ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันพฤหัสบดีที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2556

'โฟกัส' ขายตรง รวมพลแก้ กม.ขายตรง







Law (Mobile)


เมื่อสัปดาห์ก่อน ผู้เขียนได้เข้าร่วมงาน "เครือข่ายโต๊ะแชร์" ซึ่งเป็นการรวมตัวของผู้ที่มีความรู้เกี่ยวกับธุรกิจเครือข่ายขายตรง จัดตั้งกลุ่มขึ้นมาภายใต้ชื่อ "กลุ่มพลังเครือข่าย" ที่มีแนวความคิดในการจัดตั้งพรรคพลังเครือข่ายประชาชน ขึ้นมาในการกรุยทางเข้าไปนั่งในสภาผู้แทนราษฏร์


แนวคิดของกลุ่มพลังเครือข่าย เขาได้อธิบายใจความกว้างๆ ว่า หวังจะเอาคะแนนเสียงจากคนซื้อ-คนขาย-ผู้ประกอบธุรกิจ ที่สัมผัสธุรกิจขายตรงที่คิดประมาณการณ์เอาไว้ทั่วประเทศประมาณ 16 ล้านเสียง จะเป็นตัวผลักดันให้เข้าไปนั่งในสภาฯ นั่นเอง


เหตุผลที่กลุ่มนี้ได้อธิบายและให้เข้าใจกันง่ายๆ ก็คือ การเข้าไปแก้กฏหมายขายตรงให้มีความทันสมัยนั่นเอง!!


เนื่องจากต้องยอมรับกันว่า ในปัจจุบันการแก้ไขกฏหมายขายตรง ยังไม่ค่อยมีความทันสมัยมากนัก เนื่องจากถ้าพิจารณากันลงในรายละเอียดด้วยแล้ว ตัวกฏหมายที่ใช้อยู่นั้น ยังมีช่องว่าง ยังไม่คืบหน้าอะไรมากมายก่ายกองนัก แถมยังมีช่องโหว่ให้ผู้ประกอบการหลอกลวงต้มตุ๋มกับผู้บริโภค (บางราย)


อีกเหตุผลหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย การยกระดับให้ธุรกิจขายตรงมีหน่วยงานภาครัฐเข้ามาควบคุมดูแล เพื่อให้เทียบเท่ากับธุรกิจประกัน ซึ่งธุรกิจประกัน มีหน่วยงานภาครัฐที่เข้ามาควบคุมดูแล นั่นก็คือ กระทรวงการคลัง ในฐานะที่วางนโยบายหลักด้านธุรกิจนั่นเอง


เพราะแค่เพียงหน่วยงานรัฐอย่างสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) นั้น เป็นเพียงแค่งานหนึ่งเท่านั้น เนื่องจาก สคบ.ต้องดูแลและควบคุมอีกหลายธุรกิจ มีเรื่องที่ต้องเคลียร์ปัญหาให้กับผู้บริโภคเป็นกองพะเนิน ซึ่งอาจจะไม่ทั่วถึงในการเข้ามาจัดการกับพวกบริษัทขายตรงนอกคอกเท่าที่ควร


ถือเป็นมิติใหม่ของวงการธุรกิจขายตรง ที่เริ่มขยับตัว พร้อมเคลื่อนไหวให้ธุรกิจขายตรงมีความทันสมัยเป็นสากลมากขึ้น กลับกลายที่เป็นสมาชิกเครือข่ายขายตรงรายเล็ก ที่คิดจะรวมตัวกันเป็นกลุ่มเป็นก้อน อาสาเข้ามามีส่วนร่วมกับการแก้กฎหมายขายตรง


มองย้อนกลับมาที่ภาพรวมของธุรกิจขายตรง ต้องยอมรับว่า หลายๆ สมาคมที่มีอยู่ในปัจจุบัน เขาก็พร้อมที่จะแก้กฏหมายขายตรง แต่แว่วๆ ว่า ความคิดเห็นอาจมีความแตกต่างกันออกไป ต่างนานา


ก็ต้องขอชื่นชมอีกสมาคมหนึ่งนั่นก็คือ สมาคมการขายตรงไทย ที่กำลังผลักดันเรื่อง การก่อตั้งสมาพันธ์ขายตรงอาเซียนให้สำเร็จให้ได้ ในอีก 2 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นประโยชน์สูงสุดกับธุรกิจขายตรง


โดยสมาคมขายตรงไทยถือว่าเป็นองค์กรที่มีศักยภาพที่สุดในประเทศไทยที่จะสามารถดำเนินการเรื่องนี้ หากแล้วเสร็จจะเป็นประโยชน์สูงสุด ทำให้อุตสาหกรรรมขายตรง ที่ไม่เพียงเติบโตเฉพาะประเทศไทย แต่ทั้งธุรกิจจะเติบโตไปพร้อมๆกัน ดังนั้นจะเป็นแรงเหวี่ยงให้เกิดภาคีความร่วมมือทุกอย่างจะสอดคล้องและทุกอย่างจะขับเคลื่อนไป


จากการสอบถามข้อมูลของสมาคมขายตรงไทย นั้น เขามีกฎไว้ว่า สมาชิกต้องยอมรับโดยสมาพันธ์ ในการพิจารณาบริษัทขายตรงเมืองไทย โดยมีคุณสมบัติ 11 ข้อต้องมีครบ หนึ่งในนั้นที่สำคัญมาก คือจรรยาบรรณของบริษัท ต้องมีประกันรับคืนสินค้าตามกระบวนการกฎหมายขายตรง


ถือเป็นมิติใหม่ที่ดีในการแก้ไขกฎหมายขายตรง เพราะที่ผ่านมากี่ยุคกี่สมัย ยังไม่มีอะไรในกอไผ่ ทำให้การดำเนินธุรกิจขายตรง ยังดูเหมือนเป็นกฎหมายที่ล้าหลัง ไม่ทันสมัย จากแนวคิดของกลุ่มพลังเครือข่าย ที่รวมตัวขึ้นมานั้น แม้ว่าหนทางจะห่างไกล แต่แค่แนวคิดที่พวกเขาดำเนินการอยู่ ก็น่าภาคภูมิใจกันแล้วใช่ไหมครับ




Credit By :http://www.ryt9.com

ข่าวสมาคมการขายตรงไทย (TDSA) : 5 ประเทศขานรับ... ตั้งสมาพันธ์ขายตรงอาเซียน







People--Gossip-ImageCrop_1_18547-13-19787m (Mobile)


"สมาคมการขายตรงไทย" เดินหน้าหาแนวร่วมก่อตั้ง "สมาพันธ์ขายตรงอาเซียน" หวังรับเสรีการค้า AEC ยันมาเลเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ เริ่มตอบรับ ชี้คุณสมบัติต้องเป็นสมาคมที่ผ่านการรับรองจาก "สมาพันธ์ขายตรงโลก (WFDSA)" แย้มขั้นตอนเดินหน้าสู่ช่วงวางนโยบาย ขีดเส้นไม่เกิน 2 ปี เกิดขึ้นจริง


นายกิจธวัช ฤทธีราวี นายกสมาคมการขายตรงไทย หรือ TDSA เปิดเผยว่า ขณะนี้ทางสมาคมกำลังเดินหน้าเรื่องของการสร้างความร่วมมือกับสมาคมขายตรงที่อยู่ในต่างประเทศ ในกลุ่มของประเทศอาเซียน เพื่อหาแนวร่วม เปิดสมาพันธ์ขายตรงอาเซียนรองรับการ เกิดขึ้นของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC


"ขณะนี้ทาง TDSA และกลุ่มสมาคมที่อยู่ในประเทศภูมิภาคอาเซียน ได้ก้าวผ่านเรื่องแนวทางความคิดไปแล้ว โดยเริ่มมีการร่างนโยบายความร่วมมือกับสมาคมขายตรงที่อยู่ในประเทศกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งความร่วมมือที่สมาคม การขายตรงไทยต้องการที่จะผลักดัน คือ การรวมตัวของสมาคมที่อยู่ในอาเซียน จัดตั้งสมาพันธ์ขายตรงอาเซียน รองรับการร่วมมือทำงานเมื่อ AEC เกิดขึ้น" นายก TDSA กล่าว


ปัจจุบันสมาคมของประเทศที่มีการ ตอบรับในเรื่องของการจัดตั้งสมาพันธ์ขายตรงอาเซียนมาแล้ว ก็จะมีทางฝั่ง มาเลเซีย, เวียดนาม, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย และสิงคโปร์ โดยสมาคมที่อยู่ในแต่ละประเทศที่จะเข้ามาร่วมก่อตั้งสมาพันธ์ ขายตรงอาเซียนนี้ จะต้องเป็นสมาคมขายตรงที่อยู่ภายใต้การดูแลของ "สมาพันธ์ขายตรงโลก (WFDSA)"


"การเกิดขึ้นของสมาพันธ์ขายตรง อาเซียนนี้ นับเป็นความร่วมมือของวงการ ขายตรงกลุ่มประเทศอาเซียน ซึ่งสมาคมที่จะเข้าร่วมสมาพันธ์ขายตรงอาเซียนจะต้องอยู่ภายใต้สมาพันธ์ขายตรงโลก โดยที่ต้องผ่านการรับรองของสมาพันธ์ขายตรงโลกทั้งสิ้น" กิจธวัชกล่าวย้ำ


อย่างไรก็ดี จากที่เริ่มมีการประชุมพูดคุยถึงความร่วมมือดังกล่าว ขณะนี้ทาง สมาคมขายตรงของมาเลเซีย ก็เริ่มเดินทาง มาประเทศไทย เพื่อพูดคุยดูงานของวงการ ขายตรงไทยบ้างแล้ว โดยคาดว่าไม่เกิน 2 ปีนี้ สมาพันธ์ขายตรงอาเซียนจะเกิดขึ้น อย่างเป็นรูปธรรม เพื่อรองรับการเกิดขึ้น ของ AEC ในปี 2558


นอกจากเรื่องของการตั้งสมาพันธ์ขายตรงโลกแล้ว ในส่วนของสมาคมการขายตรงไทยปัจจุบัน ขณะนี้มีสมาชิกทั้งสามัญ และวิสามัญทั้งหมดอยู่ที่ 34 บริษัท โดยที่ล่าสุด "บริษัท นิว ไลฟ์ เวิลด์ไวด์ (ประเทศไทย) จำกัด" และ "บริษัท เทียนส์ (ประเทศไทย) จำกัด" ก็ได้ยกระดับความเป็นสมาชิกขึ้นมาอยู่ที่ระดับสามัญ จากกฎกติกาการเป็นสมาชิกวิสามัญครบ 1 ปี อีกทั้งในส่วนของสมาชิกใหม่ ขณะนี้ TDSA ก็ได้รับ "บริษัท แอ็ดเวล บิวตี้ (ประเทศไทย) จำกัด" มาเป็นสมาชิกวิสามัญเพิ่มอีกหนึ่งบริษัท


"สมาคมการขายตรงไทยพร้อมที่จะ เปิดรับทุกบริษัทขายตรงที่อยู่ในประเทศ โดยที่บริษัทขายตรงแต่ละบริษัทจะต้องเป็นบริษัทขายตรงน้ำดี มีคุณสมบัติ 11 ข้อ ที่ทางสมาคมตั้งไว้เป็นกฎ รวมถึงความรับผิดชอบ จรรยาบรรณในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งหากบริษัทใดผ่านกฎกติกาทั้งหมดของสมาคม ทางสมาคมก็พร้อมที่จะรับเป็นสมาชิก"


นายก TDSA เผยว่าปัจจุบัน สมาชิกของสมาคมการขายตรงไทยทั้งหมด 34 บริษัทตอนนี้ผ่านเกณฑ์การขอรับตรา สคบ. ไปแล้ว 24 บริษัท ส่วนบริษัทสมาชิกที่ยังไม่ได้รับนั้น "กิจธวัช" ให้ความเห็นว่า คงเป็นเรื่องของการเปิดบริษัทที่อายุยังไม่ถึงเกณฑ์บ้าง หรือบางบริษัทก็ติดในเรื่องของขั้นตอนการขอที่ทำให้ขอในช่วงแรกไม่ทันเวลา


นอกจากประเด็นที่กล่าวมาข้างต้นแล้ว ในส่วนของเรื่องที่หลายฝ่ายมีความคิดที่จะมีการรวมสมาคมขายตรงที่อยู่ในประเทศ ปัจจุบันที่มีอยู่แล้ว 4 สมาคมนั้น เรื่องนี้ "กิจธวัช" ให้ความเห็นว่า "การรวมตัวของสมาคมขายตรงในประเทศ คงเป็นไปได้ยาก เนื่องจากปัจจัยหลายๆ อย่าง แต่ท้ายที่สุดถึงแม้การรวมตัวของสมาคมจะไม่เกิดขึ้น แต่ก็เชื่อว่าวงการขาย ตรงก็ต้องทำงานร่วมกันอยู่ดี"


อย่างไรก็ตาม อีกเรื่องที่ถือเป็นประเด็นร้อนอีกหนึ่ง ว่าด้วยเรื่องการรณรงค์ให้มีการแก้ไขกฎหมายขายตรงที่ใช้อยู่ โดย "กิจธวัช" นายก TDSA ให้ความเห็นในเรื่องนี้ว่า เรื่องของการรณรงค์ แก้ไขกฎหมายนั้น ตนก็พอได้ยินมาบ้าง แต่ที่สุดแล้วการจะแก้ไขกฎหมายขายตรง ก็ต้องผ่านความคิดเห็นจากสมาคมการขายตรงไทยด้วยอยู่ดี


ทั้งนี้ ในส่วนของการทำงานของสมาคมการขายตรงไทยนับจากนี้ คือ 1.การผลักดันการทำงานระดับสากลกับกลุ่มสมาคมขายตรงต่างประเทศ โดยเฉพาะการตั้งสมาพันธ์ขายตรงอาเซียนดังที่กล่าวมาในข้างต้น และ 2.คือการออกไปเยี่ยมเยียนบริษัทสมาชิกของสมาคม เพื่อที่จะรับทราบความเป็นไปของบริษัทสมาชิก ซึ่งที่ผ่านมาเรื่องนี้เกิดขึ้นน้อยเกินไป ซึ่งเรื่องนี้ทางสมาคมฯ ก็กำลังพยายามผลักดัน และสร้างการรับรู้ให้เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง




Credit By :http://www.siamturakij.com

บ่อน้ำมัน"อีสาน"







isan (Mobile)


เมื่อประมาณสัปดาห์ก่อน ผู้เขียนมีโอกาสเดินทางไปที่ จ.ขอนแก่น จังหวัดเศรษฐกิจสำคัญของภาคอีสาน ตามภาระหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติ นี่ไม่ใช่ครั้งแรก หรือครั้งที่สองที่ผู้เขียนมีโอกาสได้เดินทาง ไปย่ำเลาะ พร้อมชมบรรยากาศในพื้นที่ราบสูงของไทย แต่นี่เป็น ครั้งที่นับไม่ถ้วน โดยเฉพาะ จ.ขอนแก่น แหล่งมักคุ้นของผู้เขียน

จากการสังเกตด้วยสายตาในแต่ละครั้ง โดยเฉพาะเขตเมือง สิ่งหนึ่งที่พบเห็น คือ การผุดขึ้นราวกับดอกเห็ดของศูนย์ สาขาของบริษัทขายตรง

ทำไมภาคอีสานถึงได้รับความนิยมจากบริษัทขายตรงจนต้องดิ้นรนจับจองหัวหาดสำคัญเพื่อเปิดศูนย์ธุรกิจ

ปฏิเสธไม่ได้ว่า ปัจจุบันภาคตะวันออกเฉียงเหนือ หรือ ภาคอีสาน คือ ขุมทรัพย์ของวงการขายตรง ด้วยเนื้อที่ที่มีอยู่กว่า 1.6 แสนตารางกิโลเมตร ภาคอีสาน กลายเป็นภูมิภาคที่มีเนื้อที่ใหญ่ที่สุดของประเทศ อีกทั้งจำนวนประชากรมีมากกว่า 21 ล้านคน สิ่งนี้ยิ่งเย้ายวนใจให้บริษัทขายตรงต้องชิงตลาดฟาดฟันชนิดใครดีใครอยู่ กรุงเทพฯ ถูกวางเป็นตลาดหมายเลข 1 ของวงการขาย ตรงรวมถึงวงการธุรกิจอื่นๆ แต่หากจะนับเป็นภูมิภาค อันดับที่ ทำเงินให้กลุ่มบริษัทขายตรงมากที่สุด คงหนีไม่พ้นภาคอีสาน ซึ่งเป็นบ่อน้ำมันของกลุ่มบริษัทขายตรงส่วนใหญ่ วันนี้ภาคอีสานไม่เหมือนอดีตที่ผู้คนเคยตราหน้าว่าเป็น ภูมิภาคด้อยพัฒนา แห้งแล้ง ยากจน ไร้ซึ่งมนต์เสน่ห์แห่งการไปเยือน จนคนในภูมิภาคหลั่งไหลออกจากภูมิลำเนา เพื่อไปทำมาหากินพื้นที่อื่น แต่ทุกวันนี้ภาคอีสานกลายเป็นภูมิภาคที่กำลังพัฒนา การ ทำไร่นาเริ่มถูกเปลี่ยนด้วยการทำอุตสาหกรรมอื่นๆ ผู้คนมีการมีงานทำที่ดีขึ้น หลายพื้นที่สามารถปลูกพืชเศรษฐกิจ สร้างรายได้มากกว่าการทำไร่ทำนาที่ได้ไม่คุ้มเสีย เนื่องเพราะต้องพึ่งฟ้าฝนที่แปรปรวนเกินคาดเดา ผู้คนเปลี่ยนไปปลูกพืชที่ใช้น้ำน้อยแทน โดยเฉพาะพื้นที่ หรือเขตจังหวัดไหนที่มีน้ำมากหน่อย ก็จะมีการปลูกยาง พาราพืชเศรษฐกิจยอดนิยมจากทางภาคใต้

ปัจจัยดังกล่าว ทำให้ผู้คนของภาคอีสานมีกำลังซื้อมากขึ้น เมื่อกำลังซื้อเพิ่ม ไม่มีเหตุผลอะไรที่บรรดาธุรกิจแขนงต่างๆ จะออกไปเปิดธุรกิจทำตลาด ยิ่งกลายเป็นว่างานมารายได้เพิ่ม ขึ้นไปอีก บรรดาธุรกิจขายตรงใช้ช่วงจังหวะนี้ เปิดธุรกิจดำเนินการ เต็มรูปแบบ ปลูกฝังการสร้างรายได้เสริมเข้าไป ทุกอย่างทำให้ ลงตัว และยิ่งบริษัทใดมีสินค้าที่ตอบโจทย์คนในภูมิภาคนี้ด้วยแล้ว ยิ่งไปกันใหญ่ ผู้คนแห่เข้าร่วมงานสร้างเครือข่ายนับยอด ขายไม่ทัน

ธุรกิจขายตรง มีจุดเด่นคือการเป็นธุรกิจแห่งการสร้างโอกาส ผู้คนที่เข้ามาสามารถร่ำรวยได้ โดยที่ไม่จำเป็นต้องขนเงินใส่กระสอบมาลงทุน เพียงแค่ค่อยๆ ขยับ ทำธุรกิจอย่างจริงจัง ความสำเร็จก็เกิดขึ้นได้

วันนี้บริษัทขายตรงมากมายเกิดขึ้นในภาคอีสาน ยอดขาย ของหลายบริษัทพึ่งภาคนี้เป็นส่วนใหญ่ และยิ่งมองไปอีกประมาณ 3 ปีข้างหน้าด้วยแล้ว เมื่อความร่วมมือของกลุ่มประเทศอาเซียนเกิดขึ้น ภาคอีสานก็ยิ่งมีความสำคัญโดดเด่นขึ้นมาอีกมหาศาล และยิ่งพื้นที่ ที่ติดกับ 2 ประเทศเพื่อนบ้านอย่าง กัมพูชา และลาว อีสานเปรียบประหนึ่งบ่อน้ำมันบ่อใหญ่ที่รอการขุด ใครสามารถแชร์ตลาดในภาคนี้ได้มากกว่า ย่อมหมายถึง การเป็นเจ้าตลาดในภูมิภาค การจะโกยเงินสกุล "เรียล" หรือ "กีบ" ก็จะทำได้ง่ายกว่า ยิ่งไปกว่านั้น เงินสกุล "ดอง" อาจเป็นโบนัสในอนาคต




Credit By :http://www.siamturakij.com

"ผู้นำ"พา"องค์กร"







ภาวะผู้นำ-ท่ามกลางภาวะวิกฤตจากภัยพิบัติ (Mobile)


"ผู้นำ" มีบทบาทสำคัญต่อความสำเร็จขององค์กร ซึ่งผู้นำสามารถแบ่งได้เป็นสองลักษณะ คือ ลักษณะแรกเป็นผู้นำที่เป็นผู้บริหารประจำ บริษัท อาจเป็นเจ้าของหรือผู้บริหารที่ได้รับการแต่งตั้งจากกรรมการบริษัท ดูแล บริหารจัดการและกำหนดนโยบายด้านต่างๆ เพื่อนำพาบริษัทให้บรรลุเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ และอีกลักษณะคือ ผู้นำที่เป็นพนักงาน หรือเป็นผู้บริหารระดับต้น ซึ่งขึ้นอยู่กับผลงานทางด้านยอดขาย การดำเนินงาน หรือมีคุณสมบัติที่เหมาะสมกับการเป็นผู้นำหรือมีความสามารถด้านการบริหาร


ไม่ว่าจะเป็นผู้นำในลักษณะใด คุณสมบัติที่สำคัญเบื้องต้นที่ผู้นำต้อง มีนั่นคือ วิสัยทัศน์ (Vision) ซึ่งเป็นการมองภาพในอนาคตของผู้นำ หรือ เป็นเป้าหมายในการเดินทางไปสู่อนาคต ผู้นำที่ดีต้องมีมุมมองและวิสัยทัศน์กว้างไกล เข้าใจธรรมชาติของการดำเนินงานและการบริหารองค์กร ผู้นำต้องรู้จักเปิดหูเปิดตา ยอมรับและพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลง สามารถมองภาพในอนาคตของการบริหารองค์กร ซึ่งเป็นการศึกษาและ พัฒนาระบบการบริหารจัดการให้เหมาะสมกับองค์กร เป็นการศึกษาเรียนรู้ถึงสิ่งที่เกิดขึ้นที่มีผลกระทบต่อองค์กร


ซึ่งการเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกลนั้น ผู้นำต้องลดเจตคติ ในทางลบ รู้จักการยอมรับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น ต้องรู้จักคิดในมุมมอง ของลูกน้อง หรือทีมงาน ต้องให้ความสำคัญกับพนักงานหรือสมาชิก ทีมงานทุกระดับเปรียบดั่งเป็นครอบครัวเดียวกัน สร้างค่านิยมและความ อบอุ่นให้เกิดขึ้นภายในองค์กร ซื่อสัตย์ มีคุณธรรม มีความเป็นกลางรักความยุติธรรม มีภาพลักษณ์ที่ดี มีภาวะผู้นำและสิ่งสำคัญผู้นำต้องมี ความจริงใจต่อผู้ตามหรือลูกน้องหรือเพื่อนร่วมองค์กร


ผู้นำไม่ใช่ผู้รอบรู้ไปทุกอย่าง หรือเก่งไปทุกเรื่อง ผู้นำที่จะประสบความสำเร็จก็ต้องอาศัยทีมงานและสมาชิกองค์กรที่มีประสิทธิภาพ แต่ในบางครั้งก็มีบ้างที่ผู้นำวิสัยทัศน์สั้น อาทิ


1.หน้าตาไม่เป็นมิตร ชนิดบอกบุญไม่รับ ไม่ยิ้มแย้มแจ่มใส ชอบทำหน้าดุ เพื่อสร้างความน่าเกรงขาม ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ถูกต้อง เพราะผู้นำ ต้องสร้างความประทับใจให้กับลูกน้องหรือลูกทีม ด้วยการแสดงออกที่เป็นมิตร ส่งผลให้สมาชิกอยากร่วมทำงานด้วย


2.นโยบายให้แต่ไม่จริงใจ เป็นการกำหนดนโยบายเพื่อให้สมาชิกในองค์กรสร้างผลงานอย่างใดอย่างหนึ่ง แต่เมื่อมีสมาชิกทำได้จริงก็จ่าย ผลตอบแทนหรือให้รางวัลแต่ก็พยายามสร้างข้อจำกัดเพิ่มขึ้น หรือสร้าง ความยุ่งยากในการรับผลตอบแทน ดังนั้น ผู้นำต้องมีนโยบายที่ชัดเจน มีความเป็นไปได้ มีความจริงใจ และคำนึงถึงสมาชิกหรือทีมงาน ส่งเสริม ให้สมาชิกมีส่วนร่วมในการกำหนดนโยบายตามขอบเขตที่เหมาะสม


3.ฉันคือเจ้าของ ฉันคือผู้นำ ฉันคือผู้บริหาร แล้วคุณคือใคร เป็นลักษณะของผู้นำที่บ้าอำนาจ ยังไม่รู้จักลูกน้องหรือการทำงานเป็นทีม และกลัวว่าคนอื่นไม่รู้จักตน ผู้นำผู้มีวิสัยทัศน์กว้างไกลไม่จำเป็นต้องป่าวประกาศให้คนอื่นรู้หรอกว่าฉันเป็นใคร ที่สำคัญผู้นำต้องรู้จักสมาชิก หรือลูกน้อง สร้างความเป็นกันเองให้กับทีมงาน สมาชิกในองค์กร สมาชิก สามารถเข้าพบ หรือพบปะกับผู้นำได้อย่างสะดวกโดยไม่มีเกราะกำบัง ต้องมีการปลูกฝังหรือสร้างจิตสำนึกว่าองค์กรไม่ใช่เป็นของผู้นำแต่เพียง คนเดียว แต่องค์กรเป็นของทุกคน ที่ต้องร่วมด้วยช่วยกันนำพาองค์กรไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จ


4.เป็นผู้นำที่ไม่เคยลงมือทำ ผู้นำจะต้องรู้จักการบริหารจัดการ สร้างแรงจูงใจที่ดีในการทำงาน ไม่ใช่รู้จักแต่สั่งหรือใช้คนอื่น ต้องรู้จักการ เรียนรู้ในการทำงาน อาจต้องลงมือร่วมแรงร่วมใจกับสมาชิกในการร่วมกัน ทำกิจกรรมด้วยความเสมอภาค โดยผู้นำต้องมองในมุมกว้างแล้วสามารถ สรุปในลักษณะเฉพาะหรือแยกออกเป็นประเด็นต่างๆ ได้ นอกจากนี้ ผู้นำ ต้องรู้จักการพัฒนาตนเองและการเรียนรู้ต่อการเปลี่ยนแปลงด้านต่างๆ จะเป็นผู้นำแบบยุคดึกดำบรรพ์คงไม่ได้แล้ว เพราะผู้นำต้องบริหารเป็น ต้องรู้จักตลาด รู้จักลูกค้าและยอมรับต่อการเปลี่ยนแปลง


5.จอมเผด็จการ ไม่ยอมฟังความคิดเห็นของคนอื่น ชอบคิดเอาเอง แล้วตัดสินใจบนพื้นฐานของความรู้สึกส่วนบุคคล ไม่เน้นความคิดเห็นของบุคคลอื่น หรือไม่ยอมให้คนอื่นแสดงความคิดเห็น ผู้นำจะต้องไม่ลืมว่าความสำเร็จที่บริษัทหรือองค์กรได้รับมานั้นต้องอาศัยทีมงานและสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถร่วมกันดำเนินกิจกรรมต่างๆ ให้ประสบความสำเร็จ


6.ผู้นำนอมินี หรือผู้นำแบบหุ่นเชิด ไม่รู้จักการใช้อำนาจในการตัดสินใจที่สมเหตุสมผล ไม่มีประสบการณ์ ไม่กล้าตัดสินใจ ไม่รู้จักการ เรียนรู้และพัฒนาตนเองหรือองค์กร มีวิสัยทัศน์แคบ คิดเล็กคิดน้อย ไม่กล้าในการลงทุน


ทั้งหมดก็เป็นตัวอย่างของผู้นำที่มีวิสัยทัศน์สั้น และที่กล่าวมาก็ไม่ได้มีทัศนคติที่ไม่ดีต่อผู้นำ เพียงแต่ต้องการให้ผู้นำไม่เป็นเช่นนั้น ไม่อยากให้ลูกน้องต่อว่าผู้นำได้ แล้วผู้นำก็จะมีความสุขกับการทำงาน ร่วมกับสมาชิกในองค์กรและสมาชิกก็มีความสุขในการทำงานร่วมกับ ผู้นำ แล้วผู้นำก็จะพาองค์กรไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จ





Credit By :http://www.siamturakij.com

วันอังคารที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ข่าวกิฟฟารีน (Giffarine Thailand) : เจาะใจ (แม่ทัพ) กิฟฟารีน 17 ปีที่พลิกชีวิตคนไทยหลายแสนครอบครัวสู่...ความสุข







p1111 (Mobile)


หากเปรียบกิฟฟารีนในวันนี้ ไม่ต่างอะไรกับหญิงสาววัย 17 ที่ความสวยกำลังบานสะพรั่ง พร้อมที่จะก้าวเข้าสู่ความสำเร็จในชีวิต เฉกเช่นธุรกิจขายตรง "กิฟฟารีน" ที่กำลังก้าวเข้าสู่ปีที่ 18 อย่างมั่นคง และได้รับการตอบรับจนประสบความสำเร็จดังเช่นทุกวันนี้ ภายใต้แนวคิดและวิธีการที่เต็มไปด้วยกลยุทธ์ที่ว่า "เราเป็นเจ้าของธุรกิจร่วมกัน"


ด้วยการบริหารงานของหญิงเก่ง "พ.ญ.นลินี ไพบูลย์" ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีนสกายไลน์ยูนิตี้ จำกัด ผู้บุกเบิกธุรกิจมาอย่างไม่ย่อท้อ จนทำให้วันนี้ "กิฟฟารีน" แบรนด์สัญชาติไทยสามารถอยู่ในใจผู้บริโภค และดังไกลไปทั่วโลก


"พ.ญ.นลินี" กล่าวว่า "...ตลอดเวลา 17 ปีที่ผ่านมา กิฟฟารีนมีกลยุทธ์ในการทำธุรกิจที่แตกต่างจากบริษัทขายตรงอื่นๆ คือ แนวคิดการมอบธุรกิจให้เป็นเจ้าของร่วมกัน เพราะเชื่อว่าคนเราถ้าได้ทำอะไรที่ตัวเองเป็นเจ้าของแล้ว จะทำได้ดีที่สุดและทำเต็มความสามารถ โดยมีหลักการว่าอย่ากดดัน อย่ายัดเยียด ต้องมีสัมพันธภาพที่ดีกับผู้คนและคนรอบข้าง จนวันนี้กิฟฟารีนได้มอบโอกาสทางธุรกิจให้แก่คนไทยหลายแสนครอบครัว และมีผู้ที่ประสบความสำเร็จจนสามารถพลิกชีวิตสู่ความสุข ความมั่งคั่งจากธุรกิจกิฟฟารีนได้เป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเป็นธุรกิจเครือข่ายของคนไทยที่มียอดจำหน่ายสูงสุด และเป็นบริษัทเอ็มแอลเอ็มสัญชาติไทย หนึ่งเดียวในโลกที่ติดอันดับ 56 ใน ท็อป 100 ของสมาพันธ์การขายตรงโลก (WFDSA) ประจำปี 2011 และได้รับการการันตีด้วยการโหวตให้เป็นสุดยอดแบรนด์ (Superbrands Award) ถึง 4 ปีซ้อน มีสมาชิกมากกว่า 6.5 ล้านรหัส มีศูนย์ธุรกิจตั้งอยู่ในประเทศไทย รวม 113 สาขา และต่างประเทศมากกว่า 30 สาขา"


หัวใจหลักที่ทำให้กิฟฟารีนเป็นที่ยอมรับจากคนในประเทศและต่างประเทศคือ "...หนึ่งต้องทำให้ผู้บริโภคมีความสุข และใช้สินค้าเราอย่างต่อเนื่อง สองทำให้นักธุรกิจของเรามีความสุขได้รับรายได้ ความสำเร็จและความภาคภูมิใจเป็นความอบอุ่นแบบที่เขาต้องการ เพียงเท่านี้เองเพราะถ้าเราทำให้ผู้บริโภคมีความสุขก็เหมือนกับว่าเรามีผลิตภัณฑ์ที่ชัดเจนและคุณภาพดีในราคาที่ไม่สูงเกินไปและคนสามารถซื้อใช้อย่างต่อเนื่องและมีความสุขได้ จากจุดนี้ทำให้เราตัดสินใจเปิดโรงงานของตัวเอง เพื่อที่เราจะได้ควบคุมกระบวนการผลิตได้ทุกขั้นตอน ตั้งแต่การเลือกวัตถุดิบที่ใช้ในแต่ผลิตภัณฑ์ ที่ผ่านกระบวนการวิจัยและพัฒนา มีกระบวนการการผลิตที่ได้มาตรฐาน พร้อมทั้งให้ความรู้แก่ผู้บริโภคให้เขาได้รับสิ่งที่ดีและเหมาะกับเขาที่สุด เราจึงมั่นใจได้ว่าผลิตภัณฑ์ของเรามีคุณภาพและราคาที่สมเหตุสมผล ตรงนี้เองที่ทำให้ผลิตภัณฑ์ของกิฟฟารีนต่างจากแบรนด์อื่นและได้รับการยอมรับ" พ.ญ.นลินี กล่าว ส่วนเคล็ดลับในการบริหารงาน บริหารคนในยุคแห่งการแข่งขันนี้ พ.ญ.นลินี บอกว่า ".ใช้หลัก win-win ถ้าโตเราโตด้วยกัน ถ้าไปไม่รอดก็ไม่รอดด้วยกัน ต้องยอมรับความจริง ดิฉันจะไม่รวยคนเดียว นักธุรกิจเครือข่ายเราก็อยู่ฝั่งเดียวกัน บริษัทแม่ บริษัทลูกจะจับมือกัน ดูแลผู้บริโภคเราดีที่สุด บริษัทเราอาจจะไม่ได้


โตพรวดพราด แต่เราโตประมาณปีละ 10% แต่ ทุกก้าวๆ อย่างมั่นคง ต้องมีเงินฝากประจำมากขึ้นทุกปี มีอสังหาริมทรัพย์เพิ่มมากขึ้น มีเงินที่แบ่งสำหรับการพัฒนาระบบไอที มีเงินพัฒนาสำหรับงานวิจัยและสินค้าใหม่ มีการลงทุนเรื่องโรงงาน เรื่องศูนย์ธุรกิจ เรื่องกิจกรรมทางการตลาดปีที่แล้วเรามีกิฟฟารีนแชนแนล ผ่านช่องทางเคเบิลทีวี ปีนี้จะมีกิฟฟารีนแชนแนลออนไลน์เพิ่มเข้ามา เพื่อรองรับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป"


ปิดท้ายผู้บริหารคนเก่งยังบอกเคล็ดไม่ลับสำหรับคนที่อยากจะประสบความสำเร็จว่า "...ไม่ว่าจะเป็นการทำงานหรือชีวิตส่วนตัว แค่เรามีความสุขกับสิ่งที่เราได้ทำ กับสิ่งที่เราได้เลือก แค่นี้ก็ประสบความสำเร็จแล้ว ถ้าเกิดความท้อ ความเครียดให้คิดว่าเป็นบทเรียนหรือบทลองใจให้คิดว่าความเหนื่อยความท้อทำให้เราแกร่งขึ้น ให้ก้าวข้ามไปให้ได้ ให้มองเรื่องอุปสรรคเป็นบทเรียนในชีวิต หลายคนถามเหมือนกันว่าเมื่อไหร่ดิฉันจะเกษียณให้คนรุ่นหลังขึ้นมาทำงานต่อ ดิฉันบอกเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว แต่จะไม่เกษียณหรอก จะทำงานจนวันสุดท้ายของชีวิต ถ้าเมื่อไหร่เลิกทำงานนะมีความทุกข์แน่ เพราะคิดว่างานคือชีวิต งานคือความสุข เหนื่อยดีกว่าเหงาเยอะเลย วันนี้ให้ดีใจที่ยังได้เหนื่อย"


17 ปีที่ผ่านมา เป็นบทพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าผู้หญิงเก่งคนนี้สามารถนำพาแบรนด์สัญชาติไทยให้เป็นที่ยอมรับของคนในประเทศและต่างประเทศได้อย่างน่าภาคภูมิใจ





Credit By :http://www.ryt9.com

ข่าวมิสทีน (Mistine) : เปิดตัวแคมเปญ A LAND สินค้าแบรนด์ หลากหลาย ครบครัน จัดจำหน่ายเพียงที่เดียวผ่านแคตตาล็อกฟรายเดย์ แคตตาล็อกขายตรง ถึงบ้านคุณ







Capture


เมื่อเร็วๆนี้ บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้จัดจำหน่ายสินค้าระบบขายตรง ผ่านแคตตาล็อกฟรายเดย์ นำโดย นายดนัย ดีโรจนวงศ์ กรรมการผู้อำนวยการ ได้จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวแคมเปญ A LAND สินค้าแบรนด์ หลากหลาย ครบครัน จัดจำหน่ายเพียงที่เดียวผ่านแคตตาล็อกฟรายเดย์ แคตตาล็อกขายตรง ถึงบ้านคุณพร้อมเปิดตัวพรีเซ็นเตอร์ A LAND ผ่านแฟชั่นโชว์ นำโดย : เอ-ศุภชัย,เวียร์-ศุกลวัฒน์ , เคน-ภูภูมิ,ออย-ธนา, เมย์-เฟื่องอารมณ์ ,กุ๊บกิ๊บ-สุมณทิพย์ และ เนย-โชติกา


ภายในงานได้แนะนำสินค้า A LAND ซึ่งแต่ละแบรนด์ประกอบด้วยสินค้าต่างๆมากมายดังนี้ Vier Jeans ขายสินค้าแฟชั่นเท่ห์ๆ แนวยีนส์ ที่เวียร์ทุ่มสุดตัวในการออกแบบ , Oil Home ขายสินค้าเครื่องใช้ในบ้าน รวมถึงของตกแต่งบ้าน ,KN Accessory แนะนำเครื่องประดับเก๋ๆ, May Flower Collection สินค้าประเภทเสื้อผ้า ที่เมย์ดีไซน์เอง สวยเวอร์ทุกชุด และ Ken IT ขายสินค้าอุปกรณ์ไอทีสุดล้ำ เปิดตัวท่ามกลางสื่อมวลชนและแขกผู้มีเกียรติที่มาร่วมงานมากมาย ณ ห้างสรรพสินค้า CentralWorld



[gallery ids="18047,18048"]


ติดต่อ:


ศศิธันว์ สร้อยทอง


บริษัท เฟมไลน์ จำกัด


02-354-3555





Credit By :http://www.ryt9.com

ข่าวเฮอร์บาไลฟ์ (Herbalife) : สสปน. ชูศักยภาพประเทศไทย เป็นเจ้าภาพจัดการประชุมครั้งใหญ่สุดแห่งปี Herbalife Asia Pacific Extravaganza 2013







Saturday


การประชุมครั้งยิ่งใหญ่ที่สุดของปี ดึงดูดผู้จำหน่ายอิสระของเฮอร์บาไลฟ์เข้าร่วมงานกว่า 23,000 คน จัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็คเมืองทองธานี


กรุงเทพฯ - 17 มิถุนายน 2556 เฮอร์บาไลฟ์ จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวงาน เฮอร์บาไลฟ์ เอเชีย แปซิฟิก เอ็กซตร้าวาแกนซา 2013 (Herbalife Asia Pacific Extravaganza 2013) ซึ่งจัดขึ้นระหว่างวันที่ 14 16 มิถุนายน ที่ผ่านมา ที่ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี โดยมีผู้จำหน่ายอิสระเฮอร์บาไลฟ์เข้าร่วมงานกว่า 23,000 คน จาก 12 ประเทศทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้งานครั้งนี้เป็นการจัดงานประชุมองค์กรที่ใหญ่ที่สุดของประเทศไทยในปีนี้


Herbalife Asia Pacific Extravaganza เป็นการประชุมระดับภูมิภาคของเฮอร์บาไลฟ์ซึ่งจัดขึ้นเป็นประจำทุกปี เพื่อสร้างเวทีฉลองความสำเร็จทางธุรกิจให้แก่ผู้จำหน่ายอิสระเฮอร์บาไลฟ์ และเป็นโอกาสในการเข้ารับการฝึกอบรม อัพเดทข้อมูลผลิตภัณฑ์ล่าสุด ตลอดจนรับคำชี้แนะเกี่ยวกับการสร้างธุรกิจจากผู้นำของเฮอร์บาไลฟ์และผู้เชี่ยวชาญด้านโภชนาการ


นายนพรัตน์ เมธาวีกุลชัย ผู้อำนวยการ สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. กล่าวว่า นับเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่เฮอร์บาไลฟ์เลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดประชุม Herbalife Asia Pacific Extravaganza อีกครั้ง สสปน. ในฐานะหน่วยงานของรัฐที่ทำงานภายใต้การกำกับดูแลของสำนักนายกรัฐมนตรี มีพันธกิจเพื่อส่งเสริมอุตสาหกรรม MICE คือ การจัดประชุมสัมมนา การท่องเที่ยวเพื่อเป็นรางวัล และการจัดงานแสดงสินค้านานาชาติในประเทศไทย ให้มีศักยภาพสามารถแข่งขันได้อย่างยั่งยืน ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ สสปน. ในการเชื่อมโยงโอกาสธุรกิจในเอเชีย และชูศักยภาพของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติขนาดใหญ่ นอกจากนี้ งานนี้ยังเป็นการแสดงความพร้อมและศักยภาพของไทยในฐานะการเป็นศูนย์กลางในการจัดนิทรรศการและการประชุมที่ทันสมัย พร้อมสรรพด้วยสาธารณูปโภคพื้นฐานและสิ่งอำนวยความสะดวกที่ได้มาตรฐานระดับโลก


เพื่อส่งเสริมกลยุทธ์การตลาดซึ่งเน้นตลาด MICE ในเอเชีย สสปน. ได้ให้ความร่วมมือเพื่อสนับสนุนการจัดประชุมของเฮอร์บาไลฟ์อย่างเต็มที่ ซึ่งงานในครั้งนี้ไม่เพียงเป็นการประชาสัมพันธ์จุดเด่นด้านอัธยาศัยไมตรีอันดีของไทย อาหารอร่อย และวัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ แต่ยังก่อให้เกิดผลดีทางเศรษฐกิจอย่างมหาศาล โดยคาดว่าจะสร้างรายได้เข้าประเทศสูงถึง 1,840 ล้านบาท


นายนพรัตน์ยังกล่าวด้วยว่า อุตสาหกรรมการดูแลสุขภาพเป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมหลักที่จะสร้างความเติบโตให้แก่ตลาด MICE ของไทย ควบคู่ไปกับอุตสาหกรรมอื่นๆ เช่น อุตสาหกรรมยานยนต์และอุปกรณ์ตกแต่ง เครื่องสำอาง เคมีภัณฑ์ การเงินการธนาคาร ประกันภัย อุปกรณ์เครื่องใช้ไฟฟ้า และการท่องเที่ยว โดยคาดว่าในปี 2556 อุตสาหกรรม MICE จะสร้างรายได้รวมทั้งสิ้น 88,000 ล้านบาท (ราว 2,910 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ) และมีผู้เข้าร่วมงานราว 940,000 คน ความสำเร็จของงาน Herbalife Asia Pacific Extravaganza ในครั้งนี้ จึงจะเป็นบทพิสูจน์สำคัญที่แสดงให้เห็นศักยภาพอันโดดเด่นของไทยในการเป็นเจ้าภาพจัดการประชุมนานาชาติขนาดใหญ่


การจัดงานในครั้งนี้นับเป็นครั้งที่ 6 ที่เฮอร์บาไลฟ์เลือกประเทศไทยเป็นสถานที่จัดประชุมสำหรับผู้จำหน่ายอิสระจากทั่วภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ได้แก่ ออสเตรเลีย ฮ่องกง อินโดนีเซีย ญี่ปุ่น มาเลเซีย มาเก๊า นิวซีแลนด์ ฟิลิปปินส์ สิงคโปร์ ไต้หวัน ไทย และเวียดนาม ในปีนี้เฮอร์บาไลฟ์ยังได้จัดการประชุมขึ้นพร้อมกันในอีกสองประเทศ คือ ที่เมืองบังกาลอร์ ประเทศอินเดีย และกรุงโซล ประเทศเกาหลีใต้ ทั้งนี้ เพื่อเปิดโอกาสให้สมาชิกได้มีโอกาสขยายเครือข่ายออกไปให้กว้างขวางยิ่งขึ้น และคาดว่างานที่จัดขึ้นในสามประเทศนี้จะดึงดูดผู้เข้าร่วมประชุมได้มากถึง 55,000 คน และตอกย้ำให้เห็นความยิ่งใหญ่ของงานประจำปีนี้ และกระแสความต้องการผลิตภัณฑ์เฮอร์บาไลฟ์จากผู้บริโภคในเอเชีย


มร. วิลเลียม เอ็ม. ราห์น รองประธานอาวุโส และกรรมการผู้อำนวยการ เฮอร์บาไลฟ์ เอเชียแปซิฟิก เปิดเผยว่า เฮอร์บาไลฟ์มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่องในภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ทำให้เราต้องจัดการประชุม Extravaganza ขึ้นในหลายประเทศ เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้จำหน่ายอิสระที่เพิ่มจำนวนขึ้นอย่างรวดเร็ว โดยในช่วงห้าปีที่ผ่านมา ยอดขายเฮอร์บาไลฟ์ในภูมิภาคนี้เติบโตอย่างสม่ำเสมอเป็นตัวเลขสองหลักทุกปี และปัจจุบันเอเชียแปซิฟิกเป็นภูมิภาคที่สร้างยอดขายอันดับหนึ่งให้แก่เฮอร์บาไลฟ์ โดยมีรายได้คิดเป็นร้อยละ 28 จากยอดขายทั่วโลกในปี 2555 และมียอดขายสุทธิ 34,000 ล้านบาท (1,140 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐ)


การเติบโตนี้มาจากอุปสงค์ความต้องการของผู้บริโภคในเอเชียที่ห่วงใยสุขภาพและต้องการผลิตภัณฑ์เพื่อการดูแลสุขภาพมากขึ้น เพราะปัจจุบันโรคอ้วนและภาวะโภชนาการไม่ดีกลายเป็นปัญหาสุขภาพที่คุกคามคนทั่วโลก รวมถึงหลายประเทศในเอเชียแปซิฟิก เฮอร์บาไลฟ์และผู้จำหน่ายอิสระของเฮอร์บาไลฟ์ภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการแก้ปัญหา ด้วยการแนะนำผลิตภัณฑ์ด้านโภชนาการและการจัดการน้ำหนักให้แก่ผู้คนทั่วโลก มร. ราห์น กล่าวเพิ่มเติม


ตามข้อมูลขององค์การอนามัยโลก หรือ WHO นับเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติที่โลกเรามีประชากรน้ำหนักเกินมาตรฐานมากกว่าคนที่ขาดแคลนอาหาร ตามรายงานของ Euromonitor คาดว่าหลายประเทศในเอเชียแปซิฟิกจะมีอัตราคนเป็นโรคอ้วนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วที่สุดระหว่างปี 2553 ถึง 2563 โดยในเวียดนามจะมีประชากรเป็นโรคอ้วนและน้ำหนักเกินเพิ่มขึ้นร้อยละ 225 ฮ่องกง ร้อยละ 178 อินเดีย ร้อยละ 100 เกาหลีใต้ ร้อยละ 80.7 นิวซีแลนด์ ร้อยละ 52 และอินโดนีเซีย ร้อยละ 50 เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นทำให้ผู้บริโภคหันมานิยมอาหารตะวันตกและอาหารฟาสต์ฟู้ดมากขึ้น


ข้อมูลจากกระทรวงสาธารณสุขระบุว่าประเทศไทยติดอันดับหนึ่งในห้าชาติในเอเชียแปซิฟิกที่มีประชากรเป็นโรคอ้วนสูงสุด ปัจจุบันประเทศไทยมีประชากรเป็นโรคอ้วนหรือน้ำหนักเกินมากกว่า 17 ล้านคน และมีแนวโน้มจะเพิ่มขึ้นอีก 4 ล้านคน ในแต่ละปี


การประชุม Herbalife Asia Pacific Extravaganza ที่กรุงเทพฯ ถือเป็นการประชุมที่ใหญ่ที่สุดในสามประเทศที่จัดขึ้นในปีนี้ เนื่องจากประเทศไทยมีทำเลที่ตั้งอยู่ตรงศูนย์กลางของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ซึ่งมีความพร้อมทั้งในด้านสาธารณูปโภคพื้นฐานและประสบการณ์การจัดประชุมระดับโลก กรุงเทพฯ จึงเป็นตัวเลือกที่สมบูรณ์แบบสำหรับการจัดประชุมทางธุรกิจในเอเชีย เรารู้สึกซาบซึ้งในการสนับสนุนที่ได้รับจาก สสปน. ซึ่งมีส่วนอย่างมากต่อความสำเร็จของการจัดประชุมในครั้งนี้ มร. ราห์น กล่าวสรุป


เกี่ยวกับ สสปน.


สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ สสปน. เป็นหน่วยงานในศตวรรษที่ 21 ที่ก้าวล้ำนำสมัยและบริหารงานอย่างมืออาชีพ การออกแบบองค์กรในแนวราบและคล่องตัวช่วยให้บุคลากรของ สสปน. ให้บริการได้อย่างรวดเร็ว โดยรักษาประสิทธิภาพและประสิทธิผลการทำงานให้อยู่ในระดับสูง ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นต่อศักยภาพการแข่งขันทั้งในระดับภูมิภาคและระดับโลก สสปน. ส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรมและรับผิดชอบ โดยตั้งอยู่บนค่านิยมหลักขององค์กรคือความกระตือรือร้น ความโปร่งใส การทำงานเป็นทีม นวัตกรรม การพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และความรับผิดชอบ www.tceb.or.th


ติดตามข่าวสารของเราได้ที่ http://twitter.com/tceb_online


เกี่ยวกับเฮอร์บาไลฟ์


บริษัท เฮอร์บาไลฟ์ (NYSE:HLF) เป็นบริษัทโภชนาการระดับโลก โดยจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อการจัดการน้ำหนัก ผลิตภัณฑ์โภชนาการ และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณและเส้นผมเพื่อสุขภาพที่ดี ผลิตภัณฑ์ของเฮอร์บาไลฟ์ได้รับการจำหน่ายในกว่า 80 ประเทศทั่วโลกเพื่อการบริโภคส่วนตัวของผู้จำหน่ายอิสระและผ่านทางเครือข่ายของผู้จำหน่ายอิสระไปยังผู้บริโภค บริษัทให้การสนับสนุนเฮอร์บาไลฟ์ แฟมิลี่ ฟาวเดชั่น (The Herbalife Family Foundation : HFF) และโครงการคาซ่า เฮอร์บาไลฟ์เพื่อสนับสนุนการนำพาโภชนาการที่ดีไปสู่ เว็ปไซด์ของเฮอร์บาไลฟ์จะให้ข้อมูลที่สำคัญอย่างเพียงพอเกี่ยวกับเฮอร์บาไลฟ์ รวมถึงข้อมูลด้านการเงินและข้อมูลอื่นๆ สำหรับนักลงทุนโดยเข้าชมได้ที่ http://ir.Herbalife.com.บริษัทขอเชิญชวนให้นักลงทุนเข้าเยี่ยมชมเว็ปไซด์อย่างต่อเนื่องเป็นระยะๆ เพราะข้อมูลจะได้รับการปรับให้ทันสมัยอยู่เสมอ


[gallery ids="18032,18033,18034,18035,18036,18037,18038"]


* * * * * * * * * *



หากต้องการข้อมูลเพิ่มเติม โปรดติดต่อ:



สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) สสปน.


นางสาวอริสรา ธนูแผลง


ผู้จัดการอาวุโส


โทร. 0 2694 6095 อีเมล์: arisara_t@tceb.or.th



เฮอร์บาไลฟ์


มิสดาเลีย โมฮัมหมัด-เหลียว - รองประธานฝ่ายการสื่อสารองค์กร เอเชียแปซิฟิก


เฮอร์บาไลฟ์ เอเชียแปซิฟิก


โทร. +852 3589 2643 อีเมล์: delieal@herbalife.com



ศูนย์บริการข้อมูลข่าวสารเฮอร์บาไลฟ์


คุณวันดี เลิศสุพงศ์กิจ หรือคุณภัทรียา ภาคพาไชย


โทร. 02 233 4329/30 หรืออีเมล์ pr@francomasia.com


ข่าวอาวียองซ์ (Aviance Thailand) : อาวียองซ์เปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางใหม่ล่าสุด The Ingenious Colors เปลี่ยนลุคสาวธรรมดาแปลงโฉมกลายเป็นสาวสุดคูล เหมือนหลุดมาจากรันเวย์







02_resize (Mobile)


ทำเอาบรรยากาศชั้น 11 ของ อาวียองซ์ ช็อป ไทยพาณิชย์ ปาร์ค พลาซ่า ที่เคย หรูหรา สะอาดตา กลายเป็นรันเวย์แคทวอล์กชั่วคราว ประหนึ่งมหาครแห่งแฟชั่นอย่างอิตาลี เมื่อสาวเก่งใจดี สุชาดา ธีรวชิรกุล ประธานบริหาร อาวียองซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทย เทรดดิ้ง จำกัด อยากเห็นสาวไทยได้สวยระดับอินเตอร์ จัดงานเปิดตัวกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางใหม่ล่าสุด ดิ อินจีเนียส คัลเลอร์ (The Ingenious Colors) ที่ได้รับแรงบันดาลใจจากประเทศอิตาลี ด้วยเทคโนโลยีอัจฉริยะ Micronized Pigment อณูขนาดเล็กที่ช่วยปกปิดได้อย่างเรียบเนียน บางเบา แม้แต้มแต่งเว่อร์ หรือหนาเตอะ ยังให้ความรู้สึกเสมือนผิวหายใจได้


ภายในงานไม่เพียงจะได้พบกับบูธกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางใหม่ล่าสุดจากอาวียองซ์ ดิ อินจีเนียส คัลเลอร์ (The Ingenious Colors) ที่ถูกตกแต่งได้อย่างสวยงาม ชวนสะกดให้เข้ามาลองสัมผัสกับเนื้อผลิตภัณฑ์ ที่เนียนนุ่มละมุน และยังให้สีสันสุดตระการตา ที่มาพร้อมกับเทคโนโลยี Micronized Pigment อณูขนาดเล็กที่ช่วยปกปิดได้อย่างเรียบเนียน และยังทำหน้าที่กระจายแสงแบบรอบทิศทาง ช่วยอำพรางรูขุมขน และลดความไม่สม่ำเสมอของสีผิว บางเบา จึงแลดูกลมกลืนกับผิว และยังเสมือนว่าผิวหายใจได้ และเพื่อเป็นการพิสูจน์ถึงความสุดยอดที่ว่าสมกับเป็นแบรนด์ความงามระดับพรีเมี่ยม โดยยูนิลีเวอร์ จึงได้แปลงโฉมเปลี่ยนลุคสาวๆ ผู้ร่วมธุรกิจเครือข่ายอาวียองซ์ ด้วยการแต่งแต้มสีสันแต่งหน้าในลุคแฟชั่น กลายเป็นนางแบบกิตติมศักดิ์ร่วมเดินแฟชั่นโชว์กับนางแบบอาชีพ ที่ไม่ว่าจะแต่งสีสันเข้มจัดจ้าน หรือปกปิดมากเพียงใด ก็ยังให้ความรู้สึกบางเบา เสมือนผิวยังหายใจได้เสมอ และยังให้การปกปิด หรือมอบสีสันที่ติดทนนาน ไม่ว่าจะผ่านไปนานกี่ชั่วโมง เหล่าบรรดานางแบบกิตติมศักดิ์ ยังมีใบหน้าที่สวยแจ่ม เรียกเสียงฮือฮาให้แก่ผู้สนใจเข้าร่วมชมงานอยู่ไม่น้อย



กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอางใหม่ล่าสุดจากอาวียองซ์ ดิ อินจีเนียส คัลเลอร์ (The Ingenious Colors) ประกอบด้วย กลุ่มผลิตภัณฑ์แป้งและรองพื้น (Complexion) ได้แก่ ไพรเมอร์, ครีมรองพื้น, คอนซีลเลอร์, แป้งผสมรองพื้น, แป้งฝุ่นอัดแข็ง และแป้งฝุ่น พร้อมด้วยกลุ่มผลิตภัณฑ์สีสัน (Colors) ได้แก่ บลัชออน, อายแชโดว์, อายไลเนอร์, มาสคาร่า, ดินสอเขียนคิ้ว, ลิปสติก และ ลิป กลอส ดิ อินจีเนียส คัลเลอร์ (The Ingenious Colors) จากอาวียองซ์ พร้อมแล้วที่จะเป็นทูตความงามเนรมิตความสวย ให้เป็นพลังอำนาจของผู้หญิง โทร. 02-554-2655 หรือ www.avianceinternational.com


[gallery ids="18020,18021"]


*******************************************************************************


หากต้องการรายละเอียดเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ บริษัท แม็กซิม่า คอนซัลแตนท์ จำกัด


โทร.0-2619-0429 ถึง 30 สุจินดา, แสงนภา, ภัควลัญชญ์



ข่าวดีเน็ทเวิร์ค (D Network Worldwide) : ดี เน็ทเวิร์คประกาศศักดา ทุ่มงบมหาศาล สร้างสำนักงานใหญ่ โรงงาน







สาคร ใสกมล (Mobile)


ดี เน็ทเวิร์ค ผงาด 6 เดือนแรก สร้างยอดขายกว่า 450 ล้าน เติบโตขึ้นกว่าช่วงเวลาเดียวกันในปีที่ผ่านมาถึง 6 เท่าตัว ทุ่มงบซื้อที่ดิน 3 ไร่ในทำเลทองศูนย์กลางการคมนาคมย่านมีนบุรี ราคา 40 ล้านบาท เพื่อสร้างสำนักงานใหญ่แห่งใหม่ ตั้งเป้าสร้างเสร็จก่อนเปิด AEC พร้อมทุมงบอีก 100 ล้าน ในการสร้างโรงงานที่ทันสมัยเป็นโรงงานแนวตั้ง มีความคืบหน้ากว่า 90 เปอร์เซ็นต์ คาดเดือนกรกฎาคม เริ่มเดินเครื่องทดสอบการผลิตได้ เท่านั้นยังไม่พอ ในวันที่ 7 กรกฎาคม 2556 ทางบริษัทยังมีการจัดงานประกาศเกียรติคุณให้กับนักธุรกิจ บูล ไดมอนด์ คนแรกของบริษัท ที่พิชิต รถเฟอร์รารี่ อย่างสมศักดิ์ศรีขึ้น โดยภายในงานจะมีกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย


คุณสาคร ใสกมล ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด เปิดเผยว่าผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกของบริษัทถือว่ามีการเติบโตที่ดีมาก โดยทางบริษัทสามารถสร้างยอดขายเติบโตกว่า 6 เท่าตัว เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2555 ที่ผ่านมา


ในช่วงครึ่งปีแรกเรามีผลประกอบการที่ดีมาก ในปี 2555 ที่ผ่านมา ครึ่งปีแรกเราสร้างยอดขายได้ราว 82 ล้านบาท แต่ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 เราปิดยอดขายไปแล้วกว่า 450 ล้านบาท หากนับเฉพาะเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา เราปิดยอดขายได้สูงถึง 90 ล้านบาท ปีนี้เราจึงมั่นใจอย่างยิ่งว่า เราจะสร้างยอดขายแตะหลัก 1,000 ล้านบาทได้


ประธานผู้ก่อตั้ง ดี เน็ทเวิร์ค กล่าวต่อไปว่า หลังจากที่ทางบริษัทเปิดสำนักงานแห่งใหม่กลางใจเมือง ย่านสาทร โดยมีการใช้เงินลงทุนตบแต่งไปราว 4 ล้านบาทนั้น ถือว่าได้รับการตอบรับที่ดีเกินความคาดหมาย โดยในเดือนแรก ก็สามารถปิดยอดขายได้สูงถึง 7 ล้านบาท


ส่วนการเตรียมที่ดินในการสร้างสำนักงานใหญ่ของตัวเองนั้น ทาง ดี เน็ทเวิร์คได้ตั้งเป้าหมายใช้เวลา 3 ปีในการเตรียมที่ดี ซึ่งในที่สุดทางบริษัทก็ทำได้ตามเป้าหมายที่วางไว้ โดยได้ซื้อที่ดินขนาด 3 ไร่ ในราคา 40 ล้านบาท ย่านมีนบุรี เพื่อสร้างสำนักงานใหญ่ของตัวเองขึ้นมา


ที่ดินดังกล่าวตั้งอยู่บนทำเลที่ดีมาก เป็นที่รวมรถไฟฟ้า 3 สาย ใกล้โรงเรียนนานาชาติ ใกล้โรงไฟฟ้ามีนบุรี และที่สำคัญใกล้สนามบินสุวรรณภูมิ ถือเป็นจุดเริ่มต้นการเดินทางของกรุงเทพ โดยเราจะสร้างเป็นออฟฟิศที่ทันสมัย มีศูนย์การฝึกอบรม ซึ่งสำนักงานใหญ่ของเราตั้งใจจะเปิดก่อนการเปิด AEC โดยใช้งบประมาณในการสร้างสำนักงานใหญ่อยู่ที่ 100 ล้านบาท


เท่านี้ยังไม่พอ ทาง ดี เน็ทเวิร์ค ยังได้ดำเนินการสร้างโรงงานของตัวเอง โยใช้คอนเซ็ปต์การสร้างโรงงานของทางฝั่งยุโรป อเมริกาและไต้หวัน มีการออกแบบโรงงานให้เป็นแนวตั้ง มีเทคโนโลยีที่ทันสมัยมีการฆ่าเชื้อทุกๆ 15 นาที โดยใช้งบประมาณไปกว่า 100 ล้านบาทในการสร้างโรงงาน โดยในปัจจุบันมีการดำเนินการก่อสร้างๆไปแล้วกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ คาดว่าในเดือนกรกฎาคม ที่จะถึงนี้ จะเริ่มทดสอบการผลิตได้


คุณสาคร กล่าวต่อไปว่า สำหรับการเตรียมการเพื่อบุกตลาด AEC นั้น ทาง ดี เน็ทเวิร์ค มีการเตรียมความพร้อมอยู่ตลอดเวลา โดยทางบริษัทจะทำการบุกตลาด AEC ด้วย กลยุทธ์ 5-5-11-10 ซึ่ง 5 ตัวแรกหมายถึง การใช้ 5D ในการเปิดตลาด 5 ต่อมาคือ 5 เครือข่ายในการเจาะตลาดประกอบด้วย เครือข่ายแบบปากต่อปาก เครือข่ายร้านค้า เครือข่ายสื่อ เครือข่ายออนไลน์ และสุดท้ายคือเครือข่ายต่างประเทศ 11 คือ การที่ทางบริษัทจะเปิดสาขาให้ครบ 11 สาขาในปี 2558 ส่วน 10 ก็คือ การเปิดสาขาใน 10 ประเทศในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ให้ครบ


สำหรับผลิตภัณฑ์ที่มียอดจำหน่ายสูงสุดของบริษัท คงหนีไม่พ้น ผลิตภัณฑ์ โกเรจินส์ ที่ครองผลิตภัณฑ์ยอดขายเป็นอันดับ 1 เมื่อก่อนผลิตภัณฑ์นี้มีส่วนประกอบสำคัญ 7 อย่าง แต่ในปัจจุบันเพิ่มส่วนประกอบสำคัญเป็น 9 อย่าง ยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวสร้างยอดขายได้ถล่มทลาย โดยในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เดือนเดียว โกเรจินส์ สร้างยอดขายได้สูงถึง 50 ล้านบาท


ทางบริษัทยังมีการจัดงานใหญ่ ในการประกาศเกียรติคุณให้กับนักธุรกิจระดับ บูล ไดมอนด์ คนแรกของบริษัทคือ คุณภรัณธรณ์ เชื้อสรห์รดี สามารถพิชิตกองทุนรถยนต์คว้ารถ เฟอร์รารี่ อย่างสมศักดิ์ศรี งานดังกล่าวจะมีกิจกรรมต่างๆ ที่น่าสนใจมากมาย ซึ่งงานประกาศเกียรติคุณ นักธุรกิจระดับบูล ไดมอนด์ จะจัดขึ้นในวันที่ 7 เดือนกรกฎาคม 2556 ณ โรงแรมมิลาเคิล แกรนด์


นอกจากนี้ ทางบริษัทยังมีการจัดโปรโมชั่นในการท่องเที่ยว ปีละ 2 ครั้ง โดยในปี 2556 ทางบริษัทมีโปรโมชั่นในการท่องเที่ยวที่เวียดนามในเดือนมิถุนายน โดยมีผู้พิชิตการท่องเที่ยวถึง 350 คน ส่วนในเดือนสิงหาคม มีทางบริษัทจะเดินทางท่องเที่ยวในทวีปยุโรป 9 วัน ใน 4 ประเทศได้แก่ อิตาลี สวิตเซอร์แลนด์ ฝรั่งเศส และเนเธอร์แลนด์


ส่วนในปี 2557 ทางบริษัทมีโปรโมชั่นการท่องเที่ยว 2 ทริปโดยในทริปแรก ทางบริษัทจะพานักธุรกิจท่องเที่ยวยังฮ่องกง มาเก๊า ส่วนทริปใหญ่ทาง ดี เน็ทเวิร์ค จะพานักธุรกิจไปท่องเที่ยวยัง อลาสก้า 10 วัน ซึ่งถือเป็นทริปที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นอย่างมาก



สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่


ฝ่ายประชาสัมพันธ์ ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์


02-9074314-7


วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ข่าวนีโอไลฟ์ (Neo Life) : เปิดโรงเรียนขายตรงรับ AEC "นีโอ ไลฟ์" ดันหลักสูตรเทียบเท่า "ปวช.-ปวส."







Capture (Mobile)


"นีโอ ไลฟ์" พลิกโฉมวงการ เตรียมเปิด "โรงเรียนขายตรง" ศูนย์กลางแห่งการศึกษา วิชาขายตรงรับเสรีการค้าอาเซียน ยันสอนอย่างมืออาชีพ สร้างนักธุรกิจระดับโปรฯ มี ใบประกาศนียบัตรรับรองเทียบเท่า ปวช.-ปวส. ใช้สมัครงานได้จริง มั่นใจเปิดไม่เกินปี 2559 เผยโปรแกรมอบรมนักธุรกิจของบริษัท ได้รับการตอบรับดีเกินคาด หลังดึง "อ.เชน-จตุพล ชมพูนิช" วิทยากรชื่อดังร่วม ชี้ต่อไปพร้อม เสริม "กูรู" มืออาชีพมาให้ความรู้สมาชิก


ดร.นพรุจ เวชกุล ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยกับ "สยามธุรกิจ" ว่า ขณะนี้ "นีโอ ไลฟ์" มีโครงการจะเปิด "โรงเรียนขายตรง" ที่มีหลักสูตรการเรียนการสอนแบบมืออาชีพ เพื่อให้ทุกคนได้มีโอกาสเข้ามาเรียน และจะมีใบประกาศนียบัตรรับรองการจบการศึกษาเทียบเท่าในระดับ ปวช. หรือ ปวส. ที่จะสามารถนำไปประกอบเป็นอาชีพที่บริษัทขายตรงอื่นๆ ได้ โดยจะมีการรวบรวมข้อมูลหลักสูตรเกี่ยวกับ ขายตรงไว้ที่นี่ทั้งหมด โดยเบื้องต้นอาจจะเปิดรับสมัครเข้ามาเรียน ตั้งแต่ระดับมัธยมศึกษาขึ้นไปก่อน โดยสถานที่ตั้งได้เล็งแถบปริมณฑล เนื่องจากเป็นทำเลที่ดี และเดินทางไปมาได้สะดวก


"บริษัทตั้งใจจะทำโครงการนี้ให้เป็นจริงให้ได้ เพราะตอนนี้ เหลือเวลาอีก 2 ปี ก็จะเข้าสู่การรวมตัวของประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียนแล้ว และเพื่อเป็นการรับมือเออีซี ในปี 2558 เราจึงเตรียม จะเปิดเป็น "โรงเรียนขายตรง" ขึ้นมาในระยะเวลาใกล้ๆ กัน โดย เบื้องต้นจะใช้เวลาเตรียมตัว 3 ปี คาดว่าปี 2559 น่าจะเปิดได้ ส่วนเรื่องของชื่อโรงเรียนกำลังพิจารณากันอยู่" ดร.นพรุจกล่าว


อย่างไรก็ดี บริษัท นีโอ ไลฟ์ฯ ยังได้จัดการอบรมจิตวิทยาผู้นำองค์กร รุ่นที่ 4 2556 เมื่อวันที่ 12-13 มิถุนายน 2556 ณ ภูรัญญา รีสอร์ต โดยมี "ดร.นพรุจ เวชกุล" ประธานกรรมการบริหาร และ "ดร.รัชนี มหานิยม" ประธานกรรมการบริหารฝ่ายสมาชิกและกรรมการผู้จัดการ รวมถึงประธานและรองประธานฝ่ายการตลาด ร่วมเป็นวิทยากรเพื่อถ่ายทอดประสบการณ์ ความรู้ความสามารถสู่นักธุรกิจรุ่นใหม่


โดยภาพรวมของการอบรมหลักสูตรในครั้งนี้ถือว่าน่าพอใจมาก มีสมาชิกใหม่ๆ เข้าร่วมนับพันคน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมั่นคงและความน่าเชื่อถือของบริษัท โดยจุดประสงค์การเข้าอบรมก็เพื่อปลุกกำลังใจ สร้างฝัน สร้างนักธุรกิจที่มีคุณภาพ


โดยตลอดปีนี้บริษัทได้เชิญ อ.เชน-จตุพล ชมภูนิช พิธีกรและวิทยากรชื่อดัง มาให้การบรรยายตลอดทั้งปี 2556 อีกทั้งปีต่อๆ ไปก็จะมีแผนดึงวิทยากรดังๆ แบบนี้ เข้ามาเป็นสีสันของการปฐมนิเทศเชิงจิต-วิทยาผู้นำองค์การครั้งนี้ด้วย เนื่องจากวิทยากร ดังๆ จะมีประสบการณ์และแง่คิดดีๆ ให้กับสมาชิกผู้เข้าร่วมอบรม ตลอดเรื่องการพัฒนา บุคลิกภาพให้แก่ท่านสมาชิก อีกทั้งยังได้รับ ความรู้และความสนุกสนานไปพร้อมๆ กัน และยังมีเกมที่แทรกแนวคิดในการทำงาน


ประธานบริษัท "นีโอ ไลฟ์" กล่าวต่อว่า การดำเนินธุรกิจบริษัทไม่ได้มุ่งหวัง เพื่อทำกำไรเป็นหลัก แต่เป้าหมายสำคัญต้องการให้ประชาชนยึดเป็นอาชีพได้ ซึ่งขณะนี้ทางภาครัฐการก็ได้เห็นความสำคัญ และเข้ามาสนับสนุนธุรกิจขายตรงแล้ว ซึ่งถือเป็นเรื่องที่ดี แต่หน่วยงานของภาครัฐยังมีกำลังคนน้อยเกินไป ทำให้ไม่เพียงพอต่อการควบคุมบริษัทขายตรงที่มีกว่า 800 บริษัท มีมูลค่าตลาดรวมไม่ต่ำกว่าแสนล้าน บาท และนับวันจะเติบโตขึ้นเรื่อยๆ เป็น สาเหตุที่ "นีโอ ไลฟ์" รอไม่ได้ จึงพยายามคิดทำโครงการต่างๆ มากมาย จะเห็นได้จาก การสร้างศูนย์ประชุมครอบคลุมทั่วทั้ง 77 จังหวัด เพื่อใช้จำหน่ายสินค้า ฝึกเทรนนิ่ง โดยที่ทาง "นีโอ ไลฟ์" ลงทุนให้ เพื่อให้ประชาชนได้เข้าอบรมฟรี ไม่เสียค่าใช้จ่าย เพื่อจะได้เข้าใจธุรกิจขายตรงมากขึ้น





Credit By :http://www.siamturakij.com

บ.แม่ "แคทส์" สั่งสาขาไทยลุยอาเซียนปักธง ปท.ชายแดนนำร่องยึดโมเดลเดิม







picture-2965-1371039165 (Mobile)


"แคทส์ดอทคอม" จัดฉลองลุยไทยครบ 4 ปี พร้อมประกาศบริษัทแม่ที่ญี่ปุ่น แต่งตั้งสาขา ไทยเป็นแกนกลางขยายสาขาอาเซียน รับมือ AEC นำร่องเปิดแล้ว 4 ประเทศ ได้แก่ กัมพูชา, เวียด-นาม, ลาว และมาเลเซีย วางพม่าเป็นประเทศต่อไป ชี้การขยายสาขาเป็นไปในรูปแบบตั้งบริษัท ใช้ไทย เป็นโมเดลต้นแบบ แต่ยอมรับการเปิดตลาดต่างประเทศไม่ง่าย กำแพงภาษีเป็นปัญหาหลัก ด้านประธานบริษัทชาวญี่ปุ่น บอกพอใจงานบริหารสาขาไทย 70%


มร.โทชิมาซะ ชิ ชิ โด ประธาน บริษัท แคทส์ดอทคอม (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทขายตรงจากประเทศญี่ปุ่น เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลา 4 ปีที่ผ่านมา มีเหตุการณ์มากมายเกิดขึ้น ทั้งเรื่องน้ำท่วมที่ประเทศไทย โรงไฟฟ้าระเบิดที่ญี่ปุ่น แต่เราก็ดำเนินธุรกิจมาได้อย่างต่อเนื่อง


"สำหรับตนค่อนข้างจะมีความผูกพันกับประเทศไทย มานานตั้งแต่ปี ค.ศ.1971 หรือร่วม 42 ปีมาแล้ว บางท่านอาจจะยังไม่เกิด ผมเข้าเมืองไทยครั้งแรกโดยเริ่มงานในฝ่ายวิจัยและ พัฒนาของ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด ซึ่ง ตนเป็นผู้ออกแบบเครื่องยนต์รถฮอนด้า ซีวิค รุ่นแรก" ประธานแคทส์ฯ เล่าความหลัง


โดยที่ผ่านมา บริษัท แคทส์ดอทคอม ได้เริ่มมีการขยายธุรกิจไปยังประเทศใกล้-เคียง เช่น กัมพูชา, เวียดนาม, ลาว และมาเลเซีย อย่างไรก็ดี นี่ยังถือเป็นก้าวแรกของบริษัทในการทำธุรกิจ ซึ่งเรายังมีโอกาส อีกมากในการเติบโต โดยประเทศไทยจะเป็น ศูนย์กลางของธุรกิจแคทส์ดอทคอมในแถบ อาเซียน


"จากความร่วมมือของทั้งผู้บริหาร รวมถึงสมาชิกของบริษัททุกคน ทำให้บริษัทได้จัดงานฉลอง 4 ปีของบริษัทในไทย ขึ้น เพื่อเป็นการตอบแทนนักธุรกิจ โดยการ จัดงานครั้งนี้ มีผู้ร่วมงานเกือบ 1 พันคน อีกทั้งยังมีสมาชิกจากต่างประเทศเข้าร่วมอีกด้วย อาทิ ญี่ปุ่น, ลาว และมาเลเซีย"


อย่างไรก็ตาม ดังที่กล่าวมา แคทส์-ดอทคอม บริษัทแม่มีความต้องการที่จะให้สาขาในประเทศไทยเป็นศูนย์กลางในการขยายตลาดในแถบประเทศอาเซียน จากเหตุผลด้วยเรื่องความสะดวกของไทย ที่มีอาณาเขตติดต่อเพื่อนบ้านหลายประเทศในแถบอาเซียน ทั้งยังมีทำเลอยู่ตรงกลางของภูมิภาค ซึ่งดูจะพร้อมกว่าที่สาขาแม่ใน ญี่ปุ่นจะเข้ามาสร้างการขยายตลาดเอง อีกทั้งประธานชาวญี่ปุ่นยังกล่าวอีกว่า พอใจการบริหารของสาขาในประเทศไทย 70 เปอร์เซ็นต์


"ในส่วนของเรื่องโรงงานผลิตสินค้า บริษัทแม่คงต้องดูที่ความพร้อม อีกทั้งยังต้องใช้เวลาสำรวจความต้องการของตลาด ออกไปอีก หากต้องมีการเปิดโรงงานสินค้า ที่ประเทศไทย ซึ่งในช่วงแรกของการขยาย ตลาดอาเซียน คงต้องเป็นการสั่งสินค้าจาก ประเทศญี่ปุ่นไปก่อน" ประธานใหญ่ กล่าว


ด้านนายเกียรติพงษ์ ตั้งงามจิตต์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท แคทส์ดอทคอม (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ในส่วนของประธานบริษัท แคทส์ดอทคอมฯ ออกจากฮอนด้า ก็ได้มีการมาค้นคว้าสินค้าชื่อ "มะโฮ" ซึ่งเป็นสินค้าหัวหอกของบริษัทในเวลาต่อมา จนทุกวันนี้ก็ยังคงเป็นสินค้าขายดีของบริษัทเช่นเดิม


อย่างไรก็ดี ในช่วง 5 เดือนที่ผ่านมา ของปีนี้ บริษัทมียอดขายเพิ่มขึ้นไม่มากนัก โดยที่บริษัทต้องการที่จะขยายออกไปสู่ตลาดต่างประเทศเพิ่มขึ้น เรื่องยอดขายในประเทศจึงเพิ่มไม่มากดังที่กล่าว


"สาขาของบริษัทในประเทศไทย มีความพร้อมในการลุยตลาดอาเซียนเป็นอย่างมาก ซึ่งที่ผ่านมาก็เริ่มขยายไปแล้วที่ เวียดนาม, ลาว และมาเลเซีย โดยในอนาคต บริษัทต้องการที่จะขยายสาขาไปในประเทศพม่าต่อไป"


"ในเรื่องของการขยายสาขา บริษัทจะขยายไปในรูปแบบการตั้งบริษัทให้มีความคล้ายคลึงสาขาประเทศไทยมากที่สุด โดยเฉพาะในเรื่องของแผนการจ่าย ซึ่งตอนนี้ติดในเรื่องของภาษีในแต่ละประเทศ ที่ทำให้การขยายตลาดติดขัดในการทำเรื่อง แผนงาน แผนจ่ายอยู่บ้าง" เกียรติพงษ์ กล่าว


ในงานฉลองครบรอบ 4 ปีของบริษัท ประเทศไทย ได้มีแคมเปญแจกรถยนต์ และ มอเตอร์ไซค์ โดยมีผู้มาร่วมงานเกือบพันคน อีกทั้งยังมีการมอบรางวัลเกียรติยศให้กับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จของบริษัทอีกด้วย


ทั้งนี้ ในปี 2556 แคทส์ฯ ได้ทำการขยาย ตลาดไปสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) โดยได้รับการสนับสนุนจากบริษัทแม่ ซึ่งเป็นผู้ผลิตมะโฮ ในการขยายกำลังการผลิต และวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งคาดว่าจะมีเพิ่มอีก 10 รายการ จากที่ในปี 2555 ได้เพิ่มมาแล้ว 7 รายการรวมถึงผลิตภัณฑ์ดูแลผิวระดับจากยีสต์ดำ


ในส่วนของระบบการทำงานของสมาชิก แคทส์ฯ ได้มีการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาใช้ ทั้งรูปแบบการทำงานแบบ Offline, Online และ Airline ซึ่งจะช่วยให้สมาชิกสามารถที่จะสร้างเครือข่ายได้ทุกที่ ทุกเวลา โดยการพัฒนา Application บนมือถือซึ่งใช้งานง่าย สะดวก รวดเร็วและประหยัดค่าใช้จ่าย รองรับการเดินทางสู่ ต่างประเทศ




Credit By :http://www.siamturakij.com

ข่าวขายตรง (MLM) : ทำไงดี แม่ทีมหนีค่าย







leader2 (Mobile)


ปัญหาของธุรกิจขายตรงที่เกิด ถูกโยนไปที่เรื่องของกฎหมาย จริงอยู่ที่ความผิดต่างๆ อาจเป็นเพราะคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง ซึ่งใช้ลู่ทางช่องว่างของกฎหมายลวงหลอกผู้บริโภค ซึ่งหากทำตามกฎหมายทุกบริษัท สิ่งไม่ดีที่กระทบต่อ ชื่อเสียงวงการคงไม่เกิดขึ้น แต่อย่างที่กล่าว กฎหมายขายตรงยังมีช่องให้เหล่าบรรดา 18 มงกุฎได้หากินอย่างผิดๆ เป็น รูใหญ่ ซึ่งสิ่งนี้จึงไม่แปลกที่คนขายตรงปัจจุบันถึงต้องการเห็น กฎหมายขายตรงฉบับใหม่ที่ดีกว่า ไม่ต่างจากนายใหญ่ "ดาวปูแดง"


นายเชน ใจซื่อ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นิวตริริช จำกัด เปิดเผยในประเด็นกฎหมายว่า ตอนนี้ต้องแก้ไขกฎหมายขายตรงกันได้แล้ว เนื่องจากตอนนี้อย่างที่ทราบๆ กัน ดีว่า มีข่าวแชร์ลูกโซ่ออกมาเยอะมาก ทำให้ภาพลักษณ์ธุรกิจขายตรงเสียหาย สมาชิกทุกบริษัทก็เริ่มเกิดความกลัวว่าจะถูกหลอกหรือเปล่า แต่ยังดีที่มีหน่วยงานอย่าง สคบ. เข้ามากำกับดูแล ถึงแม้จะไม่ทั่วถึง แต่ก็ยังดีกว่าไม่มีภาครัฐมาสนใจเลย


"ผมถือเป็นหนึ่งคนที่อยากให้มีการแก้ไขกฎหมายขายตรง ให้เร็วที่สุด เพราะธุรกิจขายตรงของผมก็กระทบพอสมควร โดนกลุ่มมิจฉาชีพปลอมแปลงใช้ชื่อบริษัทไปแอบอ้างหลอกลวงผู้บริโภค ทำให้บริษัทเสียหาย ทำให้ภาพลักษณ์องค์กรดูไม่น่าศรัทธา สินค้า เริ่มขายไม่ค่อยได้ แบบนี้ผมรับไม่ได้ และไหนจะเรื่องที่แม่ทีมชอบย้ายค่ายบ่อยๆ อีก ตรงนี้ผมอยากให้มีกฎหมายมากำกับสักที เพราะทำให้บริษัทเสียหายโดยตลอด ย้ายทีหนึ่งก็พาลูกทีมตามไปหมด"


"ปัจจุบันปัญหาแม่ทีมย้ายค่ายมีเยอะมาก ไม่รู้ว่าเกิดขึ้นเพราะบริษัทมีการจ่ายเงินไม่ชัดเจน หรือทำอะไรผิด ผมคิดว่า แม่ทีมน่าจะเข้าไปคุยกับบริษัทก่อน อยู่ๆ ก็ย้ายไปดื้อๆ หรือว่า บริษัทใหม่ให้เงินเยอะกว่า แต่ก็คงจะเป็นเรื่องผลประโยชน์อีกนั่นแหละ หากมีกฎข้อบังคับเล่นงานแม่ทีมที่ย้ายค่ายบ่อยๆ บ้าง ก็คงจะดี ไม่เช่นนั้นบริษัทที่ประกอบธุรกิจก็จะเสียหาย ขาดทุน และ ต้องปวดหัวกับการสร้างแม่ทีมใหม่อยู่ตลอด"


ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นิวตริริช จำกัด ได้เปิดเผย ต่อว่า การที่มีกลุ่มคนที่ไม่หวังดีมาแอบอ้างใช้ชื่อบริษัท หรือทำ การเปิดบริษัทขายตรงแบบผิดๆ หลอกให้สมาชิกเอาเงินมาลงทุน พอได้เยอะๆ ก็ปิดบริษัทหายหน้าหนีไป โดยทุกวันนี้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถจับได้มีหลายรายมาก ส่วนผู้เสียหายก็ไม่รู้จะไปร้องเรียนกับใคร เอาเงินคืนมาก็ไม่ได้ แบบนี้น่าเห็นใจมาก


"บางคนที่เสียหายถึงกับ หมดตัว หวังว่าจะได้เงินคืนมา ถึงเวลาบริษัทก็ไม่จ่าย หนีหาย ไปอีก บางคนลาออกจากงานมาลุยกับธุรกิจขายตรงเต็มที่ แต่แล้ว พอมาเจอความโชคร้ายแบบนี้ ถึงกับเกลียดธุรกิจนี้เข้าไส้ไปเลย และก็ต้องไปบอกต่อคนในครอบครัว หรือคนที่รู้จักไม่ให้มายุ่งกับธุรกิจนี้ ทำให้ทุกวันนี้การทำขายตรงหากไม่ศึกษาข้อมูลให้ดี หรือหลงเชื่อง่าย เพียงแค่เพราะความโลภก็อาจจะตกเป็นเหยื่อของกลุ่มคนหวังรวยทางลัดแบบนี้แน่นอน ทางเดียวคือการตรวจสอบข้อมูลบริษัทให้แน่ใจเท่านั้น เพราะกฎหมายก็ยังไม่แน่ว่าจะช่วยอะไรได้"





Credit By :http://www.siamturakij.com

"โพรแลค" หนุนห้องแล็บ "ม.ขอนแก่น" วิจัยพลูคาว







img_556f8a5cc895a7cd3b42ac01d8269bf8 (Mobile)


ศ.เกียรติคุณ ดร.อัศวิน วัฒนปราโมทย์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โพรแลค (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท โดกุดามิ-เอชีย จำกัด เปิดเผยว่า จากที่ก่อนหน้านี้บริษัท โพรแลค (ประเทศไทย) ได้ร่วมกับมหาวิทยาลัยขอนแก่น คณะวิทยาศาสตร์ ได้ทำข้อตกลงบันทึกความเข้าใจ (MOU) ในการค้นคว้าและวิจัยเกี่ยวกับสมุนไพรไทย โดยล่าสุด คณะทีมวิจัยดังกล่าวได้รายงานผลการวิจัย โดยระบุว่าผลงานวิจัยจากน้ำพูลคาวเป็นถึงขั้นวัคซีนช่วยรักษาโรคร้ายแรงต่างๆ ได้


โดยล่าสุด ทาง "โพรแลค" ได้ทำการมอบทุนในการสร้างห้องแล็บ เพื่อค้นคว้าพัฒนาสมุนไพรไทย แก่ทางมหาวิทยาลัยขอนแก่นเพิ่มเติม โดยได้มีพิธีการเปิดห้องแล็บดังกล่าวอย่างเป็นทางการไปแล้วเมื่อวันที่ 7 มิ.ย.ที่ผ่านมา


"งานต่างๆ ที่จะออกจากห้องแล็บนี้ บริษัทและทางมหาวิทยาลัยจะดูว่าจะมีอะไรที่เป็นประโยชน์ต่อสาธารณะ ซึ่งถือเป็น การต่อยอดสินค้าของบริษัท โดยสิ่งที่ออกมาจากห้องแล็บจะผสมอยู่ที่สินค้าที่สามารถ ออกฤทธิ์ได้จริง โดยไม่ต้องการให้งานวิจัยขึ้นหิ้งโดยตลอด แต่ต้องการที่จะนำประโยชน์ ของงานวิจัยต่างๆ ออกมาเพื่อประโยชน์ต่อ สาธารณชน" ศ.เกียรติคุณ ดร.อัศวิน กล่าว


ในส่วนของงบในเรื่องของทุนสร้างห้องแล็บครั้งนี้ อยู่ที่ 2.5 แสนบาท โดยที่ "ศ.เกียรติคุณ ดร.อัศวิน" ยังได้กล่าวอีกว่า "จากความร่วมมือระหว่างบริษัทกับทาง ม.ขอนแก่น ที่มีมาร่วม 10 ปี วันนี้ ถึงแม้บริษัทจะเป็นบริษัทที่ไม่ได้ใหญ่โตอะไร แต่ก็ต้องการพัฒนาสินค้าเพื่อประโยชน์ของมวลมนุษย์ชาติ โดยสินค้าที่สกัดจากพลูคาว ของบริษัท มีงานวิจัยสนับสนุน และมีการรับรองทางวิทยาศาสตร์"


นอกจากนี้ ทางบริษัทยังได้สนับสนุน เรื่องทุนการศึกษาแก่นักศึกษาที่มีผลการเรียนดี โดยเป็นปริญญาโทและปริญญาเอก รวม 4 ทุน





Credit By :http://www.siamturakij.com


ผู้ชนะที่แท้จริง ต้องไม่ย่อท้อ ภัสสร พ่วงพูล ตำเเหน่ง "President" บริษัท ปูแดง 168 (ไทยแลนด์) จำกัด







Capture (Mobile)

 


"เราทุกคนเกิดมาเพื่อเป็นผู้ชนะ และผู้ชนะที่แท้จริงต้องไม่ย่อท้อ และรู้จัก อดทนรอวันที่ชัยชนะจะมาถึง" วลีเด็ดสัปดาห์นี้ "KEY TO SUCCESS" หวังว่าจะเป็นกำลังใจให้กับผู้ที่อยากจะก้าวไปสู่ความสำเร็จ และ "กุญแจสู่ความสำเร็จ" ครั้งนี้... ถึงคิวของ "ภัสสร พ่วงพูล" อายุ 46 ปี นักธุรกิจระดับ "President" ของบริษัท ปูแดง 168 (ไทยแลนด์) จำกัด หลังจากเข้ามาพิสูจน์ธุรกิจเครือข่ายเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น ก่อนตัดสินใจลาออกจากงานประจำ มาลุยอาชีพที่ไม่คิดจะทำ จนทำให้เธอได้มีชีวิตที่เปลี่ยนแปลงไป + ทำธุรกิจนี้มากี่ปี และอยู่ตำแหน่งอะไร "เข้ามาทำธุรกิจกับปูแดงเป็นเวลา กว่า 8 ปีแล้ว ตอนนี้ขึ้นสู่ตำแหน่ง President สูงสุดขององค์กร รายได้ 5-8 แสนบาทต่อเดือน ไม่อยากเชื่อว่าจะมีรายได้มากขนาดนี้" + ทำอาชีพอะไรมาก่อนหน้านี้ "ในอดีตทำงานเกี่ยวกับการรับราชการ ที่กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ทำ ร่วม 10 กว่าปี คืองานราชการมั่นคงอยู่แล้ว ทุกวันนี้ยังงงตัวเองว่าทำไมถึงออกมาทำธุรกิจขายตรง" + จุดเปลี่ยนอะไรที่ทำให้เข้ามา MLM "จริงๆ แล้วไม่ชอบธุรกิจเครือข่าย มีคนมาชวนเยอะมาก และได้ปฏิเสธธุรกิจนี้มากว่า 10 ปี เพราะมองว่า หลอกลวง เพ้อเจ้อ แต่ที่เข้ามาทำเป็นเพราะอยากลอง ดูว่าทำแล้วได้จริงรึเปล่า" + ช่วงแรกๆ ที่ทำเป็นอย่างไร "เราเป็นคนที่ทำอะไรทำจริง เดือนแรกเอาสินค้าไปทดลองใช้และลองทำตามแผนดู ก็มีรายได้มา 3,000 บาท เดือนที่สอง 40,000 บาท และเดือนที่ 3 ได้มา 120,000 บาท ถือว่างงมาก ทำให้ตัดสินใจออกจาก งานราชการและมาลุยเต็มตัว" + เจอปัญหาอะไร ที่ทำให้ท้อบ้างมัย "คงเป็นวิกฤติของบริษัทเมื่อ 4-5 ปีก่อน ที่เจอปัญหาแชร์ลูกโซ่เข้ามา ทำให้ภาพลักษณ์บริษัทเสียทันที แต่เราไม่คิดจะทิ้งบริษัท เพราะที่ บ.ปูแดง ทำให้เรามี ทุกอย่าง เราจึงได้พยายามสวดมนต์ทุกวัน ตั้งใจทำงานจนปัญหาค่อยๆ จางลง และก็กลับมายืนหยัดในธุรกิจนี้ต่อได้" +l ธุรกิจ MLM ทำชีวิตเปลี่ยนไปแค่ไหน "เปลี่ยนมากเลยค่ะ จากที่ไม่ชอบ กลายเป็นรักอาชีพนี้มากเลย เพราะเรามีรายได้สูง ทำแค่คนเดียวชีวิตสบายทั้งครอบครัว ตอนนี้เพิ่งสร้างบ้านใหม่ราคา 30 ล้านบาท และเปิดสาขาขึ้นมาเอง ลงทุนประมาณ 4.5 ล้านบาท ที่ อ.สองพี่น้อง จ.สุพรรณบุรี ชีวิตเวลานี้มีความสุขมากค่ะ เพราะยังได้ช่วยเหลือลูกทีมให้มีรายได้ด้วย" + ตั้งเป้าหมายอย่างไร "อยากสร้างผู้นำให้ได้ 100 คน ที่มีรายได้หลักแสนขึ้นไป และช่วย บ.ปูแดง ให้กลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง" + อยากฝากอะไรถึงสมาชิกเครือข่ายบ้าง "ถ้าอยากสำเร็จ เราต้องรู้จักสินค้าบริษัทก่อน คือ รู้ให้จริง ข้อมูลต้องแน่น ต้อง มั่นใจในบริษัทและสินค้า อีกทั้งต้องรู้จักเป็น ผู้ให้ก่อน จึงจะเป็นผู้รับ ที่สำคัญควรเชื่อฟัง ผู้นำให้มากๆ อย่าทำตัวเป็นน้ำเต็มแก้ว" และนี่ก็เป็นเรื่องราวดีๆ ของ ภัสสร พ่วงพูล อีกหนึ่งนักขายตรงมือทองจาก บริษัท ปูแดง 168 (ไทยแลนด์) จำกัด ที่มา เปิดใจถึงเคล็ดลับความสำเร็จในธุรกิจ MLM เอาเป็นว่า....หากคุณอยากเปลี่ยนชีวิต ไม่แน่อาชีพเครือข่ายอาจช่วยคุณได้





Credit By :http://www.siamturakij.com

วันศุกร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ข่าวซินเนอร์จี้ (Synergy WorldWide) : ล้มกี่ครั้งก็ลุกไหว...เพราะอุปสรรค คือ โอกาส กัมพล ปรีชาสิริโชค Team Director ซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์







Capture-Mobile27 (Mobile)


บนเส้นทางชีวิตย่อมมีอุปสรรคขวากหนามขวางอยู่เสมอ ขึ้นอยู่กับว่าเราจะใช้วิธีไหนผ่านมันไป ซึ่งสำหรับ กัมพล ปรีชาสิริโชค ชีวิตลุกขึ้นใหม่ได้เสมอและไม่เคยมองอุปสรรคให้เป็นปัญหา แต่มองเป็น โอกาสที่ทำให้กล้าที่จะเผชิญ !!!


กัมพล ปรีชาสิริโชค จากอดีตผู้อำนวยการ ฝ่ายขายบริษัทประกันภัยแห่งหนึ่งที่เชื่อมั่นในการทำงานตนเอง จนได้รับคำชักวนจากรุ่นพี่ผู้มีประสบการณ์ในธุรกิจขายตรง เขาก็เริ่มก้าวเข้ามาในเส้นทางขายตรงแม้ว่าหลายครั้งที่ล้มเหลวแต่ไม่เคยย่อท้อ ความพยายามที่จะลุกขึ้นสู่ จนกระทั่งได้ผลลัพธ์แล้วว่า บริษัท ซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด ทำให้ชีวิตของเขาเปลี่ยนไปและวันนี้ชี้ให้เห็นแล้วว่า ธุรกิจเครือข่ายสามารถตอบโจทย์ชีวิตให้กับเขาได้


กัมพล ได้เล่าย้อนกลับไปยังจุดเริ่มต้นให้ฟังว่า การเข้ามาทำธุรกิจขายตรงนี้เริ่มแรกที่ทำก็ไม่ประสบความสำเร็จเท่าไร และมีความคิดที่จะหวนกลับไปทำงานประจำเหมือนเดิม เพราะคิดว่างานนี้อาจจะไม่เหมาะกับเราหนักสุดเกิดกระแสนินทาจากคนรอบข้างมากมาย แต่ทุกอย่างก็เสมือนเป็นแรงผลักดันให้เขาได้ลุกขึ้นสู่ชีวิตอีกครั้งได้กลับไปคิดทบทวนตัวเองและเริ่มลุยกับงานอีกครั้ง คราวนี้ดีขึ้นถึงขั้นที่เรียกได้ว่าพอใจกับผลงานตนเองขณะนั้น ทำให้มีความคิดอยากทำบริษัทของตนเอง จึงร่วมมือกับเพื่อนเปิดบริษัท ช่วงที่ทำธุรกิจเองแรกๆ ก็ได้ผลตอบกลับที่ดี แต่พอเมื่อเวลาผ่านไปปัญหาเริ่มเข้ามามากมายสุดท้ายทำให้ธุรกิจปิดตัวลงแล้ว กลับมาเริ่มใหม่กับธุรกิจขายตรงอีกครั้ง


ในช่วง 2 ปี แรก เหมือนเรายังยึดติดกับงานเดิมอยู่เป็นเหตุให้ไม่ได้เรียนรู้งานอย่างแท้จริง ผลก็คือล้มเหลว แต่เมื่อมองย้อนกลับไปจุดนั้นทำให้ได้คิดและมองเห็นว่าในทุกธุรกิจนั้นมันมีได้ทั้งคนที่ประสบความสำเร็จและคนที่ล้มเหลว เพราะการเรียนรู้ที่ยังไม่มากพอจึงเริ่มศึกษาจริงๆ และกลับเข้ามาทำธุรกิจนี้ใหม่อย่างเต็มที่ และเห็นผลลัพธ์เพียงแค่เวลา 9 เดือน มีรายได้ 500,000 บาท เป็นจุดเปลี่ยนให้คิดเปิดบริษัทเป็นของตัวเอง แต่การบริหารธุรกิจถ้าไม่มีความพร้อมย่อมก่อให้เกิดปัญหา สุดท้ายก็จบที่ความล้มเหลว จึงได้กลับไปหารุ่นพี่ที่เคยทำด้วยอีกครั้ง แล้วก็ได้เริ่มใหม่กับธุรกิจขายตรง


ชีวิตที่ต้องเริ่มต้นใหม่ครั้งนี้ กัมพล ได้เลือกธุรกิจขายตรงซินเนอร์จี้ เป็นที่พักพิงแต่ในครั้งแรกที่เข้ามาได้เจอกับอุปสรรครอบด้านมากมายรวมไปถึงวิกฤตชีวิตครอบครัวคุณพ่อมาล้มป่วยกระทันหัน ทำให้ต้องหยุดทำงานกระทั่งเมื่อปัญหาอุปสรรคเริ่มผ่อนคลาย ก็ได้ตั้งลำชีวิตใหม่เริ่มต้นจากศูนย์ และเข้ามา เป็นครั้งที่สอง ซึ่งในครานี้เข้ามาศึกษาละเรียนรู้ทุกอย่างของซินเนอร์จี้อย่างแน่วแน่เพื่อไขทุกปัญหาที่เคยมีเกี่ยวกับขายตรงเมื่อได้ลองสัมผัสกับโอกาสครั้งนี้ย่างเต็มตัว กัมพล จึงตัดสินใจผันตัวเองเข้ามาสู่ธุรกิจบายตรงซินเนอร์จี้ ด้วยเหตุผลหลัก คือ 1.ความมั่นคงทางธุรกิจที่นำพาไปสู่ความมั่นใจในการเข้ามาทำงาน 2. ผลิตภัณฑ์เป็นสินค้าตอบโจทย์ให้กับผู้บริโภคที่มีปัญหาสุขภาพได้จริง และ 3. ผู้บริหารทุกท่านพร้อมที่จะให้คำแนะนำ ใส่ใจ สร้างความสามัคคี และการให้เกียรติกับทุกๆ คน สิ่งเหล่านี้เปรียบเสมือนพลังใจที่ตอกย้ำความมั่นใจที่จะมุ่งมั่นทำธุรกิจอย่างมีเป้าหมาย และจากจุดแข็งทางธุรกิจที่กล่าวมานี้ ทำให้กัมพลมีรายได้และตำแหน่งงาน ที่ก้าวเติบโตแบบกระโดอย่างรวดเร็ว


ผมเริ่มเข้ามาอย่างเต็มตัวในเดือนมกราคมปี 2555 มีรายได้อยู่ที่หลักพัน ผมพยายามและเร่งพัฒนาตัวเองให้ทัดเทียมผู้อื่น ในเดือนมีนาคมผมได้ตำรงตำแหน่งทีเมเนเจอร์ ด้วยรายได้หลักแสน มันเป็นการก้าวกระโดดที่น่าภาคภูมิใจ เพราะโอกาสที่ผมคว้าไว้มันคือความสำเร็จแล้ว


ปัจจุบัน กัมพล ปรีชาสิริโชค ดำรงตำแหน่ง ทีมไดเร็กเตอร์ (Team Direction) และจะประกาศความสำเร็จด้วยการขึ้นรับรางวัลเข็มเกียรติยศในงาน Regional Summit ที่ประเทศเกาหลี ส่วนเป้าหมายต่อไปในการทำงานเขาตั้งใจว่าอีก 2 ปีข้างหน้า อยากจะทำให้ได้ถึงเป้าหมายตำแหน่งที่ใหญ่กว่า คือ ตำแหน่ง Presidential พร้อมแนะนำผู้ที่สนใจเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงทุกคนให้ตั้งอยู่บนความถูกต้องและหมั่นศึกษาให้เข้าใจถึงขั้นตอนของธุรกิจก่อนลงมือทำ


วันนี้จึงอยากให้คนที่ทำธุรกิจกับเราได้เข้าใจแนวทางในการทำธุรกิจ เพราะถ้าคนไม่เข้าใจยังไงก็ขาดทุน ธุรกิจที่ดีควรเริ่มจากการวางรากฐานที่ดี และผมอยากให้คนศึกษามากกว่าฟัง เพราะมันไม่ใช่แค่เงินที่เราจะมอบให้ แต่มันคือความหวังที่พวกคุณรอคอย ฉะนั้นสำหรับผมการเข้ามาของคนจะต้องได้รับความถูกต้องก่อนไม่ใช่การพูดลอยๆ สำหรับที่ซินเนอร์จี้ มีความพร้อมในทุกๆด้าน และเป็นหนึ่งในบริษัทที่รู้จริง ถ้าคุณได้รู้จักและคุณจะเลือก ซินเนอร์จี้ Synergy


ความสำเร็จของกัมพล ได้มาจากความเชื่อในทัศนคติที่ว่า ความสำเร็จมีค่าและมีราคา ขึ้นอยู่ที่เราจะจ่ายค่าความสำเร็จเท่าไหร่ เพราะถ้าคุณจ่ายด้วยเศษเวลาคุณก็จะได้เศษมันไป แต่ถ้าคุณแลกด้วยชีวิตคุณก็จะได้ทั้งชีวิต





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.Leader Time ฉบับที่ 225 ประจำวันที่ 16-30 มิถุนายน 2556

ข่าวไอยรา แพลนเน็ต (Aiyara Planet) : ขายตรงดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งปี 'ไอยรา แพลนเน็ต' คว้าระฆังทอง







945903_410906792357556_382382317_n (Mobile)


นับเป็นความภาคภูมิใจ และประสบความสำเร็จเหนือความคาดหมาย สำหรับบริษัทขายตรงดาวรุ่งพุ่งแรงแห่งปี บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด เมื่อสมัชชานักจัดรายการข่าววิทยุโทรทัศน์หนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย (สว.นท.) ได้ทำการมอบรางวัลระฆังทองให้แก่ "ดร.กัมปนาท บุญราศรี" ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด เป็นบุคคลแห่งปี สาขานักพัฒนาองค์กรดีเด่น ประเภทนักธุรกิจและบุคคล ประจำปี 2556 (11 มิถุนายน 2556 ณ ศูนย์ประชุมสถาบันวิจัยจุฬาภรณ์) โดยมีสมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ คณะผู้ปฎิบัติหน้าที่สมเด็จพระสังฆราชองค์ประธานเสด็จมาประทานเกียรติบัตรแก่ผู้เข้ารับรางวัล และฯพณฯ อำพล เสนาณรงค์ องคมนตรี เป็นประธานในพิธีมอบรางวัลระฆังทอง


ดร.กัมปนาท กล่าวถึงการได้รับรางวัลระฆังทองว่า ถือเป็นการได้รับเกียรติอย่างสูงสุด และเป็นความภาคภูมิใจของบรรดาสมาชิก "ไอยรา แพลนเน็ต" ทั้งหมด ที่ร่วมกันฝ่าฟันปัญหาและอุปสรรค จนทำให้มีวันนี้ขึ้นมาได้ โดยตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมา "ไอยรา แพลนเน็ต" พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า "ไอยรา แพลนเน็ต" เป็นธุรกิจขายตรงที่มีพัฒนาการที่โดดเด่น สามารถปลุกกระแสสุขภาพด้วย "เซซามิน สารสกัดจากงาดำ" จากธรรมชาติจากงานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของหน่วยวิจัยที่มีความเป็นเลิศด้านวิศวกรรมเนื้อเยื่อและเซลล์ต้นกำเนิด คณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ซึ่งเป็นผลงานวิจัยของไทยที่ได้รับการจดสิทธิบัตรทั่วโลก โดย "ไอยรา แพลนเน็ต" ได้ร่วมพัฒนาและผลักดันผลิตภัณฑ์จากงานวิจัยของนักวิทยาศาสตร์ไทยสู่ตลาดได้อย่างประสบผลสำเร็จ


"ไอยรา แพลนเน็ต" สามารถสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักและสร้างความเชื่อมั่นในอุตสาหกรรมขายตรง จัดเป็นองค์กรชั้นนำรุ่นใหม่ที่ได้รับการยอมรับ ในระยะเวลาอันสั้น โดยในปี 2555 "ไอยรา แพลนเน็ต" ได้รับรางวัล "ธุรกิจเครือข่ายขายตรงดาวรุ่ง" ประจำปี 2555 จากนายกรัฐมนตรี ซึ่งจัดโดยสมาคมช่างภาพและสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย


นอกจากนี้ "ไอยรา แพลนเน็ต" ยังสามารถพัฒนานักธุรกิจอิสระให้มีมาตรฐานภายใต้จรรยาบรรณธุรกิจขายตรง ด้วยการพัฒนาสถาบันพัฒนานักธุรกิจไอยรา โดยมีการอบรมพัฒนานักธุรกิจอย่างต่อเนื่อง จนสามารถผลักดันให้นักธุรกิจจำนวนมากประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว


อีกทั้งยังได้พัฒนาระบบคอมพิวเตอร์อัจฉริยะ AiSmart ที่เป็นระบบปฏิบัติการออนไลน์แบบเรียวไทม์ที่ทันสมัยด้วยทีมงานของ "ไอยรา แพลนเน็ต" เอง เชื่อมโยงการชำระเงินที่เคาเตอร์เซอร์วิส 7-11 เพิ่มความสะดวกสบายและเพิ่มความเชื่อมั่นให้กับนักธุรกิจและผู้บริโภค ดังนั้น "ไอยรา แพลนเน็ต" จึงนับได้ว่าเป็นองค์กรที่มีวิสัยทัศน์ และมีพัฒนาการที่โดดเด่นยิ่งในอุตสาหกรรมขายตรงไทย ณ เวลานี้




Credit By :http://www.ryt9.com

'TDSA' วางเป้าอีก2ปี เกิดสมาพันธ์ขายตรงอาเซียน







L_kr (Mobile)


นายก TDSA เผยแผนอีก 2 ปีคลอด สมาพันธ์ขายตรงอาเซียน เชื่อมั่นศักยภาพสมาคมขับเคลื่อนความร่วมมือชาติอาเซียน 5 ประเทศนำร่องดันไทยเป็นศูนย์กลาง ยืนยันไม่ปิดกั้นขายตรงเข้าร่วมเป็นสมาชิก หากแต่ต้องผ่านกฎเหล็กคัดกรอง


นายกิจธวิช ฤทธีราวี นายกสมาคมการขายตรงไทย เปิดเผยว่า ขณะนี้สมาคมกำลังผลักดันเรื่อง การก่อตั้งสมาพันธ์ขายตรงอาเซียนให้สำเร็จให้ได้ ในอีก 2 ปีข้างหน้า เพื่อเป็นประโยชน์สูงสุดกับธุรกิจขายตรง ทั้งนี้หากต้องได้รับการร่วมมือจากทุกๆประเทศ และต้องได้รับการสนับสนุนจากสมาพันธ์ขายตรงโลก โดยสมาคมขายตรงไทยถือว่าเป็นองค์กรที่มีศักยภาพที่สุดในประเทศไทยที่จะสามารถดำเนินการเรื่องนี้ หากแล้วเสร็จจะเป็นประโยชน์สูงสุด ทำให้อุตสาหกรรรมขายตรง ที่ไม่เพียงเติบโตเฉพาะประเทศไทย แต่ทั้งธุรกิจจะเติบโตไปพร้อมๆกัน ดังนั้นจะเป็นแรงเหวี่ยงให้เกิดภาคีความร่วมมือทุกอย่างจะสอดคล้องและทุกอย่างจะขับเคลื่อนไป


"ขณะนี้ที่สมาคมเริ่มมีการร่างนโยบายร่วมกัน เรื่องวัตถุประสงค์ ส่วนทิศทางดำเนินการเสร็จแล้ว และกำลังอยู่ในขั้นตอนสร้างนโยบาย ตอนนี้เริ่มทำแล้วคือ เรื่องแลกเปลี่ยนข้อมูลกันแล้ว อย่างมีกิจกรรมอะไรที่เอื้อประโยชน์ให้สมาชิก อย่างที่สมาคม TDSA เราได้รางวัลจรรยาบรรณดีเด่นไปรับที่ตุรกี เขาก็สนใจว่าทำอย่างไรถึงได้ เราก็เอาข้อมูลตรงนี้แชร์ให้เขา ส่วนที่มาเลเซียเขาก็มีกิจกรรมที่น่าสนใจ เขาสามารถสร้างความร่วมไม้ร่วมมืออย่างเหนียวแน่น ด้านที่น่าสนใจคือ เขาใช้ระบบการโรดโชว์ เราเรียนรู้จากเขา ตอนนี้สมาคมเราจะมีการประชุมหมุนเวียนตามบริษัทสมาชิกต่างๆ แทนที่จะประชุมที่สมาคม"


ล่าสุด มีความร่วมมือแลกเปลี่ยนข้อมูลกับต่างประเทศ โดย Mr. Frederick Ng นายกสมาคม การขายตรงมาเลเซีย (DSAM) มาเยือนประเทศไทยเพื่อรองรับความร่วม มือในระดับอาเซียน


"เดือนที่แล้วนายกสมาคมขายตรงมาเลเซียมาเยือนประเทศไทย เป็นอีกเสต็ปที่เริ่มประสานงานกัน เขาได้ศึกษาข้อมูลว่าการเข้ามาดำเนินธุรกิจในไทยทำอย่างไร เรื่องขั้นตอนต่างๆของการค้าที่จะเข้ามาไทยต้องทำอย่างไรบ้าง แล้วก็การจดทะเบียนทำอย่างไรบ้าง เป็นการให้คำแนะนำ แต่เราไม่ดำเนินการให้ เป็นผู้ให้ข้อมูลและคำแนะนำ ส่วนเขาก็เอาข้อมูลเขามาแชร์เรา จากการที่เขามาเยี่ยมเราจึงได้รู้ว่ามาเลเซียมีหลายสมาคมเช่นกัน แต่เป็นสมาคมโดยแผนของธุรกิจ"


นายกิจธวิช กล่าวว่า การก่อตั้งสมาพันธ์ขายตรงอาเซียน มีจุดประสงค์หลักเพื่อรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 ซึ่งถือเป็นโอกาสของผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงไทยขนาดกลางและเล็ก ที่จะพัฒนาและสร้างความแข็งแกร่ง รวมถึงโอกาสขยายตลาดไปสู่ต่างประเทศมากขึ้น ขณะที่ผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งไทยและต่างชาติ ได้เข้าไปเปิดตลาดในอาเซียนก่อนหน้านี้แล้ว แต่ขณะเดียวกัน เชื่อว่าจะมีผู้ประกอบการรายใหม่เข้ามาทำธุรกิจขายตรงในประเทศไทยเช่นเดียวกัน


สำหรับความร่วมมือการจัดตั้งสมาพันธ์ขายตรงอาเซียนในครั้งนี้จะมีสมาคมขายตรงจาก 5 ประเทศซึ่งเป็นสมาชิกของสมาพันธ์ขายตรงโลก WFDSA ได้แก่ ไทย มาเลเซีย สิงค์โปร์ ฟิลิปินส์ และเวียดนาม เป็นแกนนำกลุ่มมารวมตัวกันเพื่อจัดตั้งสมาพันธ์ฯ ขึ้นมา ซึ่งเชื่อว่าน่าจะเป็นความลงตัวที่สมบูรณ์แบบที่สุดเพราะสมาคมขายตรงของแต่ละประเทศได้เปิดขึ้นมานานแล้วและมีบริษัทขายตรงที่มีความเป็นมาตราฐานผ่านการคัดกรองคณะกรรมการสมาคมให้เข่าร่วมเป็นสมาชิกเป็นจำนวนมากและที่ผ่านมาสมาคมขายตรงของแต่ละประเทศได้ทำงานเพื่อสังคมมายาวนานในการให้ความรู้กับประชาชน อีกทั้งได้ประสานความร่วมมือให้ความรู้กับหน่วยงานของภาครัฐของแต่ละประเทศมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งการรวมตัวจัดตั้งสมาพันธ์ขายตรงอาเซียนในครั้งนี้น่าจะเหมาะสมที่สุด


"สมาคมที่ร่วมกันต้องเป็นสมาชิกของสมาพันธ์ขายตรงโลก ต้องมีนโยบายเหมือนกัน สมาชิกต้องยอมรับโดยสมาพันธ์ การพิจารณาบริษัทขายตรงเมืองไทย เรายืนหยัดมากตั้งแต่ขบวนการการเข้า คุณสมบัติ 11 ข้อต้องมีครบ หนึ่งในนั้นที่สำคัญมาก คือจรรยาบรรณของบริษัท ต้องมีประกันรับคืนสินค้าตามกระบวนการกฎหมายขายตรง เป็นต้น" นายกิจธวัช กล่าว




Credit By :http://www.ryt9.com

โฟกัส' ขายตรง: วงการสื่อกับคนขายตรง !







Mass Media (Mobile)


ต้องบอกว่า ตั้งแต่ผู้เขียนได้เข้ามาสัมผัสวงการ "ธุรกิจเครือข่ายขายตรง" ตลอดช่วง 2 เดือนที่ผ่านมา มันมีอะไรเข้ามาเยอะแยะ ทั้งเพื่อนสื่อร่วมวงการ แหล่งข่าว หรือกระทั่งทีมงานฝ่ายประชาสัมพันธ์ของบริษัทขายตรงให้การต้อนรับเป็นอย่างดี


ถือเป็นมิติใหม่ของหนังสือพิมพ์รายวันกับวงการขายตรง!!!เป็นส่วนหนึ่งในสังคมของธุรกิจขายตรงกับการประชาสัมพันธ์ไปโดยไม่รู้เนื้อ รู้ตัว


สังเกตได้ตลอดช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา เริ่มมีสื่อหนังสือพิมพ์รายวัน เข้ามาสู่ระบบการทำข่าวขายตรงเพิ่มมากขึ้น มากหน้าหลายตา นั่นแสดงให้เห็นว่า ธุรกิจขายตรงได้รับความสนใจจากวงการสื่อสารมวลชนไม่น้อยเลยทีเดียว


จริงอยู่! ในอดีต จะไม่ค่อยเห็นเพื่อนร่วมวงการสื่อสารมวลชนรายวันไปปรากฏตัวกันมากนัก แต่ที่เห็นล้วนมีแต่หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์ รายปักษ์และรายเดือน ซึ่งเวลานี้ได้กลายเป็นหนังสือพิมพ์ของคนขายตรงมานับหลายปี


แต่สิ่งหนึ่งที่เพื่อนร่วมวงการสื่อสารมวลชน อยากจะเห็นและอยากที่จะให้เป็นนั่นก็คือ ธุรกิจเครือข่ายขายตรง จะต้องมีความจริงใจ และสามารถร่วมตรวจสอบได้ หรือไม่ทำอะไรผิดจากจริยะธรรม พูดภาษาชาวบ้านง่ายๆ ว่า หากเอาเปรียบผู้บริโภค สื่อก็ย่อมนำเสนอข่าวสารได้ ไม่ว่าช่องทางไหน ผู้ประกอบการก็ต้องน้อมรับสภาพ โดยที่ไม่มีข้อโต้แย้ง


อันนี้ถือเป็นเรื่องแฟร์ๆ กันเพราะอย่างที่เกริ่นไปคร่าวๆ ของวิชาชีพสื่อสารมวลชนกับแหล่งข่าว ย่อมหนีไม่พ้นบ่วงกรรมกัน เขียนข่าวเชียร์ก็ได้รับคำชมเชยจากผู้ประกอบการ แต่กลับกัน ถ้าเขียนในแง่เชิงลบเมื่อไหร่ "ชาตินี้ไม่เผาผี"


เคยมีเพื่อนวงการสื่อเล่าสู่กันฟัง ถึงกับอึ้ง! ที่โดนบริษัทขายตรงบางบริษัท "แบน" โดยที่ไม่มีเหตุผล ถ้าพูดภาษาชาวบ้านเค้าจะบอกว่า "ใจไม่กว้างพอ"เรื่องนี้มีให้เห็นเยอะแยะที่ผู้ประกอบการไม่เอาสื่อเล่มนั้น เล่มนี้ !!!


กลับมาธุรกิจเครือข่ายขายตรงกัน หลายๆ งานที่ไปนั่งฟังงานแถลงข่าว ได้จับประเด็นข่าวออกมาหลายๆ อย่าง โดยเฉพาะ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์สินค้า ไม่ว่าจะเป็นประเภทเสริมสุขภาพ ความสวยความงาม เสริมสมรรถภาพ แก้โรคโน้น โรคนี้ ต่างๆ นานา


พูดกันง่ายๆ ว่า อวดโฉมสรรพคุณกันเยอะแยะ โดยไม่สามารถแยกแยะได้ออก ว่าอันไหนของจริง อันไหนของเทียม ทุกอย่างขึ้นอยู่กับผู้บริโภคทั้งสิ้น แต่กลับไม่มีใครพูดในเชิงลบ หากใช้เป็นจำนวนมากๆ มันจะกระทบและจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง ตรงนี้ยังไม่มีใครที่กล้าพูด


จะเห็นได้ว่า หลายบริษัทฯ นำกลยุทธ์ทางการตลาดเข้ามาใช้ควบคู่กับการทำข่าวประชาสัมพันธ์แทบทั้งสิ้น


อย่างที่รู้ๆ กัน ปัจจุบันนี้ระบบการสื่อสารเปลี่ยนไป กลายเป็นโลกของโซเชียลเน็ตเวิร์ค จนทำให้ผลิตภัณฑ์ประเภทต่างๆ เข้าถึงชาวบ้านได้ง่ายมากขึ้นกว่าในอดีต


เพราะฉะนั้น สิ่งที่ผู้เขียนยกกรณีทั้งหมดขึ้นมาให้กับผู้อ่าน ไม่ใช่ว่าจะเป็นการ "ด่าทอ" หรือ "ต่อว่า" ใครทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องการให้คนขายตรงกับสื่อมวลชน สามารถยืนหยัดไปได้ในทิศทางเดียวกัน


หรือกระทั่งบริษัทขายตรงที่เกิดขึ้นมาใหม่ ก็จะต้องรู้ระบบ โดยเฉพาะการนำเสนอข่าวสาร หรือวัฒนธรรมที่เคยทำกันมาแต่ก่อน ไม่ใช่ ไม่รู้เรื่องอะไรเลย เข้ามาก็ "ฮุกซ้ายตรงๆ" ตรงนี้เท่ากับว่า "จบเห่" เพียงแค่ยกแรกเท่านั้น


อยู่เหนือสิ่งใดอย่างที่ผู้เขียนได้นำเสนอคงไม่พ้นบ่วงกรรมนั่นก็คือ "วงการสื่อกับคนขายตรง" นั่นเอง ครับ





Credit By :http://www.ryt9.com

ข่าวหมอเส็ง (Morseng) : หมอเส็ง ตัวอย่างที่ดี...11ปี ไม่เคยถูกร้องเรียน!







s1u8bmu1bv53wmcfg (Mobile)


เชื่อได้ว่า...ประเด็นข่าวที่จั่วหัวให้ไว้ในฉบับนี้อาจจะเป็นแค่ข่าวชิ้นเล็กๆ ที่ไม่ค่อยน่าสนใจสักเท่าไหร่ในสายตาผู้คนทั่วไปและมันอาจจะดูธรรมดาๆ ซะด้วยซ้ำไป โดยเฉพาะกับผู้คนที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหมอเส็ง...


แต่สำหรับผู้คนที่เกี่ยวข้องกับ หมอเส็ง แล้วล่ะก็! ผมเชื่อว่ามันเป็นข่าวที่ยิ่งใหญ่และน่าภาคภูมิใจมากๆ ข่าวหนึ่งเลยทีเดียว ซึ่ง หมอเส็ง คนที่กำลังเขียนถึงอยู่นี่คือ นายฉัตรชัย แสงสุริยะฉัตร เจ้าของบริษัทสมุนไพรขายตรงที่ชื่อ บริษัทแสงสุริยะฉัตร (2002) จำกัด นั้นเองครับ...


เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่า... คุณณัชภัทร ขาวแก้ว นิติกรปฏิบัติการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งเป็นบุคคลที่คลุกคลีกับธุรกิจขายตรงมาตั้งแต่ปี 2544 จนกระทั่งเห็น พ.ร.บ. ขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ. 2545 ออกมาบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 29 สิงหาคม พ.ศ.2545 และเขาเป็นคนหนึ่งที่กำกับดูแลธุรกิจขายตรงมาจนถึงกระทั่งทุกวันนี้ เป็นผู้เปิดประเด็นขึ้นมาว่า


... ตลอด 11 ปีที่กฎหมายขายตรงออกมาบังคับใช้มีบริษัทขายตรงแห่งหนึ่งซึ่งเปิดมานานกว่า 10 ปี แล้วและเป็นบริษัทขายตรงที่ใช้แผนไบนารี่ในการทำตลาดแต่ละบริษัทนี้น่าชื่นชมเหลือเกินตรงที่ว่าไม่เคยมีเรื่องร้องเรียนใดๆ เข้ามาสู่ สคบ. เลยแม้แต่ครั้งเดียว ซึ่งผู้ประกอบการขายตรงที่ใช้แผนการตลาดแบบไบนารี่น่าจะลองศึกษาจากบริษัทนี้ดูเป็นตัวอย่างว่าเขาทำธุรกิจอย่างไรถึงไม่เคยมีเรื่องร้องเรียนเลย


คุณณัชภัทร ขาวแก้ว พูดชื่นชมถึงบริษัทขายตรงแห่งหนึ่งที่ใช้แผนไบนารี่แต่ก็ไม่ยอมบอกชื่อว่าบริษัทให้ใครลวงรู้


เรื่องร้องเรียนในวงการขายตรงนั้นมีอยู่มากมายหลายประเด็น ทั้งการทอดทิ้งลูกค้า ทอดทิ้งทีมงาน เรื่องของสินค้าไม่ได้มาตรฐาน การไม่รับคืนสินค้า เรื่องของการจ่ายผลตอบแทนที่ไม่เป็นธรรม การไม่ยอมจ่ายค่าคอมมิชชั่นให้แก่นักขาย และอื่นๆอีกมากมาย ซึ่งส่วนบริษัทขายตรงส่วนใหญ่ จะเคยถูกร้องเรียนแทบทั้งสิ้นแต่การร้องเรียนนั้นอาจจะร้องเรียนเพราะได้รับผลกระทบจริงหรืออาจจะร้องเรียนเพราะคู่แข่งกลั่นแกล้งก็เป็นไปได้ทั้งสิ้น


ประเด็นที่คุณ คุณณัชภัทร เปิดมานี้แต่ไม่ยอมบอกชื่อเสียงเรียงนามของบริษัทดังกล่าวให้ใครทราบ...แต่มันก็ทำให้ผมนึกอยากรู้จักบริษัทนั้นขึ้นมาทันที ซึ่งผมก็รู้อยู่ว่า บริษัทขายตรงที่ใช้แผนแบบไบนารี่และมีอายุระดับ 10 ปีขึ้นไปนั่นมีใครบ้าง...และรู้ว่ามีบริษัทใดบ้างที่ถูกร้องเรียน...


ผมรู้ว่าบริษัทนั้นชื่ออะไร เป็นของใคร แต่ก็อยากจะคอนเฟิร์มให้แน่ชัดว่า ตรงกับสิ่งที่คิดไว้หรือไม่ ผมสอบถามไปยังพรรคพวกที่อยู่ใน สคบ. ถึงบริษัทที่คุณคุณณัชภัทร พูดถึงและเปิดประเด็นขึ้นมา คำตอบที่ได้รับมาก็คือ


บริษัท แสงสุริยะฉัตร (2002) จำกัด ของหมอเส็ง... นายฉัตรชัย แสงสุริยะฉัตร เป็นบริษัทขายตรงที่ใช้แผนการแบบไบนารี่รายเดียวในประเทศไทยที่ตลอด 10 กว่าปีที่ผ่านมาไม่เคยถูกร้องเรียนใดๆ เลยแม้แต่ครั้งเดียว ...ตรงกับบริษัทที่ผมคิดไว้จริงๆ... ช่วยปรบมือให้กับหมอเส็งกันหน่อยครับ !


ตอนอายุ 63 ปี ซึงตรงกับปี (2002) หรือเมื่อ 11 ปีที่ผ่านมา หมอเส็ง เปิดบริษัทขายตรงเป็นครั้งแรกในชื่อ บริษัทฉัตรสุริยะจำกัด ซึ่งในขณะนั้นได้เช่า อาคารพุทธธรรมประกันภัย ย่านวงศ์สว่างเป็นสำนักงานใหญ่และภายหลังได้เปลี่ยนชื่อใหม่เป็น บริษัท แสงสุริยะฉัตร (2002) จำกัด ก่อนที่จะย้ายมาอยู่ที่อาคารบัวสุวรรณพลาซ่าเยื้องการบินไทย ถนนวิภาวดี จากนั้นซื้อที่ดินจำนวน 9 ไร่ตรงข้าม ม. ธรรมศาสตร์ ศูนย์รังสิต สร้างสำนักงานใหญ่เป็นของตัวเองอย่างยิ่งใหญ่...ด้วยเงินสด!


ปัจจุบัน หมอเส็ง อายุ 74 ปี ไดซื้อที่ดินอีก 230 ไร่ที่จังหวัดอยุธยาเพื่อสร้างโรงงานแห่งใหม่อย่างครบวงจร คาดว่าจะใช้...เงินสดอีกราวๆ 1,000 ล้านสำหรับเนรมิตพื้นที่แห่งนี้เพื่อนักธุรกิจของเขา


ผมไม่รู้ว่า หมอเส็ง และ สมาชิกชาวแสงสุริยะฉัตร จะ ภาคภูมิใจกับคำชื่นชมของสคบ.ที่ให้การยกย่องว่า เป็นบริษัทขายตรงในแผนไบนารี่ที่ไม่เคยถูกร้องเรียนใดๆ เลยตั้งตามีกฎหมายขายตรงออกมาบังคับใช้ หรือไม่ แต่ตลอด 10 ปีที่ได้รู้จัก คุณหมอเส็ง เขามักพูดให้ฟังอยู่เสมอว่า...


หมอไม่เคยเอาเปรียบใครอีกทั้งได้ปลูกฝังเรื่องนี้ไปสู่สมาชิกของหมอไม่ให้เอาเปรียบใครและไม่ให้หลอกลวงใครเช่นกัน ขายสินค้าก็ต้องไม่โอ้อวดสรรพคุณ อย่าไปโกหกเขา ต้องขายที่ความจริงเท่านั้นและสิ่งสำคัญคือจะต้องทำให้คนที่เข้ามาทำธุรกิจกับเรามีรายได้มากที่สุด ให้เขามีชีวิตที่ดีขึ้นกว่าเดิมแค่นี้ก็มีความสุขแล้วและเมื่อเขามีรายได้ที่ดี เขามีความสุข เขาก็อยู่กับเราไปอีกยาวนาน นี่คือคำพูดของหมอเส็งที่ผมได้ยินมาเมื่อ 10 ปีที่ผ่านมาและยังคงได้ยินหมอเส็งพูดคำๆนี้อยู่ทุกๆวัน


ขอให้สมาชิกชาวหมอเส็งทั้งหลายโปรดรักษาแบบอย่างดีๆเหล่านี้ให้ยาวเหมือนดั่งเกลือรักษาความเค็มเลยนะครับ






ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.Leader Time ฉบับที่ 225 ประจำวันที่ 16-30 มิถุนายน 2556


วันพฤหัสบดีที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2556

ข่าวซูเลียน (Zhulian Thailand) : ซูเลียน ร้อนแรงทุบสถิติ! ฉลองยอดทะลุ 728 ล้าน/ด.







B_0001 (Mobile)


ร้อนแรงจนเกินห้ามใจนักขาย ซูเลียนมาเลซีย-สิงคโปร์ 300 ชีวิต สุดทึ่งผลงานอันยิ่งใหญ่ของซูเลียนประเทศไทยขอเดินทางมาเยี่ยมชมให้เห็นกับตาตัวเองตื่นตะลึงกับความยิ่งใหญ่ของสำนักงานใหญ่และสุดทึ่งกับความสามารถของนักขายเมืองไทยที่สร้างยอดกระฉูดทะลุไปกว่า 700 ล้านบาทต่อเดือน ขณะที่ ดร. ปิยะวัฒน์ เตรียมจัดงานฉลองชัยยอดขายทะลุ 700 ล้านอย่างยิ่งใหญ่ 6 ก.ค. นี้ คาดสมาชิกแห่ร่วมงานล้นทะลัก พร้อมทั้งยืนยันเป้าหมาย 10,000 ล้านในปีนี้มีสิทธิ์ลุ้นอยู่ไม่น้อย


ดร.ปิยะวัชร์ บุญยืนยงสกุล ประธานกรรมการบริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากความสำเร็จของบริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) ที่สามารถทำยอดขายได้สูงสุดถึง 7,100 ล้านบาทในปี 2555 ที่ผ่านมาและในเดือนเมษายน 2556 ที่ผ่านมาก็สามารถทำยอดขายของเดือนเมษายน ทะลุไปถึง 728 ล้านบาท ซึ่งจากความสำเร็จของบริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย) ที่เกิดมาอย่างต่อเนื่องในวันนี้ส่งผลให้นักธุรกิจซูเลียนจากประเทศมาเลเซียและนักธุรกิจซูเลียนจากประเทศสิงคโปร์ มีความต้องการที่จะเดินทางมาร่วมชมสำนักงานใหญ่ของบริษัท ซูเลียน (ประเทศไทย)กันเป็นจำนวนมาก และเมื่อวันที่ 6 มิถุนายน ที่ผ่านมา มิสเตอร์คิว ม่อน เจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของบริษัท ซูเลียน มาร์เก็ตติ้ง (มาเลเซีย) ได้พาสมาชิกนักธุรกิจซูเลียน จากทั้งสองประเทศร่วม 300 คน เดินทางมาเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ของประเทศไทยกันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว


การเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ของซูเลียนประเทศไทยในครั้งนี้ได้สร้างความฮึกเหิมให้กับนักธุรกิจซูเลียนจากทั้งสองประเทศเป็นอย่างมาก เนื่องจากบริษัทฯ ได้มีการเปิดวีดีโอแนะนำประวัติศาสตร์ความเป็นมาของซูเลียนประเทศไทยรวมถึงความสำเร็จในด้านยอดขายตั้งแต่การฉลองยอดขายทะลุ 100 ล้าน ต่อเดือน , 300 ล้านต่อเดือน, 500 ล้านต่อเดือน, 600 ล้านต่อเดือนและกำลังจะฉลองยอดขายทะลุ 700 ล้านต่อเดือนให้พวกเขาได้เห็นและได้สร้างความตะลึงให้กับพวกเขาเป็นอย่างมาก รวมถึงตกตะลึงมากขึ้นที่ได้เห็นสมาชิกนักธุรกิจซูเลียนในประเทศที่มีจำนวนมากมาย ดร.ปิยะวัชร์ กล่าว


ในอดีตต้องบอกว่า ยอดขายของซูเลียนประเทศไทยกว่าจะไล่ตามซูเลียนมาเลเซียได้เป็นเรื่องที่ยากลำบากเหลือเกิน.. เมื่อก่อนเขาขายเดือนละ 250 ล้านบาทแต่ของเราขายได้เพียงเดือนละ 100-150 ล้านบาท แต่มาตอนหลังเราเริ่มสปีดแซงและทิ้งห่างพวกเขาไปหลายก้าววันนี้เราขายเดือนละ 700 ล้านบาท ซึ่งมันกลับกันวันนี้เขาจึงต้องมาดูงานที่เราแทน


ดร.ปิยะวัชร์ กล่าวอีกว่า บริษัทมีแผนที่จะจัดงานฉลองยอดขายทะลุ 700 ล้านบาทต่อเดือน (728 ล้านบาท) ในวันที่ 6 กรกฏาคมนี้ โดยบอดขายดังกล่าวเป็นยอดขายของเดือนเมษายน (ซึ่งปิดยอกในวันที่ 26พฤษภาคม) ซึ่งคาดว่าจะมีนักธุรกิจซูเลียนเดินทางมาน่วมงานกันเป็นจำนวนมากเหมือนเคยเพราะในงานดังกล่าวบริษัทฯ จะมีการแจกของชำร่วยในโอกาสฉลองยอดขายทะลุ 700 ล้านบาท ให้กับสมาชิกที่เข้าร่วมงานและทุกคนจะได้ร่วมกันลุ้นรางวัลจากทางบริษัทที่จะแจกเป็นจำนวนมากมายอีกด้วย นอกจากนี้มีแนวโน้มอีกว่า ภายในเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ก็น่าจะมีการฉลองยอดขายทะลุ 800 ล้านของเดือนพฤษภาคมอีกครั้งหนึ่งซึ่งเชื่อว่าจะทะลุ 800 ล้านอย่างแน่นอน


อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 6 ตุลาคม ปี พ.ศ. 2555 บริษัท ซูเลียนฯ ได้ทำการฉลองยอดขายทะลุ 600 ล้านมาครั้งหนึ่งแล้ว และในปีนั้นซูเลียนมียอดขายสุทธิถึง 7,100 ล้านบาท และในปีนี้ ดร.ปิยะวัชร์ บอกว่า ตัวเลขยอดขายรวมทั้งปีน่าจะอยู่ในระดับ 9,000 ล้านบาท แต่เป้าหมายที่บริษัทฯและสมาชิกต้องการจะเห็นร่วมกันคือตัว 10,000 ล้านบาท ซึ่งก็น่าจะมีความเป็นไปได้เหมือนกัน






ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.Leader Time ฉบับที่ 225 ประจำวันที่ 16-30 มิถุนายน 2556

กพ. ดับฝันคนเครือข่าย! หั่น กรมขายตรง เหลือแค่ กอง







nws0001889 (Mobile)


ภาพลักษณ์ของธุรกิจขายตรงที่ยังดูคลุมเครือไม่ชัดเจนฝนหลายมิติเป็นอีกหนึ่งในหลายๆ เหตุผลที่ คณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (กพ.) ได้พิจารณากลั่นกรองออกมาแล้วว่า... ธุรกิจขายตรงยังไม่ถึงขั้นที่จะต้องจัดตั้งกรมการขายตรงขึ้นมาดูแลเป็นการเฉพาะเหมือนกับธุรกิจประกันชีวิตและประกันภัยที่มีสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มาดูแลในปัจจุบัน อีกทั้งกลับมองว่า ธุรกิจขายตรงก็ไม่ได้ต่างอะไรไปจากธุรกิจเอสเอ็มอี (SME) สักเท่าใดนัก จึงอนุมัติให้จัดตั้งได้แค่ กองขายตรงและให้อยู่ในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เหมือนเดิมแต่เพิ่มกำลังบุคลากรเป็น 25 ตำแหน่ง จากเดิมที่มีอยู่เพียง 6 เท่านั้น


ฝันของคนขายตรงที่อยากจะเห็น องค์กรอิสระ ที่มีฐานะเทียบเท่ากรมมากับกับดูแลธุรกิจเหมือนกับที่วงการประกันชีวิต ประกันภัยมีสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) มาดูแลมีอันต้องพังทลายลงอย่างไม่เป็นท่าเสียแล้ว เมื่อ นายณัชภัทร ขาวแก้ว นิติกรปฏิบัติงานสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ซึ่งเป็นบุคคลที่คลุกคลีกับวงการขายตรงมาตั้งแต่ปี 2544 และเป็นหนึ่งในบุคคลที่ยื่นนำข้อเสนอข้อมูลให้สำนักงานคณะกรรมการข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) พิจารณาเพื่อจัดตั้งกรมการขายตรงตามความต้องการของผู้ประกอบการขายตรงกว่า 353 รายในปัจจุบันที่ได้เรียกร้องในประเด็นนี้มายาวนานแล้ว ได้เปิดเผยข้อมูลดังกล่าวในงานแถลงข่าวเปิดตัวสมาคม TDNA และเสวนาชำแหละกฎหมายขายตรงที่จัดโดยสมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย (TDNA) เมื่อวันที่ 3 มิ.ย.ที่ผ่านมา โอกาสที่จะมีการจัดตั้งการขายตรงขึ้นมาเพื่อกำกับดูแลธุรกิจขายตรงเป็นการเฉพาะคงไม่มีอีกต่อไปแล้ว


นายณัชภัทร กล่าวว่า จากการที่ สคบ. ได้มีการรวบรวมข้อมูลของธุรกิจขายตรงในทุกแง่มุมทั้งมูลค่ารวมของธุรกิจที่มีมูลค่าเติบโตแบบต่อเนื่องมาตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันที่มีมูลค่าร่วมแสนบาท มีผู้ร่วมธุรกิจอยู่เป็นจำนวนมากมายกว่า 15 ล้านคนในปัจจุบัน อีกทั้งยังมีผู้ประกอบการที่เปิดดำเนินธุรกิจประเภทนี้มากกว่า 353 บริษัท เพื่อให้มีคณะกรรมการข้าราชการพลเรือนหรือหรือ ก.พ. พิจารณาถึงการจัดตั้งกรมการขายตรงขึ้นมาเพื่อกำกับดูแลธุรกิจนี้เป็นการเฉพาะ อีกทั้งยังขอกำลังพล (บุคลากร) เพิ่มขึ้นมาอีก 100 ตำแหน่งเพื่อให้มีกำลังพลพียงพอสำหรับกำกับดูแลและส่งเสริมธุรกิจขายตรงอย่างเต็มตัวเพื่อรองรับการเติบโตของธุรกิจนี้ยิ่งๆขึ้นไปในอนาคต


ทั้งนี้จากการพิจารณาของคณะกรรมการก.พ. ได้มีข้อสรุปออกมาอย่างชัดเจนว่า มีมติไม่อนุมัติ (ไม่เห็นด้วย) ให้มีการจัดตั้งกรมการขายตรงตามข้อมูลที่ สคบ. ได้ยื่นนำเสนอไป โดยมติของกรรมการก.พ. ให้เหตุผลว่า ทุกวันนี้รูปแบบของธุรกิจขายตรงยังคงไม่มีความชัดเจนสักเท่าใดนัก อีกทั้งภาพลักษณ์ของธุรกิจนี้มักมีปัญหามาโดยตลอดเฉพาะการหลอกลวงและเอาเปรียบผู้บริโภคซึ่งพบเห็นตามหน้าหนังสือพิมพ์อยู่บ่อยครั้งและยังมองว่า ธุรกิจขายตรงน่าจะมีความใกล้เคียงกับธุรกิจเอสเอ็มอี (SME) หรือ ธุรกิจขนาดใหญ่ ขนาดกลางและขนาดย่อมมากกว่า ซึ่งมีลักษณะซื้อมา-ขายไปและให้ผลตอบแทนแก่ผู้ขายเพียงเท่านั้น


... จากที่เราขอไปเป็น กรมการขายตรง แต่มีมติของคณะกรรมการ ก.พ. อนุมัติให้เหลือเพียง กองขายตรง เท่านั้นและยังคงให้กองขายตรงที่จัดตั้งขึ้นมาใหม่นี้ยังคงขึ้นตรงกับสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) อยู่เช่นเดิม แต่ได้อนุมัติเพิ่มกำลังพล (บุคลากร) ให้เข้ามาดูแลธุรกิจขายตรงเพิ่มขึ้นมาอีก 25 ตำแหน่งซึ่งถือว่าก็ยังดี.... นิติกรปฏิบัติการสคบ. กล่าว


ในขณะนี้อาจารย์ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ให้มุมมองว่า ด้วยรูปแบบการดำเนินธุรกิจขายตรงในปัจจุบันบันนั้นเชื่อมั่นว่า บุคลากรระดับปฏิบัติการ ซึ่งหมายถึงบุคลากรของสคบ. ที่คลุกคลีกับธุรกิจนี้มายาวนานมีความเข้าใจดีและรู้จักกับธุรกิจขายตรงอย่างถ่องแท้ แต่ก็มั่นใจอีกว่า บุคลากรระดับดับนโนบาย ซึ่งหมายถึงรัฐมนตรีที่เข้ามากำกับดูแลหน่วยงานนี้รวมถึงคณะรัฐมนตรีและนายกรัฐมนตรีอาจจะยังไม่รู้ธุรกิจขายตรงอย่างแท้จริงว่ามีรูปแบบเป็นอย่างไร มีประโยชน์ต่อการพัฒนาเศรษฐกิจของประเทศอย่างไร มูลค่าของธุรกิจนี้มีมากน้อยขนาดไหน


และผู้คนในประเทศเข้ามาทำธุรกิจกันมากน้อยเพียงใด ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลา


ผ.อ. ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจฯ ม.หอการค้า ซึ่งรับหน้าที่ทำการวิจัยธุรกิจขายตรงทุกภาคส่วนจากสมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย (TDNA) ยังให้ข้อมูลอีกว่าการทำวิจัยภาพรวมของธุรกิจขายตรงทั้งระบบจะเป็นส่วนสำคัญที่จะช่วยให้ผู้บริหารระดับนโยบายรับรู้เรื่องราวของธุรกิจขายตรงได้มากยิ่งขึ้น และถ้าผลการวิจัยออกมาพบว่าในแต่ละปีธุรกิจขายตรงมีอัตราเติบโตในระดับตัวเลข 2 หลัก ก็เชื่อได้ว่าภาครัฐจะหันมาให้ความสำคัญกับธุรกิจนี้มากยิ่งขึ้น


ในขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับว่า ภาพของธุรกิจขายตรงที่ถูกต้องนั้นผู้คนส่วนใหญ่มักนำไปผูกติดและเหมารวมไปกับธุรกิจที่มีความสุ่มเสี่ยง ล่อแหลม รวมถึงการโอ้อวดสรรพคุณและลงท้ายด้วยการหลอกลวงเสมอ ซึ่งจำเป็นที่จะต้องแยกแยะให้ผู้คนได้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างความถูกต้องและความฉ้อฉลให้ได้ เมื่อถึงเวลานั้นก็จะทำให้ผู้คนเข้าใจธุรกิจมากยิ่งขึ้นว่าอะไรใช่และอะไรไม่ใช่





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.Leader Time ฉบับที่ 225 ประจำวันที่ 16-30 มิถุนายน 2556