ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันอังคารที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2556

ข่าวคังเซน-เคนโก (Kangzen-Kenko): แผนการตลาดยุติธรรม คังเซน ปันผลกำไร 1% นักขายเฮรับทรัพย์อู้ฟู้







64728_571709119520582_1155906149_n (Mobile)

 


นอกจากจะมีรายได้ต่อเดือนคนละหลายแสนบาทหรือบางคนจะมีรายได้มากกว่าหนึ่งล้านบาทต่อเดือนในทุกๆเดือนมายาวนานแล้ว แต่ด้วยแผนการตลาดที่ยุติธรรมของบริษัท คังเซน เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ที่ยึดถือและปฏิบัติใช้กันมายาวนานร่วม 20 ปี ยังได้กำหนดให้มีการ มอบเงินปันผลกำไรปลายปี 1 เปอร์เซ็นต์ ให้กับสมาชิกระดับสูงในฐานะหุ้นส่วนธุรกิจคังเซนฯ ตั้งแต่ระดับเอ็มเมอร์รัลสตาร์ ไดเรกเตอร์ (ESD) ขึ้นไป, ระดับไดมอนสตาร์ ไดเรกเตอร์ (DSD) ขึ้นไปและระดับสูงสุดคราวน์สตาร์ ไดเรกเตอร์ (CSD) ที่มีคุณสมบัติครบถ้วนในรอบสิ้นปีบัญชีของ บริษัท ทั้งนี้บริษัทฯจะจ่ายเงินปันผลกำไรปลายปี 1% ให้เมื่อครบรอบสิ้นปีบัญชีดังกล่าว


และเมื่อเร็วๆ นี้นายอิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ ประธานกรรมการบริษัท คังเซน เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัดได้ทำพิธีมอบเงินปันผลกำไรปลายปี 1 % ให้กับสมาชิกนักธุรกิจในตำแหน่งคราวน์สตาร์ไดเรกเตอร์ (CSD) ที่ผ่านคุณสมบัติครบถ้วนตามแผนการตลาดและเดินทางกันมาเพื่อรับรางวัลเงินปันผลกำไรปลายปีประจำปี 2555 กันอย่างคึก อาทิ (1.) CSD ธีระยุทธ-บุตรี รับเงินปันผล 1,053,832 บาท (2.) CSD สมหมาย เกียรติ จึงตระกูล รับเงินปันผล 957,882 บาท (3.) CSD บุญศรี จิตรังสี รับเงินปันผล 903,062 บาท (4.) CSD ชลธิชา ปุราเท-เอกสิทธิ์วัฒนานุสรณ์ รับเงินปันผล 819,041 บาท (5.) CSD ศุภาวีร์ ณัฐวัสส์ ดวงคำ รับเงินปันผล 808,690 บาท (6.) CSD พีรศักดิ์ เรืองจิต รับเงินปันผล 711,359 บาท (7.) CSD กัญญณัช อัครโชติเวท รับเงินปันผล 660,918 บาท และ (8.) CSD กษิดิ์นาถ โพธิ์ทอง รับเงินปันผล 632,572 บาท


สำหรับการมอบเงินปันผลกำไรปลายปี 1% ให้กับสมาชิกที่เข้าร่วมธุรกิจและผ่านคุณสมบัติครบถ้วนตามแผนการตลาด ซึ่งเป็นการมอบตามเงื่อนไขสิทธิประโยชน์ที่สมาชิกที่ผ่านคุณสมบัติพึงจะได้รับและได้มีการกำหนดไว้ในแผนการตลาดอย่างชัดเจน ซึ่งสิทธิประโยชน์นี้ถือเป็นอีกหนึ่งมนต์เสน่ห์ของธุรกิจขายตรงในเมืองไทยอีกข้อหนึ่งเลยทีเดียวและบริษัท คังเซนฯ ได้มอบความพิเศษสุดนี้ให้กับสมาชิกที่เข้าร่วมธุรกิจมายาวนานถึง 20 ปี แล้ว


 


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.Leader Time ฉบับที่ 221 ประจำวันที่ 16-30 เมษายน 2556

ดี เน็ทเวิร์คเวิลด์ไวด์(D Network ) เปิดสำนักงานใหม่ใจกลางสาทรหวังกระทุ้งยอด 600 ล้าน







D network

 


เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2556 บริษัท ดีเน็ท เวิร์คเวิลด์ไวด์ จำกัด ขายตรงน้ำดีสัญชาติไทยได้เปิดตัวสำนักงานแห่งใหม่ บนชั้น 7 อาคาร ไทยซีซี ทาวเวอร์ เนื้อที่กว่า 220 ตารางเมตร ย่านธุรกิจใจกลางเมือง ภายใต้แนวคิดเปิดตลาดสู่กรุงเทพชั้นใน พร้อมทั้งภายในงานได้ประกาศเปิดตัว Dnetworkbook(www.dnetworkbook.com) โดยความร่วมมือกับ คุณ ณัฐชัย เตชะวิเชียร กรรมการผู้จัดการริษัท วัน สต๊อป ครีเอชั่น จำกัด ทายาทโรงพิมพ์ยักษ์ใหญ่ ตั้งเป้าให้เป็น Online bookmart ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ขานรับนโยบายเมืองหนังสือโลก


โดย อ.สาคร ใสกมล ประธานผู้ก่อตั้ง คุณภูมิสนอง หล้าสุด และ คุณอุทัย แจ่มฟ้า ผู้ร่วมก่อตั้ง พร้อมทีมงานครบทีม ถือฤกษ์งามยามดีประกอบพิธีทางศาสนาพุธเพื่อความเป็นสิริมงคลในช่วงเช้า จากนั้นจึงได้จัดงานแถลงข่าวพร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ Six Powder อาหารเสริมสุขภาพครบวงจรภายในกล่องเดียว หวังกระตุ้นยอดธุรกิจทะลุ 600 ล้านบาท จากนั้นได้เปิดตัวบ้านหลังใหม่ พร้อมประกาศความร่วมมือกับทายาทพันล้านนักธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ เปิดตัว Dnetworkbook(www.dnetworkbook.com) โปรเจค Online Bookmart ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทยซื้อหนังสือพร้อมได้รับ PV หวังลุยตลาดผู้ที่รักการอ่านโดยมีหนังสือกว่าหนึ่งพันหัวเรื่องในปัจจุบัน


ทั้งนี้บริษัทยังได้จัดงานประชุมขึ้น ณ ห้องแกรนด์ฮอลล์ ชั้น 9 ตึก ไทยซีซี ทาวเวอร์โดยมีพวกเข้าร่วมงานกว่า 500 ท่าน เพื่อรับฟัง วิสัยทัศน์ แนวคิดดีๆ จาก 3 ผู้ก่อตั้ง บริษัท ดีเน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด อีกทั้งไฮไลท์ในงานสำหรับผู้ที่ซื้อพ็อกเก็ตบุ๊ค ทำไมต้อง ดีเน็ทเวิร์ค (Why D Network) ลุ้นทองถึง มูลค่ากว่า 150,000 บาท จำนวน 12 เส้น พร้อมแจกผู้โชคดีในงานอีก 1 ท่าน เรียกได้ว่างานนี้เล่นเอาสมาชิกหลายท่านได้เฮกันอย่างสนุกสนาน


[gallery ids="16481,16482,16483,16484,16485,16486,16487,16488,16489,16490,16491,16492,16493,16494,16495,16496,16497,16498,16499,16500,16501,16502,16503,16504,16505,16506,16507,16508,16509,16510,16511,16512,16513,16514,16515,16516,16517,16518,16519,16520,16521,16522,16523,16524,16525"]

ข่าวนูสกิน (Nu Skin Thailand) : นูสกินไต้หวันจัดอีเวนต์ใหญ่ ณ ภูเก็ตแฟนตาซี







556000005311201

 


 


นายกิตติกร คิ้วคชา กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ภูเก็ต แฟนตาซี จำกัด (มหาชน) ให้การต้อนรับ และมอบของที่ระลึกให้แก่ นายทรูแมน ฮันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท นูสกิน บริษัทขายตรงจากไต้หวัน ฮ่องกง และจีน ในโอกาสมาจัดงาน Event ณ ภูเก็ตแฟนตาซี จำนวนกว่า 3,400 ท่าน โดยจัดกิจกรรม Workshop จัดงานเลี้ยงสังสรรค์ซีฟูดพาเหรด และชมการแสดงที่ยิ่งใหญ่ มหัศจรรย์กมลา และการแสดงเทคนิคแสงสีเสียงตระการตา ไอยราสเปคตาคูร่า พร้อมทั้งการรวมใจกันของชาวนูสกินจัดทำเป็นรูปดาวนูสกินเพื่อทำลายสถิติของกินเนสส์ บุ๊ก ณ ภูเก็ต แฟนตาซี เมื่อวันที่ 24 เมษายนที่ผ่านมา


 


Credit By :http://www.manager.co.th

ข่าวทีวี ไดเร็ค (TV Direct) : ทีวี ไดเร็คระดมทุนกว่า500ล้านผ่านหุ้นเพิ่มทุนและวอแรนท์







คุณทรงพล ชัญมาตรกิจ (Mobile)


ทีวี ไดเร็ค TVD เตรียมแผนรุกครั้งใหญ่ ประกาศระดมทุนกว่า 500 ล้านบาท เพื่อเพิ่มสภาพคล่องและเงินทุนหมุนเวียนให้เพียงพอสำหรับรองรับการขยายตัวของธุรกิจในอนาคต ตามแผน 4 ยุทธศาสตร์ภายใน 5 ปี จับมือพันธมิตรยักษ์ใหญ่ทั้งในและต่างประเทศ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้เทคโนโลยีและเทคนิคใหม่ๆ เพิ่มความหลากหลายของสินค้าและช่องทางขายให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย รวมถึงส่งสินค้าจากไทยไปขายต่างประเทศ เผยมติบอร์ดเพิ่มทุน 117.5 ล้านหุ้น โดยจัดสรรหุ้นเพิ่มทุน 94 ล้านหุ้น เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม ในสัดส่วน 4 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 4.50 บาท ส่วนอีก 23.5 ล้านหุ้น สำหรับรองรับการแปลงสภาพวอแรนท์ที่จัดสรรให้กับผู้จองซื้อหุ้นเพิ่มทุนโดยไม่คิดมูลค่า ในสัดส่วน 4 หุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อ 1 วอแรนท์ กำหนดราคาใช้สิทธิแปลงสภาพหุ้นละ 3.50 บาท


นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ผู้ดำเนินธุรกิจจำหน่ายสินค้าและบริการผ่านช่องทางการตลาดที่หลากหลาย (Multichannel Marketing) เปิดเผยว่า เนื่องจากธุรกิจโฮมชอปปิ้งมีทิศทางการขยายตัวที่สูงมากในอนาคต บริษัทฯ จึงจำเป็นต้องระดมเงินทุนให้เพียงพอสำหรับการขยายธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ โดยปัจจุบันได้เจรจากับพันธมิตรที่มีชื่อเสียงทั้งในและต่างประเทศหลายราย เพื่อเพิ่มช่องทางการจำหน่ายและเพิ่มความหลากหลายของสินค้าให้ครอบคลุมทุกกลุ่มเป้าหมาย ที่จะสามารถสร้างรายได้ที่ดีให้กับบริษัทฯ นอกจากนี้ ยังจะได้แลกเปลี่ยนโนว์ฮาวระหว่างกัน ที่จะทำให้บริษัทฯ ได้เปรียบในการแข่งขันในระยะยาว


ดังนั้น ที่ประชุมคณะกรรมการบริษัทฯ จึงมีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนจาก 376 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นมูลค่า 188 ล้านบาท เป็น 493.50 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท คิดเป็นมูลค่า 246.75 ล้านบาท โดยการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวน 117.5 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท ในจำนวนนี้จะเสนอขายให้กับผู้ถือหุ้นเดิมจำนวน 94 ล้านหุ้น ในสัดส่วน 4 หุ้นเดิมต่อ 1 หุ้นใหม่ ราคาหุ้นละ 4.50 บาท


ส่วนหุ้นเพิ่มทุนอีก 23.5 ล้านหุ้น จะรองรับการใช้สิทธิแปลงสภาพใบสำคัญแสดงสิทธิในการซื้อหุ้นสามัฯ (วอแรนท์) ที่บริษัทฯ จะจัดสรรให้ผู้ที่ใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุน โดยได้รับวอแรนท์ในอัตราส่วน 4 หุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อ 1 วอแรนท์ โดยวอแรนท์ดังกล่าว มีอายุ 3 ปี สามารถใช้สิทธิแปลงสภาพเป็นหุ้นสามัญปีละ 2 ครั้ง ในอัตราส่วน 1 วอแรนท์ ต่อ 1 หุ้นสามัญ ที่ราคาหุ้นละ 3.50 บาท


จากหุ้นสามัญที่เสนอขายให้ผู้ถือหุ้นเดิม 94 ล้านหุ้น ราคาหุ้นละ 4.50 บาท หากจำหน่ายได้ทั้งหมด บริษัทฯ จะได้รับเงิน 423 ล้านบาท และจะได้รับเงินจากการแปลงสภาพวอแรนท์ในอนาคตอีก ซึ่งหากใช้สิทธิทั้งหมด ก็จะได้เงินอีก 82.25 ล้านบาท เท่ากับว่าบริษัทจะได้เงินจากการเพิ่มทุนครั้งนี้รวม 505.25 ล้านบาท ซึ่งสามารถนำไปลงทุนขยายกิจการได้อีกมาก อันจะนำมาซึ่งผลตอบแทนที่ดีให้กับผู้ถือหุ้น นายทรงพลกล่าวและเสริมว่า จากการพูดคุยกับผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ต่างขานรับที่จะใช้สิทธิซื้อหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ เพราะมั่นใจว่าจะทำให้บริษัทฯ แข็งแกร่งมากขึ้นและเติบโตได้อย่างยั่งยืน


ปัจจุบันบริษัทฯ มีฐานลูกค้ากว่า 2 ล้านราย ขณะที่โครงสร้างการประกอบธุรกิจของบริษัทฯ สามารถแบ่งออกเป็น 5 ส่วนหลัก คือ การตลาดทางทีวี (TV Marketing) การตลาดแบบตรง (Direct Marketing) การตลาดทั่วไป (Conventional Marketing) การบริการ อาทิ การให้บริการรับจ้างผลิตสื่อโฆษณาและจัดหาเวลาโฆษณาให้แก่ลูกค้า และธุรกิจขายตรง (Direct Sale) สำหรับในปีนี้บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายเติบโต 20% จากปีก่อนที่มียอดขาย 2,222 ล้านบาท ขณะที่แผนระยะยาวในอีก 5 ปี หรือในปี 2560 บริษัทฯ ตั้งเป้ายอดขายจะอยู่ที่ระดับ 5,555 ล้านบาท


ทั้งนี้ การเพิ่มทุนดังกล่าว จะต้องได้รับความเห็นชอบจากที่ประชุมผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ ซึ่งได้กำหนดจัดประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นในวันที่ 28 พฤษภาคม 2556 วันกำหนดรายชื่อผู้ถือหุ้นที่มีสิทธิจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนพร้อมใบสำคัญแสดงสิทธิ คือวันที่ 5 มิถุนายน 2556 และวันจองซื้อหุ้นเพิ่มทุนและชำระค่าหุ้นคือวันที่ 28 มิถุนายน และ 2-5 กรกฎาคม 2556




Credit By :กระแสหุ้นออนไลน์

วันจันทร์ที่ 29 เมษายน พ.ศ. 2556

ข่าว 4ไล้ฟ์ (4life ) : "4ไล้ฟ์" ได้ฤกษ์ ! เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "นูทราสตาร์ท" เครื่องดื่มโปรตีนสกัดจากถั่วเหลืองและโปรตีนเวย์







475251_515971478440837_2125983650_o (Mobile)


เมื่อวันที่ 27 เมษายน 2556 ณ โรงแรมสวิส โฮเต็ล เลอคองคอร์ด กรุงเทพฯ คุณกิจภูเบศ ธนกิจสุนทร ผู้จัดการทั่วไป บริษัท 4ไล้ฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้นำทัพผู้นำระดับสูงและผู้จำหน่าย 4ไล้ฟ์ เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่นูทราสตาร์ท เครื่องดื่มโปรตีนสกัดจากถั่วเหลืองและโปรตีนเวย์ รสช็อกโกแลต เป็นเครื่องดื่มที่ให้พลังงานพร้อมมีสารอาหารที่ครบถ้วนเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย และที่สำคัญมีส่วนประกอบของโปรตีนทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ , กิจกรรมภายในงานมีโปรแกรมตรวจสุขภาพฟรี จากโรงพยาบาลกล้วยน้ำไท, บรรยาพิเศษทางวิชาการ "ลดอ้วน ลดโรค" โดย พญ.วิมลจันทร์ วุฒิคงสมบัติ แพทย์เฉพาะทางด้านเวชศาสตร์ชะลอวัย โรงพยาบาลกรุงเทพ และการบรรยายเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ นูทราสตาร์ท โดย ภก.สมชาย ผลดีเยี่ยม นอกจากนี้ทางบริษัทยังได้รับเกียรติจากผู้บริหารระดับสูง คุณเคลวิน จอลลี่ (รองประธานฝ่ายการสื่อสาร) 4ไล้ฟ์ รีเสริ์ช สหรัฐอเมริกา ร่วมเป็นเกียรติในการเปิดตัว Team 4Life คือทีมนักกีฬาระดับโลกที่ชื่นชอบในผลิตภัณฑ์ 4ไล้ฟ์ ประเทศไทยได้รับเกียรติจาก 2 โปรกอล์ฟชื่อดังที่เป็นสมาชิกใน Team 4Life คือ โปรเผ่าสิงห์ นิสสัยสุข (Senior Professional Golfer, Golf Instructor) และโปรฐิติพงษ์ ณ สงขลา (Thailand PGA Golf Instructor)ซึ่งทั้งสองท่านถือได้ว่าเป็น Team 4Life 2 คนแรกในทวีปเอเซีย


[gallery link="post" ids="16454,16455,16456,16457,16458,16459"]

ข่าว 4ไล้ฟ์ (4life ) : "4ไล้ฟ์" ยอมรับเปิด 7 ปี ชื่อยังเงียบ ขึงธงสินค้าโรดโชว์ 4 ภาคดันเรตติ้ง







914120_515970291774289_1324728847_o (Mobile)

 


"4ไล้ฟ์" บอกพอใจผลประกอบการปีที่ผ่านมามียอดขายโตขึ้น 30% ยอมรับบริษัทยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก เตรียมแผนจัดโรดโชว์โปรโมตแบรนด์ 4 ภาค ชูจุดแข็ง ผลิตภัณฑ์เด่นกับผู้นำเก่ง ตั้งเป้า อีก 3 ปี ดันตัวเลขสมาชิกถึง 1 แสนรหัส ส่วนยอดขายปี 56 ขอโตเพิ่ม อีก 30% พร้อมชำเลืองตลาดอาเซียน หวังปักหมุด พม่า และลาว


นายกิจภูเบศ ธนกิจสุนทร กรรมการผู้จัดการ บริษัท 4ไล้ฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดเผยกับ "สยามธุรกิจ" ว่า บริษัทได้ดำเนินธุรกิจในประเทศไทยมานาน กว่า 7 ปี ตั้งแต่ปี 2549 แต่ที่สหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นบริษัทแม่ได้เข้าสู่ปีที่ 15 ในการดำเนินธุรกิจแล้ว


โดยภาพรวมในปีที่ผ่านมา บริษัท 4ไล้ฟ์ มีผลประกอบการน่าพอใจ เติบโตถึง 30% นับเฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ทำให้ ในปี 2556 นี้ บริษัทมีความตั้งใจหวังจะเติบโต สูงไปอีก 30% เนื่องจากเป้าหมายที่ตั้งไว้ภายใน 3 ปี ต้องมีสมาชิกอย่างน้อย 1 แสน รหัส แต่เวลานี้มีอยู่ที่ 4 หมื่นกว่ารหัส และ มีเครือข่ายกระจายอยู่ทั่วประเทศ


"สำนักงานใหญ่ของเรายังมีอยู่ที่เดียว คือ ที่ห้างอัมรินทร์พลาซ่า ซึ่งที่นี่จะเป็นที่กระจายสินค้า รวมถึงการจัดงานประชุมสัมมนาต่างๆ โดยสมาชิกจะคุ้นเคยกับเซ็นเตอร์ที่นี่ดี แต่เวลานี้กำลังเตรียมที่จะเปิด เซ็นเตอร์อีกแห่ง คือ จ.เชียงใหม่ เพราะที่นั่น มีฐานสมาชิกเยอะมาก และจะทำการเปิดเซ็นเตอร์อีก 2-3 เดือนข้างหน้านี้"


กรรมการผู้จัดการ "4ไล้ฟ์" กล่าวต่อ ว่า "บริษัทมีเซ็นเตอร์ประมาณ 22 ประเทศ กระจายอยู่ทั่วโลก และมีที่ดำเนินธุรกิจไปแล้วถึง 52 ประเทศ แม้ว่าชื่อของ "4ไล้ฟ์" จะยังไม่เป็นที่รู้จักของคนไทย แต่ต่างประเทศ ก็จะคุ้นชื่อของบริษัทเราดี ทำให้ในปีนี้อาจต้องมีการทำตลาดด้วยการประชาสัมพันธ์มากขึ้น ซึ่งได้เตรียมออกโรดโชว์ทั่วทั้ง 4 ภาค โดยได้ทำกิจกรรมนี้ทุกอาทิตย์อยู่แล้ว แต่ที่ จะเพิ่มเติมเข้ามาคงเป็นการลงโฆษณาตาม สื่อวิทยุและสิ่งพิมพ์ต่างๆ เพื่อจะทำให้รู้จักบริษัทเรามากขึ้น"


"จุดแข็งของบริษัทอีกหนึ่งอย่าง คือ ผลิตภัณฑ์ที่ได้คุณภาพ เพราะสินค้าของเรา ผ่านการรับรองจาก อย. แล้ว และยังได้สิทธิบัตรด้านผลิตภัณฑ์แห่งแรกในโลกอีกด้วย โดยรับรองจากประเทศสหรัฐอเมริกา ส่วนจุดแข็งที่ขาดไม่ได้เลยคือ การทำงานร่วมกับผู้นำ ไม่ว่าผู้นำจะอยู่ที่ใดของประเทศ เราจะไปร่วมกันทำงานแบบเป็นทีม ไม่ทอดทิ้ง กัน ทำให้มีความสามัคคีเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน"


ในส่วนของผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจ "กิจภูเบศ" ได้กล่าวต่อว่า ผลิตภัณฑ์ที่น่าสนใจของบริษัท คือกลุ่มอาหารเสริม ไม่ว่าจะเป็นไตร แฟกเตอร์ ฟอร์มูล่า พลัสไตร แฟกเตอร์ ฟอร์มูล่า และทรานสเฟอร์ แฟกเตอร์ คือ มีโปรตีนจากธรรมชาติช่วยสร้างภูมิคุ้มกันให้กับร่างกายและดูแลซ่อมแซม ส่วนต่างๆ ของร่างกายให้แข็งแรงอยู่เสมอ นอกจากนี้ ยังมีกลุ่มสินค้าด้านความงาม เครื่องใช้ในครัวเรือน ซึ่งทีมวิจัยของบริษัทอยู่ที่ สหรัฐอเมริกา และกำลังจะมีสินค้าต่างๆ ออกมาตอบสนองความต้องของสมาชิกให้ได้มากที่สุด


"และที่สำคัญบริษัทของเราจะจ่ายค่าตอบแทนให้สมาชิกสูงพอสมควร โดยเรา ใช้แผนยูนิเลเวล ซึ่งสมาชิกสามารถมีได้หลายสายไม่จำกัด เพราะเราจ่ายให้สมาชิก สูงถึง 64% แต่การทำธุรกิจของเรา ขอเพียง มี 3 สายงานหลักๆ ก็พอ เท่านี้ก็เป็นอันใช้ได้ แล้ว ไม่จำเป็นต้องเปิดให้ได้มากขนาดนั้นก็ได้ แต่หากสมาชิกคนไหนมีความสามารถก็แล้วแต่จะเปิดสายงานเท่าไร่ก็ได้"


นอกจากนี้ นายกิจภูเบศ ยังได้กล่าวถึงการเตรียมรับมือเออีซีในอีก 2 ปีข้างหน้า ว่า "ผมมองว่า ถือเป็นโอกาสที่ดีที่จะทำให้ขยายตลาดออกไปในวงกว้างมากขึ้น เพราะ ตอนนี้มีหลายบริษัทออกไปเจาะตลาดเพื่อนบ้าน แต่ "4ไล้ฟ์" ก็ได้เตรียมแผนในเรื่องนี้เอาไว้เช่นกัน โดยตั้งใจว่าจะไปใกล้ๆ ก่อนก็คือ พม่ากับลาว เพราะที่นั่นมีเครือข่าย อยู่มากพอสมควร แต่ยังไม่ได้มีสำนักงานที่นั่น แต่ตอนนี้กำลังศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายอยู่ หากชัดเจนแล้วก็คงจะต้องดำเนินการสร้างตลาดที่นั่นให้เร็วแน่นอน เพื่อจะได้ขยายต่อไปที่ประเทศใกล้เคียงไปด้วย เพราะตอนนี้เราได้อาศัยแม่ทีมที่อยู่ตาม ภาคเหนือ และภาคใต้ ขยายเครือข่ายออกไปมากพอสมควรแล้ว ซึ่งในภาคใต้นั้นเรามีฐานสมาชิกเยอะมาก โดยเฉพาะในอินโดนีเซีย และจะขยายต่อไปเรื่อยๆ"


อย่างไรก็ตาม ในวันที่ 27 เม.ย.2556 บริษัท "4ไล้ฟ์" จะจัดงานแถลงข่าวเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ที่โรงแรมสวิสโซเทล เลอ คองคอร์ด กรุงเทพฯ ในช่วงบ่าย ซึ่งงานนี้จะมีกลุ่มนักกีฬาดังๆ จากสหรัฐอเมริกาที่ใช้ผลิตภัณฑ์แล้วดีเดินทางมาร่วมงานนี้ถึง 9 คน และยังมีนักกีฬากอล์ฟชื่อดังจากประเทศไทย 2 คน มาเป็นแขกพิเศษของงานอีกด้วย


 


 


Credit By :http://www.siamturakij.com

ข่าว เอเชีย สุพรีม (Asia Supreme) : "เอเชีย สุพรีม" อวดสถาบันปั้นแม่ทีม เล็งเพิ่มหลักสูตรเจ้าของธุรกิจ ดันเป้า 200 ล้าน







aj.sutee (Mobile)


"เอเชีย สุพรีม" มั่นใจแผนการตลาดแข็งแกร่ง เล็งเปิดศูนย์เซ็นเตอร์แห่งที่ 4 บนพื้นที่ภาคอีสาน ผลักดัน 2 สถาบันสร้างแม่ทีมของบริษัท อย่าง "เอเชีย เน็ตเวิร์ค" กับ "ยูว์นิ่ง เอเชีย สุพรีม" ไพ่เด็ดปั้นยอดขาย เตรียมเปิดอีก 1 "อัพไลน์โฮลดิ้ง" ปลูกจิตสำนึกเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกัน ดันผลประกอบการ โตอีก 50% เป้าปี 56 หวัง 200 ล้านบาท


อ.สุธีร์ รัตนนาคินทร์ ประธานกรรมการ บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด ได้เปิดเผยกับ "สยามธุรกิจ" ว่า ผลประกอบการธุรกิจในปี 2556 ที่ผ่านมาอยู่ในขั้น น่าพอใจ มีการเติบโตถึง 30% หรือมียอดขาย 60 กว่าล้านบาท โดยบริษัทได้ก่อตั้งมาเพียงแค่ปีเศษๆ และได้ทำธุรกิจจริงจังเพียงแค่ 6 เดือนเท่านั้น คือเริ่มก่อตั้ง บริษัทเดือน ก.พ. 2555 แต่เริ่มวางรากฐานจริงจังตั้งแต่ เดือน ก.ค. 2556 โดยตอนนี้บริษัท ตั้งหลักได้สำเร็จและ สินค้าก็ผ่านการรับรอง อย. เป็นที่เรียบร้อย ซึ่งเวลานี้มีสมาชิกกว่า 6 พันรหัส แต่จบปีนี้ อย่างน้อยต้องได้ 15,000 รหัสเป็นอย่างต่ำ


"หลังจากที่เราได้เน้นสร้างรากฐานในช่วงแรกๆ ด้วยการสร้างทีมที่มีคุณภาพ ระบบการจัดการสมาชิกที่มีความตั้งใจทำธุรกิจกับบริษัทเราจริงๆ ทำให้ช่วงแรกๆ จะ ต้องอาศัยความอดทนสูง แต่มันก็คุ้มค่า และ เพียงแค่ 6 เดือน ธุรกิจเราก็ยืนหยัดต่อสู้ได้ จนได้ยอดขายที่น่าพอใจ และตอนนี้ได้เล็งภาคอีสานที่จะเป็นสาขาเพิ่มเป็นแห่งที่ 4 จากที่ก่อนหน้านี้เปิดไปแล้วทั้ง เชียงราย, หาดใหญ่ และพิษณุโลก ส่วนศูนย์กระจายสินค้าตอนนี้มี 12 แห่ง และมีเซ็นเตอร์ให้สมาชิกใช้บริการกว่าอีก 20 แห่ง ตั้งอยู่ทั่ว จุดสำคัญของประเทศ"


นอกจากนี้ "เอเชีย สุพรีม" ยังมี 2 องค์กรที่คอยให้การสนับสนุน คือ สถาบันฝึกอบรม "เอเชีย เน็ตเวิร์ค" โดยทำหน้าที่คอยพัฒนานักธุรกิจในการสร้างเครือข่ายใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นนักศึกษา รวมถึงกลุ่มคน ทุกสาขาอาชีพที่สนใจประกอบธุรกิจ และยังมีสถาบัน "ยูว์นิ่ง เอเชีย สุพรีม" มีหน้าที่ทำกิจกรรมต่างๆ คอยช่วยเหลือองค์กร สนับสนุนคุณภาพชีวิตสมาชิก โดยทั้ง 2 สถาบันที่จัดตั้งขึ้นแบ่งเป็นกลุ่มบุคคล และกลุ่มนักธุรกิจ ส่วนกลุ่มที่ 3 ที่จะตามมา คือ "อัพไลน์โฮลดิ้ง" เป็นสมาชิกที่ถือหุ้นจากบริษัทต่างๆ เข้ามาร่วมธุรกิจ เนื่องจาก "เอเชีย สุพรีม" ต้องการให้สมาชิกและผู้ประกอบธุรกิจมีหุ้นส่วนเป็นเจ้าของร่วมกัน เพื่อจะทำให้องค์กรมั่นคง


ประธานกรรมการ "เอเชีย สุพรีม" ได้กล่าวต่อว่า แผนการตลาดในปี 2556 นี้ ยังไม่มีอะไรมาก เนื่องจากจุดแข็งของบริษัท มีรากฐานที่ดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสินค้าอย่าง "ครอสตรุม" เป็นวิตามินจากหัวน้ำนมวัว ที่ผลิตที่ประเทศนิวซีแลนด์ ค่อนข้างได้รับความนิยมมาก อีกทั้งมี ฟิชออยล์Ž น้ำมันปลา ที่โดดเด่นไม่แพ้กัน ต่อมาคือ ตัวองค์กร เนื่องจากไม่ได้มีเจ้าของคนเดียว แต่เราเปิด ให้สมาชิกมีหุ้นในบริษัท พร้อมทั้งมีโรงงาน ผลิตที่มีคุณภาพ และสถาบันสร้างคน ที่จะสร้างผู้นำเก่งๆ ออกมา ที่สำคัญคือเรื่องของ การเงินที่มั่นคง โดยเรามีกลุ่มทุนในและต่างประเทศเป็นเจ้าของร่วมกัน ทำให้บริษัท มีความมั่นคงเป็นอย่างยิ่ง


"ตอนนี้บริษัทเราพร้อมอยู่แล้ว และจะเติบโตไปเรื่อยๆ แต่ผมก็หวั่นใจเกี่ยวกับเรื่องที่มีผู้ที่ไม่หวังดีเข้ามาทำลายธุรกิจขายตรงให้เสื่อมเสีย คือผมอยากให้ทุกคนทำธุรกิจนี้อย่างมีจรรยาบรรณ ไม่เอาเปรียบ และหลอกลวงคนอื่น เพราะธุรกิจขายตรงมีมูลค่ามหาศาล มีประชากรกว่า 9 ล้านคน ที่เข้าทำธุรกิจนี้ จึงอยากให้ทุกคนเห็นคุณค่า ว่าขายตรงก็เป็นอาชีพที่สร้างรายได้ที่มั่นคง ได้ ช่วยให้คนมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น"


ในส่วนของการรวมตัวประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี เกี่ยวกับเรื่องนี้ อ.สุธีร์ รัตนนาคินทร์ ได้กล่าวเพิ่มเติมว่า "บริษัทเรามีพันธมิตรอยู่หลายประเทศ อย่าง อินโดนีเซีย มาเลเซีย และกลุ่มอินโดจีน ก็มีพม่า เวียดนาม ลาว กัมพูชา โดย ทั้งหมดนี้เรามีเครือข่ายอยู่ แต่ยังไม่ได้จัดตั้ง ศูนย์เซ็นเตอร์ขึ้นมา เพราะติดในเรื่องข้อกฎหมาย แต่หากสมาชิกมีมากจนน่าจะขยาย ตลาดได้ก็จะทุ่มงบประมาณตั้งสาขาขึ้นมา แน่นอน และเมื่อเออีซีเปิดขึ้นธุรกิจขายตรง ของเราจะเติบโตอีกหลายเท่าตัว"



Credit By :http://www.siamturakij.com

TDNA ดึง "ม.หอการค้าไทย" วิจัย MLM "ชำแหละ ก.ม." ปูทางพลิกโฉมวงการธุรกิจ







นิโรธ (Mobile)


สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย หรือ TDNA จับมือ "มหาวิทยาลัย หอการค้าไทย" ทำวิจัยธุรกิจขายตรง ค้นหาความจริงของวงการในทุกมิติ เดินหน้าแก้กฎหมายขายตรงจริงจัง ชี้ "จิรชัย" เลขาธิการ สคบ. เห็นด้วย ตั้ง "กรม" ออกกฎ "ขึ้นทะเบียนนักขาย" เอาอย่างธุรกิจประกัน ปิดช่องนักธุรกิจ นอกลู่ มั่นใจ พ.ค. เปิดตัวสมาคมเป็นทางการ พร้อมตั้งเวทีสัมมนา "ชำแหละ กฎหมายขายตรง" ดึงทุกบริษัทร่วมแสดงความคิดเห็น


นายนิโรธ เจริญประกอบ นายกสมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย หรือ TDNA เปิดเผย "สยามธุรกิจ" ว่าในช่วงที่ผ่านมาทางสมาคมได้ดำเนินงานตามแผนของสมาคมได้อย่างรุดหน้าไปมาก โดยล่าสุด ทาง TDNA ได้มีการสรุปเกี่ยวกับเรื่องของความร่วมมือกับมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เพื่อทำวิจัยเรื่องต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ต่อวงการขาย ตรงไทย


"ขณะนี้ในส่วนของความคืบหน้าเรื่องการทำงานตามแผนของ TDNA นั้น ตอนนี้ ทางสมาคม ได้ข้อสรุปว่าจะให้ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ดำเนินการในเรื่องของการทำวิจัยในทุกมิติเกี่ยวกับ เรื่องของธุรกิจขายตรงไทย โดยเฉพาะในเรื่องของกฎหมายขายตรง ซึ่งเป็นแผนงานหลักของสมาคมที่ต้องการให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเรื่องของกฎหมาย ขายตรง ที่นับวันก็ยิ่งไม่สามารถดูแลวงการขายตรงไทยได้ รวมถึงการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องของมูลค่าการตลาดของวงการขายตรงไทยที่เป็นตัวเลขแท้จริง รวมถึงการทำวิจัยถึงจำนวนสมาชิก และ กลุ่มคนที่มีส่วนเกี่ยวกับธุรกิจขายตรง ซึ่งการทำวิจัย ที่สมาคม TDNA ได้ให้มหาวิทยาลัยหอการค้าทำ เป็นไปในรูปแบบยิงตรงทุกมิติ เพื่อเป็นฐานข้อมูลของวงการขายตรง" นายนิโรธ กล่าว


สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย กำลังเร่งสร้างเครือข่ายสมาชิกของสมาคม เพื่อสร้างกำลัง จำนวนของกระบอกเสียง เพื่อให้เกิดอำนาจในการต่อรองระหว่างภาค ธุรกิจ รวมทั้งอำนาจการต่อรองกับหน่วย งานภาครัฐ รวมถึงให้เกิดการยอมรับในตัวของสมาคม


"ตอนนี้สมาคมกำลังเดินหน้าประชาสัมพันธ์ข้อมูลของสมาคม เพื่อให้เกิดความ น่าสนใจ เพื่อบริษัทขายตรงทั้งที่มีสังกัดสมาคมอยู่แล้ว และที่ยังไม่มี ได้มีตัวเลือกในการสังกัดสมาคม เพื่อทำงานเพื่อส่วนรวม ยกระดับวงการขายตรงไทย" หัวเรือสมาคมใหม่ เผย


ปัจจุบันสมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย มีสมาชิกแล้วร่วม 10 บริษัท และ เมื่อวันที่ 25 เม.ย.ที่ผ่านมา ก็มีกลุ่มบริษัทขายตรงอีกกว่า 10 บริษัทเดินทางเข้ามาแสดงเจตนารมณ์ในการเข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของสมาคม ซึ่งคาดว่าในช่วงสิ้นเดือนเม.ย.นี้ TDNA จะมีสมาชิกไม่ต่ำกว่า 20 บริษัท ซึ่งถือว่าเป็นจำนวนมากเลยทีเดียว เมื่อเทียบกับระยะเวลาการก่อตั้งของสมาคม


TDNA เปิดประเด็นในเรื่องการแก้กฎหมายขายตรงไทยขึ้น ซึ่งกฎหมายฉบับเก่าที่ใช้อยู่นี้ เป็น พ.ร.บ.ขายตรงและตลาด แบบตรง พ.ศ. 2545 ซึ่งนับถึงปัจจุบัน ก็มี อายุกว่า 10 ปีแล้ว ซึ่งดูจะเก่าเกินไปเมื่อเทียบกับวิวัฒนาการของธุรกิจขายตรงในปัจจุบัน จนไม่สามารถควบคุมดูแล หรือ ยกระดับวงการขายตรงได้ ทำให้สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทยเกิดขึ้น เพื่อทำงานในเรื่องนี้อย่างจริงจัง


"ที่ผ่านมาเป็นที่ทราบกันดีว่า สมาคม ทั้ง 3 สมาคมที่อยู่ในวงการขายตรงไทยมาก่อน ก็คิดในเรื่องของการแก้ไขกฎหมาย ขายตรง แต่ที่ผ่านมายังไม่มีสมาคมขายตรง ใดดำเนินการอย่างจริงจัง ทำให้ปัญหานี้ ยังมีอยู่ ซึ่ง TDNA ต้องการทำในเรื่องนี้อย่างจริงจัง"


โดยประเด็นในการแก้ไขกฎหมายขายตรงนี้ สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย มีข้อกฎหมายหลักๆ อยู่ประมาณ 7-8 ข้อกฎหมายที่ต้องการให้รัฐมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นรูปธรรม โดยเฉพาะในเรื่องของการตั้งสำนักงานรัฐขึ้นมา เพื่อเป็นหน่วยงานหลักในการกำกับดูแล ยกระดับวงการขายตรงไทย อย่างเฉพาะเจาะจง ไม่ใช่เพียงเป็นแผนกงานหนึ่งที่สังกัดอยู่กับ สคบ. ซึ่งมีภาระหน้าที่มากมาย จนขายตรงไม่ได้รับการพัฒนาอย่างที่ควรจะเป็น


นอกจากนี้ ก็มีในเรื่องของการขึ้นทะเบียนนักธุรกิจอิสระ ซึ่งเป็นเรื่องที่สมาคม ธุรกิจเครือข่ายต้องการผลักดันเช่นกัน เพราะที่ผ่านมา มีนักธุรกิจอิสระมากมายหลายคนที่ทำผิดกฎหมาย และจรรยาบรรณ ด้านขายตรง จนทำให้เกิดความเสียหาย แต่หากมีการขึ้นทะเบียนนักขายได้ ปัญหานี้ก็จะน้อยลง เนื่องจากภาครัฐ และเอกชน จะสามารถตรวจสอบผู้กระทำผิดได้


ในเรื่องต่างๆ ที่กล่าวมา ทาง สคบ. โดย "จิรชัย มูลทองโร่ย" เลขาธิการ สคบ. ก็ดูจะเห็นด้วยกับเรื่องต่างๆ ที่สมาคม TDNA ได้ยื่นไป โดยที่นายใหญ่ของ สคบ.ท่านนี้ ก็มีตำแหน่งเป็นคณะกรรมการคนหนึ่งของ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริม การประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ซึ่งเป็น หน่วยงานที่ดูแลธุรกิจประกัน โดยเลขาธิการ สคบ. ได้มีการเรียนรู้ระบบต่างๆ ของ คปภ. ที่ดูแลธุรกิจประกัน ซึ่งจะนำมาใช้ในวงการ ธุรกิจขายตรงต่อไป


อย่างไรก็ตาม ต้องยอมรับว่าในช่วงที่ผ่านมาการชิงดีชิงเด่นของวงการขายตรง ยังมีให้เห็น ซึ่งทำให้การเจรจากับภาครัฐมักมีการขัดขากันบ้างในเรื่องนี้ "นิโรธ" เผยว่า ที่ผ่านมาเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ต้องระวัง แต่ สมาคมก็พร้อมที่จะทำงานรับความคิดเห็น จากทุกฝ่าย ทำให้ไม่เป็นกังวลในเรื่องนี้ และสมาคมก็พร้อมที่จะทำประโยชน์ต่อวงการขายตรงอย่างจริงจัง จึงไม่มีเหตุต้องกลัว


ในเรื่องของ "ตราสัญลักษณ์ สคบ." ที่หน่วยงานภาครัฐหยิบขึ้นมาเพื่อรณรงค์ให้บริษัทขายตรงเข้ามาขอรับตรานี้ เพื่อแสดงมาตรฐาน แต่ก็มีกฎกติกาว่า บริษัทที่ จะขอรับตรา สคบ.นี้ได้ ต้องเป็นสมาชิกของ สมาคมขายตรงใดสมาคมหนึ่ง จนเป็นที่โต้แย้งไม่ยอมรับของบางบริษัท ประเด็นนี้ นายกสมาคม TDNA กล่าวว่า "เรื่องนี้เป็น เรื่องของความคิดที่แตกต่าง แต่หากมองให้ลึกการอยู่ร่วมกันกับสมาคมใดสมาคมหนึ่ง ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหาย เมื่อรัฐมีกำลังน้อย เราก็ควรที่จะช่วยทำให้เรื่องต่างๆ ง่ายขึ้น เพื่อวงการโดยรวม แต่หากบริษัทใดไม่ต้องการ ตนก็ไม่ทราบว่า พวกเขาต้องการอะไร ทำไมไม่ร่วมทำเพื่อสังคม และยกระดับ วงการขายตรงบ้าง"


ทั้งนี้ ประเด็นการรวมสมาคมเป็นหนึ่งเดียว "นิโรธ" ก็ยังให้ความเห็นอีกว่า "คงเป็นเรื่องยากที่จะมีการรวมตัวของวงการขายตรง เพราะต้องยอมรับว่าคนในวงการขายตรงมีความคิดที่แตกต่างกัน ซึ่งไม่ใช่เรื่องเสียหาย เพราะวงการธุรกิจอื่น หรือ แม้แต่วงการอะไรก็ตาม ก็มีหลายสมาคม ซึ่งก็สามารถเดินหน้าไปได้ แต่หากสมาคมขายตรงทั้งหมดจะรวมตัวเป็นสมาพันธ์นั้น ก็คงเป็นเรื่องยากไม่ต่างจากวงการธุรกิจอื่นๆ"


อย่างไรก็ดี สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย หรือ TDNA เตรียมแผนที่จะ เปิดตัวสมาคมอย่างเป็นทางการในช่วงต้นเดือน พ.ค.ที่จะถึงนี้ โดยจะมีการเปิดตัวสมาชิกของสมาคม การลงนามทำสัญญาระหว่างสมาคมกับมหาวิทยาลัยหอการค้า ไทย เพื่อทำวิจัยวงการขายตรง อีกทั้งจะมีการสัมมนาในหัวข้อ "ชำแหละกฎหมายขายตรง" เพื่อรับฟังความคิดเห็นของคนที่มาร่วมงาน ซึ่งคนที่มาร่วมงานในวันนั้น สมาคมจะเชิญทุกบริษัทขายตรง รวมถึงหน่วยงานต่างๆ ที่มีส่วนเข้าร่วมงาน เพื่อร่วม ยกระดับวงการขายตรงอย่างเป็นรูปธรรม




Credit By :http://www.siamturakij.com

ข่าวเเอมเวย์ (Amway Thailand) : มูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทยจัดกิจกรรมทำความดี ชวนอาสาสมัครร่วมอ่านหนังสือเสียงเพื่อน้อง







Large (Mobile)


นายปรีชา ประกอบกิจ ประธานกรรมการมูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทย และ นางทัดดาว ปัญจโสภกุล รองประธานกรรมการ จัดกิจกรรมทำความดีเพื่อสังคม ด้วยการเปิดรับสมัครผู้ใจบุญร่วมอ่านหนังสือเสียงเพื่อผู้พิการทางสายตา ที่บู๊ธมูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทยในงาน กรุงเทพมหานครเมืองหนังสือโลก โดยตั้งเป้าให้ผู้พิการด้านการมองเห็นและเยาวชนไทยสามารถเข้าถึงแหล่ง การเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น

ข่าวมิลค์กี้เวย์ เน็ตเวิร์ค(Milky Way Network) : 'มิลกี้เวย์' รีแบรนด์เตรียมบุกตลาดอาเซียน







Capture (Mobile)


นายสุมิตร วชโรดมทรัพย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท มิลกี้เวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศในปี 2556 มีอัตราเติบโตอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ภาพรวมในตลาดธุรกิจขายตรงในปัจจุบันมีอัตราขยายตัวและเติบโตเช่นกัน ทั้งนี้ บริษัทคาดการณ์ว่าภายใน 5 ปี จะมียอดขายมากกว่า 3,000 ล้านบาท ซึ่งปีนี้ตั้งเป้ายอดขายมากกว่า 1,000 ล้านบาท


สำหรับปี 2556 บริษัทมีแผนขยายฐานลูกค้าไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งบริษัทเล็งเห็นว่าในปี 2558 ประเทศไทยจะก้าวเข้าสู่การเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ทำให้มองด้านการขยายตลาดในกลุ่มอาเซียน โดยเมื่อต้นปีที่ผ่านมาเริ่มเข้าไปเปิดสาขาแล้วเป็นสาขาแรกที่ประเทศพม่า นอกจากนี้เตรียมขยายตลาดไปยังประเทศในแถบตะวันออกกลาง ซึ่งเร็วๆ นี้บริษัทจะไปทำการสำรวจตลาดและศึกษาดูงานในประเทศจอร์แดน


ล่าสุดบริษัทได้ทำการรีแบรนด์จาก บริษัท มิลกี้เวย์ เน็ต เวิร์ค จำกัด เปลี่ยนเป็นชื่อเป็น บริษัท มิลกี้เวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ทั้งนี้ เชื่อว่าจากการรีแบรนด์ในครั้งนี้จะทำให้บริษัทก้าวสู่ตลาดสากลได้มากยิ่งขึ้น




Credit By :หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์

จับอุณหภูมิเดือด ค่ายขายตรงประลองตลาดปุ๋ย







p_409269 (Mobile)


นาทีนี้ ขายตรงเกษตร ดูเหมือนจะทวีความร้อนแรงขึ้นเรื่อยๆ จากมูลค่าตลาดเกษตรเมืองไทยมีมูลค่าหลักแสนล้านบาท ไม่น่าแปลกใจที่บริษัทขายตรงต่างมองเห็นโอกาสในการเข้าไปมีส่วนร่วมชิกเค็กก้อนใหญ่นี้ ปัจจุบันสินค้ากลุ่มเกษตรนับว่าเป็นที่นิยมของบรรดาเหล่าบริษัทขายตรงทั้งเก่าและรายใหญ่ต่างตบเท้าลุยด้านเกษตรกันถ้วนหน้า ที่แน่ๆคือเราได้เห็นผู้เล่นหน้าใหม่ที่เข้าสู่ตลาดขายตรงโดยมีสินค้าเกษตรเป็นตัวขับเคลื่อน และขายตรงชั้นนำก็แตกไลน์มาลองชิมลางสินค้าเพื่อการเกษตรบ้าง


ที่ฮือฮาในวงการขายตรงเป็นอย่างมาก เมื่อ ดร.สุรเชษฐ์ เชื้อศรี ประธานกรรมการบริษัท ลาชูเล่ จำกัด ประกาศก่อตั้งบริษัท อาชูเล่ เอเชีย และขนสินค้านวัตกรรมเพื่อการเกษตรสั่งตรงจากประเทศอิราเอล ภายใต้แผนธุรกิจมหัศจรรย์ TCM3 หรือ Triple Core Marketing ซึ่งเขามองว่า เป็นแผนการตลาดที่แรงที่สุดในยุคนี้ที่จ่ายได้เร็ว จ่ายได้จริง ลงทุนน้อยทำงานง่าย มีรายได้มั่นคง


"จากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ไจก้า ลาชูเล่ ออกมารุกตลาดกว่า 4 เดือนที่ผ่านมา ยอดขายมีอัตราการเพิ่มขึ้นในทุกๆเดือน ปัจจุบันมียอดขายรวมแล้ว 50 ล้านบาท โดยเชื่อมั่นว่ายอดขายในส่วนของผลิตภัณฑ์การเกษตรจะมีอัตราที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกๆเดือน และคาดว่าจะสามารถผลักดันให้ยอดขายถึง 500 ล้านบาทได้ภายในสิ้นปีนี้ อีกทั้งบริษัทเล็งเห็นถึงปัญหาด้านเกษตรที่เปรียบเสมือนกับเป็นอาชีพ บรรพบุรุษของไทยและเพื่อปลดหนี้ให้เกษตรกรไทย ด้วยสุดยอดผลิตภัณฑ์อาหารเสริมบำรุงพืชจุลินทรีย์ชีวภาพสูตรเข้มขน ที่มีประสิทธิภาพสูงสุดที่ใช้กับพืชผักไม้ผลทุกชนิด สามารถเพิ่มพูนผลผลิตให้กับเกษตรกรมากยิ่งขึ้น อันได้แก่ (1.)สารอาหารบำรุงพื้ช(ชนิดผง)นาโน อะมิโนแมค ไจก้า ลาชูเล่-1 (2.)สารอาหารเสริมบำรุงพื้ชจุลินทรีย์(ชนิดน้ำ)นาโน จินซีแมค ลาชูเล่-1 (3.) สารเพิ่มประสิทธิภาพจับใบพื้ช นาโน นูแมค ไจก้า ลาชูเล่-2 (4.)สารอินทรีย์ปรับปรุงบำรุงดินนาโน ฮิวแมค ไจก้า ลาชูเล่-3 และ (5.) สารสกัดชีวภาพป้องกันแมลงและรักษาโรคพืช นาโนไฟท์แบค ไจก้า ลาชูเล่น-4" สุรเชษฐ์กล่าว แจกจริง ใช้แล้วเห็นผล


ออร์กาเนลไลฟ์ ต้นตำหรับขายตรงเกษตร


หากพูดถึงขายตรงเกษตรเชื่อว่าชื่อของ ภัคภณ ศรีคล้าย ประธานกรรมการบริษัท ออร์กาเนลไลฟ์ (ประเทศไทย) จำกัด กำลังเป็นที่รู้จักในแวดวงขายตรงเกษตร ในฐานะกูรูตัวจริงเรื่องเกี่ยวกับการเกษตร เพราะเกิดจากการสั่งสมประสบการณ์เป็นนักวิชาการเกษตรมากกว่า 30 ปี หลังจากเงียบหายไปนานถึง 3 ปี วันนี้การกลับมาของออแกเนลไลฟ์ ที่สะสางปัญหาภายในจนเสร็จสิ้น มุ่งทำตลาดสินค้าในกลุ่มเกษตรแบบถึงลูกถึงคนกับเกษตรกร กระจายศูนย์สาขากว่า 5 แห่ง อาทิ เชียงใหม่, บึงกาฬ, อุบลราชธานี, บุรีรัมย์ และชัยนาท ทำให้ปัจจุบัน ออแกแนลไลฟ์ มีฐานผู้บริโภคเป็นจำนวนมาก และพร้อมแล้วที่จะกลับเข้ามารุกตลาดขายตรงอีกครั้ง


หากมองจุดแข็งของ "ออร์กาเนลไลฟ์" คือ การชูผู้มีประสบการณ์ด้านการเกษตรโดยตรง 30 ปีและกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพระดับพรีเมี่ยมและใช้แล้วเห็นผลชัดเจน กว่า 30 รายการ ทำให้ออร์กาเยลไลฟ์มีความโดดเด่นและแตกต่างจากคู่แข่งอย่างมาก ซึ่งบริษัทถือว่าเป็นหัวใจหลักในการสร้างฐานตลาดผู้บริโภคแบบเครือข่ายอย่างแท้จริง


ขณะที่ พิบูล ลิมปิวิวัฒน์กุล รองประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท มาบุญครอง จำกัด เปิดเผยว่า ตลาดการเกษตรก็เป็นนโยบายการทำตลาดหลักของบริษัทในปีนี้ โดยได้จัดทำโครงการพัฒนาเกษตรกรไทย ก้าวไกลสู่สากลขึ้น ทั้งนี้ได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท คือ สารปรับปรุงดินศิริชัย และศิริชัยไบโอ พลัส ซึ่งมีการแจกผลิตภัณฑ์ตัวอย่างให้แก่เกษตรกรทั่วประเทศไทยกว่า 20,000 ครัวเรือน ทั่วประเทศ


ภายในสิ้นปี มาจากสินค้าเกษตร 60-70% โดยเราจะรุกด้านขายตรงเกษตรอย่างจริงจัง ซึ่งมุ่งจับกลุ่มรากหญ้า เราแจกตัวอย่างผลิตภัณฑ์ให้เกษตรกรได้ทดลองโดยมุ่งเน้นที่พืชเศรษฐกิจของไทย อย่าง ข้าว ยางพารา มันสำปะหลัง และข้าวโพด เมื่อเห็นผลจะเกิดการบอกต่อ


เขายังมั่นใจว่าการขยายตลาดขายตรงเกษตรในปีนี้จะสามารถกระตุ้นยอดขายให้ก้าวกระโดดให้กับบริษัทถึง 2,000 ล้านบาทในปีนี้ด้วย


เทรนด์เกษตรอินทรีย์มาแรง


แม้ "วิน วิน เวิล์ดไวด์" จะไม่ได้จับขายตรงเกษตรอย่างเต็มรูปแบบ แต่ส่วนหนึ่งของนโยบายการเติบโตของบริษัทในปีนี้ก็ไม่ลืมที่จะเติบโตทางด้านนี้ โดยชูจุดเด่นที่เป็นโรงงานผลิตเอง และรูปแบบเน้นสินค้าออแกนิคส์ 100% โดยการันตีถึงประสิทธิภาพในราคาประหยัด


"เรามีโรงงานปุ๋ยน้ำของเราเอง เจอวิกฤตตอนน้ำท่วม โรงงานเพิ่งรีโนเวทเสร็จเมื่อ 2 - 3เดือนที่ผ่านมา ตอนนี้พร้อมผลิต โดยมีกำลังการผลิตเป็นยอดพันล้านได้ แม้เป็นโรงงานเล็กๆ ตอนนี้ปุ๋ยเราเน้นเป็นออแกนิคส์หนด พวกฆ่าแมลง ฆ่าหญ้า เราไม่เอาเลย เรามีแต่เป็นการเพิ่มผลผลิตพื้ชเป็นวัคซีนพืช ให้พืชแข็งแรง โค๊ตราคา 990 บาท ถึงมือผู้บริโภคเลย ปริมาณ 2 ลิตร ใช้กับนาข้าวได้ 25 ไร่ เราเข้าไปทำตลาดร่วมกับธนาคารเพื่อการเกษตร โดยผ่าน ส.ค.ต.หรือส่งเสริมสหกรณ์ด้านการตลาด" เภสัชกรประเสริฐ หวานยิ่ง ประธานบริษัท วิน วิน เวิล์ดไวด์ กล่าว


นี่เป็นเพียงตัวอย่างรูปแบบการทำตลาดของเหล่าบริษัทขายตรงในปีนี้ ซึ่งต่างใช้กลยุทธ์ที่หลากหลายให้ได้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมาย แน่นอนว่าจะเห็นการแข่งขันกันอย่างดุเดือดตลอดทั้งปี ซึ่งกลวิธีจะเป็นอย่างไร ก็เป็นเรื่องของแต่ละบริษัท แต่สิ่งที่ทุกบริษัทจะลืมไม่ได้ก็คือ ต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดที่เกษตรกรจะได้รับ มากกว่าการมุ่งส่วนแบ่งตลาด




Credit By :หนังสือพิมพ์บ้านเมือง

ข่าวอาวียองซ์ (Aviance Thailand) : ชายหนุ่มผู้เปลี่ยนมรสุมของชีวิต เป็นรายได้มหาศาลกลายเป็นเศรษฐี พร้อมสไตล์ชีวิตอิสระ เผยวิธีที่ให้ทุกคนสามารถทำได้อย่างเขา ในงาน GRE@T DAY







02_resize (Mobile)


สุชาดา ธีรวชิรกุล ประธานบริหาร อาวียองซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด ผู้อยู่เบื้องหลังความเกรียงไกร แบรนด์ความงามระดับพรีเมี่ยม อาวียองซ์ (aviance) นำทีมบุคคลต้นแบบที่ประสพความสำเร็จ โดยเฉพาะ ธนวัฒน์ เรืองสว่าง Area Executive Business Associate 1 ใน 6 บุคคลต้นแบบที่ประสพความสำเร็จจากการทำธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์ ชายหนุ่มที่เผชิญมรสุมของชีวิต แต่ชีวิตพลิกผันเมื่อเริ่มต้นทำธุรกิจอาวียองซ์ จากมีเงินติดตัวไม่กี่สิบบาท ที่ปัจจุบันกลายเป็นเศรษฐีรับรายได้รวมเกือบ 50 ล้านบาท ตั้งแต่เริ่มต้นกับธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์ พร้อมสไตล์ชีวิตอิสระ มาเปิดใจบอกเล่าประสบการณ์การตัดสินใจครั้งสำคัญ ในการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับยูนิลีเวอร์ ในงาน GRE@T DAY (เกรท เดย์) เราทำได้ คุณทำได้ ณ อาคารไทยซัมมิททาวเวอร์ ถนนเพชรบุรีตัดใหม่


บรรยากาศภายในงาน GRE@T DAY อาวียองซ์ยังได้ให้ผู้ที่มาร่วมงานได้ท้าพิสูจน์ถึงประสิทธิภาพของ aviance i fresh (อาวียองซ์ ไอ เฟรช) กลุ่มผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อดูแลสุขภาพปากและฟัน ประกอบด้วย ยาสีฟัน น้ำยาบ้วนปาก ไหมขัดฟัน และแปรงสีฟัน ครบเซ็ท สำหรับทำความสะอาดช่องปากและฟันด้วยนวัตกรรม อะควาไนซ์ ไอออน (Aquanized ion) เทคโนโลยีสิทธิบัตรจากประเทศญี่ปุ่น ที่พร้อมมอบประสบการณ์ใหม่ของการทำความสะอาดช่องปากและฟันได้อย่างล้ำลึก ครบถ้วน จึงช่วยเพิ่มความมั่นใจในทุกการสนทนา หรือเผยรอยยิ้มแห่งความประทับใจได้อย่างมาดมั่น ที่มาพร้อม 6 ผลลัพธ์เปี่ยมด้วยประสิทธิภาพ ได้แก่ สะอาดอย่างล้ำลึก ด้วย อะควาไนซ์ ไออน (Aquanized ion) พร้อมอณูโฟมที่เล็กกว่า และให้สัมผัสที่นุ่มนวล ช่วย ลดกลิ่นปาก ที่การทำความสะอาดทั่วไปไม่สามารถกำจัดได้ ขจัดคราบพลัค อย่างอ่อนโยน ด้วยสารขัดฟัน (Hydrated silica) ขนาดเล็กกว่า 10 ไมครอน ลดการเกิดคราบหินปูน ด้วยสารสกัดจากผลแอปเปิ้ลดิบ และซิงค์มิเนอรัล ป้องกันการเกิดฟันผุ ด้วยสารฟลูออไรด์ และ เย็นสดชื่น ด้วยรสชาติชาแอปเปิ้ล มินท์ (Apple Mint Tea Flavor)


เมื่อประตูงาน GRE@T DAY ได้เปิดขึ้น เหล่าบุคคลต้นแบบที่ประสพความสำเร็จทั้ง 6 ท่าน ก็ได้บอกเล่าประสบการณ์การตัดสินใจครั้งสำคัญในการเป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับยูนิลีเวอร์ เหมือนเช่น ธนวัฒน์ เรืองสว่าง Area Executive Business Associate เผยว่า ผมเกิดมาในครอบครัวที่คุณพ่อทำธุรกิจก่อสร้าง ซึ่งตลอดเวลาเศรษฐกิจในครอบครัวเรานั้นจะลุ่มๆ ดอนๆ ผมจึงต้องใช้ชีวิตแบบกระเบียดกระเสียดอยู่ตลอดเวลา จนเมื่อโตขึ้นและได้เข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยรามคำแหง ที่นี่ผมมีเพื่อนๆ ที่บ้านค่อนข้างมีฐานะ และชอบขับรถแข่งแรลลี่กัน ผมจึงมีความฝันว่าอยากจะเป็นคนมีเงิน จนเมื่อเรียนจบ ผมได้เข้าไปทำงานประจำในบริษัทขนส่งสินค้าไปต่างประเทศ หรือต่างประเทศกลับมาไทย พอเมื่อถึงยุคที่ฟองสบู่แตก ค่าเงินดีดตัวเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่า บริษัทก็เริ่มที่จะขาดทุน ด้วยความกลัวว่าบริษัทจะให้ออก ผมจึงชิงลาออกจากงานก่อน ทั้งที่ยังไม่มีงานอะไรรองรับ และอายุก็เริ่มเข้าวัย 35 ปี โอกาสในการเข้าทำงานในบริษัทในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ จึงเป็นเรื่องยากสำหรับผม จนเมื่อได้มีโอกาสพบกับธุรกิจเครือข่าย อาวียองซ์ โดยอัพไลน์ของผม คุณเจอร์รี่ หลุย ทั้งที่เวลานั้นผมก็ปฏิเสธเพราะไม่ใช่ทางของผมแน่ๆ ที่จะมาทำธุรกิจเกี่ยวกับสกินแคร์ แต่คุณเจอร์รี่ก็เปิดโอกาสให้ผมได้ลองเข้ามาเที่ยวชมอาวียองซ์ ช็อป มาตรวจสภาพผิว และเข้าอบรม เวลานั้นทำให้ผมเริ่มคิดครับว่า อัพไลน์ผมเขาทำเป็นอาชีพหลักของเขา เขาคงไม่หลอกเราหรอก ผมจึงตัดสินใจสมัครเป็นผู้ร่วมธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์ทันทีด้วยเงิน 600 บาท แม้ว่าในตอนนั้นบ้านที่ผมพักอาศัยอยู่ไกลจากเอส ซี บี มากๆ แม่ผมต้องเจียดเงินที่ทั้งบ้านเหลืออยู่ 500 บาท มาให้ผม 50 บาท สำหรับเป็นค่ารถในการเดินทางมาเข้าคลาสอบรม แต่ผมก็ไม่ท้อครับ และตั้งใจว่า 6 เดือนหลังจากทำธุรกิจนี้ ผมจะต้องสามารถดูแลตัวเองได้แล้ว และก็เป็นไปตามที่ผมได้ตั้งใจไว้


จนเมื่อผมทำธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์นี้ไปได้ 1 ปี ผมมีรายได้สะสมทั้งปีเป็นเงินราว 1 แสนกว่าบาท พร้อมความคิดว่าเรานั้นจะมีโอกาสได้เข้าสู่สโมสรเงินล้านกับเขาบ้างไหมนะ จนเมื่อทำธุรกิจนี้เข้าสู่ปีที่ 2 ผมก็สามารถเข้าสู่สโมสรเงินล้าน จนเมื่อปี 2005 ผมสามารถเข้าสู่สโมสร 10 ล้าน ปี 2010 ก็เข้าสู่สโมสร 30 ล้าน และเพราะธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์นี้ ที่ทำให้ผมมีเงินสินสอดแต่งงาน พร้อมกับเป็นเจ้าของบ้านพร้อมที่ดินผืนสวย 2 แห่งในเชียงใหม่ มีรถยนต์ส่วนตัวถึง 2 คัน ที่มาจากน้ำพักน้ำแรงจากการทำธุรกิจอาวียองซ์ และธุรกิจนี้ยังเปิดโอกาสให้ผมได้เดินทางไปท่องเที่ยวในต่างประเทศนับ 10 ประเทศ ทั้งในเอเชีย หรือยุโรป และอเมริกา ที่สำคัญธุรกิจนี้ยังทำให้ผมมีอิสรภาพทางด้านเวลา ผมเป็นคนที่ชื่นชอบการเดินทางแบบแอดเวนเจอร์ครับ และมีความฝันว่าครั้งหนึ่งในชีวิตผมอยากพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส ผมพาภรรยาขับรถเดินทางไปท่องเที่ยวด้วยกัน โดยมีจุดหมายปลายทางคือพิชิตยอดเขาเอเวอร์เรส ในคาราวานที่เดินทางไปด้วยกันครับ ผมได้เจอกับเพื่อนใหม่ที่เป็นเจ้าของธุรกิจที่มีเงินมากกว่า รวยมากกว่า แต่เชื่อไหมครับ พวกเขาเหล่านั้นกลับต้องเปิดโรมมิ่งมือถือไว้ติดต่อธุรกิจ และที่สำคัญไม่มีใครสามารถพาภรรยาไปด้วยได้ เพราะต้องให้ภรรยาควบคุมงานแทน แต่ผมกลับมีความสุขกับภรรยาที่เราสามารถไปท่องเที่ยวด้วยกัน ที่สำคัญเราไม่จำเป็นต้องรับโทรศัพท์เพื่อทำงาน เป็นเวลา 1 เดือนครับที่ผมเดินทางไปและกลับจากเอเวอร์เรสโดยไม่ได้ทำงาน แต่เมื่อกลับมาผมกลับต้องประหลาดใจที่ในเดือนนั้นผมได้รับรายได้ 1 ล้านกว่าบาท และเพราะเป็นคนที่ชื่นชอบยนตรกรรมด้านยานยนต์ ผู้ชายหลายคนต้องไม่พลาดครับที่จะไปงานมอเตอร์ โชว์ และไม่พลาดที่จะต้องไปชมพริตตี้สวยๆ แต่ผมเลือกที่จะเดินทางไปชม โตเกียว มอเตอร์ โชว์ ครับ สถานที่ที่เป็นต้นกำเนิดยนตรกรรมล้ำสมัย ซึ่งเป็นอีกหนึ่งความฝันที่ผมนั้นได้ทำสำเร็จแล้ว และฝันในอนาคตของผมที่ผมจะต้องทำให้ได้ คือการได้เป็นเจ้าของยนตรกรรมสุดหรู Porsche Carrera S พร้อมกับตอนนี้ผมกำลังฟิตร่างกายเพื่อให้พร้อมกับการเดินทางแอดเวนเจอร์ครั้งใหม่ กับการปั่นจักรยานเพื่อพิชิตเทือกเขาทิเบตครับ


ขอเพียงแค่มีความฝัน ฝันให้ใหญ่ และตอกย้ำความฝันนั้น ด้วยการทำธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์อย่างจริงจัง ให้เหมือนกับการ ตอกเสาเข็มเพื่อความมั่นคง เพราะธุรกิจนี้จะทำให้คุณสบาย และยังเป็นความสบายแบบยั่งยืนอีกด้วย เมื่อผมทำได้ คุณก็ทำได้เช่นกันครับ


เต็มอิ่มกับประสบการณ์ความสำเร็จจากผู้ร่วมธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์ ในงาน GRE@T DAY (เกรท เดย์) เราทำได้ คุณทำได้ ที่มาร่วมแชร์แบ่งปันเส้นทางสู่ความสำเร็จ ให้ผู้ที่มาร่วมงานได้พบโอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิต เพราะอาวียองซ์เชื่อว่า เราทำได้ คุณทำได้


[gallery link="post" ids="16411,16410,16409,16408,16407"]


ข่าวอาวียองซ์ (Aviance Thailand) : อาวียองซ์แสดงความยินดีกับ ไพโรจน์ จุฑามาศ ดิลกพัฒนมงคล REBA คนใหม่







ภาพข่าว (Mobile)


สุชาดา ธีรวชิรกุล ประธานบริหาร อาวียองซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด แสดงความยินดีกับ ไพโรจน์ จุฑามาศ ดิลกพัฒนมงคล ในโอกาสขึ้นตำแหน่งระดับภูมิภาค Regional Executive Business Associate โดยมี มนต์ชัย เดโชจรัสศรี, ลักขณา อังสาชน, อภิวัชร์ วิบูลย์วัฒนกุล และ ชินวัตร กิจส่งแสง ร่วมแสดงความยินดี ณ โรงแรมแมนดาริน โอเรียนเต็ล กรุงเทพ

ข่าวซินเนอร์จี้ (Synergy WorldWide) : ซินเนอร์จี้ เล่นเกมรุก ขยายฐานต่างจังหวัด







233947102_640 (Mobile)


ซินเนอร์จี้รุกตลาดต่างจังหวัด ร่วมเดินทัพพร้อมผู้นำในพื้นที่ ขยายตลาดทั่วประเทศ เจาะกลุ่มผู้รักสุขภาพตัวจริง ชูสินค้าเรือธงย้ำเจ้าตลาดเสนอสินค้าเพื่อการดูแลหัวใจและหลอดเลือดโดยเฉพาะ


ซินเนอร์จี้เผย ยุทธศาสตร์ปี 56 เน้นขยายตลาดไปสู่กลุ่มผู้บริโภคต่างจังหวัดมากขึ้น เนื่องด้วยสินค้าที่ตอบโจทย์การดูแลสุขภาพอย่างแท้จริง เป็นที่ต้องการมากขึ้น และเป็นอาวุธชั้นเยี่ยมสำหรับผู้จำหน่ายในการบุกตลาดทั่วประเทศ ซึ่งในปีนี้ สมาชิกซินเนอร์จี้ ได้ขยายกำลังออกสู่ภาคอีสานตอนใต้ หลังจากที่เมื่อปีที่แล้วสมาชิกได้ไปวางรากฐานตามหัวเมืองใหญ่ อาทิ เชียงใหม่ หาดใหญ่ โคราช ขอนแก่นซึ่งถือเป็นจุดยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับการขยายตลาดไปตามจังหวัดใกล้เคียง


นายศุภพงศ์ จันทรวีระกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัทซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ มาร์เก็ตติ้ง ประเทศไทยและเวียดนาม กล่าวถึงยุทธศาสตร์ในครั้งนี้ว่า ช่วงที่ผ่านมากระแสธุรกิจขายตรงคึกคักมากขึ้น ทั้งการเปิดตัวของบริษัทน้องใหม่ ทั้งจากต่างประเทศหรือบริษัทคนไทยด้วยกัน ทำให้สินค้าในท้องตลาดมีความหลากหลายขึ้น ยอมรับมีคู่แข่งมากขึ้น แต่ไม่หวั่นใจ เพราะซินเนอร์จี้มีผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพชั้นเลิศไม่เหมือนใคร จึงไม่มีใครมาแย่งตลาดไปได้


ผลิตภัณฑ์ของซินเนอร์จี้ ด้วยมาตรฐานการผลิตจากบริษัทแม่ที่สหรัฐอเมริกา Natures Sunshine ที่มีคุณภาพสูง พิสูจน์ได้จากกลุ่มลูกค้าทั้งเป็นเพียงผู้บริโภค และนักธุรกิจที่ทำตลาด ที่มีจำนวนเพิ่มมากขึ้นทุกปี เรามีฐานเครือข่ายผู้บริโภคที่กว้างมากขึ้น และมีการซื้อซ้ำอยู่เสมอ ยอดขายเราก็เพิ่มขึ้นทุกปี และยิ่งในปีนี้ ทางบริษัทเองและนักธุรกิจได้มีการปรึกษาหารือกันถึงยุทธศาสตร์การดำเนินงาน เราจึงเน้นไปที่จังหวัดต่าง ๆ ทั่วประเทศ ตามหัวเมืองหลัก ๆ อย่าง เชียงใหม่ และโคราช เรามีสำนักงานสาขาอยู่ที่นั่น ทำให้การกระจายสินค้า และการทำธุรกิจง่ายขึ้น อย่างตอนนี้เรามีทั้งกลุ่มผู้บริโภคตัวจริงและนักธุรกิจที่อยู่แถบอีสานตอนใต้อย่าง บุรีรัมย์ สุรินทร์ ศรีสะเกษ ยโสธร รวมถึงภาคเหนือจังหวัดน่าน ซึ่งถือเป็นนิมิตรหมายที่ดีของธุรกิจของเราครับ


สัดส่วนยอดขายจากเดิมที่เรามีกรุงเทพ 90%และต่างจังหวัด 10%ในปีนี้เราจะเพิ่มสัดส่วนเป็น 30%โดยที่ทางกรุงเทพฯก็สามารถเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้เพิ่มขึ้นด้วยเช่นกัน นายศุภพงศ์ กล่าวทิ้งท้าย


วันเสาร์ที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2556

อย.ไล่หวดสินค้าสุขภาพ 61 ราย โฆษณาครอบจักรวาลแชมป์กระทำผิด







art_41902171 (Mobile)

 


อย. เชือดอีก 61 ราย สินค้า สุขภาพ เครื่องสำอางยังครอง แชมป์ อวดอ้างสรรพคุณโอเวอร์ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแสดงฉลากไม่ถูกต้อง เช่น ระบุข้อความ "white" ใต้ชื่อ ให้ผู้บริโภคเข้าใจ ผิดในสาระสำคัญของอาหาร พบโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตจำนวนมาก เช่น ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อ้างช่วยยับยั้งการ สร้างเม็ดสีเมลานินที่ดำคล้ำ บ้าง อ้างเพิ่มขนาดหน้าอก อ้างสลาย ไขมัน อ้างลดคอเลสเตอรอล ไม่เสี่ยงโรคหัวใจ เบาหวาน เป็นต้น โฆษณายาโดยไม่ได้รับอนุญาต และมีการรับรองยกย่อง สรรพคุณยาโดยบุคคลอื่น รวม ค่าปรับเบาๆ กว่า 6 แสนบาท


ภญ.ศรีนวล กรกชกร รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ได้ดำเนินคดีกับผู้กระทำความผิดตามพระราชบัญญัติต่างๆ ในช่วงเดือนมกราคม 2556 ได้แก่ พระราชบัญญัติอาหาร พ.ศ.2522 จำนวน 28 ราย พระราชบัญญัติยา พ.ศ.2510 จำนวน 29 ราย พระราชบัญญัติเครื่องมือแพทย์ พ.ศ.2531 จำนวน 2 ราย และพระราชบัญญัติเครื่องสำอาง พ.ศ.2535 จำนวน 2 ราย รวมทั้งสิ้น 61 ราย คิดเป็นมูลค่า 604,200 บาท


โดยรองเลขาธิการฯ กล่าวว่า จากการดำเนินคดีตามพระราชบัญญัติอาหาร ได้เปรียบเทียบปรับผู้กระทำผิด ในกรณีต่างๆ ซึ่งพบการโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหาร ยา เครื่องสำอาง และเครื่องมือแพทย์ทางสื่อต่างๆ ได้แก่ นิตยสาร หนังสือพิมพ์ และเว็บไซต์ที่มี แนวโน้มเพิ่มมากขึ้น โดยโฆษณาในลักษณะโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง และไม่ได้ขออนุญาตโฆษณา เช่น ผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร โฆษณาในลักษณะอ้างว่าช่วยยับยั้งการสร้างเม็ดสีเมลานินที่ดำคล้ำ ทำให้ผิวขาวเปล่งปลั่ง อ้างว่าช่วยเพิ่มขนาดหน้าอก ยกกระชับ อวด อ้างลดความอ้วน ลดไขมัน กระชับสัดส่วน ลดคอเลสเตอรอลไม่เสี่ยงโรคหัวใจ เบาหวาน เป็นต้น


อีกทั้งยังพบผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแสดงฉลากไม่ถูกต้อง เช่น ไม่แสดงข้อความ "ควรกินอาหารหลากหลายครบ 5 หมู่ ในสัดส่วนที่เหมาะสม เป็นประจำ" บางผลิตภัณฑ์มีการระบุคำว่า "white" ไว้ใต้ชื่อผลิตภัณฑ์ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจผิดในสาระสำคัญของ อาหารว่า ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวทำให้ผิวขาวได้ ซึ่งเป็นการโฆษณาที่ไม่ได้รับอนุญาตและเข้าข่ายหลอกลวงโอ้อวดเกินจริงทั้งสิ้น เพราะผลิตภัณฑ์อาหารต้องไม่โฆษณาสรรพคุณในทางยาดังที่โฆษณา และในส่วนของผลิตภัณฑ์ยา โฆษณาในลักษณะช่วยบรรเทาอาการเจ็บปวดสรรพคุณครอบจักรวาล และโฆษณาขายยาโดยมีการรับรองหรือยกย่องสรรพคุณยาโดยบุคคลอื่น


นอกจากนี้ ยังพบการขายยาอันตรายในระหว่างที่เภสัชกรไม่อยู่ปฏิบัติหน้าที่ ด้านผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ พบการโฆษณาร้อยไหมโดยไม่ได้รับอนุญาต ระบข้อความ ร้อยไหม ยกกระชับ สวยสั่งได้ ถือเป็นการโฆษณา โดยไม่ได้รับอนุญาต และผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง โฆษณาโดยใช้ข้อความ ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจผิดในสาระสำคัญเกี่ยวกับเครื่องสำอาง เช่น อ้างช่วยลบเลือนฝ้า-จุดด่างดำ ลดริ้วรอยแห่งวัยที่สะสมตลอด 1 ปี ได้ภายในเวลา 6 สัปดาห์ เป็นต้น


กรณีอาหารนำเข้าจากต่างประเทศ พบสารเคมีป้องกันกำจัดศัตรูพืชกลุ่มออร์กาฟอสฟอรัสในบล็อกโคลี และกลุ่มคาร์บาเมตในผักกาดขาว ซึ่งมีคุณภาพมาตรฐานไม่เป็นไปตามที่กฎหมายกำหนด จึงได้ดำเนินคดีในข้อหานำเข้าเพื่อจำหน่ายอาหารผิดมาตรฐาน


อย่างไรก็ตาม ขอเตือนประชาชน อย่าได้ซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ไม่ได้ขออนุญาตจาก อย. ไม่ว่าจะเป็นผลิตภัณฑ์ อาหาร ยา เครื่องสำอาง เครื่องมือแพทย์ และอย่าหลงเชื่อการโฆษณาที่อวดอ้างสรรพคุณเกินจริงเพราะจะทำให้สิ้นเปลืองเงินทองโดยไม่ได้ผลตามที่โฆษณาอวดอ้าง มิหนำซ้ำยังอาจ ได้รับอันตรายจากผลิตภัณฑ์นั้น หรือเสียโอกาสในการรักษาที่ถูกต้อง


ทั้งนี้ อย. ได้มีการดำเนินคดีเปรียบ เทียบปรับผู้กระทำผิดตามพระราช-บัญญัติต่างๆ ในความรับผิดชอบของ อย.เป็นประจำสม่ำเสมอ โดยผู้สนใจสามารถตรวจสอบรายชื่อผู้กระทำผิดพร้อมรายละเอียดได้ทางเว็บไซต์ www.fda.moph.go.th คลิก "ผลการดำเนินคดี" เพื่อเป็นข้อมูลในการเฝ้าระวัง และหากพบเห็นผลิตภัณฑ์สุขภาพ ที่ต้องขออนุญาตจาก อย. แต่ไม่ขออนุญาต หรือพบการโฆษณาหลอกลวง ผู้บริโภคขอให้ร้องเรียนมายังสายด่วน อย. โทร.1556 เพื่อ อย. จะได้ตรวจสอบ และดำเนินการตามกฎหมายต่อไป รองเลขาธิการฯ อย. กล่าวในที่สุด


 


 


Credit By :http://www.siamturakij.com

ข่าวโดกุดามิ (Dokudami) : "โดกุดามิ" แย้ง "ตราสคบ." ไม่ควรบังคับสังกัดสมาคม







img_556f8a5cc895a7cd3b42ac01d8269bf8 (Mobile)


"อัศวิน" แม่ทัพใหญ่ "โดกุดามิ" ประกาศไม่เห็นด้วยกับภาครัฐหลายเรื่อง หลังเข้าร่วมสัมมนา เรื่อง "แนวทางการ ดำเนินการของผู้ประกอบธุรกิจขายตรง เพื่อรองรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน" โดยเฉพาะกฎเกณฑ์การขอรับ "ตราสัญลักษณ์สคบ." แย้ง สคบ.ควรตั้งมาตรฐานสินค้า และบริษัท ที่ควรได้ตรา สคบ. ไม่ใช่ให้ความสำคัญกับขายตรงที่มีสมาคม สังกัด ชี้บริษัทมีสมาคมอยู่ ไม่ได้ดีกว่าบริษัทที่เป็นเอกภาพ


ศ.เกียรติคุณ ดร.อัศวิน วัฒนปราโมทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โดกุดามิ เอเชีย จำกัด เปิดเผยในประเด็นนี้ว่า ตนไม่เห็นด้วยกับหลายเรื่องที่ สคบ. และหน่วย งานรัฐได้กล่าวในการสัมมนาครั้งนี้ โดยเฉพาะเรื่องของการขอรับ "ตราสัญลักษณ์ สคบ." ที่ สคบ.ให้ความสำคัญแต่บริษัทที่มีสมาคมขายตรงสังกัดอยู่ โดยไม่ได้เปิดรับให้บริษัทที่ไม่มีสังกัดสมาคมได้เข้ามาร่วมโครงการดังกล่าว


"การที่ สคบ. เปิดโอกาสให้แต่บริษัท ที่มีสังกัดสมาคมอยู่ เพื่อเข้าขอรับตราสัญลักษณ์ สคบ. เป็นเรื่องที่ไม่เห็นด้วยไม่ได้ เนื่องจากตนไม่เห็นด้วยที่ว่า บริษัทที่มีสมาคมสังกัดเป็นบริษัทที่ดีกว่า บริษัทที่ไม่มี สังกัดสมาคม เพราะไม่ว่าสมาคมใดที่มีอยู่ ณ วันนี้ ก็ใช่ว่ามีแต่บริษัทน้ำดี โดยที่ สคบ. เอาอะไรมาวัดว่า บริษัทใดดีไม่ดีอย่างไร"


อย่างไรก็ดี ปัญหาหนึ่งของการที่หลาย บริษัทไม่มีสังกัดสมาคมก็เพราะบริษัทนั้นๆ ไม่ต้องการร่วมกับสมาคมใดสมาคมหนึ่ง ถึงแม้ว่าบริษัทนั้นจะเป็นบริษัทน้ำดีก็ตาม ยิ่งไปกว่านั้น บางสมาคมก็ไม่รับบริษัทขนาด เล็ก หรือสมาคมบางสมาคมก็มีขนาดเล็ก ซึ่งบริษัทต่างๆ ไม่ต้องการเข้าร่วม นี่คือปัญหาที่ว่าทำไมบริษัทขายตรงส่วนใหญ่จึงไม่มีสังกัดสมาคม


"สคบ.ควรตั้งมาตรฐานการขอรับตรา สัญลักษณ์ สคบ.ให้มีความชัดเจน ยกตัวอย่างตรามาตรฐาน "มอก." ที่มีมาตรฐาน คุณภาพของสินค้าที่จะเข้ารับอย่างชัดเจน ไม่จำเป็นต้องเป็นสินค้าของบริษัทใด มีสังกัดอย่างไรยังไง ซึ่ง สคบ.ควรนำวิธีนี้ไปตั้งมาตรฐานบริษัทที่จะเข้ามาขอรับตราแทน ที่จะแยกชนชั้น ว่าบริษัทที่จะเข้ามาขอรับตรา สคบ.นั้น จะต้องมีสังกัดสมาคมใดสมาคม หนึ่ง"


ดังที่กล่าวมา ในวันสัมมนาที่ผ่านมา มี 353 บริษัทที่ลงทะเบียนรายงานตัวว่ายังดำเนินธุรกิจอยู่ แต่เมื่อแยกเป็นบริษัทที่มีสังกัดสมาคมทั้ง 3-4 สมาคม ก็มีไม่ถึง 100 บริษัทด้วยซ้ำที่มีสังกัดสมาคม แล้วอีกกว่า 250 บริษัท จะทำอย่างไร ทั้งๆ ที่กลายเป็น เสียงส่วนใหญ่ด้วยซ้ำ ซึ่งการที่ สคบ.จะเปิด รับตราสัญลักษณ์ สคบ.นี้ ควรตั้งมาตรฐาน ที่ชัดเจน ไม่ใช่ว่าต้องเป็นบริษัทสังกัดสมาคม ซึ่งเรื่องนี้ตนไม่เห็นด้วยกับภาครัฐ


ในส่วนของการรื้อกฎหมาย และตั้งหน่วยงานรัฐขึ้นมาดูแลธุรกิจขายตรงโดยเฉพาะ ที่รัฐแสดงความเป็นไปได้ในเรื่องนี้นั้น ทาง "ดร.อัศวิน" เผยว่า เรื่องนี้ตนเห็นด้วย เนื่องจากกฎหมายเดิมที่ใช้อยู่ ก็มีอายุ กว่า 10 ปีแล้ว ส่วนการตั้งกฎหมายใหม่นั้น รัฐจะต้องให้ความเป็นธรรมกับ 3 ฝ่ายคือ 1.ผู้ประกอบการ 2.นักธุรกิจอิสระ และ 3.กลุ่ม ผู้บริโภค ซึ่งทั้งหมดเป็นกลุ่มคนสำคัญที่รัฐต้องให้ความเป็นธรรม


ส่วนเรื่องของการตั้งหน่วยงานใหม่ขึ้นมาดูแลธุรกิจโดยเฉพาะนั้น ก็นับเป็นเรื่องที่ดี ซึ่ง สคบ.ปัจจุบัน มี หน้าที่ และภาระมาก ถึงเวลาแล้ว ที่สคบ.ต้องปล่อย ให้หน่วยงานเฉพาะดูแลธุรกิจขายตรง เพื่อยกระดับวงการอย่างจริงจังต่อไป


ทั้งนี้ ในช่วงก่อนหน้านี้ "โดกุดามิ" เคยเป็นหนึ่งในบริษัทที่สังกัด สมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย โดยที่ "ศ.เกียรติคุณ ดร.อัศวิน วัฒนปราโมทย์" ก็ได้รับการแต่งตั้งให้นั่งเป็นนายกสมาคมด้วยซ้ำ แต่ด้วยนโยบายหลักของตัวเอง ที่ต้องการเห็น การรวมตัวกันของสมาคมขายตรงที่มีอยู่ทั้งหมดในช่วงนั้น 3 สมาคม อย่าง สมาคม การขายตรงไทย (TDSA), สมาคมพัฒนา การขายตรงไทย (TSDA) และสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย (TDIA) รวมเป็นหนึ่ง สมาพันธ์ขายตรงไทย ซึ่งไม่มีใครเห็นชอบกับเรื่องนี้ จนเป็นเหตุให้ตนลงจากตำแหน่ง นายกสมาคม และถอนตัวบริษัทจากการเป็นสมาชิกสมาคม


โดย "อัศวิน" ได้กล่าวในวันลาออกจากการเป็นสมาชิก และนายกสมาคมฯ ว่า ในวันแรกที่ตนเข้ารับตำแหน่งนายกสมาคมฯ นโยบายสำคัญที่ตนอยากจะเร่งให้เกิดขึ้น คือ แนวคิดการจัดตั้งสมาพันธ์การขายตรงไทย เพราะอยากให้เกิดความรัก ความสามัคคีกันระหว่างสมาคมต่างๆ ในอุตสาหกรรมขายตรงในประเทศ แต่ ณ วันนี้ ตนคงต้อง ยอมรับแล้วว่า แนวความคิดดังกล่าวคงไม่ สัมฤทธิผลอย่างที่หวังไว้อีกต่อไป เนื่องจาก ประเด็นการรวม 3 สมาคมเป็นหนึ่งเดียว ไม่สอดรับกับนโยบายของทางเบื้องบน และ ไม่เป็นที่ยอมรับของผู้นำในบางสมาคม


"การที่ตนจะทำงานให้สำเร็จลุล่วงนั้น จะต้องมีกำลัง มีคณะกรรมการที่เข้มแข็ง คือมีคณะกรรมการที่มีความตั้งใจจริง มีความเห็นตรงกันในวัตถุประสงค์หลักของสมาคม ทั้งนี้ทั้งนั้น เพื่อให้สมาคมมีความยั่งยืน เป็นที่พึ่งของบรรดาผู้ประกอบการกิจการขายตรง แต่เมื่อเห็นแล้วว่า ยังไม่สามารถทำให้บรรลุสิ่งเหล่านี้ได้ ตนก็ไม่อยากเสียเวลาที่จะต้องไป ทำให้คนอื่นเขามีความล้าช้า ในการที่เขาจะก้าวเดินอย่าง ที่เขาต้องการอีกต่อไป"




Credit By :http://www.siamturakij.com

วันศุกร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2556

ข่าวบีฮิบ (Bhip) : "บีฮิบ" ผุดกลยุทธ์กู้ศรัทธา ชูสินค้าบวกสื่อคลำเป้ายอดขาย 500 ล.







bhip (Mobile)

 


"บีฮิบ" เดินหน้ากู้ศรัทธา ปรับภาพลักษณ์ใหม่ กระตุ้นยอดขาย มั่นใจปี 56 รายรับพุ่ง 500 ล้านบาท ยกสินค้าดูแลสุขภาพสุดเจ๋ง ผุดไอเดียดึงสมาชิกโปรโมต บริษัทเมินใช้ดาราคนดังเป็นพรีเซ็นเตอร์ ยึดคอนเซปต์เน้นที่การเปลี่ยนแปลงชีวิต ได้จริง เปลี่ยนแนวคิดของคนให้ดีขึ้น


นายชัยวัฒน์ ชัยจินดาวัธน์ ประธาน กรรมการบริหาร บริษัท บีฮิบ (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ในปีที่ผ่านมา ทางบริษัทได้เจอผลกระทบจากบุคคลบางกลุ่มที่หาผลประโยชน์ด้วยการโพสต์ข้อความในอินเตอร์เน็ตขายสินค้าบีฮิบในราคาที่ถูกกว่าราคาจากบริษัท เนื่องจากสินค้าบริษัท บีฮิบ กำลังได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน ทำให้มีผู้ไม่ประสงค์ ดีทำการโฆษณาขายสินค้าในอินเตอร์เน็ตหลอกลวงเงินจากท่านที่สนใจ จนทำให้บริษัท ได้รับความเสื่อมเสีย


ทั้งนี้ ทำให้ภาพรวมยอดขายในปี 2555 ที่ผ่านมาอยู่ที่ 400 ล้านบาท ตกลงถึง 20% เมื่อเทียบกับปี 2554 ที่มียอดขายประมาณ 500 ล้านบาท ทำให้ปี 2556 บริษัทได้เตรียม แผนจะสร้างภาพลักษณ์กลับมาด้วยการตั้งเป้าจะทำให้ดีกว่าปีก่อน ซึ่งยอดขายต้อง อยู่ในระดับที่เคยทำได้ที่ 500 ล้านบาท โดย เริ่มจากการแก้ไขภาพลักษณ์ บริษัทอาจจะ มีการจัดงานแถลงข่าวบ่อยขึ้น เนื่องจากปีที่แล้วไม่มีใครรู้จักบีฮิบ พอเกิดเรื่องขึ้นมา ทำให้เหมือนกับว่าบริษัทได้ทำการหลอกลวงจริง


ดังนั้น ทางบริษัทจะจัดงานแถลงเชิญ สื่อมากขึ้น และจะเน้นระบบโซเชียลเน็ตเวิร์ก ด้วยการใช้สินค้าเป็นตัวนำ คือบริษัทมีสินค้า ที่มีคุณภาพอยู่แล้ว ซึ่งทำให้มั่นใจได้ว่าสมาชิก ที่ได้ใช้สินค้าจะต้องได้รับประโยชน์ที่ดีและไปบอกต่อกันแน่นอน นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการจัดตั้ง "โครงการดูแลสุขภาพก่อนจะป่วย" ขึ้นมา ซึ่งได้ตั้งโครงการนี้มาได้ 2 เดือนแล้ว ถือว่าได้รับการตอบรับดีมาก


"โครงการนี้ทางบริษัทได้จะตั้งมาได้ 2 เดือนแล้ว ฐานสมาชิกส่วนใหญ่จะเป็นผู้สูงวัย และมีครอบครัว ซึ่งการที่ญาติผู้ใหญ่ เข้ามาในโครงการนี้ จะได้รับความรู้เพื่อ ช่วยป้องกันได้ก่อนที่จะเกิดขึ้น และเวลากลับไปบ้านก็สามารถไปบอกลูกหลานไว้แต่เนิ่นๆ จนนำไปสู่การพามาร่วมโครงการ นี้ ซึ่งโครงการนี้ทำให้ลดการต่อต้านจาก สังคมที่มองบริษัทไม่ดีลงไปได้เยอะ เพราะโครงการนี้ทางบริษัทเน้นดูแลป้องกันไม่ให้ป่วยง่ายๆ และอายุเฉลี่ยที่เข้ามาอยู่ที่ 30 ปีขึ้นไป ซึ่งเป็นวัยที่ทำงานและกำลังจะตั้งหลักปักฐานมีครอบครัว"


อย่างไรก็ตาม ในปี 2556 บริษัทบีฮิบ จะมีการเปิดตัวแบรนด์แอมบาสเดอร์ด้วยการใช้สมาชิกบริษัทที่ประสบความสำเร็จและอยู่ในสาขาอาชีพต่างๆ ออกมาโปรโมต สินค้าบริษัท โดยจะไม่เน้นไปที่การดึงดารานักแสดงเข้ามาโปรโมต เนื่องจากบริษัทจะเน้นสมาชิกที่ทุ่มเทกับธุรกิจบีฮิบเป็นศูนย์รวมไม่ได้เน้นดารา


นอกจากนี้ บริษัทบีฮิบได้มีการปรับเปลี่ยนการจัดงาน มอบรางวัลเชิดชูเกียรติ ให้แก่สมาชิกที่ประสบความสำเร็จ "CHAM-PION THE DAY" ที่จัด 4 เดือน/ต่อครั้ง ปรับมาเป็นเพียงจัด 2 ครั้งในปี 2556 นี้ และได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น GLOBAL CONVENTION ซึ่งจะจัดงานที่เมืองทองธานีทั้ง 2 ครั้ง ครั้งที่ 1 เดือนกรกฏาคม และ ครั้งที่ 2 เดือนพฤศจิกายน และการจัดงาน ครั้งนี้จะมีการเปิดตัวสินค้าอาหารเสริมเป็น หลัก เนื่องจากได้มีการคิดค้นปรับปรุงสูตร ให้เหมาะสมกับคนเอเชีย อีกทั้งเตรียมเชิญแขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนมาร่วมงานคับคั่งแน่นอน


"อย่างที่ทราบกันดีบริษัทบีฮิบเน้นไปที่ระบบโซเชียลเน็ตเวิร์กเป็นหลัก เน้นการทำงานออนไลน์ที่ทำได้ทุกที่ ทุกเวลา และการจัดส่งสินค้ารวดเร็ว ถูกต้อง แม่นยำ บนโลกออนไลน์ ส่วนการที่จะขยายเปิดสาขา ออกไปนั้น ทางบริษัทยังไม่ได้เน้น เพราะเวลานี้บริษัทมีที่ให้สมาชิกเข้ามาใช้บริการอยู่หลักๆ เพียง 3 แห่ง แต่สมาชิกของบริษัท ส่วนใหญ่จะไปเปิดสาขากันเองถึง 30 กว่าแห่ง ซึ่งถือว่าเป็นเรื่องดีที่ทำให้บริษัทครอบคลุมไปได้ทุกพื้นที่ แต่ยังไงก็ตาม คอนเซปต์ ธุรกิจเราคือ ไม่เน้นความใหญ่โตโอ่อ่า หรือ ความหรู แต่จะเน้นที่การเปลี่ยนแปลงชีวิตได้จริง เปลี่ยนแนวคิดของคนให้ดีขึ้น"


สำหรับสมาคมส่งเสริมธุรกิจเครือข่าย ขายตรงไทย (TDNA) ที่กำลังจัดเตรียมเปิด ตัวในเร็วๆ นี้ โดยทาง บริษัท บีฮิบ (ไทยแลนด์) จำกัด ได้เพิ่งเข้ามาอยู่ในสังกัดนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ ชัยวัฒน์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ทางบริษัทบีฮิบเชื่อมั่นในแนวทางที่สมาคมเข้ามาช่วยจะแก้ไขปัญหาเกี่ยวกับธุรกิจขาย ตรงที่ยังไม่มีกฎหมายมารองรับกับธุรกิจนี้ได้ เพื่อจะทำให้ธุรกิจสามารถเติมโตได้อย่าง ต่อเนื่อง โดยที่ไม่เป็นอุปสรรคต่อการทำธุรกิจในอนาคต และจะช่วยเชื่อมโยงให้การ ทำงานที่ร่วมมือกันระหว่างภาครัฐและเอกชน ออกมาในทิศทางที่ดี


 


Credit By :http://www.siamturakij.com

ข่าวสตาร์ ซันไชน์ (Star Sunshine) : "สตาร์ ซันไชน์" ดึง "กฤษณ์" บริหาร ทุ่ม 100 ล. เดิมพันยอดขายสินค้าใหม่







cคุณโกสิทธิ์-ผะลิวรรณ (Mobile)

 


"สตาร์ ซันไชน์" ดึง "กฤษณ์ เหลืองอร่าม" อดีตผู้บริหาร "เนเจอร์โนวา" นั่งแท่นผู้จัดการทั่วไป พร้อมตำแหน่งพ่อค้าขายผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัท "โรแมนซ์" ชุดปรับสรีระร่างกาย ฟุ้ง! ทุ่มงบทำตลาด 100 ล้านบาท เน้นสื่อสารผ่านช่องดาวเทียมเป็นหลัก ผุดสตูดิโอในออฟฟิศจัดรายการขุนสินค้าเต็มที่ เชื่อผู้บริโภคให้ความนิยม


โกสิทธิ์ ผะลิวรรณ์ ประธานกรรม-การบริหาร บริษัท สตาร์ ซันไชน์ จำกัด เปิดเผยว่า สตาร์ ซันไชน์ ได้เปิดทำการมาร่วม 8 ปีแล้ว และได้มีการขยายสาขา ไปทั่วประเทศ และล่าสุด ได้ขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน คือ ประเทศกัมพูชา ณ กรุงพนมเปญ ซึ่งกำลังจะเปิดอย่างเป็นทางการในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า ทั้งยังได้วางแผนต่อที่จะเปิดเพิ่มเติมไปอีกหลายประเทศ เช่น พม่า, ลาว และเวียดนาม


สำหรับผลิตภัณฑ์ของบริษัทปัจจุบัน มีมากมายหลายรายการ ได้แก่ ปุ๋ยซันฮีโร่, ปุ๋ยซันไคโตซาน พืช และสัตว์, สมุนไพร เป่าชุนลู่ หยางกุ้ยเฟย และกลุ่มผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารหลากหลายชนิดที่นำเข้ามาและส่งออกอย่างต่อเนื่อง และผลิตภัณฑ์ที่ติดตลาดยอดขายดีเป็นอันดับ 1 ณ ตอนนี้ คือ ผลิตภัณฑ์คลาร่าพลัส ที่มียอดขายไม่น้อยกว่า 2 พันล้านบาท ในปีที่ผ่านมา


อย่างไรก็ดี บริษัทยังได้มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เพื่อให้ผู้บริโภค นักธุรกิจ อิสระ และตัวแทนจำหน่ายได้ใช้ผลิตภัณฑ์ ที่ดี ซึ่งบริษัทได้เดินทางไปหลายประเทศ จนไปค้นพบสินค้าใหม่ที่ประเทศไต้หวัน โดยมีแนวความคิดที่แตกต่าง และนอกกรอบ จึงตัดสินใจนำชุดปรับสรีระโรแมนซ์เข้ามาในเมืองไทยเป็นที่แรก ซึ่งบริษัทได้ลงทุนสร้าง ออฟฟิศใหม่ ทำห้องสตูถ่ายทำ รายการต่างๆ รวมทั้งซื้อสื่อโทรทัศน์ดาวเทียม Ping Channel และ Hero Channel เป็นของตัวเอง และเงินที่วางไว้กับทางประเทศไต้หวันอีกหลายล้านบาท รวมแล้วลงทุนเปิดตลาดชุดปรับสรีระโรแมนซ์ไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท


โดยบริษัทได้ให้ กฤษณ์ เหลืองอร่าม ซึ่งเป็นผู้บริหารที่ผ่านงานการบริหารองค์กรในธุรกิจขายตรงไม่น้อยกว่า 20 ปี และประสบการณ์ในวงการชุดปรับสรีระมากว่า 15 ปี ซึ่งบริษัทเล็งเห็นถึงความสามารถ และประสบการณ์จึงได้รับ ความไว้วางใจในการบริหารงาน โดยได้ให้ นั่งในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปของบริษัท ทั้งยังให้สิทธิ์ในการบริหารงานอย่างเต็มที่


โดย กฤษณ์ ได้กล่าวว่า ชุดปรับสรีระ โรแมนซ์ ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ล่าสุดของวงการชุดปรับสรีระ คือ เส้นใย Tencel ต่อต้านแบคทีเรีย ไม่เป็นที่สะสมและก่อเกิด ของแบคทีเรีย โดยใช้หลักในการตัดเย็บ แบบฟิสิกส์ ถักทอเนื้อผ้าแบบไร้รอยต่อ เนื้อผ้าเงางามเหมือนผ้าไหม, สวมใส่สบาย เหมือนผ้าลินิน, ดูดซับน้ำได้ดีเหมือนผ้าฝ้าย, อบอุ่นเหมือนเส้นใยขนสัตว์, ดูแลรักษาง่ายเหมือนเส้นใยอะคริลิก ทนทานเหมือนเส้นใยสังเคราะห์ และสามารถ ยืดหยุ่นตามสรีระร่างกายในขณะที่เคลื่อน ไหว, เคลื่อนย้ายไขมัน ทำให้เรือนร่างกระชับได้สัดส่วนเป็นรูปตัว S เมื่อสวมใส่ทุกวันจะเป็นการปรับโครงสร้างของกระดูก สันหลังให้อยู่ในแนวตรงตามสรีระของร่างกาย และเทคนิคการบริหารงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการทำตลาดของชุดปรับสรีระ โรแมนซ์


"บริษัทต้องการทำให้นักธุรกิจอิสระ และตัวแทนจำหน่ายสามารถทำงานได้ง่ายขึ้น จึงจัดทำรายการ Romans So-ciety โดยเราได้รับเกียรติจากพิธีกรสาวสวย มืออาชีพ เป็นทั้งดารา นักแสดงมาก- ความสามารถ ซึ่งเป็นพิธีกรประจำรายการ Romans Society คือ คุณษา-วรรณษา ทองวิเศษ ซึ่งรายการ Romans Society ใช้เวลาออกอากาศ 30 นาที ซึ่งแบ่งเป็น 3 ช่วงของรายการ ช่วงที่ 1 Romans Today ซึ่งเป็นช่วงที่จะมาบอกกล่าวรายละเอียด ของรายการวันนี้ และสิ่งที่น่าสนใจ ช่วงที่ 2 Body Perfect เป็นช่วงที่วิทยากรประจำ รายการจะนำความรู้มามอบให้กับท่านผู้ชม ในเรื่องของเรือนร่าง และสุขภาพ และสำหรับช่วงที่ 3 Lady Confirm ซึ่งเป็นช่วงที่ผู้มีประสบการณ์จากการใช้ผลิตภัณฑ์ จริงมาแชร์ประสบการณ์ และยืนยันคุณภาพ ที่ดีของชุดปรับสรีระโรแมนซ์ ออกอากาศ ผ่านสื่อโทรทัศน์ดาวเทียมทางช่อง Ping Channel (PSI 61) ซึ่งเป็นการทำการตลาด ที่ใช้การลงทุนที่ค่อนข้างสูง" กฤษณ์ เผย


ทั้งนี้ สำหรับวงการขายตรงที่ใช้สื่อ โทรทัศน์เข้ามาช่วยในการทำตลาด และยัง จัดทำโฆษณาโรแมนซ์ โดยได้รับเกียรติจาก ทีมงานถ่ายทำของสหมงคลฟิล์ม พร้อมเตรียมลงฟรีทีวีในอนาคต ซึ่งเป็นการ การันตีได้ถึงความมั่นคงในการดำเนินธุรกิจ ขายตรงของบริษัท สตาร์ ซันไชน์ จำกัด และนักธุรกิจอิสระ หรือตัวแทนจำหน่าย และยังคงมีโปรโมชั่นสนับสนุนนักธุรกิจอิสระ และตัวแทนจำหน่าย ในการที่จะสะสม คะแนนในระบบเครือข่ายเพื่อจะได้สิทธิ์ ในการท่องเที่ยวต่างประเทศฯ ซึ่งทาง บริษัทได้จัดทริปท่องเที่ยวอย่างน้อยปีละ 3 ครั้ง มีทั้งในเอเชียและยุโรป


 


 


Credit By :http://www.siamturakij.com

ข่าวพระรามเก้า เน็ตเวิร์ค (Praram 9 Network) : "พระรามเก้า" ตั้งศูนย์ปั้นแม่ทีม ผุด "สนง.ขายมืออาชีพ" เน้นอีสาน-ใต้







48053_662763103749364_1934940643_n (Mobile)

 


"พระรามเก้าเน็ตเวิร์ค" สู่ปีที่ 2 ของการ ดำเนินธุรกิจขายตรง เดินหน้าวางรากฐานบริษัท พร้อมแผนเตรียมเปิด "สำนักงานขายมืออาชีพ" ศูนย์ปลุกปั้นสมาชิกนักขายมือทอง สาขาที่ 4 ยึดพื้นที่ จ.นครศรีธรรมราช เชื่อสมาชิกแดนสะตอพาบริษัทไต่อันดับ หลังเปิดไปแล้ว 3 ที่ ได้แก่ กรุงเทพฯ, บุรีรัมย์ และโคราช ตั้งเป้าปี 56 ขอดูดสมาชิก ให้ถึง 10,000 รหัส ยอดขายไม่วางสูงขอแค่ 100 ล้าน โชว์สินค้า "ชุดยาจีน" เป็นหัวหอก โดดเด่นด้วยสรรพคุณ 5 ชั่วอายุคน


เสริมวิทย์ สิริพูนกิติกุล ที่ปรึกษาประธานกรรมการ บริษัท พระรามเก้าเน็ตเวิร์ค จำกัด เปิดเผย "สยามธุรกิจ" ว่า ในปี 2556 นี้ บริษัทยังคงมุ่งเน้นการทำตลาดเหมือนเดิม ด้วยกลยุทธ์การวางรากฐานสมาชิก การเพิ่มหมวดสินค้าให้มากขึ้น และจะพยายามออกไปเปิดบูธตามต่างจังหวัดต่างๆ รวมถึงประเทศในแถบอาเซียนให้มากขึ้น


โดยขณะนี้ บริษัทได้ตั้งศูนย์เซ็นเตอร์ หรือ "สำนักงานขายมืออาชีพ" เพื่อรองรับสมาชิกที่สนใจทำธุรกิจอย่างจริงจัง และที่ตั้งบริษัทมีอยู่ 3 จังหวัด ประกอบด้วย บุรีรัมย์ กรุงเทพฯ และนครราชสีมา และภาคใต้กำลังจะเปิดที่ จ.นครศรีธรรมราช เป็นแห่งที่ 4 ซึ่งสมาชิกทุกท่านจะได้ความรู้และมุมมอง ทัศนคติ ใหม่ๆ ไปใช้ในประโยชน์การทำธุรกิจเครือข่ายได้อย่างมืออาชีพ และเพื่อสร้างขวัญกำลังใจให้กับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ และจะก้าวไปสู่ความสำเร็จอย่างยิ่งใหญ่ไปพร้อมๆ กัน


"ตอนนี้บริษัทเราเปิดมาได้เป็นปีที่ 2 ยอมรับว่ายังเป็น บริษัทน้องใหม่ ทำให้ยังไม่เป็นที่รู้จักต่อผู้บริโภคมากนัก แต่ ปีที่ผ่านมา จากที่เราได้เริ่มก่อตั้งวันที่ 4 ก.พ.2555 จนถึงวันนี้ก็ปีเศษ ถือว่า บริษัทมีการเติบโตขึ้นถึง 60% ซึ่งเป็นในส่วน ของสมาชิกที่เพิ่มขึ้น จากช่วงแรกๆ มีเพียง 300 รหัส แต่ตอน นี้พุ่งไปถึง 3,000 รหัส"


ซึ่งเป้าหมายในปี 2556 นี้ "พระรามเก้าเน็ตเวิร์ค" มีความมุ่งมั่นที่จะต้องมีสมาชิกเกิน 10,000 รหัสขึ้นไป พร้อมจะทำ ยอดขายขึ้นไปแตะที่ 100 ล้านบาท ให้ได้ เนื่องจากบริษัทมีสินค้าที่กำลังได้รับความนิยมอย่าง "ชุดยาจีน" ยาน้ำสมุนไพรจีน ปาซินชุ่ย และซินแปะฮ้อ ต้นตำรับแห่งตำนานอันทรงคุณค่าที่ได้สูตรสืบทอดมากกว่า 5 ชั่วอายุคน และยังมีกาแฟ รันส์ 4x4Ž ผลิตจากสมุนไพรธรรมชาติ เหมาะสำหรับผู้ชายทุกวัย และสินค้าใหม่ครั้งแรก ในเมืองไทยผลิตภัณฑ์กลุ่มปศุสัตว์ "ชุดยาบำรุงไก่ชน" ต่อด้วยชุดเครื่องสำอาง FEELLAN+กระเป๋า FEELLAN Limited Edition


อย่างไรก็ตาม ผลกระทบในปีที่ผ่านมา บริษัทยังต้องการที่จะสร้างพนักงานขายมืออาชีพตัวจริง หรือหาแม่ทีมที่เก่งๆ เนื่องจากถือเป็นหัวใจสำคัญทำให้ "พระรามเก้าเน็ตเวิร์ค" ก้าวไปสู่ความสำเร็จได้ โดยบริษัทได้เตรียมเดินทางไปออกบูธตามต่างจังหวัดเดือนละ 2 ครั้ง ส่วนการจัดงาน "I AM NUMBER 9-I AM GOLD STAR" ที่เพิ่งจัดผ่านไปสดๆ ร้อนๆ ที่โรงแรมสวิสโซเทล เลอคองคอร์ด ด้วยการมอบเข็ม เชิดชูเกียรติให้แก่สมาชิกในระดับ GOLD STAR จำนวน 72 ท่าน ครั้งต่อไปจะจัดขึ้น อีกครั้งในช่วงเดือนกรกฎาคม ซึ่งคาดว่าจะ มีผู้ขึ้นรับรางวัลในตำแหน่งนี้สูงถึง 300 ท่าน แน่นอน และวันนั้นจะมีตำแหน่ง ใหม่คือ "รูบี้ ซัพพลาย" เกิดขึ้นเป็นคนแรกด้วย


อย่างไรก็ดี เดือนเมษายน-พฤษภาคม ปีนี้ บริษัทจะเปิดตัวสินค้าประเภทปศุสัตว์หรืออาหารสัตว์สำหรับสุนัขและแมว ซึ่งถือเป็นอาหารสัตว์ตัวใหม่ที่บริษัทร่วมมือกับสำนักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ในการวิจัยกันก่อน ที่จะผลิตออกมาจำหน่าย โดยสรรพคุณพิเศษของสินค้าประเภทนี้จะทำให้สัตว์มีสุขภาพดีลดกลิ่นตัวที่ถือเป็นสิ่งแปลกใหม่ของตลาด ต่อจากนั้นจะมีสินค้าในไลน์เดียว กันทยอยออกมา ได้แก่ อาหารเสริมของไก่ ปลา และหมู ภายในปีนี้เช่นกัน


นอกจากนี้ "เสริมวิทย์" ยังกล่าวต่อ ว่า "เรื่องฐานสมาชิกของบริษัทส่วนใหญ่ จะอยู่ที่ภาคใต้ ซึ่งเครือข่ายของเรากำหนด ไม่ได้ว่าจะไปทางไหน แต่การมีฐานสมาชิกอยู่ที่ภาคใต้นั้น ทำให้เราต้องเดินทางไปเปิดบูธทำการตลาดมากขึ้น เพราะสินค้า ของเรากำลังได้รับความนิยม ที่นั่น ตอนนี้เราก็กำลังมีแผน จะไปเจาะตลาดในทุกๆ ภาค ของประเทศตามกลยุทธ์ที่วาง เอาไว้ไปเรื่อยๆ อย่างในช่วงเดือนพฤษภาคม บริษัทจะเดินทางไปเจาะตลาดที่กัมพูชา"


สำหรับการขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศ หรืออาเซียนนั้น บริษัทมีเป้าหมายที่จะไปเปิดบูธยันประเทศลาว และกัมพูชา เพื่อนำ สินค้าไปนำเสนอ เพิ่มช่องทางการจำหน่าย ให้มากขึ้นด้วย


ทั้งนี้ "พระราม 9 เน็ตเวิร์ค" มีผู้ก่อตั้ง คือ ดร.เสกข์สรร ธีระวาณิชย์ ประธานกรรมการฯ และได้รับเกียรติจากคุณดิลก มหาดำรงค์กุล ฐานะที่ปรึกษาประธานกรรมการฯ, เจ้าของธุรกิจโรงแรมสวิสโซเทล เลอคอง-คอร์ด และบริษัทศรีทองพาณิชย์ ซึ่ง "พระราม เก้าเน็ตเวิร์ค" ได้พร้อมเปิดรับสมาชิกใหม่ๆ ทุกท่านที่สนใจเข้ามาทำธุรกิจอย่างเต็มที่


 


 


Credit By :http://www.siamturakij.com

ข่าวกิฟฟารีน (Giffarine Thailand) : "กิฟฟารีน" เป่าเค้ก 17 ขวบ อัดสินค้าเต็มพรึบเร่งยอด 6.5 พันล้าน







Capture (Mobile)


"กิฟฟารีน" จุดพลุฉลองครบรอบ 17 ปี ยิ่งใหญ่ ภายใต้งาน "17.17.17. 57000 The Wonder of Happiness กิฟฟารีน สร้างความสุขชั่วนิรันดร์" เนรมิตดินแดน แห่งความสุขต้อนรับนักธุรกิจกว่า 1.8 หมื่น คน พร้อมเปิดตัวแม่ทีมระดับสูงรายล่าสุด ส่งผลิตภัณฑ์ใหม่เพื่อสุขภาพและความงาม กว่า 10 รายการ เร่งยอดขายไต่เป้า 6.5 พันล้านบาท


พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยถึงการจัดงานฉลองครบรอบ 17 ปี ในครั้งนี้ว่า "ตลอดเวลา 17 ปี ที่กิฟฟารีนได้ดำเนินธุรกิจ เครือข่ายหลายชั้น และมอบโอกาสทางธุรกิจให้แก่คนไทยหลายแสนครอบครัว และมีผู้ที่ประสบความสำเร็จจนสามารถ พลิกชีวิตสู่ความสุข ความมั่งคั่งจากธุรกิจกิฟฟารีนได้เป็นจำนวนมาก และในโอกาสนี้กิฟฟารีนพร้อมที่จะแสดงศักยภาพ ด้วยการจัดงานฉลองครบรอบ 17 ปี ภายใต้คอนเซปต์ "17.17.17.57000 The Wonder of Happiness กิฟฟารีนสร้างความสุขชั่วนิรันดร์" ที่ตอกย้ำความเป็นธุรกิจเครือข่าย หลายชั้นแบรนด์ไทยอันดับ 1 ที่พร้อมจะสร้างโอกาสและเนรมิตความสุขให้กับคนไทยอย่างยั่งยืน"


โดยภายในงานยังมีการเปิดตัวนวัตกรรมผลิตภัณฑ์ใหม่กว่า 10 รายการ โดยนางเอกของงาน ได้แก่ ผลิตภัณฑ์อาหารสำหรับผู้ที่สนใจในการดูแลรูปร่าง อีสเลสเครื่องดื่มรสพีช 10 เปอร์เซ็นต์ (Easles Peach Juice 10%) ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ปลอดภัยได้รับการพิสูจน์แล้ว


พร้อมกันนี้ยังมีกิฟฟารีน เอดดัลไวส์ ไวท์เทนนิ่ง มาส์ก ชีต และกิฟฟารีน อะบา-โลน คอลลาเจน-ไฮยา มาส์ก ชีต นวัตกรรม แผ่นมาส์ก Nanofront จากประเทศญี่ปุ่น ที่มีเส้นใยเนียนละเอียดแนบสนิทไปกับผิว ทำให้ Essence เข้าบำรุงผิวได้เป็นอย่างดี ครั้งแรกในประเทศไทย ที่มั่นใจว่าจะสามารถ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในกระแส นิยมอยู่ในท้องตลาด อีกทั้งยังยกขบวนผลิต-ภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งที่มีสวนผสมของดอกเอดดัลไวส์ ต่อยอดความ สำเร็จจากชุดเอดดัลไวส์ซีรี่ส์ที่ชนะใจผู้ใช้ ได้ในเวลาอันรวดเร็ว เปิดตัวให้ได้สัมผัสเป็นครั้งแรกมีทั้ง กิฟฟารีน เอดดัลไวส์ ไวท์เทนนิ่ง อาฟเตอร์ ซัน ฟอร์ เฟซ กิฟฟารีน เอดดัลไวส์ ไวท์เทนนิ่ง อาฟเตอร์ ซัน ฟอร์ บอดี้ และอื่นๆ อีกหลายรายการ (ดูเอกสาร ข้อมูลผลิตภัณฑ์)


นอกจากนี้ ยังจัดให้มีการเชิดชูเกียรติ และแสดงความยินดีกับความสำเร็จของ ผู้บริหารระดับสูงสุด ในตำแหน่งไดมอนด์ แกรนด์ พาราไดซ์ คนล่าสุด คือ ปนัดดา- ร.ต.ต.จำรัส ศิลา และพิธีประดับเข็มเกียรติยศ ผู้บริหารระดับสูงอีกหลายตำแหน่ง


จากนั้นเข้าสู่เวทีสุดอลังการของการเปิดตัวผู้ชนะการแข่งขันและมอบรางวัลต่างๆ มูลค่ารวมกว่า 20 ล้านบาท พร้อมแพ็กเกจท่องเที่ยวต่างประเทศ อาทิ การแข่งขัน Rally Rewards XIV การแข่งขัน Evolution Awards ประจำปี 2012 การแข่งขัน Junior Mini Rally Rewards HongKong การแข่งขัน Unilevel Awards 2012 พร้อมทั้งแนะนำการแข่งขันใหม่ Ju-nior Mini Rally Reward ประจำปี 2556 ประเทศสิงคโปร์ และการแข่งขัน Rally Rewards XV ปิดท้ายด้วยความสนุกจากสุดยอดศิลปินแถวหน้าของเมืองไทย อย่าง ติ๊นา-คริสติน่า อากีล่าร์ ใหม่-เจริญปุระ มอส- ปฏิภาณ ปฐวีกานต์ และไอซ์-ศรัณยู วินัย-พานิช ที่มาพร้อมเพลงแดนซ์สุดมันส์สนั่นฮอลล์เอาใจนักธุรกิจผู้ร่วมงาน


ตลอดระยะเวลากว่า 17 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จของนักธุรกิจกิฟฟารีนทุกคน และ การนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสู่ผู้บริโภคนับล้าน คือ บทพิสูจน์แห่งความภาคภูมิใจของกิฟฟารีนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทยด้วยผลิตภัณฑ์ คุณภาพหลากหลายชนิดกว่า 2,000 รายการ ที่สามารถเข้าไปเติมเต็มชีวิตประจำวันของสมาชิกผู้บริโภคกว่า 6.5 ล้านรหัส ปัจจุบันกิฟฟารีนมียอดจำหน่ายตลอดระยะเวลาของการดำเนินธุรกิจรวมกว่า 57,000 ล้านบาท โดยมีศูนย์ธุรกิจ ตั้งอยู่ในประเทศไทย รวม 113 สาขา และต่างประเทศมากกว่า 30 สาขา พร้อมทั้งมีบริการเดลิเวอรี่ส่งสินค้า ถึงมือผู้บริโภคในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ


ทั้งนี้ ในส่วนยอดขายในปี 2555 ที่ผ่านมา เป็นที่น่าพอใจด้วยตัวเลข 5,878 ล้านบาท โดยมีอัตราเติบโตที่ 7.01 เปอร์เซ็นต์ ถึงแม้จะไม่ถึงเป้าที่บริษัทตั้งไว้ 6,000 ล้านบาท เนื่องจากผลพวงจากสถานการณ์อุทกภัยในช่วงปลายปี 2554 ที่ทำให้สายการผลิตที่โรงงานได้รับผลกระทบ จึงมีผลต่อยอดขายในไตรมาสแรก แต่ด้วยกลยุทธ์ทางการตลาดและแคมเปญต่างๆ ในช่วงครึ่งปีหลัง ทำให้สามารถตีตื้นยอดขายขึ้นมาได้ ซึ่งมีอัตราการเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่น่าพอใจ


สำหรับทิศทางการตลาดโดยรวมในปี 2556 นี้ กิฟฟารีนได้ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 6,500 ล้านบาท โดยนโยบายหลักจะเน้นในเรื่องการสร้างภาพลักษณ์ทางธุรกิจ ผ่าน เครื่องมือทางการตลาดอย่าง "กิฟฟารีน แชนแนล" ที่พร้อมออนไลน์ตลอด 24 ชั่วโมง ทางอินเตอร์เน็ต เพื่อแสวงหากลุ่มเป้าหมายใหม่และการขยายเครือข่ายไปสู่คนรุ่นใหม่ พร้อมทั้งกระตุ้นผู้สมัครใหม่ให้ใช้สินค้าอย่างต่อเนื่องด้วยโปรโมชั่นและ แคมเปญต่างๆ ตลอดจนการตอบแทนผลกำไรคืนสู่สมาชิกในรูปแบบใหม่ๆ




Credit By :http://www.siamturakij.com

ขายตรงเฮ! "ยิ่งลักษณ์" หนุนแก้กฎหมาย ตั้งหน่วยงานดูแล







413065-02 (Mobile)


"ยิ่งลักษณ์" ให้ความสำคัญธุรกิจขายตรง กำชับสำนักนายกรัฐมนตรีเร่งตั้งหน่วยงานกำกับดูแลโดยเฉพาะแต่ผู้ประกอบการยังหวั่นปัญหาใช้ระยะเวลานาน ขณะที่ธุรกิจเติบโต ทุกปี ยอมรับไม่ใช่เรื่องง่าย ยันตลาดขายตรงมีมูลค่ามหาศาล กฎหมายเป็นเรื่องสำคัญต้องทำให้สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน ด้าน "ตราสัญลักษณ์ สคบ." หลายฝ่ายเห็นพ้องให้สมาคมกลั่นกรองการันตีบริษัทในสังกัด


ภายหลังจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) จัดงาน "พิธีมอบใบสำคัญการจดทะเบียนประกอบธุรกิจขายตรง" และเปิดเวทีสัมมนา เรื่อง "แนวทางการดำเนินการของผู้ประกอบธุรกิจขายตรง เพื่อรองรับประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน" ปรากฏว่ามีกระแสตอบรับและเห็นด้วยจากผู้ประกอบการที่เข้าร่วมสัมมนาฯ โดยเฉพาะคำกล่าวของดร.ไชยรัตน์ ไทยเจียมอารีย์ เลขานุการรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และนายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในงานมอบใบสำคัญการจดทะเบียนฯ ว่าทางนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ได้นิ่งนอนใจพร้อมให้การสนับสนุน และสั่งให้ดูแลธุรกิจขายตรงอย่างเต็มที่ เพราะเป็นอีกธุรกิจที่มีความสำคัญต่อการขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศชาติ จึงควรแก้ไขกฎหมาย ตั้งหน่วยงานขึ้นมากำกับดูแลโดยเฉพาะเพื่อให้สอดคล้องกับยุคปัจจุบัน


นายธรรมนูญ สมบูรณ์สิน ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ บริษัท สุพรีเดอร์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวกับ "สยามธุรกิจ" ว่า เป็นเรื่องที่ดีรัฐบาลให้ความสำคัญธุรกิจขายตรงมากขึ้น การมอบ หนังสือรับรองการจดทะเบียนที่ทาง สคบ. จัดขึ้น จะให้ผู้บริโภคและผู้ประกอบการมีความมั่นใจยิ่งขึ้น ที่ผ่านมาธุรกิจขายตรงยังมีอีกหลายรายที่ไม่ยอมรับและเห็นด้วย ส่งผลให้มีผู้ที่ฉวยโอกาสหลอกลวงขายสินค้า โดยการอ้างชื่อบริษัทต่างๆ ตามสื่อ ออนไลน์ ทำให้ภาพลักษณ์ขายตรงเสื่อมเสียเป็นอย่างมาก รวมถึงการมีตราสัญลักษณ์ การันตีให้วงการขายตรงน่าเชื่อถือยิ่งขึ้น


"ส่วนการจัดตั้งสำนักงานที่จะเข้ามา ดูแลเกี่ยวกับธุรกิจขายตรง ถ้าเกิดขึ้นได้คงเป็นเรื่องดี แต่คงต้องใช้เวลาไม่ใช่เรื่อง ง่ายๆ แน่นอน ซึ่งผมยังเชื่อว่า พลังเสียงจากผู้ประกอบการธุรกิจขายตรง หากสามัคคีรวมพลังกัน ยังไงทางภาครัฐก็ต้อง หันมาให้ความสำคัญในการจัดตั้งหน่วยงานขึ้นมาดูแลธุรกิจนี้โดยตรง เพราะมูลค่า ตลาดของธุรกิจนี้ สร้างรายได้ให้ประเทศชาติมหาศาล และเรื่องกฎหมายหากมีการ ปรับให้เข้ากับในยุคปัจจุบันได้จะดีมาก เพราะกฎหมายตัวเก่าไม่เข้ากับสภาพการ แข่งขันของตลาดที่เปลี่ยนไป"


นายกัมปนาท บุญราศี ประธานกรรมการ บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด ได้เผยว่า การจัดงานของ สคบ.ครั้งนี้แสดงให้เห็นว่า ทางภาครัฐได้เห็นถึงความ สำคัญของธุรกิจขายตรงมากขึ้น เพราะมีหน่วยงานภาครัฐอย่าง สคบ.ออกมาการันตี การประกอบธุรกิจนี้ และเป็นการแสดงความเชื่อมั่นให้กับผู้ประกอบการมากยิ่งขึ้น เพราะตราสัญลักษณ์ที่ทาง สคบ.มอบให้จะเป็นเครื่องยืนยันให้กับผู้ที่จะเข้ามาทำธุรกิจขายตรง เกิดความมั่นใจในองค์กร และดำเนินธุรกิจอย่างตั้งใจ


สำหรับการจัดตั้งหน่วยงานขายตรง ตนเห็นด้วยและอยากให้เกิดขึ้นเร็วๆ เพราะจะเป็นการช่วยยกระดับวงการธุรกิจ ขายตรงให้ดีขึ้น เนื่องจากมีการร้องเรียนอยู่บ่อยครั้ง โดยเฉพาะปัญหาเรื่องแชร์ลูกโซ่ที่อาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย


เข้ามาแสวงหาผลประโยชน์และ ทำลายธุรกิจนี้ให้ต่ำลง หากมีการจัดสัมมนา ระดมความคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้อีก เชื่อว่าจะมีผู้ประกอบการอีกเป็นจำนวนมาก ออก มาเสนอความคิดเห็นเพื่อเป็นแนวทางให้กับรัฐบาลและเป็นประโยชน์ได้เป็นอย่างดี


ด้าน นางปราณี พุทธิพิพัฒน์ขจร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยูนิไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ในส่วนของกฎหมายที่รัฐมีความต้องการที่จะ แก้ไขและสร้างกฎหมายใหม่ขึ้นมาดูแลนับเป็นเรื่องที่ดี เพราะธุรกิจขายตรงล้ำหน้าไปมาก กฎหมายขายตรงที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ไม่สามารถดูแลควบคุมธุรกิจได้


ในส่วนของเรื่อง "ตราสัญลักษณ์ สคบ." นั้น ก็นับเป็นเรื่องที่ดีที่รัฐให้ความสำคัญกับบริษัทขายตรงที่มีสังกัดสมาคมขายตรงอยู่ เพราะถือเป็นการกลั่นกรองบริษัทดี และไม่ดีในเบื้องต้น ส่วนในเรื่องของกำลังเจ้าหน้าที่ของ สคบ.มีน้อย การที่จะเข้ามาคัดสรรบริษัทขายตรงทั้งหมดดูจะเป็นเรื่องที่ยากเลยทีเดียว


ในส่วนของ นายเชน ใจซื่อ ประธาน กรรมการบริหาร บริษัท นิวตริริช จำกัด เจ้าของผลิตภัณฑ์เกษตร แบรนด์ "ดาว ปูแดง" ให้ความเห็นว่า การสัมมนาในครั้งที่ผ่านมาของ สคบ. นับเป็นเรื่องที่ดี ที่บริษัทขายตรงจะได้พบกับหน่วยงานรัฐ และได้ทราบนโยบายของรัฐที่กำลังจะ ยกระดับวงการขายตรงไทย


ขณะที่ในเรื่องของกฎหมาย ตนในฐานะเป็นผู้ประกอบการสินค้าเกษตร แบรนด์หนึ่ง ต้องการเห็นรัฐเข้ามาให้ความ สำคัญตรงนี้เพิ่มขึ้น เปิดช่องให้สินค้าเกษตรสามารถขายปุ๋ยอินทรีย์ได้มากขึ้น เพราะที่ผ่านมา "ดาวปูแดง" ค่อนข้างประสบปัญหาในเรื่องของกฎหมาย


โดยในส่วนของ "ตราสัญลักษณ์ สคบ." นั้น การที่จะให้บริษัทขายตรงขอรับตราได้ ต้องมีสังกัดสมาคมเป็นเรื่องที่ดี ถึงแม้ว่าบริษัทจะยังไม่มีสังกัดสมาคมก็ตาม แต่ "นิวตริริช" ก็พร้อมที่จะน้อมรับ นโยบาย และเข้าหาสมาคมใดสมาคมหนึ่ง ซึ่งก็มีอยู่ในใจบ้างแล้วว่าบริษัทเข้าสังกัดสมาคมใด


ทั้งนี้ ความต้องการรื้อกฎหมายของ ภาครัฐ นับเป็นเรื่องที่บริษัทขายตรงส่วนใหญ่ต้องการให้เกิดขึ้น โดยเหตุผลหลักๆก็เป็นเพราะกฎหมายเดิมเก่าเกินไปที่จะควบคุมธุรกิจขายตรงที่มีวิวัฒนาการไปไกล ส่วนเรื่องของ "ตรา สคบ." ที่รัฐจะเปิดโอกาสให้เพียงบริษัทขายตรงที่มีสังกัด สมาคมได้เข้าขอรับตรานี้ ก็ยังเป็นเรื่องต่างมุมมอง




Credit By :http://www.siamturakij.com

วันพฤหัสบดีที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2556

ข่าวสุพรีเดอร์ม (Suprederm) : "สุพรีเดอร์ม" อัดกลยุทธ์กู้ศรัทธา จัดโรดโชว์ 4 ภาคขยับรายรับเพิ่ม 30%







Capture


"สุพรีเดอร์ม" ยอมรับเจอมรสุมช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังมีการเปลี่ยนแปลง ของบริษัท ทำให้ต้องหาทางตั้งหลักใหม่ ส่งผลกระทบต่อยอดขายไม่ขยับ ชี้ปี 56 ทุกอย่างลงตัว เตรียมจัดโรดโชว์ 4 ภาค กู้ศรัทธาหวังดึงยอดขายเข้ากระเป๋า ตั้งเป้าโต 30% ขอรายรับ 1,000 ล้าน บาทสิ้นปี ส่วน AEC มองลาว, กัมพูชา และพม่า เป็นพื้นที่ขยายตลาดอนาคต


นายธรรมนูญ สมบูรณ์สิน ผู้ช่วยกรรมการ บริษัท สุพรีเดอร์ม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผย "สยามธุรกิจ" ว่า การดำเนินธุรกิจเมื่อปีที่ผ่านมา บริษัททำได้อยู่ในเกณฑ์ที่ดี คือทรงตัวไม่ถึงกับขาดทุน แต่ก็มีกำไรไม่มากนักเนื่องจาก 2 ปีที่ผ่านมา บริษัทกำลังปรับเปลี่ยนหลายอย่าง มีการวางระบบใหม่พอสมควร ทำให้ไม่ได้เน้นที่ยอดขายมากนัก แต่เมื่อเข้าสู่ปี 2556 นี้ บริษัทมีความพร้อมมากกว่าเดิม ทุกอย่างลงตัวมากขึ้น และพร้อมที่จะแข่งขันในตลาดธุรกิจขายตรงเต็มตัวแล้ว


"เมื่อ 2 ปีก่อนหน้านี้ บริษัทกำลังวางรากฐานใหม่ ทำให้สมาชิกที่จะเข้ามาใหม่ยังไม่เข้าใจแผนการตลาด แต่ตอนนี้ได้ปรับเปลี่ยนให้ทุกอย่างลงตัวแล้ว เพราะตั้งแต่ปี 2554 ถึง ปี 2555 ถือเป็นช่วงกำลังตั้งหลักให้ได้ แต่มาถึงปี 2556 บริษัทตั้งหลักได้แล้ว และพร้อมจะลุยต่อด้วยการขอมีส่วนแบ่งการตลาด โดย คาดว่าจะมีการเติบโตประมาณ 30% คิดเป็นยอดขาย 1,000 ล้าน บาท" ธรรมนูญ เผย


"ตอนนี้มีสมาชิกที่พิชิตโปรโมชั่นไปท่องเที่ยวที่ประเทศเกาหลีใต้ และญี่ปุ่นได้เป็นจำนวนมาก รวมแล้วเกือบพันคน ซึ่งทางสุพรีเดอร์ม ได้มีการจัดทริปท่องเที่ยว ดีๆ อยู่ตลอด พร้อมมอบโบนัสพิเศษต่างๆ มากมาย รวมถึงการให้การสนับสนุนทุกระดับชั้นในองค์กรอย่างไม่มีแบ่งแยก และ การประสบความสำเร็จของสมาชิกครั้งนี้ ถือเป็นเครื่องชี้วัดว่าผลิตภัณฑ์ของเราสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี เพราะปัจจุบันแต่ละบริษัทมีสินค้าที่โดดเด่นถูกใจผู้บริโภค หลายอย่าง"


"ขณะที่สินค้าของบริษัทก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมาก ยังเป็นสินค้ากลุ่มเดิมๆ อย่าง อาหารเสริม, คอสเมติกส์, การเกษตร และเครื่องครัวเรือน โดยคุณภาพ ดีอยู่แล้ว แต่ในส่วนผลิตภัณฑ์ด้านอาหาร เสริมจะได้รับความนิยมเป็นพิเศษ มีการสั่งซื้อจัดส่งเป็นจำนวนมาก และในช่วงหลัง สงกรานต์นี้ ทางบริษัทจะมีการแถลงเปิดตัวผลิตภัณฑ์ด้านอาหารเสริมออกมาใหม่ มั่นใจว่าจะตอบสนองกลุ่มผู้บริโภคได้มากขึ้น และจะเดินทางไปโปรโมตสื่อทุกแขนง"


สำหรับแผนการตลาดในปี 2556 ผู้ช่วยกรรมการ "สุพรีเดอร์ม" ได้กล่าวว่า "ตอนนี้ได้มีการเดินทางออกไปโรดโชว์ทั้ง 4 ภาค ซึ่งแต่ละที่ก็มีตลาดน่าสนใจแตกต่าง กันไป และทุกครั้งที่ออกไปมีสมาชิกเข้ามา ร่วมธุรกิจกับบริษัทตลอดทุกครั้ง ทำให้ขยายตลาดได้เรื่อยๆ และได้มีการออกไป จัดสัมมนาให้ความรู้ พร้อมการฝึกอบรมให้ กับสมาชิกตามสาขาที่อยู่จังหวัดต่างๆ ซึ่ง สมาชิกส่วนใหญ่จะมีฐานะในระดับกลาง และฐานสมาชิกจะมีอยู่มากที่ภาคกลาง รองลงมาก็เป็นภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ภาคอีสาน และภาคใต้"


"ในส่วนของ AEC ที่กำลังจะเกิดขึ้นอีก 2 ปีข้างหน้า ทางบริษัทก็ได้มีการเตรียมการไว้แล้ว และไม่กลัวหากถึงวันนั้นจริงๆ ถึงแม้สุพรีเดอร์มจะยังไม่มีสาขาในต่างประเทศ แต่ก็มีสายงานอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านหลายคน ซึ่งทางสมาชิกที่ประเทศไทยก็ส่งสินค้าไปให้ และได้เดินทางกันอยู่บ่อยๆ อย่างประเทศลาว, กัมพูชา และพม่า เพราะรอแค่ว่า หากเริ่มมีสายงานเกิดขึ้นเยอะจนได้รับความนิยมมาก เราก็จะไปเปิด ศูนย์ที่นั่นแน่นอน"


"ตอนนี้สุพรีเดอร์มมีสำนักงานใหญ่ อยู่กรุงเทพฯ คือ อาคารชำนาญเพ็ญชาติ โดยได้แยกย่อยออกไปอีก 95 สาขา ครอบคลุมทั่วประเทศ ทำให้สมาชิกไม่ต้องกังวล เรื่องการหาซื้อสินค้า อีกทั้งยังมีโรงงานที่เป็นฐานการผลิตที่เต็มไปด้วยศักยภาพและความพร้อม มาตรฐานการผลิตสากล โดยโรงงาน 4 แห่ง มีที่ตั้งจังหวัดปทุมธานี 2 แห่ง และที่จ.อุดรธานี 2 แห่ง บนเนื้อที่กว่า 1,200 ไร่ เป็นโรงงานได้รับการรับรองระดับสากล ไม่ว่าจะเป็น ISO 9001 และมาตรฐานการผลิตอาหาร GMP, HACCP และใบอนุญาตผลิตจากคณะกรรมการอาหารและยา กระทรวงสาธารณสุข"




Credit By :http://www.siamturakij.com

MLM ไทย ล่าอาณานิคม "เวิลด์โปร" ติดกระแส ไล่ปักธงเพื่อนบ้าน







iqe8e20d9d3d84e9ca75e4cccdf6bc03b3 (Mobile)


ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ผลักดันขายตรงไทยหาพื้นที่ประเทศเพื่อนบ้านตั้งสาขาล่ายอดขายต่างประเทศ "เวิลด์โปร" เปิดสาขา สปป.ลาว ชิมลางอาเซียน วางแผนขยับสู่พม่า, เวียดนาม และ อินโดนีเซียต่อไป พร้อมผุดกลยุทธ์ ชื่อ "ดรีมทีม" จุดประกายแผนแม่ทีมสร้างแม่ทีม ผลักดันตัวเลขผู้นำให้ถึง 1 พันคน หลังจากที่ผ่าน มาขาดแคลนนักธุรกิจระดับสูงหวัง กระตุ้นยอดขาย 100 ล้านบาท มั่นใจสินค้าของบริษัทไม่เป็นสองรองใคร


จัดได้ว่า ช่วงนี้ถือเป็นช่วงของธุรกิจ ขายตรงพันธุ์ไทยเลยก็ว่าได้ เนื่องจากการ รุกขย่มตลาดอย่างหนักของหลายแบรนด์ เพื่อเร่งทำตลาดสร้างยอดขายรวมถึงการ ขยายตลาดสู่อาเซียน เพื่อรองรับการเปิด ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ไล่ตั้งแต่บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ที่ล่าสุดได้จัดงานครบรอบ 17 ปีของบริษัท โดยจะมีการอัดสินค้าลงสู่ ตลาดขายตรงอีกกว่า 10 รายการ พร้อม หนุนทีวีดาวเทียม ที่บริษัทเปิดช่องของ ตัวเอง ให้สามารถรับชมได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผ่านระบบอินเตอร์เน็ต เพื่อการรับรู้ได้ในทุกพื้นที่ ทุกเวลา เป็นการโหมตลาดสู่เป้า 6.5 พันล้านบาทต่อไป


ด้านแบรนด์ไทยสุดร้อนแรงอย่าง "บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด" ก็นับเป็นแบรนด์ไทยอีกหนึ่ง ที่เดินหน้าสร้างกิจกรรมไม่ขาดสาย มีการขยายตลาดในประเทศเพื่อนบ้านอย่าง ต่อเนื่อง โดยล่าสุด ประเทศเวียดนามกลายเป็นอีกหนึ่งพื้นที่ที่บริษัทได้ขยายสาขา และให้ความสำคัญ โดยหวังที่จะไล่เปิดสาขาในเวียดนามทุกพื้นที่หัวเมือง ใหญ่ เพื่อสร้างยอดขายในอนาคต


บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ขายตรงไทยชื่อก้อง ก็ถือเป็นแบรนด์ที่โหมตลาดด้วยเช่นกัน โดย ที่ผ่านมา ถึงแม้ยอดขายจะมีสะดุดไปบ้าง แต่นายใหญ่อย่าง "อิทธิศักดิ์ อำพันธ์ยุทธ์" ก็ไม่นิ่งนอนใจ อัดกลยุทธ์ดึงยอดขายตั้งแต่รากฐานของบริษัท ด้วยการฝึกอบรมถี่ยิบ พร้อมการเปิดคลินิกความงาม ขึ้น เพื่อเป็นการต่อยอดการรับรู้สินค้า และทำเป็นอีกหนึ่งช่องทางในการทำให้แบรนด์ ขยายตัว


ล่าสุด อีกหนึ่งแบรนด์ไทยที่พยายาม ไล่ล่าคว้ายอดขาย โดยหวังจะเป็นแบรนด์ แถวหน้าอย่าง "เวิลด์โปร" ก็เป็นอีกแบรนด์ ที่ทำให้ธุรกิจขายตรงแบรนด์ไทย ดูจะได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในช่วงนี้ โดยนายพิสิษฐ์ เดชวรรณพงษ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวิลด์โปร (ประเทศไทย) จำกัด ขายตรงสัญชาติไทยแท้ เปิดเผยกับ "สยามธุรกิจ" ว่า เรื่องการรวมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) เวิลด์โปรมั่นใจในผลิตภัณฑ์ของบริษัทที่ได้การรับรองจาก อย. ทุกผลิตภัณฑ์ จึงไม่ใช่ปัญหาที่เราจะทำตลาดออกไปใกล้ๆ อย่างเพื่อนบ้านเรา โดยเราได้ไปเปิด ตลาดที่เมืองเวียงจันทน์ ประเทศลาว ตอนนี้ได้เปิดศูนย์เซ็นเตอร์ที่นั่นแล้ว และ มีแผนจะขยับไปพม่า, เวียดนาม, อินโดนีเซีย และประเทศอื่นๆ ต่อไป แต่คงต้อง ค่อยเป็นค่อยไป


"สำหรับกลยุทธ์ที่เตรียมใช้ในปี 2556 ตนมีไม้เด็ดไว้กระตุ้นยอดขายแล้ว ซึ่งเตรียม ใช้แผน "ดรีมทีม" คือสร้างแม่ทีมขึ้นมา 1,000 คน ในระดับ VIP โดย VIP หนึ่งคน ต้องแนะนำ VIP ให้ได้อีก 4 คน จากนั้นก็พามาเข้าอบรมเพียง 2 คอร์ส คือ ก้าวอย่างมืออาชีพ และทะลุจุดเดือด โดยตำแหน่ง VIP มีการการันตีรายได้ 20,000 บาททุกเดือนแน่นอน และแผนนี้เริ่มใช้มา ได้ 2 เดือนแล้ว ล่าสุดมี VIP จำนวน 100 คน คาดว่าสิ้นปีนี้จะได้ตามที่ตั้งเป้าไว้ 1,000 คน"


โดยการดำเนินธุรกิจของบริษัทได้เข้าสู่ปีที่ 8 แล้ว แสดงให้เห็นว่าบริษัทมีความพร้อมที่จะยืนหยัดแข่งขันกับบริษัทขายตรงอื่นๆ ได้อย่างมั่นคง และจะเติบโต ต่อเนื่องแน่นอน โดยผู้ที่สนใจทำธุรกิจทาง ด้านนี้ หากเข้ามาที่ "เวิลด์โปร" รับรองที่นี่จะไม่ทำให้ทุกคนต้องผิดหวัง และตอนนี้ บริษัทได้เพิ่งสร้างโรงงานผลิตในเนื้อที่ 15 ไร่ ตั้งอยู่ที่ อ.นครชัยศรี จ.นครปฐม ซึ่งปี 2555 ที่ผ่านมา บริษัทมีการเติบโต 30% คิดเป็นยอดขายในปีที่ผ่านมา 30 ล้านบาท


"ตอนนี้หลักๆ เวิลด์โปรมีสินค้าแบ่ง เป็น 4 กลุ่ม ได้แก่ เกษตร, ประหยัดพลังงาน, อุปโภคบริโภค และเครื่องสำอาง โดยสินค้าด้านการเกษตรอย่างปุ๋ย จะได้รับ ความนิยมเป็นพิเศษ ซึ่งฐานสมาชิกส่วนใหญ่จะอยู่ทางภาคใต้ เพราะที่นั่นปลูกต้น ยาง และต้นปาล์ม ซึ่งปุ๋ยของบริษัทเราสามารถตอบสนองกลุ่มผู้ใช้ที่นั่นได้ โดยฐานสมาชิกที่อยู่ทางภาคใต้มีหลายจังหวัด ไม่ว่าจะเป็น จ.สงขลา, จ.ตรัง, จ.สตูล, จ.พังงา, จ.พัทลุง และ จ.สุราษฎร์ธานี คือ ทุกเดือนเราจะไปเปิดอบรม 6 คอร์สด้วยกัน โดยแยกหัวข้อเป็น 1.ก้าวอย่างมืออาชีพ 2.เรียนรู้การทำธุรกิจแบบมืออาชีพ 3.ความ ลับสู่ความสำเร็จ 4.ทะลุจุดเดือด 5.ฝึกการ เป็นผู้นำ และ 6.วิทยากร"


สำหรับเป้าหมายในปี 2556 "พิสิษฐ์" กล่าวว่า "เรามั่นใจว่าบริษัทจะมีการเติบโต ขึ้นถึง 100% หรือมียอดขายประมาณ 100 ล้านบาท ซึ่งตอนนี้มีเวิลด์โปรมีศูนย์หลักๆ อยู่ 3 แห่ง ได้แก่ อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา กับ อ.นางรอง จ.บุรีรัมย์ และ อ.บางเขน กรุงเทพฯ โดยบริษัทได้จัดงานประดับเข็มในแต่ละเดือนเช่นกัน แต่คงไม่ได้ไปจัดที่ไหน ไกล เพราะได้ใช้สถานที่ศูนย์เวิลด์โปรเป็น ทั้งการอบรมและประดับเข็มให้แก่สมาชิก ที่ประสบความสำเร็จ และในวันที่ 25 ธ.ค. ของทุกปี เราจะจัดงานใหญ่ก่อนช่วงปีใหม่ ที่หน้าลานบริษัทเพื่อเลี้ยงสังสรรค์และเชิดชูเกียรติ"


"ส่วนปัญหาหลักๆ ของบริษัทในเวลานี้ นอกจากปัจจัยที่ยุคนี้ เรื่องค่าครอง ชีพแพงขึ้น และยังมีผลกระทบจากเหตุ-การณ์ต่างๆ ในช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา ทำให้ การหาฐานสมาชิกและขายสินค้าก็ทำได้ยากขึ้น แต่เราก็ผ่านมาได้ แต่ปัญหาที่กำลัง แก้ไขจริงๆ คงเป็นเรื่องการสร้างแม่ทีม หรือผู้นำ เพราะการที่จะหาแม่ทีมที่เข้าใจ และมีความอดทนกับธุรกิจนี้ ค่อนข้างหาได้ยากมาก และการสร้างแม่ทีมขึ้นมาก็ไม่ ใช่เรื่องง่าย โดยเราได้พยายามออกไปโรดโชว์ตามจังหวัดต่างๆ อยู่บ่อยๆ ให้ทั่วทุกภาคของประเทศ เพราะยังมีอีกหลายจังหวัดที่เวิลด์โปรยังกระจายไปไม่ถึง แต่ ก็ได้บุกตลาดอย่างต่อเนื่อง"


นอกจากนี้ สมาคมส่งเสริมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย (TDNA) ที่บริษัทเป็นสมาชิกอยู่นี้ กำลังจัดเตรียมเปิดตัวใน เร็วๆ นี้ ซึ่งทาง บริษัท เวิลด์โปร (ประเทศ ไทย) จำกัด ได้เพิ่งเข้ามาอยู่ในสังกัดนั้น เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายพิสิษฐ์ เดชวรรณพงษ์ ได้กล่าวว่า ทางบริษัทมั่นใจในแนวทางที่สมาคมจะช่วยผลักดันการแก้ไขกฎหมายธุรกิจขายตรง เพื่อให้รัฐบาลเห็นความสำคัญและจัดตั้งกรมขายตรงขึ้นมาในอนาคต เพราะตอนนี้ธุรกิจขายตรงมีการ เติบโตไปทั่วโลก และเชื่อว่าศักยภาพของ สมาคมจะเป็นพลังให้เรียกร้องเรื่องนี้สำเร็จ




Credit By :http://www.siamturakij.com

โฆษณาเกินจริงระบาดหนัก อย.จัดแข่งหนังสั้นรณรงค์ไม่หลงเชื่อ







ชวรัตน์อย่าหลงเชื่อง่าย1000 (Mobile)

 


อย. จัดหนัก! เปิดตัวกิจกรรมการ ประกวดภาพยนตร์สั้น ในหัวข้อ "อย่าหลงเชื่อง่าย" ชวนเชิญให้นักเรียน นิสิต นักศึกษาและประชาชนที่สนใจเข้าร่วมการประกวด เพื่อให้มีการถ่ายทอดความ คิด พฤติกรรม ผลกระทบ และรณรงค์เตือนภัยมิให้ผู้บริโภคหลงเชื่อการโฆษณา ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่โอ้อวดเกินจริง ล่ารางวัล มูลค่ารวมกว่า 90,000 บาท


น.พ.บุญชัย สมบูรณ์สุข เลขาธิการ คณะกรรมการอาหารและยา เปิดเผยว่า ในวันนี้ (4 เม.ย.56) สำนักงานคณะกรรม-การอาหารและยา (อย.) จะจัดให้มีการเปิดตัวกิจกรรมประกวดภาพยนตร์สั้น ในหัวข้อ "อย่าหลงเชื่อง่าย" ซึ่งเป็นหนึ่งในกิจกรรมโครงการรณรงค์อย่าหลงเชื่อง่าย ปีงบประมาณ พ.ศ.2556 ภายใต้แนวคิด "เตือนภัยผ่านเลนส์"


โดยมีเงินรางวัล พร้อมโล่และใบประกาศเกียรติคุณ จำนวน 5 รางวัล ซึ่งผู้ที่ชนะการประกวด รางวัลที่ 1 จะได้รับเงินสด 50,000 บาท รางวัลที่ 2 เงินสด 25,000 บาท รางวัลที่ 3 เงินสด 10,000 บาท และรางวัลชมเชย 2 รางวัลรางวัลละ 5,000 บาท รวมเงินรางวัลทั้งสิ้น 95,000 บาท โดยผู้ที่สนใจสามารถส่งผลงานได้ตั้งแต่วันนี้-วันที่ 31 พฤษภาคม 2556 และ จะมีการประกาศผลผู้เข้ารอบ 5 ทีมสุดท้าย จากผลงานทั้งหมดที่ส่งเข้ามา ในวันที่ 15 มิถุนายน 2556 และตัดสินผลการประกวด ในวันที่ 5 กรกฎาคม 2556 โดยผู้ที่สนใจสามารถดาวน์โหลดใบสมัครและดูผลการประกวดได้ที่ Facebook Fanpage : Fda Thai หรือทางเว็บไซต์ www.fussyhome. com


โดยกิจกรรมในครั้งนี้จัดขึ้นเพื่อต้องการให้ผู้บริโภคเข้ามามีส่วนร่วมโดยการ ถ่ายทอดความคิด พฤติกรรม ผลกระทบ และรณรงค์เตือนภัยมิให้ผู้บริโภคหลงเชื่อ การโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่โอ้อวดเกินจริง ทั้งที่เกิดขึ้นกับตนเองหรือบุคคลใกล้ตัวผ่านทางเลนส์กล้องบันทึกภาพเคลื่อนไหวโดยนำประเด็นปัญหาที่ผู้บริโภค มักพบเจอจากการหลงเชื่อโฆษณาที่โอ้อวด เกินจริง ไม่ว่าจะเป็นกาแฟอ้างลดความอ้วน ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และเก้าอี้ไฟฟ้า สถิตที่อ้างรักษาโรค เครื่องสำอางอ้างทำให้ หน้าขาว ยาแผนโบราณและเครื่องดื่มที่โฆษณาอวดอ้างว่าเสริมสุขภาพด้วยสารอาหารต่างๆ โดยอ้างรักษาโรคเรื้อรังหรือ โรคร้ายแรง ฯลฯ


รวมทั้งประเด็นที่ผู้บริโภคยังเข้าใจผิดเกี่ยวกับสรรพคุณของผลิตภัณฑ์นั้นๆ เพื่อแลกเปลี่ยนเรียนรู้ประสบการณ์และเพื่อให้ผู้บริโภครู้เท่าทันโฆษณา ไม่ว่าจะพบ โฆษณาในสื่อใด ก็สามารถวินิจฉัยได้ว่าข้อมูลใดเป็นข้อมูลที่ไม่น่าเชื่อถือ เพื่อให้เกิดพฤติกรรมการบริโภคที่ถูกต้อง เหมาะสม และปลอดภัยมากยิ่งขึ้น


เลขาธิการฯ อย. กล่าวในตอนท้ายว่า ขอเชิญชวนผู้ที่รักการทำหนังสั้นมาสมัครเข้าร่วมกิจกรรมดีๆ ในครั้งนี้ เพื่อท่านจะได้เป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยให้สังคมของเราเข้มแข็งขึ้น ไม่ตกเป็นเหยื่อโฆษณาเกิน จริงอีกต่อไป และอย. ขอฝากเตือนผู้บริโภค ทุกท่าน ก่อนเลือกซื้อผลิตภัณฑ์สุขภาพชนิดใดก็ตาม ให้ศึกษาข้อมูลที่แน่ชัดก่อนซื้อทุกครั้ง อย่าหลงเชื่อแต่เพียงคำโฆษณา ที่สวยหรู ดูดี แต่ผลิตภัณฑ์ไม่ได้มาตรฐาน และราคาแพงเกินความเป็นจริงเพื่อจะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อของพ่อค้าเจ้าเล่ห์ จนอาจได้รับอันตรายต่อชีวิตได้ รวมทั้งขอให้หมั่นเตือนตัวเองว่า "โฆษณาที่ดูดี โดนใจ มักเกินจริง อย่าเชื่อ อย่าซื้อ อย่าใช้"


โดยหากผู้บริโภคท่านใดพบเห็นการ โฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพที่มีลักษณะโอ้อวด หลอกลวง ขอให้ร้องเรียนมายังสายด่วน อย. โทร.1556 หรือส่งจดหมายไปที่ ตู้ ปณ. 1556 ปณฝ.กระทรวงสาธารณสุข จ.นนทบุรี 11004 หรือเดินทางมาร้องเรียนด้วยตัวเอง พร้อมตัวอย่างผลิตภัณฑ์ที่ศูนย์เฝ้าระวังและรับเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สุขภาพ อย. อาคาร 1 ชั้น 1


 


 


Credit By :http://www.siamturakij.com