วยงบลงทุน 50 ล้านบาท เป็นจุดศูนย์รวมสินค้า จากนั้นจะมีการกระจายไปสู่ภาคใต้ตอนล่าง นอกจากนี้สตาร์ ซันไชน์ มีการขยาย Shop เพื่อให้คนได้ทดลองสินค้า 4.มุ่งเน้นการทำอุปกรณ์ผ่านสื่อ คือ และรายการ Romans Society ผ่านสื่อดาวเทียม Ping Channel และ Hero Channel รวมทั้งแนะนำเว็บไซต์ที่น่าสนใจ และร่วมเก็บภาพบรรยากาศภายในงานเพื่อไปเผยแพร่ให้เกิดการรับรู้มากที่สุด"




Credit By :ryt9.com

ข่าวเจอเนสส์ (Jeunesse Thailand) : 'เจอเนสส์ โกบอล' เครื่องร้อน!เตรียมสร้างยอดขายไทยทะลุ 700 ล.









"เจอเนสส์ โกลบอล" ปลื้มผลงานติดระดับโลก เตรียมนำทัพนักขายล่องเรือสำราญ เข็นโปรดักซ์เพื่อความงามลุยตลาดขายตรงต่อเนื่อง เน้นทำพีอาร์ผ่านสื่อ สร้างแบรนด์ระดับอินเตอร์ สิ้นปีหวังกวาดยอด 700 ล้าน


ลาวัณย์ เวทประเสริฐวงศ์ ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท เจอเนสส์ โกลบอล (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า สิ้นปี 2555 บริษัทมีการเติบโตที่น่าพอใจมาก โดยการเติบโตนอกจากจะเป็นไปตามความคาดหมายแล้ว ประเทศไทยยังติดอันดับโลกด้วยในฐานะที่ทำยอดขายระดับต้นๆ ทั้งนี้ สิ้นปีที่ผ่านมาบริษัทมียอดขายกว่า 400 ล้านบาท


"ไตรมาสสุดท้ายปีที่ผ่านมา บริษัททำผลงานดีมาก ส่วนหนึ่งเกิดจากการจัดกิจกรรมอย่างต่อเนื่อง อาทิ รูปแบบการจัดงานสัมมนา การจัดกิจกรรมท่องเที่ยว ซึ่งเร็วๆ นี้บริษัทจะนำสมาชิกกว่า 200 ชีวิต ล่องเรือสำราญที่ทะเลเมดิเตอร์เรเนี่ยน ร่วมกับเพื่อนสมาชิกทั่วโลกอีกหลายพันคน ซึ่งสร้างความตื่นเต้นให้กับสมาชิกและทำให้การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างคึกคัก"


ลาวัณย์ กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทจะออกผลิตภัณฑ์ใหม่อย่างต่อเนื่อง ทั้งที่นำเข้ามาจากบริษัทแม่ที่อเมริกา และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ผลิตในประเทศไทยเข้ามาด้วย อีกทั้งยังมีการปรับเปลี่ยนเปลี่ยนแพคเก็จจิ้งของบริษัทใหม่ทั้งหมด ให้ทันสมัย และเข้ากับไลน์สไตน์ของผู้บริโภคในประเทศไทยให้มากที่สุด โดยใช้สีในการสื่อความหมาย อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนัก จะใช้โทนสีแดง เป็นต้น


"ทั้งนี้ บริษัทมีการเพิ่มไลน์สินค้าเข้ามาเรื่อยๆ โดยจะเพิ่มสินค้าอย่างน้อยไตรมาสละ 1 ตัว เมื่อเร็วๆ นี้ บริษัทเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร BBB ที่ช่วยดูแลเรื่องน้ำหนัก พร้อมกับการทยอยเปลี่ยนแพ็คเก็จจิ้ง โดยออกแบบมาจากต่างประเทศ ขณะที่ในเดือนมีนาคมนี้จะมีผลิตภัณฑ์กาแฟ ที่เน้นเอ็นไทม์เอจจิ้ง ความอ่อนเยาว์ นอกจากนี้ยังมีเครื่องดื่มให้พลังงาน ไม่มีคาแฟอีน สำหรับเจาะกลุ่มวัยรุ่น เข้ามาอีกด้วย"


ลาวัณย์ กล่าวต่อไปว่า ในเดือนตุลาคม 2556 ประเทศไทย ได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพในการจัดงานเอ็กโปร์ โดยขณะนี้อยู่ในช่วงติดต่อประสานงานกับฝ่ายกิจกรรมที่ต่างประเทศ โดยภายในงานจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ การบรรยายของนักพูดระดับโลก ตลอดจนการให้ความรู้ของผู้นำระดับสูงของบริษัท ซึ่งทำให้เกิดการตื่นตัวในบริษัทเป็นอย่างมาก อีกทั้งยังเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจอีกทางหนึ่งด้วย


ลาวัณย์ กล่าวทิ้งทายว่า บริษัทแม่มีความเชื่อมั่นในศักยภาพของประเทศไทยเป็นอย่างมาก ที่ผ่านมายังให้ไทยเป็นต้นแบบของการมีผู้นำที่ขับเคลื่อนธุรกิจมากที่สุดด้วย ดังนั้นแน่นอนว่าบริษัทแม่จะทำการสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทยอย่างเต็มที่ ทั้งนี้ตั้งเป้าว่าสิ้นปี บริษัทจะมียอดขายเพิ่มขึ้น 30% หรือประมาณ 700 ล้านบาท"


"ปัจจุบัน เจอเนสส์ โกลบอล มีสมาชิกกว่า 20,000 รหัส เป็นสมาชิกที่แอคทีฟ 30% ส่วนแผนรองรับ AEC ที่กำลังจะมีขึ้นในอีก 2 ปี ข้างหน้า บริษัทเตรียมพร้อมด้านบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถด้านภาษามากขึ้น เพราะปัจจุบันมีผู้นำจากต่างชาติเข้ามาสร้างทีมที่ประเทศไทยบ้างแล้ว ส่วนแผนการเปิดตลาดประเทศเพื่อนบ้าน จะขยายไลน์ธุรกิจสู่ประเทศพม่า และลาว เป็นต้น"




Credit By :ryt9.com

เคาะสนิมพ.ร.บ.ขายตรง สคบ.หวังตั้งหน่วยงานอิสระคุมธุรกิจแสนล.









เลขาฯ สคบ. จับมือม.เกษตรฯ เร่งศึกษากฎหมายขายตรงและข้อมูลเชิงลึกของธุรกิจแสนล้าน หวังต่อยอดตั้งหน่วยงานอิสระควบคุมดูแลทั้งระบบ พร้อมเตรียมมอบตราสัญลักษณ์สคบ. ยกย่องธุรกิจสีขาว ขณะที่เอาจริงเชือด 2 บริษัท เข้าข่ายฉ้อโกงและแชร์ลูกโซ่แฝงในธุรกิจขายตรง


นายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยกับ "ฐานเศรษฐกิจ" ถึงแนวทางการกำกับธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงว่า ธุรกิจดังกล่าวถือว่ามีความสำคัญต่อภาพรวมเศรษฐกิจ เพราะมีการสร้างรายได้มูลค่านับแสนล้านบาท และเป็นหนึ่งในนโยบายที่สำคัญเร่งด่วนที่จะต้องดำเนินงาน ภายหลังจากที่ได้เข้ามารับตำแหน่งเลขาธิการสคบ. โดยในขณะนี้ได้มีการว่าจ้างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ให้ทำการศึกษาและวิจัยเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงในประเด็นต่างๆ อย่างรอบด้าน ทั้งในด้านกฎหมาย ข้อมูลของธุรกิจ เพื่อที่ทางสคบ.จะได้นำข้อมูลมาดำเนินการต่อไป ซึ่งคาดว่าผลการศึกษาจะแล้วเสร็จภายในเดือนพฤษภาคมนี้


"พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 มีผลบังคับใช้เมื่อ 29 สิงหาคม 2545 ถึงปัจจุบันเป็นระยะเวลากว่า 10 ปี ซึ่งธุรกิจขายตรงเป็นธุรกิจที่ทำรายได้สูงมาก ปี 2545 มีรายได้


ราว 6.5 หมื่นล้านบาท ปี 2555 มีรายได้ราว 8 หมื่นล้านบาท ในปีนี้คาดว่าจะมีรายได้ถึง 1 แสนล้านบาท ซึ่งมองว่าเป็นธุรกิจที่สร้างประโยชน์ต่อเศรษฐกิจโดยรวม แต่กฎหมายที่ใช้อยู่คงต้องมีการปรับปรุงแก้ไข เนื่องจากการดำเนินธุรกิจในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงไปมาก ขณะที่สคบ.เองเป็นหน่วยงานที่มีกำลังคนดูแลอยู่เพียง 8 คน ซึ่งไม่เพียงพอและการของบประมาณหรือเพิ่มกำลังคน


ก็ล่าช้าและยุ่งยากเพราะอยู่ในระบบราชการ" นายจิรชัย กล่าวและว่า


จากปัญหาดังกล่าวเห็นควรว่าควรมีหน่วยงานอิสระที่มีอำนาจและหน้าที่ที่สามารถกำกับและดูแลธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ เหมือนกับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) เป็นการเฉพาะ เพื่อการกำกับดูแลได้มีประสิทธิภาพ รวมถึงสามารถดำเนินการในประเด็นต่างๆ ที่ยังเป็นปัญหาและอุปสรรคของการดำเนินธุรกิจได้ด้วย เช่น การขึ้นทะเบียนนักธุรกิจอิสระ เป็นต้น นอกจากนี้ ข้อมูลล่าสุดเมื่อ 30 กันยายน 2555 พบว่ามีบริษัทที่จดทะเบียนดำเนินธุรกิจขายตรง 855 บริษัท แต่มีการดำเนินธุรกิจจริงเพียง 180 บริษัท จากการที่ทางสคบ.ได้สอบถามไปยังบริษัท มีบริษัทจำนวน 35 แห่งที่ขอเลิกกิจการ ส่วนบริษัทที่เหลือประมาณ 600 บริษัท ทางสคบ.ได้ทำการสอบถามข้อมูลกลับไปอีกครั้ง พบว่าบริษัทจำนวน 539 บริษัทไม่ตอบข้อมูลกลับมา


นายจิรชัย กล่าวอีกว่า ข้อมูลปัจจุบันจึงมีบริษัทที่ดำเนินธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงเพียง 300 บริษัท ทางสคบ.จึงได้เชิญผู้ประกอบการในธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงเข้ามาประชุมทำความเข้าใจในการดำเนินธุรกิจให้ถูกต้องตามกฎหมายภายในเดือนมีนาคมนี้ด้วย พร้อมกับเตรียมมอบใบจดทะเบียนในการดำเนินธุรกิจรูปแบบใหม่ ที่มีการออกแบบให้มีความสวยงามด้วย ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างการประกาศในราชกิจจานุเบกษา ขณะเดียวกันเพื่อเป็นการส่งเสริมธุรกิจด้วยการยกย่องผู้ประกอบการที่ดีที่คำนึงถึงสมาชิกและผู้บริโภคจึงเตรียมมอบตราสัญลักษณ์สคบ. เพื่อเป็นเครื่องหมายการรับรองการดำเนินธุรกิจและการเยียวยาผู้บริโภค


"ตราสัญลักษณ์สคบ. มีทั้งรูปแบบภาษาไทย และภาษาอังกฤษที่ใช้คำว่า Consumer Protection Guarantee ซึ่งตราสัญลักษณ์สคบ. ไม่ได้รับรองในเรื่องคุณภาพสินค้า ซึ่งบริษัทที่จะได้รับตราสัญลักษณ์ดังกล่าวจะต้องมีองค์ประกอบ 3 ประการ คือ การดำเนินธุรกิจถูกต้องตามกฎหมายคุ้มครองผู้บริโภค การดำเนินธุรกิจถูกต้องตามกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง เช่น กฎหมายของคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณา และบริษัทมีการเยียวยาความเสียหายกับผู้บริโภคอย่างไร ซึ่งการมอบตราสัญลักษณ์สคบ. คาดว่าจะดำเนินการได้อย่างช้าไม่เกิน 30 เมษายนนี้" นายจิรชัย กล่าวและว่า


ทางสคบ.ยังเพิ่มมาตรการกำกับและดูแลธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรงเพิ่มมากขึ้น โดยเลขาฯสคบ. จะขอพบกับบริษัทที่เข้ามาจดทะเบียนธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง เพื่อสอบถามข้อมูลต่างๆ ทั้งประเภทสินค้า การใช้ช่องทางในการโฆษณาประชาสัมพันธ์ เพื่อความโปร่งใสในการออกใบอนุญาต เนื่องจากที่ผ่านมามีข้อครหาว่าบริษัทต่างๆ ก่อนจะได้รับใบอนุญาตจะต้องเสียเงินในอัตรา 2.8-3 แสนบาท แม้ว่าความจริงเจ้าหน้าที่ของสคบ. จะได้รับสินบนก็ตาม


นอกจากนี้ ทางสคบ. ก็จะเร่งรัดให้บริษัทต่างๆ ส่งรายงานการดำเนินธุรกิจให้กับสคบ. ทุก 6 เดือน ในช่วงเดือนมกราคมและกรกฎาคม ส่วนงานปราบปรามบริษัทที่ดำเนินธุรกิจในลักษณะแชร์ลูกโซ่ ซึ่งส่วนใหญ่จะอาศัยช่องว่างของธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง จึงได้ประสานงานกับทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เร่งรัดให้ดำเนินการเร็วขึ้นเพื่อไม่ให้เกิดความเสียหายในวงกว้าง กรณีดีเอสไอได้ข้อมูลพบการกระทำความผิด ทางสคบ.จะดำเนินการเพิกถอนใบอนุญาตทันที โดยช่วงเวลา 4 เดือนนับตั้งแต่ที่ได้เข้ารับตำแหน่งเลขาฯ สคบ. ที่มีลักษณะฉ้อโกง ทางสคบ.ได้เพิกถอนใบอนุญาตแล้ว 2 บริษัท ได้แก่ บริษัท ดิจิตอล คราวน์ โฮลดิ้ง จำกัด (DCHL) บริษัทสัญชาติจีน ที่ดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าตะเกียง น้ำมันหอมระเหย เมื่อวันที่ 15 ตุลาคม 2555 และเมื่อบริษัท ธนธรรมไทยเน็ทเวิร์ค จำกัด ซึ่งจดทะเบียนดำเนินธุรกิจขายตรง เมื่อ 12 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา




Credit By :http://www.thannews.th.com

ข่าวไอยรา แพลนเน็ต (Aiyara Planet) : 'ไอยรา' สั่งวางกลยุทธ์อีก 2 ปี สู่ 'Year of Sustainable'









ไอรยา แพลนเน็ต น้องใหม่ขายตรง นับถอยหลังอีก 2 ปี ก้าวสู้ "Year of Sustainable" มุ่งการเติบโตยั่งยืนตั้งเป้าสิ้นปียอดแตะ 300 ล้าน ใช้เทคโนโลยีช่วยนักขาย ดันยอดสมาชิกถึง 40,000 รหัส พร้อมอำนวยความสะดวกจ่ายเงินผ่านเซเว่นอีเลฟเว่น 7,000 สาขาทั่วประเทศ


กัมปนาท บุญราศรี ประธาน บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด เปิดเผยว่า ปี 2555 ที่ผ่านมาบริษัทเปิดตัวเลขความสำเร็จทะยานไปถึง 100 ล้านบาท เนื่องจากบริษัทมีพร้อมอย่างเต็มที่สำหรับการก้าวเดินไปข้างหน้า ไม่จะเป็นระบบการทำงานแตกต่างจากบริษัทในระดับเดียวกันอย่างสิ้นเชิงได้แก่ระบบไอที การฝึกอบรม และการขยายตลาด


"วันนี้ ไอยราจึงมีความพร้อมและความลงตัวมากโดยมีคีย์สำคัญที่ให้บริษัทประสบความสำเร็จได้เพียงแค่ปีแรก ถึง การฝึกอบรม สินค้า ระบบไอที และแผนการตลาด ทั้ง 4 ปัจจัย ถือเป็นส่วนผสมสำคัญต่อความสำเร็จของบริษัท แต่สำคัญที่สุดยังคงเป็น วิสัยทัศน์และจรรยาบรรณ เพราะไม่ว่าสินค้าจะดีแค่ไหน แผนการคลาดยอดเยี่ยม เทรนนิ่งน่าสนใจหรือเทคโนโลยีมรตวามลงตัว"


สำหรับวิสัยทัศน์ในช่วย 3-5 ปี ข้างหน้ากัมปนาท กล่าวว่า บริษัท มุ่งมั่นที่จะสร้างแบรนดให้เป็นที่รู้จักโดยกำหนดแนะคิดการสร้างความแข็งแกร่งให้ อีก 2 ปีข้างหน้า "ไอยรา" จะกลายเป็นบริษัทที่มีความมั่นคงที่สุด ในทุกมิติ


"ปีหน้าจะเป็นปีแห่งการออกนอกกรอบ "Year of break through" ซึ่งเมื่อเราประสานพลังกันแล้ว ก็จะเกิดซินเนอร์จี้ ทวีคูณ พร้อมจะระเบิดออกนอกกรอบ นั่นหมายถึง ไม่ใช่ตัวคนใดคนหนึ่ง แต่ทุกคนคือบริษัท ไอยรา ที่พร้อมกระจายไปทุกที่ นั่นคือบริษัทไอยรา ที่พร้อมกระจายไปทุกที่ นั่นคือความสำเร็จของการสร้างแบรด์ ที่สร้างจากข้างในทำให้คนข้างในรู้สึกว่าแบรนด์นี้อยู่ในหัวใจเขา"


ถ้าแบรนด์ถูกติดตั้งในหัวใจ เขาก็จะมีความเหลือเชื่อ หรือมีความรู้สึกในอีกแบบหนึ่ง การพูดคุยกับลูกทีม ลูกค้า ก็เสมือนหนึ่งเขากำลังสื่อสารแบรนด์ ให้คนรู้สึกเหมือนที่เขารู้สึกทำให้คนคิดเหมือนเขาคิด และกลายเป็นการสร้างแบรนด์ที่เริ่มจากข้างใน ซึ่งไม่ใช่การประชาสัมพันธ์


"ในปี 2558 เราใช้แนวคิด "Year of Sustainable" คือความยั่งยืน ที่มีการเติบโตอย่างเป็นสเต็ป เป็นขั้นตอน ยั่งยืนหมายถึง ไม่มีการสั่นคลอนแม้สภาพเศรษฐกิจเปลี่ยนไป ไม่มีการสั่นคลอนแม้มีค่ายใหม่เกิดขึ้น ไม่มีการสั่นคลอนแม้อาเซียนเปิดถือว่าในสองปีนี้ผมสำเร็จกับการสร้างแบรนด์นี้แล้วจึงมั่นใจว่าปี 58 เราจะ Strong ในเรื่องของแบรนด์แต่การขยาย Productivity ยังคงทำต่อเนื่อง"


สำหรับเป้าหมายสิ้นปี กัมปนาท มองไว้ที่ 300 ล้านบาท ขณะที่ยอดสมาชิกจะเพิ่มเป็น 40,000 รหัสขึ้นไป ทั้งนี้จำนวนผู้นำครอบคลุมทั้งภาคเหนือ ภาคใต้ ภาคตะวันออก ภาคกลาง และภาคตะวันออกเฉียงเหนือ โดยมีการเปิด ไอ สต๊อก คิส หรือโมบาย เกือบ 200 แห่ง รวมทั้งมีคลังสินค้ารองรับแล้วในบางพื้นที ร่วมทั้งการนำเทคโนโยเข้ามาช่วยสนับสนุนงานทำงานของนักธุรกิจ ตั้งแต่การชำระเงิน ซึ่งสามารถใช้บริการผ่าน ร้านสะดวกซื้อเซเว่น อีเลฟเว่น หรือตู้เอทีเอ็มของทุกธนาคาร


กัมปนาท กล่าวอีกว่า กลยุทธ์ด้านการตลาดจะเน้นการนำเสนอให้ตรงความต้องการของผู้บริโภค ได้แก่สินค้าในกลุ่มเครื่องสำอางซึ่งเป็นสินค้าหลักอีกกลุ่มหนึ่งของไอยรา ภายใต้แบรนด์ "ไอรดา" โดยมี "กฤชกร หอมบุญญาศักดิ์" นางสาวไทยปี 2553 เป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ "ไอ" หมายถึงกลิ่นอาย "รดา" แปลว่าผู้หญิง ไอรดาก็คือกลิ่นอายของหญิงไทย ซึ่งจะมีทั้งหมด 3 กลุ่ม ได้แก่คลีนซิ่ง กลุ่มบำรุง และกลุ่มฟื้นฟู


 


 


 


Credit By : http://www.ryt9.com

วันพฤหัสบดีที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2556

โพรแลค โชว์งานชิ้นโบว์แดงรักษาโรคร้ายจ่อตั้งบริษัทลูกดันสินค้าไทยบุกตลาดทั่วโลก









ช็อก! ขายตรง โพรแลค เปิดตัวผลงานวิจัยสมุนไพรไทยชิ้นโบว์แดง ร่วมกับ ม.ขอนแก่น เป็นวัคซีนรักษาโรคร้าย พร้อมเตรียมส่งบริษัท Global Herbs Corp. ในเครือไปประกาศศักดาดันสมุนไพรน้ำสกัดจากพลูคาวดังไกลไปทั่วโลก จัดงานใหญ่ฟอร์รั่มเพื่อสุขภาพ ณ ประเทศเซเนกัลในวันที่ 15-16 ก.ค. 56 นี้ เผยมีนักศึกษาแพทย์-NGO เตรียมแห่ร่วมงานไม่ต่ำว่า 3,000 คน หลังมีตัวอย่างคนป่วยกินแล้ว หายจากโรคร้าย ด้าน ศ.เกียรติคุณ ดร.อัศวิน วัฒนปราโมทย์ ระบุเตรียมดัน Global Herbs Corp. จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แคนาดา และฮ่องกง เผยไม่เกิน 1 เดือน ได้เฮ!


ศ. เกียรติคุณ ดร. อัศวิน วัฒนปราโมทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โพรแลค (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท โดกุดามิ-เอชีย จำกัด เปิดเผยว่า หลังจากก่อนหน้านี้บริษัทโพลแลค (ประเทศไทย) ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะวิทยาศาสตร์ ได้ทำข้อตกลงบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรไทย โดยล่าสุดคณะทีมวิจัยดังกล่าวได้รายงานผลการวิจัย โดยระบุว่าผลงานวิจัยจากน้ำพูลคาวเป็นถึงขั้นวัคซีนช่วยรักษาโรคร้ายแรงต่างๆ ได้ ซึ่งรายละเอียดทั้งหมดบริษัทเตรียมจะแถลงข่าวอย่างเป็นทางการอีกครั้งในเร็วๆ นี้ และจากการค้นพบดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีอย่างมากให้กับวงการอาหารเสริมเมืองไทย


นอกจากนี้ในระหว่างวันที่ 15-46 กรกฎาคม 2556 นี้ บริษัทร่วมกับคณะทีมวิจัยดังกล่าว เตรียมเดินทางไปประเทศเซเนกัล หลังจากทางรัฐบาลของประเทศ ดังกล่าวได้เป็นเจ้าภาพเชิญให้ไปสัมมนา ฟอร์รั่มเกี่ยวกับสุขภาพ และผลการวิจัยดังกล่าว โดยร่วมกับองค์กรต่างๆ มากกว่า 300 แห่งทั่วทวีปแอฟริกา ซึ่งขณะนี้มีนักศึกษาแพทย์ และคณะอาจารย์ในเซเนกัล รวมถึงกลุ่ม NGO จากยุโรปที่เข้ามาไปทำงานในกลุ่มประเทศแอฟริกาใต้ ได้แจ้งรายชื่อที่จะเข้าร่วมฟอร์รั่มในครั้งนี้ไม่ต่ำกว่า 3,000 คนอย่างไรก็ตาม หลังจากการจัดงานสัมนาในครั้งนี้เชื่อว่าจะทำให้คนในทวีปแอฟริกา และทั่วโลกรู้จักสมุนไพรไทยโดยเฉพาะพลูคาวโด่งดังไปทั่วโลกอย่างแน่นอน เนื่องจากก่อนหน้านี้บริษัทได้นำผลิตภัณฑ์ของโดกุดามิไปทดลองให้ผู้ป่วยที่ป่วยเป็นโรคร้ายแรงในประเทศเซเนกัลแล้วปรากฏว่าร่างกายดีขึ้น และหายจากโรคดังกล่าว


หลังจากที่การจัดฟอร์รั่มที่เซเนกัลแล้วเสร็จเชื่อว่าจะทำให้เกิดความต้องการสินค้าอย่างมาก ดังนั้นทางบริษัทจึงได้จัดบริษัท โกลบอล เฮอร์บส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Global Herbs Corporation) เพื่อเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายน้ำพลูคาวในลักษณะขายตรงไปทั่วโลก เพื่อรองรับความต้องการดังกล่าว และการที่บริษัทมีผลการวิจัยออกมาจากทาง ม.ขอนแก่นเป็นเครื่องยืนยันแล้วว่าสินค้าของเราสามารถเป็นวัคซีนป้องกันและรักษาโรคร้ายแรงได้ เชื่อว่าจะทำให้ทั่วโลกมีความต้องการสินค้าเพิ่มขึ้นเช่นกัน


ส่วนความคืบหน้าการจัดตั้งบริษัทโกลบอล เฮอร์บส คอร์ปอเรชั่น จำกัด (Global Herbs Corporation) เพื่อเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายน้ำพูลคาวในลักษณะขายตรงไปทั่วโลกนั้น จากเดิมที่จะจดทะเบียนภายใต้ชื่อ


โกลบอล เฮอร์บส แต่เนื่องจากความไม่ชัดเจนของหน่วยงานภาครัฐ ทำให้ต้องปรับรูปแบบการจัดตั้งบริษัทใหม่โดยการเปลี่ยนชื่อจากบริษัท นอร์ทเทอร์น โพรไบโอติค จำกัด มาเป็นบริษัทโกลบอล เฮอร์บส แทน ซึ่งล่าสุดกลุ่มนักลงทุนจากประเทศแคนาดาได้ให้ความสนใจเข้ามาร่วมทุนด้วย โดยในเบื้องต้นได้อนุมัติจ่ายเงินเป็นค่าลิขสิทธ์ในการทำตลาดมาแล้วเป็นจำนวนเงิน 15 ล้านเหรียญสหรัฐ


ทั้งนี้ บริษัท โกลบอล เฮอร์จะเป็นบริษัทขายตรงที่ดำเนินธุรกิจขายตรงออกไปทั่วโลก ไม่รวมในประเทศไทย โดยได้เชิญบุคคลที่มีชื่อเสียงเข้ามาร่วมงานเป็นจำนวนมาก เช่น ดร.โทนี่ ฟามเมอร์ จากประเทศอังกฤษ ซึ่งจะเข้ามานั่งเป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (CEO) ของบริษัทดังกล่าว นอกจากนี้บริษัทยังมีแผนหลังจากที่จดทะเบียนบริษัทโกลบอล เฮอร์บส เรียบร้อย จะนำบริษัทดังกล่าวเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ที่ประเทศแคนาดา และฮ่องกง คาดว่าไม่เกิน 1 เดือนนับจากนี้จะสามารถจดทะเบียนในตลาดลักทรัพย์ฮ่องกงได้


เราค่อนข้างมั่นใจว่าหลังจากที่จัดฟอร์รั่มที่เซเนกัลจะเกิดกระแสตื่นตัวอย่างมากเพราะกลุ่มคนที่ลงชื่อจะเข้าร่วมงานในวันที่ 15-16 ก.ค. ที่จะถึงนี้แสดงความจำนงต้องการอยากได้สินค้าจริงๆ เพราะปัญหาเกี่ยวกับโรคเอดส์ และมะเร็งในกลุ่มแอฟริกาถือเป็นปัญหาที่ใหญ่มาก เพราะไม่มีอะไรมาช่วยได้ ดังนั้นการที่มีผลวิจัยออกมา และมีตัวอย่างคนที่ป่วยเป็นโรคนี้ใช้ผลิตภัณฑ์ของเราแล้วหายเป็นการยืนยันแล้วว่าสินค้าเราดีจริง และนอกจากทันทีที่ฟอร์รั่มที่เซเนกัลเสร็จความต้องการสินค้าจะเพิ่มขึ้นแล้ว ยังอาจจะส่งผลดีต่อราคาหุ้นอย่างแน่นอน


ศ.เกียรติคุณ ดร.อัศวิน กล่าวอีกว่า หลังจากวันที่ 1 เมษายน 2556 นี้เป็นต้นไปบริษัทเตรียมจะปรับขึ้นราคาอีก 13.50% จากราคาขายปลีก เนื่องจากต้นทุนทั้งวัตถุดิบ และค่าแรงที่เพิ่มสูงขึ้น ซึ่งบริษัทได้แบกรับภาระดังกล่าวมานานหลายปีแล้ว ดังนั้นจึงจำเป็นที่จะต้องปรับขึ้นราคา นอกจากการปรับขึ้นราคาแล้ว บริษัทยังมีการปรับระบบการจัดส่งสินค้าให้รวดเร็วขึ้น เพื่อให้ทันกับความต้องการของลูกค้า ละสมาชิก เพราะถือเป็นหัวใจในการทำธุรกิจ


มร.แดเนียล ฮาวเวิร์ด ฟอกซ์แมน ผู้ก่อตั้งบริษัท ไทยฟรีซดราย จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจผลิตผลิตภัณฑ์ธรรมชาติจากสมุนไพรไทย กล่าวว่า การที่ได้เข้ามาร่วมมือกับโพรแลค (ประเทศไทย) ในการผลิตน้ำพูลคาวสกัดในครั้งนี้ เนื่องจากมองเห็นโอกาสในการขยายตลาดสมุนไพรไทยออกไปยังตลาดต่างประเทศ จากการทดลองและรับรองโดยนักวิทยาศาสตร์ นักเคมีและเภสัชกรได้ให้การรับรองแล้วว่าผลิตภัณฑ์ใหม่น้ำพูลคาวในรูปแบบแคปซูลนี้ มีคุณภาพและมีความปลอดภัย ซึ่งจะช่วยให้บริษัทสามารถทำตลาดได้เป็นอย่างดีแน่นอน



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.LEADER TIME ฉบับที่ 218 ประจำวันที่ 1-15 มีนาคม 2556

TSDA ชงภาครัฐล้อมคอกแชร์ลูกโซ่ แนะติดบัตรนักขายป้องกันผีสวมสิทธิ์









สมาคม TSDA แนะภาครัฐล้อมคอกแชร์ลูกโซ่ มันนี่ ระบุโครงการตราสัญลักษณ์ สคบ. ต้องสแกนให้รอบด้าน หวั่นกลุ่มมิจฉาชีพเข้ามาแสวงผลประโยชน์ พร้อมเตรียมชงนายใหญ่สคบ. ออกบัตรนักขายที่ยื่นเสียภาษีให้รัฐ ป้องกันแม่ทีมไปหลอกลวงประชาชน ชี้เร่งให้ความรู้ภาคประชาชนระหว่างธุรกิจขายตรงกับปิรามิด


นายอนุวัฒน์ ธรมธัช นายกสมาคมพัฒนาธุรกิจการขายตรงไทย (TDSA) กล่าวว่านโยบายของสมาคมปีนี้ยังคงเน้นการให้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจขายตรงให้กับบริษัทสมาชิกของสมาคม รวมถึงการปฏิบัติตามข้อกฎหมายและกฎจรรยาบรรณอย่างเคร่งครัด โดยทางสมาคมเตรียมจะผลักดันให้มีกฎจรรยาบรรณกลางขึ้นมา รวมไปถึงการเสนอให้มีการออกบัตรประจำตัวผู้จำหน่ายอิสระที่ออกโดยเลขาธิการสำนักคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) สมาชิก TDSA และประธานของบริษัทนั้นๆ ซึ่งเป็นนโยบายที่สมาคมฯ จะต้องดำเนินการต่อไป


นอกจากนี้สมาคมยังพร้อมจะให้การส่งเสริมและสนับสนุน เพื่อช่วยเหลือสังคมร่วมกับภาครัฐ เช่นช่วยเหลือเด็กยากจน เป็นต้น รวมไปถึงการสนับสนุนโครงการต่างๆ ของภาครัฐ เช่น โครงการตราสัญลักษณ์ของสคบ.ซึ่งทางสมาคมจะไปแนะนำให้บริษัทสมาชิกเข้ามาร่วมกับโครงการดังกล่าวด้วย อย่างไรก็ตามสิ่งที่อยากเห็นในธุรกิจขายตรงเมืองไทย คือการร่วมมือกันของแต่ละสมาคมขายตรงในประเทศ เพื่อผลักดันให้ธุรกิจขายตรงไทยเจริญรุ่งเรือง โดยทุกภาคส่วนจะต้องให้ความรู้กับประชาชนเข้าใจเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงแตกต่างจากลูกโซ่และปิรามิดอย่างไร เพื่อป้องกันการถูกหลอกลวง


ด้าน ดร.สมชาย หัชลีฬหา เลขาธิการสมาคมพัฒนาการขายตรงไทย (TDSA) กล่าวเสริมว่า ปัจจุบันมันนี่เกม หรือแชร์ลูกโซ่ ได้มาอาศัยธุรกิจขายตรงเป็นช่องทางในการปล้นประชาชนตาดำๆ ซึ่งภาครัฐเองก็ต้องพิจารณาให้รอบด้าน เพราะคิดว่าหากใช้ธุรกิจเหล่านี้เข้ามาจดทะเบียนอย่างถูกต้องหรือมอบตราสัญลักษณ์สคบ. แล้ว จะช่วยป้องกันไม่ให้ธุรกิจดังกล่าวแอบไปหากินต่อได้ ดังนั้นภาครัฐเองจำเป็น ที่จะต้องมีมาตรการที่ดี เพราะผู้ประกอบการ ที่ดำเนินธุรกิจอย่างถูกต้องก็มี คนที่หา ช่องทางในการแสวงหาผลประโยชน์ก็มี จึงถือเป็นดาบสองคม


ดร.สมชาย กล่าวอีกว่า ก่อนหน้านี้ได้ตั้งข้อสังเกตไปยังภาครัฐว่า การที่จะดูว่าบริษัทไหนดำเนินธุรกิจจริงหรือไม่นั้น สิ่งหนึ่งควรดูจากการยื่นเสียภาษีว่ามีการยื่นเสียจริงหรือไม่ซึ่งถือเป็นเรื่องที่พิสูจน์ได้ง่ายมาก เพราะหากไม่ยื่นเสียภาษีให้สันนิฐานได้ว่าบริษัทนั้นประชาชนถูกหลอกได้ง่าย ในทางตรงกันข้ามหากภาครัฐรับจดทะเบียนหรือมอบตราสัญลักษณ์ให้กับบริษัทเหล่านี้อาจจะเป็นช่องทางให้กับกลุ่มมิจฉาชีพอาศัยช่องว่างพร้อมที่จะหนีได้ทุกเวลา ยกตัวอย่าง มีบางบริษัทมียอดขายเยอะ แต่ผู้จำหน่ายอิสระกลับไม่ยื่นเสียภาษีเลย ซึ่งส่วนตัวได้นำเสนอให้ภาครัฐควรมอบบัตรประจำตัวผู้จำหน่ายอิสระให้กับผู้จำหน่ายอิสระที่มีการยื่นเสียภาษีให้กับภาครัฐ


ผมคิดว่าอยากให้ผู้จำหน่ายอิสระมีบัตรประจำตัวผู้จำหน่ายอิสระ ถ้าผู้จำหน่ายอิสระยื่นเสียภาษีภาครัฐเองก็ควรที่จะออกบัตรประจำตัวผู้จำหน่ายอิสระเป็นบุคคลที่ถูกต้องตามกฎหมาย หากไม่มีแสดงว่าบุคคลนั้นไม่มีความมั่นคง แต่คำถามใครที่ควรวจะได้รับบัตรผู้จำหน่ายอิสระ คือ คนที่เสียภาษี เพราะอาชีพอื่น เช่น วิศวกร และหมอ ที่ยื่นเสียภาษียังได้ใบประกอบวิชาชีพ แต่ทำไมผู้จำหน่ายอิสระยื่นเสียภาษีถึงไม่มีใบประกอบวิชาชีพให้กับเขาบ้าง


หากมองในภาพรวมของธุรกิจขายตรงสิ่งที่ยังเป็นช่องว่าง และเป็นอุปสรรคในการเติบโตของธุรกิจนี้ คือ การที่ภาครับเองยังไม่มีความเข้าใจในธุรกิจขายตรงในปัจจุบัน เช่น ถ้าหากเปรียบเทียบธุรกิจขายตรงเป็นปิรามิดทุกคนก็จะเหมารวมว่าปิรามิดเป็นแชร์ลูกโซ่ทั้งหมด แต่หากมองกันให้ลึกลงไป ถ้าถามว่าปิรามิดเป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่ สมมติว่าถ้าบริษัทนั้นทำโครงสร้างเป็นปิระมิด แต่แบ่งการจ่ายผลตอบแทนจากเงื่อนไขของคนที่เข้ามาสร้างปิรามิดนั้น โดยมีการจำกัดรายได้จากเงื่อนไข สรุปก็คือ หากบริษัทนั้นใช้โครงสร้างปิรามิด แต่กำหนดการจ่ายผลตอบแทนแบบขายตรง ดังนั้นจึงไม่ถือว่าเข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ แต่หากนำโครงสร้างปิรามิดโดยการจัดลำดับ เช่น แบบจัดคิวเงิน อย่างนี้ถือว่าเป็นโครงสร้างที่ผิดกฎหมาย แต่คนส่วนใหญ่แยกแยะไม่ออกว่าอันไหนคือแชร์ลูกโซ่ หรือขายตรง


การแยกธุรกิจขายตรงที่ดีกับแชร์ลูกโซ่ออกจากกัน ภาครัฐจำเป็นจะต้องให้ความรู้กับภาคประชาชนว่าธุรกิจขายตรง กับแชร์ลูกโซ่เป็นอย่างไร เช่น จะต้องมีตราสัญลักษณ์ของภาครัฐ และต้องการตรวจสอบได้ มีการเสียภาษี และยื่นภาษีอย่างถูกต้อง เพราะปัจจุบันการที่มีใบอนุญาตจากสคบ.อย่างเดียวคงไม่เพียงพอ




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.LEADER TIME ฉบับที่ 218 ประจำวันที่ 1-15 มีนาคม 2556


ข่าวยูนิซิตี้ (Unicity Thailand) : ธิดา อู Presidential Director Unicity ผู้นำมือทองพม่า กับความสำเร็จที่ไม่มีวันสิ้นสุด









ขึ้นชื่อว่าธุรกิจเน็ทเวิร์ค นับได้ว่าเป็นธุรกิจที่สามารถเนรมิตให้คนที่มีความมุ่งมั่น อดทนและทำงานอย่างมีเป้าหมาย สามารถพลิกชีวิตที่ดีขึ้นได้ภายในเวลาอันรวดเร็วมากกว่าอาชีพอื่นๆ ที่สำคัญไร้ซึ่งขอบเขตของต้นทุนชีวิตที่ติดตัว เพราะไม่ว่าคุณจะเป็นใครมาจากไหนมีความรู้สูงขั้นเทพหรือแม้เขียนหนังสือไม่ได้อ่านไม่ออก แต่ถ้าหากคุณมีจิตใจที่มุ่งมั่นที่อยากจะประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างแท้จริง ก็สามารถก้าวถึงฝันที่ต้องการได้ ดังนั้นจะเห็นได้ว่าธุรกิจเน็ทเวิร์คนั้นสามารถสรรสร้างคุณภาพชีวิตให้กัลป์ผู้คนทั่วโลกได้จริงๆ


เฉกเช่นเดียวกับภาพความสำเร็จของหญิงแกร่ง ธิดา อู ผู้นำธุรกิจระดับตำแหน่ง Presidential Director บริษัทยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด เธอเป็นพลเมืองกรุงย่างกุ้ง ประเทศพม่า อดีตนเจ้าของร้านเสริมสวยถึง 3 สาขา ที่ทำมานานถึง 25 ปี แต่ด้วยภาระหน้าที่ๆต้องคอยให้บริการทำงานอย่างหนัก ส่งผลให้เธอเกิดภาวะความเครียดสุขภาพทรุดโทรม และสุดท้ายหลายโรครุ่มเร้าทั้งข้อกระดูกเข่าเสื่อม จากการยืนทำผมนานๆ หนำซ้ำโดนตัดมดลูกจากเนื้องอกผิดปกติ พ่วงมาด้วยโรคกระเพาะจากการกินอาหารไม่ตรงเวลา แต่สิ่งที่ทำให้เธอรู้สึกท้อแท้ที่สุดคือ โรคอ้วนร่างกายตุ้ยนุ้ยรับน้ำหนักเกินพิกัดถึง 200 ปอนด์ จนบุคลิกภาพเสีย พยุงตัวยืนไม่ไหวสุดท้ายต้องล้มหมอนนอนเสื่อกลายเป็นผู้ป่วยหนัก


จนกระทั่งวันหนึ่ง มีเพื่อนมาแนะนำให้ทดลองทานผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนักยูนิซิตี้ และหลังจากทานได้เพียงเดือนเดียวเท่านั้นสุขภาพของเธอโดยรวมดีขึ้นมาก สามารถทำงานได้ตามปกติ แต่สิ่งที่ทำให้เธอดีใจสุดชีวิตเห็นทีจะเป็นการลดลงของขนาดน้ำหนักตัว จากเดิม 200 ปอนด์ ลดลงอย่างต่อเนื่องราว 55 ปอนด์ หลังจากทานผลิตภัณฑ์ยูนิซิตี้ได้เพียง 8 เดือนเท่านั้นกลายเป็นคนที่มีบุคลิกภาพที่ดีมีความมั่นใจขึ้นมาก


ช่วงที่มีน้ำหนักตัวมาก ดิฉันเครียดจึงพยายามสรรหาทุกวิถีทางในการลดน้ำหนัก ทั้งกินยา ออกกำลังกาย ทุกประเภทที่ช่วยลดสัดส่วน แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ต่อมาหลังจากทานสินค้าควบคุมน้ำหนักยูนิซิตี้ได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายที่เห็นผลชัดเจน ทำให้ดิฉันรู้สึกภาคภูมิใจใรตัวเองมากที่เลือกสินค้าไม่ผิด วันนี้ดิฉันกลายเป็นคนใหม่ที่มีสุขภาพแข็งแรง


ด้วยจุดเด่นของผลิตภัณฑ์ยูนิซิตี้ จึงทำให้ ธิดา อู ไปตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจโดยมีเป้าหมายใหญ่เพื่อช่วยเหลือผู้คนด้วยการบอกต่อสิ่งดีๆให้กับคนที่มีปัญหาด้านสุขภาพ โดยเฉพาะกลุ่มผู้หญิงที่ทุกวันนี้ประสบปัญหามดลูกผิดปกติจำนวนมาก เธอจึงตัดสินใจเปิดฉากสร้างชีวิตกับธุรกิจยูนิซิตี้ทันที เพื่อมอบสิ่งดีๆช่วยเหลือคนรอบข้างให้มีสุขภาพที่แข็งแรง


หลังจากที่ ธิดา อู ตกผลึก ทางความคิดเดินหน้าลุยธุรกิจอย่างจริงจังมองเห็นโอกาสชีวิตใหม่รออยู่ตรงหน้า เธอจึงตัดสินใจแขวนกรรไกรตัดผม ยกร้านเสริมสวยที่ทำอยู่ให้ลูกน้องสานต่อบริหารแทนทั้งหมด จากนั้นตัวเองนั้นก็ได้เร่งสปีดยกระดับฐานะตัวเอง ด้วยพลังขับเคลื่อนธุรกิจยูนิซิตี้มุ่งขยายความสำเร็จให้กับผู้คนในประเทศพม่าอย่างเต็มกำลังในทุกจังหวัดเพราะเธอมองเห็นโอกาสในการมีรายได้ที่ดีกว่าอาชีพเดิมหลายเท่าตัว


ด้วยดิฉันเป็นคนฝันใหญ่คิดการณ์ไกลต้องการมีธุรกิจส่วนตัว แม้ว่าที่ผ่านมาหลายธุรกิจที่ทำล้มเหลว อย่างเช่น ร้านจำหน่ายอุปกรณ์เสริมสวย ทำได้ 1 ปี ก็เลิกเพราะได้ไม่คุ้มเสีย ตามมาด้วยอีก 2-3 ธุรกิจที่ลุ่มๆดอนๆ แต่ก็ไม่สำคัญเท่าตัวเลขวัยอายุที่เพิ่มมากขึ้น จึงเลิกล้มความผิดที่จะลงทุนใหญ่ในธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูง และมีความตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าหลังอายุ 50 ปีอยากที่จะใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ๆอย่างสงบบนเส้นทางพระพุทธศาสนา ไม่อยากคิดอะไรมาก แต่สุดท้ายดิฉันก็ยังไม่พบความสุขที่แท้จริง จนกระทั่งได้รู้จักกับธุรกิจเน็ทเวิร์คยูนิซิตี้ ทีเปิดโลกกว้างอันสวยงามให้กับดิฉันได้รู้ถึงการสร้างคุณค่าให้กับชีวิต เสมือนเส้นทางการสร้างชีวิตใหม่ให้กับตนเองและอีกนัยยะถือเป็นการบอกบุญในการดำเนินชีวิตที่ดีขึ้นให้กับผู้คนรอบข้างให้มีทั้งสุขภาพร่างกายที่ดี และสามารถยกระดับฐานะทางการเงินที่มั่นคงได้อีกด้วย


สิ่งที่ทำให้เธอเชื่อมั่นว่าธุรกิจเน็ทเวิร์ค ยูนิซิตี้ คือความสำเร็จที่ไม่มีที่สิ้นสุด เริ่มมาจากความศรัทธาที่เธอมีต่อสินค้าทำให้เธอมีหุ่นที่กระชับ ผิวพรรณสดใส จนคนรอบข้างทัก เพราะเธอเชื่อว่าหากสินค้าไม่ดีความสำเร็จก็ไม่เกิด อีกทั้งธุรกิจยูนิซิตี้สามารถตอบโจทย์ความต้องการของชีวิตได้ทุกอย่าง จึงเป็นแรงผลักดันให้ตลอดระยะเวลา 8 เดือนที่เธอได้ทุ่มเททำธุรกิจ นอกจากผลลัพธ์ความสำเร็จกับรายได้กว่า 300,000 บาทต่อเดือนแล้วเป้าหมายปีนี้ที่จะเกิดขึ้น คือการได้เป็นเจ้าของรถคู่กายสุดหรูหนึ่งคัน และเตรียมจะซื้อบ้านหลังใหม่อีก 1 หลังราคา 4 ล้านบาทที่ประเทศพม่า หรือหากถามถึงเป้าหมายความสำเร็จขั้นต่อไปนั้น คือตำแหน่งไดมอนด์ ที่มาพร้อมกับรายได้ 3 ล้าบาทต่อเดือนที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ เพื่อเป็นของขวัญชิ้นใหญ่ให้กับคุณแม่ของเธอให้ท่านสบายที่สุดก่อนในบั้นปลายชีวิต


หลังจากที่ดิฉันได้เข้ามาเรียนรู้ธุรกิจอย่างจริงจัง ได้รู้จักกับผู้คนมากมายที่มาพร้อมกับความสำเร็จของการเป็นผู้นำที่ดี ทำให้ได้เรียนรู้ว่า ธุรกิจเน็ทเวิร์คยูนิซิตี้ เป็นธุรกิจที่สร้างโอกาสให้กับคนได้จริงๆ ที่สำคัญซิสเต็มหรือการขับเคลื่อนธุรกิจภายใต้ระบบยูนิพาวเวอร์ ผลักดันให้นักธุรกิจประสบความสำเร็จได้เร็วยิ่งขึ้นสามารถก้าวเป็นผู้นำที่มีที่มาพร้อมกับคุณภาพชีวิตที่ดีทั้งเงิน สุขภาพ ความรักจากพี่น้องสมาชิกยูนิซิตี้ทุกคน และดิฉันจะยึดมั่นทำธุรกิจตลอดชีวิตจะทำให้ดีที่สุด


ส่วนเคล็ดลับความสำเร็จของ ธิดา อู เธอบอกว่า มาจาก 1. ความซื่อสัตย์กับทีมงาน 2. เป็นผู้ให้ที่ดี พร้อมที่จะแนะนำหรือเป็นที่ปรึกษาให้กับทีมงานตลอด 24 ชั่วโมง โอกาสดีๆไม่ได้เข้ามาในชีวิตเราง่ายๆแต่หากเราพบกับโอกาสของการสร้างชีวิตใหม่ก็ควรจะไขว่คว้าไว้ ดั่งเช่นโอกาสทางธุรกิจที่ดีของยูนิซิตี้ ที่ได้ให้ทั้งสุขภาพและจิตใจที่ดี ให้เงินและสามารถเกษียณตัวเองได้ในบั้นปลายชีวิต เรียกได้ว่าเหนื่อยชั่วคราวแต่สบายชั่วโคตร ธิดา อู กล่าวทิ้งท้าย



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.LEADER TIME ฉบับที่ 218 ประจำวันที่ 1-15 มีนาคม 2556