ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันอังคารที่ 6 สิงหาคม พ.ศ. 2556

MLM Gossip (ล้วงลับคนธุรกิจเครือข่าย) ซุบซิบ ค่าย จอย แอนด์ คอยน์ (J&C) กับ คุณอาสา และ คุณศรัณย์ณัฐฐา หัชลีฬหา







Capture (Mobile)









แต่ที่ดูจะเป็นไฮไลต์สร้างความ ตื่นตาตื่นใจแอนด์ตะลึงตึงๆ ทึ่งกันถ้วนหน้า ก็เห็นจะเป็นโฉมใหม่ของ JC TV ที่ ทายาทอย่างลูกชายคนโตและลูกสะใภ้ คนสวย คุณอาสา และ คุณศรัณย์ณัฐฐา หัชลีฬหา ผู้อำนวยการและรองผู้อำนวย- การสถานี JC TV ทุ่มทุนสร้าง ปรับโฉม ให้น่าสนใจ ไฉไลทันยุคทันสมัย แถมยัง ทำเป็น Live Stream แบบ HD อีกด้วย เรียกได้ว่า จัดหนัก จัดเต็ม พร้อมกับมีแพลนการพัฒนาเพิ่มรายการ และสาระอีกเพียบ ที่เด็ดสุด เห็นจะเป็นแพลนการทำ English Subtitle เพื่อรองรับสมาชิก J&C ในประเทศอื่น และเพื่อสนองนโยบาย AEC อีกด้วย อู้ย... มัวแต่ปล่อยให้คนอื่นตายใจ ที่แท้แอบไปซุ่มเงียบเตรียมงาน มาทีจัดมาเต็มเลยนะเจ้าคะ แต่งานนี้คนหน้าบานสุด ก็เห็นจะเป็น ดร.สมชาย ล่ะเจ้าค่ะ เพราะได้ดังใจ ชิมิคะ อิอิ...





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 228 ประจำวันที่ 1-15 สิงหาคม 2556













MLM Gossip (ล้วงลับคนธุรกิจเครือข่าย) ซุบซิบ ค่าย จอย แอนด์ คอยน์ (J&C) กับ ดร. สมชาย หัชลีฬหา







Biz-JC (Mobile)










ดร.สมชาย หัชลีฬหา บิ๊กบอสแห่ง ขายตรงสะดวกซื้ออย่าง J&C ถือโอกาส ฤกษ์งามยามดี เปลี่ยนสไตล์การแถลงข่าว เป็นทางการ กลายเป็นนัดแนะนักข่าวไป นั่งรับลมชมวิวทะเล ให้ข่าวในบรรยากาศ ชิวๆ เพื่ออัพเดตความเติบโตและเป้า- หมาย J&C ว่า มีแผนเด็ด เตรียมขยาย อาณาจักรขายตรงสะดวกซื้อไปในทิศทาง ไหน แต่ไหนๆ ไปทั้งที ดร.สมชาย ก็ไม่ให้ เสียคอนเซ็ปต์ ขอยึดสโลแกนประจำตัว กินหรู อยู่สบาย กับ J&C ท่าน ดร. เลยทุ่มทุนควักกระเป๋าเปิดโรงแรมหรู ให้นักข่าวนอนเล่น พร้อม ทั้งอิ่มเอมกับอาหารสุดหรูแบบจัดเต็มทุกมื้อ งานนี้เลยเปรมปรีดิ์ กันถ้วนหน้า แถมมีเสียงกระซิบแบบเบาๆ ว่า คราวหน้าขอจัดแบบนี้ อีกนะเจ้าคะ ดร. ขรา....





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 228 ประจำวันที่ 1-15 สิงหาคม 2556



ข่าวนิวเวย์ส (Neways) : นิวเวย์ส รุกเจาะตลาดไทยส่ง ฮาวายเอียน โนนิ ชิมลาง







newways (Mobile)


นิวเวย์ส ได้ฤกษ์เปิดตลาดไทย ลั่น ! เดินสายสร้างฐาน สมาชิกทั่วทุกภาค พร้อมส่งผู้บริหารลงพื้นที่ทำงานร่วมกับผู้นำ และตอกย้ำนโยบายการสร้างครัวเรือนสุขภาพดี 10 ล้านครอบครัว ในไทย ด้วยสินค้าดีมีคุณภาพ ล่าสุดส่ง ฮาวายเอียน โนนิ ตีตลาด หวังครองใจสมาชิก พร้อมศึกษาตลาดนอกคู่ขนาน คาดอีก 2 ปี เปิดตลาดจีน หลังเห็นศักยภาพที่ดี ระบุต้องการสร้างตลาดไทยให้ ประสบความสำเร็จเหมือนญี่ปุ่น ขณะที่ผลประกอบการครึ่งปีแรก ฟัน 400 ล้านเหรียญสหรัฐ โตแบบทรงๆ หลังปรับโครงสร้างบริหาร งานภายใน


ชอน สก๊อตผู้จัดการอาวุโสประจำภาคพื้นเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ และเกรทเทอร์ไชน่านิวเวย์ส อิงค์กล่าวว่า ภายหลัง นิวเวย์ส ได้ศึกษาตลาดเครือข่ายของแต่ละประเทศ จนแน่ใจว่าประเทศนั้นๆ มีศักยภาพในการเปิดตลาด จึงได้เตรียมความพร้อมในการเปิดตลาด ไทยอย่างเป็นทางการ ซึ่งประเทศไทยถือเป็นประเทศล่าสุด อันดับที่ 30 ของ นิวเวย์ส ส่วนอันดับที่ 29 คือ ประเทศเกาหลีใต้ ที่ได้เปิด ตลาดมาแล้ว 1 ปี อีกทั้ง นิวเวย์ส ยังได้เปิดตลาดญี่ปุ่นมาแล้ว 12 ปี ที่ผ่านมา และได้รับการตอบรับที่ดีในปัจจุบัน


ทั้งนี้ นิวเวย์ส มีนโยบายในการขยายสาขาไปยังประเทศต่างๆ ทั่วโลก ซึ่งขณะนี้ได้เตรียมความพร้อมในการศึกษาตลาดจีน โดย นิวเวย์ส ได้เล็งเห็นว่าตลาดดังกล่าวเป็นโอกาสที่ดี ที่จะเข้าไปทำตลาด ซึ่งคาดว่าอีก 2 ปี จะสามารถเปิดตลาดได้ อย่างไรก็ดี ในช่วงที่ผ่านมา ยังพบว่าประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงที่สุดเป็นอันดับ 1 ได้แก่ ประเทศญี่ปุ่น ที่มีสัดส่วนยอดขายสูงถึง 50% ของยอดขายรวม ส่วนอันดับที่ 2 ได้แก่ ออสเตรเลีย และไต้หวัน


ชอน กล่าวต่อว่า จากความสำเร็จที่ประเทศญี่ปุ่น นิวเวย์ส จะนำกลับมาพัฒนาต่อยอดในประเทศไทย เพื่อสร้างความสำเร็จอย่าง ยั่งยืน ด้วยการเข้าถึงและลงพื้นที่เพื่อหาสมาชิก ที่มองว่าจำเป็น อย่างยิ่งที่จะต้องทำงานอย่างใกล้ชิดกับผู้นำ โดยเฉพาะการผลักดัน นโยบายการสร้างครัวเรือนสุขภาพดี 10 ล้านครอบครัวในประเทศไทย ด้วยสินค้าที่ปลอดภัยและเป็นมิตรกับผู้บริโภค ขณะที่แผนการตลาด ของ นิวเวย์ส ปัจจุบันได้พัฒนามาจากประเทศญี่ปุ่น เกาหลี และ ไต้หวัน และมีการจ่ายผลตอบแทนมากกว่า 50% ส่วนแผนนั้นจะเป็น แบบลูกผสมไฮบริดมีลักษณะเป็นแผนยูนิเลเวล บวกเบรกอะเวย์ หรือ จะเรียกว่าแผนสแตร์สเต็ป ซึ่งการใช้แผนดังกล่าว นิวเวย์ส ไม่ได้มอง ว่าเป็นแผนเก่า ถึงแม้จะรู้ว่าแผนไบนารี่เป็นแผนที่มาแรงก็ตาม เนื่องจากที่ผ่านมาได้ศึกษาตลาด และพบว่าผู้คนที่ทำธุรกิจขายตรง ด้วยการใช้แผนแบบไบนารี่ ท้ายที่สุดจะกลับมาทำธุรกิจที่ใช้แผน สแตร์สเต็ปกันทุกราย


สำหรับครึ่งแรกของปี นิวเวย์ส ทำยอดขายจากทั่วโลกได้ 400 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่คงที่ เนื่องจากการปรับ โครงสร้างการบริหารจัดการภายใน ทั้งการปรับเปลี่ยนผู้บริหาร รวมถึง แผนการปรับสินค้าใหม่ เพื่อให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด


ด้านโคเล็ต ดาลผู้จัดการผลิตภัณฑ์ ฝ่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร นิวเวย์ส อิงค์ กล่าวในงานเปิดตัว นิวเวย์ส ประเทศไทย พร้อมเปิดตัว ผลิตภัณฑ์นิวเวย์ส ออเธนติค ฮาวายเอียน โนนิ ว่า จุดเด่นของ สินค้าใหม่ คือ การนำเสนอสินค้าจากฮาวายที่มาจากภูเขาไฟ ซึ่งอุดม ด้วยแร่ธาตุ รวมถึงการค้นคว้าและวิจัยสินค้าจนพบคุณประโยชน์ที่ดี ของตัวสินค้ามากมาย


ขณะเดียวกัน นิวเวย์ส กำลังอยู่ในช่วงศึกษาตลาด ก่อนที่จะมี การเปิดตัวสินค้าใหม่ ซึ่งเร็วๆ นี้ นิวเวย์ส เตรียมแผนเปิดตัวสินค้าใหม่ ที่ประเทศไทย ภายใต้ชื่อแมกซิโมลซึ่งเป็นเสริมอาหารในรูปแบบ เครื่องดื่ม ที่ปัจจุบันสร้างยอดขายสูงสุดให้กับ นิวเวย์ส ด้วยยอดขาย จำนวน 300 ล้านขวดทั่วโลก ซึ่งคาดว่าจะเปิดตัวได้ประมาณปลายปีนี้


ด้านอินทิราชานผู้จัดการทั่วไป บริษัท นิวเวยส์ สยาม จำกัด เปิดเผยว่า หลังเปิดตัวบริษัทเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา บริษัทเตรียมแผนสร้างฐานสมาชิกใหม่ ทั้งกรุงเทพฯ และตลาดต่าง- จังหวัด โดยมีแผนที่จะรุกไปยังภาคเหนือ และภาคใต้ ด้วยการลงพื้นที่ ทำงานร่วมกับผู้นำอย่างใกล้ชิด ซึ่งเป็นนโยบายของบริษัทแม่ที่ประเทศ สหรัฐอเมริกา


ในส่วนของแผนการเปิดตัวสินค้าใหม่ นอกเหนือจากผลิตภัณฑ์ นิวเวย์ส ออเธนติค ฮาวายเอียน โนนิ ขณะนี้อยู่ระหว่างการขอขึ้น ทะเบียนสินค้าจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ซึ่งปีแรก นิวเวย์ส ได้ขอขึ้นทะเบียนสินค้า 30 รายการ ขณะนี้สินค้า ผ่าน อย. แล้ว 19 รายการ โดยแบ่งสินค้าเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.เสริม- อาหาร 2.ของใช้ในครัวเรือน และ 3.คอสเมติกส์ & สกินแคร์





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 228 ประจำวันที่ 1-15 สิงหาคม 2556


ข่าวพระรามเก้า เน็ตเวิร์ค (Praram 9 Network) : Xclusive interview เสริมวิทย์ สิริพูนกิติกุล ที่ปรึกษาประธานกรรมการ บริษัท พระรามเก้าเน็ตเวิร์ค จำกัด







1044516_699127660112908_303389297_n (Mobile)


ที่พระรามเก้า เรื่องความมั่นคง ความตั้งใจ เจตนาในการเปิดบริษัทขายตรงถือว่าชัดเจน มาก ดังนั้น สมาชิกที่กำลังมองหาบริษัท ขายตรงทำเป็นที่สุดท้าย ที่สำคัญคือทำเสร็จ แล้ว รหัสของเราไม่ไปไหน สามารถมี รายได้ที่เกษียณได้จริง และยังส่งต่อให้กับ ลูกหลานรับรายได้แทนได้ ดังนั้น จึงอยาก เชิญชวนให้ทุกท่านเข้ามาร่วมกันสร้างธุรกิจ กันเป็นที่สุดท้าย เพราะสำเร็จครั้งนี้แล้ว จะสำเร็จตลอดไป


ตลอดระยะเวลา 1 ปี กับอีก 7 เดือน ที่บริษัท พระรามเก้าเน็ตเวิร์ค จำกัดขายตรงพันธุ์ไทยแท้ ใช้เป็น บททดสอบในการก้าวขึ้นมายืนหยัดอย่างแข็งแกร่งในวงการ ขายตรงเมืองไทย ไม่เพียงเท่านั้นค่ายขายตรงแห่งนี้ยังพร้อม ที่จะก้าวขึ้นมาอยู่บนแถวหน้าของธุรกิจขายตรงด้วยนโยบาย การบริหารงานที่มีอัตลักษณ์โดดเด่นเฉพาะตัวภายใต้สโลแกนก้าว...ไปข้างหน้า ก้าว...หาความสำเร็จ ก้าว...ไปกับเรา พระรามเก้าเน็ตเวิร์คบุคคลที่มีส่วนร่วมในการนำพานาวา ลำนี้ฝ่ากระแสลมเกลียวคลื่นที่ถาโถมซัดเข้ามาได้ จนก้าวขึ้นมา ยืนตระหง่านในเวลานี้ต้องยกให้ เสริมวิทย์ สิริพูนกิติกุล ที่ปรึกษาประธานกรรมการ บริษัท พระรามเก้าเน็ตเวิร์ค จำกัด ซึ่งวันนี้ได้ให้เกียรติมาเล่าถึง ถึงทิศทาง และการเติบโตของ พระรามเก้าเน็ตเวิร์ค


ตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบันภาพรวมของบริษัทเป็นอย่างไรบ้าง


ตั้งแต่ต้นปี 2556 ที่ผ่านมาถือว่าบริษัทมีอัตราการเติบโต ค่อนข้างมาก เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน สาเหตุมาจาก การที่เราได้สมาชิกที่เป็นนักธุรกิจมืออาชีพ และมีคุณภาพเข้ามา ร่วมงานด้วย ส่งผลให้ยอดจำนวนสมาชิกกระโดดจากแค่พันกว่า รหัส เพิ่มมาเป็น 4,000-5,000 รหัส ภายในระยะเวลาไม่กี่เดือน ซึ่งการที่เรามีสมาชิกที่เป็นนักธุรกิจมืออาชีพเข้ามา ทำให้การขยายตลาดไปเร็วกว่านักธุรกิจที่เป็นผู้บริโภคที่ไม่เคยทำธุรกิจ มาก่อน อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ยอดการเติบโตพุ่งแบบก้าวกระโดด มาจากตัวผลิตภัณฑ์ยาสมุนไพรจีน ที่พิสูจน์แล้วว่าใช้แล้วเห็น ผลดี จนเกิดการบอกต่อ ทำให้มียอดสั่งซื้อซ้ำกลับเข้ามา


ปีนี้ตั้งเป้ายอดขายรวมไว้ที่เท่าไร


ปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 100 ล้านบาท โดยในช่วง ปีแรกเป็นช่วงของการปูฐานตลาดผู้บริโภค ซึ่งนโยบายของ พระรามเก้าต้องการอยากจะอยู่ในธุรกิจนี้แบบระยะยาว ด้วย แนวคิดของท่านประธานผู้ก่อตั้ง (เสกสรรข์ ธีระวาณิชย์) ต้องการอยากจะให้กระจายสินค้าที่ดีมีคุณภาพออกไปสู่ทุกครัวเรือน ดัง นั้น จะเห็นได้ว่าเราไม่เน้นการสร้างยอด หรือสร้างกระแส เหมือนกับหลายๆ บริษัท อย่างไรก็ตาม ในส่วนของ จำนวนสมาชิกในปีนี้ บริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมา อยู่ที่ประมาณหลัก 10,000-20,000 รหัส เนื่องจากขณะนี้ยอดสมาชิกใหม่ที่สมัคร เข้ามาถือว่าเร็วมาก เฉลี่ยเดือนละ เกือบ 1,000 รหัส เพราะบริษัทได้ เปิดให้สามารถคีย์ใบสมัครแบบ ออนไลน์ได้


ปัจจุบันฐานตลาดอยู่ในภาคไหน เป็นหลัก


ฐานตลาดของพระรามเก้า อยู่ในภาคใต้เป็นหลัก คิดเป็น สัดส่วนประมาณ 50-60% โดย บริษัทมีแผนที่จะเปิดศูนย์เซ็นเตอร์ ภูมิภาคแห่งแรกที่จังหวัดนครศรีธรรม- ราช เนื่องจากมีฐานลูกค้า สมาชิก นักธุรกิจ อยู่ที่นี่ค่อนข้างเยอะ จากนั้นจะ ขยายไปที่กระบี่, สุราษฎร์ธานี, สตูล และตรัง ตามลำดับ นอกจากนั้นบริษัทยังมีระบบการสั่งซื้อ สินค้าแบบสต๊อกคิสต์ ทำให้สมาชิกสามารถแจงยอดสั่งซื้อ ให้ทีมงานได้สะดวกมากขึ้น ไม่ว่าจะอยู่ในพื้นที่ใดก็สามารถทำงาน และตรวจสอบสายงานได้อย่างถูกต้อง การลงทุนของศูนย์เซ็นเตอร์บริษัทอยู่ในช่วงของการ ประเมินค่าใช้จ่าย โดยเงินลงทุนทั้งหมดบริษัทจะเป็นผู้ดำเนินการ เองทั้งหมด เพื่อให้สามารถควบคุมมาตรฐาน และภาพลักษณ์ของ บริษัท ส่วนรูปแบบของศูนย์เราต้องการทำให้เป็นรูปแบบเดียวกัน ทั้งหมด โดยจะมีห้องประชุม เพื่อให้สมาชิกใช้ทำธุรกิจได้ ซึ่งจะมี เจ้าหน้าที่ของบริษัทคอยเป็นผู้ดูแล อย่างไรก็ตาม การที่เรามี เซ็นเตอร์ในภาคใต้เชื่อว่าจะทำให้ทำงานง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการ กระจายสินค้าสะดวกขึ้น และเร็วขึ้น


กลยุทธ์กระตุ้นยอดขายในช่วงครึ่งปีหลังมีอะไรบ้าง


ในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทจะเน้นการจัดประชุมสัญจร เพิ่มมากขึ้น เพราะหัวใจของธุรกิจขายตรง หากมีการจัดประชุม หรือมีกิจกรรม (อีเว้นต์) มากเท่าใด ก็จะทำ ให้เกิดวอลลุ่ม ยอดขาย เพิ่มมากขึ้นเท่านั้น ซึ่งตอนนี้บริษัทมีการจัดประชุม เพื่อเปิดโอกาสทางธุรกิจแบบเต็มรูปแบบในทุกวันเสาร์-อาทิตย์ ตามต่างจังหวัด ซึ่งขณะนี้แต่ละพื้นที่ต่างๆ ก็เริ่มเติบโตเพิ่มขึ้นตามลำดับ โดยใน แต่ละแห่งที่บริษัทไปจัดประชุมจะมียอดขายเฉลี่ยประมาณ 3-4 แสนบาท นอกจากนั้นบริษัทยังมีแผนจะนำไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ เข้ามาเพิ่มในตลาดมากขึ้นจากปัจจุบันที่มีอยู่ประมาณ 20 รายการ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม ได้แก่ 1.ผลิตภัณฑ์กลุ่มภายในหมวด ของยาจีน 2.ผลิตภัณฑ์กลุ่มภายนอก เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ควบคุมน้ำหนัก ดูแลผม ผิว เล็บ ชะลอเซลล์ ต้านอนุมูลอิสระ ทานแล้วผิวขาว กาแฟเพื่อสุขภาพ กาแฟสุภาพบุรุษ ที่จะมา เร็วๆ นี้ เป็นเครื่องดื่มชง ดีท็อกซ์ เป็นไฟเบอร์ผักผลไม้ ช่วยขจัด สิ่งที่ตกค้างอยู่ในระบบลำไส้ และ 3.ผิวพรรณดี เป็นกลุ่มฟิวแลนด์ ได้ลิขสิทธิ์มาจาก เกาหลี โดยล่าสุดได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มที่ 4 เป็น ผลิตภัณฑ์กลุ่มเสริมอาหารสัตว์ ได้แก่ เสริมอาหารสำหรับสุนัข ภายใต้ชื่อบ็อบบี้โปรซึ่งในอนาคตอาจจะมีผลิตภัณฑ์ที่ เกี่ยวกับเสริมอาหารสัตว์ออกสู่ตลาดเพิ่มมากขึ้น เนื่องจากบริษัท มีโรงงานผลิตของตัวเอง โดยได้ทำการวิจัยกับสำนักงานพัฒนา วิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ทำการวิจัย โครงการพัฒนาจุลินทรีย์ในเชิงอุตสาหกรรม


อยากให้ฝากอะไรทิ้งท้ายเกี่ยวกับธุรกิจพระรามเก้า


พระรามเก้า เป็นบริษัทที่ก่อตั้งขึ้นมา เพื่อที่จะอยู่ในธุรกิจ ต่อไปในระยะยาว ท่านประธานผู้ก่อตั้งไม่ได้เปิดขึ้นมาเล่นๆ เปิด แล้วต้องเติบโตอยู่ไปตลอด ดังนั้น อยากให้สมาชิกมั่นใจว่า พระรามเก้า ไม่ได้มีใครเชียร์ให้เปิด แต่ท่านประธานอยากจะทำ ธุรกิจขายตรงตั้งนานแล้ว จะเห็นว่าเราจดทะเบียนกับสำนักงาน คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ตั้งแต่ปี 2544 แต่เพิ่งมา เปิดเป็นบริษัทขายตรงอย่างเป็นทางการในปี 2555 เพราะ ช่วงจังหวะเวลายังไม่พร้อม ซึ่งในระหว่างนั้นท่านประธานก็ได้ ศึกษาธุรกิจนี้อย่างจริงจัง จนมาเปิดดำเนินการอย่างเป็นทางการ ในปีดังกล่าว


ที่พระรามเก้าเรื่องความมั่นคง ความตั้งใจ เจตนาในการ เปิดบริษัทขายตรงถือว่าชัดเจนมาก ดังนั้น สมาชิกที่กำลัง มองหาบริษัทขายตรงทำเป็นที่สุดท้าย ที่สำคัญคือทำเสร็จแล้ว รหัสของเราไม่ไปไหน สามารถมีรายได้ที่เกษียณได้จริง และยัง ส่งต่อให้กับลูกหลานรับรายได้แทนได้ ดังนั้น จึงอยากเชิญชวน ให้ทุกท่านเข้ามาร่วมกันสร้างธุรกิจกันเป็นที่สุดท้าย เพราะสำเร็จ ครั้งนี้แล้วจะสำเร็จตลอดไป





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 228 ประจำวันที่ 1-15 สิงหาคม 2556

ข่าวสมาคมการขายตรงไทย (TDSA) : TDSA จุดพลุ 30 ปี พี่ไทย ย้ำเป็นสมาคมของคน MLM







Capture (Mobile)


TDSA ย้ำจุดยืนเป็นสมาคมของคนขายตรง เตรียมผลักดันธุรกิจเครือข่ายอาชีพในฝัน ระบุ ไม่เน้นปริมาณสมาชิก เผยจัดงานใหญ่ฉลอง 30 ปี ภายใต้คอนเซ็ปต์ ธุรกิจเครือข่าย...อาชีพ แห่งอนาคต และปรับโลโก้ใหม่เพื่อก้าวสู่ความ ทันสมัย พร้อมเปิดตัวหนังสือคู่มือเล่มที่ 2 Entrepreneur หวังใช้เป็นคัมภีร์การทำธุรกิจ อย่างถูกวิธี


กิจธวัช ฤทธีราวี นายกสมาคมการ ขายตรงไทย (TDSA) กล่าวว่า ตลอดระยะ เวลา 30 ปี ที่สมาคมฯ ได้เปิดดำเนินงานมา ซึ่งจุดยืนของสมาคมฯ ในการดำเนินธุรกิจ ค่อนข้างชัดเจน คือ การสนับสนุน และ ผลักดันอุตสาหกรรมขายตรงของไทยให้ เป็นที่ยอมรับของบุคคลทั่วไป รวมถึง ต้องการให้สมาคมฯ เป็นสมาคมฯ เพื่อคน ขายตรงโดยตรง โดยต้องการสนับสนุน ผู้ประกอบการ และนักธุรกิจอิสระให้ เติบโตอย่างมีศักยภาพตามกฎจรรยา- บรรณ และประสบความสำเร็จอย่าง ยั่งยืน


ปัจจุบันภาพลักษณ์ของ ธุรกิจขายตรงเริ่มได้รับการยอมรับ จากบุคคลทั่วไปมากยิ่งขึ้น ทำให้มี คนเข้ามาอยู่ในอุตสาหกรรมขายตรง เพิ่มสูงขึ้นตาม โดยจากตัวเลขของ สมาคมฯ ที่ได้มีการสำรวจพบว่า มี ผู้ที่อยู่ในอุตสาหกรรมขายตรง ทั้งระบบอยู่ที่ 15 ล้านคน แบ่งเป็นประมาณ 9-10 ล้านบาท เป็นเพียงแค่ผู้ที่ซื้อสินค้ากิน และใช้เท่านั้น ส่วนอีก 5 ล้านคน ทำเป็นธุรกิจแบบจริงๆ จังๆ ดังนั้น หากเราทำให้ธุรกิจนี้เป็น ธุรกิจที่ให้ทำทุกอย่าง เชื่อว่าจะทำให้มีผู้คนเข้า สู่ธุรกิจขายตรงเพิ่มมากขึ้น


กิจธวัช กล่าวอีกว่า แม้จำนวนสมาชิก ของ TDSA จะมีเพียงแค่ 30-40 กว่าบริษัท เท่านั้น เมื่อเทียบกับผู้ประกอบการที่แจ้งไว้กับ ทางสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ทั้งหมด 353 บริษัท ทั้งที่สมาคมฯ เปิดมา 30 ปีแล้ว แต่สมาคมฯ มี หลักในการทำงาน ชัดเจน ไม่ได้แข่งขัน กับใคร ซึ่งการบอก รับสมาชิกใหม่เพิ่ม ทางสมาคมฯ ก็มี จุดยืนชัดเจนโดย เปิดรับสมาชิก ใหม่ไม่ว่าจะใช้ แผนการตลาด แบบใด เพียงแต่ ต้องปฏิบัติตาม กฎจรรยาบรรณ เท่านั้น


ขณะเดียวกัน จุดยืนของสมาคมฯ ยัง ต้องการจะเป็นแหล่งความรู้ ของอุตสาหกรรมขายตรงให้ กับหน่วยงานต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น ภาครัฐ, สถาบันการศึกษา และ บุคคลทั่วไป ในการศึกษาและ เรียนรู้ธุรกิจขายตรงอย่างถูกวิธี


ด้านสุชาดา ธีรวชิรกุล อุปนายกฝ่ายการศึกษา สมาคม การขายตรงไทย (TDSA) กล่าวว่า ตลอดระยะเวลากว่า 30 ปี ที่สมาคมฯ ได้รับการสนับสนุนจากบริษัทสมาชิก และผู้สื่อข่าว ดังนั้น สมาคมฯ จึงต้องการจะตอบแทนเพื่อเป็นการคืนกำไร สู่สังคม ด้วยการจัดงานสัมมนาครบรอบ 30 ปี เพื่อสร้าง ภาพลักษณ์ที่ดีของบุคคลทั่วไปต่ออุตสาหกรรมขายตรง แม้ว่าที่ผ่านมาภาพลักษณ์ของขายตรงจะดีอยู่แล้ว แต่ ต้องการจะทำให้บุคคลทั่วไปมีความเข้าใจในธุรกิจนี้ เพิ่มมากขึ้น


ทั้งนี้ การจัดงานสัมมนาครบรอบ 30 ปี จะจัดขึ้น ณ โรงแรมเซ็นทารา แกรนด์ แอท เซ็นทรัลเวิลด์ ในวันที่ 15 สิงหาคม 2556 ภายใต้หัวข้อ ธุรกิจเครือข่าย...อาชีพแห่ง อนาคต ซึ่งภายในงานดังกล่าวจะแบ่งเป็น 2 ส่วน ได้แก่ ภาคเช้า เป็นการสัมมนาในหัวข้อ Entrepreneurเจ้าของ ธุรกิจอิสระยุคใหม่ โดยได้รับเกียรติจากผู้มีประสบการณ์ ที่คร่ำหวอดในวงการมาให้ความรู้ และการสัมมนาในหัวข้อ ธุรกิจเครือข่าย...โอกาสไร้พรมแดนสู่ AEC เป็นการ แบ่งปันประสบการณ์การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการจาก 3 ประเทศ ได้แก่ ไทย เวียดนาม และมาเลเซีย ขณะที่ใน ภาคบ่ายเป็นการสัมมนา 30 ปี สมาคมขายตรงไทยภายใต้ หัวข้อ ธุรกิจเครือข่าย...อาชีพแห่งอนาคต โดยเปิดโอกาส ให้นักธุรกิจอิสระ และบุคคลทั่วไปมีความเข้าใจในการทำธุรกิจ ขายตรงอย่างถูกวิธี


นอกจากนั้นภายในงานยังได้เปิดตัวโลโก้ใหม่ของ สมาคม TDSA อย่างเป็นทางการ รวมถึงการเปิดตัวหนังสือ Entrepreneurเจ้าของธุรกิจอิสระยุคใหม่ ซึ่งเป็นคู่มือ เพื่อการศึกษาของธุรกิจเครือข่ายเล่มที่ 2 หลังจากคู่มือเล่ม ที่ 1 ได้รับการตอบรับดีมาก โดยคู่มือเล่มที่ 2 นี้ จะเป็นคู่มือ ที่ให้ความรู้ และความเข้าใจในธุรกิจขายตรงโดยเฉพาะกลุ่ม คนรุ่นใหม่ นิสิตนักศึกษา และบุคคลทั่วไป ที่ต้องการอย่าง จะมีธุรกิจเป็นของตัวเอง





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 228 ประจำวันที่ 1-15 สิงหาคม 2556


ข่าวเเอมเวย์ (Amway Thailand) : แอมเวย์ งัดแผน 2 สู้ศึกครึ่งปีหลังหวั่นพิษเศรษฐกิจฉุดกำลังซื้อหาย







คุณรัตนา-ชาญนรา-ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (Mobile)


แอมเวย์ งัดไม้เด็ดเล่นแผน 2 รุกตลาดขายตรงครึ่งปีหลัง โหมจัดโปรโมชั่นแรง หวัง ต่อยอดให้นักธุรกิจทำตลาดง่ายขึ้น หลังได้รับสัญญาณเศรษฐกิจ และการเมืองไม่นิ่ง กระทบกำลัง ซื้อของผู้บริโภค ล่าสุด เปิดตัวเสริมอาหารใหม่ นิวทริไลท์ แคล แมก ดี เจาะกลุ่มโรคกระดูก พรุน มั่นใจกระตุ้นยอดขาย 6 เดือนหลัง แตะ 300 ล้านบาท ด้าน กิจธวัช เผยบริษัทแม่ทุ่ม งบประมาณอีก 11,250 ล้านบาท ขยายโรงงานเพิ่ม 7 แห่ง รองรับตลาดเสริมอาหารขยายตัว


รัตนา ชาญนรา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากการประเมินสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังของปีนี้พบว่าเศรษฐกิจภายใน ประเทศอยู่ในช่วงที่ชะลอตัว บวกกับสถานการณ์ทางการเมืองที่ยังไม่นิ่ง ซึ่งปัจจัยดังกล่าวอาจจะ กระทบกับกำลังซื้อของผู้บริโภค ดังนั้น บริษัทได้ปรับแผน 2 ในการกระตุ้นยอดขายใหม่ เพื่อให้ สอดรับกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


สำหรับยอดขายของแอมเวย์ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 ที่ผ่านมา ถือว่าเติบโตตามเป้าหมาย ที่วางไว้ที่ 18,000 ล้านบาท โดยกลุ่มสินค้าที่มียอดขายเป็นอันดับ 1 ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร คิดเป็นสัดส่วน 36% กลุ่มเครื่องกรองน้ำ และกรองอากาศ 19% กลุ่มเครื่องสำอาง 17% และที่เหลือ เป็นสินค้าในกลุ่มอื่นๆ


โดยล่าสุดบริษัทได้เปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร นิวทริไลท์ แคล แมก ดี ใหม่ เป็นเสริม- อาหารที่ได้พัฒนาสูตรมาจากผลิตภัณฑ์เสริมอาหารตัวเดิมที่ชื่อ แคล แมก โปร ซึ่ง นิวทริไลท์ แคล แมก ดี ได้เพิ่มส่วนประกอบสำคัญที่จะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงให้กระดูกและฟัน ซึ่งจากการ วิจัยพบว่ากลุ่มตลาดดังกล่าวเป็นตลาดที่ใหญ่มาก ทั้งนี้ จากการสำรวจขององค์การอนามัยโลก พบว่าปัจจุบันมีผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุขอันดับ 2 รองจากโรคหัวใจและหลอดเลือด ดังนั้น ผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจึงช่วยป้องกันการเกิดโรคกระดูกพรุนได้


บริษัทได้ตั้งเป้าหมายสำหรับเสริมอาหารดังกล่าวในช่วง 6 เดือนหลังของปี 2556 นี้ จะมียอดขายกว่า 300 ล้านบาท นอกจากนี้บริษัทมีแผนจะเสริมตลาดสินค้าในกลุ่มเสริมอาหาร ให้มีความแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น คาดว่าภายในปีนี้จะมีสินค้าในกลุ่มเสริมอาหารเข้ามาเพิ่มอีก อย่างน้อย 1 รายการ หรือมากกว่านี้ ซึ่งต้องขึ้นอยู่กับการขอขึ้นทะเบียนกับสำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยา (อย.) อย่างไรก็ตาม นโยบายของแอมเวย์ไม่ได้เน้นในเรื่องการ ออกสินค้าใหม่ปีละจำนวนมาก แต่จะเน้นที่คุณภาพของสินค้าเป็นหลัก


ด้าน กิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันในกลุ่มของผลิตภัณฑ์เสริมอาหารค่อนข้างแข่งขันกันรุนแรงมากขึ้น แม้ แอมเวย์จะถือว่าเป็นผู้นำในตลาดดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ และมีการประเมินสถานการณ์ อยู่ตลอดเวลา ซึ่งในครึ่งแรกของปีนี้ยอดขายในกลุ่มเสริมอาหารยังเป็นไปตามเป้าหมาย อย่างไรก็ตามบริษัทยังคงเป็นห่วงในเรื่องของสถานการณ์เศรษฐกิจที่จะมีผลต่อกำลังซื้อ และการตัดสินใจของผู้บริโภค


ทั้งนี้ เพื่อเป็นการรองรับการเติบโตของตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารบริษัทแม่ แอมเวย์ได้เตรียมงบประมาณกว่า 11,250 ล้านบาท เพื่อขยายโรงงานเพิ่มอีก 7 แห่ง ได้แก่ สหรัฐอเมริกา, จีน, อินเดีย, และเวียดนาม เพื่อขยายกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์ เสริมอาหารนิวทริไลท์ ซึ่งในปี 2555 ที่ผ่านมา นิวทริไลท์ในประเทศไทยได้ประสบ- ความสำเร็จมียอดขายกว่า 6,000 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโตกว่า 15% จาก ยอดขายรวมทั่วโลกที่ 147,000 ล้านบาท





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 228 ประจำวันที่ 1-15 สิงหาคม 2556

อุสา ทวีรัมย์เปิดใจความสำเร็จคนเครือข่าย ชีวิตมีสุข รายได้งามต้องเค มาร์เก็ตติ้ง







000 (Mobile)


วันนี้ต้องยอมรับว่า กระแสของธุรกิจน้องใหม่ในวงการขายตรง มีทั้งผู้ที่สามารถแจ้งเกิดในธุรกิจได้ และผู้ที่ไม่สามารถแจ้งเกิดในธุรกิจได้ ซึ่งเครือข่ายที่จะเกิดได้แบบไม่มีดับในวงการนี้ ต้องของจริง ของแท้ ชนิดที่ว่าไม่มีสารปนเปื้อนนั่นเอง เฉกเช่นเดียวกับขายตรงค่ายนี้ บริษัท เค มาร์เก็ตติ้ง เวิลด์ จํากัด ที่ถึงแม้ว่าจะเป็นขายตรงค่ายใหม่ แต่ต้องบอกว่าทีมผู้บริหารไม่ใช่ใหม่ในวงการเลยทีเดียว เพราะเคยสามารถสร้างชื่อแบบกระฉ่อนวงการเครือข่ายให้ดังแบบเปรี้ยงป้างมาแล้ว


ซึ่งการสร้างความยิ่งใหญ่ของ เค มาร์เก็ตติ้ง ในครั้งนี้ ต้องบอกว่า นอกเหนือจากสินค้าเกษตรที่จะเป็นอีกหนึ่งหัวหอกที่สำคัญแล้ว เรื่องของผู้นำของค่ายนี้ ต่างก็มีความเป็นมืออาชีพด้วยเช่นกันที่สำคัญ นั้นต้องยอมรับว่า บริษัท เค มาร์เก็ตติ้ง เวิลด์ จํากัด สามารถตอบโจทย์ทุกความต้องการของเกษตรกรได้จริงทั้งในเรื่องของผลผลิต รายได้ การสร้างงาน สร้างอาชีพนั่นเอง


ปักษ์นี้คอลัมน์ เส้นทางสู่ความสำเร็จ ขอเปิดใจผู้ที่เข้ามาในธุรกิจเค มาร์เก็ตติ้งแล้ว ประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้อย่างไรบ้าง และมีแนวคิดในการทำธุรกิจอย่างไร ซึ่งผู้ที่จะมาถ่ายทอดเส้นทางชีวิตสู่ความสำเร็จในครั้งนี้นั้น มีนามว่า อุสา ทวีรัมย์ ผู้ซึ่งเป็นเกษตรกรธรรมดา หาเช้ากินค่ำ ที่บางครั้งก็อาศัยเวลาว่างทำธุรกิจเครือข่ายนี้ด้วย


เธอผู้นี้ได้เล่าให้ ตลาดวิเคราะห์ ฟังว่า ก่อนหน้าที่จะมาทำในธุรกิจเค มาร์เก็ตติ้ง ตนเองเคยผ่านบริษัทขายตรงมาหลากหลายแห่ง ซึ่งยังไม่มีสักแห่งที่จะทำให้ชีวิตมีความสุขและสุขสบายเท่าที่เค มาร์เก็ตติ้ง แห่งนี้ ซึ่งที่นี้ สามารถพลิกชีวิตของเธอให้แปรเปลี่ยนไปราวฟ้ากับดินจากเกษตรกรธรรมดา...สู่การเป็นนักธุรกิจเงินแสนเงินล้าน


อุสา เล่าอีกว่า...อาชีพแต่ก่อนเป็นเกษตรกร และก็กำลังเรียน ป.ตรี แต่ก่อนก็เคยทำเครือข่าย ที่เป็นบริษัทเกี่ยวกับปุ๋ยมาเกือบ 7 ปี แต่ที่ทำในช่วงที่ผ่านมานั้นเป็นปุ๋ยน้ำ และมันยังไม่ตอบโจทย์กับเกษตรกรแบบเราเท่าไหร่นัก ซึ่งตอนนั้นเธอสนใจแค่ผลิตภัณฑ์ที่เป็นอินทรีย์เท่านั้น


แต่ ณ ปัจจุบันนี้ อินทรีย์กับเคมีก็ต้องแมทกัน ต้องพึ่งพากัน เพราะถ้าหากอินทรีย์อย่างเดียวผู้ใช้เกษตรกรเขาก็จะยังไม่เชื่อมั่น แต่หากถ้าเป็นอินทรีย์เคมี เกษตรกรส่วนใหญ่เขาก็จะหันมาสนใจว่าใช้ได้จริงไหม


อุสา เล่าต่อว่า ที่เธอเลือกเข้ามาทำตรงนี้ เพราะเชื่อมั่นในตัวผลิตภัณฑ์ เพราะได้เข้ามาเริ่มแรกตั้งแต่บริษัทเปิดใหม่ ซึ่งในตอนนั้นสินค้าบริษัทยังไม่มีขาย แต่เธอได้ไปทำแปลงทดลองที่จังหวัดนครสวรรค์ อยู่ 3 เดือน และเห็นนวัตกรรมความแปลกใหม่ จึงตัดสินใจเข้ามา...


ถ้าพูดถึงคำว่าปุ๋ยด้านนวัตกรรม ต้องบอกว่า จริง ๆ แล้ว เราก็ไม่ใช่เกษตรกรโดยตรงเสียทีเดียว ซึ่งเราเองก็ต้องการอะไรใหม่ ๆ ที่ทำแล้วสามารถลดต้นทุน ลดแรง ลดค่าใช้จ่าย แต่ได้ผลผลิต และผลตอบกลับคือ ผู้ใช้มีสุขภาพดีขึ้น ฐานะทางการเงินดีขึ้น และทุกอย่างในสภาพครอบครัวดีขึ้น และย่นระยะเวลาการเก็บเกี่ยวได้ด้วยนั่นเอง


แต่เมื่อตัดสินใจทำ...ก็ต้องลองท้าพิสูจน์ โดยการลงทุนซื้อสินค้าไปให้เกษตรกรรายหนึ่งใช้ในแปลงนา และเมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน เขาก็สั่งสินค้าเพิ่มเหตุเพราะใช้แล้วเห็นผลเกินคุ้ม ทำให้เกิดความมั่นใจ เลยตัดสินใจศึกษาตลาดอย่างจริงจัง


ธุรกิจเค.มาร์เก็ตติ้ง ดีตรงที่สินค้าดี ผู้บริหารดี และมีความรู้สึกตื่นเต้นทุกครั้ง เมื่อมีคนโทรศัพท์เข้ามาขอซื้อสินค้าและสมัครสมาชิก...ทำธุรกิจแค่ไม่กี่เดือน ก็สามารถทำรายได้กลับเข้ามา...ถึงกับตกตะลึง...ในความมหัศจรรย์ของธุรกิจ เค มาร์เก็ตติ้ง


อุสา เล่าต่ออีกว่า ทำธุรกิจค่าย เค.มาร์เก็ตติ้ง มาปีกว่าแล้ว ปัจจุบันเธอมีรายได้เพิ่มขึ้น มีบ้านหลังใหม่ เปิดศูนย์ของ เค มาร์เก็ตติ้ง ที่จังหวัดชัยนาท...และที่สำคัญนอกเหนือความสุขที่ทุกคนในครอบครัวจะได้รับแล้ว เธอบอกว่า ยังได้บุญกุศลที่สามารถเป็นส่วนหนึ่งในการช่วยเหลือเพื่อนเกษตรกร ให้เขามีผลผลิตดี และมีรายได้จากการซื้อใช้สินค้า และจากการเข้าร่วมธุรกิจอีกด้วย


วันนี้ต้องบอกว่า ชีวิตคนไม่สายต่อการเริ่มต้นใหม่เสมอ แม้ว่าวันนี้จะไม่มีงานทำ หรือทำงานประจำอยู่แล้ว แต่หากต้องการหารายได้เสริม หรือรายได้ให้เป็นกอบเป็นกำ เชื่อว่า ธุรกิจเครือข่าย ค่าย เค.มาร์เก็ตติ้ง น่าจะเป็นทางเลือกและทางรอดของวิกฤติ...เพราะเพียงแค่เปิดใจ โอกาสทองไม่ได้หากันง่าย ๆ...หากคิดจะเริ่มต้น ก็ต้องเริ่มต้นเสียตั้งแต่วันนี้...รับรองที่ เค มาร์เก็ตติ้ง ยังมีขุมทรัพย์ให้ขุดอีกมากมาย


อุสา บอกว่า...ชีวิตที่เปลี่ยนแปลงทุกวันนี้ ถ้าไม่มี เค.มาร์เก็ตติ้ง ก็คงไม่รู้ว่าชีวิตจะเป็นอย่างไร วันนี้ ธุรกิจเค.มาร์เก็ตติ้ง มอบชีวิตใหม่ให้กับเขาและครอบครัว...


นอกจากนี้ อุสา ยังมีเคล็ดลับการทำงานที่ว่า...คือในการทำตลาดจะสอนสมาชิกตลอด ให้เรายึดแนวทางของบริษัทเป็นหลัก ที่สำคัญ ทาง อุสา ยังบอกอีกว่า ที่ เค.มาร์เก็ตติ้ง ยังมีโครงการดี ๆ ที่มอบให้กับเกษตรที่สนใจอีกด้วย โดยชื่อโครงการ ใช้ก่อนผ่อนทีหลังของ Sk999 และหลังจากนั้นเราต้องเป็นตัวอย่างให้เขา ในเรื่องความซื่อสัตย์ การไม่ไปเอารัดเอาเปรียบ ยึดมั่นในเรื่องจรรยาบรรณ การช่วยเหลือกัน เป็นพี่เป็นน้องกัน เป็นครอบครัวเดียวกัน แค่นี้เราก็จะประสบความสำเร็จได้!!


ส่วนคติประจำใจ คติในการทำงานนั้น อุสา แนะว่า...ขอให้เป็นตัวอย่างที่ดี มีค่ามากกว่าคำสอน คือ อย่ามองอะไรเป็นปัญหา ให้เรามองว่าปัญหาทุกอย่างมีทางออก เพราะทุกชีวิตทุกย่าง มีปัญหาหมด และคนที่มีปัญหาและสามารถแก้ได้ นั่นแหล่ะชีวิตคุณก็จะประสบความสำเร็จ


ส่วนเป้าหมายอันยิ่งใหญ่ที่ อุสา ตั้งไว้นับจากนี้ไป...ก็อยากให้สมาชิกใต้สายงานประสบความสำเร็จทุกคนนั่นคือ สิ่งที่ต้องการ


สุดท้าย อุสา ได้ฝากถึงทุกคนว่า...ถ้าวันนี้คุณได้ตัดสินใจทำที่ เค.มาร์เก็ตติ้ง แล้ว ไม่อยากที่จะให้ไปทำที่บริษัทอื่น เพราะว่าที่นี่มีทุกอย่างครบถ้วน เราสามารถที่จะนำไปใช้ได้...และสามารถประสบความสำเร็จได้ เพราะ ธุรกิจเค.มาร์เก็ตติ้ง คือ ขุมทรัพย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด...ที่จะทำให้เกษตรกรไทยทุกคนร่ำรวยได้นั่นเอง





Credit By :http://www.taladvikrao.com

วันจันทร์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2556

1577 โฮม ช้อปปิ้งปลื้มยอดครึ่งปีแรกโตเกินเป้าร้อยละ15 เผยยุทธศาสตร์ครึ่งปีหลังดันสินค้าสุขภาพ-ความงามชิงแชร์







556000009466902 (Mobile)


1577 โฮม ช้อปปิ้ง แจงผลประกอบการครึ่งปีแรก โตเกินเป้าร้อยละ 15 ประกาศเดินหน้าต่อครึ่งปีหลัง พร้อมเตรียมดันสินค้าใหม่เพิ่มอีก 10 รายการ เน้นผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงามในกลุ่มดูแลรูปร่างและน้ำหนัก พ่วงท้ายด้วยกิจกรรมการตลาดอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มช่องทางการสั่งซื้อออนไลน์ รองรับการเติบโตในอนาคต


นายจุล โชติกะวรรณ กรรมการบริหาร บริษัท พรอพเพอร์ตี้ เทคโนโลยี่ จำกัด เผยถึงผลประกอบการในช่วงครึ่งปีแรกว่า บริษัทฯ สามารถมียอดขายที่เติบโตเกินกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้กว่าร้อยละ 15 หรือมียอดขายประมาณ 850 ล้านบาท จากที่ตั้งเป้าหมายยอดขายปีนี้จะเติบโตขึ้นมียอดขาย 740 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยที่ทำให้ผลประกอบ การเติบโตเกินคาดนั้น ส่วนหนึ่งมาจากการเปิดตัวสินค้าใหม่ในกลุ่มสุขภาพและความงาม 6 รายการเมื่อต้นปีที่ผ่านมา รวมถึงการใช้กลยุทธ์การตลาดที่มีประสิทธิภาพ โดยการจัดกิจกรรม ส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อกระตุ้นตลาด โดยเฉพาะกิจกรรม 1577 โฮม ช้อปปิ้ง ฉลองครบรอบ 9 ปี แจกทองคำ 99 เส้น 99 รางวัล ได้รับการตอบรับดีจากผู้บริโภค มีผู้ส่งชิ้นส่วนเข้าร่วมกิจกรรมเป็นจำนวนมาก


สำหรับแผนการดำเนินงานในช่วงครึ่งปีหลังนั้น ทางบริษัทฯ วางแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่ 10 รายการ ในกลุ่มอาหารเสริมเพื่อสุขภาพและความงาม โดยเฉพาะในหมวดดูแลรูปร่างและน้ำหนัก เนื่องจากเป็นกลุ่มสินค้าที่ตลาดยังมีความต้องการสูง และสร้างยอดขายเป็นอันดับหนึ่งของบริษัทฯ ซึ่งปัจจัยหลักที่ทำให้สินค้าในหมวดอาหารเสริมเพื่อดูแลรูปร่างและน้ำหนักของ 1577 เป็นที่นิยมสูงสุด มาจากความเชื่อมั่นในแบรนด์ ลูกค้าใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ที่น่าพึงพอใจ จึงเกิดการซื้อซ้ำและบอกต่อ


นายจุล เผยต่ออีกว่า นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังคงวางกลยุทธ์การตลาด ด้วยการเน้นกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น และให้การใช้จ่ายของลูกค้าคุ้มค่าที่สุด พร้อมวางงบโฆษณาประชาสัมพันธ์กว่า 150 ล้านบาท เพื่อแนะนำสินค้าให้เป็นที่รู้จักในกลุ่มเป้าหมาย พร้อมสร้างความเชื่อมั่นในการบริการของ 1577 โฮม ช้อปปิ้ง ตามนโยบาย 1577 Be Beauty ให้คุณสวย Be Health ให้คุณสุขภาพดี Be Happy ให้คุณช้อปปิ้งมีความสุข Be 1577 โทร 1577 Be Service by Heart เราบริการคุณด้วยใจ


ในปีนี้บริษัทฯ ยังคงมุ่งรักษาฐานลูกค้าเก่า พร้อมขยายฐานลูกค้าใหม่ โดยการปรับปรุงพัฒนาด้านการให้บริการ และเทคโนโลยี เช่น การพัฒนาคุณภาพพนักงานฝ่ายบริการลูกค้า ให้เป็นเสมือนที่ปรึกษาด้านสุขภาพและความงาม การพัฒนาระบบการสั่งซื้อออนไลน์ ผ่านเว็บไซต์ www.lanlabuy.com เพื่อขยายตลาดลูกค้าในกลุ่ม E-Commerce และรองรับพฤติกรรมผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป โดยคาดหวังยอดขายจากช่องทางนี้ประมาณ 5% จากยอดขายทั้งหมด นายจุล กล่าว





Credit by :http://www.taladvikrao.com

ข่าวไทยเฮลท์ (Thai Health) : จุดประกายความคิด ด้วยธุรกิจแห่งโอกาส ชาญ์ณรงค์ โพธิ์สุขเกษม นักธุรกิจไทยเฮลท์







thaihealth (Mobile)


หากมองย้อนอดีตชีวิต... ชาญ์ณรงค์ โพธิ์สุขเกษม อดีตทำงานด้านสื่อวิทยุ ตั้งแต่จัดรายการวิทยุ บริหารคลื่นวิทยุ มากว่า 20 ปี ผ่านการเป็น มนุษย์เงินเดือน มาหลากหลาย แต่ก็พอถึงจุดหนึ่งก็ได้ผันชีวิตที่ทำตรงนั้นมา


เพราะว่า...ด้วยปัจจัยหลาย ๆ ด้าน ทำให้เขาได้เลือกที่จะต้องการแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเข้ามาในชีวิต...จนกระทั่ง เข็มทิศชีวิต ได้พลิกผันให้เขาผู้นี้ได้มาสู่โลกของ ธุรกิจขายตรง


แต่โดยส่วนตัว ชาญ์ณรงค์ ผู้มีความใฝ่ฝันที่อยากจะรวยเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว จึงไม่ลังเลใจที่จะกระโดดเข้ามาบนเส้นทางธุรกิจขายตรง


ชาญ์ณรงค์ บอกว่า...เพราะในตอนนั้นก็มีเรื่องของขายตรง กับสื่อวิทยุเข้ามา และทางผู้บริหาร ไทยเฮลท์ ได้ไปซื้อคลื่นเครือข่าย เลดิโอ โอเค ไป


ชาญ์ณรงค์ เลยได้เข้ามาบริหารคลื่นวิทยุตรงนี้ให้ เพราะจากประสบการณ์ที่บริหาร มาหลายปี และมีคลื่นวิทยุเป็นของตัวเอง จึงได้เริ่มมาตั้งแต่นั้น...จากจุดนี้ ชาญ์ณรงค์ ก็อยู่ในแวดวงการของสื่อมานาน จนได้เข้ามาและก็ได้เข้ามานั่งในตำแหน่ง GM ดูแลงานด้านสื่อเป็นหลัก


ชาญ์ณรงค์ มีความเชื่อมั่นว่า ไทยเฮลท์ มีระบบการบริหารงานที่แปลกใหม่ มีไอเดีย ที่สามารถนำวิทยุ กับขายตรงมาผสมผสานกัน ตรงนี้วิทยุน่าจะมีโพดักของตัวเอง มาขายเพื่อความอยู่รอด เพื่อเป็นฐานการทำวิทยุ เช่นเดียวกับการขายโฆษณา


จุดเริ่มต้น ไทยเฮลท์ มีสินค้าต้องการสื่อมาเสริม ส่วนทาง ชาญ์ณรงค์ มีสื่อ ก็ต้องการสินค้ามาเสริม เกิดความต้องการที่ตรงกัน และตกลงทำงานด้วยกัน!..


...นี่ก็เป็นโอกาสที่ได้พบกับธุรกิจแนวใหม่ที่แตกต่างจากขายตรงทั่วไป ที่เป็นทั้งเครือข่ายร้านค้า และเครือข่ายผู้บริโภค และเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการสามารถขยายสาขาได้โดยไม่ต้องใช้เงินลงทุนเพิ่ม...


ชาญ์ณรงค์ บริหารสื่อคลื่นวิทยุของ ไทยเฮลท์ มา 1 ปีเต็ม ก็เกิดวิกฤติน้ำท่วมเข้ามา ทำให้มีอุปสรรค์ในการไปทำงาน เพราะในตอนที่ทำงานเป็น GM ท่านผู้บริหารไทยเฮลท์ ก็ได้ให้โอกาสทดลองโปรเจกต์ใหม่ ๆ กับ ชาญ์ณรงค์ คือเปิดเป็น ดีลเลอร์ ไปด้วย


ซึ่งอาจบังเอิญ หรือว่า โชคชะตา ที่นำพา ชาญ์ณรงค์ เข้ามา สู่อ้อมใจ ใน ธุรกิจเครือข่าย ของ ไทยเฮลท์ ได้โดย ละม่อง ซึ่งก็ได้เปลี่ยนความคิดจากที่ไม่เคยสนใจแต่ชีวิตได้พลิกผันเข้ามาศึกษาเรียนรู้หลักการต่าง ๆ


เริ่มแรกของการทำงานเชิงดีลเลอร์ ที่จังหวัดลพบุรี และก็ขยายดีลเลอร์ออกไป กระจายอยู่หลายพื้นที่ แต่ส่วนใหญ่ ชาญ์ณรงค์ จะได้ดูแลทางภาคเหนือ และฐานลูกค้าที่ซื้อสินค้า ก็จะเป็นกลุ่มคนอายุ 40 ขึ้นไป และในกลุ่ม 30-20 ก็มีบ้างเป็นบางส่วน จุดนี้ ชาญ์ณรงค์ เน้นที่การขยายดีลเดลอร์ คือการซื้อคลื่นวิทยุให้คลอบคลุมทั่วประเทศ


ชาญ์ณรงค์ ก็มีทุนในการทำสถานี และต้องมีทุนในการทำสต๊อกสินค้า การสั่งสินค้าเป็นล็อต เพื่อให้ได้โปรโมชั่น ราคาถูกกว่าโปรโมชั่น เพื่อที่การแบ่งส่วนกำไรเยอะ และเรื่องของการลงทุนด้านพนักงาน ลงทุนด้านทรัพยากรในการบริหารจัดการ!...


ตรงนี้...คือรูปแบบการทำงานที่ต่างกัน มันเป็นภาพขายตรงจากไดเร็กมาเก็ตติ้ง แต่นั้นคือ MLM ส่วนลักษณะการทำงานของไทยเฮลท์จะไม่ได้เป็น MLM โดยตรง ไม่ได้ต้องมีแผน ไม่ต้องทำแผนงาน จึงทำให้ต้องตัดสินใจเลือกไทยเฮลท์...


ชาญ์ณรงค์ ไม่รอรี รีบกระโดดลงมาเป็นส่วนหนึ่ง ของ ธุรกิจไทยเฮลท์ ธุรกิจแห่งอนาคตทันที เพราะไม่ว่าเศรษฐกิจย่ำแย่สักแค่ไหน ก็สามารถยืนหยัดได้


...หลังจากที่ ชาญ์ณรงค์ ได้ก้าวเท้าเข้ามายัง ธุรกิจไทยเฮลท์ ซึ่งเป็น ธุรกิจเครือข่าย ที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อน ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ!...จากคนที่ไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะต้องมาเดินบนเส้นทาง


...นี่ถือได้ว่าเป็นความเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ซึ่งถือว่าเป็นครั้งสำคัญที่สุดของชีวิตเลยก็ว่าได้ แม้ว่าช่วงแรกจะทำงานไม่ค่อยเป็นเท่าใดนัก แต่ก็ไม่ลดล่ะควักกระเป๋า ลงทุนจัดสัมมนาตามสถานที่ต่าง ๆ ซึ่งกระแสตอบรับดีเกินคาด และยังเปิดสถานีขยายงานไทยเฮลท์...


ตลอดระยะเวลา 2 ปีเต็มที่ได้สัมผัส ชาญ์ณรงค์ ได้รับสิ่งต่าง ๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็นบ้านราคาหลายล้านบาท รถยนต์คลาสสิค ที่ชอบสะสม พวกรถเก่า...ล้วนแล้วเกิดจากการทำธุรกิจ ไทยเฮลท์ ทั้งสิ้น...ปัจจุบันมีรายได้รวม 7 หลัก/ปี ถือว่าธุรกิจประสบความสำเร็จ และก็ให้ผลประกอบการที่ดี


ตรงนี้เองจึงเป็นเหตุให้ ชาญ์ณรงค์ โตขึ้น โตขึ้น และโตขึ้น จนกลายเป็นเบอร์หนึ่ง แห่งค่าย ไทยเฮลท์ ได้แบบชิว ๆ


...ชาญ์ณรงค์ มุ่งมั่นทำงานอย่างเต็มที่ เพราะที่นี่เป็นธุรกิจแห่งอนาคต เขาจึงได้เข้ามาศึกษาเรียนรู้หลักสูตรต่าง ๆ เพื่อที่จะขยายงานอย่างไม่สะดุด เพราะกระบวนการฝึกอบรมจะเป็นลักษณะมุ่งเน้นที่จะให้ข้อมูล ธุรกิจไทยเฮลท์ เพื่อใช้ในการตัดสินใจ เพื่อให้ผู้ประกอบการเป็นผู้เชี่ยวชาญในการดำเนินธุรกิจ, ผลิตภัณฑ์ และการบริหารงาน...


ความสำเร็จ ไม่ได้เกิดขึ้นที่บุคคลใด บุคคลหนึ่ง แต่เกิดขึ้นสำหรับทุกคนที่มีความตั้งใจ ที่จะทำในสิ่งนั้นด้วยความตั้งใจ ซึ่งธุรกิจไทยเฮลท์ มีหลายหลักสูตรที่แตกต่างกันออกไป แต่ผมจะให้ความรู้เกี่ยวกับการสร้างทีมงานอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อที่จะให้นักธุรกิจก้าวไปสู่ความสำเร็จได้อย่างมั่นคง


...ปัจจุบัน ชาญ์ณรงค์ มีรายได้จากที่นี้มากมาย แค่เพียงระยะเวลาประมาณ 2 ปี เท่านั้น ซึ่งเขาบอกว่า เขาไม่ใช่ว่าเป็นคนเก่งอะไรมากมาย แต่...ว่า ธุรกิจไทยเฮลท์ เติบโตด้วยคุณภาพของสินค้า ราคาเข้าถึงทุกกลุ่มทั่วไทย โดยจะไม่มีการมานั่งเขียนแผน แต่จะเป็นการแนะนำธุรกิจรูปแบบของการให้แนวคิด ปลูกฝังในเรื่องสื่อวิทยุชุมชนเพื่อกระจายไปสู่ภูมิภาคต่าง ๆ


ชาญ์ณรงค์ ยังบอกว่า...ในขณะที่เราเป็นดีลเลอร์ ผลประกอบการดี ก็มีมูลค่าการลงทุนที่เยอะ สามารถขยายสาขาเพิ่ม สามารถกล้าลงทุนในพื้นที่ต่าง ๆ มากขึ้นอีกด้วย! ถือว่ารายได้ที่เข้ามานั้นพอที่จะเลี้ยงดูศูนย์แต่ละศูนย์ สามารถเอาเงิน ผลกำไร ไปขยายธุรกิจเพิ่มได้...ยามว่าง ๆ ก็ไปเล่นกอล์ฟ ตีกอล์ฟกับเพื่อน ๆ!!...


นี่คือ น้ำพัก น้ำแรง ที่เกิดจากความขยันและความอดทน มาจนถึงวันนี้...แน่นอนที่สุด เป้าหมาย คือสิ่งที่มีไว้ให้ทุกคนได้พุ่งชน...


เช่นเดียวกับ ชาญ์ณรงค์ ที่ได้ตั้งเป้าหมายนับจากนี้ไปว่า ขยายสาขาให้ครอบคลุมทุกภาค...เพราะในปี2556 คงเกิดการถูกจำกัดให้สื่อนั้นเล็กลง จึงทำให้เกิดการแย่งสื่อมากขึ้น ก็จะทำให้ส่งผลต่อการแข่งขันทางด้านสินค้า การรับมือก็จะไม่ได้เกรงกลัว เพราะ ณ วันนี้เรามีลูกค้า มีฐานลูกค้าอยู่แล้ว ต่อไปก็จะเน้นเรื่องกลยุทธ์ทางการตลาด การจัดโปรโมชั่นกับผู้บริโภค


AEC ที่จะเปิด ไทยเฮลท์ ก็มีการรองรับเรื่องของกำลังส่ง กำลังเครือข่าย คือการสร้างผู้ผลิตที่มีช่องทางการขายทางวิทยุ ให้เปรียบเหมือนร้านค้า และการเปิดช่องทางการทำสื่อต่าง ๆ การสร้างเป้าหมายให้เป็นคลื่นหลักในสื่อวิทยุ และพัฒนากลุ่มสินค้า เตรียมพร้อมรับเรื่องราวของ กสทช.


ไทยเฮลท์ เป็นธุรกิจขายตรงของคนไทย ที่ตอบสนองทั้งความรวย ความมั่นคง บารมี และสุขภาพ...เป็นธุรกิจที่สามารถเข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต มีรายได้แน่นอน แค่เข้ามาเรียนรู้ระบบ และสินค้านั้นให้ความชัดเจน...เมื่อเรามีความเชื่อมั่น 100% แล้ว!ลุยเลย... และอยากจะฝากเรื่องของปัจจัยด้านเศรษฐกิจ เพราะในตอนนี้ยังไม่นิ่งนัก ก็อยากจะฝากว่าถ้าปัจจัยตรงนี้นิ่งก็จะทำให้ทุกอย่างลงตัวได้ดีที่สุด!!





Credit By :http://www.taladvikrao.com

ข่าวดีเน็ทเวิร์ค (D Network Worldwide) : ดี เน็ทเวิร์คปลื้มยอดโกเรจินส์ทะลุ7หมื่นกล่อง ประกาศเร่งเครื่องวางรากฐานธุรกิจใหม่ครึ่งปีหลัง







5511 (Mobile)


ดี เน็ทเวิร์ค เผยภาพรวมธุรกิจครึ่งปีแรกธุรกิจโตเกินพิกัด หลังผลิตภัณฑ์ โกเรจินส์ สร้างยอดขายได้ถึง 60 ล้านบาทต่อเดือน หรือประมาณ 7 หมื่นกล่อง พร้อมเตรียมเข็นสินค้าเพิ่มอีก 5 แสนกล่องช่วงเดือนกันยายนนี้...แย้มเตรียมพบโรงงานผลิตสินค้าแห่งใหม่ย่านร่มเกล้าเร็วๆ นี้ ลั่นเป้าสิ้นปีขอยอดแตะ 1,000 ล้าน


นายสาคร ใสกมล ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด เผยถึงภาพรวมธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาพร้อมกับแผนงานในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ว่า ในช่วงครึ่งปีแรกที่ผ่านมา บริษัทฯ ค่อนข้างที่จะประสบความสำเร็จในเรื่องของยอดขายผลิตภัณฑ์ โกเรจินส์ ซึ่งสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 60 ล้านบาทต่อเดือน หรือประมาณ 7 หมื่นกล่องด้วยกัน พร้อมกันนี้ ในช่วงเดือนกันยายนที่จะถึงนี้ บริษัทฯ เตรียมที่จะนำผลิตภัณฑ์ โกเรจินส์ จำนวน 5 แสนกล่องเข้ามาวางจำหน่ายตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและสมาชิกอีกด้วย


สำหรับแผนการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ นับจากนี้นั้น ทางบริษัทฯ ยังได้สร้างโรงงานการผลิตสินค้าแห่งใหม่เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคตอันใกล้นี้ด้วย ย่านร่มเกล้า โดยโรงงานดังกล่าวทางบริษัทฯ ได้มีการเตรียมงานไว้ถึง 2 ปีด้วยกัน โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จภายในเดือนกรกฎาคมนี้ ที่มีมูลค่าประมาณ 100 ล้านบาท


นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังเตรียมที่จะซื้อที่ดินแถวถนนสุวินทวงศ์เนื้อที่ 3 ไร่ มูลค่า 40 ล้านบาท เพื่อเตรียมไว้สร้างตึกอาคารแห่งใหม่นี้อีกด้วย ซึ่งคาดว่าน่าที่จะใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นไม่ตำกว่า 150 ล้านบาท ด้วยกัน


นายสาครเผยอีกว่า สำหรับยอดขายของบริษัทฯ ในปีนี้ ตั้งเป้าไว้ที่ 1,000 ล้านบาท โดยถือว่าเป็นตัวเลขที่สูงขึ้นกว่าเป้าเดิมที่ตั้งไว้คือ 600 ล้านบาท ซึ่งสาเหตุที่ตั้งเป้าไว้สูงกว่าเป้าเดิมเป็นเพราะปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายไปแล้ว 450 ล้านบาท ซึ่งคาดว่าสิ้นปีนี้ยอดขาย 1,000 ล้านบาท ที่ตั้งไว้น่าที่จะไม่พลาดเป้าอย่างแน่นอน


วันนี้อีกหนึ่งสิ่งที่ ดี เน็ทเวิร์ค มีความภาคภูมิใจอย่างยิ่ง คือ มีผู้ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจในตำแหน่ง บลูไดมอนด์ คือ คุณภรัณธรณ์ เชื้อสีห์รดี ที่พิชิตรายได้ต่อเดือนอยู่ที่ 1.4 ล้านบาท พร้อมกับยังคว้ารถยนต์เฟอร์รารี่ มูลค่า 26 ล้านบาท มาครอบครองอีกด้วย นายสาครกล่าวทิ้งท้าย





Credit By :http://www.taladvikrao.com

จบไม่ลง!แนวคิด4สมาคมขายตรง จิรชัยขอเป็นกาวใจเชื่อมต่อสายสัมพันธ์







943251_556722501045849_2088255802_n (Mobile)

 


เปิดศึกทางความคิด 4 สมาคมขายตรงไทย...ล่าสุด สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย หรือ (TDNA) เดินหน้าเข้าพบ เลขาธิการฯ สคบ. จิรชัย มูลทองโร่ย ปรึกษาหารือเรื่องการจัดเตรียมร่างกฎหมายขายตรง...พร้อมสวนกลับ สมาคมการขายตรงไทย ทันควัน การก่อตั้ง สมาพันธ์ขายตรงอาเซียน ไม่ใช่สมาคมเดียวที่ทำได้ ขอให้เข้าใจใหม่...ส่วน ดร.สมชาย นายกสมาคมพัฒนาการขายตรงไทย ย้ำจุดยืนขอส่งเสริมธุรกิจของคนไทย...ด้าน จิรชัย ระบุพร้อมเชื่อมสัมพันธ์ 4 สมาคมให้รวมเป็นหนึ่ง แต่ทั้งนี้ก็ต้องใช้ระยะเวลา


...เปิดศึกเกมทางความคิดกันแบบจ้าละหวั่น สำหรับ 4 สมาคมขายตรงที่ประกอบด้วย 1. สมาคมการขายตรงไทย (TDSA) 2. สมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย (TDIA) 3. สมาคมพัฒนาการขายตรงไทย (TSDA) และ 4. สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย (TDNA) ซึ่งในช่วงที่ผ่านมานั้น ต้องยอมรับว่า การเกิดขึ้นของสมาคมขายตรงทั้ง 4 สมาคมนั้น เมื่อมองดูแล้ว คงต้องบอกว่าเป็นการตกผลึกโครงสร้างทางความคิดที่แตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง ถึงแม้


นโยบายของทั้ง 4 สมาคมจะมีนโยบายที่คล้ายกันก็คือ การขับเคลื่อนอุตสาหกรรมขายตรงไทยให้เติบโตสู่


สากลนั่นเอง!!


ประเด็นสมาพันธ์ขายตรงอาเซียน


บ่มจุดแตกหักรอยร้าวที่ควรแก้ไข


...หากใครที่ติดตามความเคลื่อนไหวของ 4 สมาคมขายตรงแบบชนิดติดขอบสนามแล้วล่ะก็ จะพบว่า ในช่วงที่ผ่านมา การปล่อย ขีปนาวุธทางความคิด ของแต่ละสมาคมนั้น ในเชิงของการโชว์ศักยภาพความพร้อมในหลาย ๆ เรื่องถือเป็นอีกหนึ่งประเด็นที่ทำให้แต่ละสมาคมต่างเกิดความไม่พออกพอใจกันเป็นอย่างยิ่ง เห็นได้จาก การเริ่มปะทุแนวทางความคิดในเรื่องของการก่อตั้ง สมาพันธ์ขายตรงอาเซียน นั้น ที่ทาง สมาคมการขายตรงไทย ได้ออกมาประกาศโชว์ออฟขอเป็นแนวหน้าในการก่อตั้ง สมาพันธ์ขายตรงอาเซียน พร้อมกับระบุว่า สมาคมการขายตรงไทย หรือ (TDSA) นั้น คือ สมาคมเดียวที่มีศักยภาพมากพอในการก่อตั้งสมาพันธ์ดังกล่าวได้


และด้วยประเด็นคำว่า สมาคมการขายตรงไทย นั้น ถือเป็นสมาคมเดียวของไทยที่มีศักยภาพมากพอในการที่จะก่อตั้ง สมาพันธ์ขายตรงอาเซียน นี่เอง ที่ทำให้เริ่มมีความเคลื่อนของเหล่าสมาคมต่าง ๆ ออกมาให้เห็นกันแบบ ตาต่อตา ฟันต่อฟัน กันเลยทีเดียว


...อย่างล่าสุดเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา ทาง สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย หรือ (TDNA) ที่มี นิโรธ เจริญประกอบ เป็นนายกสมาคมฯ ก็ได้เดินทางพร้อมสมาชิกในสมาคมเข้าพบกับ จิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ในการปรึกษาหารือในเรื่องของการจัดเตรียมร่างกฎหมายขายตรง ซึ่งถือเป็นอีกนโยบายหลักของทางสมาคมนี้นั่นเอง


โดยเนื้อหาสาระของการหารือในครั้งนั้น ทาง นิโรธ เจริญประกอบ นายกสมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย หรือ (TDNA) ก็ได้มีการชี้แจ้งให้กับทางเลขาฯ สคบ. พร้อมกับสื่อมวลชนที่ได้เข้าร่วมประชุมหารือในครั้งนี้ด้วยว่า วันนี้ทางสมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทยต้องการที่จะยกระดับธุรกิจขายตรงให้ทุกภาคส่วนมีการยอมรับในหลาย ๆ เรื่อง ซึ่งการก่อตั้งสมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย ทางสมาคมฯ มีนโยบายที่จะรณรงค์ให้มีการแก้กฎหมายหลัก ๆ ไม่ว่าจะเป็นการเสนอให้มีการจัดตั้งสำนักงานกำกับกิจการขายตรง โดยให้แยกธุรกิจตลาดแบบตรงออกไปเป็นกฎหมายอีกฉบับ รวมถึงการแก้ไขกฎหมายขายตรงในหลาย ๆ เรื่องที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ให้เสร็จ เป็นต้น พร้อมกับ อยากเห็นธุรกิจขายตรงมีหน่วยงานที่ดูแลธุรกิจนี้โดยเฉพาะคล้าย ๆ กับธุรกิจประกันที่มี สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือคปภ. ที่ดูแลธุรกิจประกันทั้งหมด



นิโรธชี้ถอยคำแถลงTDSA


ระบุ!ไม่ใช่สมาคมเดียวที่ดีพอ


ซึ่งนอกเหนือจากในเรื่องของการปรึกษาหารือเกี่ยวกับการแก้ไขกฎหมายขายตรงแล้วนั้น อีกหนึ่งเรื่องที่ทางด้านนายกสมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย ได้มีการยกขึ้นมาพูดในที่ประชุมครั้งนี้นั่นก็คือ การที่ทางสมาคมการขายตรงไทย หรือ (TDSA) ที่ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นในประเด็นที่ว่า ขอทิ้งน้ำหนักในเรื่องของการรวบรวมสมาคมต่าง ๆ ให้เกิดเป็น สมาพันธ์ขายตรงอาเซียน นั้น ถือเป็นเรื่องที่เร่งด่วนกว่า การแก้ไขกฎหมายขายตรง


เรียกว่า การที่ทาง สมาคมการขายตรงไทย ออกมาพูดเช่นนี้ ทำให้ฝั่งทาง นายกสมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย อย่าง นิโรธ เจริญประกอบ ถึงกับเลือดขึ้นหูกันเลยทีเดียว พร้อมกับออกมาโต้กลับทันควันด้วยว่า


... วันนี้ทางสมาคมการขายตรงไทยอาจจะมองว่า สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทยต้องการที่จะโชว์ออฟในเรื่องของการแก้ไขกฎหมาย ซึ่งทางสมาคมฯ ขอเรียนว่าเราเองไม่เคยพูดว่าสมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย จะเป็นผู้ที่เสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายขายตรง โดยลำพังแต่อย่างใด เนื่องจากไม่ใช่หน้าที่ของเรา โดยสมาคมอื่น ๆ สามารถที่จะแสดงความคิดเห็นได้ ซึ่งหากสมาคมไหนมีความคิดที่ดี และทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกัน ก็จะได้นำเรื่องดังกล่าวเสนอต่อ สคบ.ภายหลังต่อไป เนื่องจากมีทาง สคบ. หน่วยงานเดียวเท่านั้นที่จะมีอำนาจในการแก้ไขกฎหมายดังกล่าวกับรัฐบาล และขอบอกว่า จะไม่มีสมาคมไหนที่มีอำนาจตรงนี้แต่อย่างใด...


นายกสมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทยกล่าวเสริมอีกว่า การที่สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทยได้เข้าพบกับทางเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ.ในครั้งนี้ เพื่อต้องการมาชี้แจ้งทำความเข้าใจว่า ทางสมาคมฯ มีเจตนารมณ์อย่างไร ที่จะเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายขายตรง และมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง ซึ่งในการดำเนินเรื่องดังกล่าวนั้น ก็สุดแต่ทาง สคบ. จะดำเนินการต่อไปในภายหลังต่อไป



จิรชัยพร้อมเชื่อมสัมพันธ์ 4สมาคม


ชี้!เรื่องดังกล่าวต้องใช้ระยะเวลา


...จากประเด็นในหลาย ๆ เรื่องที่ทาง สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย ได้เข้าพบกับทาง จิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ในครั้งนั้น พบว่า ทางเลขาธิการสคบ. เอง ต่างเล็งเห็นปัญหาที่เกิดขึ้น พร้อมกับยังได้ขอเป็นกาวใจเชื่อมสายสัมพันธ์ทั้ง 4 สมาคมให้หันหน้าร่วมพูดคุยกันอีกด้วย


สิ่งที่จะทำให้อุตสาห กรรมขายตรงไทยมีความเข้มแข็งนั่นก็คือ การร่วมมือกันในหลาย ๆ ฝ่าย ในการขับเคลื่อนอุตสาหกรรม ซึ่งวันนี้หากหลาย ๆ ฝ่ายยังมีแนวคิดที่ไม่ตรงกัน หรือหากมีสมาคมเกิดขึ้นมาใหม่อีก แล้วเราทุกคนจะตอบสังคมได้อย่างไร ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่าเป็นไปได้ยาก เนื่องจากแนวคิดของแต่ละสมาคมค่อนข้างแตกต่างกัน แต่ทั้งนี้ตนเองมองว่าทุกอย่างก็ต้องใช้ระยะเวลาเช่นกัน นายจิรชัย กล่าวและว่า พร้อมกันนี้ ทางด้าน จิรชัย ยังได้เผยอีกว่า วันนี้แนวทางการทำงานของสำนัก งานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ได้มีการแบ่งบัญชีการทำงานไว้ 2 ส่วนด้วยกัน คือ ส่วนที่ 1 คือ บัญชีของผู้ที่ทำธุรกิจอยู่จริงในปัจจุบันที่มีอยู่ 353 บริษัท ซึ่งขณะนี้ก็เริ่มมีเพิ่มขึ้นแต่ยังไม่มาก ส่วนที่ 2 คือ บัญชีผู้ที่เข้ามาจดทะเบียน แต่ยังไม่มีการรายงานว่า ทำธุรกิจอยู่


นอกจากนี้ เลขาฯ สคบ. ยังกล่าวยอมรับด้วยว่า สิ่งที่หน่วยราชการถูกจำกัดจากทางภาครัฐมีอยู่ 2 เรื่องด้วยกัน คือ เรื่องแรกกำลังคนที่ถูกจำกัด เรื่องที่สองงบประมาณที่ถูกจำกัด รวมถึงการถูกจำกัดในเรื่องของการจัดตั้งกรมด้วย โดยทางด้าน สคบ. เอง ก็อยากที่จะเห็นการจัดตั้งกรมในลักษณะดังกล่าวที่คล้าย ๆ กับสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือคปภ. ที่ดูแลธุรกิจประกันทั้งหมดเช่นกัน


วันนี้สิ่งที่ถือว่าเป็นอีกหนึ่งปัญหาในธุรกิจขายตรงนั่นก็คือ การโฆษณาโดยที่ไม่ได้คำนึงถึงผู้บริโภค ซึ่งทาง สคบ.เอง ก็อยากที่จะให้มีการจัดระเบียบในเรื่องของการโฆษณาด้วยเช่นกัน ซึ่งขณะนี้ธุรกิจขายตรงค่อนข้างที่จะมีโฆษณาที่ไม่ค่อยเหมาะสม นอกจากนี้ ในส่วนของตราสัญญาลักษณ์นั้น ทางสคบ. ยังจะมีการทำต่ออย่างแน่นอน รวมถึงในเรื่องของการแก้ไขกฎหมาย และคณะกรรมการขายตรงให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วย


เปิดใจนายกส.พัฒนาการขายตรงไทย


ย้ำจุดยืน!ขอส่งเสริมธุรกิจของคนไทย


...เช่นเดียวกับทางด้าน สมาคมพัฒนาการขายตรงไทย หรือ (TSDA) ที่มี ดร.สมชาย หัชลีฬหา เป็นนายกสมาคมฯ อยู่ขณะนี้นั้น ก็ได้ออกมาเผยผ่านสื่อในกรณีของการตั้ง สมาพันธ์ขายตรงอาเซียน ว่า ขณะนี้ตนเองมองว่า การจับมือกับทางสมาคมในเมืองไทยที่มีอยู่เยอะแยะมากมายนั้น น่าที่จะเห็นผลมากกว่าการตั้งสมาพันธ์เสียอีก ที่สำคัญ ยังถือได้ว่าน่าที่จะมีอำนาจในการต่อรองมากขึ้นด้วย แต่ทั้งนี้ ทางสมาคมฯ เอง ก็พร้อมที่จะส่งเสริมธุรกิจขายตรงให้เติบโต พร้อมกับต้องการเป็นมิตรกับทุกที่และวันนี้ทางสมาคมฯ เอง ก็ขอที่จะไม่เกี่ยวข้องกับใคร และพร้อมที่จะทำตลาดในไทยรวมถึงส่งเสริมคนไทยด้วย


ดร.สมชาย เผยต่ออีกว่า ในขณะเดียว ภารกิจหลักของ สมาคมพัฒนาการขายตรงไทย นั้น ยังต้องการที่จะพัฒนาองค์กรขายตรงไทยสู่ความเป็นเลิศ พร้อมกับการช่วยเหลือและสนับสนุนธุรกิจขายตรงไทยให้เป็นที่ยอมรับในสากลอีกด้วย รวมถึงทางสมาคมฯ เอง ยังจะมีการทำวิจัยเพื่อศึกษาการทำธุรกิจขายตรง เพื่อให้สามารถเข้าถึงผู้บริโภคและตอบสนองความพึงพอใจของผู้ประกอบการให้มีความพร้อมต่อการเปลี่ยนแปลงในระดับภูมิภาคด้วย และรับมือกับการแข่งขันในตลาดเออีซีที่จะเกิดขึ้น นอกจากนี้ ยังเชื่อว่าหลังจากที่มีการเปิดเสรีทางการค้าเกิดขึ้น เรื่องของกฎหมายก็น่าจะมีการเปลี่ยนแปลงในรูปแบบของความเป็นอินเตอร์มากขึ้นเช่นกัน เพราะฉะนั้นรูปแบบการพัฒนาต้องให้ทันกับสังคมโลกด้วย


นอกจากนี้ อีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ของสมาคมฯ ก็คือ การเป็นตัวแทนรับหน้าที่ในการไกล่เกลี่ยปัญหาต่าง ๆ รวมถึงการสนับสนุนการให้ความรู้แก่สมาชิกในสมาคม เช่น การจัดสัมมนาในเรื่องของหลักสูตรมาตรฐานวิชาชีพการจัดสัมมนากับทางหน่วยงานรัฐบาล เช่น สคบ. บก.ปคบ หรือทาง อย. เป็นต้น พร้อมกับการบูรณาการธุรกิจร่วมกันระหว่างผู้ประกอบการ ผู้จำหน่าย และผู้บริโภค


นับได้ว่า การเปิดเกมทางความคิดของทั้ง 4 สมาคมในธุรกิจขายตรงนั้น อาจจะเรียกได้ว่าแต่ละสมาคมต่างออกมาโชว์ออฟสร้างศักยภาพของตัวเองชนิดที่ว่า ไม่มีใคร ยอมใคร กันเลยทีเดียว...ซึ่งก็ต้องมาติดตามกันดูว่า กับทางเส้นขนานที่มองว่าอาจจะมาบรรจบยากนั้น จะสามารถเดินทางมาพบกันได้หรือไม่ ซึ่งวันนี้ก็ยังไม่มีใครคาดเดาได้ แต่หากทั้ง 4 สมาคมสามารถรวมตัวไปในทิศทางเดียวกันได้เมื่อไหร่ เชื่อว่าอุตสาหกรรมขายตรงไทยก็หย่อมเติบโตอย่างรวดเร็วแน่นอน!!


 


 


 


Credit By :http://www.taladvikrao.com

ตลาดคอลลาเจนเดือดพล่าน! ดี เน็ทเวิร์ค-แม็กซ์ เฮลท์ตี้เจอละเมิดลิขสิทธิ์







Capture (Mobile)


ตลาดคอลลาเจน เดือดพล่าน!...หลังพบหลายบริษัทเจอก๊อปปี้สินค้าตัดหน้าเจ้าของสิทธิ์เพียบ..ด้าน ดี เน็ทเวิร์ค ออกโรงแถลงข่าวชี้แจ้งกรณีถูกก๊อปปี้สินค้า ดี-เท็น พร้อมแจงขณะนี้อยู่ระหว่างการรวบรวมหลักฐานเตรียมเอาผิด...ล่าสุดทางด้าน แม็กซ์ เฮลท์ตี้ เจออีกราย เตรียมฟ้องกลับผู้ละเมิดลิขสิทธิ์แบรนด์สินค้า Maxx Collagen Plus หลังสร้างความเสียหายต่อธุรกิจและทำให้เกิดความเข้าใจผิดทั้งนักธุรกิจและผู้บริโภค


...นับได้ว่า ยุคนี้ พ.ศ.นี้ กระแสของผลิตภัณฑ์ที่ช่วยให้สาว ๆ สวย ใส แบบไม่ต้องใช้เครื่องมือแพทย์อย่าง ผลิตภัณฑ์คอลลาเจน ค่อนข้างที่จะเป็นที่นิยมของสุภาพสตรีทุกเพศทุกวัยในเมืองไทยอย่างมากทีเดียว เรียกว่าการโหมกระแสของผลิตภัณฑ์ดังกล่าว เริ่มที่จะร้อนแรงแบบทวีคูณมากขึ้นเรื่อย ๆ เห็นได้จากมีหลาย ๆ บริษัททั้งค่ายเล็ก กลาง และใหญ่ ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับการดูแลสุขภาพเรื่องของผิวพรรณต่างกระโดดมาร่วมชิงแชร์ ตลาดคอลลาเจน กันอย่างมากมาย


จนวันนี้ ต้องบอกว่า ตลาดคอลลาเจน เริ่มที่จะมีหลาย ๆ ทางเลือก จนผู้บริโภคต่างสับสนว่าอันไหนดี อันไหนไม่ดีบ้าง ที่สำคัญ จากการแข่งขันที่ดุเดือดในช่วงไม่นานมานี้เอง กับ ผลิตภัณฑ์คอลลาเจน จนมีบางค่ายที่ประสบความสำเร็จกับการทำตลาดคอลลาเจนและสร้างเม็ดเงินให้กับบริษัทชนิดที่ว่าถล่มทลายกันเลยทีเดียว และจากความแรงนี้เอง ส่งผลให้มีนักธุรกิจจอมปลอมที่หัวใส ได้ใช้กลยุทธ์การทำธุรกิจที่ผิดจรรณยาบรรณ ด้วยการลอกเลียนแบบสินค้าบริษัทที่ค่ายไหนดัง นำมาขายตัดหน้าจนสร้างความเสียหายให้พบเห็นในขณะนี้นั่นเอง!...


...อย่างล่าสุดเมื่อปักษ์ที่ผ่านมา ที่ทางทีมข่าว ตลาดวิเคราะห์ ได้พูดถึงการถูกลอกเลียนแบบสินค้าของ บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด ที่เจอพวกหัวใสแอบก๊อปปี้สินค้าที่ชื่อ ดี-เท็น ในช่วงที่ผ่านมานั้น จนทำให้เกิดความเสียหายไปร่วม 4 ล้านบาทด้วยกัน พร้อมกันนี้ ทางค่าย ดี เน็ทเวิร์ค เองก็ได้ออกมาแถลงข่าวในเรื่องดังกล่าว พร้อมโชว์สินค้าที่ถูกลอกเลียนแบบกับสินค้าที่เป็นของจริงผ่านสายตาสื่อมวลชนให้เห็นกันแบบต่อหน้าอีกด้วย


ทั้งนี้ ในส่วนของขั้นตอนการเอาผิดผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์นั้น ทาง ดี เน็ทเวิร์ค เอง อยู่ระหว่างการเก็บรวบรวมหลักฐานกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดำเนินการต่อไป...นับเป็นอีกหนึ่งค่ายที่ได้รับความเดือดร้อนในเรื่องของการก๊อปปี้สินค้าของพวกหัวใสทางธุรกิจอยู่ในขณะนี้


จะเห็นได้ว่า วันนี้เรื่องของสินค้าที่เป็นกระแสโดยเฉพาะ ผลิตภัณฑ์คอลลาเจน ค่อนข้างที่จะมีการถูกดัดแปลงลอกเลียนแบบในเชิงธุรกิจกันอย่างมากมายทีเดียว เหมือนเช่นดั่งค่าย ดี เน็ทเวิร์ค...และล่าสุดความร้อนแรงของ ตลาดคอลลาเจน ก็ได้ปะทุเกิดขึ้นอีกครั้ง!!...เมื่อทางด้าน ประกาสิต เลิศมุกดา หรือ โอ๊ต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แม็กซ์ เฮลท์ตี้ ซัพพลาย จำกัด ได้ออกมาร้องเรียนผ่านสื่อขายตรงถึงเรื่องราวของการถูกละเมิดลิขสิทธิ์ทางปัญญาในผลิตภัณฑ์แบรนด์ที่ชื่อว่า Maxx Skinn Collagen Plus อีกด้วย


โดยในวันที่ทาง ประกาสิต นั้น ได้เข้ามาเปิดเผยถึงประเด็นดังกล่าวผ่านสื่อนั้น พบว่า ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็ได้มีการเข้าไปบุกจับตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ตัวดังกล่าว ที่ถูกแอบอ้างว่าเป็นสินค้าที่ถูกละเมิดลิขสิทธิ์ด้วย โดยในเรื่องนี้ทาง ประกาสิต เอง ก็ได้ออกมาตอบโต้พร้อมชี้แจ้งว่า ผลิตภัณฑ์ของตัวเองนั้นกระทำถูกต้องทุกอย่างและไม่ได้มีการไปละเมิดลิขสิทธิ์ของใครด้วย ที่สำคัญ บริษัทตนเองยังได้ถูกละเมิดสิทธิ์และถูกลอกเลียนแบบสินค้า Maxx Collagen Plus จากผู้ที่เคยร่วมงานกันมาก่อนด้วย



เปิดบทสัมภาษณ์ประกาสิต


กรณีถูกละเมิดลิขสิทธิ์สินค้า


...ทั้งนี้ทางด้าน ประกาสิต เลิศมุกดา หรือ โอ๊ต ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แม็กซ์ เฮลท์ตี้ ซัพพลาย จำกัด ได้ออกมาชี้แจ้งผ่านสื่อ ตลาดวิเคราะห์ ว่า วันนี้สิ่งที่ผมเองค่อนข้างตกใจอย่างมากนั่นก็คือ ทางผู้ที่ละเมิดลิขสิทธิ์สินค้าของผมได้นำเอาตำรวจจำนวนหนึ่งบุกเข้าจับตัวแทนจำหน่ายสินค้าของผม ด้วยข้อหาที่ว่าละเมิดลิขสิทธิ์ของเขา ทั้ง ๆ ที่ เรานั้นถือเป็นผู้ที่สร้างแบรนด์ตรงนี้ขึ้นมา โดยทางเราได้มีการปรึกษากับทางทนายแล้ว และก็พบว่าทางเรามีหลักฐานทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นข้อความอีเมล์ บทสนทนาบอกเขา รวมถึงการว่าจ้างงาน เป็นต้น


ซึ่งประเด็นที่ว่า มีการดัดแปลงหรือลอกเลียนแบบสินค้าของเรานั่นก็คือ ในเรื่องของชื่อแบรนด์สินค้าที่เรานั้นได้ใช้แบรนด์ที่ชื่อว่า Maxx Collagen Plus มาก่อน แต่ทางด้านฝ่ายที่ละเมิดลิขสิทธิ์นั่นเขาได้ใช้แบรนด์ที่ชื่อว่า Maxx Collagen Extra Plus โดยได้มีการทำลักษณะของกล่องนั้นเหมือนกัน พร้อมกับมีการดึงรูปภาพบางส่วนมาใช้ด้วย


... ต้องบอกว่า ในช่วงที่ที่ผ่านมาเราเองได้มีการว่าจ้างให้กับทางนายธัญเทพ พู่ประเสริฐศักดิ์ ประธานบริหาร บริษัท วันมอร์ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เป็นผู้ผลิตสินค้าให้ พร้อมกับได้มีการสร้างแบรนด์ดังกล่าวร่วมกันมา ซึ่งถือว่าผมกับทางนายธัญเทพได้มีการทำงานร่วมกันด้วยดีเสมอมา แต่ซึ่งเหตุผลหลัก ๆ ที่ทำให้ผมนั้น ตัดสินใจมาทำกับอีกโรงงานหนึ่ง ด้วยเหตุผลที่ว่าคือ


1. ทางตัวคุณธัญเทพเอง ได้มีการนำเอาสินค้าของผมนั้น ปล่อยหลังโรงงาน และทางผมเองจับได้ว่าเขานั้นกระทำจริง


2. มีการตกลงในสัญญาว่าเขาจะผลิตสินค้าให้กับเรา และจะไม่ผลิตสินค้ามาแข่งขันกับเรา...


ทั้งนี้ ประกาสิต ยังเผยต่ออีกว่า ในช่วงที่ผ่านมานั้น ต้องบอกว่าผลิตภัณฑ์คอลลาเจนยังถือว่าไม่ดัง โดยผลิตภัณฑ์คอลลาเจนที่มีค่า 10,000 มิลลิกรัม ในช่วงนั้นถือว่าค่อนข้างเยอะแล้ว และผมเองก็ได้มีการขอให้ทางคุณธัญเทพนั้นผลิตสินค้าคอลลาเจนที่มีค่า 25,000 มิลลิกรัม ให้ แต่ผลปรากฏว่ายังไม่มีการดำเนินการเสียที จนสุดท้ายมีแบรนด์สินค้าใหม่ที่ชื่อว่า ยูกิ คอลลาเจน พลัส เกิดขึ้น พร้อมกับมีค่าสูงถึง 30,000 มิลลิกรัมอีกด้วย ต่อมาจึงพบว่า สินค้าตัวดังกล่าวเป็นของทางคุณธัญเทพ เรียกว่าการผลิตสินค้าตรงนี้ ถือเป็นการผิดสัญญาข้อตกลงที่ได้ให้ไว้นั่นเอง


...และจากเหตุการณ์ดังกล่าวที่เกิดขึ้น ทำให้ทางเราจึงขอยุติการทำงานกับทางคุณธัญเทพลง โดยในช่วงนั้นทางเราได้รับความเสียหายจากเรื่องดังกล่าวอย่างมาก เนื่องจากการที่มีการปล่อยของหลังโรงงานนั้น ทำให้ทีมงานของเราทั้งหมดมองว่า ทำไมเจ้าของถึงปล่อยสินค้าหลังโรงงานเสียเอง จนเกิดภาพลักษณ์ที่ไม่ดี


นอกจากนี้ ในช่วงอีก 2 เดือน ที่จะถึงเวลาแจกโปรโมชั่นรถเบนซ์อี-คลาส คูเป้ 2 คันช่วงนั้น ปรากฏว่าขณะนั้นเหลือเวลาอยู่เพียงแค่ 1 เดือนเท่านั้นที่จะต้องมีการแจกรถเบนซ์ให้กับผู้ที่ทำโปรโมชั่นได้ และในช่วงนี้เองที่เกิดมีปัญหาในเรื่องของการขายตัดราคากันเกิดขึ้น ที่สำคัญ ทางตัวแทนจำหน่ายยังคิดด้วยว่า ทางเราได้มีการปล่อยสินค้าที่มีการขายตัดราคาออกมา เพื่อไม่ให้เขานั้นสามารถทำยอดถึงเป้า ซึ่งต้องบอกกันตรง ๆว่า เวลานั้นยอดขายของเราค่อนข้างกระทบอย่างมาก เนื่องจากคนที่เคยมาซื้อกับเรา แต่กลับไปซื้อกับอีกฝั่งหนึ่งหมด จนสุดท้ายทางเราไม่อยากที่จะเสียชื่อเสียง จึงได้แจกรถเบนซ์ไปตามที่ได้ประกาศไว้จำนวน 2 คัน


ประกาสิต เผยอีกว่า วันนี้การที่พี่หมอได้ออกผลิต ภัณฑ์ ยูกิคอลลาเจน พลัส มาแข่งขันกับเราด้วยการผิดสัญญานั้น ผมเองค่อนข้างเสียความรู้สึก ผมรับไม่ได้ ซึ่งก่อนหน้านี้ที่เอาสินค้าของผมไปปล่อยหลังโรงงานก็ถือว่าผิดจรรณยาบรรณแล้ว นอกจากนี้ ยังได้มีการถามผมอีกว่าคอลลาเจนตัว 25,000 มิลลิกรัมมีแล้วนะจะเอาไหม ตรงนี้ยิ่งทำให้ผมเสียความรู้สึกใหญ่ จนล่าสุดผมเองก็ได้มีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ที่ชื่อ Maxx Gluta Collagen Plus ที่มีค่าสูงถึง 35,000 มิลลิกรัมออกมา โดยได้มีการได้รับอนุมัติจากทาง อย.เรียบร้อยแล้ว พร้อมกับมีการอัดโปรโมชั่นที่แรงด้วย ซึ่งตรงนี้เอง เชื่อว่าน่าที่จะทำให้ทางพี่หมอเองเสียหน้าไปพอสมควรเช่นกัน



ประกาสิตเดินสายประกันตัวแทน


หลังตำรวจบุกจับข้อหาละเมิดสิทธิ์


ซึ่งเหตุการณ์เรื่องของการละเมิดลิขสิทธิ์แบรนด์สินค้าในครั้งนี้นั้น พบว่า ได้มีทางตำรวจเข้าไปบุกจับตัวแทนจำหน่ายสินค้าดังกล่าวในหลาย ๆ จุดด้วยกัน จนเป็นเหตุให้ทางนายประกาสิตเอง เรียกว่าเดินสายพร้อมประกันตัวให้กับตัวแทนจำหน่ายของตนเองที่ไม่รู้เรื่องอะไรกันเลยในช่วงที่ผ่านมา


พร้อมกันนี้ ทางด้าน ประกาสิต ยังได้เปิดเผยอีกว่า การที่ตำรวจบุกจับร้านค้าในครั้งนี้นั้น หากพูดตามหลักความจริงแล้ว แต่ละร้านค้าต่างก็มีทั้งสินค้าที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย ซึ่งเชื่อว่าไม่มีร้านไหนที่รู้เกือบ 100% ว่าสินค้าไหนถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย แต่ที่ค่อนข้างเสียความรู้สึกอีกหนึ่งเรื่อง คือ มีการพูดด้วยอีกว่า หากร้านไหนที่มีการขายสินค้าคอลลาเจนที่มีค่า 35,000 มิลลิกรัม จะถูกจับ แต่ถ้ามีค่า 25,000 จะไม่จับ เรียกว่าตรงนี้ถือเป็นการขู่เข็นตัวแทนอย่างมาก ที่สำคัญ ไม่รู้ด้วยว่าตำรวจที่มาจับ ดูแลในเรื่องนี้จริงหรือเปล่า หรือว่ามีผลประโยชน์ทับซ้อนก็เป็นได้


อีกเรื่องที่ถือว่ารับไม่ได้นั่นก็คือ คนที่ถูกจับจะต้องมีเงินประกันตัว 50,000 บาท ถ้าหากไม่มีจะโดนขังคุก แต่หากไม่ต้องการติดคุกต้องถ่ายคลิปแล้วบอกว่าผู้บริหารสินค้าดังกล่าวคือ บริษัท แม็กซ์ เฮลท์ตี้ ซัพพลาย จำกัด ที่มีประกาสิต เลิศมุกดา หรือ โอ๊ต เป็นประธานกรรมการบริหาร พร้อมกับให้พูดในคลิปด้วยว่าสินค้าของเรานั้นไม่มีคุณภาพด้วย


ประกาสิต ได้กล่าวทิ้งท้ายว่า สิ่งที่ตนเองจะฟ้องกลับสำหรับเรื่องนี้นั่นก็คือ การละเมิดลิขสิทธิ์ในเรื่องของแบรนด์ รวมถึงอาจจะเป็นในเรื่องของการปฏิบัติหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานโดยมิชอบนั่นเอง!!..


...เรียกได้ว่า เป็นอีกหนึ่งกรณีที่น่าติดตามดูกันว่า ผลของการละเมิดลิขสิทธิ์สินค้าตรงนี้จะเป็นเช่นไร ระหว่างทางด้าน ดี เน็ทเวิร์ค และ แม็กซ์ เฮลท์ตี้ ที่ได้มีการถูกลักลอบดัดแปลงผลิตภัณฑ์คอลลาเจนตรงนี้ขึ้นมา ในขณะเดียวกันเชื่อว่า อีกไม่นานนี้ ก็น่าที่จะการลอกเลียนแบบละเมิดลิขสิทธิ์สินค้าในลักษณะดังกล่าวเกิดขึ้นตามมาอย่างแน่นอน






Credit By :http://www.taladvikrao.com

"คนคือสินทรัพย์"







diversity_rainbow_people (Mobile)


ธุรกิจต่างๆ จะดำเนินภารกิจหลักให้บรรลุวัตถุประสงค์และมีประสิทธิภาพ ได้นั้น ต้องอาศัยบุคลากรหรือ "คน" ที่มีคุณภาพในปริมาณที่เหมาะสมกับงาน คนถือว่าเป็นทรัพยากรที่มีบทบาทสำคัญและมีความจำเป็นมากต่อความ สำเร็จขององค์กร เป็นตัวช่วยในการประสานงานต่างๆ ให้ดำเนินงานอย่างมี ประสิทธิภาพ ดังนั้น การบริหารคนหรือ "การบริหารทรัพยากรมนุษย์" จึงเป็นปัจจัยที่สำคัญอย่างหนึ่งในการดำเนินธุรกิจเพราะบุคลากรเป็นผู้จัดหาและใช้ทรัพยากรอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นเงิน วัสดุอุปกรณ์และการบริหารจัดการ ตลอดจนการสร้างภาพลักษณ์ให้กับองค์กร ซึ่งถ้าธุรกิจเริ่มต้นด้วยการมีบุคลากรที่ดีมีความสามารถปัจจัยด้านอื่นๆ ก็จะดีตามมาด้วย


"ทรัพยากรมนุษย์ หรือคน" ถือเป็นสินทรัพย์ที่สำคัญ ซึ่งธุรกิจหรือองค์กรต่างๆ จะต้องมีการจัดแบ่งกิจกรรมที่ต้องทำให้เหมาะสมกับบุคคลที่มี ความถนัดในกิจกรรมนั้นๆ โดยการจัดหาและคัดเลือกบุคคลที่มีความรู้ความ สามารถในกิจกรรมแต่ละด้าน แล้วมอบอำนาจและความรับผิดชอบอย่างเหมาะสมให้กับบุคคลเหล่านั้น ตลอดจนมีการควบคุมการทำงานและแก้ไขปรับปรุงให้สอดคล้องกันภายในองค์กร ดังนั้น ธุรกิจจะต้องมองเห็นถึงความ สำคัญของพนักงานและทีมงาน มีการวางแผนในการจัดโครงสร้างองค์การที่ดี มีนโยบายและแนวทางในการดำเนินงานไปสู่เป้าหมายที่ชัดเจน


การบริหารคนสำหรับองค์กรธุรกิจ จะเป็นเรื่องการดำเนินงานด้านการสรรหาคัดเลือกให้ได้มาซึ่งสมาชิกและทีมงานที่มีคุณภาพ มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับลักษณะการดำเนินงานของธุรกิจ สามารถนำธุรกิจไปสู่ การบรรลุถึงวัตถุประสงค์ขององค์กรได้ โดยต้องอาศัยกระบวนการที่มีนโยบาย และการวางแผนด้านต่างๆ ซึ่งเกี่ยวข้องกับคนอย่างเหมาะสม ชัดเจน เพื่อหาสมาชิกที่มีความรู้ความสามารถเข้ามาเป็นทีมงานในองค์กรได้อย่างเหมาะสม และเพียงพอ สามารถใช้ประโยชน์จากบุคลากรเหล่านั้นได้อย่างคุ้มค่าเหมาะสม ตลอดจนมีการพัฒนาและรักษาบุคลากรที่มีคุณค่าเหล่านั้นให้อยู่กับองค์กรตลอดไป โดยสามารถสรุปลักษณะของการบริหารคนในองค์กรธุรกิจ ได้ดังนี้


1.เป็นกิจกรรมการใช้ประโยชน์จากสมาชิกของธุรกิจเพื่อให้บรรลุวัตถุประสงค์ขององค์กร


2.เป็นกิจกรรมที่องค์กรทำให้เกิดประสิทธิผลสูงสุดจากการใช้บุคลากร ซึ่งเป็นไปตามนโยบายและการวางแผนของธุรกิจ


3.เป็นกิจกรรมเกี่ยวกับการสรรหา การจูงใจ การพัฒนา และการรักษา บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสม ให้ดำเนินงานในธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผล


4.เป็นกิจกรรมการบริหารจัดการเกี่ยวกับบุคลากรของธุรกิจในด้านต่างๆ



การบริหารคนซึ่งเป็นสินทรัพย์ขององค์กรเป็นสิ่งที่มีความสำคัญมาก ซึ่งส่งผลต่อความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ เพราะการบริหารคนที่มีประสิทธิภาพ จะนำมาซึ่งองค์กร ทีมงานและเครือข่ายธุรกิจที่มีศักยภาพ มีความแข็งแกร่ง จะนำองค์กรไปสู่จุดหมายปลายทางแห่งความสำเร็จร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิผล


จุดเริ่มต้นของการบริหารคนสำหรับองค์กรคือ การคัดเลือกสมาชิกที่มีคุณภาพ ซึ่งการสรรหาสมาชิกสำหรับองค์กรอาจเริ่มต้นจากคนรู้จัก ญาติสนิท มิตรสหาย โดยคัดเลือกจากมุมมอง ทัศนคติ ความรู้ความสามารถ และประสบการณ์ที่พวกเขาเหล่านั้นมี เมื่อคัดเลือกได้แล้วขั้นต่อไปจะต้องมีการ พัฒนา ฝึกอบรม เพิ่มทักษะให้เกิดการเรียนรู้งานและทำความเข้าใจเกี่ยวกับ กฎระเบียบหรือวัฒนธรรมองค์กร สร้างความสัมพันธ์และแรงกระตุ้นจูงใจ ในการทำงาน ตลอดจนการติดตามดูแลช่วยสร้างขวัญและกำลังใจให้กับ สมาชิก เพื่อเสริมแรงในการปฏิบัติงานไปสู่เป้าหมายแห่งความสำเร็จ


การบริหารคนของธุรกิจจะต้องให้ความสำคัญกับความรักสามัคคี การร่วมมือร่วมใจ สมานกลมเกลียวของสมาชิก และสร้างความจงรักภักดี ให้เกิดขึ้นในองค์กร ด้วยความเป็นอันหนึ่งอันเดียว ซึ่งทำให้องค์กรขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายด้วยความแข็งแกร่ง โดยอาศัยการสร้างสายสัมพันธ์ที่ดีให้เกิดขึ้นระหว่างสมาชิกหรือพนักงานด้วยกัน ทำให้สมาชิกรู้สึกอบอุ่นและรู้สึกว่าเป็นส่วนหนึ่งในกิจกรรมต่างๆ ขององค์กร ซึ่งต้องประยุกต์ใช้ตามความเหมาะสมของแต่ละองค์กร และมีความสอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน





Credit By :http://www.siamturakij.com

ข้อเสนอ..สร้างความได้เปรียบ







mRfe2ggMon120224 (Mobile)


สถานการณ์ในปัจจุบันเป็นยุคของข้อมูลข่าวสารและเทคโนโลยี ข่าวสารข้อมูลไปถึงผู้บริโภคได้รวดเร็วและทั่วถึงมากยิ่งขึ้น ส่งผลให้ผู้บริโภครู้และเข้าใจเกี่ยวผลิตภัณฑ์มากขึ้น


สินค้าถูกพัฒนาออกสู่ตลาดด้วยความพยายามในการสร้าง ข้อเสนอ เพื่อมอบคุณค่าของความแตกต่างให้โดนใจกลุ่มผู้บริโภค เป้าหมาย และสร้างความได้เปรียบทางด้านการแข่งขัน สามารถมัดมือมัดใจลูกค้าได้อย่างอยู่หมัด โดยข้อเสนอที่ธุรกิจหรือนักขาย สามารถนำมาสร้างข้อได้เปรียบในการพิชิตใจลูกค้า ได้แก่


1.คุณค่าหรือคุณประโยชน์ที่โดนใจ หมายถึง ข้อเสนอที่จะส่งมอบให้แก่กลุ่มเป้าหมายต้องสามารถแก้ปัญหาหรือตอบสนอง ความพึงพอใจให้กับกลุ่มเป้าหมายได้ ซึ่งเป็นคุณค่าที่ยังไม่มีธุรกิจใดนำเสนอให้กับกลุ่มเป้าหมาย หรือเป็นสิทธิพิเศษที่มอบให้ กับกลุ่มเป้าหมาย สามารถทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของผู้บริโภคดีขึ้น มีความสะดวกสบายเพิ่มมากขึ้นและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ทั้งนี้คุณค่าหรือคุณประโยชน์อาจส่งผลสะท้อนต่อราคาสินค้า เพราะ คุณค่าที่เพิ่มขึ้นอาจทำให้ราคาสินค้าแพงขึ้น และกลุ่มเป้าหมายก็ต้องรับรู้ว่าคุ้มค่ากับเงินที่ต้องจ่ายไป ดังนั้น ธุรกิจต้องพัฒนาคุณค่าหรือคุณประโยชน์ให้สอดคล้องกับความต้องการและ อำนาจซื้อของกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่มอย่างเหมาะสมให้กลุ่มเป้าหมายสามารถจ่ายได้และตัดสินใจซื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น


2.ลักษณะที่โดดเด่น เป็นข้อเสนอที่เรามีแต่คู่แข่งไม่มี หรือ มีเหนือกว่าคู่แข่ง อะไรก็ได้ อาจเป็นจุดเล็กๆ น้อยๆ แต่สามารถ สร้างความแตกต่างให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ได้ อาทิ ส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมือนใคร หรือการบริการที่แตกต่าง รวดเร็วทันใจ หรือเป็นวิธีการนำเสนอที่เน้นความทันสมัยด้วยช่องทางหรือเทคนิคใหม่ๆ ซึ่งสามารถสื่อสาร บอกกล่าวให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ อย่างชัดเจนและถูกต้อง ลักษณะโดดเด่นด้านต่างๆ เป็นสิ่งที่กระตุ้น ให้กลุ่มเป้าหมายตัดสินใจได้เร็วขึ้น และสามารถนำไปสู่การซื้อเพิ่มขึ้น หรือเกิดการซื้อซ้ำ ตลอดจนเป็นการสร้างความสัมพันธ์ อันดีระหว่างธุรกิจกับลูกค้า


3.ความเป็นมืออาชีพ เป็นการนำเสนอถึงความรู้ความเชี่ยวชาญของบริษัทหรือบุคลากร มีการพัฒนาองค์กรหรือตนเอง อย่างต่อเนื่อง มีมาตรฐานในการดำเนินงาน เน้นถึงคุณภาพและประสิทธิผลจากการดำเนินงาน อาจนำเสนอในผลงานที่ได้รับรางวัลซึ่งเป็นที่ยอมรับของสังคม ตลอดจนผลการดำเนินงานที่ผ่านมา หรือการกำหนดเป้าหมายที่สมเหตุสมผลและมีโอกาสความเป็นไปได้สูง การนำเสนอถึงความรู้ความสามารถที่ยอดเยี่ยม ของบุคลากร ซึ่งสอดคล้องกับผลการดำเนินงานของธุรกิจจะเป็น ตัวบ่งบอกถึงความเป็นมืออาชีพ ให้กลุ่มเป้าหมายเกิดความเชื่อมั่น และยอมรับได้ง่าย


4.ภาพลักษณ์ เป็นข้อเสนอของธุรกิจที่ทำให้กลุ่มเป้าหมายเกิดทัศนคติที่ดี มีความเชื่อมั่น ศรัทธาต่อองค์กร ได้แก่ การ นำเสนอกิจกรรมที่องค์กรมีส่วนร่วมรับผิดชอบกับสังคมและ สิ่งแวดล้อม เหตุการณ์ที่น่าประทับใจสมควรแก่การจดจำสื่อและ สัญลักษณ์ของธุรกิจที่สร้างจุดเด่น สร้างประสบการณ์ในการเรียนรู้ หรืออาจเป็นการนำเสนอในเรื่องของส่วนแบ่งทางการตลาด หรือ ยอดขาย บางครั้งภาพลักษณ์ขององค์กรอาจเป็นสิ่งสะท้อนความ เป็นตัวตนที่แท้จริงของธุรกิจ โดยภาพลักษณ์ของธุรกิจจะรวมถึง ภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์หรือบริการและภาพลักษณ์ขององค์กร ทั้งในด้านของตัวบุคลากรและผู้บริหาร


ข้อเสนอที่ธุรกิจนำเสนอให้กลุ่มเป้าหมายรับรู้ ต้องเลือกให้ เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมายแต่ละกลุ่ม แล้วนำเสนอด้วยเทคนิคและวิธีการให้น่าสนใจ สอดคล้องกับพฤติกรรมและความต้องการ ของกลุ่มเป้าหมาย โดยกระบวนการในการนำเสนอข้อเสนอจะต้อง เริ่มต้นด้วยการวิเคราะห์สถานการณ์ แล้วกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจน วิเคราะห์พฤติกรรมของกลุ่มเป้าหมาย หลังจากนั้นก็กำหนดแผนงานในการนำเสนอ แล้วนำเสนอ และขั้นตอนสุดท้าย ต้องประเมินผลว่าจากการนำเสนอข้อเสนอไปได้ผลเป็นเช่นไร อย่างไรบ้าง แล้วการสร้างความได้เปรียบทางธุรกิจก็จะไม่ใช่เรื่อง ยากอีกต่อไป





Credit By :http://www.siamturakij.com

วันเสาร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ข่าวจอยแอนด์คอยน์ (Join &Coin) : J&C ขึ้นแท่นขายตรงอินเตอร์ คว้ารางวัล







p007_1_00 (Mobile)

 


J&C โชว์ศักยภาพขายตรงระดับอินเตอร์ คว้ารางวัลอาเซียนอวอร์ด ด้านการเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมยอดเยี่ยม ณ ประเทศบรูไน ไม่หยุดนิ่งต่อยอดพัฒนาระบบ E-wallet ให้สามารถทำงานได้สะดวก ขึ้น ล่าสุด เตรียมเปิดตัว SMART MLM อย่างเต็มรูปแบบเร็วๆ นี้ หวังดึงคนรุ่นใหม่แห่ร่วมธุรกิจ ด้าน ดร.สมชาย ฟันธงครึ่งแรกยอดโต ตามเป้า มั่นใจสิ้นปีโต 10% แน่นอน ซุ่มเงียบเกี่ยวแขนภาครัฐ ดอดเจรจาดูลู่ทางลงทุนในฟิลิปปินส์ และเวียดนาม


ดร.สมชาย หัชลีฬหาประธานกรรมการบริหารบริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (J&C)เปิดเผยว่า จากการที่บริษัทได้ทุ่มเทและการพัฒนาธุรกิจด้วย นวัตกรรมทางด้านเทคโนโลยีตลอดเวลา ทำให้ จอย แอนด์ คอยน์ ได้รับคัดเลือกให้เป็น 1 ใน 3 บริษัทของประเทศไทย ประกอบด้วย ซีพี, เดลต้า และ จอย แอนด์ คอยน์ ให้เข้ารับ รางวัลอาเซียนอวอร์ด ด้านการเป็นบริษัทที่มีนวัตกรรมยอดเยี่ยมที่จะจัดขึ้น ณ ประเทศบรูไน นอกจากรางวัลดังกล่าว แล้ว บริษัทยังมีรางวัลอื่นๆ อีกมากมายที่กำลังอยู่ในระหว่าง การรอผลการคัดเลือกให้ไปรับรางวัล ซึ่งเป็นการการันตีถึง ความทุ่มเท และมุ่งมั่นในการพัฒนาองค์กรอย่างต่อเนื่อง


บริษัทไม่ได้หยุดนิ่งเพียงเท่านี้ยังได้พัฒนาระบบ E-wallet และ Software ให้มีความสามารถมากยิ่งขึ้นไป อีก เพื่อตอบโจทย์ความต้องการ และช่วยให้สมาชิกสามารถ บริหารจัดการกับธุรกิจได้ด้วยตนเอง โดยปัจจุบันบริษัท มีสมาชิกผู้ที่เปิดใช้ E-wallet แล้วกว่า 400 แอคเคาน์ ซึ่ง ทั้ง 400 แอคเคาน์นี้ สมาชิกสามารถบริหารงานได้เองและ สามารถทำงานได้จากที่บ้าน


ระบบ E-wallet และ Software พัฒนาขึ้นมา เพื่อ ช่วยให้นักธุรกิจอิสระได้ทำงานได้ง่ายขึ้น และสามารถทำงานได้ทุกที่ผ่านระบบออนไลน์ ขณะเดียวกันบริษัทยังได้พัฒนา ระบบ Software ต่างๆ และ E-Wallet ให้มีประสิทธิภาพ ในการใช้งานให้ดียิ่งขึ้นไปอีก โดยระบบ E-Wallet เป็น ตัวช่วยในการทำงาน กล่าวคือ เพียงนักธุรกิจเติมเงินเข้าไป ใน E-Wallet ขั้นต่ำ 10,000 บาท สามารถที่จะสั่งซื้อสินค้า และสั่งจ่ายได้ผ่านทางระบบ E-Wallet ได้ทันที


ดร.สมชาย กล่าวอีกว่า บริษัทยังได้วางแผนที่จะช่วย ให้นักธุรกิจมีความเป็นเจ้าของธุรกิจ จอย แอนด์ คอยน์ มากขึ้นผ่านระบบ SMART MLM โดยนักธุรกิจทุกคนสามารถ บริหารงาน และวิเคราะห์โครงสร้างองค์กรของตนเองได้ ผ่านทางระบบดังกล่าว คาดว่าระบบ SMART MLM จะ สามารถใช้งานได้อย่างเต็มรูปแบบในอีก 2 ปีข้างหน้า ซึ่ง เชื่อว่าจะสามารถดึงดูดกลุ่มนักธุรกิจที่เป็นคนรุ่นใหม่ที่มีอายุ ตั้งแต่ 18-35 ปี เข้ามาใช้งานได้


สำหรับอัตราการเติบโตของ จอย แอนด์ คอยน์ ใน ครึ่งแรกของปี 2556 นั้น ดร.สมชาย กล่าวว่า ยังคงเติบโต เป็นไปตามเป้าหมาย โดยคาดว่าทั้งปีนี้บริษัทจะมีอัตราการ เติบโตอยู่ที่ 10% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา ส่วนโครงการ ห้างสะดวกซื้อนั้น ขณะนี้บริษัทได้เริ่มดำเนินการจัดซื้อที่ดิน ตามจังหวัดใหญ่ๆ ไว้แล้วกว่า 20 จังหวัด โดยในแต่ละจังหวัด จะมีพื้นที่ประมาณ 2-3 ไร่ ทุกสาขาจะมีลักษณะอาคาร เป็นแบบกรีนบิวดิ้ง และในอนาคตจะซื้อที่ดินเพื่อขยายสาขา ของห้างสะดวกซื้ออีกแน่นอน


การที่บริษัทได้จัดทำเป็นห้างสะดวกซื้อ เพื่อตอบ- สนองความต้องการของผู้บริโภค และสมาชิกของ จอย แอนด์ คอยน์ ซึ่งภายในห้างสะดวกซื้อจะแบ่งเป็น 2 ชั้น ชั้นแรกจะ เป็นที่จำหน่ายสินค้า และชั้นที่ 2 เป็นพื้นที่สำหรับการจัดฝึก อบรมกับสมาชิก และผู้สนใจ ซึ่งห้างสะดวกซื้อในแต่ละที่ จะเป็นเหมือนศูนย์กระจายสินค้าตามจังหวัดต่างๆ และให้ E-wallet เป็นเหมือนสาขาเล็กๆ สินค้าที่วางจำหน่าย ภายในห้างฯ จะเป็นสินค้าที่อยู่ในความต้องการของผู้บริโภค เป็นหลัก


ด้าน ฐัช หัชลีฬหาผู้ช่วยประธานกรรมการและ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัดกล่าวว่า ขณะนี้บริษัทได้ขยายธุรกิจ ไปยังต่างประเทศ ได้แก่ มาเลเซีย และกัมพูชา ในอนาคต อันใกล้นี้มีวางแผนจะขยายไปยังประเทศต่างๆ เพิ่มมากขึ้น โดยล่าสุดบริษัทจะเข้าไปทำการสำรวจตลาด และเจรจา การค้ากับประเทศฟิลิปปินส์และเวียดนาม ซึ่งการเข้าไป ในประเทศต่างๆ นั้น บริษัทจะร่วมเดินทางเข้าไปกับทาง ภาครัฐบาลในการเข้าไปเจรจาเพื่อหาช่องทางในการเข้าไป ลงทุนในประเทศเหล่านี้


วันนี้ J&C ได้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า การทำธุรกิจ ขายตรงแบบสะดวกซื้อได้รับการยอมรับเป็นอย่างดี ซึ่งจะ เห็นได้จากในปัจจุบันมีนักธุรกิจอิสระได้ให้ความสนใจเข้ามา ทำธุรกิจใน J&C เป็นจำนวนมาก และนักธุรกิจมีความ หลากหลายของกลุ่มช่วงอายุ โดยมีตั้งแต่อายุ 18-70 ปี ซึ่ง ปัจจุบันบริษัทมีสมาชิกทั้งหมดกว่า 1 ล้านรหัส และมี J&C Shop กว่า 70 สาขาเปิดให้บริการแล้วทั่วประเทศ ทั้งนี้ การ ที่บริษัทได้รับความสนใจจากกลุ่มนักธุรกิจอิสระเป็น อย่างมาก เนื่องจากการที่บริษัทได้สร้างเครื่องมือ และ นวัตกรรมใหม่ๆ ที่สามารถช่วยให้นักธุรกิจอิสระได้ทำงาน อย่างสะดวกสบาย รวมไปถึงการมีสินค้าที่ครอบคลุมและตรง ต่อความต้องการของนักธุรกิจอิสระและกลุ่มผู้บริโภค ปัจจุบันบริษัทมีสินค้า 8 กลุ่ม รวมกว่า 20,000 รายการ และ ยังมียาน้ำสมุนไพรจีนโหย่งเหิงเป็นสินค้าหลักด้วย


ขณะที่อาสา หัชลีฬหาผู้อำนวยการสถานี เจซี ทีวี และศรัณย์ณัฐฐา หัชลีฬหารองผู้อำนวยการ เจซี ทีวี กล่าวว่า สถานี เจซี ทีวี เป็นสถานีโทรทัศน์ที่ผลิตรายการ และนำเสนอเรื่องราว ข่าวสารต่างๆ ของ จอย แอนด์ คอยน์ ให้แก่สมาชิกได้รับรู้ภายใต้คอนเซ็ปต์ แค่คิดชีวิตก็เปลี่ยน โดยสถานเี จซี ทีวี จะมีรายการให้ไดรั้บชมทั้งหมด 25 รายการ เป็นรายการที่ผลิตให้กับ จอย แอนด์ คอยน์ ได้แก่ The Key Man, JC Special Scoop, JC Travel และท้าลองท้ารวย สามารถรับชมได้ 3 ช่องทาง คือ เคเบิล ทีวี, อินเทอร์เน็ต ทีวี และเว็บไซต์ www.jctv.in.th


โดยในเว็บไซต์ www.jctv.in.th สมาชิกยังสามารถ ที่จะเข้าไปสืบหาข้อมูลของ จอย แอนด์ คอยน์ ได้ ผ่านทาง เว็บไซต์ดังกล่าว อย่างไรก็ตาม หลังจากที่สถานีเจซี ทีวี ได้ เปิดดำเนินการมากว่า 10 เดือน ได้มีสมาชิก และผู้คนที่ให้ ความสนใจเป็นอย่างมาก รวมถึงยังมีพันธมิตรให้ความ


 


 


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 228 ประจำวันที่ 1-15 สิงหาคม 2556

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

ข่าวอารากอน เวิลด์ 54 (Aragon World 54) : อารากอน แก้ยอดไม่ขยับ ส่งสินค้าใหม่ปลุกกำลังซื้อ







DSC_0271_resize (Mobile)


อารากอนเวิลด์ 54 แก้เกมขายตรงในไทย ทรงตัว ส่งสินค้าใหม่กลุ่มเกษตร ลงชิงแชร์ตลาด เสริมอาหารพืช ระบุปลายปีจ่อทุ่มงบโฆษณา ดันยอดครึ่งปีหลัง มั่นใจสิ้นปียอดแตะ 300 ล้านบาท ด้าน นพดล นายใหญ่สั่งเร่งยึดหัวหาดขยายตลาด ต่างประเทศ เผยล่าสุดซุ่มเจรจาพาร์ตเนอร์ในพม่า- เวียดนาม-อินโดนีเซีย ปักธงรบตลาดอาเซียน หลังปลื้มในลาว-กัมพูชา-มาเลเซีย-สิงคโปร์ ยอดพุ่งต่อเนื่อง


นพดล กลิ่นบำรุงประธานกรรมการบริษัท อารากอนเวิลด์ 54 จำกัดกล่าวว่า การเติบโตของ อุตสาหกรรมขายตรงในภาพรวมช่วงครึ่งปีแรกของปี 2556 เชื่อว่าจะโตไม่ถึง 7% ตามเป้าหมายที่ตั้งไว้ เพราะหากดูจาก การเติบโตของแต่ละบริษัทรวมกันเติบโตเพียง 4-5% เท่านั้น เนื่องจากได้รับผลกระทบจากปัจจัยทางด้านเศรษฐกิจ ส่งผลให้กำลังซื้อของผู้บริโภคเกิดการชะลอตัว ขณะที่ ภาพรวมในช่วงครึ่งหลังของปีเชื่อว่ากำลังซื้อน่าจะเริ่ม กลับมา เนื่องจากเป็นฤดูกาลใช้จ่ายของประชาชน และ เชื่อว่าทุกบริษัทน่าจะมีกลยุทธ์ในการกระตุ้นยอดขายออกมา ในช่วงเวลาดังกล่าว เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อ


ขณะที่อัตราการเติบโตของ อารากอนเวิลด์ 54 ใน ครึ่งแรกของปี 2556 เติบโตอยู่ในระดับที่ทรงตัว เมื่อเทียบกับ ช่วงเดียวกันของปีก่อน ทั้งนี้ เป็นผลมาจากกำลังซื้อที่ชะลอตัว ประกอบกับในช่วงต้นปี 2556 ที่ผ่านมา บริษัทได้มีการปรับ โครงสร้างภายใน เพื่อให้เหมาะสมกับสภาพการแข่งขันใน ปัจจุบัน รวมถึงได้เกิดสภาวะผู้นำไม่นิ่งโดยมีการย้ายค่ายบ่อย จึงทำให้ยอดขายเกิดการทรงตัว


กลยุทธ์ในการกระตุ้นยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง เราได้เพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มทางการ เกษตร ภายใต้ชื่อ Super Glow 4 in 1 เข้ามาทำตลาดเพิ่ม หลังจากที่เราได้ทดลองทำตลาดมาได้สักระยะปรากฏว่าได้ รับการตอบรับดีมาก เพราะผลิตภัณฑ์ของเราสามารถใช้ ควบคู่กับปุ๋ยเคมีได้ ทำให้ช่วยลดต้นทุนการผลิต และเพิ่ม ผลผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเราคาดว่าภายในสิ้นปีนี้ กลุ่มผลิตภัณฑ์ทางการเกษตรจะมีสัดส่วนยอดขายคิดเป็น 30% ของยอดขายรวม


นพดล กล่าวอีกว่า นอกจากการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ใหม่ดังกล่าวเพื่อช่วยกระตุ้นยอดขายแล้ว บริษัทยังได้ วางแผนที่จะการทำตลาดผ่านทางสื่อต่างๆ ด้วย ไม่ว่าจะเป็น ผ่านทางเคเบิล ทีวี, วิทยุชุมชน และสื่อสิ่งพิมพ์ เป็นต้น เพื่อ ช่วยส่งเสริมให้นักธุรกิจสามารถออกไปขยายตลาดได้ง่ายขึ้น โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษารายละเอียด คาดว่าภายใน ปลายปีนี้น่าจะเริ่มลงสื่อต่างๆ ได้พร้อมกัน


ตอนนี้เรามีจำนวนสมาชิกทั้งหมดประมาณ 80,000 รหัส คิดเป็นจำนวนที่เคลื่อนไหว (Active) 10% ของยอด ทั้งหมด ซึ่งฐานตลาดหลักของเราจะอยู่ที่ภาคอีสาน, ใต้, กรุงเทพฯ และปริมณฑล ขณะที่ศูนย์สาขามีทั้งหมด 16 แห่ง ซึ่งปีนี้เราไม่มีนโยบายจะเปิดศูนย์สาขาเพิ่ม แต่จะเน้นในเรื่อง ของการเปิดศูนย์โมบาย และเซ็นเตอร์ที่สมาชิกเปิดเองแทน เพราะทำให้ดูแลง่าย และเข้าถึงตรงกลุ่มเป้าหมายได้ชัดเจน กว่า


สำหรับนโยบายในการรุกตลาดต่างประเทศนั้น นพดล กล่าวว่า บริษัทได้ให้ความสำคัญในการขยายตลาด ในต่างประเทศโดยเฉพาะประเทศในกลุ่มอาเซียน โดย ปัจจุบันบริษัทได้ขยายตลาดออกไปยังต่างประเทศแล้ว ประมาณ 4-5 ประเทศ อาทิ สปป.ลาว, กัมพูชา, มาเลเซีย และสิงคโปร์ นอกจากนั้นบริษัทยังอยู่ระหว่างการเจรจากับ พาร์ตเนอร์ในการเข้าไปขยายตลาดที่พม่า และเวียดนาม คาดว่าไม่เกินเดือนสิงหาคมนี้น่าจะได้ข้อสรุป ขณะเดียวกัน บริษัทยังให้ความสนใจที่จะเข้าไปขยายตลาดในอินโดนีเซีย เนื่องจากเป็นตลาดที่ใหญ่ และมีกำลังซื้อค่อนข้างสูง โดย บริษัทคาดว่าภายในปี 2558 น่าจะสามารถเข้าไปเปิดตลาด ในประเทศกลุ่มอาเซียนได้เกือบครบทุกประเทศ


นโยบายการบุกตลาดต่างประเทศของอารากอน เราจะเน้นการลงทุนเองทั้งหมด เพราะง่ายต่อการบริหาร จัดการ แต่ทั้งนี้เราก็ไม่ได้ปิดประตูหากจะมีพาร์ตเนอร์ ให้ความสนใจเข้ามาร่วมลงทุนด้วย เพราะการลงทุน ในการเปิดสาขาในต่างประเทศต้องใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 10 ล้านบาทต่อสาขา ดังนั้น หากจะมีนักลงทุนเข้ามา ร่วมด้วยก็ยินดี อย่างไรก็ตาม การเติบโตของตลาดใน ต่างประเทศถือว่ามีแนวโน้มที่ดี โดยเฉพาะตลาดใน กัมพูชาที่เติบโตสูงมาก ซึ่งปัจจุบันในกัมพูชามียอดขาย คิดเป็นสัดส่วน 10-15% ของยอดรวมทั้งหมด ซึ่งเรา เชื่อว่าสิ้นปีนี้ยอดขายจากต่างประเทศจะอยู่ที่ 50% ของ ยอดขายรวม 300 ล้านบาท





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 228 ประจำวันที่ 1-15 สิงหาคม 2556

สคบ. ปูพรมแก้ ก.ม. ขายตรงไทย ผุดรหัส GS1 หวังจัดระเบียบสินค้า







934667_544129798971786_1677995795_n (Mobile)


สมาคม TDNA ฟิตจัด ตบเท้าพบเลขา สคบ. ยื่นหนังสือเพื่อแก้ไขกฎหมายขายตรง ไทย ที่ยืดเยื้อมานาน เลขา สคบ. รับเห็นด้วย กับการเสนอแยกหน่วยงานขายตรงเป็น เอกเทศ พร้อมเดินหน้าจัดระเบียบขายตรง ไทยอย่างเป็นระบบ เล็งเชิญ 4 สมาคม ขายตรงไทยหาทางออกร่วมกัน ระบุ วาระ สำคัญของการพบ เพื่อถามสารทุกข์ แนวทาง การรับมือตลาดอาเซียน และการจัดตั้งรหัส สินค้า GS1 ที่ปัจจุบันมีการใช้กันทั่วโลก ส่วนการแก้ไขกฎหมายเตรียมเดินสาย เพื่อถกปัญหากับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในวงกว้าง


ภายหลังการจัดตั้งสมาคมธุรกิจ เครือข่ายขายตรงไทย หรือ TDNA ที่ นำโดย นิโรธ เจริญประกอบ ซึ่งเป็น นายกสมาคมฯ ไปเมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา สมาคมดังกล่าวก็ได้ ผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายขายตรง ปี 2545 ที่ใช้กันมานานกว่า 10 ปี ซึ่ง ความคืบหน้าล่าสุด นายกสมาคม TDNA ได้เข้าพบ จิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคหรือ สคบ. เพื่อพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในการ เดินหน้าเพื่อแก้ไขกฎหมายขายตรงไทยร่วมกัน


สำหรับประเด็นหลักที่สมาคม TDNA เสนอให้มีการ แก้ไขกฎหมาย คือ 1.การเสนอให้จัดตั้งหน่วยงานโดยมีฐานะ เทียบเท่ากรม มีลักษณะคล้ายกับสำนักงานคณะกรรมการ กำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย หรือ คปภ. 2.เสนอให้เพิ่มนิยามคำว่าขายตรงให้ครอบคลุมธุรกิจ เครือข่าย 3.การเสนอให้จัดตั้งกองทุนขายตรง โดยมี คณะกรรมการบริหารกองทุน หากเกิดปัญหากับผู้บริโภค จะได้นำเงินดังกล่าวมาเยียวยาความเสียหายได้ รวมถึง ประเด็นการขึ้นทะเบียนผู้จำหน่ายอิสระ เป็นต้น


ล่าสุด จิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการสำนักงาน คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. กล่าวในที่ประชุม สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค เกี่ยวกับประเด็น การแก้ไขกฎหมายขายตรงไทยว่า สคบ. จะมีการพบปะ พูดคุยกับผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ หน่วยงานภาครัฐ และภาคประชาชน เพื่อหาทางออกสำหรับ การแก้ไขกฎหมายขายตรงไทยร่วมกัน


สิ่งที่ สคบ. ต้องทำคือ การตรวจสอบอีกครั้งว่า กฎหมายขายตรงไทย ที่จะแก้ไขอย่างเร่งด่วนมีข้อใดบ้าง หลังจากนั้นจะมีต้องพิจารณาอีกว่าการแก้ไขกฎหมายนั้น ควรจะใช้ระยะเวลานานเท่าใด เพราะการแก้ไขกฎหมายนั้น ต้องใช้เวลาหลายปี อีกทั้งยังต้องทำประชาพิจารณ์ไปยัง วงกว้างกับประเด็นการจัดตั้งหน่วยงานขายตรงให้เป็น เหมือนหน่วยงาน คปภ. นั้น จะสามารถทำได้หรือไม่ ซึ่งเรื่องนี้ สคบ. จะเข้าพบอาจารย์จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เกี่ยวกับประเด็นดังกล่าวอีกด้วย เพื่อเป็นการรับฟังความ ความคิดเห็นจากทุกๆ ฝ่ายในวงกว้าง


จิรชัย กล่าวต่อว่า เร็วๆ นี้ สคบ. จะเป็นเจ้าภาพ ในการเชิญ 4 สมาคมขายตรงไทยเข้าพบปะพูดคุยเพื่อสร้าง ความเข้มแข็งให้กับธุรกิจ โดยสาระสำคัญของการพบปะ จะเป็นการซักถามปัญหา หรือข้อเสนอแนะในการทำธุรกิจ รวมถึงการขอความร่วมมือกับผู้ประกอบการในการเตรียม แผนรับมือกับการเปิดตลาดอาเซียนในปี 2558 และการ พูดคุยกับผู้ประกอบการเรื่องการทำรหัสสินค้า GS1 ซึ่งเป็น รหัสสากล ที่มีการใช้กันทั่วโลกในปัจจุบัน


นอกจากประเด็นการแก้ไขกฎหมายขายตรงไทยแล้ว สคบ. ยังเดินหน้าผลักดันการจัดระเบียบธุรกิจขายตรงไทย ซึ่งเป็นไปตามนโยบาย หลังเข้ารับตำแหน่งเลขา สคบ. เมื่อ ปีที่ผ่านมา ที่ต้องการจัดระเบียบข้อมูลสินค้า หรือที่เรียกว่า มาตรฐานรหัสสากล GS1 ซึ่งเป็นรหัสสินค้าสากล 13 หลัก และการจัดระเบียบผู้ประกอบการ ที่ก่อนหน้านี้ สคบ. ได้มี การแยกประเภทบัญชีของผู้ประกอบการขายตรงจำนวน 353 บริษัท ให้เป็นบัญชี ก. ซึ่งเป็นผู้ประกอบการที่ยังดำเนิน ธุรกิจอยู่ในปัจจุบัน และบัญชี ข. คือ ผู้ประกอบการที่ จดทะเบียนกับ สคบ. แต่ไม่มีการรายงายความเคลื่อนไหวใน การทำธุรกิจให้ สคบ. รับทราบแต่อย่างใด รวมถึงการจัด ระเบียบด้านการโฆษณาสินค้า หากเกิดความเสียหายจาก การโฆษณา จากนี้ไป ผู้ที่เกี่ยวข้องจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน


เดิม สคบ. ตั้งเป้าจะจัดทำฐานข้อมูลสินค้าของ แต่ละบริษัท ต่อมาได้มีการประชุมที่บาหลี ประเทศอินโด- นีเซีย เกี่ยวกับการเปิดตลาดอาเซียน และจากการประชุม ร่วมกัน ผู้นำบาหลีได้จุดประกายเรื่องการจัดทำรหัสสากล เพราะตอนนี้ทั่วโลกก็ใช้กันอยู่แล้ว และจากนี้ไปก็มีจะมีการ ซักซ้อมความเข้าใจกับบริษัททั้งหมด ส่วนโลโก้ สคบ. ที่จะ มอบให้ผู้ประกอบการ ก็จะมีการทำต่อไปเพื่อรองรับการเปิด ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนปี 2558 อันนี้ก็เพื่อเป็นการสร้าง ความมั่นใจให้กับผู้บริโภค เบื้องต้นการจัดทำรหัสสากล GS1 จะเป็นความสมัครใจของผู้ประกอบการ โดย สคบ. จะไม่บังคับ แต่จะมีการพูดคุยเกี่ยวกับประเด็นดังกล่าว อีกครั้ง และต่อจากนี้ไป สคบ. ก็จะมีการเตรียมแผนการจัด ทำฐานข้อมูลการจ่ายผลตอบแทนต่อไป


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การพบปะพูดคุยระหว่าง สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย กับ สคบ. เป็นไปด้วยดี ซึ่งการร่างเพื่อแก้กฎหมายขายตรงไทยฉบับปี 2545 นั้น จะมีความชัดเจนอีกครั้งประมาณปลายปี 2556 เนื่องจาก สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทยต้องรอผลงานวิจัยภาพ รวมอุตสาหกรรมขายตรงไทย จาก อ.ธนวรรธน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ เพื่อนำ มาประกอบเป็นข้อมูลในวงกว้างเกี่ยวกับธุรกิจขายตรง ไทย ก่อนที่จะมีการพูดคุยและเสนอให้รัฐมนตรีประจำ สำนักนายกรัฐมนตรีรับทราบต่อไป





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 228 ประจำวันที่ 1-15 สิงหาคม 2556


ข่าว โมนาวี (Monavie) : โมนาวี ยันไม่ถอนหุ้นหนีไทยปูทางขึ้นแถวหน้าเอเชีย







phil_welch_sm_0 (Mobile)


โมนาวี รื้อผังโครงสร้างบริหารใหม่ ตั้ง Mauricio Bellora นั่งควบ 2 ตำแหน่ง ประธานกรรมการ-CEO คุมทั่วโลก หวังก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทขายตรงระดับแถวหน้า ของโลก ด้าน ฟิล เวลช์ ลั่น! อีก 3-5 ปี ปั้นตลาด เอเชียมียอดขาย 40-50% ติดอันดับต้นของโลก การันตีบริษัทแม่หนุนไทย 100% กลบกระแส ข่าวลบถอนหุ้นหนี โปรยยาหอมไทยเป็นตลาด ที่มีศักยภาพ เตรียมดันให้ก้าวขึ้นมาติดแถวหน้า ของเอเชีย

ฟิล เวลช์ ประธานกรรมการประจำ ภูมิภาคเอเชียเหนือ และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โมนาวี สหรัฐอเมริกา กล่าวว่า ในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมา โมนาวีได้ทำการปรับโครงสร้างการบริหารงานภายใน ใหม่ เพื่อรองรับการเติบโตในอนาคต โดยบริษัทได้ แต่งตั้ง Mauricio Bellora เข้ามานั่งในตำแหน่ง ประธานกรรมการ และประธานกรรมการบริหาร (CEO) และ Walter Noot ประธานบริหาร ฝ่ายปฏิบัติการ(COO) โดยทั้ง 2 ท่าน จะเข้ามาดูแลในการ ทำตลาดของโมนาวีทั่วโลก พร้อมทั้งได้แต่งตั้งประธาน กรรมการประจำภูมิภาคอีก 10 คน เพื่อให้เข้ามาดูแลตลาด ตามภูมิภาคต่างๆ ของโมนาวี โดยตน (ฟิล เวลช์) ที่จะเข้ามา ดูแลตลาดโมนาวีประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ยกเว้นจีน, ไต้หวัน และฮ่องกง ทั้งนี้ การปรับโครงสร้างการบริหารงาน ภายในในครั้งนี้ จะทำให้โมนาวีมีอัตราการเติบโตแบบมั่นคง และยั่งยืน โดยเฉพาะการได้ทีมผู้บริหารที่มีประสบการณ์ใน ธุรกิจขายตรงอย่าง Mauri Cio Bellora เข้ามาดูแลตลาด ทั้งหมด เชื่อว่าจะทำให้โมนาวีเติบโตบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ คือ การก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทขายตรงระดับโลกได้

โมนาวีเมื่อ 3 ปีก่อน กับปีนี้ไม่เหมือนกัน เพราะจาก การได้เรียนรู้ความผิดพลาดในการทำตลาดช่วงที่ผ่านมา ทำให้เราได้เรียนรู้ และปรับรูปแบบการทำงานให้สอดคล้อง กับตลาดแต่ละพื้นที่ ซึ่งจุดแข็งของเรา คือ การมีผลิตภัณฑ์ ที่ดีมีคุณภาพ และส่งต่อไปให้ผู้คนจากทั่วทุกมุมโลก แต่เรา ไม่สามารถทำงานคนเดียวได้ ต้องอาศัยนักธุรกิจเข้ามาช่วย ในการขยายตลาดออกไป และต้องทำงานกันเป็นทีม ดังนั้น ภาพจากนี้ไปจึงทำให้โมนาวีไม่เหมือน และต่างจากบริษัท อื่นๆ ทั่วไป อย่างไรก็ตาม แม้เมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา เราจะมีการ เปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ แต่วัตถุประสงค์ของเราไม่เคยเปลี่ยน นั่นคือ การทำให้ผู้คนมีความสุข และมีสุขภาพที่ดี

ฟิล เวลช์ กล่าวถึงกรณีที่มีกระแสข่าวการตัดรหัส สมาชิกระดับสูงในยุโรป และญี่ปุ่น ว่าสาเหตุของการตัดรหัส สมาชิกของผู้นำระดับสูง มาจากผู้นำเหล่านี้ได้นำสินค้าจาก การปิดตำแหน่งไปขายตัดราคา ซึ่งบริษัทได้มีการสืบทราบว่า ผิดจริง ประกอบกับนโยบายของบริษัทระบุชัดเจนว่า หากมี สมาชิกนำสินค้าไปขายตัดราคา บริษัทจำเป็นที่จะต้องตัด รหัสสมาชิก โดยในกรณีที่ประเทศโปแลนด์มีผู้นำระดับรอยัล แบล็กไดมอนด์ ได้นำสินค้าไปขายตัดราคาที่ประเทศรัสเซีย ส่วนที่ญี่ปุ่นเป็นผู้นำระดับบลู ไดมอนด์ ได้นำสินค้าไปขายตัด ราคา ซึ่งทางบริษัทก็ได้ทำการตัดรหัสสมาชิกเป็นที่เรียบร้อย แล้ว

สำหรับภาพรวมของโมนาวีในตลาดเอเชียแปซิฟิกนั้น ถือว่าเป็นตลาดที่มีศักยภาพมาก โดยมีอัตราการเติบโตอย่าง ต่อเนื่อง ซึ่งประเทศที่มีอัตราการเติบโตสูงสุด ได้แก่ เกาหลีใต้ รองลงมาคือ ญี่ปุ่น ขณะที่ประเทศที่มียอดขายสูงสุดเป็น อันดับ 1-5 ได้แก่ ญี่ปุ่น, มาเลเซีย, ออสเตรเลีย, เกาหลีใต้ และไทย ตามลำดับ โดยในส่วนของออสเตรเลียกับเกาหลีใต้ จะสลับกันขึ้นเป็นอันดับ 3 และ 4 อย่างไรก็ตาม เชื่อมั่นว่า ภายในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ตลาดเอเชียจะมียอดขายเติบโต เป็นอันดับ 1 ของโมนาวี โดยคิดเป็นสัดส่วน 40-50% ของ ยอดขายรวมทั่วโลก

ส่วนนโยบายในการรุกตลาดในประเทศไทยนั้น ฟิล เวลช์ กล่าวยืนยันว่า บริษัทแม่ยังคงให้การสนับสนุนที่จะทำ ธุรกิจในไทยเต็ม 100% และไม่มีแผนที่จะปิดบริษัทในไทย อย่างแน่นอน แม้ที่ผ่านมาจะมีกระแสข่าวลบๆ ออกมาอย่าง ต่อเนื่องก็ตาม ซึ่งการที่ตนได้เข้ามาดูแลตลาดในไทยถือว่า เป็นความท้าทายอย่างมาก เนื่องจากเป้าหมายของบริษัทแม่ คือ ต้องการให้ไทยเป็นตลาดที่เติบโตต่อไปในระยะยาว โดย นโยบายของบริษัทจะสร้างฐานผู้บริโภคเน้นการใช้ผลิตภัณฑ์ อย่างยั่งยืน ในอนาคตบริษัทเตรียมจะนำผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ เข้ามาทำตลาดเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์ทั้งหมดเพียง 6 รายการเท่านั้น ทั้งนี้ เพื่อต้องการสร้างฐานตลาดผู้บริโภค อย่างแท้จริง เพราะในช่วงที่ผ่านมาการทำตลาดในไทย นักธุรกิจส่วนใหญ่จะเน้นในเรื่องการขยายธุรกิจเป็นหลัก

ในช่วงที่ผ่านมาแม้ผมจะไม่ได้เข้ามาดูแลตลาดใน ไทยตั้งแต่ช่วงเริ่มต้น แต่ก็พอทราบว่ามีความผิดพลาด อะไรอยู่บ้าง เช่น การยื่นขอเลขที่ อย. ที่ใช้เวลานานเกิน ไป และเสียค่าใช้จ่ายค่อนข้างสูง แต่จากนี้ไปเชื่อว่าจะเริ่ม ดีขึ้น เพราะเราจะนำบทเรียนต่างๆ เหล่านั้นมาปรับใช้ โดยผมเริ่มเข้ามาดูตลาดในไทยตั้งแต่เดือนเมษายน 2556 ที่ผ่านมา และได้เห็นการเติบโตในไทย ซึ่งส่วนตัวมองว่า ไทยถือเป็นประเทศที่มีศักยภาพมาก โดยปัจจุบันมีสัดส่วน ยอดขายคิดเป็นอันดับ 5 ของเอเชีย ทั้งที่เป็นประเทศ ที่โมนาวีเข้ามาเปิดตลาดใหม่ในระยะเวลาอันสั้น ซึ่งผม เชื่อว่าตลาดในไทยไม่หยุดอยู่เพียงเท่านี้อย่างแน่นอน แต่ จะต้องเติบโตต่อไปอาจจะก้าวขึ้นมาอยู่ในอันดับต้นๆ ของ เอเชียในอนาคตอันใกล้นี้






ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 228 ประจำวันที่ 1-15 สิงหาคม 2556



สุมิตร กู้ มิลค์กี้เวย์ ดิ่งเหว ดึงทุนใหม่ร่วมบริหารฮึดสู้อีกยก







Milkyway-1-Mobile (Mobile)


มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์ สุดทนหลังโดนมรสุมเล่นงานจนอ่วม ตั้งโต๊ะแถลงสยบ ข่าวปิดบริษัทหนี สุมิตร ใจป้ำกัดฟันแบ่งหุ้น 40% ให้กลุ่มทุนใหม่ในเครือข่าย นายพล คนขอนแก่น ประกาศรื้อผังโครงสร้างทีมบริหารทั้งกระบิ พร้อมเปลี่ยน ชื่อใหม่เป็น เบสท์ มีไลฟ์ อ้างป้องกันการสับสนและเข้าใจผิด ด้าน สุมิตร ยอมรับแบรนด์นายพล กู้ชีวิต เผยแค่เดือนแรกคนแห่ร่วมธุรกิจดันยอดเกือบ 100 ล้านบาท ฟุ้งปี 57 รายได้แตะพันล้าน เหตุองค์ประกอบลงตัว


ตลอดระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา บริษัทขายตรงสัญชาติไทยอย่าง มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล โดนมรสุมเล่นงาน อย่างหนักหน่วง ทั้งจากปัญหาภายใน ที่ทะเลาะกันเองระหว่างอดีตภรรยา จน กระทั่งทั้ง 2 ฝ่าย ต้องประกาศแยกทางกันเดินอย่างไม่เหลือเยื่อใย แต่ด้วยได้รับเสียง เชียร์จากคนรอบข้าง บวกกับศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ ของทั้ง 2 ฝ่าย จึงใส่เกียร์เดินหน้าเปิดศึก ใส่กันอย่างต่อเนื่อง หวังแย่งชิงแบรนด์ มิ้ลค์กี้ เวย์ มาเป็นของตน จนกลายมาเป็น ศึก 2 ก๊กแห่ง มิ้ลค์กี้ เวย์โดยแบ่งออกเป็น มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค (ฝ่ายอดีตภรรยา) และ มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์ฯ (ฝ่ายอดีตสามี)


จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความมึนงง!!! ปน คำสงสัยว่าของเหล่าบรรดาแม่ทีมและสมาชิกว่า เหตุใดทั้ง 2 จึงต้องมาแย่งชิงแบรนด์กันเอง ทั้งๆ ที่ทะเลาะกันไปก็ไม่ได้ ทำให้อะไรดีขึ้นมา ไม่เพียงเท่านั้น ทั้ง 2 ฝ่าย ยังได้ยื่นฟ้อง- ร้องกรณีการได้รับสิทธิ์แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการจำหน่าย ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับผู้ชาย จนกระทั่งศาลมี คำพิจารณาให้ มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค เป็นฝ่ายชนะ และได้รับ สิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไป ขณะที่ข้างบน กำลังซัดกันนัวเนียอยู่นั้น ข้างล่างระหว่างสมาชิกกับสมาชิก กันเองก็ปล่อยข่าวโจมตีกันอย่างเมามัน บ้างก็ปล่อยข่าวว่า มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์ จะปิดบริษัท บ้างก็ปล่อย มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค ไปไม่รอดแล้ว จนไม่แน่ใจว่าข่าวไหนจริง ข่าวไหน ลวง กระทั่งเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา สุมิตร วชโรดมทรัพย์ พร้อมกับทีมผู้บริหารชุดใหม่ได้ออกมาตั้งโต๊ะ แถลงข่าวเปิดใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน


โดย สุมิตร วชโรดมทรัพย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เบสท์ มีไลฟ์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 4 เดือน ที่ผ่านมามีกระแสข่าวลบๆ เกี่ยวกับ บริษัท มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจาก ที่บริษัทมีความชัดเจนเกี่ยวกับทีมผู้บริหารชุดใหม่ จึงได้ จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวทีมผู้บริหารชุดใหม่อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งได้ทำการรีแบรนตั้งชื่อบริษัทใหม่ จาก มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล มาเป็น บริษัท เบสท์ มีไลฟ์ จำกัด ทั้งนี้ เพื่อป้องกันความสับสนทางธุรกิจ เนื่องจากปัจจุบัน มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์ มีทีมผู้บริหารใหม่ที่ชัดเจน และบริษัทยังคงที่จะ ดำเนินกิจการต่อเนื่อง ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งการรีแบรน- ดิ้งใหม่ในครั้งนี้ หลังจากก่อนหน้านี้มีการแอบอ้างชื่อ มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์ แล้ว ทำให้เกิดความเสียหายพอสมควร ทีมผู้บริหาร จึงตัดสินใจ เพื่อป้องกันความเสี่ยง และไม่ต้องการให้เกิดความ สับสนในชื่อ มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์ จึงตัดสินใจเลิกใช้ชื่อนี้อีกต่อไป


ส่วนโครงสร้างทีมงานผู้บริหารชุดใหม่ ตน (สุมิตร) ยัง คงนั่งในตำแหน่งประธานกรรมการบริหารต่อไป โดยจะดูแล ในส่วนของการกำหนดนโยบายการบริหารทั้งหมดของบริษัท นอกจากนี้ยังมีรองประธานกรรมการบริหารอย่าง อาจารย์ภูริ เข้ามาร่วมในการบริหารงานภายใน พร้อมทั้งได้ เอกวรัญญู เข้ามานั่งในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ, ผู้อำนวยการฝ่ายการ ตลาด ธนภาค ขณะเดียวกันก็ยังมีทีมผู้บริหารชุดใหญ่ที่ได้รับ การตอบรับแล้ว รอเพียงเปิดตัวอย่างเป็นทางการ นอกจากนั้น ในเรื่องของระบบต่างๆ ซึ่งวันนี้ได้ตอบโจทย์ให้กับผู้คน ที่ต้องการจะเข้าสู่ธุรกิจกับ เบสท์ มีไลฟ์ ว่า บริษัทมีความ พร้อมทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการได้รับเกียรติจาก อาจารย์ รัชเขต วีสเพ็ญ แห่งสภาโจ๊กเข้ามาร่วมในการจัดตั้งสโมสร อะคาเดมี่ เบสท์ มีไลฟ์ เพื่อสร้างผู้นำในระบบเครือข่าย เพื่อ ออกไปสู่ตลาด และขยายตลาดออกไป


หลายคนอาจจะสงสัยว่าที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ อะไรบ้าง แต่วันนี้ผมเชื่อว่าทุกอย่างได้จูน และปรับความ เข้าใจกันหมดแล้ว ก่อนหน้านี้ผมได้ไปขอคำแนะนำจากผู้ที่ ประสบความสำเร็จในธุรกิจท่านหนึ่ง (นายพล คนขอนแก่น) ท่านจึงได้ส่งทีมผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถในการทำ ธุรกิจ ซึ่งทีมผู้บริหารเหล่านี้มีความชัดเจนในการสร้างระบบ อย่างเป็นรูปธรรม ผมเชื่อว่า บริษัท เบสท์ มีไลฟ์ฯ จะเติบโต อย่างต่อเนื่อง เพราะผู้นำที่เราสร้างขึ้นมายังคงอยู่กับเราเกือบ ทั้งหมด และมีการขยายงานอย่างต่อเนื่อง โดยยอดการเติบโต จากเดือนที่แล้วมาจนถึงปัจจุบันเติบโตถึง 200% ดังนั้น เราเชื่อมั่นว่าหลังจากที่ทุกคนเริ่มเห็นความชัดเจนของบริษัท จะทำให้ เบสท์ มีไลฟ์ เติบโตอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน


ขณะที่โครงสร้างการถือหุ้นก็มีการเปลี่ยนแปลง เล็กน้อย เนื่องจากทีมผู้บริหารใหม่ที่เข้ามา ผมต้องการที่จะ ผูกมัดในการเป็นเจ้าของธุรกิจ ไม่อยากให้มองแค่มาทำงาน กินเงินเดือน จึงได้แบ่งหุ้นบางส่วนให้กับทีมผู้บริหารชุดใหม่ โดยสัดส่วนการถือหุ้นเกินกว่า 60% ยังคงอยู่ในมือของผม อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ก่อนหน้าที่มีกระแสข่าวว่ามีกลุ่มทุน จะเข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของ มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์ นั้น ใน ช่วงแรกมีให้ความสนใจอยู่หลายราย แต่ด้วยโครงสร้างที่ใหญ่ และต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก เนื่องจากเรามีการลงทุนอย่าง ต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มทุนเหล่านั้นยกเลิกแนวคิดการเทคโอเวอร์ กิจการไป


เราได้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เพิ่งจะลงทุน เปิดศูนย์สาขา 2 แห่ง ได้แก่ นราธิวาส และลำพูน ดังนั้น คนที่จะเข้ามาลงทุนด้วยจำเป็นที่จะต้องมีศักยภาพจริงๆ กล่าวคือ ในธุรกิจถือเป็นเรื่องธรรมชาติที่คนที่เป็นนักลงทุน จะต้องมองหาบริษัทที่ดีที่อยากจะมาลงทุนร่วมเราก็ไม่ได้ ปิดกั้น เพียงแต่ว่าหุ้นส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในมือของผม อาจจะมี แบ่งหุ้นบางส่วนให้กับทีมผู้บริหารที่เข้ามาร่วมบริหารด้วย เพื่อจูงใจ และรักบริษัท และเติบโตไปด้วยกัน ซึ่งปัจจุบันเรา มีแบ่งหุ้นออกเป็น 2 กลุ่ม


ส่วนโครงสร้างแผนการจ่ายผลตอบแทนนั้น บริษัท ยังคงใช้รูปแบบเดิมเกือบทั้งหมด แต่ได้ปรับให้ดีขึ้น โดยบริษัท ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษในช่วงนี้ โดยได้เพิ่มในส่วนของรายได้ ของทีมอ่อนเป็น 30% ทีมแข็งเป็น 15% และโบนัสสปอน- เซอร์เพิ่ม ซึ่งเชื่อว่าแผนการจ่ายผลตอบแทนเราน่าจะเป็น บริษัทเดียวที่จ่ายสูงที่สุดในขณะนี้ ส่วนในเรื่องของสินค้า บริษัทได้จับมือกับตัวแทนจำหน่ายสินค้าของ นายพล คนขอนแก่น ซึ่งได้รับอนุญาตจากนายพลแล้ว ให้นำสินค้า จำนวน 3 รายการ เข้ามาทำในลักษณะขายตรงได้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิงบี ที โอ เมท (B.T.O. Mate), ดีท็อกซ์ ล้างสารพิษ และ เอนไซม์ เจนิฟู้ด โดยล่าสุดมีกลุ่มผู้นำของนายพล ที่ทำธุรกิจในลักษณะซิงเกิ้ล เตรียมจะเข้ามาทำธุรกิจ ในลักษณะขายตรงกับ เบสท์ มีไลฟ์ อีกจำนวนมาก


การที่เราได้รับกระแสตอบรับดีมากมียอดขาย ขณะนี้เกือบ 100 ล้านบาท ต้องถือว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ได้รับอานิสงส์จากแบรนด์ของนายพล ที่เข้ามาช่วยเจาะ ตลาดด้วย และสินค้าที่เรานำเข้ามาช่วยเติมเต็มในส่วนที่ เรายังขาด ซึ่งหลังจากนี้เราก็เตรียมนำสินค้าใหม่ๆ เข้ามา เพิ่มมากขึ้น และสินค้าที่แต่ละรายการเป็นผลงานระดับ งานวิจัยทั้งนั้น นอกจากนั้นเรายังได้นำระบบการทำธุรกิจ แบบออฟไลน์ บนออนไลน์ ซึ่งถือเป็นบริษัทขายตรง รายแรก และรายเดียวเท่านั้นที่นำระบบนี้มาใช้ โดยเราได้ ซื้อลิขสิทธิ์จากคุณติ๊ก ชีโร่ มาเป็นของเราเองทั้งหมด จะ ทำให้สมาชิกที่เก่งและไม่เก่งในธุรกิจขายตรงก็สามารถ ประสบความสำเร็จได้ โดยเราคาดว่าในช่วง 6 เดือนที่เหลือ น่าจะจบยอดขายไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท ส่วนปี 2557 คงต้องมาคุยกันที่ระดับ 1,000 ล้านบาท


 


 


 


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 228 ประจำวันที่ 1-15 สิงหาคม 2556