ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันจันทร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2556

"ตามรอยพ่อรวย" โดนพิษกำลังซื้อตกฉุดรายรับไม่เป็นดั่งฝัน ลดเป้าเหลือ 60 ล้าน







1000157_616873658323303_1300720039_n (Mobile)

 


"ตามรอยพ่อรวย" บริษัทขายตรงน้องใหม่ โอดครวญสภาพเศรษฐกิจไม่ดี ฉุดการเติบโตของบริษัท บีบให้ฝัน 100 ล้านบาท ปีแรกต้องลดลงเกือบครึ่งเหลือ 60 ล้านบาท เตรียมอัดโปรโมชั่นกระตุ้นตลาด ฟุ้ง!เตรียมทุน 20 ล้านบาท สร้างโรงงานที่ จ.กาญจนบุรี ผลิตสินค้าเกษตร สูบเงินเกษตรกร


หลังจากที่ก่อนหน้านี้ "อ.กรพล รักขพันธุ์" อดีตผู้บริหาร "โกลด์สตาร์ 999" จัดการเปิดบริษัทขายตรงขึ้นมา ภายใต้ชื่อ "บริษัท ตามรอยพ่อรวย จำกัด" หรือ TPR และได้ตั้งเป้าปีแรกเน้นวางรากฐานสมาชิกให้แน่น พร้อมการเติบโต 60% ส่วนยอดขายตั้งเป้าไว้ที่ 100 ล้านบาท โดยสิ้นปี 2556 ต้องได้สมาชิกไม่น้อยกว่า 10,000 รหัส


ความเคลื่อนไหว ล่าสุด อ.กรพล รักขพันธุ์ ประธานกรรมการ บริษัท ตามรอยพ่อรวย จำกัด หรือ "TPR" ได้เปิดเผยกับ "นสพ.สยามธุรกิจ" ว่า หลังจากที่บริษัทได้เปิดดำเนินกิจการมาตั้งแต่ต้นปี จนถึงเวลานี้ก็ก้าวเข้าสู่เดือนที่ 9 แล้ว ซึ่งบริษัทยังคงดำเนินธุรกิจขายตรงได้อย่างมั่นคง และยังยืนหยัดที่จะเติบโตไปอย่างยั่งยืนแน่นอน โดยเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้ในช่วง แรกๆ ได้มีการปรับลงมาตามสภาพเศรษฐกิจ


"อย่างที่ทราบกันดีว่า บริษัทถือเป็น น้องใหม่ในวงการขายตรง เนื่องจากเพิ่งเริ่มเปิดดำเนินการเมื่อวันที่ 29 ม.ค.2556 ที่ผ่านมา และบริษัทก็มีความมั่นใจว่าจะแข่งขันกับธุรกิจ MLM ได้เป็นอย่างดี ถึง แม้จะไม่มีศักยภาพเท่ากับบริษัทขายตรงรายใหญ่ๆ แต่ด้วยประสบการณ์ของทีมบริหาร ประกอบกับสมาชิกใหม่ๆ ที่ต้องการ เป็นท่อน้ำเลี้ยงระดับต้นๆ ทำให้บริษัท เติบโตอย่างรวดเร็ว"


อย่างไรก็ตาม อ.กรพล รักขพันธุ์ ประธานใหญ่ "บ.ตามรอยพ่อรวย" ได้กล่าวถึงผลประกอบการครึ่งปีที่ผ่านมาว่า ตั้งแต่เปิดบริษัทในต้นปีที่ผ่านมา ได้เจอปัญหาอุปสรรคมากมาย แต่ก็แก้ไขมาได้เรื่อยๆ และค่อยๆ ขยายจนถึงเวลานี้ผ่าน มาครึ่งปี บริษัทเติบโตได้ถึง 50% มียอดขายประมาณ 30 ล้านบาท ส่วนสมาชิกทั้งองค์กรอยู่ที่ประมาณ 2,000 รหัส เฉลี่ย เป็นแอ็กทีฟประมาณ 300 รหัส


"ถึงเวลานี้บริษัทได้ทำสำเร็จไปหลายขั้นแล้ว แม้ยอดขายในปัจจุบันยังไม่ถึง 100 ล้านบาทก็ตาม แต่ก็เติบโตในระดับบริษัทขายตรงเล็กๆ คือบริษัทกำลัง พยายามเน้นวางรากฐานให้แน่นก่อน ซึ่ง ได้ออกพื้นที่โรดโชว์ในหลายจังหวัด และ จากเป้าหมายเดิมที่ตั้งเอาไว้ ก็มั่นใจว่าสิ้นปี 56 น่าจะทะลุเป้าหมายแน่นอน และบริษัท มีกลุ่มสินค้าหลายอย่าง อาทิ สินค้าเสริมอาหาร, กลุ่มสินค้าเครื่องสำอาง, สินค้าเครื่องใช้ในครัวเรือน และสินค้าด้านการ เกษตร ซึ่งผลิตภัณฑ์ทั้งหมดผ่านการรับรองจาก อย.เป็นที่เรียบร้อย โดยศูนย์กระจายสินค้าหลักๆ ยังเป็นที่กรุงเทพฯ และภาคตะวันออกเฉียงเหนืออย่าง จ.บุรีรัมย์ ก็ได้ตั้งศูนย์กระจายสินค้าอยู่ที่ อ.เฉลิมพระเกียรติ รองลงมาก็เป็นภาคใต้ที่หาดใหญ่"


อย่างไรก็ดี "อ.กรพล" กล่าวต่อว่า สำหรับเป้าหมายในครึ่งปีหลัง มั่นใจว่า บริษัทจะเติบโตขึ้นไปอีก 70% และยอดขายน่าจะขยับขึ้นเกิน 60 ล้านบาท ส่วน สมาชิกจะต้องขยับให้แตะที่ 3,500 รหัสให้ได้ โดยในส่วนของสมาชิกที่แอ็กทีฟก็น่า จะเพิ่มขึ้นเป็น 500 รหัสขึ้นไป และยังมีกิจกรรมทางการตลาดที่เตรียมกระตุ้นยอด ขาย ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชั่นต่างๆ เพื่อได้สิทธิ์ท่องเที่ยวต่างประเทศในทริป สุดพิเศษ


ทั้งนี้ บริษัทได้เตรียมทุ่มงบประมาณ 10-20 ล้านบาท เพื่อสร้างโรงงานผลิตสินค้าเองที่จังหวัดกาญจนบุรี อ.เมือง บน เนื้อที่ 28 ไร่ เพื่อผลิตสินค้าในกลุ่มเกษตร โดยจะเริ่มสร้างในเดือนพฤศจิกายน 2556 นี้ ซึ่งโรงงานผลิตแห่งจะต้องได้รับการรับรองมาตรฐานจากหน่วยงานของรัฐและเอกชนที่มีชื่อเสียง เช่น อย. สคบ. เพื่อความมั่นใจของสมาชิก ในการบริโภคสินค้า และที่เลือก สร้างที่ จ.กาญจนบุรี เพราะก่อนหน้านี้ บริษัทได้จัดตั้งโครงการ "รัฐวิสาหกิจชุมชุนตามรอย" ซึ่งเป็นหลักสูตรให้สมาชิกที่สนใจทำธุรกิจได้เข้าไปเรียนรู้ให้เข้าใจ เสียก่อน โดยถือว่าเป็นการเรียนรู้แบบ "โฮมสเตย์ชุมชน" เนื่องจากสมาชิกทุกคนที่ผ่านการอบรมนี้จะได้เข้าใจถึงธุรกิจ MLM ว่ามีความสวยงามขนาดไหน


อย่างไรก็ตาม การขยายเครือข่ายออกไปในต่างประเทศนั้น ประธานตามรอยพ่อรวย กล่าวต่อว่า "ช่วงที่ผ่านมาได้มีการเจาะตลาดเข้าไปจากผู้นำเก่งๆ ที่อยู่ตามตะเข็บชายแดน โดยเข้าไปตามประเทศใกล้เคียง คือ มาเลเซีย, พม่า, ลาว และอินโดนีเซีย แต่ยังไม่มีศูนย์เซ็นเตอร์ที่นั่น เพราะยังคงต้องให้ฐานสมาชิกโตกว่านี้ รวมถึงได้กำลังศึกษาข้อกฎหมายของที่นั่นด้วย คงต้องค่อยเป็นค่อยไป เพราะอันดับแรกขอเน้นรากฐานในเมืองไทยให้แน่นก่อน จึงค่อยไปลุยการตลาดเพื่อนบ้านต่อไป"








 

 


 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com

ข่าวอาวียองซ์ (Aviance Thailand) : ลบชื่อ! "อาวียองซ์" ตั้ง "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" เปิดเกมรุกครั้งใหญ่ดันไทยศูนย์กลางเอเชีย







01 มร.บาวเค่อ  ราวเออร์ส_resize (Mobile)

 


"ยูนิลีเวอร์" เตรียมเปิดเกมรุกธุรกิจขายตรงครั้งใหญ่ในเอเชีย เปลี่ยนชื่อแบรนด์ขายตรงของบริษัท จาก "อาวียองซ์" มาเป็น "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" เหตุใช้ชื่อหลัก เพื่อสร้างความ เชื่อมั่นในการขยายตลาดต่างประเทศ ปั้นไทยเป็นศูนย์กลาง ใช้ปูพรมสาขาประเทศในทวีปเอเชีย พร้อมประกาศนโยบายหลัก เดินหน้าสร้างธุรกิจตามบริษัทแม่ ดันการเติบโตขึ้น 2 เท่า ทั้งองคาพยพ


มร.บาวเค่อ ราวเออร์ส ประธานกรรมการบริหาร กลุ่ม บริษัท ยูนิลีเวอร์ในประเทศไทยและอินโดจีน เปิดเผยว่า ตลอดระยะเวลากว่า 10 ปีที่ผ่านมา อาวียองซ์ จัดเป็นธุรกิจเครือข่าย ที่มียอดการเติบโตสูง ด้วยคุณภาพของผลิตภัณฑ์จำนวนของสมาชิกผู้ร่วมธุรกิจ และรูปแบบการทำธุรกิจเครือข่ายที่มีเอกลักษณ์ หลากหลายช่องทางทำให้สามารถขยายธุรกิจ และมียอดขายเติบโตในตลาดอย่างต่อเนื่อง และเพื่อให้ง่ายและสามารถเติบโต ได้อย่างรวดเร็วในตลาดต่างประเทศ บริษัทจึงได้ทำการเปลี่ยน ชื่อธุรกิจเครือข่ายเป็น "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค"


"ด้วยศักยภาพของยูนิลีเวอร์ที่มีอยู่กว่า 100 ปี ซึ่งได้รับความนิยมจนมีชื่อเสียงไปทั่วโลก จึงพร้อมให้การสนับสนุน "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" เป็นธุรกิจเครือข่ายที่มีศักยภาพการเติบโตสูงสุดอย่างเต็มที่ ทั้งด้านของระบบ การบริหารจัดการที่ดีในองค์กร การฝึกอบรม นวัตกรรมต่างๆ เช่น ล่าสุดกับคอนเซปต์ใหม่ "คอมพลีต อิน แอนด์ เอาต์ อัลติเมต บิวตี้" ด้วยผลิตภัณฑ์ดูแลผิวในรูปแบบรับประทานและทาควบคู่กันไป โดยใช้ส่วนผสมตัวเดียว กัน" มร.บาวเค่อ เผย


อย่างไรก็ตาม ในความท้าทายของการก้าวสู่เป้าหมายในการผลักดันให้ "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" ก้าวสู่เวทีระดับโลกอย่างเต็มตัวนั้น "มร.ราวเออร์ส" กล่าวว่า "ความท้าทายไม่ใช่คิดแค่สิ่งที่ทำแตกต่าง แต่ต้องทำให้ดีในทุกด้านทั้งผลประกอบการที่ดี และการสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน"


ด้าน นางสุชาดา ธีรวชิรกุล ประธานบริหาร ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค บริษัท ยูนิลีเวอร์ ไทยเทรดดิ้ง จำกัด เปิดเผยว่า เพื่อ ให้ "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" สามารถเติบโตขึ้นเป็น 2 เท่า สอดคล้องกับพันธกิจที่ยูนิลีเวอร์ได้วางไว้ "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" ต้องขยายธุรกิจไปต่างประเทศ เพื่อเพิ่มสมาชิกผู้ร่วมธุรกิจ และกลุ่มลูกค้า โดยอาศัย ชื่อเสียงและความมั่นคงของยูนิลีเวอร์ โดย จะรุกหนักด้านการสื่อสารผ่านช่องทางดิจิตอล เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง ของบริษัทมากขึ้น


อีกหนึ่งปัจจัยคือ การขยายไลน์สินค้า จะมีความหลากหลายเพื่อตอบสนองให้ตรงกับความต้องการของสมาชิก และผู้-บริโภค พร้อมทั้งยังได้มีการแบ่งประเภทกลุ่ม ผลิตภัณฑ์ ภายใต้ชื่อต่างๆ เพื่อความชัดเจน ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์สกินแคร์และเพอร์ซันนอลแคร์ โดยจะเป็นสินค้าระดับพรีเมี่ยม ภายใต้ชื่อ "อาวียองซ์" (aviance), กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใช้ชื่อ "ไวทัลลิตี้" (Vitality), กลุ่มผลิตภัณฑ์ดูแลสุขภาพช่องปาก ใช้ชื่อ "ไอ-เฟรช" (i-fresh) และกลุ่มผลิตภณฑ์ในครัวเรือน ภายใต้ชื่อ "ลีเวอร์ โฮม" (Lever Home)


อย่างไรก็ดี "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" มีความพร้อมใน 5 ศักยภาพเพื่อสร้างการเติบโตที่ยั่งยืนสู่ความสำเร็จทุกมิติ และพร้อม ยืนอยู่ในระดับแถวหน้าของธุรกิจเครือข่าย ประกอบด้วย ศักยภาพการเติบโตในประเทศ (Local Growth) ด้วยความเชี่ยวชาญ และ นวัตกรรมระดับสากลของยูนิลีเวอร์ ทำให้สามารถขยายฐานผู้บริโภค และสมาชิกผู้ร่วมธุรกิจเครือข่าย "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" ครอบคลุมทั่วประเทศ เห็นได้ที่ปัจจุบันมีสมาชิกเพิ่มขึ้นเป็น 5 แสนรหัส ซึ่งนับเป็นปีที่สามารถสร้างการเติบโตที่ดีทั้งในแง่สมาชิกผู้ร่วมธุรกิจ และรายได้ที่เพิ่มขึ้น ศักยภาพการเติบโตระดับโลก (Global Growth)


อย่างไรก็ตาม สาเหตุหลักๆ ที่ทำให้บริษัทต้องมีการเปลี่ยนชื่อแบรนด์ขายตรงจาก "อาวียองซ์" มาเป็น "ยูนิลีเวอร์เน็ทเวิร์ค" ก็เพื่อต้องการให้ผู้บริโภคได้เห็นและรู้จักในแบรนด์ของบริษัทได้ดียิ่งขึ้น อีกทั้งยังมีในเรื่องของการขยายตลาดสินค้า รวมถึงการขยายตลาดต่างประเทศ ซึ่งจะไม่ทำให้ผู้บริโภคสับสนในแบรนด์


ทั้งนี้ บริษัทยังจะเลือกใช้ประเทศไทย ในการสร้างเป็นศูนย์กลางของอาเซียน ซึ่งจะขยายแบรนด์ออกไปในหลายประเทศ โดยจะมีสำนักงานหลักอยู่ที่ประเทศไทย


"ความได้เปรียบที่ยูนิลีเวอร์มีฐานการ ตลาดอยู่ทั่วโลก จึงเป็นบทบาทสำคัญที่จะส่งเสริมให้ "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" ในการขยายตลาดต่างประเทศ จึงนับเป็นธุรกิจเครือข่ายที่มีศักยภาพเติบโตสูงสุด รวมถึงการสร้างโอกาสในการรับผลตอบแทนอย่าง ไร้พรมแดนให้กับผู้ร่วมธุรกิจ ภายใต้วิสัย-ทัศน์ในปี 2020 ที่มีเป้าหมายให้ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค มอบโอกาสเติมเต็มชีวิตในทุกด้าน ให้เกือบ 3 พันล้านคนทั่วโลก ศักยภาพการ รังสรรค์ผลิตภัณฑ์นวัตกรรม (Product Excellence) ด้วยทุนวิจัยสูงถึง 1 พันล้านยูโร ต่อปี กับศูนย์วิจัยและพัฒนาผลิตภัณฑ์มาตรฐานระดับโลก 129 แห่ง ผนวกกับความรู้ของผู้เชี่ยวชาญและนักวิทยาศาสตร์ กว่า 6 พันคน ผู้บริโภคจึงมั่นใจได้ในความเป็นเลิศทางนวัตกรรมคุณภาพระดับสากล และผลลัพธ์การใช้ที่แตกต่าง ศักยภาพผลตอบแทนที่ผู้ร่วมธุรกิจเครือข่าย "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" จะได้รับผลตอบแทน i12 แผนที่เป็นธรรมชาติยั่งยืน ที่มอบรายได้คุ้มค่าจาก ผลงานทางธุรกิจ โดยได้ปรับผลตอบแทนเพิ่มขึ้นอีก 4-5% เมื่อกรกฎาคมที่ผ่านมา และโอกาสในการรับผลตอบแทนจากเครือข่ายทีมงานทั่วโลก โดยผู้ร่วมธุรกิจ 1 รหัส สามารถทำธุรกิจไปได้ทั่วโลก ศักยภาพในการพัฒนาตนเองแบบรอบด้าน" สุชาดา กล่าว


จากปรัชญาแนวคิดของยูนิลีเวอร์ ที่ หากต้องการให้คนใส่ใจในธุรกิจ เราต้องใส่ใจ ในคนก่อนนั้น ทำให้ทุกระดับตั้งแต่พนักงาน ผู้บริหาร เหล่าสมาชิกผู้ร่วมธุรกิจเครือข่าย "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" จะต้องมีการเรียนรู้ เพื่อสร้างองค์กรแห่งการเรียนรู้ จึงมี "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค อะคาเดมี" เพื่อพัฒนาทักษะ พัฒนาความเป็นผู้นำ และคุณลักษณะ โดยมีระบบโคชชิ่งจากอัพไลน์ เพื่อ ให้ผู้ร่วมธุรกิจเครือข่าย "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" เติบโตทั้งในด้านธุรกิจ และเติบโตศักยภาพ ของตนเองแบบรอบด้านไปพร้อมๆ กัน


อนึ่ง ธุรกิจเครือข่าย "ยูนิลีเวอร์ เน็ทเวิร์ค" ประกาศใช้ชื่อใหม่อย่างเป็นทางการตั้งแต่บัดนี้ โดยยังคงมีประเทศไทยเป็นสำนักงานใหญ่ และเป็นศูนย์กลางในการขยายตลาดสู่ต่างประเทศ แม้จะเปลี่ยนเป็น ชื่อใหม่ แต่ไม่มีการปรับเปลี่ยนโครงสร้างการบริหารภายในแต่อย่างใด








 

 


 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com

เส้นทางสู่ความสำเร็จ !!!







Success-flow-chart-003 (Mobile)

 


นักธุรกิจเครือข่ายป้ายแดง ส่วนใหญ่มักจะประสบปัญหาที่สำคัญในการทำงานนั่นก็คือเรื่อง "ทิศทางในการทำธุรกิจ" เนื่องจากความเป็นมือใหม่ในธุรกิจ หรือบางรายอาจได้รับการสนับสนุนจาก อัพไลน์ไม่มากเท่าที่ควร จึงทำให้รู้สึกว่าทำงานยากเหลือเกิน ผมคิดว่าทิศทางในการทำงานจึงเป็นสิ่งที่นักธุรกิจใหม่จะต้องเรียนรู้และเข้าใจ "เส้นทางของความสำเร็จในการทำธุรกิจเครือข่าย" สิ่งสำคัญสำหรับนักธุรกิจที่จะต้องเริ่มต้น มี 3 ขั้นตอน ดังนี้


1.ความรัก ความศรัทธา และความเชื่อ


ความรักในงานเครือข่าย เชื่อในผลิตภัณฑ์ ศรัทธาแนวทางในการทำธุรกิจ ที่สำคัญคือ ต้องมั่นใจ ในอาชีพนักธุรกิจเครือข่าย รวมทั้งมีความเชื่อว่าจะประสบความสำเร็จในการทำงาน มองเห็นภาพความ สำเร็จของตัวเองในอนาคต ความฝันของตัวเราที่ทำสำเร็จได้จากธุรกิจเครือข่าย สิ่งเหล่านี้จะช่วยกระตุ้น และเพิ่มกำลังใจของเราในการทำงาน


2.การลงมือทำ


ทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่บังเกิดผล หากตัวเราไม่ลงมือปฏิบัติ เพราะงานเครือข่ายเป็นงานที่ต้องลงมือ ทำและทำอย่างต่อเนื่อง อาศัยความขยันและการวางแผนการทำงานที่ดี ตัวเราก็จะทำงานง่ายขึ้น การคิดและการวางแผนที่ดีนั้น จะต้องเป็นรูปธรรม สามารถนำไปปฏิบัติและเกิดประโยชน์ได้จริง ดังนั้นช่วง 3-6 เดือนแรก ยังต้องอาศัยความสม่ำเสมอของ ตัวเองเป็นสำคัญ


3.เข้าสู่ระบบของการทำงานพื้นฐานที่สำคัญ  เช่น


การเชิญคน เป็นภารกิจหลักที่จะทำให้เครือข่ายของเราเติบโต และขยายตัวได้ เพราะการสร้างเครือ ข่ายเปรียบเสมือนการออมเงินที่เราค่อยๆ เก็บออม การเชิญคนก็จะเป็นการสะสมเครือข่ายของเรา เช่นเดียวกันเป็นสินทรัพย์ของเราตลอดไป


เมื่อเชิญคนมาได้แล้วก็เข้าสู่กระบวนการจัดทำประชุมกลุ่มย่อย (House Meeting) เพื่อให้ความรู้ ความเข้าใจ รวมทั้งทัศนคติที่ดีต่อธุรกิจ จากนั้นเราก็ต้องพาเขาไปที่ศูนย์ธุรกิจ ไปงานประชุมหรือกิจกรรม ต่างๆ ที่บริษัทได้จัดขึ้น ซึ่งจะช่วยให้เขาได้อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี และอยู่ท่ามกลางผู้ประสบความสำเร็จ


ทั้งหมดที่ผมได้นำเสนอ เปรียบเสมือนเครื่องมือ ใช้นำทางให้กับนักธุรกิจใหม่ๆ สามารถทำงานได้ในทิศทางที่ถูกต้อง ซึ่งนำมาสู่ความสำเร็จ เพียงใช้ความรัก ความศรัทธา และความเชื่อในธุรกิจ พร้อม กับการลงมือทำ นำคนเข้าระบบอันแข็งแกร่งของบริษัท เมื่อทำได้ดังนี้แล้ว ปัญหาของการทำธุรกิจของ คนใหม่ก็จะหมดไป ส่งผลให้เกิดนักธุรกิจใหม่ที่มีคุณภาพอีกมากมายในเครือข่ายของเรา








 

 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com/

อยากเห็นการแก้ ก.ม. โดยเร็ว !







suphanburi_26-400 (Mobile) 

 


ตราบใดที่กฎหมายขายตรงยังไม่มีการแก้ไข หรือปรับปรุงให้ดีขึ้น ก็เหมือนว่าเสียงเรียกร้องของ ผู้ประกอบการ และผู้ที่มีส่วนกับธุรกิจขายตรง ก็คง จะยังไม่หยุดให้ความคิดเห็น ว่าถึงเวลาที่กฎหมายจะต้อง มีการปรับ ซึ่งฉบับนี้ก็เป็นอีกครั้งที่หนึ่งในผู้ประกอบการต้องการ เห็นการเปลี่ยนแปลงของกฎหมายขายตรง ที่บังคับใช้อยู่ในปัจจุบัน


นายเชน ใจซื่อ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นิวตริริช จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์การเกษตรภายใต้แบรนด์ "ดาวปูแดง" เปิดเผย "สยามธุรกิจ" ในประเด็นกฎหมายขายตรง ว่า ตนอยากให้มีการปรับแก้ไขกฎหมายขายตรงเร็วๆ เพราะจะช่วย ให้การทำธุรกิจของบริษัทปลอดภัยขึ้น โดยมีกลุ่มคนที่ไม่หวังดีชอบแอบอ้างทำลายชื่อเสียง อีกทั้งยังมีการปลอมแปลงสินค้าเลียนแบบ ทำให้บริษัทเสียภาพลักษณ์เรื่องนี้ไปอีก


หากมีกฎหมายที่แข็งแรง มีกติกาที่ชัดเจนครอบคลุมทุกมิติ เชื่อว่า จะทำให้คนที่คิดจะกระทำผิดก็จะทำได้ยากขึ้น และเป็นการ ป้องกันไม่ให้บริษัทที่ตั้งใจทำธุรกิจอย่างโปร่งใสต้องคอยตกเป็นเหยื่อของกลุ่มคนเหล่านี้ด้วย พร้อมกับเป็นการยกระดับธุรกิจขายตรงขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง โดยในหลายๆ ประเทศยังไม่มีกฎหมาย ขายตรง หากประเทศไทยทำสำเร็จก็จะเป็นต้นแบบให้หลายๆ ประเทศในอาเซียน หรือประเทศใดก็ตาม เข้ามาศึกษาข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้


"ผมว่ากฎหมายขายตรงยังมีหลายจุดให้แก้ไข เพราะยัง เอื้อต่อธุรกิจบางประเภทที่ได้รับประโยชน์จากตรงนี้ไป รวมถึงกฎหมายฉบับปัจจุบัน ก็ยังไม่คุ้มครองผู้ประกอบการเท่าที่ควร อาจ จะคุ้มครองผู้บริโภคเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งเวลามีปัญหาเกิดขึ้นเจ้าหน้าที่ รัฐก็จะเข้ามาดำเนินคดีลำบาก เพราะกฎหมายไม่ได้ครอบคลุมเพียงพอ กว่าจะฟ้องร้องกันเสร็จก็เสียเวลากันนาน ไม่ต้องทำอะไรกันพอดี"


โดยตอนนี้ใกล้จะเกิดการรวมตัวประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนแล้ว ในปี 2558 อยากให้รีบปรับแก้ไขกฎหมายขายตรง โดยด่วน เนื่องจากหลายๆ บริษัทขายตรงในเมืองไทย จะได้ปรับ ตัวเองรับมือกับเรื่องนี้ เพราะหากกฎหมายขายตรงปรับแก้ไขแล้ว บริษัทต่างๆ จะได้รีบปรับนโยบายธุรกิจของตัวเองให้ควบคู่ ไปด้วย จะได้ไม่ต้องไปปวดหัวกันทีหลัง และเป็นการสร้างความ เชื่อมั่นของธุรกิจขายตรงต่อไปด้วย


"มูลค่าธุรกิจขายตรงแต่ละปีเป็นแสนๆ ล้าน มีประชากร ที่เข้ามาทำอาชีพนี้เป็นจำนวนกว่า 10 ล้านคน ซึ่งธุรกิจขายตรง สามารถเปลี่ยนแปลงชีวิตคนได้ และยังช่วยให้คนตกงานมีอาชีพทำ ถือเป็นข้อดีที่หน่วยงานรัฐควรจะเข้ามาศึกษาและสนับสนุนเรื่องนี้อย่างเต็มที่ เพราะผลประโยชน์จะส่งผลดีต่อเศรษฐกิจประเทศชาติด้วย"








 

 


 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com

ข่าวเอสเนเจอร์ (Snatur) : สร้างแรงบันดาลใจ แล้วทำมันให้เป็นจริง "น.ท.พลัฎฐ์ แสนธรรมวุฒิ" นักธุรกิจเครือข่ายตำแหน่ง "Team Leader" จาก "เอสเนเจอร์"







fgfgfgfgf (Mobile)

 


"กุญแจสู่ความสำเร็จ" สัปดาห์นี้ เรายังมีเคล็ดลับดีๆ จากนักขายตรงระดับ ชั้นนำของเมืองไทยมานำเสนอเหมือนเช่น เคย และครั้งนี้เราจะพาท่านผู้อ่านไปพบกับ "น.ท.พลัฎฐ์ แสนธรรมวุฒิ" หรือที่รู้จักกันในวงของนักธุรกิจ "เอสเนเจอร์" ว่า "ผู้พันเอก" นักธุรกิจเครือข่ายตำแหน่ง "Team Leader" จาก "เอสเนเจอร์" แบรนด์ขายตรงในเครือของ บริษัท ศรีไทย ซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน)


 หลังจากรับราชการทหารเรือมาเป็น เวลา 13 ปี โดยอาชีพประจำจัดว่าดีอยู่แล้ว แต่ "ผู้พันเอก" ยังมองหาสิ่งที่ตอบโจทย์ชีวิตได้มากกว่านี้ จึงได้เข้ามาทำธุรกิจ MLM จนประสบความสำเร็จในระดับสูง ล่าสุดลาออกจากชีวิตราชการ มาทำธุรกิจ เต็มตัว โดยเลือก "เอสเนเจอร์" เป็นเรือลำใหญ่ในการนำพาชีวิตของตัวเองให้พบกับสิ่งที่ต้องการ และเพียง 4 เดือนเท่านั้น ทำให้เขาผู้นี้สามารถสร้างรายได้แตะที่ 300,000 บาทต่อเดือน


 จุดเปลี่ยนอะไร...ดึงเข้ามาทำ MLM


"ตอนที่ตนรับราชการทหารเรือ ถือว่าเป็นเกียรติอย่างสูงที่ได้รับใช้ชาติ แต่พอดีตนมีเรื่องของค่าใช้จ่ายมากมาย ทำให้แต่ละเดือนชักหน้าไม่ถึงหลัง และสิ่งที่ตนอยากได้คงจะยาก เพราะหากไปกู้ มาก็ต้องเป็นหนี้อีก จึงได้เกิดแรงผลักดันให้อยากเข้ามาศึกษาธุรกิจเครือข่าย ที่ต้องการเปลี่ยนชีวิตให้ดีขึ้น"


ใครคือผู้ชักชวนมาทำธุรกิจ MLM


"ก่อนหน้านี้ ตนได้ทำธุรกิจเครือข่าย มาเป็นเวลากว่า 10 ปี แต่ได้เกิดเหตุบาง-อย่างทำให้ต้องย้ายมาอยู่บริษัทใหม่ และ ที่มาอยู่เอสเนเจอร์ ก็เพราะการชวนของนักธุรกิจอิสระ ที่ทำเครือข่ายที่นี่อยู่ก่อนแล้ว พอดีตนมีคนที่รู้จัก ก็เลยลองศึกษาข้อมูลและได้เข้ามาร่วมธุรกิจในที่สุด"


ปกติชอบธุรกิจ MLM ไหม

"สมัยก่อนไม่เคยชอบเลย เพราะไม่ เชื่อว่าจะทำได้จริง และไม่คิดว่าธุรกิจนี้จะ เข้ามาอยู่ในหัวของตนด้วย แต่หลังจากที่ตนได้มาสัมผัสจริงๆ ก็ได้รู้ว่า ที่จริงแล้ว ธุรกิจเครือข่ายสามารถเปลี่ยนชีวิตเราได้จริงๆ และทำให้ตนได้มิตรภาพใหม่ๆ ได้ช่วยเหลือผู้คนให้มีความมั่นคั่งด้วย"


 เหตุใดจึงตัดสินใจเลือกทำ MLM กับ "เอสเนเจอร์"


"หลังจากศึกษารายละเอียดข้อมูลขององค์กรนี้อยู่นาน ก็ได้พบว่าธุรกิจที่นี่สามารถตอบโจทย์เราได้ ไม่ว่าจะมีแผน การตลาดที่ดี การจ่ายเงินที่ชัดเจน ผู้บริหาร ก็มีวิสัยทัศน์ รวมถึงความมั่นคงขององค์กร ที่เป็นมหาชน ทำให้ไม่ลังเลที่จะเข้ามาร่วม เป็นส่วนหนึ่งในการประสบความสำเร็จใน ระยะยาว"


เคยท้อแท้และคิดจะเลิกทำ MLM ไหม

"เคยแน่นอน ถึงกับไม่อยากเข้ามา ทำเลย แต่ก่อนที่ตนทำบริษัทขายตรงที่อื่น มาก็ได้เจออุปสรรคมากมายในเรื่องของ การชักชวนคนมาร่วมธุรกิจ แต่พอมาถึงวันนี้ตนได้เข้าใจแล้วว่า หากทำให้เขาเข้าใจ ในธุรกิจก็จะทำให้ตนประสบความสำเร็จได้ หากใครท้อแท้ก็อย่าเพิ่งล้มเลิก ควรยืนหยัด และอดทนให้มากที่สุด"


ทำ MLM มากี่ปี...เป้าหมายต่อไปคืออะไร


"ที่จริงตนมีประสบการณ์ขายตรงมาจากที่อื่นๆ รวมแล้วก็มีความเชี่ยวชาญ กว่า 10 ปี แต่เมื่อย้ายมาอยู่กับ เอสเนเจอร์ ใช้เวลาเพียง 4 เดือน ก็ขึ้นตำแหน่ง Team Leader มีรายได้ต่อเดือน 3 แสนบาท โดย เป้าหมายสิ้นปีต้องมีรายได้แตะที่ 5 แสนบาทให้ได้ จากนั้นภายใน 3 ปี ขอขึ้นตำแหน่ง ที่สูงกว่านี้ต่อไป"


 สิ่งที่ภูมิใจในการทำธุรกิจ MLM


"คงจะเป็นเรื่องของการที่ตนมีทีมงานที่เก่งๆ มีความสามัคคีกัน อย่างตอนนี้มีทีม "ALL FOR ONE" แปลว่า "รวมกันเป็นหนึ่ง" ซึ่งทีมงานนี้มีประสบการณ์ขายตรง และได้ช่วยกันขยายตลาดออกไป หลายจังหวัด ล่าสุด พวกเราได้ไปเจาะตลาดที่กัมพูชากับลาว และได้มองต่อไปที่ พม่า และมาเลเซีย ซึ่งอีกไม่นานที่กล่าวมา ทั้งหมดกำลังจะมีเซ็นเตอร์ใหญ่ที่นั่นเร็วๆ นี้"


ชีวิตเปลี่ยนแค่ไหน...หลังเข้ามาทำ MLM


"เปลี่ยนกันคนละเรื่องกับสมัยรับราชการทหารเรือ แต่ก็ต้องขอขอบคุณจาก ที่เราเป็นทหารมาก่อน ทำให้เรามีระเบียบ วินัยในการรับผิดชอบต่องาน ซึ่งก็นำมาถ่ายทอดให้กับสมาชิกใต้องค์กรหลายคน ส่วนชีวิตถึงวันนี้ก็มีความสุขมาก เพราะได้ ช่วยให้หลายคนได้เปลี่ยนชีวิตให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น มีรายได้ที่ไร้ขีดจำกัด มีเวลา ทำอย่างอื่นมากมาย และสุขภาพก็ดีตามมา รวมถึงมิตรภาพใหม่ที่ยอดเยี่ยม"


มีเทคนิคอะไร...จะฝากถึงทุกคนที่กำลังทำ MLM อยู่บ้าง


"เราควรหาแรงบันดาลใจให้เจอกัน ว่าต้องการอะไร เพราะความสำเร็จของตัว ผมที่ได้มา ไม่ใช่เพราะความบังเอิญ หรือว่า ฟลุ้ก แต่เกิดจากความพยายามหลายต่อหลายครั้ง เพราะการที่ผมจะลงทุนทำอะไร จะมองที่ผลลัพธ์ว่าได้จริงไหม เมื่อเรามั่นใจแล้วก็ลงมือทำอย่างจริงจัง อดทน ขยัน หมั่นเข้าไปเรียนรู้อย่างละเอียด และ เชื่อฟังผู้ที่ประสบความสำเร็จมาก่อนเรา จะทำให้เราไม่เดินผิดพลาด ที่สำคัญความ จริงใจและการให้ รวมถึงความซื่อสัตย์ต่อ องค์กรควรจะมีอยู่ในจิตสำนึกของเราด้วย"


นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องราวดีๆ ของนักธุรกิจอิสระระดับสูง ซึ่งเห็นได้ชัดว่าไม่มีใคร ที่เข้ามาแล้วประสบความสำเร็จโดยไม่มีความพยายาม ซึ่งทุกคนล้วนแต่ต้องทุ่มเท เพื่อคว้าฝันที่เราต้องการ แต่สำคัญก่อนที่ เราจะไปถึงจุดนั้น นั่นคือแรงบันดาลใจที่ เราต้องตั้งไว้ แล้วทำมันให้เป็นจริง


 


 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com

ข่าวเจอเนสส์ (Jeunesse Thailand) : กลุ่มเจอเนสส์โกลบอล และ ทีเส็บ จัดงานแถลงข่าว การจัดประชุมเครือข่ายขายตรงระดับโลก “เจอเนสส์ โกลบอล” ครั้งแรกในไทย และการสนับสนุนภายใต้แคมเปญ “Mega Events … Sustainable Challenge”







1001464_563079807063918_279566580_n (Mobile)

 


กลุ่มเจอเนสส์โกลบอลและสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บขอเชิญสื่อมวลชนร่วมงานแถลงข่าวการจัดประชุมเครือข่ายขายตรงระดับโลก “เจอเนสส์ โกลบอล”ครั้งแรกในไทย และการสนับสนุนภายใต้แคมเปญ“Mega Events … Sustainable Challenge”
โดยมร. สก็อต เอ ลิวอิส Chief Visionary Officer (CVO) and President of Asia Pacific บริษัท เจอเนสส์ โกลบอล จำกัด


 นางสาววิชญา สุนทรศารทูล ผู้อำนวยการฝ่ายอุตสาหกรรมการประชุม


สำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บ กลุ่มเจอเนสส์โกลบอล หนึ่งในธุรกิจขายตรงนานาชาติที่มีอัตราการเติบโตสูงสุดในโลก ได้เอกประเทศไทยเป็นที่จัดการประชุมประจำปี Jeunesse Expo Thailand โดยมีนักธุรกิจจากทั่วโลกกว่า 8,000 คน โดยได้รับการสนับสนุนจากสำนักงานส่งเสริมการจัดประชุมและนิทรรศการ (องค์การมหาชน) หรือ ทีเส็บตามแคมเปญ “Mega Events … Sustainable Challenge” ประจำปี 2556


ซึ่งเน้นการส่งเสริมให้องค์กรธุรกิจระดับนานาชาติเข้ามาจัดการประชุมในประเทศไทยในวันจันทร์ที่ 30 กันยายน 2556 เวลา 10.00-11.30 น. ณ ห้อง ปทุมมา โรงแรมสยามแคมเปนสกี กรุงเทพฯ (หลังสยามพารากอน)








 

 


 


Credit By : http://www.ryt9.com

วันศุกร์ที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2556

ข่าวดีเน็ทเวิร์ค (D Network Worldwide) : D network รุกตลาดวัยรุ่น จับมือ ทายาทเจ้าของธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์พันล้าน ผลักดันคนรุ่นใหม่วัยออนไลน์ให้ใช้เวลาอย่างสร้างสรรค์







DSC_0783 (Mobile)

เมื่อวันที่ 22 กันยายน 2556 ที่ผ่านมา บริษัท D Network worldwide จำกัด โดย อ.สาคร ใสกมล และคุณณัฐชัย เตชะวิเชียร กรรมการผู้จัดการบริษัท วัน สต๊อป ครีเอชั่น จำกัด จัดงานแถลงข่าวนวัตกรรมใหม่ในวงการขายตรงชู D network book เป็น Online bookmart ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ โดยเน้นเจาะตลาดคนรุ่นใหม่ให้ใช้เวลาว่างให้เกิดประโยชน์ โดย อ.สาคร ใสกมล กล่าวถึงD network book ว่า ...


“D-network ตระหนักดีว่ารากฐานของชาติคือคน รากฐานของคนคือการศึกษา องค์กรหรือชาติไหนมีบุคลากรที่มีความรู้องค์กรหรือชาตินั้นจะเจริญ ด้วยความรู้เราสามารถเพิ่มศักยภาพการทำงานและภาพลักษณ์ที่ดีต่อขององค์กรได้ วันนี้ D-network เริ่มเข้าสู้การเป็นองค์กรแห่งความเรียนรู้ หรือ Learning Organization ที่มีการสร้างช่องทางให้เกิดการถ่ายทอดความรู้ซึ่งกันและกันภายในระหว่างบุคลากร ควบคู่ไปกับการรับความรู้จากภายนอก เพื่อนำไปสู่การพัฒนาและสร้างเป็นฐานความรู้ที่เข้มแข็ง เพื่อให้ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของสังคมโลกที่เกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลาและสามารถต่อยอดความคิดได้ ด้วยเหตุนี้ D-networkbook จึงถูกพัฒนาขึ้นเพื่อให้หนังสือเข้าถึงทุกคน โดยใช้การสื่อสารให้มีประโยชน์เพราะเราทุกคนใช้โทรศัพท์มือถือ แทบเบล็ท และอินเตอร์เนตกันหมดแล้ว คนรุ่นใหม่ใช้เวลาออนไลน์กันมากขึ้น เราก็ใช้โอกาสตรงนี้ให้เกิดประโยชน์ D-networkbook เป็นร้านหนังสือออนไลน์ขายตรงแห่งแรกที่คุณซื้อหนังสือแล้วส่งถึงบ้านฟรี และถ้าสมัครเข้าเป็นสมาชิกและแนะนำให้คนอื่นมาซื้อหนังสือคุณก็ได้เงินรายได้ตามเงื่อนไขของ Dnetwork ด้วย D-networkbook สามารถเข้าถึงได้ง่ายจากทุก อุปกรณ์พียงคุณมีอินเตอร์เนต จากมือถือหรือแทบเล็ทก็ได้คุณก็เช็ครายการหนังสือและสั่งซื้อได้ทันที นี่จะเป็นเทรนด์สำหรับคนรุ่นใหม่ที่ใช้เครื่องมือไอทีในการทำตลาดขายตรงออนไลน์ได้”


 
ติดต่อ:


บริษัท วัน สต๊อป ครีเอชั่น จำกัด info@1sc.co.th


[gallery link="file" ids="20227,20228,20229,20230,20231,20232,20233,20234,20235,20236"]


 


 


 


 


Credit By : http://www.ryt9.com


 


 

เด้ง 'จิรชัย' พ้น สคบ. !







44407_538500466201386_1756435764_n (Mobile)

 


ได้รับรู้เรื่องช็อกวงการขายตรงก่อนที่จะเริ่มต้นเขียนคอลัมน์ "โฟกัสขายตรง" ที่รับใช้ผู้อ่านอยู่นี้ เมื่อวันสองวันที่ผ่านมาว่าโผ ครม. สั่งเด้ง "จิรชัย มูลทองโร่ย" พ้นจากสภาพการเป็น เลขาธิการ สคบ. ไปนั่งตบยุงเป็นผู้ตรวจราชการสำนักนายกฯ


ผู้เขียนสงสัยเหมือนที่หลายคนสงสัย ทำไม "จิรชัย" ถึงถูกเด้งก่อนวาระอันควร แบบ "มาเร็ว เคลมเร็ว"หรืออาจจะด้วยเพราะสาเหตุเหล่านี้หนึ่ง "จิรชัย" ไม่ค่อยโดนใจคนขายตรงซักเท่าไหร่...สอง "จิรชัย"ผลงานอาจไม่เข้าตากรรมการ...สาม มีประเด็นการเมืองเข้ามาเกี่ยวข้อง....สี่ เกิดการเอียงซ้าย-เอียงขวา กับธุรกิจบางธุรกิจ และห้า อาจขัดแข้งขัดขาภายใน เพราะช่วงที่ "จิรชัย" เข้ามารับตำแหน่งใหม่ๆ กลับมีผลกระทบกับธุรกิจขายตรงเข้าอย่างจัง เมื่อผู้ทรงคุณวุฒิที่อยู่ใน สคบ. หลายรายที่รู้และเข้าใจเรื่องขายตรง ถูกเคลื่อนย้ายไปอยู่กองอื่นที่ไม่เกี่ยวข้องกันเพียบ


ก่อนจะส่งเด็กในคาถาเข้ามาแทน นี่อาจเป็นอีกสาเหตุเกาเหลาเล็กๆ ใน สคบ.ด้วยหรือไม่


หรือไม่ก็การเทกแอ็กชั่นปราบปรามธุรกิจผิดกฎหมายยังน้อยไปหน่อย ก็สุดแล้วแต่จะคาดเดา


ส่วนโผ เลขาฯ สคบ.รายใหม่อีกรอบที่โดดข้ามห้วยมา รอบนี้หวยออกที่ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงเก่าที่ "ประชา พรหมนอก" เคยกุมบังเหียน


มาแบบพลิกโผ มาแบบเหนือเมฆ มาแบบคนขายตรง ตั้งรับปรับกระบวนยุทธ์กันไม่ทัน


ส่งซิกให้รู้ว่า การมาครั้งนี้ ไม่ใช่คนของคนใดคนหนึ่ง ไม่ใช่คนของธุรกิจใดธุรกิจหนึ่ง และทำไมต้องข้ามห้วย มีเหตุ ก็ย่อมมีผล


ทราบมาว่า การเข้ามาของ เลขาฯ สคบ.คนใหม่นี้ ถูกสั่งตรงจากนายระดับบิ๊กสุดรายหนึ่งในรัฐบาล นโยบายส่วนหนึ่งคือ มอบดาบอาญาสิทธิ์ให้ลงมาลุยถั่ว "แชร์ลูกโซ่"ถือเป็นเป็นวาระด่วนอันดับต้นๆ ดับขากร่างที่ชอบแสดงอำนาจบาตรใหญ่ เปิดธุรกิจเย้ยหยันกฎหมายหรือชอบท้าทายสื่อ


ที่สำคัญ กับธุรกิจขายตรงแล้ว การยื่นขอจดทะเบียนที่ยังคงค้างอยู่ในกรุหลายร้อยราย ในสมัย "จิรชัย" ถึงเวลาต้องปลดล็อกออกไปเสียทีเฮ้อ!!! ลองติดตามผลงานท่านเลขาฯ คนใหม่ดู เดี๋ยวก็รู้ ว่า "หมู่ หรือ จ่า"


 


 


 


Credit By :  http://www.ryt9.com

ข่าวออร์กาโน่ โกลด์ (Organo Gold ) : 'ออร์กาโน่ โกลด์' ส่งสัญญาณจัดงานรายไตรมาสดึงเชื่อมั่น







og (Mobile)

 


"ออร์กาโน่ โกลด์" เรียกศรัทธา เตรียมขนผู้นำกว่า 50 ชีวิต ร่วมงานคอนเวนชั่นที่ลาสเวกัส เผยยอดเดือนสิงหาคมสูงเป็นประวัติการณ์เมืองไทย เตรียมแผนลุยขายตรงปีหน้า จัดงานรายไตรมาสดึงความมั่นใจคนเครือข่าย พร้อมขยายฐานผู้บริโภครองรับ


นายศุภชาติ อังคสุวรรณศิริ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ออร์กาโน่ โกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ออร์กาโน่จะจัดงานใหญ่ประจำปีซึ่งในปีนี้จะจัดที่ลาสเวกัส ประเทศสหรัฐอเมริกา โดยจะมีคนเข้าร่วมถึง 25,000 คน ซึ่งประเทศไทยจะมีผู้นำเข้าร่วมงานดังกล่าวจำนวน 50 คน


"งานวันนั้นจัดอย่างยิ่งใหญ่ทั่วโลก จะจัดปีละ 1 ครั้ง ในครั้งนี้ก่อนเริ่มงานจะมีการประชุมผู้บริหารจีเอ็มจากทั่วโลก ในวันนั้นผมต้องนำเอาแผนงานแผนธุรกิจของไทยไปนำเสนอที่ประชุมบอร์ดออร์กาโน่ มีโอกาสสรุปผลงาน มีโอกาสพูดถึงแผนงาน กิจกรรมการตลาด เพื่อที่กลับมาจะเห็นภาพชัดสำหรับการบุกในปีหน้าของประเทศไทย"


นายศุภชาติ กล่าวว่า สำหรับการทำตลาดออร์กาโน่ โกลด์ ของประเทศไทยในขณะนี้ถือว่าเป็นช่วงที่กำลังนิ่ง บริษัทมีความชัดเจนเรื่องแผนการดำเนินงาน ตลอดจนการสนับสนุนการทำงานของผู้นำอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้เดือนสิงหาคมที่ผ่านมาสามารถสร้างยอดขายทำลายสถิติสำหรับการเปิดในประเทศไทย หรือเพิ่มขึ้น 60 เปอร์เซ็นต์


"ในช่วงที่ผมเข้ามาทราบถึงความขลุกขลักทั้งบริษัทเองและนักธุรกิจ ตอนนี้บริษัทเองได้จัดบ้านและพัฒนาเรื่องความเข้าใจและรองรับการพัฒนานักธุรกิจอย่างเต็มที่ เข้าใจว่ามีผู้นำที่ออกไปเพราะทำแล้วสะดุด ความเข้าใจที่ไม่ครบถ้วนของธุรกิจและแผนรายได้ มีนักธุรกิจเข้ามาเปิดพรีมาร์เกตตั้งตั้นแต่กลางปีที่แล้ว บางคนทำแล้วสะดุดไป เราสูญเสียผู้นำบางคนไป ตอนนี้เรานิ่งแล้ว เราโฟกัสกับผู้นำที่มีอยู่ และมีผู้นำใหม่เข้ามา"


ล่าสุดบริษัทมีการจัดพิธีประดับเข็มให้แก่นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จในระดับต่างๆ รวมทั้งผู้นำสูงสุดของประเทศไทยในขณะนี้คือ ชนิดา บูรณะบุตร นอกจากนี้ยังมีนักธุรกิจจากต่างประเทศอีก 4 รหัส ภายในงานยังมีวิทยากรที่ประสบความสำเร็จระดับโลกมาแชร์ประสบการณ์และความสำเร็จ ซึ่งตอกย้ำความตั้งใจของบริษัทที่จะผลักดันให้ ออร์กาโน่ โกลด์ ประเทศไทย เติบโตในระดับแนวหน้า


"เรามีความพร้อม มีแผนที่ทรงพลังของออกาโน่ โกลด์ เรามีแพลทฟอร์มที่ยิ่งใหญ่ ซึ่งได้เตรียมจัดงานรายไตรมาสและจะมีงานใหญ่ในไตรมาสที่ 2 ของปีหน้า สมาชิกล่าสุดมีทั้งต่างชาติและคนไทยมาสมัคร ขณะนี้เรามีสมาชิกกว่าหมื่นรหัส เมื่อมีความชัดเจนคนเริ่มกลับลับมา ถ้าเราทำอย่างชัดเจน คนยิ่งไหลเข้ามามีทั้งผู้นำไทยและต่างชาติ ขณะเดียวกันเราก็สร้างฐานผู้บริโภคให้มากขึ้น ตอนนี้มีอยู่ 20 เปอร์เซ็นต์ เรากำลังมองหาฐานลูกค้ามากขึ้น และต้องยอมรับว่าไม่ใช่ทุกคนที่สนใจทำธุรกิจเครือข่าย" นายศุภชาติ กล่าว


 


 


 


Credit By : http://www.ryt9.com

ขายตรงมาเลย์บุกตลาดไทย ปีแรกเดินหน้าปั้นผู้นำเงินแสน







malaysia-flag (Mobile)

 


เออาร์เอส ขายตรงสัญชาติมาเลเซีย เชื่อมั่นศักยภาพตลาดเครือข่ายไทย เตรียมเปิดตัวอย่างเป็นทางการสิ้นปีนี้ หลังซุ่มเงียบกรุยทางกว่า 1 ปี ปั้นผู้นำเงินแสน พร้อมฐานสมาชิกกว่า 2 หมื่นรหัส เร่งพัฒนาระบบจ่ายโบนัส เพิ่มความสะดวกรวดเร็วผ่าน E-Wallet โชว์แผนการตลาดที่ไม่เหมือนใคร เดินเครื่องแซงบริษัทแม่ที่มาเลฯ 6 เดือนหวังโตก้าวกระโดด 50-70 เปอร์เซ็นต์


มร.นิคราซีซี เบ็น นิก อับดุลเลาะห์ ประธาน บริษัท เออาร์เอส โกลบอล เน็ทเวิร์ค ไทยแลนด์ จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทได้เปิดธุรกิจในระบบเครือข่ายในประเทศไทยมาแล้วกว่า 10 เดือน โดยได้ยื่นจดทะเบียนบริษัทกับสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคอย่างถูกต้องก่อนที่จะเริ่มทดลองตลาด แต่อย่างไรก็ตาม โดยส่วนตัวแล้วมีความเชื่อมั่นในศักยภาพการเติบโตของธุรกิจขายตรงในประเทศไทย ตลอดจนความชัดเจนในด้านต่างๆ ที่เป็นปัจจัยในการสร้างการเติบโตของธุรกิจได้


"เออาร์เอส มาเลเซีย เป็นบริษัทแม่ที่เกิดก่อนประเทศไทยประมาณ 2 เดือน เพราะเราไม่ได้มองแค่การทำตลาดในมาเลเซียอย่างเดียว หากแต่เรามองการเติบโตในต่างประเทศด้วย โดยขณะนั้นมีตัวเลือกอยู่ 2 ประเทศ คือ อินโดนีเซียและไทย ในที่สุดก็เลือกประเทศไทย เนื่องจากพื้นที่ก็ใหญ่กว่ามาเลเซีย 3-4 เท่า อีกทั้งประชากรมาเลเซียมีประมาณ 28 ล้าน ขณะที่คนไทยมีมากกว่า 60 ล้านคน ส่วนประเทศอินโดนีเซียนั้นใหญ่กว่าก็จริง และแม้ผมจะมีความเชี่ยวชาญด้านภาษามากกว่า ส่วนภาษาไทยผมพูดไม่ได้เลย แต่ก็เลือกไทยเพราะมองเห็นการเติบโตที่ชัดเจนกว่า อีกทั้งการส่งสินค้าไทยจะสะดวกกว่าอินโดนีเซีย ซึ่งพื้นที่เป็นเกาะ ดังนั้นการตอบรับของผลิตภัณฑ์ที่ไทยจะดีกว่าด้วย"


สำหรับแนวทางการดำเนินธุรกิจในประเทศไทยนั้น มร.นิคราซีซี กล่าวว่า แม้ว่าประเทศไทยจะมาก่อตั้งทีหลังมาเลเซีย แต่จากความพร้อมของบริษัท เชื่อมั่นว่าจะมีการเติบโตแซงหน้ามาเลเซียที่เป็นบริษัทแม่ได้อย่างแน่นอน ทั้งนี้บริษัทมีจุดแข็งคือระบบการจ่ายผลตอบแทน ซึ่งถูกพัฒนาขึ้นมาและยังถูกพัฒนาต่อยอดอย่างไม่หยุดยั้ง โดยในอนาคตอันใกล้ บริษัทจะมีการจ่ายผลตอบแทนให้แก่สมาชิกในระบบออโต้ ไม่ต้องรอ 15 วัน ในขณะที่ราคาสินค้าเมื่อขายในประเทศไทยจะมีราคาถูกกว่าที่มาเลเซีย และการลงรหัสจะสูงกว่าที่มาเลเซีย อาทิ ตำแหน่งซิลเวอร์ มาเลเซียเปิดรหัสอยู่ที่ 2,400 บาท ได้สินค้าจำนวน 2 กล่อง แต่ที่ประเทศไทยเปิดรหัส 3,400 บาท ได้รับสินค้า 3 กล่อง เป็นต้น


"จากความพร้อมของเรา คิดว่าไทยจะแซงมาเลเซียได้อย่างแน่นอนภายใน 1-2 เดือนนี้ เพราะที่ผ่านมามาเลเซียเปิดก่อน ระบบต่างๆ ก็ถูกพัฒนาให้ลงตัวไปไกลกว่า ขณะที่ประเทศไทยมีความพร้อมมากกว่า เมื่อเซตระบบลงตัวก็จะรันไปได้อย่างรวดเร็ว ระบบการจ่ายโบนัสตอนนี้ไทยกับมาเลเซียต่างกันอยู่ เพราะอะไรมาเลเซียจึงโตก้าวกระโดด ก็เพราะแผนการตลาด มีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ เรื่องระบบที่แข็งขึ้นเรื่อยๆ วันนี้เรามาที่ไทย จะมาพัฒนาระบบการจ่าย เป็นการพัฒนาต่อยอดจากเดิม ปกติ 2 สัปดาห์เราจ่ายต่อครั้ง ต่อไประบบจะเข้าออโต้เลย"


ด้าน นายวันกอมารุดดีน แวยูโซะ ผู้จัดการทั่วไป กล่าวว่า ที่ผ่านมาถือว่าการเติบโตเป็นไปตามธรรมชาติ บริษัทยังไม่มีการโฆษณาประชาสัมพันธ์ อีกทั้งระบบเทรนนิ่งต่างๆ ยังไม่ได้ดำเนินการเต็มรูปแบบ จากนี้ไปบริษัทจะมีกลยุทธ์ในการทำตลาดช่วงโค้งสุดท้ายของปี เร่งพัฒนาระบบเพื่อให้รองรับการเติบโต ทั้งระบบการจ่ายผลตอบแทนและการส่งสินค้า


"ระบบการจ่ายผลตอบแทนของเราจะแตกต่างจากบริษัทอื่นๆ สมัครครั้งแรกเป็นยอดขายของบริษัท สมาชิกจะได้โบนัสเพื่อต่อยอดกับบริษัท การตลาดแบบนี้ของเราไม่ทำให้ผู้นำปวดหัว ไม่สร้างปัญหากับผู้นำ เราจ่ายผ่าน E-wallet ทุกคนสามารถรับโบนัสเลย ถ้ารอโบนัส ต้องรออีก 15 วัน หรือเป็นเดือน บางทีช้าไป 2-3 วัน นี่คือปัญหาที่เจอๆ กันมาในธุรกิจนี้"


ประธานเออาร์เอส กล่าวอีกว่า บริษัทได้เปิดตัวสำนักงานแห่งใหม่ย่านลาดพร้าว เพื่อตอกย้ำความตั้งใจในการเติบโตของประเทศไทย ซึ่งจะมีการเปิดตัวอย่างเป็นทางการในเดือนธันวาคม ขณะที่ปัจจุบันมีสมาชิก 21,000 รหัส มีผู้นำรายได้หลักแสนบาทขึ้นไปจำนวนหลายคน และตั้งเป้าหมายว่าภายในสิ้นปีจะเติบโตก้าวกระโดด 50-70 เปอร์เซ็นต์


"ผมมีความเชื่อมั่นว่าผู้นำที่นี่อีก 3 เดือนข้างหน้า เราจะมีผู้นำจะมีรายได้หลักแสนต่อเดือน 1,000 คนขึ้นไป ตอนนี้เราก็มีมากพอสมควร วันนี้มีผู้นำรายได้ 5 แสนต่อเดือน 5 คน แต่ที่ผ่านมาเราไม่ได้ออกสื่อ เติบโตแบบเงียบๆ ผมเป็นคู่ค้าคนหนึ่งในบริษัทแม่มาเลเซีย เป็นลีดเดอร์ และเป็นที่ปรึกษาด้วย วันนี้ผมมาเปิดของผมเองที่ประเทศไทย ทุกอย่างผมสร้างมาแบบชัดเจน เป็นของผมเอง ธุรกิจนี้เป็นความมั่นใจมากทั้งมาเลเซียและที่ไทย จากที่เข้ามาไม่รู้จักใครเลย เดินด้วยความถูกต้อง จดทะเบียนกับ สคบ. ขอ. อย. มั่นใจเรื่องการเติบโต มั่นใจเรื่องผู้นำที่พร้อมจะเติบโตไปพร้อมกับบริษัท" ประธานเออาร์เอส กล่าว








 

 


 


 


Credit By : http://www.ryt9.com

สคบ.เดินหน้าผ่ากม.ขายตรง ยกเครื่องรื้อระบบ ‘ตัวแทน’







jjjj (Mobile)

 


สคบ.เดินหน้า ประชาพิจารณ์ “ตัวแทนขายตรง” ทั้งแผ่นดิน เปิดทุกมุมมอง ทุกปัญหา เพื่อนำไปสู่การสังคายนาทางกฎหมายทั้งฉบับ เหตุมีการร้องเรียนมากมายจนหูชา ทั้งบริษัทเบี้ยวเงิน-ถอนโปรโมชั่น จนตัวแทนฝันค้าง เหมือนถูกหลอกให้เหนื่อยฟรี “จิรชัย มูลทองโร่ย” ย้ำชัดต้องจัดระเบียบตัวแทนขายตรงครั้งใหญ่ ทั้งมาตรฐานวิชาชีพและการคุ้มครองสิทธิ


สงครามตัวแทน-บ.ขายตรง


รอวันถอดชนวนระเบิด


เป็นเรื่องเป็นราวเป็นข่าวร้องเรียนไม่เว้นแต่ละวัน สำหรับกรณีปัญหาเปิดศึกระหว่างบริษัทขายตรงกับ “ตัวแทน” หรือที่เรียกกันว่า “นักขายอิสระ”


ด้วยเหตุที่ผ่านมา “ตัว แทน” ไม่ได้อยู่ในฐานะ การเป็นพนักงานบริษัทหรือเป็นผู้ใช้แรงงาน ที่ได้รับสิทธิการคุ้มครองเหมือนกับผู้ใช้แรงงาน ทั่วไป ทำให้การตัดสินใจเข้าร่วมธุรกิจกับบริษัทขายตรงส่วนใหญ่ จะยึดหลักกฎกติกาที่เขียนกันมาเอง หรือบางครั้งก็อาศัยความไว้เนื้อเชื่อใจกันเป็นส่วนใหญ่


ถ้าหากตกลงกันเอาไว้ยังไงปฏิบัติตามนั้น ก็ไม่มีปัญหา แต่ถ้าหากเกิดกรณีพิพาทขึ้นมา “ตัวแทน”หรือ “นักขายอิสระ” จะตกอยู่ในฐานะเสียเปรียบผู้ประกอบการขายตรงอยู่เป็นประจำ


รูปแบบการจ่ายผลประโยชน์ในธุรกิจขายตรง เป็นรูปแบบผลประโยชน์ที่จ่ายตามแผนการตลาด ที่แต่ละบริษัทเขียนเอาไว้ โดยอาศัย คะแนนสะสม เป็นตัวกำหนด


นอกจากนี้ ยังมีเงื่อนไขสนับสนุนอื่น ๆ อีกหลายประเภท ทั้งในเรื่องการเป็น “สปอนเซอร์” หรือผู้แนะนำ รวมไปถึงการต่อยอดผลประโยชน์ตามลำดับขั้นของ “ตำแหน่ง” หรือยอดขาย ที่จะมีความแตกต่างกันลดหลั่นกันไป


มีการใส่โปรโมชั่น สำหรับ คนที่ทำยอดขายถึงเป้าหมาย เริ่มตั้งแต่การได้รับสิทธิไปทัวร์ต่างประเทศ การได้รับสิทธิรับรถยนต์ รับเงินโบนัส หรือสิทธิประโยชน์ต่าง ๆ เป็นต้น


ปัญหาที่เกิดขึ้นเสมอ ๆ ในวงการธุรกิจขายตรง ก็คือว่า มีผู้ประกอบการบางราย ไม่รักษาคำมั่นสัญญาในการให้สิทธิประโยชน์ต่าง ๆ กับ “ตัวแทน”


โดยเฉพาะกรณี ที่มี “ตัวแทน” เพียงไม่กี่คนที่ทำได้ตามเป้า แล้วบริษัทต้องประสบกับความล้มเหลวในการกระตุ้นยอดขาย ปัญหาที่ตามมา ก็คือว่า บริษัทจะหาเหตุหรือข้ออ้างในการที่จะยกเลิกโปรโมชั่น ไม่รับผิดชอบต่อผลกระทบที่เกิดขึ้น


จากกรณีศึกษา ข้อร้องเรียนที่ส่งไปยังสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ) มีการเปิดเผยว่า มีหลายกิจการที่เสนอผลประ โยชน์ล่อใจแก่ตัวแทน ทั้งที่เป็นระดับ “แม่ทีม” และ “ลูกทีม” ด้วยการจ่ายปันผลพิเศษ และทัวร์ต่างประเทศ


แต่เมื่อสามารถพิชิตเป้าหมายได้สำเร็จ ปรากฏว่า บริษัทขายตรง กลับหาเหตุบ่ายเบี่ยง หรือยกเลิกโครงการกลางคัน ทำให้ “ตัวแทน” มีความรู้สึกเหมือนกับว่าตน “ถูกหลอก”


หรือบางครั้งบริษัท ก็หาทางออกโดยจ่ายเงินทดแทน ตั๋วเครื่องบิน แต่ก็เป็นเงินที่มีมูลค่าต่ำกว่าสิทธิประโยชน์ที่ “ตัวแทน”ควรจะได้รับ จากการไปทัวร์ต่างประเทศ


นี่คือ ปัญหาที่เกิดขึ้นระหว่าง “ตัวแทน” และบริษัทขายตรง ที่สคบ.รายงานว่าได้รับการร้องเรียนมากเป็นอันดับ 1


ในอีกกรณีหนึ่ง ที่มีการร้องเรียนมากในช่วงนี้ ก็คือ มีกิจการขายตรงหลายแห่ง ชักชวนให้คนทั่วไปมาสมัครเป็นสมาชิก จากนั้นก็หาเหตุจูงใจกึ่งบังคับ เพื่อให้สมาชิกหรือ “ตัวแทน” จะต้องซื้อสินค้า เพื่อแลกมากับสิทธิพิเศษบางอย่างจากผลตอบแทนในการขาย


แต่จริง ๆ แล้ว นี่กลับเป็นวิธีการหลอกล่อรูปแบบหนึ่ง ที่อาศัยสมาชิกหรือ “ตัวแทน” เป็นผู้ซื้อสินค้าเสียเอง ทั้งที่ในหลักความเป็นจริง สินค้า ควรจะต้องเกิดจากการตัดสินใจซื้อจากผู้บริโภคโดยตรง


กรณีเรื่อง การให้สิทธิ ด้านสวัสดิการ ประกันชีวิตประกันภัย หรือประกันอุบัติ เหตุ มีบางกิจการ ประโคมข่าวใหญ่โตผ่านสื่อ ผ่านเว็บไซต์ หรือประกาศผ่านไปยังแม่ทีม เพื่อไปสร้างแรงจูงใจให้กับ สมาชิกรายใหม่ ว่าบริษัทฯ ได้มีการทำสัญญาข้อตกลงเอาไว้กับบริษัทประกันชีวิตประกันภัยบางบริษัท


แต่ถึงเวลา เมื่อสมาชิก หรือ “ตัวแทน” ประสบอุบัติเหตุหรือ เสียชีวิต ปรากฏว่า ได้รับการปฏิเสธจากบริษัทประกันภัยอย่างสิ้นเชิง


อีกกรณีหนึ่ง ที่พบเห็นบ่อยมากในเวลานี้ ก็คือ บริษัทชักชวน ให้สมาชิกหรือ “ตัว แทน” เปิดจุดบริการขายสินค้า ซึ่งมีการให้สิทธิประโยชน์มากกว่าการเป็น “ตัวแทน” ปรกติ โดยจะได้กำไรส่วนต่างจากราคาขายปลีก รวมไปถึงจะได้คะแนนสมเพื่อนำไปคำนวณผลประโยชน์


แต่เมื่อถึงเวลา ทำไปได้ระยะหนึ่ง สินค้าขายไม่ออก บางบริษัท ฯ มีการตกลงว่า จะรับซื้อคืนสินค้า แต่เอาเข้าจริงกลับปฏิเสธที่จะซื้อคืน หรือถ้าซื้อคืน ก็มีการกดราคาต่ำลงมาเป็นจำนวนมาก


กรณีการให้โบนัสพิเศษ เป็นรถยนต์ ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง ที่เริ่มมีการร้องเรียนเข้ามามาก เนื่องจากแผนโปรโมชั่นที่ว่านี้ มักจะได้รับการตอบสนองจาก “ตัวแทน” เป็นอย่างสูง เนื่อง จากรถยนต์ เป็นความฝันอันดับต้น ๆ ของคนทำเครือข่าย


แต่เมื่อถึงเวลา ที่จะต้องส่งมอบจริง ๆ บริษัทกลับปฏิเสธ การส่งมอบรถยนต์ให้กับ “ตัวแทน” โดยมีการอ้างสถานการณ์ปัญหาภายในบริษัท ต่าง ๆ นานา


ทั้ง ๆ ที่ “ตัวแทน” สามารถสร้างยอดขายได้ตามเป้า หรือมีคะแนนสะสมที่สูงตามที่บริษัท ฯ ได้กำหนดเอาไว้


ปัญหากรณีเรื่องการแจกรถแจกทอง ยังมีอีกหลายกรณี เนื่องจากหลายกิจการประโคมข่าวแจกจริง-จ่ายจริง แต่เมื่อมาดูเงื่อนไข การจ่ายรถยนต์กลับจ่ายแค่เพียงเงินดาวน์เท่านั้น ที่เหลือให้ “สมาชิก”เอาไปผ่อนเอง


กฎกติกาขายตรงยังอ่อน


คนโง่ตกเป็นเหยื่อคนฉลาดร่ำไป


ปัญหานักธุรกิจอิสระ หรือ “ตัวแทน” ยังเป็นปัญหาที่มีความสลับซับซ้อน อีกหลายมิติ เพราะด้านหนึ่งจะมี “ตัวแทน” ที่บริสุทธิ์ ทำงานตามแบบฉบับวิชาชีพขายตรงอย่างแท้จริง ยึดหลักความถูกต้องตรงไปตรงมา


แต่ในอีกด้านหนึ่ง ก็จะมี “ตัวแทน” อีกบางจำพวก ประเภท “หัวหมอ” ชอบใช้วิธีการซิกแซก หลอกล่อลูกทีมเข้ามาเป็นเครื่องมือในการแสวงหาประโยชน์ ด้วยวิธีการต่าง ๆ นานา เพื่อหาทางเอาเปรียบบริษัท


เคยปรากฏข่าวว่ามี “แม่ทีมเงินล้าน”บางบริษัท มีการ “ซูเอี๋ย” กับ “ลูกทีมเงินแสน” เพื่อบาลานซ์คะแนนซ้าย-ขวา หวัง “พิชิตเงินล้าน” ด้วยการระดมเงินมาซื้อผ่านรหัสของลูกทีมในสายงานทีมอ่อน


ครั้นเมื่อบริษัทจับได้ ปฏิเสธการจ่ายเงิน ก็เอาเรื่องร้องเรียนไปยังสคบ. กลายเป็นว่า บริษัทเป็นฝ่ายผิดไปเสียฉิบ


ปัญหาการเอารัดเอาเปรียบระหว่าง “ตัวแทนขายตรง” ด้วยกัน ยังมีปรากฏอยู่อย่างสม่ำเสมอ ส่วนใหญ่ทำได้เพียงแค่ต่อว่าต่อขาน ด่าทอกัน ไม่รู้ว่าจะไปดำเนินการเอาผิดเอาโทษอย่างไร บริษัทก็ไม่สามารถมาไกล่เกลี่ยอะไรได้ สุดท้ายก็วงแตกแยกทางเดิน


หนักไปกว่านั้น ที่กำลังเป็นที่กล่าวขวัญกันมากในขณะนี้ ก็คือ การขายสินค้าขายตรงเงินผ่อน


ธรรมชาติ “นักขาย” ก็อย่างที่รู้กันอยู่ก็คือว่า ทำอย่างไรก็ได้เพื่อให้สินค้าขายได้ โดยบางครั้งก็ไม่เกี่ยงรูปแบบหรือวิธีการ ซึ่งกรณีการขายสินค้าขายตรงเงินผ่อน ณ วันนี้ เริ่มที่จะมีการร้องเรียนไปยังสคบ.แล้ว


วิธีการก็คือ กรณีสินค้ามีมูลค่าสูง ยกตัวอย่าง เครื่องฟอกอากาศ ซึ่งมีมูลค่าหลายหมื่นบาท หากจะปิดการขายโดยให้ลูกค้าจ่ายเพียงครั้งเดียว ก็เกรงว่าลูกค้าจะแบกรับไม่ไหว


สุดท้าย “ตัวแทน” ก็ทำหน้าที่บริษัทไฟแนนซ์เสียเอง โดยยอมลงทุนควักเงินในกระเป๋าซื้อ จากนั้น ก็นำเอาไปขายเงินผ่อน โดยมีการชำระเป็นงวด


ครั้นเมื่อผู้ซื้อสินค้า ไม่สามารถผ่อนได้ตรงเวลา ก็ไปใช้อำนาจข่มขู่คุกคาม จนเรื่องดังไปถึงหูสคบ.


ทั้งหมดนี้ เป็นปัญหาเพียงบางส่วนเท่านั้น ที่ทีมข่าว “ตลาดวิเคราะห์” ไปรวบรวมมา เพื่อชี้ให้เห็นว่า โครงสร้างธุรกิจขายตรง นอกจากจะต้องสร้างมาตรฐานของผลิตภัณฑ์สินค้าได้เป็นที่เชื่อถือแล้ว องค์ประกอบที่สำคัญ ของการขับเคลื่อนธุรกิจขายตรงก็คือ “ตัวแทน” หรือ “นักธุรกิจอิสระ” ที่เป็นประเด็นร้อนอีกเรื่องหนึ่ง ที่อยู่ในข่ายที่จะต้องนำเข้าไปสังคายนากฎหมายขายตรง ควบคู่ไปกับการแก้ไขกฎหมายด้านอื่น ๆ ในเวลาเดียวกัน


ในแผนหลักของการรื้อกฎหมายพระราชบัญญัติการประกอบธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรง พ.ศ.2545 การกำหนดกรอบร่างกฎหมายแก้ไขว่าด้วยเรื่อง “ตัวแทน” หรือ “นักธุรกิจอิสระ” ถือเป็นวาระเร่งด่วน ที่นายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการสคบ. ประกาศชัดเจนว่า จะต้องมีการจัดระเบียบในเรื่องของ “ตัวแทน”ใหม่ โดยมีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน


โดยเร็ว ๆ นี้ สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรง หรือ TDNA และสคบ. จะมีการจัดงาน “วันตัวแทนขายตรงพบสคบ.”เพื่อเปิดรับฟังความคิดเห็นจาก “ตัวแทน” ทุกบริษัทขายตรงอย่างกว้างขวาง เพื่อฟังเสียงสะท้อนปัญหาในทุกด้าน เพื่อนำมาเป็นแนวทางในการวางกรอบทางกฎหมาย


เพราะฉะนั้น ในกระบวน การพัฒนาธุรกิจขายตรง โดยเฉพาะในเรื่องการปรับมาตรฐาน “ตัวแทน” หรือ “นักธุรกิจอิสระ” จึงจำเป็นจะต้องดำเนินการวางกรอบหรือกฎเกณฑ์หรือกำหนดนิยามของคำว่า “ตัวแทน” ให้ชัดเจนว่า หลักปฏิบัติพื้นฐานในการดำเนินธุรกิจควรจะเป็นอย่างไร


การออกกฎหมายเพื่อคุ้มครองสิทธิ “ตัวแทน” แม้เป็นสิ่งจำเป็นที่สคบ.จะต้องเร่งหามาตรการทางกฎหมายออกมาเพื่อดูแลให้เกิดความเป็นธรรมในธุรกิจขายตรง


แต่สิ่งหนึ่ง ที่ยังเป็นปัญหาของ “ตัวแทน” ก็คือว่า ยังมีการเอารัดเอาเปรียบหรือมีพฤติกรรมที่ฉวยโอกาส ขาดจริยธรรมในการทำธุรกิจมากมายเช่นกัน


มาตรฐาน “ตัวแทนขายตรง” ยังเป็นคำถามที่ถูกถามมากในสังคม ด้วยเหตุที่ไม่มีหลักเกณฑ์หรือกฎเกณฑ์ในการคัดกรอง เหมือนกับ “ตัว แทนประกันภัย” ที่ต้องผ่านการสอบใบรับอนุญาต


ทำให้เมื่อใครก็ได้หลั่งไหลเข้ามาสู่ระบบ จำนวนมาก ๆ ก็จะใช้สิทธิหรือแนวทางของตัวเองทำตามใจชอบ


ถูกผิดก็ไม่มีบทลงโทษทางกฎหมายชัดเจน


ไม่มีกระบวนการใดที่จะสามารถแยก “น้ำดี” ออกจาก “น้ำเสีย” สุดท้ายก็กลายเป็น “หนอนในแอปเปิ้ล” กัดกินจนระบบเสียหายยับเยิน


ดังนั้น ถ้าหากจะมุ่งเน้น การคุ้มครองสิทธิ “ตัวแทน” เป็นที่ตั้ง โดยที่ยังไม่ได้มีการกำหนดกรอบหรือเส้นทางเดินของ “ตัวแทน”ให้ชัดเจน การให้ความคุ้มครองสิทธิ “ตัวแทน” ก็อาจจะกลายเป็นการ “ยื่นดาบให้โจร”


 ถึงเวลาเดินหน้าผ่ากฎหมาย


ล้อมคอกสยบ “พ่อมดขายตรง”


ปัจจุบัน ธุรกิจขายตรง มีกิจการมากมายหลายร้อยแห่งอยู่ในระบบ มาจากต่างถิ่นต่างแดนก็หลายกิจการ แต่ละกลุ่มแต่ละค่ายก็พยายามสรรหากลยุทธ์แปลก ๆ ใหม่ ๆ เข้ามาใช้ในตลาด


มีทั้งประเภท อาศัยช่องโหว่ของกฎหมายบ้าง ท้าทายกฎหมายบ้าง หรือทำไปโดยไม่รู้กฎหมายบ้าง แยกแยะกันไม่ออก


ถ้าเปรียบธุรกิจขายตรงเป็นกีฬา ก็มีแต่ผู้เล่นไม่มี “กรรมการ” หรือมีกรรมการ ก็ไม่กล้าตัดสิน เพราะกฎกติกายังไม่ชัดเจน


หากกฎหมายขายตรง ยังขาดความชัดเจน ขาดความศักดิ์สิทธิ์ ปัญหาก็คือ การแข่งขันในระบบขายตรงจะเป็นธรรมได้อย่างไร นี่ประการหนึ่ง


ประการที่สอง ก็คือ บุคคลที่จะเข้ามาสู่ธุรกิจขายตรง ถ้าหากขาดคุณสมบัติที่ดีพอ ขาดความรู้ความเข้าใจ หรือขาดจริยธรรม ถ้ายังปล่อยให้คนเหล่านี้เข้ามา ก็รังแต่จะสร้างความเสื่อมเสีย มีการร้องเรียนกันไม่ได้หยุดไม่ได้หย่อน


ประการที่สาม ถ้าเกิดกรณีมีผู้เสียหาย อันเนื่องมาจากการชักจูงหรือหลอกล่อ จะมีกระบวนการทางกฎหมายดำเนินการกับ “ตัวแทน” เหล่านี้อย่างไร


ประการที่สี่ การคัดกรอง คนที่จะเข้ามาสู่ธุรกิจขายตรง จะต้องผ่านกระบวน การตรวจสอบคุณสมบัติเบื้องต้นก่อนหรือไม่


หากสคบ. จะเดินหน้าผ่ากฎหมายขายตรง งานหนักอีกชิ้นนึง เชื่อว่าคงหนีไม่พ้นการสังคายนา “ตัวแทน” เพราะเกี่ยวข้องกับคนหมู่มากหลายล้านคน


หลายกิจการ ลงทุนลงแรงไปมากกับการ “รีครูท” คนเข้ากิจการ เพราะเชื่อว่า ยิ่งคนมากยอดขายก็จะโตมากตาม


แต่โดยข้อเท็จจริง ในกิจการขนาดใหญ่หลายค่าย ๆ มี “ตัวแทน” ที่สนใจจะทำธุรกิจขายตรงอย่างจริงจังไม่ถึง 10% ด้วยซ้ำ


ถ้าในแต่ละสมาคมขายตรง ยินยอมพร้อมใจ ที่จะสร้างมาตรฐานใหม่ให้กับธุรกิจขายตรง วันนี้น่าจะเป็นโอกาสที่เหมาะสมที่สุด


เพราะในอีก 2 ปีข้างหน้า จะมีการรวมตลาดอาเซียนเข้าด้วยกัน การขยายเครือข่ายการลงทุน คงจะต้องมีการเดินข้ามฟากไปมาหาสู่กันมากขึ้น


แต่ถ้าหากมองว่า การสร้างเงื่อนไขด้วยหลักเกณฑ์มาตรฐานของวิชาชีพ จะเป็นอุปสรรคในการ “รีครูท” คนเข้าสู่ธุรกิจขายตรง ก็ต้องถามใจผู้ประกอบการทุกคนว่า สิ่งที่ทุกคนต้องการ คือ “คุณภาพ หรือ “ปริมาณ”


ถ้าอยากได้ปริมาณมาก แต่ควบคุมยาก เกิดปัญหาวุ่นวายไม่หยุดหย่อน จะยอมรับกันได้หรือไม่


แต่ถ้าต้องการคุณ ภาพ ก็ต้องเริ่มต้นนับหนึ่งกันใหม่ ตั้งแต่กระบวนการคัดเลือก “ตัวแทน”เข้าสู่ระบบ เพราะอย่างน้อย ก็จะทำให้ ปัญหาร้องเรียนลดน้อยลง


ต่อจากนั้น ก็จะเป็นกระบวนการควบคุมพฤติกรรมที่จะต้องอาศัยตัวบทกฎหมาย เป็นตัวกำหนดว่า หากมีการร้องเรียนตามที่ได้ยกตัวอย่างมาข้างต้น เข้าหลักกฎหมายข้อไหนมาตราใด


วันนี้ ถ้าจะให้ธุรกิจขายตรงเดินไปข้างหน้า กฎหมายมีความจำเป็นจะต้อง โปร่งใส ชัดเจน ไม่เอนเอียงไปทางใดทางหนึ่ง


โดยเฉพาะผู้ประกอบการ และ “ตัวแทน” ต่างก็อยู่ในฐานะ “ผู้กระทำ”และ”ผู้ถูกกระทำ” ในเวลาเดียวกัน หากกฎหมายไม่เขียนให้ลงลึกไปถึงเนื้อหาของธุรกิจขายตรง คนผิดก็ยังคง “ลอยนวล” คนชั่วก็ยังเปลี่ยนค่ายย้ายรังไปสร้างความเสียหายในรูปแบบเดิมอย่างไม่จบสิ้น


เพราะฉะนั้น ไหน ๆ จะสังคายนากฎหมายขายตรงทั้งที ช่องโหว่ทางกฎหมาย ที่ยังเป็นรอยรั่ว และสร้างโอกาสให้กับบรรดา “พ่อมดขายตรง” ทั้งหลาย คงจะต้องมีการล้างบางกันเสียที


มิเช่นนั้น คนส่วนใหญ่ที่ตัดสินใจย่างเท้าเข้ามาสู่ธุรกิจขายตรง หากถูกเอารัดเอาเปรียบ ถูกหลอก ซ้ำแล้วซ้ำเล่าอย่างนี้ ไม่เพียงแต่คนเก่า ๆ ที่จะหันหลังกลับไปเท่านั้น แม้แต่คนใหม่ ๆ ก็คงยากที่จะเดินเข้ามา...








 

 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com

ข่าวนีโอไลฟ์ (Neo Life) : MLM ผนึกแบงก์ยกภาพลักษณ์ "นีโอไลฟ์" จับมือ SCB ออกบัตรรูดปรื๊ด!แทนเงินสด







SCB Neo Life (Mobile)

 


กลุ่มบริษัทขายตรงรายใหญ่ ดึงกลุ่มบริษัทธนาคารร่วมพันธมิตรทางธุรกิจ "นีโอไลฟ์" คล้องแขน "ธ.ไทยพาณิชย์" ออกบัตรใหม่ "SCB Exclusive Payment Card" เพิ่มความสะดวกสบายให้สมาชิก โอนเงินเข้า-ออก ได้อย่างปลอดภัย ปิดปัญหาเรื่องความเสี่ยงของสมาชิกที่ต้องพกเงินมาซื้อสินค้า ตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิก 1.2 ล้านรหัสทั่วประเทศ ชี้ไม่เพียงลดความเสี่ยงและสร้างความสะดวกให้สมาชิกเท่านั้น แต่ส่งอานิสงส์ถึงภาพลักษณ์ให้เป็นที่ยอมรับมากยิ่งขึ้น


หลังจาก บริษัท นีโอไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้จับมือกับพันธมิตร ธนาคารไทยพาณิชย์ ออกบัตรชำระเงินธุรกิจ เพื่อสร้างความสะดวกให้สมาชิกใช้จ่ายสินค้า และบริการของบริษัทผ่านบัตรเดียว ความเคลื่อนไหวล่าสุด "นีโอไลฟ์" ได้นำบัตร "SCB Exclusive Payment Card" เข้ามา เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับสมาชิกมากยิ่งขึ้น


เกี่ยวกับเรื่องนี้ ดร.นพรุจ เวชกุล ประธานกรรมการบริหาร บ.นีโอไลฟ์ฯ ได้เปิดเผย "สยามธุรกิจ" ว่า บัตรชำระเงินธุรกิจ (SCB Exclusive Payment Card) จะเป็นบัตรชำระค่าสินค้าและบริการ ที่ลูกค้าและสมาชิกของนีโอไลฟ์ใช้จ่ายผ่าน เครื่องรูดบัตร EDC แทนการชำระด้วยเงินสด เพื่อลดความเสี่ยง ในด้านความปลอดภัยของสมาชิก และสร้างความสะดวกให้กับ สมาชิกของนีโอไลฟ์ทุกคน


"แต่ก่อนเราใช้บัตรเงินสด SCB Cash เพื่อเพิ่มความสะดวกสบายในการจ่ายค่าคอมมิสชั่น โดยสมาชิกไม่ต้องเปิดบัญชี กับธนาคาร และในปีนี้บริษัทได้ใช้บริการบัตรชำระเงินธุรกิจ SCB Exclusive Payment Card ยิ่งทำให้มีความสะดวกสบายเพิ่มมากขึ้น โดยเฉพาะบัตรประเภทนี้สามารถซื้อสินค้าของบริษัทได้ ทันทีตามวงเงินของเจ้าของบัตร โดยไม่ต้องใช้เงินสดให้ยุ่งยากกับ แคชเชียร์ในแต่ละวัน"


เหตุผลที่บริษัทเลือกใช้บริการ Cash Management ของ SCB ก็เพื่อช่วยเพิ่ม ประสิทธิภาพทางการดำเนินกิจการให้มีศักยภาพมากขึ้น โดยเฉพาะในเรื่องของการเงิน เนื่องจากสามารถตอบโจทย์ของบริษัทได้สะดวกรวดเร็ว ตรงต่อเวลา สามารถ ทำบนออนไลน์ธนาคารได้ทันที มีความยืดหยุ่นในการทำงาน รวมถึงมีนวัตกรรมทางการเงินทั้งขารับ และขาจ่าย อยู่ในระบบเดียวกัน บริการหลังการขายมีการแนะนำจากผู้ชำนาญการด้านบริหารเงิน นอกจากนี้ สินเชื่อของ SCB ยังช่วยให้วงเงินกับ บ.นีโอไลฟ์ มากขึ้น ทำให้ บ.นีโอไลฟ์ สามารถนำเงินไปสั่งซื้อสินค้าและส่งสินค้าให้สมาชิกเป็นจำนวนมากได้เพียงพอ ทั้งนี้ ธนาคารไทยพาณิชย์เพิ่งได้รับ รางวัล BEST LOCAL CASH MANAGEMENT BANK ครั้งที่ 8 ติดต่อกัน ทำให้บริษัทมีความเชื่อมั่นในระบบของ SCB Cash เพราะมีความสะดวกสบาย ปลอดภัย ตรงต่อเวลา ยิ่งมีบัตร SCB Exclusive Payment Card เข้ามาเสริมภาพลักษณ์ ทำให้พนักงานและสมาชิกสามารถทำงานได้รวดเร็ว มีประสิทธิภาพ เวลาเปิดบัญชีก็ทำได้ง่าย โอนเงินรวดเร็ว ลดขั้นตอนในการใช้บัตร ATM


รวมถึงได้มีการออกเช็คอัตโนมัติ เดิมเรามีพนักงานฝ่ายบัญชีการเงินจะต้อง พิมพ์เช็คให้กับสมาชิกเป็นจำนวนมาก แต่ วันนี้ให้ธนาคารพิมพ์ให้ เพียงแค่ส่งข้อมูลให้ธนาคารก็เสร็จเรียบร้อย ค่าใช้จ่ายในการซื้อเช็คเท่าเดิมไม่เพิ่มขึ้น แต่บริษัทได้เวลาของพนักงานมาทำงานอย่างอื่นเพิ่มมากขึ้น คุ้มจริงๆ


"แต่ก่อนพนักงานที่อยู่ตามสาขาของ บ.นีโอไลฟ์ ทั่วประเทศจะต้องมีความ เสี่ยงในเรื่องของการเงิน เพราะบางทีเวลา ที่ต้องออกไปเอาเงินเข้าธนาคารก็จะเป็นเวลาที่ค่ำแล้ว ทำให้ธนาคารบางแห่งก็ปิด เร็วไปไม่ทัน พนักงานจึงจำเป็นที่ต้องขนเงินสดกลับบ้าน ค่อนข้างจะอันตรายในการถูกแย่งชิงมาก ยิ่งในช่วงหลังๆ ตามสาขาต่างๆ ที่มีตู้กดเงินของ บ.นีโอไลฟ์ ได้โดนงัดเอาเงินออกไปบ่อยมาก จึงจำเป็นที่บริษัทต้องได้ธนาคารที่มีศักยภาพทาง การเงินที่ดีเข้ามาช่วยดูแลในเรื่องนี้ให้มีความปลอดภัยขึ้น และยังสร้างความเชื่อมั่นให้กับสมาชิกได้"


อย่างไรก็ตาม ดร.นพรุจ เวชกุล ประธานกรรมการบริหาร บ.นีโอไลฟ์ ได้กล่าวต่อว่า ปัจจุบันบริษัทมีสมาชิกทั่วประเทศประมาณ 1,200,000 กว่ารหัส โดยฐานสมาชิกส่วนใหญ่ที่อยู่ในยุคแรกๆ ของช่วงบุกเบิก "นีโอไลฟ์" นั้น จะเป็นผู้ที่มีปัญหาเกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งจะเป็นคนที่ค่อนข้างมีอายุ คือเป็นกลุ่มคนแก่ คนป่วย พอธุรกิจดำเนินมาจนประสบความสำเร็จ บริษัทก็ได้ปรับให้มีคนรุ่นใหม่เข้ามาทำธุรกิจ และถึงเวลานี้ก็มีจำนวนสมาชิกทั้งหมดแบ่งเป็นครึ่งต่อครึ่งแล้ว


อย่างไรก็ดี เกี่ยวกับการผนึกพันธมิตร ของบริษัทขายตรงกับธนาคาร ธุรกิจเอสเนเจอร์ก็ได้มีการจับมือกับทาง "ธนาคารกรุงเทพ" ในการออกบัตรเครดิต เพื่อสร้างความสะดวกสบายให้กับสมาชิก โดยดร.ทวีลาภ ฤทธาภิรมย์ กรรมการผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) พร้อมนายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการและกรรมการผู้จัดการ นายบัญชา เหมินทคุณ รองกรรมการผู้จัดการด้านธุรกิจเครือข่ายเอสเนเจอร์บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) และผู้บริหารทั้ง 2 องค์กรร่วมเปิดตัวบัตร เดบิตบีเฟิสต์-เอสเนเจอร์ (Be 1st Snatur) บัตรประจำตัวสมาชิกธุรกิจเครือข่ายเอสเนเจอร์ ของบริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) เพื่อเป็นช่องทางในการบริหารจัดการด้านการเงินที่เป็นเอกสิทธิ์พิเศษเฉพาะสมาชิกเอสเนเจอร์เท่านั้น ซึ่งบัตรดังกล่าวสามารถเป็นได้ทั้งบัตรประจำตัว บัตรเดบิตวีซ่า และบัตรเอทีเอ็ม ได้ในใบเดียวกัน


ทั้งนี้ ในช่วงก่อนหน้า กลุ่มบริษัทขายตรงอย่าง "แอมเวย์" และ "นู สกิน" ก็มีการผนึกพันธมิตรกับบริษัทด้านการเงิน เพื่ออำนวยความสะดวกกับสมาชิกของตนเองไปแล้ว ซึ่งนอกจากจะอำนวยความสะดวกสบายในแง่การชำระเงินซื้อสินค้าแล้ว ยังเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับ บริษัท สินค้า และเจ้าหน้าที่ฝ่ายขายของ ของแต่ละบริษัทให้เป็นที่ยอมรับของบุคคล ทั่วไปมากยิ่งขึ้น








 

 


 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com/

ข่าวเวิลด์โปร (World Pro) : "เวิลด์โปร" วาดฝันปี 56 รับทรัพย์ 300 ล้าน ระดมทุนลุยแผนปี 57 ทุ่มสื่อ-ตั้งโรงงานสู้ศึก AEC







Kpisit1 (Mobile)

 


"เวิลด์โปร" ฟุ้ง! ครึ่งปีแรกยอดขาย โตเพิ่ม 30% วางเป้าสิ้นปีรายรับแตะ 300 ล้านบาท ชี้ปัจจัยการเติบโตมาจากการประชุมอัดความรู้นักขาย เดินหน้าแผนข้ามปี ขีดเส้นปี 57 ลุยสื่อหนัก เน้นไปที่หนังสือพิมพ์, เคเบิล ทีวี และวิทยุ เป็นหลัก พร้อมเตรียมแผนตั้งโรงงานผลิต สินค้า หวังสร้างใบเบิกทางสู่ AEC ลุยตลาดเพื่อนบ้าน


นายพิสิษฐ์ เดชวรรณพงศ์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เวิลด์โปร (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยกับ "สยามธุรกิจ" ว่า ภาพรวมธุรกิจเวิลด์โปรในช่วงต้นปีที่ผ่านมานั้น ถือได้ว่าบริษัทมีอัตราการเติบโตถึง 30% ถือเป็นที่น่าพอใจ ส่วนหนึ่งที่ทำให้ธุรกิจเติบโตเป็นเพราะในเรื่องของสินค้าที่มีคุณภาพ และสามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและสมาชิก ได้ ในขณะเดียวกันบริษัทยังสามารถสร้างยอดขายในช่วงครึ่งปี แรกได้ถึง 100 ล้านบาท และหากเทียบกับช่วงต้นปีก่อนๆ โต ขึ้นหลายเท่าตัว


"จะเห็นได้ว่าตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมา "เวิลด์โปร" ได้เน้นสร้างความแข็งแรงขององค์กร ไม่ว่าจะเป็นการฝึกอบรมที่เน้นหนักเป็นพิเศษ เพื่อต้องการที่จะให้สมาชิกของบริษัทมีความ แข็งแกร่ง และมีความเป็นมืออาชีพ รวมถึงยังจะเป็นการสานฝัน ความสำเร็จของผู้ที่ต้องการโอกาส ได้ก้าวสู่ความสำเร็จไปพร้อมกัน ด้วยหลักสูตรของบริษัทที่วางไว้นั่นเอง"


โดยในช่วงครึ่งปีหลัง บริษัทคาดว่าจะสามารถสร้างยอดขายได้ถึง 300 ล้านบาท ซึ่งยอดขายแต่ละเดือนเวลานี้ทำได้เฉลี่ยประมาณ 30 ล้านบาท โดยมั่นใจจะ เติบโตเพิ่มอีก 50% แต่แค่นี้ก็ถือว่าเป็นเป้าหมายที่น่าพอใจแล้ว ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายที่จะสร้างผู้นำให้มีรายได้ 1 แสนบาท ขึ้นไป จำนวน 1,000 คน พร้อมกับต้องการ ให้สมาชิกทุกคนที่เข้ามาทำธุรกิจกับเวิลด์โปรแล้วสามารถที่จะเกษียณได้


"ในส่วนของสมาชิกก็ถือว่า เป็นเรื่องปกติที่ต้องมีการหมุนเวียนเข้าออก แต่สำหรับ เวิลด์โปรŽ นั้น สมาชิกมีความรักสามัคคีกันดีมาก โดยครึ่งปีที่ผ่านมาเพิ่ม ขึ้นประมาณ 30% และจากนี้ไปจนถึงสิ้นปีจะขยับเพิ่มขึ้นไป 50% เหตุผลที่บริษัท มี ความเติบโตต่อเนื่องมาจากการจัดตาราง ประชุมสัมมนาที่เข้มข้น และให้ความรู้อย่างเข้าถึงสมาชิกทุกคน"


"พิสิษฐ์" กล่าวต่อว่า บริษัทได้วาง แผนจะกระตุ้นยอดขายทางการตลาด ด้วย การจัดโปรโมชั่นท่องเที่ยวต่างๆ มีทั้งราคา สุดพิเศษ จัดชุดเปิดโมบายล์ งานประชุมสัมมนาที่มีประโยชน์ และเทรนนิ่งแบบตัวต่อตัว ซึ่งจะมีงานใหญ่ที่บริษัทตั้งขึ้นมา เองคือ "สสว.สัญจร" หรือเรียกชื่อเต็มว่า "สมาชิกสโมสรเวิลด์โปร" โดยที่กล่าวมาทั้งหมด จะเป็นการกระตุ้นยอดขายทั่ว-ประเทศ และจะจัดทำทุกๆ เดือน ซึ่งเวลา นี้ก็ได้ทำต่อเนื่องในการจัดกิจกรรมเหล่านี้ มา 5 เดือนแล้ว


"เราตั้งใจจะทำให้บริษัทแข็งแรงให้ เร็วที่สุด เพื่อเป็นการรองรับตลาดเออีซีใน ปี 2558 เพราะถึงตอนนั้นจะมีคนหลั่งไหล มาสู่ประเทศไทยเป็นจำนวนมาก หากบริษัทมีศักยภาพพอก็จะขยายเครือข่ายได้เร็วขึ้นทั้งในและต่างประเทศ โดยตั้งแต่ ต้นปี 2557 เป็นต้นไป อยากให้จับตามอง บริษัทให้ดี เพราะจะมีการทุ่มงบประมาณโฆษณาหลายช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือ พิมพ์, เคเบิล ทีวี และสื่อวิทยุ เพื่อทำให้ผู้คนเริ่มรู้จัก บ.เวิลด์โปร มากขึ้น"


ปัจจุบัน "เวิลด์โปร" มีสาขาอยู่ด้วยกัน 2 แห่ง คือ ที่หาดใหญ่ และอำเภอนางรอง จังหวัดบุรีรัมย์ โดยแต่ละสาขามียอดขายเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 3 ล้านบาทต่อเดือน พร้อมกับมีแผนที่จะขยายสาขา เพิ่มขึ้นอีกด้วย หากพบว่า ในพื้นที่ไหนมีสมาชิกมากและมีแนวโน้มว่าตลาดน่าที่จะเติบโต


"ความพร้อม ของเวิลด์โปรได้พยายามทำให้แข็ง-แรงที่สุดเพื่อต่อยอด ไปให้ถึงปี 2557 ทั้งในเรื่องของโรงงานการผลิตที่เป็นของบริษัทเอง บนพื้นที่ประมาณ 20 ไร่ ซึ่งได้มีการเปิดดำเนินการไปแล้วเมื่อช่วงปลายปีที่ผ่านมา โดยโรงงานดังกล่าว จะเป็นการผลิตในส่วนของสินค้าเกษตร สินค้าอุปโภคบริโภค ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม และในอนาคตคาดว่า พื้นที่ที่เหลือของโรงงานจะมีการขยายทำเป็นในส่วนอื่นๆ ตามมาอีกด้วย"


อย่างไรก็ตาม ประธานกรรมการ "เวิลด์โปร" ยังได้กล่าวถึงการขยายตลาดต่างประเทศว่า "ตอนนี้ได้เล็งเป้าไว้ คือ ประเทศพม่า และกัมพูชา เพราะเมื่อไม่นานบริษัทได้มีการรุกเข้าไปทำตลาดในประเทศลาวแล้ว รวมถึงสินค้าของบริษัทยังได้อย.ที่ลาวเป็นที่เรียบร้อย เหลือแต่ รอเปิดตัวอย่างเป็นทางการเท่านั้น รวมถึง บริษัทได้มีการนำสินค้าออกมาใหม่เป็นยาสีฟัน ซึ่งได้รับการตอบรับจากสมาชิกและผู้บริโภคเป็นอย่างดี ทั้งยังจะมีสินค้าออกมาใหม่ที่เป็นน้ำยาซักผ้า พร้อมกับยาฆ่าหญ้าเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มเกษตรกรอีกด้วย"








 

 


 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com/

วันพฤหัสบดีที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2556

กฎหมายต้องแก้!







GETTY_N_110211_LawGavelCourt (Mobile)

 


ที่ผ่านมา ท่านผู้อ่านที่เป็นขาประจำของ "นสพ.สยามธุรกิจ" คงได้เห็นว่า "สยามธุรกิจ" ได้เปิดคอลัมน์ "แก้กฎหมาย ส่งเสริมขายตรงไทย" ขึ้น เพื่อเป็นพื้นที่ให้คนขาย ตรง ไม่ว่าจะเป็นผู้ประกอบการ กลุ่มผู้บริหาร นักธุรกิจอิสระ รวมไปถึงบุคคลต่างๆ ที่มีความรู้ในระดับกูรู ของวงการขายตรง ได้เข้ามาแสดงทรรศนะเกี่ยวกับกฎหมายขายตรงที่ใช้อยู่ในปัจจุบันว่า ควร ไม่ควร แก้ไขอย่างไร


โดยที่ผ่านมา จากการติดตามของผู้เขียน เห็นได้ชัดว่า ถึงเวลาแล้วที่วงการขายตรงต้องมีกฎหมายตัวใหม่เข้ามากำกับดูแล รวมไปถึงเรื่องของการผลักดันให้มีการตั้ง "กรมขายตรง" ขึ้นมา


เหตุผลหลักๆ ที่ผู้เขียนพอจะจับใจความ สรุปให้เห็นพอเข้าใจถึงสถานะความคิดเห็นส่วนใหญ่ที่คนขายตรงต้องการ ให้มีการสร้างกฎหมายฉบับใหม่ขึ้น เพราะการที่กฎหมายขายตรงฉบับ พ.ศ.2545 ไม่ทันยุคทันสมัยอีกต่อไป


ส่วนความพยายามที่จะให้มีการตั้ง "กรมขายตรง" หรือสำนักงานหรือหน่วยงานอิสระ เพื่อดูแลกำกับวงการอย่างเฉพาะ ก็เพราะความต้องการเห็นการยกระดับของวงการ ขายตรงอย่างแท้จริง


และหากขายตรงมีหน่วยงานอะไรที่เข้ามาดูแลอย่างเฉพาะ เหมือน คปภ. หรือสำนักงานคณะกรรมการกำกับและ ส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย ก็ยิ่งจะทำให้ขายตรงถูกมองในภาพที่บวกมากขึ้น ทั้งยังจะมีทุน มีคนที่มากพอในการจะจัดการกับขายตรงขี้ฉ้อทั้งหลาย รวมถึงการยกระดับ ขายตรงชั้นดีให้เป็นที่ยอมรับมากขึ้น


หากมองตามความเป็นจริง ธุรกิจขายตรงมีปัญหามาก ที่สุด ก็คงเป็นเรื่องของภาพลักษณ์ที่มักถูกเปรียบเทียบ ยัดเยียดให้เป็นธุรกิจ "แชร์ลูกโซ่" เป็นธุรกิจสีเทา เต็มไปด้วยการหลอกลวง ทั้งที่สิ่งที่เกิดขึ้น เกิดจากกลุ่มคนผู้ไม่หวังดี เพียงหยิบมือที่เข้ามาหาผลประโยชน์ ด้วยการใช้แบบแผน การล่อลวง คล้ายกับวิธีการทำงานของขายตรงเท่านั้น


แต่แน่นอนว่า ปลาเน่าตัวเดียวย่อมเหม็นไปทั้งบ่อ


ขายตรงโดนมองในทางที่ไม่ดีมานาน ถึงแม้ปัจจุบันจะดีขึ้นมากในเรื่องของภาพลักษณ์แล้วก็ตาม


แต่ทั้งหมดทำให้เราต้องมองย้อนไปที่ต้นตอของปัญหา


หนึ่ง คือ บรรดา 18 มงกุฎ ที่ทำให้ขายตรงถูกมองไม่ดี


สอง คือ กฎหมาย ที่ไม่รัดกุมพอ ที่จะปกป้องธุรกิจได้


นี่คือปัจจัยหลักของปัญหา ซึ่งต้องยอมรับกัน


"สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย (TDNA)" ถือเป็นสมาคมหมายเลข 4 ของวงการ ที่กำเนิดขึ้น


โดยสมาคมนี้ก่อตั้งยังไม่ถึงปี แต่พยายามผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมาย ด้วยการเล็งเห็นสิ่งที่เป็นปัจจัยของปัญหา


ที่ผ่านมา TDNA ได้ว่าจ้าง "มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย" ทำวิจัยวงการขายตรงในทุกมิติ เพื่อให้รัฐเห็นภาพที่แท้จริง


ทุกอย่างเดินหน้าไป ถึงแม้จะมีกระแสข่าวว่าบางบริษัท พยายามปิดกั้นข้อมูลของตัวเอง เพื่อเหตุผลใดไม่ทราบชัด ก็ตามที


แต่ธุรกิจขายตรงเดินทางมาไกลเกินจะถอย และคงเป็น เรื่องที่ไม่ควรแน่หากจะปล่อยให้อะไรมาฉุดมารั้งความเจริญ


หากกฎหมายขาดเขี้ยวเล็บในการเอาผิด คนผิด ก็ยาก ที่ขายตรงจะเดินไปข้างหน้าได้อย่างเต็มภาคภูมิ


ไม่ต้องนึกถึงการจะยกระดับวงการหรอก เอาแค่ให้วงการไม่ถอยหลังลงคลองนี่ ก็ถือว่าเป็นบุญ...








 

 


 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com/

วันอังคารที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2556

ข่าวไอยรา แพลนเน็ต (Aiyara Planet) : “ไอยรา แพลนเนต” ธุรกิจเปี่ยมด้วยคุณธรรม นำความสำเร็จ







iiii (Mobile)

 


ณ วันนี้...อาจจะบอกว่า “บินมาเหนือเมฆ” หรือเติบโตแบบก้าวกระโดดได้อย่างเหลือเชื่อ...เมื่อ “ใครได้ฟังใครได้ยินแล้ว”...ก็อาจจะถามว่า โม้หรือเปล่า อยากให้ท่านลองเข้ามาสัมผัส แล้วท่านจ ะยอมรับว่าธุรกิจนี้เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์เหนือคำบรรยายเสียจริง ๆ”


กว่าจะประสบความสำเร็จในชีวิต ชีวิตต้องผ่านร้อน ผ่านหนาว ผ่านความล้มเหลวมาแล้วทั้งนั้น เห็นได้จาก 2 สามีภารยาแห่ง “ค่ายไอยรา” จากสาวมั่น...บวกหนุ่มนักสู้ ที่ร่วมแรงแข็งขันบากบั่น จนก้าวถึงฝั่งฝันภายใต้อา


.ฬณาจักร “ไอยรา แพลนเนต” หนึ่งในบุคคลที่กล่าวถึง ณ ที่นี้ก็คือ “สวนี สวนใจ และ วิริยะ บัวขำ”


หากหมุนเวลาย้อนไปในอดีตจะเห็นได้ว่า...มรสุมชีวิตคู่นั้นหดหู่ใจยิ่งนัก เนื่องด้วยภาระหนี้สิน อันเกิดจากการประกอบอาชีพที่ผ่านมา อาชีพต่าง ๆ ที่ทำแล้วไม่ประสบความสำเร็จและนำมาซึ่งหนี้สินก้อน “มหึมา”


เพราะแค่อาชีพพนักงานบัญชี ที่รับเงินเดือนเพียงน้อยนิดและแทบจะ “ไม่พอยาไส้” ในแต่ละเดือนจนแล้วจนรอดก็ไม่สามารถปลอดหนี้ปลอดสินได้เลย...และกว่าจะมาเจอสิ่งดี ๆ ที่ “ไอยรา แพลนเนต”...ก็ทำให้ทั้งคู่ออกอาการท้อและเริ่มหมดหวัง


แต่ฟ้าก็ “ปราณี” กับคนที่มีความมุ่งหวังและตั้งใจจริง เมื่อได้รู้จัก บริษัท ไอยรา แพลนเนต จำกัด จึงตัดสินใจเข้ามา เพราะเชื่อมั่นในผู้บริหาร ศรัทธาในความเก่งของผู้ที่มาชวน และที่ “ไอยรา แพลนเน็ต” มีระบบฝึกอบรมให้กับคนที่ไม่เป็นอะไรเลย...ก็สามารถชุบและเปลี่ยนชีวิตใหม่ให้กลับมา “ลืมตาอ้าปาก” ในสังคมได้อีกครั้ง..!


“ทั้งคู่มองไม่ออกเลยว่าจะเอาเงินจากไหนมาใช้หนี้ เพราะอาชีพเราเป็นแค่พนักงานประจำ ที่มีเงินเดือนเพียงแค่หมื่นกว่าบาท แต่ก็ยังเล็กน้อยไม่พอจ่าย ในที่สุดก็มีคนเข้ามาแนะนำให้รู้จักกับ “ธุรกิจไอยรา” นาทีนั้นบอกตรง ๆ เลยว่า ไม่มีความรู้เรื่องนี้เลย รู้เพียงแต่ว่าเป็นการขาย ถ้าขายเก่งเราก็ได้ตังค์ ตอนนั้นเลยตัดสินใจสมัครเพื่อเอาสินค้าไปและกำไรคืน คิดแค่นั้นจริง ๆ แต่พอมีโอกาสไปฟังแผนธุรกิจ และเข้าฝึกอบรม จึงรู้ว่าไม่ใช่เป็นการขายของ แต่เป็นการแนะนำให้ลองใช้สินค้าที่ดี ๆ มากกว่า”


“สวนี - วิริยะ” จึงจับมือจูงใจ ด้วยการใช้เวลาศึกษาข้อมูล ตอนเข้ามานั้นยังเป็นมือใหม่ แต่แค่เข้ามาเรียนรู้และลงมือทำอย่างสม่ำเสมอจนบรรลุ และประสบความสำเร็จอย่างงดงามจนสามารถปลดหนี้สินหมดไป และยังสามารถคว้าตำแหน่ง “มนุษย์เงินล้าน” รหัสล่าสุดมาครอบครองได้เพียงระยะปีกว่า


นี่คือ...บทสรุปของความมุ่งมั่นความตั้งใจ จึงทำให้เขาทั้งสองมีวันนี้ และที่สำคัญสามารถลบรอยแผลในอดีตที่เกิดจากการ “ก่อหนี้” ได้สำเร็จ....


“สวนี” ยังได้ถ่ายทอดความอัศจรรย์ใจในตัวระบบ และแผนของไอยรา และชื่นชมอย่างไม่ชาดปากว่า “ไอยรา” เป็นเป็นบริษัทที่มีระบบแบบแผนการฝึกอบรมที่ดี และตัวท่านผู้บริหารก็มีความเป็นกันเอง เหมือนเป็นคนในครอบครัวเดียวกัน ซึ่งแตกต่างจากบริษัทอื่น หรือธุรกิจอื่น ๆ


“สวนี” ยังบอกต่อว่า ส่วนในเรื่องของสินค้าก็เป็นสินค้าที่ดี ที่ผ่านการวิจัยมาแล้ว เมื่อเป็นสินค้าที่ดี คนใช้ดีก็ย่อมบอกต่อ และต้องมีการซื้อซ้ำ อันนี้จึงเป็นเหตุที่ทำให้ทั้งระบบแผน และสินค้าไปด้วยกันได้ดี จึงสามารถประสบความสำเร็จได้ในที่สุด...นี่จึงเป็นแรงเหวี่ยงมหาศาลที่ก่อให้เกิดการต่อยอดทางธุรกิจ


นี่คือ เหตุผลที่ลงตัวที่สุดกับคำว่า “สำเร็จ” ที่ทั้งคู่ได้สัมผัส...แต่ใช่ว่าการทำธุรกิจขายตรงนั้น นั่งอยู่กับที่แล้วจะได้ออเดอร์เยอะแยะมากมาย นั่นก็แค่ส่วนหนึ่ง แต่ถ้าคุณอยากจะสำเร็จจริง ๆ สำเร็จเร็ว ๆ และสำเร็จอย่างมั่นคงถาวร...คุณต้องรู้จักสร้างทีม สร้างสายงาน สร้างจนก่อให้เกิดรายได้ในทุก ๆ สายงานที่ได้เชิญชวนเข้ามา...นี่แหละที่เขาเรียกว่า ปฐมบทแห่งความสำเร็จอย่างแท้จริง…เพราะการที่เราทำงานเราก็ไม่สามารถที่จะสอนคนให้เก่งได้ทุกคน แค่เราเอาพวกเขามาเข้าระบบและก็เรียนรู้ไปด้วยกัน แค่นั้นเราก็สามารถประสบความสำเร็จได้ เพราะหน้าที่ของเราคือ “พาเขามาเราต้องพาเขาสำเร็จไปกับเรา”


ดังนั้น การเดินทางนับหมื่นนับแสนลี้ ถือเป็นเรื่องธรรมดาสำหรับธุรกิจขายตรง เพราะตัวดิฉันและสามีเดินทางขึ้นเหนือ-ล่องใต้ ทั่วทุกหัวระแหง ทุกมุมเมือง แต่เราก็ต้องยอมเสี่ยงเพื่อไปช่วยสร้างงาน สร้างรายได้ให้กับ พ่อ-แม่-พี่น้อง ให้มีรายได้ที่ดี...นี่คือ ภารกิจสำคัญของเราทั้งสองที่ช่วยให้ทีมงานใต้ล่างเติบโตควบคู่ไปด้วย... “สวนี” กล่าวด้วยความมุ่งมั่นและตั้งใจ


ผลจากความตั้งใจนี่เอง...ที่ทำให้เราไม่เคยทอดทิ้งพวกเขา เรายังไปช่วยเหลือ ให้การสนับสนุนในการจัดประชุมเพื่อให้ศูนย์เหล่านั้นอยู่รอดและมีรายได้อย่างไร้ขีดจำกัดเพราะดิฉันเชื่อว่า หากทีมงานใต้ล่างรวย ดิฉันย่อมรวยตามเช่นกัน เพราะถือว่าเราเป็นทีมเดียวกัน เมื่อเราลงเรือลำเดียวกันแล้ว ก็ต้องช่วยกันแจวให้ถึงฝั่ง...ยิ่งวันนี้ แบรนด์ “ไอยรา” ได้รับการสนับสนุนผ่านสื่อหนังสือพิมพ์ นิตยสารต่าง ๆ “ไอยรา” จึงได้เป็นที่รู้จักและทำการตลาดง่ายขึ้น


“สวนี” เล่าให้ฟังถึงสิ่งที่ประทับใจและปลาบปลื้มใจ...จนรู้สึกเป็นหนี้บุญคุณ “ไอยรา” แล้ว ทั้งคู่ยังติดโปรโมชั่นท่องเที่ยวต่างประเทศ เพราะไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะได้ท่องเที่ยวต่างประเทศเป็นว่าเล่น...เมื่อเทียบกับชีวิตจริงของคน ๆ หนึ่งที่ติดหนี้ติดสินยาวเป็นหางว่าว กับอาชีพพนักงานประจำ


แต่วันนี้ “ไอยรา” ทำให้สถานภาพชีวิตของคนทั้งคู่เปลี่ยนไป จากอาชีพพนักงานบัญชีก้าวสู่อาณาจักรเศรษฐีใหม่...ปลดหนี้-ปลดสิน มีบ้าน มีรถขับ มีเงินเก็บเพื่ออนาคตลูก...ใช้อย่างสุขสบายอุรา “เงยหน้าไม่อายฟ้า ก้มหน้าไม่อายดิน” อีกต่อไป...!! เป้าหมายนับจากนี้ อยากให้สมาชิกที่อยู่ในทีม มีรายได้และมีความสุขอย่างที่เราได้...


“วันนี้ ดิฉันเองก็เริ่มต้นจากคนธรรมดาที่ไม่รู้จักเครือข่าย ที่ไม่รู้อะไรกับเครือข่าย แต่ถ้าสำหรับที่นี้คุณไม่รู้อะไรแค่คุณมีใจเรียนรู้ เราก็มีสถาบันฝึกอบรมให้ แค่คุณเข้ามาเรียนรู้และก็ไปลงมือทำในสิ่งที่เรียน คุณก็จะได้รับของขวัญจากการที่คุณเข้ามาเรียนรู้...ดังนั้น จึงอยากให้ทุก ๆ คนลองเข้ามาศึกษาลองพิสูจน์กัน”


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

กำลังซื้อหด‘คิวท์เพรส’วางลุคใหม่ ปรับโลโก้สร้างแบรนด์เจาะกลุ่มวัยรุ่น







pr_news_img_30622_1 (Mobile)

 


“คิวท์เพรส” ปรับลุคโลโก้ใหม่ มุ่งสร้างแบรนด์เจาะกลุ่มคนรุ่นใหม่ พร้อมเปิดผลิตภัณฑ์ใหม่ “คิวท์เพรส คัลเลอร์ แฟนตาซี เนเจอร์ ชายน์ ลิป บัตเตอร์” หวังกระตุ้นกำลังซื้อ พ่วงด้วยหนังโฆษณาชุดใหม่ “รูมเมท” ตอกย้ำการรับรู้...พร้อมเดินหน้านโยบายด้าน “ซีเอสอาร์” ด้วยการมอบรายได้จากการจำหน่ายลิปสติกรุ่นใหม่ แท่งละ 5 บาท มอบให้กับ “มูลนิธิสร้างรอยยิ้ม” เพื่อใช้ในการผ่าตัดรักษาเด็กปากแหว่งเพดานโหว่


นับได้ว่า “ตลาดขายตรง” ในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ เริ่มที่จะเห็นการออกอาวุธทางธุรกิจของหลาย ๆ ค่าย มาสร้างความน่าตื่นเต้นกันอย่างมากทีเดียว ทั้งในเรื่องของสินค้า โปรโมชั่น รวมถึงกิจกรรมส่งเสริมการขายอีกต่าง ๆ มากมาย...เช่นเดียวกับทาง “บริษัท เอสเอสยูพี กรุงเทพ 1991 จำกัด” หรือ ที่หลาย ๆ คนรู้จักในนามของ “คิวท์เพรส” เอง ก็ได้ออกมาสร้างความเคลื่อนไหวของธุรกิจในช่วงครึ่งปีหลังไตรมาสที่ 3 ของปีนี้ ด้วยการปรับลุคธุรกิจให้ทันสมัยมากขึ้น พร้อมกับการสร้างจุดแข็งของธุรกิจด้วยสินค้าที่มีความหลากหลายในส่วนของความสวยความงาม


โดยทางด้าน นางธัญธิตา เจริญชัยกรณ์ ผู้จัดการฝ่ายการตลาด บริษัท เอสเอสยูพี กรุงเทพ 1991 จำกัด ได้เผยถึงการปรับลุคธุรกิจใหม่ในครั้งนี้ว่า การที่ทาง “คิวท์เพรส” ได้มีการปรับลุคโลโก้ใหม่ในครั้งนี้ เพื่อให้เกิดความทันสมัยยิ่งขึ้น พร้อมกับต้องการให้เข้ากับบุคลิกผู้หญิงในแบบฉบับคิวท์เพรส ที่มีเสน่ห์และความสดใสร่าเริง


ซึ่งนอกเหนือจากการปรับสุคโลโก้ใหม่ในครั้งนี้แล้ว ทางด้าน “คิวท์เพลส” เอง ยังได้มีการส่งผลิตภัณฑ์ใหม่มายั่วน้ำลายกลุ่มสุภาพสตรีอีกด้วย นั่นก็คือ “คิวท์เพรส คัลเลอร์ แฟนตาซี เนเจอร์ ชายน์ ลิป บัตเตอร์” พร้อมกันนี้ ยังได้มีการส่งเสริมนโยบายด้านซีเอสอาร์ ด้วยการมอบรายได้จากการจำหน่ายลิปสติกรุ่นใหม่ล่าสุดนี้ แท่งละ 5 บาท มอบให้กับ “มูลนิธิสร้างรอยยิ้ม” เพื่อนำเงินบริจาค ใช้ในการผ่าตัดรักษาเด็กปากแหว่งเพดานโหว่ ให้มีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น โดย คิวท์เพรส ตั้งเป้ายอดขายเฉพาะลิปสติก “คิวท์เพรส คัลเลอร์ แฟนตาซี เนเจอร์ ชายน์ ลิป บัตเตอร์” ในปีนี้ ไว้จำนวนกว่า 100,000 แท่งต่อเดือน


ที่สำคัญ “คิวท์เพรส” ยังได้มีการรุกตลาดสร้างการรับรู้ ตอกย้ำแบรนด์ด้วยการเปิดตัวหนังโฆษณาชุดใหม่ “รูมเมท” โดยภาพยนตร์โฆษณาชุดนี้ สร้างสรรค์โดยทีมงานจาก บริษัท นู้ดเจ๊ คอมมูนิเคชั่น จำกัด ซึ่งมี เจสัน ลิม Creative Director. มัทนา แซ่เตียว Art Director, ธนพล จิรธาดาพร Copy Writer และ Tongta Film ทำหน้าที่เป็น Production House พร้อมกันนี้ ทาง “คิวท์เพรส” ยังเชื่อว่าหนังโฆษณาของ คิวท์เพรส ในชุด รูมเมท นี้ จะส่งผลให้ประสบความสำเร็จกับยอดขายได้เป็นอย่างดีอีกด้วย


นางธัญธิตา เผยต่ออีกว่า ในปีนี้ “คิวท์เพรส” ตั้งเป้าที่จะเจาะกลุ่มผู้บริโภคที่เป็นคนรุ่นใหม่ ที่เลือกใช้สินค้าคุณภาพดี ราคาสบายกระเป๋า พร้อมกับตอบโจทย์ผู้บริโภคได้ครบ นอกจากนี้ คิวท์เพรส ยังมีช่องทางการจัดจำหน่ายที่ครอบคลุมทั่วประเทศ ในรูปแบบ Cute Press Shop กว่า 220 สาขา และมีฐานสมาชิกคิวท์เพรส จำนวนกว่า 1 ล้านคน รวมถึงยังมีแผนที่จะนำเสนอผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และการปรับดีไซน์ แพ็คเกจจิ้งใหม่ให้ครบทั้งกลุ่มเมคอัพ กลุ่มสกินแคร์ กลุ่มเพอเซอนัลแคร์ และผลิตภัณฑ์ “คิวท์เพรส คัลเลอร์ แฟนตาซี เนเจอร์ ชายน์ ลิป บัตเตอร์” ป้อนออกสู่ตลาดอย่าง
ต่อเนื่องอีกด้วย


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

ข่าวโมรินดา (Morinda) : ‘โมรินดา’ฉลองความสำเร็จก้าวสู่ปีที่14 เดินเครื่องสร้างธุรกิจ3ยุทธศาสตร์หลัก







Captureggg (Mobile)

 


“โมรินดา” เผยภาพความสำเร็จธุรกิจเมืองไทยประสบความสำเร็จดีน่าพอใจ...ล่าสุดจัดงานฉลองความสำเร็จก้าวสู่ปีที่ 14 พร้อมจัดโปรโมชั่นกระตุ้นสมาชิก...แย้มหลังเปิดตัว “Global Promotion” ในช่วงต้นเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา พร้อมการปรับเปลี่ยนแผนการจ่ายผลตอบแทนจาก GDB เป็น TPB ผลประสบความสำเร็จดีเกินคาด...พร้อมเดินหน้าด้วย 3 ยุทธศาสตร์สำคัญ “การเริ่มต้น-การเปลี่ยนแปลง-การสนับสนุน” ปลุกพลังธุรกิจ


...หากพูดถึงบริษัทขายตรงข้ามชาติที่ชื่อว่า “โมรินดา” เชื่อว่าหลาย ๆ ท่านในที่นี้ คงรู้จักอย่างแน่นอน โดยเฉพาะในวงการธุรกิจขายตรง ซึ่งต้องบอกว่าค่ายนี้ ได้เปิดดำเนินการในสมรภูมิรบขายตรงมาเรียกว่านานพอสมควร และกำลังจะก้าวสู่ปีที่ 14 ที่เปิดดำเนินการในประเทศไทยอีกด้วย


จะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลาในช่วง 13 ปีที่ผ่านมา “โมรินดา” ผ่านร้อน ผ่านหนาวมาอย่างโชกโชนทีเดียว ทั้งในเรื่องของการปรับองค์กรใหม่ ปรับตัวผู้บริหารในการดำเนินธุรกิจเองก็ดี รวมถึงการแข่งขันกันในเรื่องของสินค้าที่เริ่มจะเห็นการเข้ามาของผลิตภัณฑ์ที่คล้าย ๆ กัน ออกมาช่วงชิงส่วนแบ่งทางการตลาดเกิดขึ้นอย่าง


ต่อเนื่อง จนเรียกว่า “โมรินดา” เอง จากที่เคยเป็นจ้าวตลาดผลิตภัณฑ์น้ำโนนิ ก็เริ่มที่จะมีการสั่นไหวเช่นเดียวกัน!!


และจากการแข่งขันที่โหมกระหน่ำเข้ามาอยู่ตลอดเวลาในสมรภูมิรบธุรกิจขายตรงนี้เอง สิ่งแรกที่จะทำให้ “โมรินดา” สามารถยืนหยัดอยู่ในตลาดอย่างมั่นคง และทวงคืนความยิ่งใหญ่กลับมาอีกครั้งนั่นก็คือ การปรับลุคใหม่ แต่งบ้านใหม่ เพื่อให้สอดรับกับการแข่งขันนั่นเอง


ซึ่งจะเห็นได้ว่า ในช่วงไม่กี่ปีมานี้เอง หลังจากที่ทาง “โมรินดา” ได้มีการปรับลุคใหม่ ทั้งในเรื่องของการรีแบรนดิ้งใหม่ การปรับตัวแพ็คเกจจิ้งเองก็ดี หรือแม้กระทั่งการปรับเปลี่ยนแผนการจ่ายผลตอบแทน เพื่อสร้างขวัญและกำลังใจให้กับสมาชิกที่อยู่และกำลังจะเข้ามา จนเรียกว่าสามารถเริ่มที่จะสร้างความยิ่งใหญ่ กลับมาเป็นลำดับ


 


“โมรินดา”ฉลองครบรอบ14ปี


จัดโปรโมชั่นแรงสร้างแรงฮึกเหิม


...และล่าสุดเมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2556 ที่ผ่านมา ทางด้าน “โมรินดา” ก็ได้มีการจัดงานการก้าวสู่ปีที่ 14 ด้วยการทำบุญเลี้ยงพระเสริมความเป็นสิริมงคลให้กับธุรกิจรวมถึงเหล่าผู้นำและสมาชิกที่เข้ามาร่วมงาน โดยในงานครั้งนี้ ยังได้มีการจัดโปรโมชั่นสุดพิเศษสำหรับสมาชิกที่เข้ามาร่วมงานอีกด้วย


ทั้งนี้ ภายในงานฉลองความสำเร็จการก้าวสู่ปีที่ 14 ของ “โมรินดา” นั้น ทางด้านนางวิภารัตน์ รัตนพรหมมา ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท โมรินดา เวิร์ลไวด์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวว่า ตลอดระยะเวลา 13 ปีที่ผ่านมา และกำลังจะก้าวสู่ปีที่ 14 นั้น เรียกว่า โมรินดา มีอัตราการเติบโตมาโดยตลอด ทั้งในเรื่องของสมาชิก และยอดขาย พร้อมกับมีการพัฒนาในเรื่องของสินค้าที่ตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคมาโดยตลอด


โดยในช่วงวันที่ 1 สิงหาคมที่ผ่านมา โมรินดาได้มีการเปิดตัว “Global Promotion” ซึ่งมีรางวัลสูงสุดมากถึง 75,000 เหรียญ หรือประมาณ 3 ล้านบาทขึ้นมาอีกครั้ง หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากโปรโมชั่นเดิม ที่สำคัญ ทางโมรินดา ยังได้มีการปรับเปลี่ยนแผนการจ่ายผลตอบแทนจาก GDB เป็น TPB เพื่อให้สอดคล้องกับตำแหน่งใหม่ ซึ่งจะมีผลต่อการทำคุณสมบัติเพื่อเข้าร่วมกิจกรรมต่าง ๆ ของบริษัทด้วย


“สำหรับประเทศไทยเองนั้น หลังจากที่ได้มีการปรับเปลี่ยนแผนการจ่ายผลตอบแทนดังกล่าวเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ก็ได้มีผู้นำ คือ คุณสุนันทา คุณชาติชัย และคุณพิณนภา ธนสารเดชาชัย ที่สามารถประเดิมรายได้กว่า 2 ล้านบาทไปเป็นผลสำเร็จ ด้วยการพิชิตโปรโมชั่น TruAge Pack จำนวน 25 ชุด ในระยะเวลาเพียง 1เดือน และด้วยเสียงตอบรับที่ล้นหลามจาก 76 ประเทศทั่วโลก โปรโมชั่นพิชิตเงินล้านได้กลับมาอีกครั้ง โดยในครั้งนี้จะเริ่มต้นขึ้นในเดือนสิงหาคม 2556 ไปจนถึงเดือนมกราคม 2557 มีเงินรางวัลเดิมพันสูงสุดอยู่ที่ 75,000 เหรียญหรือประมาณ 3 ล้านบาทกันเลยทีเดียว”


นางวิภารัตน์ ยังกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ โมรินดายังมีโปรโมชั่นการท่องเที่ยวและเข้าร่วมประชุมใหญ่ โดยเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา มีผู้นำประเทศไทยเข้าร่วมการประชุม Pearl Retreat ที่สำนักงานใหญ่ ประเทศสหรัฐอเมริกา และในเดือนกันยายนนี้ มีการประชุมผู้นำ Vision Retreat บนเรือสำราญที่จะล่องผ่าน 3 ประเทศ คือ จีน ญี่ปุ่น และเกาหลี โดยในการประชุมครั้งนี้ ก็มีผู้นำจากประเทศไทยที่ผ่านคุณสมบัติและเข้าร่วมการประชุมพิเศษที่ยิ่งใหญ่นี้ด้วย รวมไปถึงการจัดอบรมสัมมนา Leadership Training ที่จัดขึ้นเป็นประจำทุกไตรมาส โดยในเดือนกันยายนนี้จะมีการจัดสัมมนาประจำไตรมาส 3 ให้กับผู้นำทุกคนที่ผ่านคุณสมบัติ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ซึ่งกิจกรรมต่าง ๆ เหล่านี้ ถือเป็นอีกหนึ่งพลังในการขับเคลื่อนให้ธุรกิจของโมรินดาเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน


ซึ่งนอกเหนือจากยุทธ ศาสตร์ที่สำคัญ ในการสร้างแรงขับเคลื่อนของธุรกิจโมรินดาในเรื่องของการปรับเปลี่ยนแผนการจ่ายผลตอบแทน รวมถึงในส่วนของโปรโมชั่นแล้ว อีกหนึ่งยุทธศาสตร์ที่สำคัญของค่ายนี้นั่นก็คือ 3 ขั้นตอนง่าย ๆ สู่ความสำเร็จ ที่ประกอบด้วย 1.การเริ่มต้น 2. การเปลี่ยน แปลง และ 3. การสนับสนุน ที่เรียกกว่าเป็นโครงสร้างง่าย ๆ ที่โมรินดาใช้ในการสร้างความสำเร็จในธุรกิจ


…นับได้ว่า “โมรินดา” ถือเป็นอีกหนึ่งบริษัทขายตรงข้ามชาติ ที่หลาย ๆ คนคงจับตามองกันเหมือน ๆ เช่นดั่งค่ายอื่น ๆ เช่นเดียวกัน แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าค่ายไหนจะสามารถยืนหยัดอยู่ในธุรกิจขายตรงได้ สิ่งที่ทำก็ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงด้วยเช่นกัน!!


 


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

ข่าวไทยเฮลท์ (Thai Health) : “ใบเตย” ร่วมงานเปิดตัวบริษัท ไทยเฮลท์ อินเตอร์ฯ พร้อมจับมือเป็นพรีเซ็นเตอร์ ผลิตภัณฑ์ “ซ้อเจ็ด เซทคัพ”







th (Mobile)

 


เมื่อวันก่อน....ใบเตย อาร์สยาม นางสาวสุธีวัน ทวีสิน (ซ้าย) ควงแขนผู้บริหารหนุ่มอย่างนายศุภชัย นิลวรรณ (กลาง) กรรมการผู้จัดการ บริษัท อาร์ สยาม จำกัด ร่วมแสดงความยินดีในงานเปิดตัว บริษัท ไทยเฮลท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด บริษัทขายตรงเครือไทยเฮลท์ กรุ๊ป โดยได้รับเกียรติจากนายพันธ์ยศ อัครอมรพงศ์ (ขวา) ประธานกรรมการ ไทยเฮลท์ กรุ๊ป ให้การต้อนรับพร้อมจับมือใบเตย เซ็นสัญญาเป็นพรีเซนเตอร์ผลิตภัณฑ์แน่นอกสุดฮิตอย่าง “ซ้อเจ็ด เซทคัพ” และยังโชว์มินิ คอนเสิร์ตเผยเสน่ห์แน่นอกชุดใหญ่กันแบบเต็มๆ งานนี้ทำเอาห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล ลาดพร้าว คักคักแน่นอกในใจกันเลยทีเดียว.... ผู้สนใจธุรกิจสอบถามได้ที่โทร. 08-7692-8889 หรือ www. thaihealth-center.com หรือ www.facebook.com/thaihealthgroup


 


 


 


Credit By: http://www.ryt9.com

‘เอเชียนไฟย์โตซูติคอลส์’ปรับเป้าธุรกิจสิ้นปี ประกาศขอโต40%สวนทางเศรษฐกิจชะลอตัว







dr_picheat (Medium) (Small)

 


“เอเชียนไฟย์โตซูติคอลส์” เผยผลประกอบการ Q2 มีรายได้รวมเพิ่มขึ้น 46.6% พร้อมเตรียมเซ็นสัญญาซื้อขายกับ PharmaGIC จากประเทศอิตาลี ลุยจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศเขตเศรษฐกิจยุโรป ต่อยอดการส่งสินค้าสู่สิงคโปร์ มาเลเซีย และอินโดนีเซีย...ประกาศรุกตลาดในประเทศด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ พ่วงท้ายสื่อประชาสัมพันธ์ทางทีวี...ลั่นเป้าสิ้นปีขอโตทะลุ 40% จากปีที่แล้ว


ศ.ดร. พิเชษฐ์ วิริยะจิตรา กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอเชียนไฟย์โตซูติคอลส์ จำกัด(มหาชน) เผยถึงผลประกอบการไตรมาสที่ 2 ปีนี้ว่า บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 89 ล้านบาท โดยเพิ่มขึ้น 46.6% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวม 60.73 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิ 21.05 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 89.64% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิจำนวน 11.10 ล้านบาท


ส่วนผลประกอบการในช่วง 6 เดือนแรก พบว่า บริษัทฯ มีรายได้รวมจำนวน 152.65 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 23.18% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีรายได้รวมจำนวน 123.93 ล้านบาท และมีกำไรสุทธิจำนวน 32.01 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 37.63% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีกำไรสุทธิจำนวน 23.26 ล้านบาท โดยผลประกอบการของบริษัทฯ มีการเติบโตเพิ่มขึ้น จากการเพิ่มกิจกรรมด้านการขายและการตลาดในทุกช่องทางการจำหน่ายของบริษัทฯ รวมถึงการจำหน่ายสินค้าในต่างประเทศด้วย


“หลังจากการปรับโครง สร้างโดยรวมกิจการทั้งหมดของบริษัทลูกเข้ามาอยู่ใน APCO แล้ว APCO มีกำไรสะสม ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2556 รวม 45.08 ล้านบาท และ คาดว่าจะเพิ่มขึ้น ณ วันที่ 31 ธันวาคม 2556 รวมทั้งปีไม่ต่ำกว่า 1.5 เท่าของปี 2555”


ศ.ดร.พิเชษฐ์ กล่าวต่ออีกว่า สำหรับเป้าหมายการเติบโตในปีนี้นั้น ทางบริษัทฯ ได้มีการปรับเป้าหมายการเติบโตของผลประกอบการปีนี้ ให้มีการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาไม่ต่ำกว่า 40% จากเดิมที่วางเป้าหมายการเติบโตไว้ 10-15% เท่านั้น


ซึ่งการปรับเป้าหมายการเติบโตในครั้งนี้ เนื่องจากบริษัทฯ มีการปรับโครงสร้างองค์กรและการดำเนินงานภายใน ส่งผลให้เกิดการบริหารรายได้และกำไรที่มีประสิทธิ ภาพมากยิ่งขึ้น รวมทั้งมีรายได้จากการขายเพิ่มขึ้นจากผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ เป็นที่ยอมรับด้านคุณภาพอย่างแพร่หลาย รวมถึงทางบริษัทฯ ยังมีการรุกตลาดในประเทศ ด้วยการจัดกิจกรรมส่งเสริมการตลาด เพื่อขยายช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุมผู้บริโภคทั่วไปมากขึ้น พร้อมกับการขยายการจำหน่ายที่กว้างขึ้นในกลุ่มประเทศอาเชียน และเตรียมขยายเข้าไปจำหน่ายในกลุ่มประเทศเขตเศรษฐกิจยุโรปอีกด้วย


ศ.ดร.พิเชษฐ์ เสริมต่ออีกว่า บริษัทฯ ได้เตรียมที่จะลงนามในสัญญาซื้อขายกับบริษัท PharmaGIC ในประเทศอิตาลี เพื่อเป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ในประเทศเขตเศรษฐกิจยุโรป หลังจากในช่วงก่อนหน้านี้ได้มีการทำข้อตกลงเพื่อการทดสอบผลการใช้ผลิตภัณฑ์ร่วมกันไปแล้ว เบื้องต้นประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์ Arthrinox สำหรับผู้มีปัญหาข้อเสื่อม/อักเสบ Diabenox สำหรับผู้มีปัญหาโรคเบาหวาน และผลิตภัณฑ์น้ำมังคุด BIM เพื่อช่วยปรับระดับภูมิคุ้มกันให้สมดุล โดยคาดว่าจะเริ่มรับรู้รายได้จากการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวภายในไตรมาส 4 ปีนี้ ขณะเดียวกัน บริษัทฯ จะเร่งการกระจายผลิตภัณฑ์สุขภาพเข้าสู่สิงคโปร์ มาเลเซีย และ อินโดนีเซีย ในลำดับต่อไป


“หลังจากที่บริษัทฯ ได้ทำการปรับโครงสร้างองค์กรและการดำเนินงานภายใน โดยรับโอนกิจการของบริษัทย่อยทุกบริษัทให้มาอยู่ภายใต้การดำเนินงานของ APCO แล้ว จะทำให้ระบบการบริหารจัดการขององค์กรมีประสิทธิภาพมากขึ้น ประกอบกับในช่วงครึ่งปีหลังบริษัทฯ มีแผนการดำเนินธุรกิจเพื่อกระตุ้นยอดขาย ด้วยการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ด้านสุขภาพ การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายในประเทศให้มีความหลากหลาย อาทิ การเพิ่มรายการโทรทัศน์เพื่อประชา สัมพันธ์ผลิตภัณฑ์ ผ่านทางโทรศัพท์ในระบบ Tele-Marketing ซึ่งเริ่มดำเนินการแล้วตั้งแต่เดือน ส.ค. การขยายช่องทางในห้างสรรพสินค้าผ่าน “Gold Shape Station” ในช่วงไตรมาส 4 ของปีนี้” 


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

ข่าวทีวี ไดเร็ค (TV Direct) : ทีวี ไดเร็ค ปรับกลยุทธ์หลังกำลังซื้อหด เข็นสินค้าใหม่สู้ศึกเจาะกลุ่มตลาดสตรี







นางสาวละออศรี มัทธุรนนท์ (Mobile)

 


ทีวี ไดเร็ค ครึ่งปีแรกยอดขายต่ำกว่าเป้า หลังพบกำลังซื้อผู้บริโภคหดตัว โดยเฉพาะต่างจังหวัด ประกาศเดินหน้าปรับกลยุทธ์ ส่งสินค้ากลุ่มเฮลท์แอนด์บิวตี้ช่วยดันยอดปลายปี...ล่าสุดเข็นสินค้าชุดชั้นใน จินี่บรา จากสหรัฐรุกตลาดเมืองไทย จับกลุ่มลูกค้าระดับไฮเอนด์ พร้อมดึง แก้ม-กวินตรารับหน้าที่แบรนด์แอมบาสเดอร์ สร้างการรับรู้ ตั้งเป้าสิ้นปี มีส่วนแบ่งตลาดชุดชั้นในระดับบน 3.5% ก่อนขยับเพิ่มเป็น 10% ในอีก 3 ปีข้างหน้า


เป็นอีกหนึ่งบริษัทที่ออกมายอมรับว่า ในช่วงนี้กำลังซื้อของผู้บริโภคค่อนข้างที่จะถดถอยลง โดยเฉพาะลูกค้าหลักที่อยู่ต่างจังหวัดนั่นก็คือ บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) เห็นได้จากภาพรวมในช่วงครึ่งปีแรกของค่ายนี้เรียกว่าต่ำกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เลยทีเดียว ซึ่งจากเดิมที่คาดว่าจะโต 20% แต่ทำได้เพียง 10% เท่านั้น


ด้วยเหตุนี้เอง ส่งผลให้ในช่วงครึ่งปีหลังปีนี้ ทางด้าน ทีวี ไดเร็ค จึงได้มีการหันมามุ่งเน้นในเรื่องของการใช้กลยุทธ์นำเสนอสินค้าใหม่มากขึ้น โดยเฉพาะกลุ่มเฮลท์แอนด์บิวตี้สำหรับผู้หญิง ที่จะเป็นการนำเอาสินค้าใหม่เข้ามาอีก 2-3 รายการในช่วง 4 เดือนสุดท้ายปีนี้


โดยล่าสุด ทีวี ไดเร็ค ก็ได้ส่งสินค้าตัวใหม่แบรนด์อเมริกาเป็นชุดชั้นใน จินี่บรา เข้ามากระตุ้นยอดขายในช่วงครึ่งปีหลัง โดยเป็นการจับกลุ่มระดับไฮเอนด์ ซึ่งทางด้าน นางสาวละออศรี มัทธุรนนท์ ประธานเจ้าหน้าที่การตลาด บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) หรือ TVD ได้เผยถึงการนำเข้าชุดชั้นใน จินี่บรา จากสหรัฐอเมริการในครั้งนี้ว่า จากแนวโน้มตลาดชุดชั้นในของไทยที่มีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าชุดชั้นในระดับบน ซึ่งเป็นตลาดใหญ่ที่มีการเติบโตเฉลี่ย 5-10% หรือคิดเป็นมูลค่าตลาดมากกว่า 12,000 ล้านบาท โดยจากตลาดรวมชุดชั้นในทั้งหมดมูลค่า 20,000 ล้านบาท ทำให้บริษัทฯ ให้ความสนใจรุกทำตลาดกลุ่มนี้ โดยล่าสุด ได้นำเข้าชุดชั้นในจากสหรัฐอเมริกาภายใต้แบรนด์ จีนี่ บรา (Genie Bra) ซึ่งเป็นแบรนด์ชุดชั้นในที่ทำยอดขายเป็นอันดับ 1 ในประเทศอเมริกา เข้ามาทำตลาดในประเทศไทย


โดยการนำชุดชั้นใน จีนี่ บรา เข้ามาทำตลาดของทีวีไดเร็ค ครั้งนี้ จะมีทั้งชุดชั้นในและกางเกงในที่เข้าชุดกันหลากหลายรุ่น และรองรับหน้าอกได้ทุกขนาด วางจำหน่ายในราคา 1,990 บาท ผ่านช่องทางการจำหน่ายในห้างสรรพสินค้า, TV Direct Showcase และคอลล์เซ็นเตอร์ เพื่อจับกลุ่มลูกค้าที่เลือกซื้อชุดชั้นในระดับบนหรือกลุ่มลูกค้า B+


นางสาวละออศรี เผยอีกว่า ปัจจุบันนี้ ตลาดชุดชั้นในระดับบนยังมีช่องว่างให้ทีวีไดเร็คทำตลาดอีกมาก ด้วยเหตุนี้เอง ทางบริษัทฯ จึงนำเข้าแบรนด์ จีนี่ บรา ซึ่งเป็นชุดชั้นในที่สวมใส่สบาย ได้รับความนิยมจากทั่วโลก และทำยอดขายได้มากกว่า 55 ล้านชิ้น แบ่งเป็นประเทศอเมริกา ทำยอดขายได้มากกว่า 43 ล้านชิ้นต่อปี และยังได้รับการยอมรับจากอีกหลายประเทศ ทั้งอังกฤษ เยอรมัน ฝรั่งเศส ออสเตรเลีย เม็กซิโก ญี่ปุ่นและแคนาดา ที่ทำยอดขายรวมกันมากกว่า 12 ล้านชิ้น


หลังจากที่บริษัทฯ นำเข้ามาทำตลาดในช่วง 6 เดือนแรกพบว่า ได้รับการตอบรับที่ดีจากลูกค้า สามารถทำยอดขายได้ถึง 300,000 ชิ้น และในอนาคตทีวีไดเร็คมีแผนที่จะนำเข้าสินค้าชุดชั้นในใหม่ ๆ เพิ่มเติมอีกด้วย


ที่สำคัญ ในการบุกตลาดชุดชั้นในของ จินี่บรา ในครั้งนี้ ที่ประเทศไทย ทางทีวี ไดเร็ค ยัง ได้มีการสร้างการรับรู้ถึงจุดเด่นของชุดชั้นใน จีนี่ บรา ผ่านสื่อโทรทัศน์ สื่อสิ่งพิมพ์ คอลล์เซ็นเตอร์ และโซเชียล เน็ตเวิร์ค พร้อมดึง แก้ม-กวินตรา โพธิจักร มิสไทยแลนด์ยูนิเวอร์ส 2008 และเป็นนักแสดงของสถานีโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 7 มาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์ให้กับชุดชั้นใน จีนี่ บรา อีกด้วย พร้อมกับตั้งเป้าสิ้นปี มีรายได้กว่า 400 ล้านบาท มีส่วนแบ่งตลาดชุดชั้นในระดับบน 3.5% ก่อนขยับเพิ่มเป็น 10% ในอีก 3 ปีข้างหน้า จากปัจจุบันตลาดชุดชั้นในระดับบนมีมูลค่าราว 12,000 ล้านบาท


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

วันจันทร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2556

เปิดใจผู้บริหารสนุกเน็ตเวิร์ค ชี้แจงผ่านสื่อ ผมไม่ใช่มันนี่เกม







nnn (Mobile)


นายนวชรินทร์ ทองขาว ประธานกรรมการบริหาร บริษัท สนุก เน็ตเวิร์ค ออนไลน์ จำกัด เผยถึงกระแสข่าวในเรื่องของแชร์ซิมเติมเงินมือถือที่เป็นข้อกังขาอยู่ในขณะนี้ รวมถึงแนวทางในการดำเนินธุรกิจเติมเงินออนไลน์ของ สนุกท็อปอัพ ผ่านสื่อ ตลาดวิเคราะห์ ว่า ในการดำเนินธุรกิจของ สนุกท็อปอัพ ตั้งแต่เริ่มต้นดำเนินธุรกิจมา ทางบริษัทฯ ได้มีการแบ่งแยกธุรกิจบริการที่เป็นในส่วนของการเติมเงินกับธุรกิจที่เป็นขายตรงออกมาอย่างชัดเจน ซึ่งขอยืนยันว่า สนุกท็อปอัพ ไม่ได้มีพฤติกรรมที่เรียกว่าเป็นมันนี่เกมอย่างแน่นอน โดยธุรกิจเติมเงินของบริษัทฯ ถือเป็นธุรกิจบริการอย่างชัดเจน ไม่มีการให้คนมาลงทุนด้วยเงินที่มากมาย


ต้องบอกว่า ในช่วงที่ผ่านมา การลงทุนของเราในเรื่องของซอฟแวร์ มีการลงทุนเป็นหลักล้าน โดยไม่คิดที่จะเข้ามาแล้วจับเสือมือเปล่าอย่างแน่นอน ที่สำคัญ คนที่จะเข้ามาร่วมธุรกิจกับบริษัทนั้น มีค่าสมัครเปิดใช้งานระบบเพียง 650 บาทเท่านั้น โดยสามารถใช้ระบบได้ตลอดชีพ นอกจากนี้ ก็จะค่าสมัครเปิดใช้ระบบ 1,200 บาท โดยจะมีรายได้ 5 ช่องทาง คือ1.กำไรส่วนลดการเติมเงิน 2. โบนัสขยายแฟรนไชส์ 3. โบนัสบริหารแฟรนไชส์ 4. โบนัสลิขสิทธิ์ และ 5. โบนัสเครือข่ายเติมเงิน


นายนวชรินทร์ กล่าวอีกว่า การที่บริษัทฯ ได้ยื่นหนังสือเพื่อประกอบธุรกิจขายตรงในนาม สนุก เน็ตเวิร์ค ออนไลน์ นั้น ไม่ได้หมายความว่าทางเราจะเอาธุรกิจบริการในนาม สนุกท็อปอัพ มาเป็นบริษัทขายตรงแต่อย่างใด เนื่องจากเราเองก็รู้ว่าทำไมได้ เพราะถือว่าผิดกฎหมาย


ที่ผ่านมา บริษัทฯ ใช้เวลาในการเตรียมการและศึกษาธุรกิจมาพอสมควร เห็นได้จากการทำธุรกิจที่มีการแบ่ง 2 ธุรกิจโดยชัดเจน โดยทางบริษัทฯ ได้ใช้ชื่อ สนุกท็อปอัพ เป็นธุรกิจบริการที่เป็นธุรกิจแฟรนไชส์เติมเงินออนไลน์ ส่วนในนาม สนุก เน็ตเวิร์ค ออนไลน์ เป็นชื่อที่ประกอบธุรกิจขายตรง โดยวันนี้สิ่งที่บริษัทฯ เป็นห่วงมากที่สุด คือ ในเรื่องของธุรกิจเติมเงินมากกว่าไม่ใช่ในเรื่องของธุรกิจขายตรง เพราะกลัวผู้บริโภคจะเกิดความเข้าใจผิดนั่นเอง


ผู้บริหารค่าย สนุก เน็ตเวิร์ค เสริมอีกว่า การประกอบธุรกิจในวันนี้ใช่ว่าจะมีดีทั้งหมด หรือเลวทั้งหมด ซึ่งวันนี้ทุก ๆ ฝ่ายจะต้องมีการส่งเสริมธุรกิจที่ดี ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน โดยปัจจุบันนี้ ธุรกิจเติมเงินในลักษณะนี้มีอยู่ประมาณ 20 กว่าบริษัทด้วยกัน ที่สำคัญ ยังพบอีกว่า เริ่มมีบริษัทขายตรงบางราย ที่ได้เริ่มเขียนซอฟแวร์ให้กับบริษัทเติมเงินในหลาย ๆ ค่ายบ้างแล้ว


ธุรกิจที่เป็นมันนี่เกมในวันนี้นั้น อยากที่จะให้ทุกคนตั้งข้อสังเกตเลยว่า หากเป็นในลักษณะของการที่บอกว่า คุณไม่ต้องทำอะไร ลงทุนเท่านี้ แล้วมารับเงินปันผล ฟันธงได้เลยว่า เป็นธุรกิจมันนี่เกม 100% แน่นอน โดยธุรกิจบริการเติมเงินของเรานั้น ทางบริษัทฯ เอง จะมีการบอกทุกคนเสมอว่า ห้ามไประดมทุนเด็ดขาด หรือมีการชวนคนมาลงทุน 20-30 รหัส ทางบริษัทฯ จะไม่เอาอย่างเด็ดขาด ซึ่งวันนี้ ธุรกิจเติมเงินของเรา ทำไมถึงต้องมีส่วนลด มีการเปิดหน้าร้าน เนื่องจากบริษัทฯ ต้องการที่จะให้เกิดการสร้างงาน สร้างอาชีพขึ้น ส่วนธุรกิจที่เป็นมันนี่เกมนั้น คงจะไม่ทำในลักษณะนี้อย่างแน่นอน โดยเราขอยืนยันว่าธุรกิจ สนุกท็อปอัพ ไม่ใช่ MLM แต่เป็นธุรกิจแฟรนไชน์


ท้ายสุดนี้ นายนวชรินทร์ ยังได้ฝากถึงผู้บริโภคที่ต้องการจะเข้ามาร่วมธุรกิจบริการในลักษณะนี้ว่า ขอให้ทุกคนแยกให้ออกในเรื่องของการทำธุรกิจ รวมถึงควรที่จะต้องศึกษาหาความรู้ในธุรกิจที่จะเข้ามาทำอย่างรอบคอบ ในขณะเดียวกัน ทางภาครัฐเอง ก็ต้องให้ความรู้กับประชาชนด้วย ว่าธุรกิจที่ถูกต้องจะต้องเป็นอย่างไร และหากธุรกิจไหนที่เป็นธุรกิจที่ดี น่าส่งเสริม ทางภาครัฐก็ควรให้การสนับสนุนด้วย





Credit By : http://www.taladvikrao.com/