ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันอังคารที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ข่าวเเอมเวย์ (Amway Thailand) : แอมเวย์แต่งตั้ง เลไล โสฬสรัตนพร นั่ง ผู้อำนวยการอาวุโสปฏิบัติการ







Capture (Mobile)


บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด จัดทัพผู้บริหารระดับสูง ประกาศแต่งตั้ง นางเลไล โสฬสรัตนพร เข้าดำรงตำแหน่ง ผู้อำนวยการอาวุโสปฏิบัติการ มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบการบริหารจัดการงานด้านปฏิบัติการทั้งหมดภายในบริษัท ได้แก่ ฝ่ายการเงิน ฝ่ายจัดจำหน่าย และฝ่ายระบบข้อมูล โดยรายงานตรงต่อกรรมการผู้จัดการ ซึ่งการแต่งตั้งในครั้งนี้นับเป็นการเสริมทีมด้านการบริหารงานของแอมเวย์ให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้น


นางเลไลร่วมงานกับบริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ตั้งแต่เดือนเมษายน 2530 ในตำแหน่งสมุห์บัญชี จากนั้นดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการฝ่ายการเงินในปี 2537 ตลอดระยะเวลา 26 ปีที่ร่วมงานกับแอมเวย์ นางเลไลได้นำความรู้ความสามารถและความเชี่ยวชาญเฉพาะทางมาพัฒนาดูแลงานที่ได้รับมอบหมาย ไม่ว่าจะเป็นการรับผิดชอบส่วนงานบัญชีและการเงิน การควบคุมสินค้าคงคลัง การจัดซื้อภายในประเทศ การบริหารงานด้านภาษีและกฎหมาย การจ่ายผลตอบแทนแก่นักธุรกิจแอมเวย์ การปรับปรุงประสิทธิภาพการทำงานของบริษัทโดยรวม รวมทั้งการจัดทำกลยุทธ์และแผนงานระยะสั้นและระยะยาวของบริษัทซึ่งทำให้บริษัทสามารถขับเคลื่อนองค์กรได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด ดังนั้นการเลื่อนตำแหน่งในครั้งนี้ถือเป็นเครื่องพิสูจน์ความสามารถในการปฏิบัติงานอย่างมีศักยภาพและทุ่มเทเพื่อเตรียมความพร้อมในการรองรับการขยายตัวทางธุรกิจในประเทศ


นาง เลไลจบการศึกษาระดับปริญญาตรี สาขาการบัญชี จากคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และได้รับใบอนุญาตเป็นผู้สอบบัญชีรับอนุญาตหลังจากจบการศึกษา นางเลไลได้เข้าร่วมงานกับบริษัท เอสจีวี ณ ถลาง จำกัด ในตำแหน่งผู้สอบบัญชี ก่อนที่จะมาร่วมงานกับบริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เป็นระยะเวลากว่า 26 ปี จนถึงปัจจุบัน






ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.Leader Time ฉบับที่ 227 ประจำวันที่ 16-31 กรกฎาคม 2556


ข่าวดีเน็ทเวิร์ค (D Network Worldwide) : สูตรสำเร็จ นักธุรกิจเงินล้าน ภรัณธรณ์ เชื้อสีห์รดี ตำเเหน่ง Blue Diamond บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด







IMG_0366 (Mobile)


ชีวิตของผู้หญิงแกร่งและเก่งนาม ภรัณธรณ์ เชื้อสีห์รดี ที่โลดเล่นบนเส้นทางเครือข่ายกว่า 10 ปี เปรียบได้กับเมล็ดพันธุ์พืชที่ใช้ระยะเวลาในการสั่งสมประสบการณ์ เพื่อค้นหาผืนดินที่เหมาะสมกับตัวเอง จนกระทั่งเธอพบกับ บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด ซึ่งถือเป็นแผ่นดินที่เหมาะแก่การเพาะเมล็ดพันธุ์เมล็ดตัวแทนคุณภาพให้เจริญเติบโต เมื่อเจอบริษัทที่พร้อม แผนการตลาดดี บวกกับความมุ่งมั่น ตั้งใจในการทำงานจึงส่งผลให้ ภรัณธรณ์ สามารถพิชิตตำแหน่ง Blue Diamond รับรายได้กว่า 7 หลัก ด้วยความภาคภูมิใจ


การก้าวสู่เส้นทางเครือข่ายของ ภรัณธรณ์ คงไม่แตกต่างจากใครหลายคนที่เคยล้มเหลวจากธุรกิจนี้มาก่อน แต่ด้วยจิตใจที่กล้าแกร่ง และมีทัศนคติในด้านบวก ทำให้เธอต้องผลักดันตัวเองอีกครั้ง และเมื่อมองเห็นโอกาสที่ดี กับหลักสูตรที่ชื่อว่า NDS ซึ่งเป็นหลักสูตรแรกที่ ดี เน็ทเวิร์ค มอบให้ สิ่งที่เธอได้รับกลับคืนมามันคือความคุ้มค่า ด้วยประสบการณ์ที่เคยผ่านธุรกิจขายตรงมาทำให้เธอรู้ว่า ถ้าต้องการประสบความสำเร็จเราต้องมีความเชื่อมั่นและศรัทธาในตัวเองรวมถึงเชื่อมั่นในบริษัทด้วย


ตัดสินใจเข้าสู่ธุรกิจ ดี เน็ทเวิร์ค เพราะมีความเชื่อมั่นและมีความศรัทธาในแนวคิดที่ทำได้จริงของท่านประธาน อ.สาคร ใสกมล เนื่องจากเคยเป็นทีมงานของท่านมาก่อน 7 ปีแรก ในการทำธุรกิจเครือข่าย ทุกอย่างที่ท่านเคยพูดและเคยวางโปรเจ็กต์ไว้ ท่านสามารถทำได้ตามคำพูดทุกอย่าง และท่านก่อตั้ง ดี เน็ทเวิร์ค ด้วยแนวคิดที่ว่าต้องการสร้างเครือข่ายน้ำดีขึ้นมาในประเทศไทย เพราะว่าเป็นยุคที่มีการเปลี่ยนแปลงพอดีระหว่างจากเครือข่ายยุคเก่ามาเป็นเครือข่ายยุคปัจจุบันที่เป็นเมกะแมพ หากแนวคิดนี้ถูกปฏิบัติโดยมือเราแล้วถูกคิดโดยท่านประธน คิดว่ามันเกิดขึ้นจริงเลยตัดสินใจตั้งแต่บริษัทเริ่มก่อตั้งขึ้น เรียกได้ว่าเป็นรุ่นบุกเบิกก็ว่าได้ หลายคนมองว่าทำเครือข่ายถ้าทำในยุคบุกเบิกถือว่าเหนื่อย แต่สำหรับดิฉันมองว่าถ้าเหนื่อยแบบม้วนเดียวจบก็ถือว่าคุ้ม


นักธุรกิจสาวยังได้แสดงทรรศนะว่า การสร้างบ้านเปรียบเหมือนผลลัพธ์ของความสำเร็จ ซึ่งสำคัญ 2 ส่วน คือ สถาปนิกและผู้ก่อสร้างบ้านทั้งหมด ผู้ที่เป็นสถาปนิกถ้าหากออกแบบผิด คำนวณบางอย่างผิดต่อให้ผู้สร้างดีแค่ไหน บ้านและตึกทั้งหมดก็พังลงมาได้เพราะการคำนวณผิด ฉะนั้นมองว่าความสำเร็จ การตัดสินใจ และการทำอย่างต่อเนื่อง ในการออกไปลุยภาคสนามถ้าเราให้วิธีการแล้วเราอาจจะทำให้ดูแค่ประมาณ 3-5 ครั้ง ในธุรกิจเครือข่ายถ้าเราต้องอุ้มชูเค้าตลอดเวลาคือปล่อยเดินเองไม่ได้เลยถือว่ากำลังทำลายเค้า แต่ธุรกิจนี้สิ่งที่มอบให้เค้าคือ ความคิด ละให้มองปัญหาเป็นโอกาสเสมอ สิ่งนี้คือสิ่งที่เรารับจากท่านประธานกับผู้ก่อตั้งก็คือการมอบความคิดที่ถูกต้องให้เรา ถ้ามอบความคิดที่ถูกต้องให้เราความสำเร็จของเราจะเป็นทรงที่สวยงามพอดี ที่เหลือคือเราลงมือทำมันเป็นความภาคภูมิใจที่เราได้ทำเอง


ภรัณธรณ์ ยังเผยถึงแนวคิดที่จะร่วมงานกับบริษัทเพราะเธอมองว่าวันนี้ก็เป็นเหมือนเจ้าของ ดี เน็ท เวิร์ค ในตัวอยู่แล้วโดยจะทำในเรื่องพัฒนาองค์กรและพัฒนาแนวคิดของคนที่เข้ามาทำธุรกิจเครือข่ายเพื่อให้เป็นที่ยอมรับในลักษณะการเป็นมืออาชีพที่ได้รับการยอมรับสูง โดยเฉพาะในธุรกิจ ดี เน็ท เวิร์ค ที่ตั้งใจจะเป็นแบบอย่างที่ดีให้กับองค์กรและคนที่เข้ามาประสบความสำเร็จเช่นเดียวกัน ถ้าหาก ดี เน็ทเวิร์ค ยังเป็นศูนย์พัฒนาบุคลากรอยู่อย่างทุกวันนี้ เธอมองว่าขอเป็นบริษัทน้ำดีสัญชาติไทยบริษัทแรกที่มีศูนย์พัฒนาบุคลากรอย่างชัดเจน


ความภาคภูมิใจที่ ดี เน็ทเวิร์ค มอบให้ คือ ตั้งแต่เมทำ 15 วัน แรกก็มีรายได้หลักแสนเพราะเรามีองค์กรเข้ามาด้วย ทำให้ปีแรกมีรายได้ 4 แสนบาท และสามารถพิชิตรถ Mercedes Benz E250 มูลค่า 5 ล้าน บาท เป็นคนแรกของบริษัท ส่วนปีที่ 3 สามารถ ทำรายได้ก้าวกระโดมาเป็น 1.4 ล้านบาท รายได้ทั้งหมดนับเป็นต่อเดือนไม่ได้เป็นรายได้สะสม และปีที่ 3 นี่เองได้ตัดสินใจสร้างความสำเร็จสร้างแรงบันดาลใจด้วยการถอยรถ Ferrari F430 ป้ายแดงอีกหนึ่งคัน อีกหนึ่งความพิเศษสุดคือ การได้ท่องเที่ยวต่างประเทศ ทั้ง ฮ่องกง มาเก๊า กัวลาลัมเปอร์ ออสเตรเลีย แคนาดา อลาสก้า ส่วนเป้าหมายต่อไปคือการพิชิตรายได้ 14 ล้านบาท


ถ้าใครคิดว่าตัวเองไม่เก่ง ไม่ชอบคุยกับคนแต่อยากประสบความสำเร็จอยากให้ท่านลองพาตัวเองเข้ามาทที ดี เน็ทเวิร์ค สักครั้งนึงมาดูหลักสูตรที่ชื่อว่า NDS อยากฝากหลักสูตรนี้ให้กับคนใหม่ของวงการเครือข่าย ส่วนผู้นำที่เคยทำธุรกิจเครือข่ายอยู่ ไม่ว่าท่านจะจัดอยู่ในกลุ่มคนที่กำลังประสบความสำเร็จหรือกำลังเป็นบุคคลที่กำลังเลือกมอองหาธุรกิจเครือข่ายอยู่หรือคนที่ที่ช้ำจากธุรกิจเครือข่ายใครก็ตามไม่อยากเอาประสบการณ์ในอดีตมาหยุดความสำเร็จที่เกิดขึ้นในอนาคต อยากให้ท่านลองมารู้จัก ดี เน็ทเวิร์ค จากคนที่เค้าประสบความสำเร็จจริงๆ เชื่อว่าถ้าหากท่านเข้ามาสัมผัสจริงๆ จะรู้ดีว่า ดี เน็ทเวิร์ค คือ ธุรกิจที่ทุกท่านค้นหาจริงๆ





Credit By : Business Magazine V.13 NO.156 July 2013

ข่าวโมสท์ เวลล์ (Most Well International) : Xclusive Interview สรณัฏฐ์ สาระสมบัติ รองประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท โมสท์ เวลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด







gmb21.9.55 (Mobile)


บริษัท โมสท์ เวลล์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ถือเป็นบริษัทขายตรงน้องใหม่ที่มาแรงอีกค่ายหนึ่งในอุตสาหกรรมขายตรงเมืองไทย เพราะด้วยความพร้อมหลายๆด้าน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการมีโรงงานผลิตสินค้าที่ได้มาตรฐาน มีทีมวิจัยและพัฒนาสินค้าระดับแถวหน้าของประเทศ ทำให้สามารถผลิตสินค้าออกมาให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้ บวกกับประสบการณ์ในการผลิตสินค้าป้อนขายตรงมายาวนานผสานกับแผนการจ่ายผลตอบแทนที่ทันสมัย จึงทำให้ โมสท์ เวลล์ฯ เป็นขายตรงน้องใหม่ที่น่าจับตาอย่างมากในตอนนี้


อะไรคือปัจจัยที่ทำให้ผันตัวเองออกจากผู้ผลิตมาทำตลาดเอง


นโยบายของเรา คือต้องการกระจายสินค้าที่ดี และมีคุณภาพออกไปสู่ผู้บริโภคให้มากที่สุด แม้เดิมทีเราจะเป็นผู้ผลิตสินค้าป้อนให้กลับบริษัทขายตรงหลายค่ายก็ตาม รวมถึงต้องการจะกระจายรายได้ผ่านทางแผนการจ่ายผลตอบแทนออกไปสู่ประชาชนทั่วไปในการเข้ามาเป็นสมาชิกของบริษัท ซึ่งปัจจุบันสินค้าที่เราผลิตโดยเฉพาะน้ำคาวพลูหรือคาวตองเป็นที่ต้องการของตลาด ดังนั้น จึงมองว่าน่าจะขยายตลาดสินค้าดังกล่าวออกไปให้ได้มากที่สุดที่โดยไม่กับฐานลูกค้าเดิมของเรา


ทั้งนี้ ความแตกต่างระหว่างการเป็นผู้ผลิต และการทำตลาดเองต้องยอมรับว่ามีความยากง่ายต่างกัน โดยเฉพาะการมาทำตลาดเองสิ่งที่เปลี่ยนไป คือ เราต้องดูแลสมาชิก ซึ่งแต่ละคนก็มีความต้องการที่ต่างกัน ต่างจากการเป็นผู้ผลิต ที่เราไม่ต้องมาดูแลส่วนนี้เลย มีหน้าที่ ผลิตก็ผลิตไป


มองตลาดรวมธุรกิจขายตรงเป็นอย่างไร


ภาพรวมของอุตสาหกรรมขายตรงในไทยเชื่อว่าจะยังคงเติบโตต่อเนื่อง เนื่องจากพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคเริ่มเปลี่ยนไป โดยเฉพาะการซื้อสินค้าและมีรายได้กลับคืน ทำให้ผู้บริโภคหันมาทำธุรกิจขายตรงกันมากขึ้น รวมถึงการที่ผู้บริโภคเริ่มหันมาใส่ใจเรื่องของสุขภาพมากขึ้น รวมถึงการที่ผู้บริโภคเริ่มหันมาใส่ใจในเรื่องของสุขภาพมากขึ้น ทำให้ภาพรวมของธุรกิจขายตรงขยายตัวเพิ่มขึ้น นอกจากตลาดในไทยแล้ว บริษัทยังมองไปตลาดเพื่อนบ้านด้วย ซึ่งขณะนี้ได้คุยกับผู้นำสายต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมในการจะขยายตลาดออกไปสู่ประเทศแถบเพื่อนบ้านรองรับการ เปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558


จุดแข็งของโมสท์ เวลล์ฯ คืออะไร


จุดแข็งของเราคือเรื่องของคุณภาพสินค้าซึ่งบริษัทมีการค้นคว้าวิจัย และพัฒนาสินค้าอยู่ตลอดเวลา โดยมีทีมนักวิจัยที่มีชื่อเสียงจากมหาวิทยาลัยต่างๆ เข้ามาเป็นที่ปรึกษาเกี่ยวกับการพัฒนาสินค้า ซึ่งนโยบายของบริษัท คือ ต้องการผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ เพราะเมื่อไปถึงมือผู้บริโภคแล้ว ต้องเห็นผลชัดเจน นอกจากนี้การที่บริษัทมีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพและมาตรฐานการผลิตได้ ดังนั้น จึงมั่นใจได้ว่าสินค้าที่ออกจากโรงงานของเราไปเป็นสินค้าที่ดี ได้มาตรฐานที่ทุกคนให้การยอมรับ


วางกลยุทธ์รุกตลาดในครึ่งปีหลังอย่างไร


แผนการกระตุ้นตลาดในครึ่งปีหลังเราจะเน้นการจัดโปรโมชั่นพิเศษ และการเปิดตัวสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาด เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขายในครึ่งปีหลัง ขณะเดียวกันเราจะเน้นการทำประชาสัมพันธ์ตามสื่อต่างๆ มากขึ้น หลังจากปีที่แล้วเราไม่ได้มีการโฆษณาและประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ เลย นอกจากนี้บริษัทยังให้ความสำคัญในการจัดหลักสูตรฝึกอบรม เพื่อต่อยอดความรู้ให้กับสมาชิกในการออกไปทำธุรกิจอย่างถูกต้อง ซึ่งนโยบายของเรา คือ เน้นการเติบโตแบบมั่นคง ด้วยการสร้างฐานตลาดผู้บริโภคเป็นหลัก ไม่เน้นการสร้างกระแส


ฐานตลาดหลักของ โมสท์ เวลล์ฯ อยู่ภาคไหนเป็นหลัก


ตามหลักของโมสท์ เวลล์ฯ อยู่ในต่างจังหวัดเป็นส่วนใหญ่ โดยปัจจุบันบริษัทมีสมาชิกทั้งหมด 6,000-7,000 รหัส แบ่งเป็นภาคใต้ 50-60 % รองลงมาเป็นภาคอีสาน 30 % และอีก 10-20 % เป็นภาคเหนือ ซึ่งแผนการรุกตลาดในปีนี้เรายังคงเน้นไปที่ภาคใต้และอีสานเป็นหลัก เนื่องจากทั้ง 2 ภาค มีแนวโน้มการเติบโตค่อนข้างสูง โดยเฉพาะสินค้าที่เกี่ยวกับสุขภาพ ซึ่งสินค้าของเราสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี


ตั้งเป้าหมายการเติบโตในปี 2556 ไว้อย่างไร


ปีนี้บริษัทตั้งเป้าการเติบโตให้สูงกว่าปีที่แล้ว ซึ่งดูจากแนวโน้มการเติบโตในช่วง 6 เดือนแรกของปีนี้ ถือว่าสูงกว่าปี 2555 ที่ผ่านมาถึงเท่าตัว ดังนั้น ในช่วง 6 เดือน ที่เหลือ เชื่อว่าอัตราการเติบโตน่าจะสูงถึง 100-200% ได้อย่างแน่นอน





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 227 ประจำวันที่ 16-31 กรกฎาคม 2556


ข่าวพรีมา ไลฟ์ ไทม์ (Prima Life Time) : พรีมา ไลฟ์ ไทม์ โชว์ 7 ขุนพลใหม่ ปรับแผนสู้ศึก MLM สิ้นปีทะลุ 350 ล.







P_jop_Team2013 (Mobile)


พรีมา ไลฟ์ ไทม์ เสริมทัพใหม่แน่นปึ้ก ดึง 7 ขุนพล กูรูขายตรงนั่งแท่นบริหาร สั่งปรับแผนการตลาดสู้ศึกขายตรงเดือด!!ตอกย้ำแบรนด์ MLM น้ำดีของไทย ด้าน สุรวัจน์ โปรย ยาหอม ประกาศความพร้อมแน่นทุกขุมกำลัง ลั่น สิ้นปีโกยยอด 350 ล้านบาท หลังเร่งขยายศูนย์เซ็นเตอร์ทั่วประเทศ


อาบพร รอดบุญ ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท พรีมา ไลฟ์ ไทม์ จำกัด กล่าวว่า บริษัทได้ทำการปรับโครงสร้างการบริหารใหม่ โดยได้แต่งตั้งทีมที่ปรึกษาใหม่จำนวน 7 คน เพื่อให้เข้ามาช่วยในการบริหารงาน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งก่อนหน้านี้ตนละทีมผู้บริหารชุดใหม่ได้เดินสายพบปะกับสมาชิกตามภาคต่างๆ เพื่อสร้างความมั่นใจให้กับสมาชิก


ก่อนหน้านี้มีแม่ทีมระดับบนออกไปอยู่ค่ายอื่น แล้วมาดึงสมาชิกระดับล่าง แต่ไม่มีใครตามไป มันเลยทำให้เราเข้าใจคำว่า อาชีพผู้นำ ซึ่งดูแล้วค่อนข้างน่าสมเพชมาก เพราะเราไม่เคยเจอว่าแบบนี้ก็มีด้วย แต่หลังจากที่เราได้ทีมที่ปรึกษาใหม่เข้ามาช่วยในการวางระบบการทำงาน และการจัดฝึกอบรมใหม่ ซึ่งถือว่าเป็นมืออาชีพมากๆ ทำให้ภาพของ พรีมา ไลฟ์ ไทม์ เริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่องโดยเฉพาะความมั่นใจของสมาชิกจากที่เคยหยุดไปก็เริ่มกลับเข้ามาขยายตลาดกันต่อ และทีมงานส่วนใหญ่เริ่มทำงานเป็นจากเดิมที่ต้องคอยให้ผู้นำระดับสูงลงไปช่วย


สำหรับการได้ทีมที่ปรึกษาทั้ง 7 คน เข้ามาช่วยงานในครั้งนี้นั้น อาบพร คาดหวังว่า ทีมผู้บริหารชุดนี้จะนำพาและช่วยยกระดับให้กับ พรีมา ไลฟ์ ไทม์ ก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับแถวหน้าของธุรกิจขายตรง เนื่องจากทีมผู้บริหารชุดนี้มีความเป็นมืออาชีพทั้งในด้านการทำงานและแนวคิด ซึ่งบทบาทหน้าที่หลังจากนี้ตนจะมุ่งเน้นไปทำงานในส่วนที่ถนัด เช่นการพัฒนาผลิตภัณฑ์ใหม่ให้ตรงกับความต้องการของตลาด ส่วนการบริหารงานภายในบริษัทจะปล่อยให้เป็นหน้าที่ของทีมที่ปรึกษาบริหารอย่างเต็มที่


เราได้ล้างไพ่ใหม่หมด โดยได้ปรับแผนการตลาดใหม่ภายใต้โครงสร้างแบบไบนารี่ทีมอ่อน-แข็ง ไม่มีระบบล้างรอบและโตข้างเดียวก็ได้ตังค์ ซึ่งแผนดังงกล่าวถือว่าเป็นแผนที่ดีที่สุดในขณะนี้ อย่างไรก็ตาม แม้เราจะมีการปรับแผนการตลาดใหม่เพื่อช่วยให้สมาชิกมีรายได้มั่นคงแล้ว แต่เรายังคงคอนเซปต์เดิมไว้ คือ การเน้นตลาดผู้บริโภคอย่างแท้จริง เพราะความตั้งใจของเราต้องการจะปูฐานตลาดผู้บริโภค ซึ่งปัจจุบันเรามีสมาชิกทั้งหมดมากกว่า 50,000 รหัส และมากกว่าครึ่งเป็นผู้บริโภค


สุรวัจน์ กรุสุทธิ์วริทธิ์ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท พรีมา ไลฟ์ ไทม์ จำกัด กล่าวว่า สาเหตุที่ตนและทีมผู้บริหารอีก 6 คน ตัดสินใจเลือกที่จะมาอยู่กับ พรีมา ไลฟ์ ไทม์ เนื่องจากมองว่า เป็นบริษัทที่มีความพร้อมทุกอย่างไม่ว่าจะเป็นบุคลากรทุกแผนก ภาพลักษณ์ที่ดี และมีผลิตภัณฑ์ที่ดีมีคุณภาพ ขณะเดียวกันสถานที่ตั้งของสำนักงานใหญ่ยังอยู่ใจกลางเมืองเดินทางสะดวก ที่สำคัญบริษัทมีโรงงานผลิตเป็นของตัวเอง ทำให้สามารถควบคุมคุณภาพของสินค้าให้ตรงกับความต้องการของตลาดได้ ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสินค้าที่มีคุณภาพมากกว่า 40-50 รายการ


ขณะเดียวกัน ก่อนหน้าที่ตน และทีมงานอีก 6 คนจะเข้ามานั่งบริหารให้กับ พรีมา ไลฟ์ ไทม์ ได้มีการศึกษาโครงสร้างภายในของพรีมา ฯ มาก่อนแล้ว ว่ามีอะไรที่ทำให้บริษัทไม่เติบโตเท่าที่ควร เช่น โครงสร้างแผนการจ่ายผลตอบแทน ที่ทำให้ไม่สามารถแข่งขันกับบริษัทอื่นได้ๆ ได้ เราจึงขอเสนอให้มีการปรับโครงสร้างการจ่ายผลตอบแทนใหม่ อาทิ จากค่าแนะนำที่จ่ายเพียง 3 ชั้น มาเป็น 7 ชั้น หรือแผนทีมอ่อนแข็ง-แข็ง ที่จ่ายสูงสุด 35,000 บาท/วัน หรือเดือนละ 1.5 ล้านบาทเป็นต้น


โจทย์ในการเข้ามาบริหารงานให้กับ พรีมาฯ คือเราทั้ง 7 คนไม่ได้เข้ามาเป็นเพียงแค่ผู้บริหาร แต่เราเข้ามาในฐานะผู้ถือหุ้นของพรีมา ฯ ด้วย ดังนั้นไม่ว่ากำไรหรือขาดทุน เราทั้งหมดก็ต้องรับผิดชอบร่วมกัน เพราะการที่เราเข้ามาเป็นแค่ผู้บริหารอย่างเดียวในอนาคตหากกเกิดปัญหากันอีก เราก็ต้องย้ายกันใหม่ ซึ่งเราไม่อยากไปเริ่มต้นใหม่ต้องการจะปักหลักที่นี่จริงๆ


สุรวัจน์ กล่าวอีกว่า นอกจากโจทย์เรื่องของยอดขายในปีนี้ที่ตั้งไว้ที่ 350 ล้านบาทแล้ว บริษัทยังต้องเร่งขยายศูนย์เซ็นเตอร์ให้ครอบคลุมทั่วทุกภาค รวมถึงระบบการจัดส่งสินค้าให้มีความรวดเร็ว และระบบฝึกอบรมให้กับสมาชิกที่จะช่วยในการขยายตลาด อย่างไรก็ตามส่วนตัวมีความเชื่อในในตัวบริษัท ทีมบริหาร และบุคลากรเกิน 100 % ด้วยความพร้อมที่กล่าวมาแล้ว เชื่อว่าจะนำพาบริษัทให้เติบโตเป็นบริษัทขายตรงที่ยิ่งใหญ่





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 227 ประจำวันที่ 16-31 กรกฎาคม 2556

วันจันทร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ข่าวออร์กาโน่ โกลด์ (Organo Gold ) : บริษัทแม่ OG ไฟเขียวบุกไทย สั่งรื้อทีมบริหารยกชุด







ds791_02


OG รื้อผังทีมบริหารใหม่ทั้งกระบิ ดึง ศุภชาติ นั่งกุมบังเหียนหลังบริษัทแม่ไฟเขียวบุกตลาดขายตรงในไทยเต็มพิกัด พร้อมได้ฤกษ์เปลี่ยนชื่อใหม่ จาก ออการ์โน่ โกลด์ (ประเทศไทย) เป็น ออการ์โน่ โกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) หวังสยบข่าวบริษัทแม่ถอนตัว


ศุภชาติ อังคสุวรรณศิริ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ออการ์โน่ โกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด หรือ OG เปิดเผยภายหลังเข้ามารับตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปว่า บริษัทแม่ของออการ์โน่ฯ ได้แต่งตั้งให้ตนเข้ามานั่งในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปแทนตำแหน่งที่ว่างลง พร้อมกับแต่งตั้ง อีลิค เข้ามาช่วยดูแลด้านฝ่ายสื่อสารองค์กร เนื่องจากออร์กาโน่ฯ เปป็นบริษัทขายตรงอินเตอร์มีผู้นำจากต่างประเทศเข้ามาขยายสายงานนเป็นจำนวนมาก


ทั้งนี้ การที่ตนเข้ามารับตำแหน่งในครั้งนี้ เพื่อมาช่วยดูแลการขยายตลาดในประเทศไทยเป็นหลัก และหลังจากที่ตนเข้ามารับตำเหน่งทำให้สถานการณ์ของออร์กาโน่ฯ ค่อนข้างดีขึ้นตามลำดับ หลังจากที่ก่อนหน้านี้เกิดความสับสนในหมู่สมาชิกว่าบริษัทแม่จะยังให้การสนับสนุนออร์กาโน่ฯในไทยต่อหรือไม่ ซึ่งขอยืนยันว่าบริษัทแม่ยังให้การสนับสนุนการขยายตลาดในไทยต่อไป โดยบริษัทแม่ได้อนุมัติให้มีการเปลี่ยนชื่อจากบริษัทใหม่จาก บริษัท ออร์กาโน่ โกลด์ (ประเทศไทย) จำกัด มาเป็น บริษัท ออร์กาโน่ โกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด ขึ้นตรงกับ บริษัท ออร์กาโน่ฯ ที่แคนาดา


ก่อนหน้านี้มีผู้นำจากต่างประเทศเข้ามาขยายสายงานในไทยทำให้การสื่อสารของออร์กาโน่ฯ ในไทยไม่ค่อยชัดเจน แต่หลังจากที่บริษัทแม่ได้ปรับโครงสร้างการบริหารใหม่ ซึ่งได้เชิญผมเข้ามานั่งเป็น GM ทุกอย่างเริ่มเข้าที่แล้ว โดยสิ่งแรกที่ผมจะทำ คือ การเพิ่มจำนวนสมาชิก และการจัดกิจกรรมทางการตลาดอย่างต่อเนื่อง เช่น การจัดฝึกอบรม และการสร้างผู้นำรุ่นใหม่ๆ ขี้นมา รวมไปถึงการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าเร็วขึ้น หรือภายใน 3 วันทำการ และการโอนค่าคอมมิชชั่นให้กับสมาชิกให้ตรงเวลา


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนหน้านี้ บริษัท ออร์กาโน่ฯได้แต่งตั้ง ภูเชษฐ์ เผดิมปราชญ์ มานั่งในตำแหน่งผู้จัดการทั่วไป บริษัท ออร์กาโน่ โกลด์ (ประเทศไทย) จำกัด อย่างเป็นทางการ ก่ออนที่จะดึง เดวิด เฟลป์ (David Phelps) มานั่งในตำแหน่งรองประธานฝ่ายพัฒนาธุรกิจของ ออร์กาโน่ โกลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล เพื่อมาช่วยในการขยายตลาดในไทย และต่างประเทศ แต่หลักจากนั้นไม่นานทั้ง 2 คน ก็ได้ประกาศลาออกในช่วงเดือนมิถุนายน 2556 ที่ผ่านมาโดยข่าววงในระบุว่าบริษัทแม่ออร์กาโน่ฯ ได้มีการปรับโครงสร้างบริหารภายใน ออร์กาโน่ฯ ประเทศไทย ใหม่ ก่อนที่จะดึง ศุภชาติ มานั่งในนตำแหน่งผู้จัดการทั่วไปแทน ภูเชษฐ์ ที่ลาออกไป





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 227 ประจำวันที่ 16-31 กรกฎาคม 2556

สรรพากร ไล่บี้ขายตรงโอเวอร์เคลมยอด







030289 (Mobile)


ขายตรงถือเป็นธุรกิจที่สร้างเม็ดเงินให้กับเจ้าของ ผู้ประกอบการและผู้จำหน่ายอิสระ หรือสมาชิกในแต่ละปีเป็นจำนวนเงินมหาศาล สร้างเงินหมุนเวียนในอุตสาหกรรมขายตรงปีละหลายหมื่นล้านบาทนอกจากธุรกิจขายตรงจะสร้างเม็ดเงินจำนวนมากแล้ว ที่สำคัญยังทำเงินง่ายและเร็วอีด้วย ซึ่งนั่นจึงเป็นเหตุผลที่ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ๆ กระโดดเข้ามาสู่ธุรกิจนี้กันอย่างต่อเนื่อง


การเติบโตในอุตสาหกรรมการขายขายตรงไทย ถือเป็นอุตสาหกรรมที่มีอัตราการเติบโตสูงกว่าอัตรามวลรวมของประเทศ (GPD) โดยในปี 255 ที่ผ่านมามูลค่าตลาดรวมของอุตสาหกรรมขายตรงไทยสูงถึง 7,800 ล้านบาทเติบโต 7% ขณะที่ GDP ของประเทศไทยเติบโตเพียงแค่ 4-5% เท่านั้น อย่างไรก็ตาม เสน่ห์ของธุรกิจขายตรง คือ ไม่อิงกับสภาวะทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ แม้ในยามที่เศรษฐกิจในประเทศเติบโตขายตรงก็ยังโต หรือแม้ในยามที่เศรษฐกิจภายในประเทศชะลอตัวธุรกิจขายตรงก็ยังโต


แม้ธุรกิจขายตรงจะมีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างสูงส่งผลให้ผู้ประกอบการขายตรง และนักธุรกิจที่มีรายได้กันเป็นกอบเป็นกำ แต่ก็มีผู้ประกอบการบางราย อาศัยช่องวางของกฎหมายส่งงบการเงินไม่ตรงกับความเป็นจริง


โดยมีผู้ประกอบการขายตรงบางรายประกาศผ่านสื่อมวลชนว่า ยอดขายสิ้นปีสูงในระดับหลักร้อยหลักพันล้าน แต่พอเข้าไปตรวจสอบงบที่ยื่นแจ้งไว้กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กลับห่างกันลิบลับกับยอดจริง อยู่แค่หลักสิบ หลักร้อยล้านเท่านั้น แถมยังกล้าออกมาประกาศว่าบริษัทของตัวเองจ่ายภาษีครบทุกบาท


จึงเกิดคำถามตามมาว่า แล้วบริษัทขายตรงเหล่านี้ ยอดขายจริงๆเท่าไร และจ่ายภาษีตรงหรือไม่


เพราะแทนที่ภาครัฐจะจัดเก็บภาษีได้แบบเต็มเม็ดเต็มหน่วย กลับต้องสูญเสียรายได้เข้ารัฐ เพื่อนำไปใช้พัฒนาประเทศ ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ กรมสรรพากร ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อเก็บข้อมูลต่างๆ ของบริษัทขายตรงในการส่งคืนภาษีให้กับภาครัฐ ซึ่งมีหลายบริษัทที่โดนสรรพากรเข้าไปเรียกตรวจสอบข้อมูลการส่งงบการเงินย้อนหลังไปแล้ว


หนึ่งในข้อมูลที่สรรพากรนำมาใช้เป็นหลักฐานในการตรวจสอบผู้ประกอบการที่ชอบเลี่ยงภาษี คือการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหารบริษัทขายตรงผ่านสื่อต่างๆ ดังนั้นผู้ประกอบการที่ออกมาให้ข่าวในลักษณะว่า ปิดยอดขายที่เท่านั้นเท่านี้สุดท้ายคำพูดที่โอเวอร์เคลมจะกลายมาเป็นดาบสองคมที่ย้อนกลับไปทำร้ายตนเอง ดังสุภาษิตที่ว่า ปลาหมอตายเพราะปาก


ก่อนหน้านี้ วณี ทัศนมณเฑียร ที่ปรึกษาด้านยุทธศาสตร์การจัดเก็บภาษี กรมสรรพากร ระบุว่า ขณะนี้ทางกรมฯ ได้ติดตามผู้ประกอบการที่มีรายได้เป็นจำนวนมาก เช่น กลุ่มสินค้าอุปโภค-บริโภค ทุกประเภท ที่กำลังเป็นที่นิยมซื้อขายบนโลกอินเทอร์เน็ตเฉพาะสินค้าประเภทเสื้อผ้า ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม และเครื่องสำอาง ส่วนใหญ่เป็นสินค้าแบรนด์เนมที่นำเข้าจากต่างประเทศ ยังรวมไปถึงสินค้าในกลุ่มธุรกิจขายตรงหรือธุรกิจเครือข่ายในการจัดเก็บภาษี


ด้าน ฐิตนันท์ สิงหา ผู้อำนวยการส่วนงานขายตรงและตลาดแบบตรง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ในฐานะหน่วยงานที่กำกับดูแลดูแลธุรกิจขายตรงโดยตรงให้ความเห็นเกี่ยวกับประเด็นการส่งงบการเงินของบริษัทขายตรงว่า การรายงานผลประกอบการของภาคเอกชนถือเป็นเรื่องที่จำเป็นอย่างยิ่ง เพราะจะได้ทราบว่าบริษัทเหล่านี้ยังคงดำเนินธุรกิจอยู่หรือไม่ ซึ่งอาจจะมีบางรายที่ไม่รายงานผลประกอบการ หรืออาจรายงานแต่ไม่ตรงกับยอดจริงก็อาจมีความเป็นไปไปได้ที่พันธมิตรอย่าง สรรพากร จะเข้าไปตรวจสอบเพื่อขอดูงบการเงินย้อนหลัง


ขณะที่ กิจธวัช ฤทธีราวี นายกสมาคมการขายตรงไทย (TDSA) บอกว่าการที่กรมสรรพากรเข้ามาตรวจสอบบริษัทขายตรงที่แจ้งยอดไม่ตรงกับความเป็นจริง ถือว่าเป็นสิ่งที่ถูกต้อง เพราะยังมีบางบริษัทที่ยังเลี่ยงการจ่ายภาษี ซึ่งในส่วนของบริษัทที่เป็นสมาชิกในสมาคมฯ ปฏิบัติตามกฎหมายทุกอย่างถูกต้องอยู่แล้ว


เช่นเดียวกับ นาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ นายกสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย (TDIA) ที่ให้มุมมองในกรณีผู้ประกอบการขายตรงที่ประกาศตัวเลขยอดขายเกินความจริงว่าการที่ผู้ประกอบการแจ้งตัวเลขยอดขายสูงเกินจริง เพื่อต้องการหวังจะสร้างความฮึกเหิมให้กับสมาชิก แต่ไม่ได้สร้างผลดีกับตัวบริษัทเลย เพราะการที่เจ้าของบริษัทประกาศยอดขายเยอะๆจะทำให้สรรพากรเข้าตรวจสอบได้ดังนั้น อยากได้ผู้ประกอบการอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริงไม่ควรโอเวอร์เคลมยอด





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 227 ประจำวันที่ 16-31 กรกฎาคม 2556

ข่าวซีสเซิล (Sisel Thailand) : ซีสเซิล ฟุ้งปรับแผนใหม่ ปั้นไทยเป็นศูนย์กลางสู่ AEC







Sisel-844_resize (Mobile)


ซีสเซิล ประกาศโหมหนักตลาดเซ้าท์อิสเอเชียก่อนขยายสู่ออสเตรเลียในอนาคต เตรียมปั้นไทยเป็นศูนย์กลางอาเซียนครึ่งหลังปี 2556 เตรียมรุกตลาดเครือข่ายไทยด้วยแผน Innovation Marketing หวังสร้างความตื่นตัวสำหรับสมาชิกกลุ่มใหม่ ล่าสุด ปรับแผนจ่ายผลตอบแทนใหม่ คาดสร้างความสำเร็จสู่นักธุรกิจอย่างรวดเร็ว


แอรอน เรนเนอร์ท รองประธานฝ่ายขายทั่วโลก ซัสเซิล อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ เปิดเผยว่าในปีนี้บริษัทได้มุ่งเน้นการทำตลาดเครือข่ายในประเทศที่บริษัทมุ่งที่จะเข้าไปทำการตลาดอย่างจริงจังกว่าประเทศอื่นๆ ซึ่งการเข้าไปทำตลาดในไต้หวันบริษัทจะดำเนินการในลักษณะแบบเดียวกันกับประเทศไทยทั้งหมด หลังจากนั้นจะเริ่มขยายตลาดไปยังออสเตรเลียเป็นลำดับต่อไป


สำหรับ ซีสเซิล ในประเทศไทย บริษัทมองว่าเป็นประเทศที่มีความมั่นคงทางธุรกิจ ถึงแม้ในช่วงที่ผ่านมาธุรกิจอาจจะเติบโตช้าบ้าง แต่ยังคงเติบโตอย่างมั่นคงและเติบโตอย่างรวดเร็ว และไม่นานก็หายไปอย่างรวดเร็วเช่นกัน และสิ่งนี้แสดงให้เห็นว่าซีสเซิลมีความตั้งใจจริงที่จะเข้ามาทำธุรกิจในประเทศไทย และทุกประเทศที่บริษัทได้เข้าไปเปิดสาขา


อย่างไรก็ตาม จุดแข็งที่บริษัทสามารถเข้าไปรุกธุรกิจเครือข่ายในประเทศต่างๆได้นั้น คือการที่บริษัทมีสินค้าครอบคลุมทุกรายการ อีกทั้งยังได้รับการรับรองจาก สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) และเป็นสินค้าที่มีงานวิจัยรับรอง ซึ่งในประเทศไทยสินค้าที่มีวางในระบบได้รับการรับรองจากอย. เป็นที่เรียบร้อยแล้วทุกรายการ


ด้าน กานต์สิรี ธนบูลย์ชูชัย ผู้จัดการสาขาประเทศไทย บริษัท ซีสเซิล อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเสริมว่า จากกการที่ได้รับมอปบหมายให้เป็นผู้ดูแลตลาดในประเทศอาเซียน โดยในช่วงปลายปี 2556 นี้ บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดในประเทศอาเซียน โดยช่วงปลายปี 2556 นี้ บริษัทมีแผนที่จะขยายตลาดไปยังกลุ่มประเทศอาเซียน โดยมีประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของภูมิภาค ซึ่งบริษัทจะผลักดันให้ซีลเซิลเป็นที่รู้จักในภูมิภาคดังกล่าว


พร้อมกันนี้บริษัทยังได้สนับสนุนในการดำเนินงานของบริษัท ควบคู่ไปกับการเข้าไปทำตลาดของนักธุรกิจอิสระเบื้องต้นบริษัทได้วางแผนที่จะเปิดสำนักงานในประเทศมาเลเซียและขยายไปยังประเทศกัมพูชา สิงคโปร์ ลาว พม่า ซึ่งประเทศเหล่านี้ได้มีนักธุรกิจอิสระของซีสเซิลเข้าไปทำการตลาดเรียบร้อยแล้ว


ธนินโชติน์ กิติวัง ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซีสเซิล อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวเพิ่มเติมว่า สำหรับตลาดของประเทศไทยในช่วงครึ่งหลังของปี บริษัทจะทำการตลาดเชิงรุก หลังจากที่ได้ทำความรู้จักและคุ้นเคยมาแล้วกว่า 2 ปี โดยมุ่งเน้นการสร้างการรับรู้ของตลาด สร้างการรับรู้ต่อแบรนด์ผ่านช่องทางต่างๆ ที่มีอยู่ในปัจจุบัน


ขณะเดียวกันจะเน้นทำการตลาดแบบ Innovation Marketing โดยเน้นให้กลุ่มผู้มุ่งหวังมีความตื่นเต้นในการทำธุรกิจพร้อมกันนี้บริษัทยังได้ทำการปรับปรุงแผนการจ่ายผลตอบแทนแบบใหม่ ซึ่งแผนใหม่นี้จะทำให้นักธุรกิจประสบความสำเร็จเร็วขึ้นมีรายได้ที่มั่นคง โดยแผนใหม่ได้เริ่มใช้แล้ว ตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา


อย่างไรก็ตาม หลังการปรับแผนการจ่ายผลตอบแทนใหม่คาดว่าจะช่วยให้บริษัทมีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้นจากปัจจุบันที่มีตัวเลขเพียงหลักเดียว เพิ่มขึ้นเป็น 2 หลัก ภายในสิ้นปีนี้ ในส่วนของตลาดซัสเซิลในเอเชีย ที่ปัจจุบันประกอบไปด้วย ญี่ปุ่น ไทย ไต้หวัน คาดว่าปลายปีนี้จะเปิดตลาดมาเลเซีย โดยประเทศที่สามารถปิดยอดการขายได้มากที่สุดในภูมิภาคนี้ คือ ประเทศญี่ปุ่น





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 227 ประจำวันที่ 16-31 กรกฎาคม 2556


BwL รุกขยายตลาดเอเชีย ดันไทยต้นแบบขายตรงอาเซียน







Mlm-Company (Mobile)


23 ปี bwL รุกขยายสาขาทั่วโลก ล่าสุด เล็งเปิดตลาดใหม่แดนอาทิตย์อุทัย หลังประสบความสำเร็จแดนโสม และฟิลลิปปินส์ ย้ำโตได้ด้วย 3 ปัจจัยหลัก ทั้งสินค้า สมาชิก และแผนจ่ายผลตอบแทน ประกาศ !! อนาคตตั้งไทยเป็นสาขาต้นแบบในอาเซียน คาดยอดขายปีนี้ทะลุ 200 ล้านบาท


ฮวง บัน ชิน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการ Best World International Ltd. (bwL) เปิดเผยว่า ภาพรวมบริษัทในปีที่ผ่านมาประสบความสำคัญเป็นอย่างมาก โดยบริษัทแม่ที่สิงคโปร์ ซึ่งเป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหลักทรัพย์ของสิงคโปร์สามารถปิดยอดขายได้ 49 ล้านเหรายญดอลลาร์สิงคโปร์และมีตลาดต่างประเทศที่ประสบความสำเร็จและเติบโตในหลายประเทศ ซึ่งประเทศที่เติบโตเป็นอันดับ 1 คือ ไต้หวัน อันดับ 2 เกาหลีใต้ และอันดับ 3 สิงคโปร์


ในส่วนของปัจจัยที่ส่งเสริมให้ BwL เติบโต คือสินค้าที่มีคุณภาพ สมาชิก และแผนการจ่ายผลตอบแทนที่ใช้แผนเดียวกันทั่วโลกและจากการที่บริษัทประสบความสำเร็จในการเปิดธุรกิจในประเทศต่างๆล่าสุดบริษัทได้เปิดสาขาเพิ่มอีก 2 แห่ง ได้แก่ เกาหลีใต้ และฟิลิปปินส์ นอกจากนี้ในปี 2557 เตรียมแผนที่จะเปิดสาขาที่ประเทศญี่ปุ่น จากปัจจุบันมีสาขาทั่วโลก 10 ประเทศ


อย่างไรก็ตามตลอดระยะเวลา 8 ปีที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดธุรกิจขายตรงในประเทศไทย แม้จะประสบภัยอุปสรรคในการดำเนินธุรกิจบ้าง ไม่ว่าจะเป็นปัญหาทางการเมือง ปัญหาอุทกภัยหรือปัญหาเศรษฐกิจซึ่งบริษัทมองว่าปัญหาดังกล่าวเป็นเพียงช่วงระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น ดังนั้น บริษัทจึงวางเป้าหมายให้ BwL ประเทศไทยเป็นต้นแบบในการทำธุรกิจในแถบอาเซียน ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้จัดฉลองครบรอบ 8 ปีแห่งความสำเร็จในปีระเทศไทย และครบรอบ 23 ปี ของ BwL ที่อาคารชาเลนเจอร์ เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 22 มิถุนายน 2556 โดยในงานนี้มีสมาชิกจากทั่วประเทศเข้าร่วมงานกว่า 400 คน


อย่างไรก็ดี บริษัทตั้งเป้าจากนี้ไปจะมีอัตราการเติบโตที่สูงขึ้น เนื่องจากปัจจุบันรัฐบาลได้ให้ความสนใจและเข้าจัดระเบียบธุรกิจขายตรงมากขึ้น ส่งผลให้ประชาชนได้รับความรู้ข่าวสารเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงที่มีความน่าเชื่อถืออีกทั้งเมื่อเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัว ประชาชนจะออกมาจับจ่ายใช้สอยดังนั้นบริษัทจึงมองว่าในระยะยาวธุรกิจของ BwL ในประเทศไทยจะดีขึ้นและเป็นธุรกิจที่ได้เปรียบเนื่องจากเป็นธุรกิจที่ได้ฝังรากลึกในประเทศไทยมานาน อีกทั้งยังเป็นธุรกิจที่สมาชิกมีความจงรักภักดีต่อแบรนด์


สำหรับแนวทางที่จะนำพา BwL ประเทศไทยให้เติบโต คือ แผนการสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคและสมาชิกด้วยสินค้าที่มีคุณภาพ และตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี พร้อมกับการสร้างสมาชิกให้มากขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทพยายามผลักดันให้ผู้บริโภคกลายเป็นนักธุรกิจในที่สุด


ทั้งนี้ BwL ประเทศไทย วางเป้าหมายยอดขายไว้ที่ 200 ล้านบาท หรือมีอัตราการเติบโต 20 % ในปีนี้ ซึ่งประเทศไทยเป็นประเทศที่มียอดขายเติบโตเป็นอันดับสองในตลาดเอเชีย รองจากประเทศจีน และในครึ่งหลังของปีนี้บริษัทจะทำการตลาดเชิงรุก โดยเข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคโดยตรง เน้นออกบูธตามงานแสดงสินค้าต่างๆ การออกโรดโชว์ รวมถึงการจัดอบรมสัมมนาในหลักสูตรต่างๆ ให้กับสมาชิกอีกด้วย





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 227 ประจำวันที่ 16-31 กรกฎาคม 2556


ข่าวเอปูเซ่ (Epousee) : เอปูเซ่ ดันแผนครึ่งหลังสู้ศึก ปูพรมสมาชิกหวังฟัน 200 ล.







Capture (Mobile)


เอปูเซ่ จัดโครงการ The Rich Man บุกขายตรงครึ่งหลังหวังให้สมาชิกทุกระดับมีรายได้เพิ่มพร้อมรุกขยายตลาดพื้นที่สาน เน้นความสำคัญกลุ่มสมาชิกชิกรากหญ้า ตั้งเป้า 200 ล้านสิ้นปี รับครึ่งแรกไม่เป็นไปตามแผน หลังผู้นำย้ายออก เผยขายตรงปีนี้ยังโต ห่วงหลายที่อาจใช้กลยุทธ์ไม่ซื่อ ทำให้คนกลัวไม่กล้าทำขายตรง


มนตรี ฉิมมณีภัทธ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เอปูเซ่ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่าบริษัทได้จัดทำโครงการ The Rich Man ซึ่งเป็นโครงการที่ให้สมาชิกทุกคนและทุกระดับมีรายได้เพิ่ม ซึ่งไม่ใช่เฉพาะกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงผู้บริโภคที่จะมีรายได้จากกำไรของการขายสินค้าอีกด้วย


ในส่วนของโครงการดังกล่าว ได้เริ่มดำเนินการไปแล้วตั้งแต่วันที่ 1 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา เบื้องต้นบริษัทได้ทำประชาสัมพันธ์เพื่อสื่อสารให้กับสมาชิกได้รับทราบถึงโครงการดังกล่าวเรียบร้อยแล้วและได้รับผลตอบรับที่ดีจากสมาชิก โดยมีผู้นำระดับภูมิภาคสมัครเข้าร่วมโครงการดังกล่าวแล้วกว่า 60 รายและผู้นำระดับปฏิบัติการอีกกว่า 100 ราย นอกจากนี้ยังมีผู้นำอีกหลายรายที่ล้มเหลวจากการทำธุรกิจกับค่ายอื่นๆได้ให้ความสนใจสมัครเข้าร่วมโครงการนี้เช่นกัน


สำหรับแผนการทำงานของบริษัทในปีนี้ จะเน้นทำธุรกิจกับสมาชิกทุกกลุ่ม แต่กลุ่มที่จะเน้นเป็นพิเศษคือ กลุ่มคนรากหญ้า เพราะบริษัทมองว่าสมาชิกกลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีกำลังในการลงทุนทำธุรกิจค่อนข้างน้อย อีกทั้งบริษัทมองว่าหากสมาชิกกลุ่มดังกล่าวสามารถมีรายได้เพิ่มขึ้นเช่นกัน ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีสมาชิกกว่า 120,000 รหัส เป็นสมาชิกที่ซื้อสินค้าและทำธุรกิจเป็นประจำกว่า 10,000 รหัส


ดังนั้นเพื่อเป็นการผลักดันให้เป็นสมาชิกกลุ่มดังกล่าวมีรายได้เพิ่มขึ้น บริษัทจึงได้จัดทำโครงการ The Rich Man มารองรับพร้อมจัดโปรโมชั่นสงเสริมการขายในแต่ละเดือนอย่างต่อเนื่อง ขณะเดียวกันบริษัทยังคงให้ความสำคัญกับกลุ่มผู้นำไปพร้อมกัน นอกจากนี้ยังได้รุกเข้าทำการตลาดในต่างจังหวัดมากขึ้น ซึ่งขณะนี้ได้เข้าไปทำการตลาดในภาคอีสานแล้ว และได้รับการตอบรับที่ดี


อย่างไรก็ตาม เป้าหมายในปีนี้ของบริษัทคาดว่าจะสามารถปิดยอดขายได้ 200 ล้านบาท และมีสมาชิกที่สามารถทำยอดไปท่องเที่ยวต่างประเทศได้กว่า 300 คน ซึงปีนี้ทริปท่องเที่ยวใหญ่ของบริษัท คือ เมืองซีอาน สาธารณรัฐประชาชนจีน และจะมีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดภายในปีนี้อีก 4 รายการ ซึ่งขณะนี้มีสินค้าใหม่ออกสู่ตลาดแล้ว 2 รายการ คือ แชมพูเปลี่ยนสีผมที่นำเข้าจากเกาหลี และสินค้าด้านความงามคาดในเดือนสิงหาคมนี้จะออกเพิ่มอีก 1 รายการจากเดิมมีอยู่แล้ว 25 รายการ จากจำนวนสินค้าทั้งหมด 4 กลุ่ม


มนตรี กล่าวต่อไปว่า ครั้งแรกของปี 2556 บริษัทยอมรับอัตราการเติบโตยังไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้ อย่างไรก็ตาม ภาพรวมบริษัทยังคงเติบโตเป็นที่น่าพอใจซึ่งปัจจัยที่จะนำไปสู่เป้าหมายมาจากในช่วงเวลาที่ผ่านมามีการเปลี่ยนแปลงผู้นำโดยมีผู้นำบางส่วนที่มีความคิดเห็นไม่ตรงกับบริษัทได้ย้ายออกไป อย่างไรก็ตามบริษัทเชื่อมั่นแม้ว่าจะมีอัตราการเติบโตที่ค่อนข้างช้า และไม่เป็นไปตามเป้าหมายไปบ้าง แต่มีความเชื่อว่าในอนาคตจะสามารถเติบโตได้อย่างแน่นอน


มองว่าภาพรวมของธุรกิจขายตรงในปีนี้โตขึ้น และส่วนแบ่งทางการตลาดเพิ่มขึ้นตาม ซึ่งทำให้แต่ละบริษัทจะต้องคิดค้นกลยุทธ์ใหม่ๆ เข้ามาแข่งขัน แต่ยังคงเป็นห่วงในวิธีการหรือกลยุทธ์ที่บางบริษัทหรือผู้นำบางกลุ่มนำมาใช้จะเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง ส่งผลให้ธุรกิจขายตรงถูกมองว่าเป็นธุรกิจที่น่ากลัวไม่มีคนกลุ่มใหม่ๆ กล้าที่จะเข้ามาทำธุรกิจนี้ มนตรี กล่าว





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 227 ประจำวันที่ 16-31 กรกฎาคม 2556

แม็กซ์ฯ ลั่นขึ้นผู้นำคอลลาเจน กร้าว!! 3 ปี ส่งออกรายใหญ่ไทย







130706fn178840 (Mobile)


แม็กซ์ เฮลท์ตี้ ซัพพลาย ประกาศหลังเปิดตัว 1 ปี ผลตอบรับดีเกินคาดยอดขายทะลุ 10,000 กล่องต่อเดือน เร่งเครื่องหลังกำลังการผลิตไม่พอ หวังขึ้นเบอร์ 1 อีก 6 เดือน ยันต้องมียอดขายเกิน 20,000 กล่องต่อเดือน ระบุเป็นบริษัทชั้นเดียวที่อัดฉีดโปรโมชั่นแรงสุด วางหมากอีก 3-5 ปี ขึ้นแท่นผู้นำในการเข้าและส่งออกคอลลาเจนรายใหญ่ที่สุดของไทยพร้อมระเบิดแผนสร้างแบรนด์อย่างชัดเจนครอบคลุมทุกสื่อ พร้อมระเบิดสร้างแบรนด์อย่างชัดเจนครอบคลุมทุกสื่อ เตรียมดึงคนมีชื่อเสียงเป็นพรีเซ็นเตอร์เร็วๆ นี้


ประกาศิต เลิศมุกดา ประธานกรรมการบริหาร และ วรวุฒิ บริบูรณ์ธนกิจ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แม็กซ์ เฮลท์ตี้ ซัพพลาย จำกัด ผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแม็กซ์กลูต้า คอลลาเจน พลัส กล่าวว่า ภายหลังบริษัทเปิดดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลา 1 ปี จึงพบว่าตลาดเสริมอาหารคอลลาเจนในปัจจุบันยังคงได้รับความนิยมอย่างสูง เฉลี่ยบริษัทมียอดขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารแม็กซ์กลูต้า คอลลาเจน พลัส ประมาณ 10,000 กล่องต่อเดือน โดยผ่านตัวแทนจำหน่าย 9 คน ครอบคลุมทั่วประเทศ สำหรับรูปแบบการทำธุรกิจของบริษัทจะเป็นลักษณะชั้นเดียว จำหน่ายผ่านตัวแทน 9 คน รวมถึงการอัดฉีดโปรโมชั่นที่ครอบคลุม และแรงที่สุดในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นการจัดโปรโมชั่นท่องเที่ยว 3 ประเทศ ในรอบ 1 ปี ได้แก่ มัลดีฟส์ ญี่ปุ่นและสหรัฐอเมริกา โดยมีเงื่อนไขในการไปร่วมทริปคือ ต้องมียอดขาย 900 กล่อง, 1,200 กล่อง และ 1,500 กล่องตามลำดับ ในระยะเวลา 3 เดือน รวมถึงการจัดโปรโมชั่นที่โดนใจตัวแทนจำหน่ายมากที่สุด หากจำหน่ายอาหารเสริมได้ 12,000 กล่อง จะได้รับรถยนต์โตโยต้า คัมรี่ 1 คัน ซึ่งทึ่ผ่านมามีตัวแทนจำหน่ายได้รับรถยนตร์แล้ว 2 คัน


ในส่วนของกลยุทธ์การตลาด นอกเหนือจากการจัดโปรโมชั่นแล้ว บริษัทจะให้ความสำคัญกับการสร้างแบรนด์มากที่สุด โดยจะเน้นโฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อสิ่งพิมพ์ สื่อวิทยุ สื่อเคเบิ้ล ทีวี และโซเชียล มีเดีย และแผนการสร้างภาพยนตร์โฆษณาผลิตภัณฑ์แม็กซ์ฯ ที่ล่าสุดได้จับมือกับ บริษัท กันตนา ฯ แล้ว ขณะที่สื่อฟรีทีวีอยู่ระหว่างการพูดคุย รวมถึงแผนการสร้างแบรนด์ที่เตรียมดึงบุคคลที่มีชื่อเสียงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ในเร็วๆนี้ ปัจจุบันมีสินค้าเพียง 1 กลุ่ม คือ เสริมอาหาร แบ่งเป็น 3 รายการ ได้แก่ 1.Maxx Gluta Collagen Plus 2. Maxx Deto และ 3.Maxx Snel โดยสินค้าทั้ง 3 รายการ บริษัทจะเน้นสินค้ารายการแรกเป็นหลัก เนื่องจากบริษัทมองว่าสินค้ายังคงเป็นที่ต้องการของตลาดอีกสูง โดยปีนี้บริษัทตั้งเป้ายอดขายที่ 200 ล้านบาท


ถ้าถามว่าเราโฟกัสสินค้าตัวเดียว แล้วต่อไปสินค้าจะถึงจุดอิ่มตัวหรือไม่ เรามองว่าตลาดยังเป็นที่ต้องการสูง และยังคงเติบโต สำหรับคอลลาเจน หากเราสามารถสร้างพฤติกรรมของคนได้ เราก็มองว่าเราทำได้ เรื่องนี้สอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของเราที่ต้องการเป็นผู้นำในการเข้าและส่งออกคอลลาเจนรายใหญ่ที่สุด เรื่องนี้คงต้องย้อนไปดูผู้นำตลาดกาแฟรายหนึ่งที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในตอนนี้ ดังนั้น สินค้าที่ดีมีคุณภาพของเราก็คือผลลัพธ์ที่ดีไม่ต่างกัน เพราะเรามีจุดเด่นที่ส่วนผสม ที่นำเข้าจากประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และนำมาประกอบที่เมืองไทย ส่วนซองสินค้าก็นำเข้าจากประเทศอังการี จึงเป็นจุดเด่นที่เห็นได้อย่างชัดเจน ส่วนกระบวนการผลิต เราก็เป็นพาร์ตเนอร์กับโรงงานลาดกระบังในการผลิตคอลลาเจน


ทั้งนี้ บริษัทมีแผนจากนี้ไปอีก 6 เดือน จะขึ้นเป็นเบอร์ 1 ของตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนให้ได้ จากปัจจุบันที่เป็นเบอร์ 2 และมียอดขายประมาณ 10,000 กล่องต่อเดือน ซึ่งเบอร์ 1 ขายได้ 20,000 กล่องต่อเดือน ซึ่งการขึ้นเป็นเบอร์ 1 นั้น บริษัทจะต้องเตรียมความพร้อมในด้านกำลังการผลิต ที่ปัจจุบันไม่สามารถผลิตได้ทันตามความต้องการของผู้บริโภค ที่มีกำลังการผลิตคอลลาเจนอยู่ที่ 700 กล่องต่อวัน จะเพิ่มเป็น 1,500 กล่องต่อวัน รวมถึงการสั่งซื้อเครื่องจักรผลิตคอลลาเจนตัวใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้ในอนาคต


อย่างไร แผนการจากนี้ไปอีก 3-5 ปี บริษัทต้องการขึ้นเป็นผู้นำ ในการนำเข้าและส่งออกคอลลาเจนรายใหญ่ของประเทศไทย ซึ่งปัจจุบันได้ส่งออกไปยังต่างประเทศแล้วผ่านตัวแทนตัวแทนระดับประเทศ โดยส่งออกไปยังสาธารณรัฐอาหรรับเอมิเรตส์,สิงคโปร์,กัมพูชาและพม่า ที่เริ่มส่งไปแล้ว





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 227 ประจำวันที่ 16-31 กรกฎาคม 2556

มารี ชองตาล ตื่นรับการแข่งขันสูง เร่งสร้างแบรนด์ก่อนลุยอาเซียน







news_img_462317_1 (Mobile)


มารี ซองตาล ลุยปั้นแบรนด์ หลังทำตลาดมานาน 15 ปี ปูพรมสู่ช่องทางโซเชียล มีเดีย พร้อมเล่นเกม ตอบปัญหาสุขภาพ หวังสร้างการรับรู้ให้กับผู้บริโภค เร่งเครื่องหาพาร์ตเนอร์ทั่วทุกภาคของไทย ก่อนเปิดตลาดอาเซียนปี 2558 เล็งเปิดตัวสินค้าเจาะกลุ่มผู้ชายไตรมาสสุดท้ายของปี เตรียมพร้อมลงทุนเครื่องจักรใหม่เพื่อเพิ่มไลน์สินค้าในกลุ่มเสริมอาหารกระชับสัดส่วน ภายหลังตลาด โตพุ่ง


พลโทหญิง ดร.สุรภี เหมวนิช ประธานกรรมการ บริษัท มารี ชองตาล จำกัด เปิดเผยว่า หลังเปิดดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลา 15 ปี บริษัทเตรียมแผนการสร้างแบรนด์ มารี ชองตาล อย่างจริงจังในปีนี้ ด้วยการลงสื่อสิ่งพิมพ์เพื่อสร้างแบรนด์ให้ผู้บริโภครับรู้ รวมถึงการเข้าถึงสื่อโซเชียล มีเดีย กับการเปิดเฟซบุ๊กมารี ซองตาล เพื่อให้เข้าถึงกลุ่มผู้บริโภคได้อย่างตรงจุด อีกทั้งยังจัดโปรโมชั่นเล่นเกม ชิงรางวัลผ่านเฟซบุ๊ก เกี่ยวกับปัญหาสุขภาพ และการดูแลผิวพรรณที่ถูกวิธี ซึ่งหลังเปิดตัวไป 4-5 เดือนได้รับการตอบรับที่ดี ในส่วนของกลยุทธ์การตลาด บริษัทจะเน้นชูสินค้าเอเชียโซนร้อน ที่ต่างจากสินค้าเกาหลีและญี่ปุ่น ซึ่งทั้ง 2 ประเทศดังกล่าว ผู้คนจะมีผิวขาว สะอาดเนื่องจากเป็นเมืองหนาว ขณะที่ไทยเป็นเมืองร้อนชื้น สินค้าจึงต้องตอบโจทย์ลูกค้าคนไทยมากที่สุด นอกจากนี้บริษัทจะนำเสนอคุณภาพของสินค้าที่เกินราคา สามารถหาซื้อได้ง่ายอีกด้วย


ทั้งนี้บริษัทยังเตรียมแผนการหาตัวแทนจำหน่ายเพิ่ม ล่าสุดได้หาตัวแทนจำหน่ายที่จังหวัดราชบุรี และจากนี้ไปต้องการหาตัวแทนจำหน่ายที่สงขลา โดยหลักจะหาพาร์ตเนอร์ประจำเขตแดนต่างๆ ทั่วทุกภาคของไทย นอกจากนี้บริษัทยังมองเห็นโอกาสตลาดผู้ชายที่กำลังเติบโตในปัจจุบัน จึงเตรียมแผนที่จะเปิดตัวสินค้ากลุ่มผู้ชายในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ ไม่ว่าจะ เป็นน้ำหอม เสริมอาหารคอลลาเจน ครีมกันแดด คลีนซิ่ง แอนตี้เอจจิ้ง และอาฟเตอร์เชฟ ภายใต้แบรนด์ มารี ชองตาล ฟอร์เมน รวมถึงการเปิดตัว มาสก์รังนกนางแอ่นพอกหน้า ออกสู่ตลาดในช่วงเวลาดังกล่าวอีกด้วย นอกจากนี้ในปี 2557 บริษัทมีแผนการออกบูธเพื่อโปรโมทสินค้ากลับกรมส่งเสริมการส่งออก กระทรวงพาณิชย์ อีกทั้งบริษัทยังวางแผนการผลิตไลน์สินค้าใหม่ โดยจะลงทุนเครื่องจักรเพื่อผลิตสินค้าในกลุ่มเสริมอาหาร เพื่อการยกกระชับสัดส่วนเพิ่ม หลังเห็นทิศทางตลาดดังกล่าวเติบโตเป็นไปในทางที่ดี


การเตรียมความพร้อมดังกล่าว ส่วนหนึ่งเพื่อรองรับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้น รวมถึงการเปิดตลาดอาเซียน ที่ตอนนี้เราได้วางแผนรองรับตลาดดังกล่าว ด้วยการหาพาร์ตเนอร์ฝั่งลาว พม่า อย่างลาวมีติดต่อเข้ามาแล้ว ส่วนพม่ามีการนำสินค้าไปทดลองแล้วเช่นเดียวกัน


สำหรับช่องทางจำหน่ายในปัจจุบัน คือช่องทางคอลเซ็นเตอร์ของบริษัท ที่มีการจัดส่งสินค้าให้กับลูกค้าทั่วประเทศ ช่องทางแคตตาล็อก ตัวแทนจำหน่าย ช่องทางเว็บไซต์มารี ชองตาล ช่องทางเฟสบุ๊ก โดยลูกค้าหลักๆของบริษัทในปัจจุบันยังคงเป็นนางพยาบาลมากถึง 70% ขณะที่สินค้าที่มีสัดส่วนยอดขายมากที่สุดยังคงเป็น แป้งเค้ก คอลลาเจน ครีมกันแดด สบู่ ครีมปิดผมขาว และยาสีฟัน เป็นต้น


อย่างไรก็ตาม บริษัทวางเป้าหมายในอนาคต คือการแบ่งสัดส่วนการจำหน่ายในประเทศและการส่งออกเป็น 50% ซึ่งปัจจุบันบริษัทได้รับจ้างผลิตสินค้าให้กับพาร์ตเนอร์ที่ประเทศอังกฤษแล้ว ขณะที่ประเทศไทยบริษัทมีสัดส่วนยอดขายประมาณ 30 ล้านบาทต่อปี





ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 227 ประจำวันที่ 16-31 กรกฎาคม 2556

ผงะ !! ขายตรงแห่แซ้งกิจการ 4 เดือน สคบ.เซ็น ปิด มากกว่า เปิด







bankruptcy (Mobile)


ตะลึง!! สคบ. เซ็นใบอนุญาตผู้ประกอบการขายตรงปิดกิจการ มากว่าจดทะเบียนใหม่ แค่ 4 เดือน (ต.ค.-ธ.ค.55) เซ็นคำสั่งยกเลิกไปแล้วมากกว่า 25 บริษัท ขณะที่เซ็นใบอนุญาตใหม่มีไม่ถึง 10 บริษัท ส่วนยอด 6 เดือนแรก ปี 56 มีบริษัทยื่นขอปิดตัวไปแล้วกว่า 10 บริษัท อ้างเหตุผล 3 ข้อ เบื่อพวกแม่ทีมแสบชอบย้ายค่ายบ่อย-หาสมาชิกไม่ได้-สินค้าติดตลาดแล้ว ด้าน ฐิตินันท์ ยอมรับเหตุ สคบ. เซ็นใบอนุญาตผู้ประกอบการรายใหม่น้อยกว่าเซ็นยกเลิกกิจการ เพราะต้องการคุมเข้มบริษัทขายตรง หวังปกป้องสิทธิผู้บริโภคให้มากที่สุด ล่าสุดจับมือพันธมิตรลงพื้นที่ตรวจสอบเอกชนรายใดดำเนินธุรกิจเข้าข่ายมันนี่เกมระดมทุนและแชร์ลูกโซ่ เตรียมเชือดทันที


รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ระบุว่า ตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2555 สคบ. ได้เซ็นคำสั่งยกเลิกผู้ประกอบการขายตรงที่ยื่นขอยกเลิกกิจการไปแล้ว 25 ราย ส่วนตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา มีผู้ประกอบการยื่นเรื่องเข้ามายัง สคบ . เพื่อขอยกเลิกกิจการไปแล้วกว่า 10 ราย ขณะที่ตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2555 สคบ. เซ็นอนุมัติบริษัทขายตรงที่ยื่นขอจดทะเบียนใหม่มีไม่ถึง 10 บริษัท สาเหตุที่เป็นเช่นนั้นเนื่องจาก สคบ. ภายใต้การบริหารงานใหม่ของ จิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการ สคบ. คนใหม่ต้องการให้มีการเข้มงวด เพื่อตรวจสอบบริษัทขายตรงที่ยื่นขอจดทะเบียนใหม่มากขึ้น เนื่องจากปัจจุบันมีผู้ประกอบการหลายรายที่ได้รับใบอนุญาตจาก สคบ. ไปแล้ว แต่ดำเนินธุรกิจผิดไปจากที่ยื่นไว้กับ สคบ. ดังนั้น จึงจำเป็นต้องมีการตรวจสอบให้มากขึ้นจนทำให้มีข่าวลือหนาหูว่า สคบ. ยุคได้มีการเรียกรับรับเงินจากผู้ประกอบการ


ฐิตินันท์ สิงหา ผู้อำนวยการส่วนงานขายตรงและตลาดแบบตรง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า ปัจจุบันมีผู้ประกอบการขายตรงยื่นเรื่องขอจดทะเบียนที่ สคบ. มีประมาณ 10-20 บริษัท ซึ่ง สคบ. ได้อนุมัติไปแล้วไม่ถึง 5 บริษัท สาเหตุที่ สคบ. อนุมัติล่าช้า เนื่องจากติดปัญหาในเรื่องของกฎหมายอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องหลายส่วน เช่น กฎหมายเรื่องของอาหารสัตว์ ที่เกี่ยวข้องกับกรมปศุสัตว์ หรือกฎหมายของสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ดังนั้น หาก สคบ. อนุมัติไปโดยไม่มีการตรวจสอบเกรงว่าจะมีผลกระทบกับหน่วยงานอื่นๆได้


ทั้งนี้ นโยบายของท่าน จิรชัย มูลทองโร่ย เลขาฯ สคบ. ต้องการให้มีการดำเนินการไปตามกฎหมายทั้งที่เกี่ยวกับ สคบ. และกฎหมายอื่นอย่างเคร่งครัด เพราะก่อนหน้านี้ได้มีการร้องเรียนจากหน่วยงานอื่นว่า มีสินค้าของบริษัทขายตรงที่โฆษณาในเคเบิลทีวีเกินความเป็นจริงซึ่งโฆษณาบางส่วน สคบ. จะเข้าไปดูว่าสินค้าบางรายการที่ผู้ประกอบการยื่นมาต้นทุนค่อนข้างสู.เกินความเป็นจริง ทำให้การอนุมัติค่อนข้างล่าช้าเพราะเรามีหน้าที่ที่ต้องดูแลถึง 3 ส่วนกันได้แก่ ผู้ประกอบการ,ผู้จำหน่าย และผู้บริโภค


สาเหตุที่ทางผู้ประกอบการได้ใบอนุญาตล่าช้า เพราะทางท่านเลขาฯ ต้องการให้มีการเข้มงวดในการออกดใบอนุญาต โดยได้มีการตั้งคณะทำงานขึ้นมาพิจารณาในการตรวจสอบแผนการจ่ายผลตอบแทนให้กับสมาชิกว่า จ่ายในอัตราที่มากเกินความเป็นจริงหรือไม่ จากนั้นทางท่านเลขาฯ จะเป็นผู้พิจารณาอีกครั้ง ซึ่งบางรายที่ยื่นสินค้าเข้ามา อาจจะไปเกี่ยวพันกับกฎหมายอื่นๆ เช่น กฎหมายของกรมการขนส่ง,กฎหมายที่เกี่ยวกับกรมวิชาการเกษตร หรือกฎหมายที่เกี่ยวกับทาง กสทช. เป็นต้น ซึ่งทางสคบ.จะต้องมีการตรวจสอบรายละเอียดค่อนข้างมากจึงทำให้ต้องใช้เวลาในการพิจารณาออกใบอนุญาตให้กับผู้ประกอบการรายใหม่


ฐิตินันท์ กล่าวถึงกรณีที่มีผู้ประกอบการขายตรงยื่นเรื่องขอยกเลิกกิจการว่า สาเหตุที่ผู้ประกอบการเหล่านี้ไม่สามารถดำเนินธุรกิจได้มีปัจจัยหลัก 3 ข้อ ได้แก่ 1. ไม่ประสงค์จะทำธุรกิจต่อ ส่วนหนึ่งอาจจะมาจากกาย้ายค่ายบ่อยของแม่ทีม ทำให้เจ้าของรู้สึกเบื่อหน่าย 2.เจ้าของธุรกิจไม่ประสบความสำเร็จในการหาสมาชิกใหม่เข้ามาเพิ่มได้ และ 3.สินค้าติดตลาดแล้วเปลี่ยนแผนมาทำตลาดแบบตรงแทน ซึ่งตั้งแต่เดือนตุลาคม-ธันวาคม 2555 ที่ผ่านมามีผู้ประกอบการยกเลิกกิจการไปแล้ว 25 รายและตั้งแต่เดือนมกราคม-มิถุนายน 2556 มีผู้ประกอบการยื่นเรื่องเพื่อขอยกเลิกกิจการมานานแล้วกว่า 10 ราย ซึ่งการที่ สคบ. ในฐานะที่มีหน้าที่กำกับดูแลบริษัทขายตรงโดยตรงจะเข้าไปดูว่าในรายละเอียดว่าการยกเลิกกิจการดังกล่าวมีผลต่อผู้จำหน่ายอิสระหรือไม่ หรือหากยกเลิกกิจการไปแล้ว แต่ผู้ประกอบการจะต้องรับผิดชอบสมาชิก หากมีการร้องรียนเข้ามาเป็นต้น


ตั้งแต่ตุลาคม 2555 จนถึงปัจจุบัน มีเรื่อง ร้องเรียนจากผู้จำหน่ายอิสระเข้ามายัง สคบ. ประมาณไม่ถึง 10 บริษัท ส่วนใหญ่เป็นเรื่องไม่จ่ายค่าผลตอบแทน และโดนตัดรหัส ซึ่งทาง สคบ. ได้เรียกทั้ง 2 ฝ่าย เข้ามาไกล่เกลี่ย มีบางกรณีก็สามารถไกล่เกลี่ยกันได้ แต่ก็มีบางกรณีที่ไม่สามารถไกล่เกลี่ยกันได้ ก็ต้องปล่อยให้ทั้ง 2 ฝ่าย ไปตกลงกันเอง


ส่วนกรณีที่มีผู้ประกอบการบางรายที่ได้รับใบอนุญาตจาก สคบ. ไป แล้วไปดำเนินธุรกิจที่เข้าข่ายเป็นธุรกิจมันนี่เกม ระดมทุน หรือ แชร์ลูกโซ่นั้น สคบ.ได้มีการตรวจสอบโดยการส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่เพื่อเข้าไปแฝงตัวหาข้อมูลในเชิงลึก ซึ่งมีหลายคดีที่ สคบ. ได้ส่งเรื่องไปยังหน่วยงานที่เป็นพันธมิตรให้เข้าไปดำเนินการต่อเช่น กรมสอบสวนคดีพอเศษ (ดีเอสไอ) และกลุ่มป้องปรามการเงินนอกระบบ กระทรวงการคลังเป็นต้น ซึ่งหากพบว่าบริษัทใดเข้าข่ายเป็นธุรกิจมันนี่เกม ระดมทุน และแชร์ลูกโซ่ก็จะเข้าดำเนินการทันที






ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 227 ประจำวันที่ 16-31 กรกฎาคม 2556

วันพฤหัสบดีที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ข่าวขายตรง (MLM) : ช้านักก็ต้อง 'ซื้อ' !







Currency-Exchange (Mobile)

 


วันนี้กับวงการขายตรงบ้านเรา ประเด็นการซื้อหัวบริษัทขายตรงที่มิได้ทำกิจการแล้ว เปลี่ยนเจ้าของใหม่ แล้วลุยขายตรง หรือประเด็นความล่าช้าในการออกใบอนุญาตของธุรกิจขายตรงที่ขอจดทะเบียนใหม่ จาก สคบ. ยังคงเป็นประเด็น "ทอร์คออฟเดอะทาวน์" กันในวงการนี้กันต่อไป เอาแค่สองประเด็นนี้ ในมุมมองของผู้เขียน หากให้ผู้เขียนมองในมุมของเอกชน ก็น่าจะมีมุมมองที่แตกต่างไปจากราชการ

อย่างเหตุและผลของการซื้อหัวบริษัทขายตรงที่มีใบอนุญาตจาก สคบ.อยู่แล้ว ถ้าเรามองเป็นเรื่องปกติ ก็ไม่น่าจะเป็นไร แต่หากมองไม่ใช่เรื่องปกติ ก็อาจว่ากันได้ ที่ว่าเป็นเรื่องปกติในมุมมองเอกชน อาจมองว่า ขี้เกียจเสียเวลายื่นจด สคบ. ใหม่ ซื้อแล้วเปลี่ยนกรรมการ เปลี่ยนชื่อบริษัท ก็เสร็จเรื่อง ส่วนจะเปลี่ยนแผนจ่ายผลตอบแทนใหม่หรือไม่ค่อยว่ากันอีกครา ส่วนมากผู้ที่ซื้อหัวบริษัทที่ผ่าน สคบ. แล้ว เกือบ 100% มีการปรับแผนการจ่ายผลตอบแทนแน่นอน โดยแจ้งไปยัง สคบ. เป็นลายลักษณ์อักษร ขอเปลี่ยนแผน เปลี่ยนคณะกรรมการ หรือบางทีพ่วงโลโก้ใหม่แถมไปด้วย การซื้อหัว ถามว่าถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่ คำตอบคือ "ถูก" เหมือนกับการเทคโอเว่อร์บริษัท ซึ่งสำหรับขายตรงในยุคที่ผ่านลายเซ็นต์ยากในสมัยปัจจุบัน

แต่ในมุม สคบ. อาจมองว่า กลุ่มคนบางกลุ่มขอยื่นจดทะเบียนขายตรง กับ สคบ. เพื่อไปจำหน่ายต่อ ปัจจุบันนี้ก็มีมากพอสมควร คนพวกนี้ทำกันเป็นกระบวนการ หรือไม่ก็ทำหน้าที่จัดหาให้ บอกขายกันในราคาตั้งแต่หลักล้าน ลดหลั่นมาจนถึงหลักหมื่น ต่อ 1 หัวบริษัท ปัจจุบันก็เลยเกิดอาชีพใหม่แฝงเข้ามาในวงการนี้การซื้อหัว สคบ. ปัจจุบัน เอกชนคงเข้าใจว่า ซื้อหัวที่ผ่านแล้ว หมายความว่ากฎหมายคงรับรองไปแล้ว ถึงแม้ว่าจะขอยื่นจดแผนใหม่ กฎหมายก็คงให้อภัยในช่วงที่ข้อยื่นจดแผนใหม่ ทั้งๆ จริงๆ ก็ยังผิดกฎหมายอยู่ดี หากดำเนินแผนการตลาดแผนใหม่ โดยยังไม่ผ่านการอนุมัติจาก สคบ. เพียงแต่อาจเข้าใจว่า สามารถประนีประนอมกันได้ ยังไม่ถึงขั้นร้ายแรง เหมือนกับ ดำเนินธุรกิจแล้วยังไม่มี สคบ. เลย ในทางกลับกัน ผู้เขียนคิดว่า สถานการณ์นี้ป้องกันได้ หาก สคบ. ไม่เป็นอย่างที่เขาเล่าว่า ยุคคุณ "จิรชัย" นั่งเลขาฯ เซ็นต์อนุมัติใบอนุญาตยากที่สุดในประวัติศาสตร์

นี่ก็เหมือน "เหล้าเก่า ในขวดใหม่" ที่เราเก็บมาตอกย้ำกันอีกรอบ สาธุๆ ผู้เขียนอาจเข้าข้างท่านว่า คงมีเหตุและผลหลายประการที่ท่านจำเป็นต้อง "สะตริ๊ก" ในการออกใบอนุญาตแต่ละใบเพราะในแวดวงธุรกิจขายตรงบ้านเราปัจจุบัน เสือ สิงห์ กระทิง แรด ก็เยอะเหลือเกินจริงๆ ธุรกิจสีแดง สีเทา สีดำ ก็เยอะเหลือหลายอย่างที่เขาว่า

เจ้าของกิจการบางรายก็เหลือเกินถูกกฎหมายไม่ค่อยชอบ ดันทะลึ่ง เล่นนอกกรอบกันอย่างเดียว อย่างบริษัทขายตรงแถวอิมพีเรียล ลาดพร้าว ก็มีบางบริษัท เล่นบทเอกชน ไม่สนกฎหมายยังไง ยังงั้น ตั้งท่าจะระดมเงินโกยเข้ากระเป๋าท่าเดียว แต่ แต่! ผู้เขียน อยากให้ท่านเข้าใจว่า การดำเนินธุรกิจขายตรงนั้น ไม่ใช่ว่ารอให้ผ่าน สคบ. ก่อนแล้วค่อยเปิดกิจการ บางครั้ง ผู้ประกอบการเขาดูที่จังหวะ โอกาส และต้องเตรียมงานล่วงหน้าเกิน 2 เดือน ถ้ามัวรอใบอนุญาตออกมาก่อน ซึ่งไม่รู้ปีไหน ถ้าแผนที่ยื่นไม่ได้โอเว่อร์อะไร ไม่ได้ผิดกฎหมายอะไร ผู้เขียนคิดว่า ท่านก็ไม่ควรดองเค็มไว้อย่างที่เขาร่ำลือกัน เพราะภาคธุรกิจจะได้รับความเสียหาย ไหนต้องลงทุนบุคลากร Back Office ควานหาผู้นำ จ่ายค่าสินค้า เตรียมการไว้เสร็จสรรพ แต่ สคบ. ยังไม่ผ่าน ก็ทำให้ธุรกิจสะดุด

3 เดือนยังไม่ได้ สคบ. แม่ทีมก็หาย สมาชิกก็ขาดความเชื่อถือ ธุรกิจก็ยากที่จะเดินต่อไปข้างหน้า ทุนรอนก็ริบหรี่ 3 เดือนแล้ว ยังไม่ได้รับการอนุมัติ ก็มีทางเดียวนะท่าน คือ "ถ้าช้านักก็ต้องซื้อหัวชาวบ้าน" อย่างเดียว อะนี่โทษกันไม่ได้ และอย่าได้ขัดขวาง หรือมองในแง่ร้ายกันเชียว


 


 


 


Credit By :http://www.ryt9.com

ข่าวเพอร์เฟค รีซอร์สเซส ประเทศไทย (Perfect Resources Thailand) : 'เพอร์เฟค' รุกอินโดจีน เน้นสร้างวัฒนธรรมองค์กร







602752_543223315697100_818634449_n (Mobile)


พอร์เฟค รีซอร์สเซส เน้นสร้างวัฒธรรมองค์กรมากกว่าเล่นเกมกลยุทธ์ ยืนยันแม้โลว์โปรไฟล์แต่เติบโตยั่งยืนเป็นร้อยปี เผยตลาดขายตรงAECสดใส เร่งสร้างฐานรุกคืบประเทศแถบอินโดจีน เปิดตลาดใหม่เพื่อนบ้าน ลาว เขมร พม่า ขณะที่บริษัทแม่ที่จีนขยายฐานผลิตขายตรงไวน์ออแกนิคส์ เร่งเปิดตลาดเอเชียตะวันออกเฉียงใต้


นาย เต้ เพีย เซง กรรมการผู้จัดการ บริษัทเพอร์เฟค รีซอร์สเซส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ภาพรวมการเติบโตของธุรกิจในประเทศไทยตั้งแต่ต้นปีมีแนวโน้มที่ดี ส่วนหนึ่งมาจากการได้ลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ ที่มีศักยภาพเข้ามาร่วมธุรกิจ จึงทำให้ผลประกอบการครึ่งปีแรกมีตัวเลขที่ดี ส่วนในครั้งปีหลังนับว่ามีความท้าทายเพราะมีการตั้งเป้าหมายที่สูงขึ้น ทำให้ต้องทำงานหนักกันมากขึ้น ด้านสมาชิกมีแนวดร้มอยากเปิดศูนย์เพิ่ม โดยเฉพาะทางภาคเหนือ และอีสาน


"เพอร์เฟคฯ เราถือว่าตอนนี้ตลาดค่อนข้างนิ่ง กำลังจะขึ้น ไม่มีตก ก่อนนี้ไม่ได้ตกแต่ไม่นิ่ง คืออย่างแม่ทีมหลายคนที่เคยออกไปทำค่ายอื่น เริ่มกลับมาแล้ว ตอนนี้มีเยอะ ถือว่าเป็นโอกาสที่ดีเพราะปัจจุบันเพอร์เฟคประเทศไทย เราช่วยขยายตลาดอินโดจีน เปิดตลาดใหม่ๆที่เพื่อนบ้าน เขมร กัมพูชาและลาว เพราะตลาดตรงนี้น่าสนใจมาก อย่างลาวมี 6.7 ล้านคน กัมพูชามี 14 ล้านคน พม่ามี 50 กว่าล้าน รวมกันแล้วนับเป็นตลาดที่น่าจับตามอง เราโฟกัส 4 ประเทศ ในภูมิภาคนี้คือ พม่า ลาว เขมร ไทย เพราะวัฒนธรรมใกล้เคียงกัน อย่างพม่า เค้าเป็นไทใหญ่ เค้าฟังรู้เรื่อง เป็นตลาดที่เรามอง"


นาย เต้ เพีย เซง กล่าวว่า ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการทำพรีมาร์เก็ตติ้งที่ประเทศพม่า ทั้งนี้เข้าไปเปิดบริษัทที่ย่างกุ้งและให้การสนับสนุนการเปิดศูนย์ของผู้นำที่นั่น โดยระบบต่างๆอิงที่ประเทศไทยเป็นหลัก ซึ่งผลตอบรับค่อนข้างดี ทั้งนี้การเปิดตลาดที่พม่าก่อนเพราะ มองว่าเป็นตลาดที่น่าสนใจมาก โดยเป็นประเทศที่มีกำลังซื้อ เศรษฐกิจกำลังเติบ เป็นประเทศที่กำลังพัฒนา


"เราไปเปิดจดทะเบียนบริษัทที่พม่า ชื่อ เพอเฟค เมียนมาร์ จำกัด เข้าไปที่ย่างกุ้ง โดยก่อนหน้านี้มีลูกค้าใช้สินค้าประทับใจ อยากทำธุรกิจ เราเพิ่งเข้าไปได้สองเดือน แต่มีศูนย์แล้ว ศูนย์ของผู้นำมีที่ย่างกุ้ง โดยศูนย์ของเราเน้นเครื่องสำอาง มีรูปแบบเป็นบิวตี้เซ็นเตอร์ อีกกลุ่มเป็นสินค้าทั่วไป พม่ามีโอกาสเปิดหลายที่ มีคนที่จะลงทุนเยอะ เรามั่นใจมากเพราะเปิดแค่ 2 เดือน ก็เห็นทิศทางว่าดี มียอดหลายล้านทีเดียว ส่วนอีก 2 ประเทศ จุดเริ่มต้นน่าจะปีหน้า คือเราต้องมีเครือข่ายนิดหนึ่งก่อน"


ขณะที่ตลาดอาเซียนอื่นๆ ที่บริษัทมีสาขาอยู่แล้ว เช่น มาเลเซีย อินโดนีเซียและสิงคโปร์ เป็นตลาดที่เติบโตดีอยุ่แล้ว มีความท้าทายเพราะคู่แข่งเยอะ กฎหมายเข้มงวด ส่วนที่น่าสนใจคือ การเปิดตลาดขายตรงไวน์ในบางประเทศที่ไม่มีกฏหมายห้าม เช่น สิงคโปร์ โดยบริษัทแม่เพอร์เฟคฯขยายไลน์สินค้าในกลุ่มไวน์ออแกนิกส์ ที่นำเข้าจากประเทศแอฟริกาใต้เข้าไปจำหน่าย


"สิงคโปร์อนุญาตให้ขายตรงไวน์ได้ เรามีการลงทุนขยายสินค้าไวน์นำเข้าจากแอฟริกาใต้ โดยตั้งบริษัทเพอร์เฟคไวน์ แอฟริกาใต้ เริ่มมีโรงงานผลิตที่จีน ตลาดขายตรงไวน์ที่จีนใหญ่มาก เริ่มแรกมีปัญหาเรื่องซัพพลายสินค้าไม่ทันเพราะไวน์ปลอดสารพิษ เป็นที่ต้องการของตลาด ปัจจุบันเรามียอดขายหลายพันล้านต่อปี ขณะที่ประเทศไทยติดข้อกฎหมายทำให้ขายผ่านระบบขายตรงไม่ได้ อาจนำเข้ามาในรูปแบบค้าปลีกแทน"


บอสใหญ่ เพอร์เฟคฯประเทศไทย กล่าวอีกว่า จากวิสัยทัศน์ในการดำเนินธุรกิจขายตรงที่ต้องการทำธุรกิจอย่างยั่งยืนไปจนชั่วลูกชั่วหลาน มีแผนดำเนินธุรกิจเป็นร้อยปี จึงทำให้นโยบายในการขยายธุรกิจเน้นหนักไปที่การสร้างวัฒนธรรมองค์กรให้เข้มแข็ง มากกว่าการเน้นกลยุทธ์ทางการขายให้ได้ยอดผลประกอบการมากๆ สำหรับประเทศไทยซึ่งบริษัทได้เปิดดำเนินธุรกิจขายตรงที่ผ่านมาถือว่าเป็นบริษัทที่ค่อนข้างโปรไฟล์ หรือ ไม่ค่อยเป็นที่รู้จักผ่านสื่อต่างมากนัก นั่นเพราะบริษัทเน้นการบริหารองค์กรภายในมากกว่า


"ทุกวันนี้ขายตรงมีหลายรูปแบบ คนที่จะอยู่นาน รู้เลยว่าถ้าวัฒนธรรมไม่ดีอยู่ไม่ได้ บริษัทใหญ่ๆที่อยู่ได้ เพราะมีวัฒนธรรมของเขา ไม่เหมือนธุรกิจทั่วไป ที่แข่งขันกลยุทธ์การตลาด ธุรกิจขายตรงรันไปได้ด้วยคน คุณภาพของคนคือปัจจัยที่สำคัญในการดำเนินธุรกิจ คนในเครือข่ายต้องมีคุณภาพ สินค้าต้องมีคุณภาพด้วย บวกการบริการที่ดี แต่ถ้าวันนี้เรามาเน้นกลยุทธ์มากเกินไปมุ่งเน้นยอดขาย แต่ขาดจริยธรรม คุณธรรม ก็จะไม่ยั่งยืน" กรรมการผู้จัดการ กล่าว





Credit By : http://www.ryt9.com

วันพุธที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ข่าวเเอมเวย์ (Amway Thailand) : สตีฟ แวน แอนเดล ได้รับเลือกเป็นประธานของคณะกรรมการอำนวยการคนใหม่ของหอการค้าสหรัฐอเมริกา







190713_1(3) (Mobile)


วอชิงตัน ดีซี, หอการค้าสหรัฐอเมริกาแต่งตั้ง สตีฟ แวน แอนเดล ขึ้นเป็นประธานของคณะกรรมการอำนวยการหอการค้าคนใหม่ ทั้งนี้ แวน แอนเดล ซึ่งปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของแอมเวย์ จะดำรงตำแหน่งดังกล่าวเป็นเวลาหนึ่งปี


สตีฟเป็นบุคคลหนึ่งที่สนับสนุนแนวคิดระบบการค้าเสรี (The Free Enterprise System) ซึ่งทางหอการค้าพยายามที่จะผลักดันและให้การคุ้มครอง โธมัส เจ. โดโนฮิว (Thomas J. Donohue) ประธานและประธานบริหารของหอการค้าสหรัฐฯ กล่าว สตีฟได้พิสูจน์ตนเองแล้วว่าเขาเป็นผู้ที่ทำงานอย่างไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย และเป็นเสมือนผู้นำทั้งด้านการค้าระดับนานาชาติ ด้านการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันทางธุรกิจและด้านอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งเป็นที่สนใจของแวดวงธุรกิจและการค้า พวกเราหวังที่จะทำงานร่วมกันต่อไปเพื่อช่วยยกระดับการสร้างงาน ผู้ประกอบการ และเพื่อการสร้างสรรค์นวัตกรรมใหม่ๆ จากทุกมุมโลก


ในฐานะประธานกรรมการของแอมเวย์ แวน แอนเดล เป็นผู้ที่รับผิดชอบการดำเนินธุรกิจโดยรวมของแอมเวย์และเป็นผู้ที่ผลักดันให้แอมเวย์เป็นองค์กรที่มีความแข็งแกร่งและมีความหลากหลายในการดำเนินธุรกิจมากขึ้นในเศรษฐกิจยุคใหม่ ก่อนหน้าที่ แวน แอนเดล จะดำรงตำแหน่งประธานกรรมการของแอมเวย์ในปี 2538 แวน แอนเดล ได้ดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัท โดยรับผิดชอบด้านการดำเนินธุรกิจของแอมเวย์ในทวีปอเมริกาเหนือและอเมริกาใต้ และยังดำรงตำแหน่งรองประธานด้านการตลาดอีกด้วย


แวน แอนเดล เคยได้รับการแต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่ง ประธานหอการค้าสหรัฐฯ เป็นเวลา1 ปี และสิ้นสุดวาระไปเมื่อ 12 มิถุนายน 2545 ก่อนจะได้รับตำแหน่งประธานของคณะกรรมการอำนวยการในเวลาต่อมา ทั้งนี้ แวน แอนเดล จะยังคงดำรงตำแหน่งรองประธานของสภาธุรกิจทวิภาคี สหรัฐฯ- เกาหลีใต้ (U.S.-Korea Business Council) ของหอการค้าสหรัฐฯ ต่อไป และจะยังคงมุ่งมั่นขยายความร่วมมือทางการค้าในฐานะประธานของคณะกรรมการอำนวยการหอการค้าคนใหม่


ผมเป็นผู้ที่มีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้าที่จะสนับสนุนให้แต่ละองค์กรธุรกิจทั่วโลกมีความเชื่อมโยงกันมากกว่านี้ ไม่ว่าธุรกิจเหล่านั้นจะมีขนาดเล็ก กลาง หรือใหญ่ การส่งเสริมการค้าในทุกมุมโลกจะยังคงเป็นภารกิจหลักของผมต่อไป แวน แอนเดล กล่าว


แวน แอนเดล ซึ่งเป็นชาวรัฐมิชิแกนโดยกำเนิด ได้ใช้เวลาอันยาวนานเพื่อสร้างความก้าวหน้าให้กับพื้นที่ใจกลางเมืองแกรนด์ แรพิดส์ (Grand Rapids) และพื้นที่ทางตะวันตกของรัฐมิชิแกน นอกจากนี้ เขายังดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการอำนวยการของกองทุนประธานาธิบดีเจอรัลด์ อาร์. ฟอร์ด (The Gerald R. Ford Presidential Foundation) เมโทรโพลิทัน เฮลธ์ คอร์ปอเรชั่น (Metropolitan Health Corporation) กองทุนโรงพยาบาล เมโทรโพลิทัน (Metropolitan Hospital Foundation) และสถาบัน แวน แอนเดล (Van Andel Institute) ซึ่งเป็นศูนย์วิจัยทางวิทยาศาสตร์สุขภาพชั้นนำ แวน แอนเดล ยังดำรงตำแหน่งประธานของสภาตรวจสอบ (Advisory Board) ประจำวิทยาลัยธุรกิจซีดแมน (Seidman College of Business) มหาวิทยาลัยแกรนด์ วัลเลย์ สเตท (Grand Valley State University) และยังเป็นสมาชิกของกลุ่มบิซเนส ลีดเดอร์ ฟอร์ มิชิแกน (Business Leaders for Michigan)


แวน แอนเดล จบการศึกษาระดับบัณฑิตด้านเศรษฐศาสตร์และการบริหารธุรกิจจากวิทยาลัยฮิลล์สเดล (Hillsdale College) เมืองฮิลล์สเดล (Hillsdale) รัฐมิชิแกน โดยยังคงดำรงตำแหน่งในคณะกรรมการอำนวยการของวิทยาลัยอีกด้วย แวน แอนเดล จบการศึกษาระดับมหาบัณฑิตด้านการตลาดจากมหาวิทยาลัยไมอามี่ (Miami University)เมืองอ็อกซฟอร์ด (Oxford) รัฐโอไฮโออีกด้วย


*หอการค้าสหรัฐอเมริกา เป็นสหพันธ์ทางธุรกิจที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีสมาชิกในทุกขนาดของธุรกิจ ทุกภาคส่วนและทุกภูมิภาคมากกว่า 3 ล้านราย ซึ่งรวมถึงหอการค้าและสภาอุตสาหกกรรมระดับรัฐอีกด้วย


ข่าวเเอมเวย์ (Amway Thailand) : แอมเวย์เผยนิวทริไลท์ประสบความสำเร็จยอดขายทะลุ 6,000 ล้านบาท รุกตลาดครึ่งปีหลังเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ "นิวทริไลท์ แคล แมก ดี"







prnews230713_ct (Mobile)


ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์จากแอมเวย์รุกตลาดครึ่งปีหลัง เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่นิวทริไลท์ แคล แมก ดี หลังประสบความสำเร็จด้วยยอดขายทะลุ 6,000 ล้านบาทเมื่อปี 2555 เผยสถิติน่าเป็นห่วง คนไทยได้รับแคลเซียมไม่ถึงครึ่งของปริมาณที่ร่างกายต้องการต่อวันวางกลยุทธ์ให้ความรู้พร้อมกระตุ้นผู้บริโภครุ่นใหม่ใส่ใจดูแลกระดูก ชูบริการพิเศษ เฮลธ์ แอนด์ บิวตี้ เช็ค ประกาศเชิญคนไทยรับบริการตรวจความหนาแน่นมวลกระดูกฟรี! 500 ท่าน ระหว่าง24 ก.ค. ถึง 24 ส.ค. นี้


นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า เทรนด์ของผู้บริโภคยังคงตระหนักถึงความสำคัญในการดูแลร่างกายให้แข็งแรงมีสุขภาพดี และยอมรับให้ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเป็นอีกหนึ่งทางเลือกในการดูแลสุขภาพพื้นฐานมากขึ้น ส่งผลให้ยอดขายผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์ทั่วโลกเติบโตสูงขึ้นถึง 147,000 ล้านบาท* ในปีที่ผ่านมา บริษัทจึงวางแผนขยายกำลังการผลิตโดยทุ่มงบประมาณอีก 11,250 ล้านบาท* เพื่อขยายโรงงานผลิตเพิ่มเติมอีก 7 แห่งในสหรัฐอเมริกา จีน อินเดีย และเวียดนาม สำหรับประเทศไทย นิวทริไลท์เติบโตและประสบความสำเร็จในทิศทางเดียวกัน โดยมียอดขายทะลุ 6,000 ล้านบาทในปีที่ผ่านมา


ความสำเร็จดังกล่าวนอกจากจะมาจากเทรนด์ใส่ใจสุขภาพของผู้บริโภคแล้ว ยังเป็นผลจากกลยุทธ์การตลาดที่เรามุ่งสร้างความรู้ให้กับนักธุรกิจแอมเวย์อย่างจริงจังและต่อเนื่อง ทำให้เรามีนักธุรกิจแอมเวย์มืออาชีพที่สามารถให้ข้อมูลผลิตภัณฑ์และการดูแลสุขภาพที่ถูกต้องแก่ลูกค้าได้เป็นอย่างดี สำหรับปีนี้เพื่อขยายตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารกลุ่มวิตามินและเกลือแร่ให้แข็งแกร่งมากขึ้น เรายังคงใช้กลยุทธ์เดิมพร้อมการมองหาโอกาสใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งพบว่าวิตามินและเกลือแร่กลุ่มแคลเซียมเป็นอีกหนึ่งกลุ่มสินค้าที่มีโอกาสการตลาดสูงมาก นายกิจธวัชกล่าว


นายกิจธวัช กล่าวต่อไปว่า องค์การอนามัยโลกพบว่าผู้ป่วยโรคกระดูกพรุนทั่วโลกเพิ่มขึ้นจนกลายเป็นปัญหาทางสาธารณสุขอันดับ 2 รองจากโรคหัวใจและหลอดเลือด นอกจากนั้น ยังพบว่าอายุเฉลี่ยของผู้ที่เป็นโรคกระดูกพรุนเริ่มน้อยลงเรื่อยๆ ขณะเดียวกัน ภายใน 10 ปีข้างหน้าสังคมไทยจะก้าวเข้าสู่สังคมผู้สูงอายุอย่างสมบูรณ์ นอกจากนั้น สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัยระบุว่า คนไทยได้รับแคลเซียมจากอาหารไม่เพียงพอ คือไม่ถึงครึ่งหนึ่งของปริมาณขั้นต่ำที่ร่างกายต้องการต่อวัน** ดังนั้น นิวทริไลท์ขอแนะนำผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใหม่ นิวทริไลท์ แคล แมก ดี เป็นตัวช่วยเพื่อดูแลสุขภาพกระดูกของคนไทย ซึ่งหากให้ความรู้และทำความเข้าใจกับผู้บริโภคอย่างถูกต้องแล้ว สินค้าตัวนี้มีโอกาสขยายตลาดทั้งในกลุ่มวัยหนุ่มสาว วัยทำงานและผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้นทุกวัน


นางรัตนา ชาญนรา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใหม่ นิวทริไลท์ แคล แมก ดี มีส่วนประกอบสำคัญคือ แคลเซียม แมกนีเซียม วิตามินดี และเกลือแร่ พร้อมสารสกัดเข้มข้นอัลฟัลฟา โดยแคลเซียมมีส่วนช่วยในกระบวนการสร้างกระดูกและฟันที่แข็งแรง และมีส่วนช่วยในการแข็งตัวของเลือด แมกนีเซียมช่วยในการทำงานของระบบประสาทและกล้ามเนื้อ และวิตามินดีช่วยดูดซึมแคลเซียมและฟอสฟอรัส นอกจากนั้น ยังพิเศษไม่เหมือนใครคือมีสารสกัดเข้มข้นอัลฟัลฟาที่ประกอบด้วยไฟโตนิวเทรียนท์เสริมลงไปอีกด้วย


สถิติล่าสุดจากมูลนิธิโรคกระดูกพรุนแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ พบว่าในกลุ่มผู้สูงวัยอายุเกิน 60 ปีขึ้นไป ผู้หญิง 1 ใน 3 คน และผู้ชาย 1 ใน 5 คน มีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุน แต่ละคนต้องสูญเสียค่ารักษาเฉลี่ยปีละ 3 แสนบาท*** นอกจากนั้น เรายังพบว่าผู้บริโภคส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่า วัยที่เหมาะสมในการรับประทานสารอาหารแคลเซียมต้องเป็นผู้ใหญ่หรือวัยผู้สูงอายุเท่านั้น ดังนั้น เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดปัญหาดังกล่าว ควรให้ความรู้ใหม่เกี่ยวกับการดูแลสุขภาพกระดูกตั้งแต่วัยหนุ่มสาวเพราะอาการของปัญหากระดูกจะไม่ปรากฏให้เห็นในช่วงอายุน้อย แต่จะส่งผลเมื่อสูงวัย ทั้งนี้ ช่วงอายุ 18 - 30 ปี เป็นช่วงโอกาสทองในการเสริมสร้างกระดูกให้แข็งแรง เราควรให้ความสำคัญกับการใช้ชีวิตประจำวันโดยเฉพาะโภชนาการที่ดี บริโภคสารอาหารแคลเซียมให้เพียงพอตามที่ร่างกายต้องการต่อวัน ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และการได้รับแสงแดด ล้วนมีผลช่วยการสร้างมวลกระดูกให้แข็งแรงและมีสุขภาพดีระยะยาว นางรัตนากล่าว


นางรัตนากล่าวต่อไปว่า นิวทริไลท์เล็งเห็นถึงความสำคัญในดูแลสุขภาพเพื่อป้องกันการเกิดโรคก่อนต้องเสียค่าใช้จ่ายในการรักษา จึงจัดบริการพิเศษ เฮลธ์ แอนด์ บิวตี้ เช็ค (Health & Beauty Check) เพื่อส่งเสริมให้คนไทยหันมาสนใจทั้งด้านสุขภาพร่างกายและดูแลความงามมากขึ้น โดยเปิดโอกาสให้นักธุรกิจแอมเวย์และสมาชิกใช้บริการพร้อมรับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ปัจจุบันมีทั้งสิ้น 29 แห่ง สามารถให้บริการด้านสุขภาพกระดูก โดยตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูกให้กับลูกค้าได้ประมาณ 15,000 คนต่อปี


เพื่อรณรงค์ให้คนรุ่นใหม่ใส่ใจสุขภาพกระดูกตั้งแต่อายุยังน้อย นอกจากการให้ความรู้กับนักธุรกิจแอมเวย์และสมาชิกกว่า 1,000,000 รายแล้ว นิวทริไลท์ขอเชิญชวนประชาชนร่วมตรวจวัดความหนาแน่นมวลกระดูกฟรี! ไม่เสียค่าใช้จ่าย จำนวน 500 ท่าน ที่แอมเวย์ ช็อป สาขาสยามดิสคัฟเวอรี่ และแอมเวย์พลาซ่า ถนนรามคำแหง โดยสามารถลงทะเบียนจองสิทธิ์รับบริการทาง Amway Call Center ที่ 0-2725-8000 ได้ตั้งแต่วันที่ 24 ก.ค. 24 ส.ค. นี้ (หรือจนกว่าจะครบจำนวน) นางรัตนากล่าวในที่สุด



*อัตราแลกเปลี่ยนโดยประมาณ 30 บาทต่อ 1 ดอลลาร์สหรัฐ


**สำนักงานกองทุนสนับสนุนการวิจัย (สกว.): คนไทยได้รับแคลเซียมจากอาหารเฉลี่ยเพียงวันละ 361 มิลลิกรัมเท่านั้น ซึ่งน้อยกว่าความต้องการของร่างกายในแต่ละวันของวัยต่างๆ ประมาณ 800 - 1,000 มิลลิกรัม


***มูลนิธิกระดูกพรุนแห่งประเทศไทย 2554: 1 ใน 3 ของผู้หญิงอายุเกิน 60 ปี และ 1 ใน 5 ของผู้ชายอายุเกิน 60 ปี มีโอกาสเป็นโรคกระดูกพรุน แต่ละคนต้องสูญเสียค่ารักษาเฉลี่ยปีละ 3 แสนบาท




ข่าวกิฟฟารีน (Giffarine Thailand) : กิฟฟารีนร่วมสนับสนุนโครงการ เยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ครั้งที่ 9







pic 12233333 (Mobile)


บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด นำโดย ดร. นารี สุทธปรีดา รองกรรมการผู้จัดการ ในฐานะตัวแทนบริษัทผู้ให้การสนับสนุน ร่วมงานแถลงข่าว พร้อมมอบเงินจำนวน 300,000 บาท สนับสนุนโครงการ เยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกาเยือนแผ่นดินแม่ครั้งที่ 9 เพื่อปลูกฝังให้เยาวชนไทยได้เกิดความรักและผูกพันต่อประเทศไทย อันเป็นแผ่นดินของบรรพบุรุษ โดยมี พล.อ.อ กันต์ พิมาณทิพย์ ประธานโครงการฯ ให้เกียรติรับมอบ พร้อม คุณสุรศักดิ์ วงศ์ข้าหลวง ประธานโครงการฯ ฝ่ายสหรัฐอเมริกา และ คุณดำฤทธิ์ วิริยะกุล หัวหน้าข่าวภูมิภาคหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ร่วมงาน ณ สถานีวิทยุโทรทัศน์ กองทัพบก ช่อง 5 (ททบ.5) เมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา ทั้งนี้ โครงการเยาวชนไทยในสหรัฐอเมริกา เยือนแผ่นดินแม่ ครั้งที่ 9 นำโดย นายชัยยงค์ สัจจิพานนท์ เอกอัคราชทูต ณ กรุงวอชิงตัน ดี.ซี. และนายเจษฎา กตเวทิน กงสุลใหญ่ ณ นครลอสแอนเจลิส พร้อมด้วยคณะเยาวชนไทยและผู้ปกครอง จำนวน 210 คน เดินทางมาเยือนประเทศไทย ระหว่างวันที่ 6-21 กรกฎาคม 2556 เพื่อร่วมเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ พร้อมทั้งร่วมกิจกรรมบำเพ็ญประโยชน์ในประเทศไทย และทัศนศึกษาสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ โครงการพระราชดำริ และสถานที่ท่องเที่ยวที่น่าสนใจในประเทศ ตลอดจนความเจริญก้าวหน้าในประเทศไทย เพื่อนำไปเผยแพร่ประชาสัมพันธ์ให้ชาวไทยในสหรัฐอเมริกา รวมทั้งชาวอเมริกัน และนักท่องเที่ยวชาติต่างๆ ได้รับทราบเรื่องราวที่แท้จริงของประเทศไทย เพื่อส่งเสริมภาพลักษณ์ที่ดี และการท่องเที่ยวในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง


[gallery columns="2" link="post" ids="18541,18542,18543,18544"]

ข่าวกิฟฟารีน (Giffarine Thailand) : กิฟฟารีน สานฝันเยาวชนไทย มอบทุนการศึกษามูลค่ากว่า1.6 ล้านบาท







GFR 06.07.13 (377)777777_1 (Mobile)


เพราะการศึกษาเป็นรากฐานสำคัญในการพัฒนาความรู้และความคิดทางปัญญา แต่ยังมีเด็กและเยาวชนไทยอีกหลายคนที่ไม่มีโอกาสได้ศึกษาเล่าเรียน กิฟฟารีนเล็งเห็นความสำคัญ จึงจัดตั้ง "กองทุนมงคลปิยะสุพรรณกัลยา" กองทุนที่สนับสนุนโอกาสทางการศึกษา โดยมอบทุนการศึกษาแบบให้เปล่าแก่เด็กกำพร้าให้ได้เล่าเรียนสูงสุดตามความสามารถ มาอย่างต่อเนื่องเป็นเวลา 17 ปี จนถึงปัจจุบันรวมเป็นมูลค่ากว่า 25 ล้านบาท โดยในปีนี้ พญ. นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ให้เกียรติมอบทุนการศึกษาประจำปี 2556 ให้แก่นักเรียนใน กองทุนมงคล ปิยะสุพรรณกัลยา จำนวน 70 ทุน รวมเป็นเงินทั้งสิ้น 1.6 ล้านบาท เพื่อช่วยส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพเด็กไทยให้มีโอกาสทางการศึกษาที่ก้าวไกล และประกอบอาชีพในอนาคตตามที่ใฝ่ฝันจนสามารถพึ่งพาตนเองได้ โดยมีผู้บริหารระดับสูงให้เกียรติร่วมงานอย่างคับคั่ง ณ อาคารสิริพิชชา ถ.พระราม 6จากนั้นได้จัดกิจกรรมพาน้องๆ เข้าชมภาพยนตร์แอนนิเมชั่น 3D เรื่อง Despicabel Me 2 มิสเตอร์แสบร้ายเกินพิกัด 2 ณ โรงภาพยนตร์ SF World Cinema สาขา Central World งานนี้จึงเต็มอิ่มไปด้วยความสนุกสนาน อบอุ่นและประทับใจตั้งแต่ต้นจนจบตลอดทั้งวัน


[gallery columns="2" ids="18531,18532,18533,18534"]

ข่าวยูนิซิตี้ (Unicity Thailand) : ยูนิซิตี้ ฉลองความสำเร็จ จัดงาน "Mid-year Recognition 2013" เปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่VPlus







1017526_10151787695391419_2049808425_n (Mobile)


เมื่อวันเสาร์ที่ 13 กรกฎาคม 56 ที่ผ่านมา บริษัท ยูนิซิตี้ มาร์เก็ตติ้ง (ไทยแลนด์) จำกัด ได้จัดงาน Mid-year Recognition 2013 พิธีประดับเข็มเกียรติยศกลางปี 2556 ภายใต้คอนเซปต์งาน The power of unicity พลังความสำเร็จ พลังยูนิซิตี้ ท่ามกลางแขกผู้มีเกียรติและสื่อมวลชนเข้าร่วมงานกันเป็นจำนวนมาก ณ อิมแพ็ค เอ็กซิบิชั่น ฮอล์ 1-2 ศูนย์แสดงสินค้าและการประชุม อิมแพ็ค เมืองทองธานี


มร.คริสโตเฟอร์ คิม ประธาน ยูนิซิตี้ เอชีย แปซิฟิค ได้กล่าวเปิดงานและแถลงถึงภาพรวมแผนงานของยูนิซิตี้ ในปี 2556 นี้ว่า เตรียมที่จะขยายตลาดเพิ่มขึ้นใน 3 ประเทศ ได้แก่ ลาว, อินโดนีเซีย และ เวียดนาม เพื่อรองรับ การเปิดประชาคมเศรษฐกิจ อาเซียน จากปัจจุบันที่ ยูนิซิตี้ มีศูนย์กระจาย สินค้าอยู่ที่ 73 แห่งทั่วประเทศไทย และมาก กว่า 70 ศูนย์ ที่เป็นศูนย์กระจายสินค้า เหตุผลที่ยูนิซิตี้ได้รุกเข้าไปทำตลาดใน 3 ประเทศนั้น เนื่องจากเล็งเห็นถึงศักยภาพของประเทศดังกล่าวว่า มีแนวโน้มตลาดที่สดใส เพราะเห็นได้จากเริ่มที่จะมีนักธุรกิจในประเทศนั้นๆ เกิดขึ้นบ้างแล้ว ซึ่งหาก ยูนิซิตี้บุกตลาดทั้ง 3 ประเทศนี้อย่างจริงจังเมื่อ ไหร่ เชื่อว่าโอกาสที่ธุรกิจ จะเติบโตก็มีสูงเช่นกัน ในขณะเดียวกันปัจจัยที่ทำให้ยูนิซิตี้เติบโต มาได้พร้อมกับกล้าที่จะขยายตลาดเพิ่มมากขึ้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเรามีผู้นำที่ดีพร้อมกับมีระบบที่ดีในการขับเคลื่อนคนและองค์กรสู่ความสำเร็จนั่นเอง


นอกจากนี้ ล่าสุด ยูนิซิตี้ ได้เตรียมความพร้อมเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ที่จะเกิดขึ้นในปี พ.ศ.2558 ด้วยการขยายธุรกิจสู่ประเทศเพื่อนบ้าน เปิดสำนักงาน ยูนิซิตี้ ประจำประเทศเวียดนาม เมืองฮานอย และสำนักงานยูนิซิตี้ประจำประเทศกัมพูชา กรุงพนมเปญ ซึ่งนับว่าเป็นการขยายฐานธุรกิจของยูนิซิตี้ และเปิดโอกาสให้ประชากร ในประเทศนั้นๆ มีรายได้ รวมทั้งความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมทั้งเตรียมความพร้อมของการทำงานร่วมกันของเครือข่ายยูนิซิตี้ในประชาคมอาเซียน เพื่อช่วยขับเคลื่อนยูนิซิตี้ ไปสู่เป้าหมายที่วางไว้


นอกจากเรื่องยอดขายของบริษัทแล้ว ยูนิซิตี้ ยังให้ความสำคัญกับการดูแลสุขภาพ จึงได้ออกผลิตภัณฑ์ใหม่ VPlus เพื่อตอบรับกระแสเทรนด์รักสุขภาพที่มีมากขึ้น ซึ่งสินค้าของยูนิซิตี้ได้รับการตอบรับจากผู้บริโภคภายในประเทศไทยเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะจะเห็นได้จากจำนวนนักธุรกิจที่มีเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร VPlus ประกอบไปด้วย Wild Bilbery ซึ่งช่วยเพิ่มสมรรถภาพในการมองเห็นในที่มืด ลดความเสี่ยงของอาการตาบอด อีกทั้งยังมี Lutein และ Zeaxanthin ซึ่งเป็นองค์ประกอบสำคัญในจอประสาทตา ช่วยบำรุงสุขภาพดวงตา


โดยในช่วงท้ายของงานได้มีการประกาศรางวัลให้แก่นักธุรกิจยูนิซิตี้ที่ประสบความสำเร็จทั้งหมด 4 ระดับ ได้แก่ 1.ระดับ Direrctor 2. ระดับ Senior Director 3. ระดับ Executive Director และ 4. ระดับ Preidential Rank ซึ่งระหว่างการประกาศรางวัลได้มีการแสดงสุดอลังการขั้นในพิธีการประกาศรางวัล ทั้งหมด 3 ชุด ซึ่งเรียกเสียงปรบมือได้อย่างดังสนั่นฮอลล์เลยทีเดียว ได้แก่ 1.การแสดงชุด Power of passion 2. การแสดงชุด Power of Action และ 3.การแสดงชุด Power of Victory แต่ที่เป็นไฮไลต์ของงานเห็นทีจะเป็นการกล่าวเพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักธุรกิจยูนิซิตี้และแขกผู้มีเกียรติที่มาเข้าร่วมงาน ของ ดร. รสา คำแบน นักธุรกิจยูนิซิตี้ ระดับ President Crown Diamond เรียกได้ว่าถึงแม้งานจบแต่ภาพความประทับใจไม่จบจริงๆ เหมาะสมกับสโลแกนที่ได้กล่าวไว้ว่า Unicity; the make life better company .


ข่าวสมาคมการขายตรงไทย (TDSA) : กำลังซื้อหดตัวกระหน่ำ ธุรกิจขายตรง ตกต่ำสุดในรอบ 10 ปี







556000009350601 (Mobile)


นายกสมาคมการขายตรงไทยบ่นอุบ รับผลกระทบจากภาวะเศรษฐกิจตกต่ำรอบตัว จวกนโยบายรถคันแรกส่งผลเต็มๆ ทำกำลังซื้อผู้บริโภคหดตัวและตัดสินใจซื้อช้าลง คาดครึ่งปีหลังผู้ประกอบการทุกค่ายอัดงบฯ เล่นเกมลด แลก แจก แถมเต็มเหนี่ยว แต่มั่นใจมีแนวโน้มไปได้สวยหลังเปิดเออีซี เตรียมหารือจัดตั้ง สหพันธ์การขายตรงอาเซียน เพราะตลาดอาเซียนโตถึง 9.7% สูงกว่าตลาดโลกที่โตเพียง 5.4%


นายกิจธวัช ฤทธีราวี นายกสมาคมการขายตรงไทย เปิดเผยว่า จากภาวะเศรษฐกิจที่เป็นอยู่ขณะนี้ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจขายตรงไทยโดยรวมมีผลประกอบการไม่เป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเป้า เนื่องจากตลอดเวลาที่ผ่านมากว่า 10 ตลาดรวมธุรกิจขายตรงไทยมีอัตราการเติบโตเฉลี่ย 7-10% แต่จากครึ่งปีแรกที่ผ่านมาผู้ประกอบการแต่ละรายมีอัตราเติบโตเพียง 4-5% จึงคาดว่าธุรกิจขายตรงไทยในปีนี้จะมีอัตราการเติบโตเพียงประมาณ 5% จากปี 2555 ซึ่งมีมูลค่าตลาดรวมประมาณ 7 หมื่นล้านบาท


สาเหตุสำคัญที่ทำให้ตลาดรวมของธุรกิจขายตรงไทยเติบโตต่ำกว่าปกติ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอกคือภาวะเศรษฐกิจรวมของโลกที่ยังคงผันผวน ทั้งในยุโรป สหรัฐอเมริกา จีน และอื่นๆ ขณะเดียวกันภาคการส่งออกรวมของประเทศก็ไม่เป็นไปตามเป้า แต่สาเหตุที่สำคัญคือปัจจัยภายในประเทศ โดยเฉพาะนโยบายรถคันแรก และนโยบายต่างๆ ทางด้านเศรษฐกิจที่ล้มเหลวจนส่งผลให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อต่ำและมีการตัดสินใจซื้อช้าลงในทุกๆ ผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะในส่วนของอาหารเสริมและเครื่องสำอางได้รับผลกระทบมากที่สุด ประการสำคัญ หากมีเหตุการณ์อื่นๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมือง อาจส่งผลให้ธุรกิจขายตรงไทยตกต่ำมากกว่านี้ก็เป็นได้


ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี แต่ธุรกิจขายตรงก็ยังคงเติบโตได้อยู่เพราะมีผู้เข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่ายอิสระมากขึ้นส่งผลให้ขายสินค้าได้มากตามไปด้วย เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้จึงถือเป็นเรื่องผิดปกติมาก เพราะปรากฏว่ามีผู้สนใจเข้าสู่ธุรกิจขายตรงน้อยลงกว่าทุกปี จึงทำให้เชื่อได้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังผู้ประกอบการแต่ละรายจะต้องอัดงบประมาณในการทำตลาดมากขึ้นเพื่อใช้ในการจัดโปรโมชันต่างๆ ทั้งลด แลก แจก แถม เพื่อเป็นการกระตุ้นกำลังซื้อให้สูงขึ้น ขณะเดียวกันยังต้องเพิ่มผลตอบแทนให้ผู้จำหน่ายอิสระสูงขึ้นอีกเพื่อเป็นแรงจูงใจให้จำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น


อย่างไรก็ตาม เมื่อมองในภาพรวมของธุรกิจขายตรงทั้งภูมิภาคอาเซียนในปี 2555 กลับพบว่ามีมูลค่ายอดธุรกิจเป็นจำนวนถึง 6.22% ของมูลค่าธุรกิจเครือข่ายทั่วโลก ทั้งยังมีอัตราการเติบโตจากปี 2554 สูงถึง 9.7% ในขณะที่ธุรกิจเครือข่ายทั่วโลกมีอัตราการเติบโตเพียง 5.4%


จากภาพรวมดังกล่าว สมาคมการขายตรงไทยจึงเตรียมจัดงานสัมมนาครบรอบ 30 ปีภายใต้ชื่อ 30 ปีสมาคมการขายตรงไทย : ธุรกิจเครือข่าย...อาชีพแห่งอนาคต ในวันที่ 15 ส.ค.ศกนี้ โดยจะมีนายกสมาคมการขายตรงมาเลเซียและเวียดนามมาร่วมงานเพื่อแลกเปลี่ยนทรรศนะและประสบการณ์เพื่อให้ทุกๆ ฝ่ายในธุรกิจเครือข่ายทั้ง 3 ประเทศได้รับประโยชน์จากการเปิดเขตประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ในปี 2558


นายกิจธวัชกล่าวด้วยว่า ตลอดเวลาที่ผ่านมาสมาคมการขายตรงไทยมีการประสานงานกับผู้ประกอบการและสมาคมการขายตรงแต่ละประเทศในอาเซียนเป็นประจำอยู่แล้ว ในช่วงปลายปี 2556 แต่ละประเทศในภูมิภาคอาเซียนจะเดินทางไปประชุมและร่วมงานครบรอบ 35 ปีสมาคมขายตรงมาเลเซีย โดยคาดว่าอาจมีการสรุปเรื่องการจัดตั้ง สหพันธ์ขายตรงอาเซียน อย่างเป็นทางการก่อนที่จะมีการเปิดเออีซี เนื่องจากปัจจุบันเริ่มมีธุรกิจเครือข่ายระดับโลกหลายแห่งทยอยเข้าไปดำเนินธุรกิจในประเทศต่างๆ ของอาเซียนเพิ่มมากขึ้น ขณะที่ธุรกิจเครือข่ายในอาเซียนก็เริ่มมีการสำรวจตลาดในประเทศเพื่อนบ้านเพิ่มมากขึ้นด้วย


เหตุผลที่เราเชิญสมาคมการขายตรงมาเลเซียและเวียดนามมาร่วมงานครั้งนี้ เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศมีศักยภาพที่ต่างกันและเอื้อต่อธุรกิจขายตรงไทย โดยในส่วนของมาเลเซียนั้นถือเป็นตลาดที่เก่าแก่และใหญ่สุดในอาเซียน โดยมีมูลค่าตลาดรวมสูงถึง 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ ส่วนเวียดนามถือเป็นตลาดใหม่ที่มีแนวโน้มการเติบโตสูงด้วยจำนวนประชากรกว่า 100 ล้านคน จึงทำให้มีศักยภาพสูงพอที่จะเข้าไปเปิดตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ


ปัจจุบันประเทศไทยมีผู้ประกอบการธุรกิจเครือข่ายขายตรงที่จดทะเบียนเป็นบริษัทและได้รับการรับรองจากสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) จำนวน 353 บริษัท แต่เป็นสมาชิกสมาคมการขายตรงไทยเพียง 35 บริษัท ซึ่งสามารถทำรายได้สูงถึง 70% ของมูลค่าตลาดรวม 7 หมื่นล้านบาท


ทั้งนี้ จำนวนผู้เกี่ยวข้องในธุรกิจขายตรงประมาณ 15 ล้านคน คิดเป็นสมาชิกเพื่อประกอบธุรกิจเพียง 4.9 ล้านคน โดยส่วนใหญ่เป็นสมาชิกเพื่อใช้สินค้าจำนวน 10.1 ล้านคน





Credit By :http://www.manager.co.th/

วันพฤหัสบดีที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สงคราม MLM ครึ่งปีแรก "รัฐ-เอกชน-สมาคม" สลับกันเด่น พาวงการร้อน!!







mlm-online-school-120711-1 (Mobile)


จับประเด็น 6 เดือนแรกปี 56 ภาครัฐอย่าง "สคบ." ได้ผลงานนโยบายรณรงค์ "ตราสัญลักษณ์ สคบ." ผ่านฉลุย 29 บริษัทขายตรงผ่านสเป็ก รับมอบเรียบร้อย ด้านเอกชน "นีโอ ไลฟ์" จัดงานใหญ่ต่อเนื่อง พร้อมสานต่อ "นีโอ สตาร์ โปรเจกต์ 2" เด็กมัธยมร่วมประกวดร้อง เต้น ชิงรางวัลรวมกว่า 2 ล้านบาท "นู สกิน" เปิดตัวโฆษณาฟรีทีวีตัวแรก นับตั้งแต่ตั้งสาขาไทย "มิ้ลค์กี้ เวย์" แตกหักจากคู่รัก เปลี่ยนเป็นคู่แค้น ฝั่งสมาคมขายตรงกลายเป็น 4 ก๊ก หลัง TDNA เปิดตัวหนุนรัฐแก้กฎหมาย ตั้งหน่วยงานดูแลเฉพาะ ด้าน TDSA ชิงหาแนวร่วมตั้ง "สมาพันธ์ขายตรงอาเซียน" ตัดหน้า TSDA

สคบ. ยิ้มร่า 29 บ. น้อมรับ "ตราสัญลักษณ์"


"สำนักงานคณะกรรมการเลขาธิการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)" ดูจะอิ่มเอิบเป็นที่สุด ภายใต้การบริหารของ "จิรชัย มูลทองโร่ย" เลขาธิการคนปัจจุบัน จากนโยบายข้ามปีของหน่วยงาน รัฐนามนี้ว่าที่เรื่องการรณรงค์ให้ 26 ธุรกิจ เข้ามาขอรับ "ตราสัญลักษณ์ สคบ." เพื่อการันตีคุณภาพของบริษัทนั้น ด้วยเหตุผลที่ว่าต้องการยกระดับวงการธุรกิจทั้ง 26 วงการ


โดยนโยบายดังกล่าว เกิดขึ้นเมื่อประมาณกลางปี 55 ช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลงตัวเลขาธิการ สคบ. จาก "นิโรธ เจริญประกอบ" ที่เกษียณตัวเองก่อนวัย มาเป็น "จิรชัย" ที่ได้รับการคัดเลือกให้เข้ามากุมอำนาจของ สคบ.แทน ซึ่งหลังจากที่ได้เลขาธิการ สคบ.คนใหม่ เรียบร้อย นโยบาย "ตรา สคบ." กลายเป็นนโยบายหลักของหน่วยงาน ซึ่งต้องทำให้เกิดผลที่เป็นรูปธรรม โดยธุรกิจขายตรงเป็น 1 ใน 26 ธุรกิจที่ต้อง เข้าขอรับตราดังกล่าว


เรื่องนี้ยืดเยื้อกินเวลานานหลายเดือน ในการหาข้อสรุปว่ากฎกติกาของการขอรับ จะต้องมีอะไร อย่างไร โดยเฉพาะเรื่องของ การทำประกันกับบริษัทประกัน เพื่อเป็นทุน ในการเยียวยาผู้บริโภค หากเกิดเหตุที่ผู้บริโภค ได้รับความเสียหายจากการใช้สินค้า ซึ่งผู้ประกอบการของหลายบริษัทเห็นพ้องว่า เบี้ยประกันนั้นแพง อีกทั้งการจะทำประกันก็เป็นเรื่องเกินความจำเป็น สุดท้ายจากการ พูดคุยเสนอแนะหลายครั้ง ก็สรุปว่าบริษัท ส่วนใหญ่ยินยอมตามเงื่อนไขที่ สคบ.เปิดให้ธนาคารเข้ามาบริการตั้งกองทุนรับประกัน แทน และราคาของการตั้งกองทุนเยียวยาก็ถูกกว่า จนวันที่ 30 เม.ย. กลายเป็นวันดีของ สคบ.ที่ธุรกิจขายตรง 29 บริษัทได้รับตราสัญลักษณ์ดังกล่าว


ค่ายใหญ่รุกลูกค้ากลุ่มใหม่/ "มิ้ลค์กี้ เวย์" แตกหัก


หากจะว่าไปช่วงครึ่งปีแรกถือเป็น ช่วง Low Season ของวงการขายตรงก็ว่า ได้ จากการบอกเล่าของเหล่ากูรูผู้คลุกคลีกับ ขายตรง รวมทั้งบรรดาผู้ประกอบการระดับ หัวแถว ต่างก็ให้ความเห็นที่ไม่ต่างกันว่า ช่วงครึ่งปีแรกยอดขายจะไม่ดีเท่าช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งในช่วง 2 ไตรมาสสุดท้ายของแต่ละ ปี จัดว่าเป็นช่วงโกยเงินที่บริษัทขายตรงจะ วัดกึ๋น วัดคม แชร์ตลาดกันอย่างเผ็ดร้อน


แต่ถึงกระนั้น หลายบริษัทก็อาศัยช่วง เวลานี้ในการโหมตลาด โดยไม่ทิ้งเวลาให้ผ่านไปอย่างไร้ประโยชน์ เริ่มตั้งแต่บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ภายใต้การกุมบังเหียนของ "ดร.นพรุจ เวชกุล" และ "ดร.รัชนี มหานิยม" ที่ยังคงโหมกิจกรรมในทุกสัปดาห์ ที่จะมีการอบรมประชุมสร้างนักธุรกิจมืออาชีพอย่างต่อเนื่อง ทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด นอกจากนี้ ในทุกเดือนก็ยังมีในเรื่องของการมอบเข็มเกียรติยศให้กับนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ อย่างต่อเนื่อง จนได้ชื่อว่าเป็นบริษัทที่มีผู้ประสบความสำเร็จมากที่สุดของเมืองไทย


นอกจากนี้ "นีโอ ไลฟ์" ยังได้จัดประกวด "นีโอ สตาร์ โปรเจกต์ 2" ภายใต้ โครงการประกวดร้องเพลง และลีลาประกอบเพลงระดับมัธยมศึกษาทั่วประเทศ ชิงถ้วยเกียรติยศพร้อมเงินสนับสนุน ครั้งที่ 1 ชิงเงินรางวัลรวมกว่า 2 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นกิจกรรมการที่บริษัทจัดเพื่อสมาชิกได้ร่วมความบันเทิง ทั้งยังอาจส่งผลให้มีการ เดินเข้ามาของนักธุรกิจเลือดใหม่


ไม่เพียงแต่ "นีโอ ไลฟ์" ที่ขยับตัว อย่างต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ก็ออกตัวในปีนี้ได้แรงไม่แพ้กัน โดยบริษัทได้ทำหนังโฆษณา 30 วินาที ผ่านสื่อฟรีทีวี เพื่อเป็นการสร้างแบรนด์ให้กับบริษัท โดยเนื้อหาจะเน้นไปที่สินค้ากลุ่มชะลอริ้วรอย ซึ่งเป็นสินค้าหัวหอกของบริษัท ผ่านงบประมาณที่บริษัทตั้งไว้คือ 20 ล้านบาท


จากข่าวดีมาถึงข่าวที่ไม่ค่อยดีบ้าง ในช่วงครึ่งปีแรกของปี บริษัท มิ้ลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค จำกัด แตกหักกลายเป็น 2 จากการหย่าร้างกับภรรยาของ "สุมิตร วชโรดมทรัพย์" จนต้องมาตั้งบริษัท มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) จำกัด และต้องเปลี่ยนสถานะจากคู่รัก กลายเป็นคู่ที่ต้องห้ำหั่นทางธุรกิจแทน


TDNA เปิดตัวดันแก้ ก.ม./TDSA เร่งตั้งสมาพันธ์ฯ


อีกประเด็นร้อนประจำครึ่งปีแรก คือ การเกิดขึ้นอย่างเป็นทางการของ "สมาคมธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย (TDNA)" โดยในงานแถลงข่าวเปิดตัว ก็สร้างความฮือฮาด้วยการตั้งม็อบเรียกร้องให้ภาครัฐยกระดับวงการขายตรง โดยเน้นประเด็นหลักไปที่เรื่องของการแก้ไขกฎหมายขายตรงในหลายประเด็น รวมถึงผลักดันให้มีการ ตั้งหน่วยงานที่จะเข้ามากำกับดูแลวงการขายตรงอย่างเฉพาะ ไม่ใช่เพียงเป็นแผนกหนึ่งใน สคบ.ที่มีคนดูแลเพียง 6 คน อย่างปัจจุบัน


การเดินหน้าผลักดันนโยบายของ TDNA มาควบคู่กับการว่าจ้างให้ "มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย" ทำวิจัยวงการขายตรงในชนิดทุกมิติ เพื่อนำมาเป็นข้อมูลในการรณรงค์การแก้ไขกฎหมายขายตรง รวมถึงไว้ใช้ประโยชน์ในอนาคตต่อไป


ในส่วนของความเคลื่อนไหวของสมาคม ขายตรงที่มีอยู่ 4 สมาคมในปัจจุบัน ดูจะมีเพียง TDNA และ "สมาคมการขายตรงไทย (TDSA)" เท่านั้นที่ขยับตัวเป็นประเด็นในช่วงนี้ โดยฝั่ง TDSA ก็เตรียมเดินหน้าตั้ง "สมาพันธ์ขายตรงอาเซียน" เพื่อรองรับการเกิดขึ้นของ AEC ซึ่งจะเป็นการ รวมสมาคมขายตรงของประเทศต่างๆ ในอาเซียน แต่ทุกสมาคมต้องอยู่ภายใต้ "สมาพันธ์การขายตรงโลก (WFDSA)" โดยในการผลักดันตั้งสมาพันธ์ขายตรงอาเซียน ดูจะไปทับเส้นกับ "สมาคมพัฒนา การขายตรงไทย (TSDA)" ที่ต้องการตั้งสมาพันธ์ขายตรงอาเซียนเช่นกัน


ทั้งนี้ จากประเด็นต่างๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรกในปี 56 วงการขายตรงยังแสดงให้เห็นถึงการแข่งขันของธุรกิจที่ร้อนระอุไม่เว้นช่วง ทำให้ตีความได้ชัดเจนว่า ธุรกิจขายตรงนี้ได้รับความนิยมมากมายเพียงใด






Credit By : http://www.siamturakij.com/