ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

“อีพิค” ดูดแม่ทีมดังร่วมทีม “นิติ” นำร่อง “อาเจล” แห่ซบ







1235959_408159125951298_1498159882_n (Mobile)

 


ช็อก !! วงการขายตรงเมืองไทย เมื่อ “อีพิค” ปล่อยพลังดูด เปิดตัวผู้นำหมายเลขหนึ่งแห่งค่ายอาเจล “นิติ สว่างทรัพย์” เข้าร่วมทัพ หลังซุ่มเงียบเจรจากันเป็นแรมเดือน วงในเผยแผนใหญ่เตรียมใช้สำนักงานใหญ่ของ อาเจล ในไทย เป็นฐานบัญชาการใหม่ อีพิค แบไต๋จ่อโชว์ตัวผู้นำต่างค่ายอีกเพียบ ด้าน “นิติ” ยอมรับตัดสินใจค่อนข้างนาน แต่จำใจต้องจาก เหตุความคิดเห็นไม่ตรงกัน มั่นใจศักยภาพบริษัทใหม่ทั้งเงินทุน ผู้บริหาร และสินค้าเด่น เชื่อช่วยทีมงานประสบความสำเร็จได้ไม่ยาก


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจาก บริษัท อีพิค (ประเทศไทย) จำกัด (EPIC) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท เบอร์จายา กรุ๊ป ที่มี Tan Sri Vicent Tan มหาเศรษฐีชาวมาเลเซียเป็นเจ้าของได้เปิดตัวทีมผู้บริหารอย่าง Glen Jensen อดีตผู้ก่อตั้ง บริษัท อาเจลฯ ปัจจุบันนั่งตำแหน่งประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท อีพิคฯ และ ชัยวัฒน์ ชัยจินดาวัธน์ อดีตผู้บริหารของ บีฮิบ (ไทยแลนด์) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งรองประธานฝ่ายภูมิภาคเอเชีย ดูแลตลาดเอเชีย และประเทศไทย อย่างเป็นทางการ ปรากฏมีกระแสข่าวว่าได้ดึงผู้นำจากค่ายขายตรงหลายแห่งมาร่วมทีมเป็นจำนวนมาก


ล่าสุด นิติ สว่างทรัพย์ ผู้นำหมายเลขหนึ่งของ อาเจล ประเทศไทย ได้ตัดสินใจยื่นใบลาออกจากบริษัท อาเจลฯ อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว เพื่อเข้ามาร่วมธุรกิจ กับ บริษัท อีพิคฯ อย่างเป็นทางการ ซึ่งการเข้ามาร่วมธุรกิจกับอีพิคในครั้งนี้ ถือว่าได้สร้างความมึนงง!! ให้กับสมาชิกของอาเจลเป็นอย่างมาก เนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า นิติ สว่างทรัพย์ คนนี้เป็นผู้บุกเบิกตลาดอาเจลในประเทศไทย และในกลุ่มประเทศอาเซียน จนทำให้อาเจลก้าวขึ้นมามียอดขายติดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย และถือว่าเป็นผู้นำต้นแบบของหลายๆ คน ในวงการขายตรงไทย จากการที่เขาประกาศชัดเจนว่าจะยืนหยัดสู้ต่อไป แม้ บริษัท อาเจลฯ จะประสบวิกฤติอย่างหนักก็ตาม


นอกจากการลาออกจาก อาเจล ประเทศไทย อย่างเป็นทางการของ นิติ สว่างทรัพย์ แล้ว แหล่งข่าววงในยังระบุอีกว่า บริษัท อีพิคฯ เตรียมจะใช้สำนักงานใหญ่ของ อาเจล ประเทศไทย ในปัจจุบัน มาเป็นฐานบัญชาการของอีพิค อีกด้วย ซึ่งแหล่งข่าวจาก อาเจล ประเทศไทย ยอมรับว่าขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการหาสถานที่ เพื่อใช้เป็นสำนักงานเห่งใหม่ของ อาเจล ประเทศไทย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ อีพิค (ประเทศไทย) ได้แถลงข่าวเปิดตัวอย่างไม่เป็นทางการ เมื่อปลายเดือนกันยายน 2556 โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทางกลุ่มผู้นำ นำโดย นิติสว่างทรัพย์ ได้จัดประชุมกัน เพื่อจัดให้มีการวางผังองค์กรเป็นครั้งแรก


ด้าน นิติ สว่างทรัพย์ นักธุรกิจอิสระเปิดใจว่า การตัดสินใจลาออกจากอาเจลเพื่อมาร่วมธุรกิจกับอีพิคในครั้งนี้ ถือเป็นการตัดสินใจค่อนข่างยากมาก ซึ่งต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน โดยเหตุผลที่ลาออกมาในครั้งนี้เป็นเพราะความคิดเห็นหลายอย่างไม่ตรงกันกับทางผู้บริหารของอาเจล จึงจำใจต้องตัดสินใจลาออกมา อย่างไรก็ตามจากการที่เคยได้ร่วมงานกับ Glen Jensen ประธานผู้ก่อตั้ง อีพิค เมื่อ 6-7 ปีก่อน ทำให้มีความเชื่อมั่นในการบริหารงาน และด้วยความพร้อมรอบด้านของบริษัทจึงเชื่อว่าจะนำพาทีมงานให้สามารถ ประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน


ขณะเดียวกัน ปัจจัยที่จะทำให้ทีมงานประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทีมผู้บริหารอย่าง Tan Sri Vicent Tan ที่ถือว่ามีความเข้าใจและมีแหล่งเงินทุนมหาศาลที่คอยให้การสนับสนุน โดยมอบหมายให้ Glen Jensen มีอำนาจในการบริหารงานอย่างเต็มที่ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทที่คาดว่าจะสร้างความฮือฮาให้กับวงการขายตรงระดับโลกอย่างแน่นอน ที่สำคัญไปกว่านั้น ด้วยแผนการจ่ายผลตอบแทนที่ทำง่ายและไม่ต้องลงทุนเยอะ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เชื่อว่าจะทำให้อีพิคเติบโตอย่างยั่งยืน


“การที่ผมลาออกจากอาเจล ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะมีผลกับบริษัทมากนัก เพราะทางผู้บริหารของอาเจลเองก็ยืนยันแล้วว่าจะให้การสนับสนุนในการททำตลาดในเมืองไทยต่อไป ซึ่งผมก็ได้บอกกับน้องๆทุกคนแล้วว่าให้มองที่ตัวเองเป็นหลัก แม้ผมจะไม่อยู่ทุกคนก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ ส่วนที่จะมีใครตามมาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา สำหรับกระแสข่าวที่ออกมาว่าทางอีพิคจะใช้สำนักงานของอาเจล เป็นสำนักงานนั้นยังไม่มีข้อสรุป เพราะก่อนหน้านี้ผมได้เสนอกับทาง บริษัท อีพิคฯ ไปว่าให้ลองติดต่อกับทางเจ้าของอาคารแห่งนี้ดู ส่วนเขาจะตกลงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับนโยบายและการตัดสินใจของผู้บริหารของบริษัทเป็นหลัก” นิติ กล่าว


 


 


 


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 234 ประจำวันที่ 16-31 พฤศจิกายน 2556


 

“เอเชีย สุพรีม” เมินเศรษฐกิจ ดัน I-Cally ทะลุ 4 ล้านบาท







mlm21 (Mobile)

ในสภาวะที่เศรษฐกิจตกต่ำลงพฤติกรรมการซื้อขายของผู้บริโภคมีการชะลอตัว แต่ในธุรกิจขายตรงยังยืนหยัดอยู่บนสภาพเศรษฐกิจเช่นนี้ได้อย่างมั่นคง รวมทั้งมีแนวโน้มที่จะเจริญเติบโตขึ้นอีกในอนาคต


หากกล่าวถึงแบรนด์ที่สามารถเติบโตได้ในสภาวะเศรษฐกิจชะลอตัวได้ในตอนนี้ บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด นับเป็นอีกหนึ่งแบรนด์ที่มั่นใจในสินค้าทุกชิ้นของบริษัท ที่มีการรับรองคุณสภาพสินค้าด้วยงานวิจัย กระกอบกับการวางกลยุทธ์ทางการตลาด ถึงแม้ว่าเศรษฐกิจมีปัญหาน้อยมากเพียงใดก็ตาม เอเชียสุพรีม ยังมั่นใจอย่างแน่วแน่ที่จะสามารถเจริญเติบโตสวนกระแสเศรษฐกิจที่แย่ได้เป็นอย่างดี


นายสุธีร์ รัตนนาคินท์ ประธานบริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด กล่าวว่าโดยปกติ บริษัทได้มีการออกสินค้าใหม่ทุกๆ ไตรมาส ทุกสินค้าที่ทำการเปิดตัวออกมาล้วนเป็นสินค้านวัตกรรมใหม่รับรองคุณภาพด้วยงานวิจัย เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจในตัวสินค้า รวมถึงการออกสินค้าตามกระแสนิยมที่สามารถดึงความต้องการของตลาดและสนองความต้องการผู้บริโภคได้อีกด้วย โดยล่าสุดบริษัทได้ออกไลน์สินค้าใหม่ชื่อว่า I-Cally ที่ได้เปิดตัวออกมาท่ามกลางกระแส “คอลลาเจน ฟีเวอร์” ซึ่งนวัตกรรมหลักของ I-Cally เน้นเรื่องส่วนผสมสารตั้งต้นที่มากด้วยประสิทธิภาพ ในอีกด้านหนึ่ง I-Cally มีความแตกต่างจากสินค้าที่มีอยู่ในตลาด เพราะ I-Cally เป็นคอลลาเจน ที่มีสารสกัดจากผลไม้รวม โดยเฉพาะ “ผลแอปเปิ้ล” ที่ให้แคลเซียมและคอลลาเนแก่ร่างกาย ช่วยสร้างคุณประโยชน์ในเรื่องของสุขภาพและผิวพรรณได้ในเวลาเดียวกัน


“เรามีการคาดหวังไว้ว่า I-Cally จะเป็นสินค้าเด่นที่สร้าชื่อเสียงให้เอเชีย สุพรีมในช่วงปลายปี การเปิดตัว I-Cally ครั้งนี้เราเชื่อว่า I-Cally สามารถสร้างรายได้ให้บริษัทกว่า 4 ล้านบาท นอกจากนี้ในเดือนธันวาคม เอเชีย สุพรีม มีแนวโน้มที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่ โดยครั้งนี้เป็นสินค้าในกลุ่มสกินแคร์ นำเข้าจากประเทศเกาหลี ซึ่งหมายความว่าในทุกๆ 3 เดือน เอเชีย สุพรีมจะมี สินค้านวัตกรรมใหม่จากในประเทศไทยและต่างประเทศเข้ามาเพื่อทำการเปิดตัว” ประธาน บริษัท เอเชีย สุพรีม กล่าว


อย่างไรก็ตาม ท่ามกลางการแข่งขัน ทางการตลาดที่ทวีความรุนแรงและได้ส่งผลกระทบด้านลบต่อตัวสินค้าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ทำให้แผนกลยุทธ์ต่างๆ กลายเป็นสิ่งสำคัญต่อผู้ประกอบการธุรกิจที่ผู้บริหารนำมาสรรสร้างเพื่อความอยู่รอดของธุรกิจและ “เอเชีย สุพรีม” ก็ได้มีการสร้างสรรค์กลยุทธ์ในการรับมือกับความรุนแรงของการแข่งขันทางการตลาดในปัจจุบัน


จากโจทย์หินนี้ “นายสุธีร์” ได้กางแผนรุกตลาดพร้อมเผย แนวคิดที่สามารถทำให้ผลิตภัณฑ์ I-Cally ที่เกิดมาในช่วงนี้ได้รับการยอมรับจากกลุ่มสมาชิกในบริษัท ด้วยการรณรงค์สร้างแบรนด์ผ่าน “เอเชีย ทีวี” เป็นสถานีโทรทัศน์ที่อยู่ภายใต้การดูแลของบริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด ซึ่งเป็นสื่อหลักในการกระจายข้อมูลข่าวสารต่างๆ ในบริษัทให้กับเหล่าสมาชิกและผู้บริโภคได้รับทราบถึงศักยาภาพคุณสมบัติของตัวผลิตภัณฑ์ที่มากด้วยคุณภาพรวมถึงการสร้างฐานธุรกิจผ่านสื่อออนไลน์ ที่มีระบบสื่อสารมวลชนเข้ามาเป็นตัวแปรสำคัญ นับว่าเป็นอีกหนึ่งกลยุทธ์สำคัญที่ เอเชีย สุพรีม ได้สร้างสรรค์ขึ้น เพื่อรองรับโลกที่มีความก้าวล้ำยุคเทคโนโลยีและสร้างภาพลักษณ์ที่ดูทันสมัยรองรับกลุ่มเป้าหมายใหม่ที่กำลังจะเกิดขึ้น


ด้านยอดขายที่คาดไว้ในปีนี้ ประธานบริษัท เอเชีย สุพรีม กล่าวว่า เดิมทีเอเชีย สุพรีม วางเป้าหมายไว้ที่ 300 ล้านบาท สืบเนื่องจากความล่าช้าในการออกผลิตภัณฑ์บางกลุ่มทำให้มีการลดเป้าหมายของยอดขายเหลือแค่ 200 ล้านบาท ทั้งนี้ในส่วนของรายได้หลักประมาณร้อยละ 80 มาจากตลาดของเอเชีย สุพรีมในต่างจังหวัดได้แก่ จ.เชียงใหม่ จ.หาดใหญ่ และร้อยละ 20 มาจากสาขาในกรุงเทพมหานครซึ่งเอเชีย สุพรีมใน จ.หาดใหญ่ เป็นสาขาที่มีการเจริญเติบโตทางการตลาดและทำรายได้ให้บริษัทมากที่สุด


ในปี 2557 เอเชีย สุพรีมมีการขยายตลาดในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ในขณะเดียวกันบริษัทจะทำการขยายตลาดไปในภูมิภาคเอเชีย(AEC) ได้แก่ ประเทศมาเลเซีย สปป.ลาว เมียนมาร์และกัมพูชา ซึ่งถือว่าเป็นการเติมเต็มช่องว่างที่เหลืออยู่ให้กับบริษัท


ภาพรวมของเอเชีย สุพรีมตลอดทั้งปี 2556 อ.สุธีร์เผยว่า “ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา เอเชีย สุพรีม เติบโตได้เกิน 70% ของเป้าหมายที่วางไว้ ซึ่งถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากทั้งในเรื่องของยอดขายบริษัทที่ถือว่าสำเร็จตามเป้าหมายที่วางไว้อย่างน่าพอใจและในส่วนของฐานสมาชิก ซึ่งฐานสมาชิกในปีนี้มีการขยายตัวมากถึง 12,000รหัส”


นอกจากนี้ยังมองว่า การจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายต่างๆ เป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งในการประกอบธุรกิจขายตรง ซึ่งเอเชีย สุพรีม เชื่อว่าสิ่งที่ทำให้เกิดแรงผลักดันให้บริษัทประสบความสำเร็จอย่างสมบูรณ์แบบคือการจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายในลักษณะการจัดท่องเที่ยว เพื่อสมาชิกได้มีโอกาสใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันแลกเปลี่ยนประสบการณ์ กระชับความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน ซึ่งสิ่งเหล่านี้คือหัวใจหลักในการสร้างวัฒนธรรมที่ดีให้กับองค์กร


ไม่ใช่แค่การทำยอดขายให้ได้ตามเป้าหมายหรือแค่สร้างฐานสมาชิกให้ขยายไปตามที่หวังถึงจะประสบความสำเร็จได้ หากแต่ความสำเร็จนั้นไม่ได้มาด้วยกับความสัมพันธ์ในหมู่สมาชิกที่ดีต่อกัน บริษัทนั้นก็มิอาจเดินไปถึงฝั่งอย่างสมบูรณ์แบบ


 


 


Credit By: นสพ.ลีดเดอร์ไทม์ ฉบับที่ 235 ประจำวันที่ 16-30 พฤศจิกายน 2556  

เปิดใจ “ดุษศิดา ภาคาเดช” ผู้หญิงแกร่งแห่ง “ลาชูเล่” ฉีกความแตกต่างทางธุรกิจ สู่ความสำเร็จร่วมกัน







lachule3 (Mobile)

ท่ามกลางการแข่งขันทางการตลาดที่สูง คู่แข่งเกิดขึ้นมาก ดังนั้นเพื่อช่วงชิงความได้เปรียบทางธุรกิจ กลยุทธ์การตลาดที่เกิดขึ้นจึงต้องมีการพลิกเกมการตลาดให้เท่าทันและสอดรับกับทุกสถานการณ์ และตลอดระยะเวลากว่า 15 ปีของเส้นทางของแบรนด์ขายตรง “ลาชูเล่” ที่ได้สานฝันความสำเร็จให้เกิดขึ้นกับคนไทย อันสอดรับกับปณิธานที่ว่า “ความสำเร็จของท่านคืองานของเรา” ทำให้ธุรกิจขายตรงแห่งนี้เติบโตขึ้นเป็นลำดับภายใต้การบริหารงานที่เฉียบคมและเฉียบขาดของบิ๊กบอสใหญ่ “ร.ต.ต ดร.สุรเชษฐ์ เชื้อศรี” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ลาชูเล่ คอสเมติก (ประเทศไทยจำกัด) จำกัด และ บริษัท ลาชูเล่(เอเชีย) จำกัด ผู้คร่ำหวอด ในวงการธุรกิจเครือข่ายมาหลายสิบปีและมาพร้อมกับการแสดงถึงจุดแข็งยืนยังถึงจุดยืนของ “ลาชูเล่” ให้เป็นที่ยอมรับว่าเป็นธุรกิจเน็ตเวิร์ค มาร์เก็ตติ้งอันดับต้นๆของประเทศไทยที่สร้างความเชื่อมั่น เชื่อใจ จนสามารถขยายฐานสมาชิกทั่วประเทศกว่า 80,000 รหัสในปัจจุบัน


ทุกความสำเร็จที่เกิดขึ้นกับแบรนด์แกร่งหัวใจไทย “ลาชูเล่” มหานครแห่งความสุขและความงามเพื่อชาวเอเชีย ที่ได้ก้าวเติบโตอย่างแข็งแกร่งมาอย่างยาวนานนี้ หนึ่งบุคคลสำคัญที่ถือเป็นมือขวาของแม่ทัพใหญ่แห่ง “ลาชูเล่” ผู้หญิงแกร่งมากความสามารถคือ “คุณดุศิตา ภาคาเดช กรรมการผู้จัดาร บริษัท ลาชูเล่ คอสเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด และ บริษัท ลาชูเล่ (เอเชีย) จำกัด” ผู้บริหารหญิงเก่งที่คนวงการธุรกิจขายตรงรู้จักเธอดี และโอกาสดีนี้หนังสือพิมพ์ ลีดเดอร์ไทม์ (รายปักษ์) ได้เข้าสัมภาษณ์ถึงแนวการบริหารงานอย่างเป็นกันเอง


คุณดศิตา ภาคาเดช กรรมการผู้จัดการ บริษ้ท ลาชูเล่ คอสเมติกส์ (ประเทศไทย) จำกัด และบริษัท ลาชูเล่ (เอเชีย) จำกัด เปิดใจวิเคราะห์ภาพรวมธุรกิจขายตรงว่า ด้วยสภาพเศรษฐกิจถดถอย มองว่าจะทำให้กระทบต่อธุรกิจขายตรงโดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนของเป้าหมายยอดขายหลายบริษัทอาจไม่ถึงเป้าที่ตั้งไว้ จึงทำให้โค้งสุดท้ายปีนี้บริษัทจะต้องพยายามบริหารงานให้ได้ตามเป้าที่วางไว้ ทำให้ใกล้เคียงยอดเดิมหรือใกล้เป้ามากที่สุด สำหรับลาชูเล่เองก็ได้ตั้งเป้าการเติบโตไว้ประมาณ 30% มากกว่าปีที่แล้ว แต่ปัจจุบันเติบโตเพียง 15% เท่านั้นจึงทำให้โค้งสุดท้ายนี้เราได้มีการวางแนวทางการทำงานด้วยการปรับโปรโมชั่นหรือยุทธศาสตร์ทางการตลาดให้สอดรับกับสถานการณ์ต่างๆ “ลาชูเล่ทำ 2 บริษัทคู่กัน ในปีนี้เราต้องยอมรับว่าเราได้รับผลกระทบบ้าง ทั้งความไม่นิ่งของสถานการณ์เศรษฐกิจการเมือง ภัยพิบัติน้ำท่วม บริษัทต้องพลิกแพลงเกม ตลาดให้ทัน ซึ่งเหลือเวลาอีก 2 เดือนที่ต้องเดินหน้ารุกตลาดเต็มที่เพื่อพลักดันให้ถึงเป้าหมายที่ต้องการ”


สำหรับกลยุทธ์โค้งสุดท้ายปีนี้ “คุณดุษศิดา” กล่าวว่า ด้วยกระแสผลตอบรับดีในกลุ่มของเกษตร ชื่อแบรนด์ “ไจก้า ลาชูเล่” ทำให้บริษัทเร่งต่อยอดกระตุ้นชื่อเสียงของไลน์สินค้ากลุ่มดังกล่าวผ่านช่องทางสื่อเรดิโอ มาร์เก็ตติ้ง ของลาชูเล่ โดยเริ่มต้นเมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งจะเน้นกระตุ้นในกลุ่มของเกษตรอินทรีย์ภาคตะวันออกเฉียงเหนือทั้งหมด และหลังจากปล่อยสปอร์ตโฆษณาไปไม่ถึงเดือนกระแสผลตอบรับที่ได้กลับมาดีเกินคาด ทั้งทางด้านธุรกิจและสินค้า


“เรากระจายเสียงออกไปไม่ถึงเดือน ปรากฏว่ามีคนสนใจเข้ามาทำธุรกิจมากพอสมควร ซึ่งการใช้ช่องทางการประชาสัมพันธ์สินค้าแต่ละชนิดก็มีความแตกต่างกันออกไป แต่ด้านสื่อสารวิทยุเราเลือกดันกลุ่มสินค้าเกษตรไจก้าเป็นอันดับแรก เพราะว่าเกษตรกรหรือคนที่ใช้เขาไม่ได้ดูทีวี เขาอยู่ในสวนในไร่ วิทยุเป็นสิ่งที่ทำให้แก้เหงา ดังนั้นกลุ่มเกษตรจะเน้นเรื่องวิทยุเป็นหลัก ส่วนไลน์สินค้ากลุ่มลดน้ำหนักหรือด้านสุขภาพ ยังไปได้หลากหลายทั้งในสื่อแม็กกาซีน หรือสื่อทีวี”


ปรับลดราคาสินค้าสมาชิกทำงานง่ายขึ้น


อย่างไรก็ตามด้วยเศรษฐกิจชะลอตัว ทำให้หลายบริษัทขายตรงได้มีการขยับตัวในการทำงานใหม่ และสอดรับกับแนวทางการทำงานของลาชูเล่ เช่นกัน ซึ่ง “คุณดุษศดา” กล่าวต่อว่า ในปีนี้คาดว่าสินค้าบางรายการอาจจะมีการปรับลดลง เพื่อให้ง่าต่อการเปิดตลาดของสมาชิก เป็นการเพิ่มช่องทางการทำธุรกิจอีกทางหนึ่ง เพิ่มลูกเล่นเรื่องของการสนับสนุนผู้บริโภคที่เข้ามาใช้สินค้าก็จะสามารถที่จะมีรายได้กับลาชูเล่ได้เช่นเดียวเช้นเดียวกัน แม้ว่าช่วงครึ่งปีหลังต้องเจอกับสภาพเศรษฐกิจที่มีการชะลอการซื้อ แต่ลาชูเล่ก็สามารถที่จะรักษาและเพิ่มจำนวนของลูกค้าถือว่าสวนกระแส ส่วนตอนนี้มีการปรับเรื่องของการปรับเรื่องของการสมัครทำธุรกิจเพียงแค่ 100 บาท ต่อปี จากเดิม 500 บาท เป็นการสนับสนุนในภาคเศรษฐกิจให้สามารถเข้ามาในธุรกิจแล้วสามารถมีรายได้มากขึ้น


สำหรับแผนการตลาดในปีหน้า(2557) ลาชูเล่จะเน้นผลิตภัณฑ์ลดน้ำหนักเป็นตัวชูโรงรับปีใหม่ โดยจะเน้นการจัดกิจกรรม การจัดการประกวดแข่งขันการลดน้ำหนักเพื่อหุ่นสวยและมีสุขภาพที่ดี ภายใต้ชื่อสินค้า “โอราล่า” จะใช้เป็นตัวหลักนำร่องของตลาดในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ไปจนถึงปีหน้าโดยสินค้าดังกล่าวถือว่าขับเคลื่อนดีเพราะภายในหนึ่งเดือนทำยอดขายได้มากกว่า 4,000 ขวด ซึ่งเป็นตัวเลขที่ยังไม่ได้ผ่านสื่อใดๆ เลย แต่เราอาศัยการบอกต่อของสมาชิกผู้ใช่สินค้าทำให้สินค้าน่าเชื่อถือ ใช้ได้ผลจริงและไม่มีผลข้างเคียง


“ต้นปีหน้าจะบุกเรื่องของกลุ่มนี้เป็นหลักคือ หุ่นดี สุขภาพดี ผิวพรรณดี เป็นแบบตัวกระตุ้นยอดขายและสร้างโปรโมชั่น เน้นให้เป็นกิจกรรมหลักของลาชูเล่ โดยมีการเปิดตัวสินค้าดังกล่าวไปแล้ว 2 สาขาพร้อมกันคือ สำนักงานใหญ่ กรุงเทพฯและขอนแก่นซึ่งผลตอบรับดีมาก โดยกิจกรรมทางการตลาดเราจะมุ่งเน้นทำที่หัวเมืองใหญ่ทั้งที่กรุงเทพฯ ชลบุรี ขอนแก่น และเชียงใหม่ เป็นหลักถือเป็นเป้าหมายใหญ่ที่บริษัทกำหนดไว้ และแนวทางรุกตลาดทางภาคใต้จะมุ่งเน้นตลาดเกษตร เนื่องจากเป็นพื้นที่ทำเกษตรเยอะมาก ถ้ามองจริงๆ เรามองในกลุ่มเป้าหมายแต่ถ้าทำให้ดีที่สุดในไตรมาสแรกของปี 57 เราจะบุกใน 4 จังหวัดก่อน เพราะว่าการเดินทางใกล้แล้วเราก็มีบุคลากรผู้นำแม่ทีมอยู่ในพื้นที่นั้น”


ส่วนแผนเปิดตลาดต่างประเทศ รับ AEC ขณะนี้มีการขยายตลาดในส่วนของตัวแทนจำหน่ายเข้าไปในประเทศเพื่อนบ้าน รวม 3 ประเทศด้วยกัน คือประเทศพม่า สปป.ลาว และกัมพูชาและด้วยสินค้าของลาชูเล่เป็นสินค้านำเข้าจากต่างประเทศ จึงเชื่อมั่นว่าจะสร้างตวามมั่นใจให้กับผู้บริโภคได้ระดับหนึ่ง เพราะเป็นสินค้าดีมีคุณภาพหรืออยู่ในกลุ่มระดับ B ขึ้นไปทั้งหมด ถือว่าเป็นเกมเปลี่ยนวิกฤติเป็นกาสครั้งนี้สามารถขยายฐานผู้บริโภคเพิ่มจำนวนผู้ใช้สินค้า และที่สำคัญขยายฐานนักธุรกิจเครือข่ายได้กว้างและรวดเร็วทะลุมากที่สุดก็ว่าได้


 


 


 


 


Credit By: นสพ.ลีดเดอร์ไทม์ ฉบับที่ 235 ประจำวันที่ 16-30 พฤศจิกายน 2556  


 


 

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

“อีพิค (EPIC)” ดูดแม่ทีมดังร่วมทีม “นิติ สว่างทรัพย์” นำร่องทิ้ง “อาเจล” ย้ายค่าย

Head


boss3


niti_sawangsap2


 


ช็อกวงการขายตรงเมืองไทย เมื่อ “อีพิค” ปล่อยพลังดูด เปิดตัวผู้นำหมายเลขหนึ่งแห่งค่ายอาเจล “นิติ สว่างทรัพย์” เข้าร่วมทัพ หลังซุ่มเงียบเจรจากันเป็นแรมเดือน วงในเผยแผนใหญ่เตรียมใช้สำนักงานใหญ่ของ อาเจล ในไทย เป็นฐานบัญชาการใหม่ อีพิค แบไต๋จ่อโชว์ตัวผู้นำต่างค่ายอีกเพียบ ด้าน “นิติ สว่างทรัพย์” ยอมรับตัดสินใจค่อนข้างนาน แต่จำใจต้องจาก เหตุความคิดเห็นไม่ตรงกันมั่นใจศักยภาพบริษัทใหม่ทั้งเงินทุน ผู้บริหาร และสินค้าเด่น เชื่อช่วยทีมงานประสบความสำร็จได้ไม่ยาก


                ผู้สื่อข่ายรายงานว่า หลังจาก บริษัท อีพิค (ประเทศไทย) จำกัด (EPIC) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของกลุ่มบริษัท เบอร์จายา กรุ๊ป ที่มี Tan Sri Vincent Tan มหาเศรษฐีชาวมาเลเซียเป็นเจ้าของได้เปิดตัวทีมผู้บริหารอย่าง Glen Jensen อดีต ผู้ก่อตั้ง บริษัท อาเจลฯ ปัจจุบันนั่งตำแหน่งประธาน ผู้ก่อตั้ง บริษัท อีพิคฯ และ ชัยวัฒน์ ชัยจินดาวัธน์ อดีตผู้บริหารของ บีฮิบ (ไทยแลนด์) ปัจจุบันดำรงตำแหน่งของรองประธานฝ่ายภูมิภาค เอเชีย ดูแลตลาดเอเชีย และ ประเทศไทย อย่างเป็นทางการ ปรากฏมีกระแสข่าวว่าได้ดึงผู้นำจากค่ายขายตรงหลายแห่งมาร่วมทีมเป็นจำนวนมาก


                ล่าสุด นิติ สว่างทรัพย์ ผู้นำหมายเลขหนึ่งของ อาเจล ประเทศไทย ได้ตัดสินใจยื่นใบลาดออกจาก บริษัท อาเจลฯ อย่างเป็นทางการเรียบร้อยแล้ว เพื่อเข้าร่วมธุรกิจกับ บริษัท อีพิคฯ อย่างเป็นทางการซึ่งการเข้ามาร่วมธุรกิจกับอีพิคในครั้งนี้ ถือว่าได้สร้างความมืนงง ให้กับสมาชิกของอาเจลเป็นอย่างมากเนื่องจากเป็นที่ทราบกันดีว่า นิติ สว่างทรัพย์คนนี้เป็นผู้บุกเบิก ตลาดอาเจล ในประเทศไทย และ ในกลุ่มประเทศอาเซียน จนทำให้อาเจลก้าวขึ้นมามียอดขายติดอันดับต้นๆ ของประเทศไทย และถือว่าเป็นผู้นำต้นแบบของหลายๆ คนในวงการขายตรงไทย จากการที่เขาประกาศชัดเจนว่าจะยืนหยัดสู้ต่อไป แม้บริษัท อาเจลฯ จะประสบวิกฤติอย่างหนักก็ตาม


                นอกจากการลาออกจาก อาเจล ประเทศไทย อย่างเป็นทางการของ นิติ สว่างทรัพย์ แล้ว แหล่งข่าววงในยังระบุอีกว่า บริษัท อีพิคฯ เตรียมจะใช้สำนักงานใหญ่ของอาเจล ประเทศไทย ในปัจจุบัน มาเป็นฐานบัญชาการของ อีพิค อีกด้วย ซึ่งแหล่งข่าวจาก อาเจลประเทศไทย ยอมรับว่าขณะนี้บริษัทอยู่ระหว่างการหาสถานที่ เพื่อใช้เป็นสำนักงานแห่งใหม่ ของ อาเจล ประเทศไทย อย่างไรก็ตาม หลังจากที่ อีพิค (ประเทศไทย ) ได้แถลงข่าวไปอย่าง ไม่เป็นทางการ เมื่อปลายเดือนกันยายน 2556 โดยล่าสุดเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ทางกลุ่มผู้นำ นำโดย นิติ สว่างทรัพย์ ได้จัดประชุมกัน เพื่อจัดให้มีการวางผังองค์กรเป็นครั้งแรก


                ด้าน นิติ สว่างทรัพย์ นักธุรกิจอิสระเปิดใจกับหนังสือพิมพ์ “เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค” ว่า การตัดสินใจลาออกจากอาเจลเพื่อมาร่วมุรกิจกับอีพิคในครั้งนี้ ถือเป็นการตัดสินใจค่อนข้างยากมาก ซึ่งต้องใช้เวลาค่อนข้างนาน โดยเหตุผลที่ลาออกมาในครั้งนี้เป็นเพราะความคิดเห็นหลายอย่างไม่ตรงกันกับทางผู้บริหารของอาเจล จึงจำใจต้องตัดสินใจลาออกมา อย่างไรก็ตามจากการที่เคยได้ร่วมงานกับ Glen Jensen ประธานผู้ก่อตั้ง อีพิค เมื่อ 6-7 ปีก่อน ทำให้มีความเชื่อมั่นในการบริหารงาน และด้วยความพร้อมรอบด้านของบริษัทจึงเชื่อว่าจะนำพาทีมงานให้สามารถประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน


                ขณะเดียวกัน ปัจจัยที่จะทำให้ทีมงานประสบความสำเร็จไม่ว่าจะเป็นเรื่องของทีมผู้บริหารอย่าง Tan Sri Vincent Tan ที่ถือว่ามีความเข้าใจและมีแหล่งเงินทุนมหาศาลที่คอยให้การสนับสนุน โดยได้มอบหมายให้ Glen Jensen มีอำนาจในการบริหารงานอย่างเต็มที่ รวมไปถึงผลิตภัณฑ์ใหม่ของบริษัทที่คาดว่าจะสร้างความฮือฮาให้กับวงการขายตรงระดับโลกได้อย่างแน่นอน ที่สำคัญไปกว่านั้น ด้วยแผนการจ่ายผลตอบแทนที่ทำง่ายและไม่ต้องลงทุนเยอะ ซึ่งปัจจัยเหล่านี้เชื่อว่าจะทำให้อีพิคเติบโตอย่างยั่งยืน


                “การที่ผมลาออกจากอาเจล ส่วนตัวคิดว่าไม่น่าจะมีผลกับบริษัทมากนัก เพราะทางผู้บริหารของอาเจลก็ยืนยันแล้วว่าจะให้การสนับสนุนในการทำตลาดในเมืองไทยต่อไป ซึ่งผมก็ได้บอกกับน้องๆ ทุกคนแล้วว่าให้มองที่ตัวเองเป็นหลัก แม้ผมจะไม่อยู่ทุกคนก็สามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ ส่วนที่จะมีใครตามมาหรือไม่นั้น ขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของเขา สำหรับกระแสข่าวที่ออกมาว่าทางอีพิค จะใช้สำนักงานของอาเจลเป็นสำนักงานนั้นยังไม่มีข้อสรุป เพราะว่า ก่อนหน้านี้ผมได้เสนอกับทางบริษัท อีพิคฯ ไปว่าให้ลองติดต่อกับทางเจ้าของอาคารแห่งนี้ดู ส่วนเขาจะตกลงหรือไม่ ขึ้นอยู่กับนโยบายและการตัดสินใจของผู้บริหารของบริษัทเป็นลัก” นิติ สว่างทรัพย์ กล่าว


ขอขอบคุณ ข้อมูลและเนื้อหา จาก นสพ. เดอะพาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ปีที่ 10 ฉบับที่ 235 วันที่ 16-30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556


วันอังคารที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ข่าวดีเน็ทเวิร์ค (D Network Worldwide) : 'ดี เน็ทเวิร์ค' เดินหน้าลุยตลาดภูธรเปิดสาขาเพชรบูรณ์ ล็อกเป้า 10 ลบ./ด.







คุณสาคร-ใสกมล (Mobile)

 


"ดี เน็ทเวิร์ค" เดินหน้ารุกกระจายสาขา ล่าสุดจัดการเปิดสาขา จ.เพชรบูรณ์ ตั้งเป็นสาขาที่ 3 เหตุเพราะความเชื่อมั่นในศักยภาพตลาดในพื้นที่ วางเป้าโกย 10 ล้านบาทต่อเดือน ชี้เดือน ธ.ค. นี้ เดินหน้าขยายสาขาเพิ่มอีกในต่างประเทศ เปิดกัมพูชานำร่อง หลังจากช่วง ก่อนหน้านี้เริ่มนำสินค้าเข้าไปทดลองขายแล้ว พร้อมฟุ้ง! สิ้นปี 56 รายรับแตะ 1 พันล้านบาทแน่


นายสาคร ใสกมล ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด เปิดเผยว่า ทางบริษัทได้ทำการเปิดศูนย์สาขาที่จังหวัดเพชรบูรณ์ขึ้น ถือเป็นสาขาที่ 3 ต่อจากสาขามีนบุรีและสาขาสาทร โดยทางบริษัทวางแผนในการเปิดสาขาที่เชียงใหม่ และประเทศกัมพูชาเป็นสาขาต่อไป


"การที่เราตัดสินใจเปิดสาขาเพชรบูรณ์ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีฐานผู้บริโภคผลิตภัณฑ์โกเรจินส์เป็นจำนวนมาก และมีสถานีวิทยุอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก ที่สำคัญพรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์ โกเรจินส์ คือคุณเขาทราย แกแล็คซี่ ซึ่งเป็นคนเพชรบูรณ์ ยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์โกเรจินส์ ได้รับการตอบรับจากคนในพื้นที่เป็นอย่างดี ซึ่งในวันเปิดสาขามีสมาชิกกว่า 1,000 คนที่เดินทางมาร่วมงาน"


อีกปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ ดี เน็ทเวิร์ค เปิด สาขาเพชรบูรณ์ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงมาก และเป็นจังหวัดที่มีสมาชิก ของ ดี เน็ทเวิร์คที่มีรายได้หลักแสนอยู่เป็น จำนวนมาก ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ทั้งภาคเหนือและอีสาน โดยคาดว่าสาขาเพชรบูรณ์ จะสามารถสร้างรายได้สูงถึง 10 ล้านบาทต่อเดือน


ส่วนในเดือนธันวาคม ทาง ดี เน็ทเวิร์ค จะทำการเปิดศูนย์สาขาอย่างเป็นทางการในประเทศกัมพูชา โดยในปัจจุบันมีการทดลองจำหน่ายสินค้าผ่านสาขากัมพูชา ไปแล้ว และเริ่มมีการคิดคะแนนแล้ว เหลือ เพียงแต่การจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการ เท่านั้น


ประธานผู้ก่อตั้ง ดี เน็ทเวิร์ค กล่าวด้วยว่า สำหรับปัญหาน้ำท่วมมีผลกระทบต่อ บริษัทบ้างแต่ไม่มาก โดยมีผลกระทบในพื้นที่ ภาคตะวันออก แต่ทางบริษัทคาดว่าหลังน้ำ ลดยอดขายจะดีดกลับมาเหมือนเคย แต่ในทางกลับกันยอดขายในภาคอีสานของบริษัทกลับเติบโตขึ้น ส่งผลให้ยอดขายของ ดี เน็ทเวิร์ค ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด คาดว่าสิ้นปียอดขายของบริษัทจะแตะหลัก 1,000 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายในปัจจุบันหลังจากผ่านมา 9 เดือนกว่าๆ ทางบริษัทสามารถ สร้างยอดขายไปแล้วกว่า 800 ล้านบาท


"เราเชื่อว่าเราจะประสบความสำเร็จ อย่างล้นหลามในการทำตลาดขายตรง เนื่องจากเรานำเอาหลักการตลาดมาเสริมความแกร่งให้กับธุรกิจขายตรง เอาการตลาดมาผนวกกับ MLM อย่างลงตัว ถือเป็นนวัตกรรมทางการตลาดใหม่ ซึ่งในตอนนี้เราสามารถยกระดับธุรกิจสู่มวลชนได้สมบูรณ์แบบแล้ว ตอนนี้เราเพียงรอเวลาเพื่อให้คนรู้จักของคนทั่วประเทศเท่านั้น" สาคร กล่าวปิดท้าย


สาคร กล่าวต่อไปว่า ปัจจุบันตลาดคนรักสุขภาพขยายตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง และเป็นตลาดใหญ่ในขณะนี้ ซึ่งผู้คนในปัจจุบันมองหาผลิตภัณฑ์รักษาสุขภาพป้องกันและเสริมภูมิคุ้มกันให้ร่างกาย


"ตลาดสุขภาพถือเป็นตลาดใหญ่มาก ในปัจจุบันทาง ดี เน็ทเวิร์ค จึงได้ทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ ดี-กลูแคน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เบต้า-กลูแคน ผนวกกับเอ็นไซม์ชั้นเลิศ จากเห็ดชวียองซ์ ถือเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเสริมภูมิคุ้มกัน มาในรูปแบบผงชงดื่มมีรสชาติอร่อย"


ดี-กลูแคน ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถ ดูดซึมได้ง่าย ผลิตภัณฑ์ขึ้นด้วยเทคโนโลยีล้ำ สมัยลิขสิทธิ์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นอกเหนือจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเบต้า-กลูแคนและเอ็นไซม์ แล้วยังมีการ เพิ่มสารอาหารชั้นยอดอีก 5-6 ชนิดเพิ่มเสริม ภูมิคุ้มกัน ส่งผลให้ร่างกายมีพลังในการกำจัด เชื้อโรคต่างๆ


"อันที่จริงแล้ว เราวางแผนที่จะเปิดผลิตภัณฑ์ ดี-กลูแคน เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมา แต่ติดที่การขอการอนุมัติจากทางสำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยา จนในที่สุดก็ได้ รับอนุญาต โดยเราคาดหวังว่าผลิตภัณฑ์ตัวนี้จะแรงไต่อันดับติด 1 ใน 3 สินค้าที่มียอดจำหน่ายสูงสุดของบริษัท" โดยทางบริษัท ได้ทดลองเปิดตลาดผลิตภัณฑ์ ดี-กลูแคน ไปเมื่อไม่นานมานี้ปรากฏว่าได้รับการตอบรับ จากสมาชิกอย่างล้นหลาม โดยสามารถจำหน่ายสินค้ากว่า 5,000 กล่อง ภายในระยะเวลาเพียง 10 วัน


"การที่ผลิตภัณฑ์ ดี-กลูแคน ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี เนื่องจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน โดยเรามั่นใจว่า สินค้าตัวนี้จะสร้างยอดขายได้สูงถึง 80,000-100,000 กล่องต่อเดือน"


 


 


 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com/

วันจันทร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

การเมืองป่วน! MLM หด ผู้ค้าหวั่นธุรกิจไม่โตตามเป้า







Capture (Mobile)

 


การเมืองพ่นพิษ! กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงโอดครวญ "กิฟฟารีน" คาดการณ์ตลาดรวม MLM ปี 56 โตน้อยกว่าปี 55 เน้นจัดประชุมลดความตึงเครียดนักธุรกิจ ด้าน "ยูนิไลฟ์" ชี้ ผลกระทบหนักตกไปอยู่กับสินค้ากลุ่มเสริมอาหาร และ ความงาม ฝั่ง "เอเชีย สุพรีม" เชื่อคนเดินเข้ามาในธุรกิจขายตรงน้อยลง ทางด้าน "แซนสยาม" กลัวสถานการณ์รุนแรง พา เศรษฐกิจหยุดชะงัก


กลายเป็นความเสียหายครั้งใหญ่ สำหรับเหตุการณ์ทางการเมืองที่มีการชุมนุมในหลายพื้นที่ ส่งผลกระทบไปยังภาคธุรกิจไม่เว้นแม้แต่วงการขายตรง ที่ปัจจุบันกลุ่มผู้ประกอบการต่างออก มายอมรับถึงผลกระทบทางการเมืองที่มีต่อบริษัท ซึ่งต่างฝ่ายก็มองว่า หากสถานการณ์ลุกลามและรุนแรงกว่านี้ อาจส่งผลให้ ยอดขาย และการเติบโตโดยรวมของธุรกิจขายตรงน้อยกว่าที่ ตั้งเป้าไว้


"กิฟฟารีน" คาดขายตรงโตน้อยกว่าปี 55


นายพงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการตลาด บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด เปิดเผยถึงผลกระทบทาง การเมืองที่มีต่อธุรกิจกับ "สยามธุรกิจ" ว่า จากสถานการณ์ทาง การเมืองในปัจจุบัน ที่มีการชุมนุมในหลายพื้นที่ ทำให้กลุ่มผู้บริโภค มีการระมัดระวังเรื่องการใช้จ่ายมากยิ่งขึ้น ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อ ยอดขายของบริษัท และภาพรวมทางธุรกิจ


"กิฟฟารีนพยายามสร้างบรรยากาศ ในองค์กรให้มีความตึงเครียดน้อยที่สุด บริษัท พยายามสร้างกลยุทธ์ต่างๆ เพื่อกระตุ้นธุรกิจ โดยเฉพาะการนำเสนอขายของบรรดาสมาชิก ที่บริษัทพยายามเน้นให้ นักธุรกิจนำเสนอสินค้าที่เป็นของใช้ชีวิตประจำวันมากยิ่งขึ้น"


อย่างไรก็ดี ทางบริษัทยังคงติดตาม สถานการณ์ทางการเมืองอย่างต่อเนื่อง เพื่อวิเคราะห์ และปรับแผนการตลาดให้สอดคล้อง กับสถานการณ์ ส่วนในภาพรวมของตลาดขายตรงนั้น ถึงปัจจุบันคาดว่าตลาดรวมยังโตได้ อยู่ ถึงแม้การเติบโตจะไม่มากเหมือนปีที่ผ่าน มาก็ตาม แต่โดยรวมก็คาดว่ายังมีการเติบโต


"ยูนิไลฟ์" ชี้ เสริมอาหาร-ความงามทรุด


ด้านนางปราณี พุทธิพิพัฒน์ขจร ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ยูนิไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เผยว่า หากความวุ่นวายทางการเมืองยังไม่จบสิ้น และ ยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ เชื่อว่า ภาพรวมของ ทุกธุรกิจจะแย่ลง ซึ่งในส่วนของธุรกิจขายตรงก็จะเติบโตได้ต่ำลงด้วย เพราะผลกระทบ จากการเมืองทำให้เศรษฐกิจล้มเหลว จนส่งผลให้ผู้บริโภคมีกำลังซื้อต่ำและมีการตัดสินใจซื้อช้าลงในทุกๆ ผลิตภัณฑ์ โดยเฉพาะ ในส่วนของเสริมอาหาร และเครื่องสำอางได้รับผลกระทบมากที่สุด ประการสำคัญ หากมีเหตุการณ์อื่นๆ เกิดขึ้น โดยเฉพาะสถานการณ์ทางการเมือง อาจส่งผลให้ธุรกิจ ขายตรงไทยตกต่ำมากกว่านี้ก็เป็นได้


"เกี่ยวกับเรื่องนี้ ทางบริษัทก็ได้เตรียม แผนรับมือไว้อยู่แล้ว เพราะถึงแม้จะมีศูนย์กระจายสินค้าต่างจังหวัด รวมถึงสมาชิกก็ตาม แต่หากการเมืองรุนแรงขึ้น ก็จะทำให้ เรื่องของการนำเข้าสินค้าและส่งออก มีผล กระทบมายังบริษัทแน่นอน รวมถึงหลายๆ บริษัทก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน เพราะหากกำลังซื้อตกลง ยอดขายของบริษัทก็จะลดลง และมีผลของการวางแผนในต้นปีหน้าด้วย แต่ที่น่าเศร้ากว่า คือประเทศชาติ จะต้องหยุดพัฒนาและเดินไปช้ากว่าเพื่อนบ้านในอาเซียนด้วย"


ทั้งนี้ หากกลุ่มผู้ชุมนุมไปอยู่ในพื้นที่ที่มีสำนักงานเปิดอยู่ก็อาจจะให้ปิดชั่วคราว และอาจปรับระบบการจัดการบริหารไปอยู่ในจุดที่สมาชิกเดินทางไปได้สะดวกขึ้น โดยไม่ไปใกล้พื้นที่ที่ชุมนุม และหากการชุมนุม ยืดเยื้อไปเรื่อยๆ ถึงปีหน้า เรื่องของผลกระทบ ยอดขายก็อาจจะต้องตกลง โดยเชื่อว่าจะกระทบไปทุกบริษัทที่ทำเครือข่าย รวมถึงภาคธุรกิจอื่นๆ ด้วย


"เอเชีย สุพรีม" หวั่นคนไม่เดินเข้า MLM


ในส่วนของ อ.สุธีร์ รัตนนาคินทร์ ประธานกรรมการ บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด เปิดเผยว่า ถือเป็นเรื่องที่น่าเสียดาย ที่ปกติในช่วงครึ่งปีหลัง แต่ละบริษัทจะต้อง พยายามงัดกลยุทธ์ออกมาเพื่อกระตุ้นยอดขาย ซึ่งจะมีการจัดโปรโมชั่นต่างๆ ออกมาเอาใจสมาชิกให้ซื้อกันเต็มที่ แต่พอมาเจอเหตุการณ์ทางการเมืองที่กำลังเร่าร้อนแบบ นี้ก็ทำให้หลายๆ บริษัทอาจต้องทำใจและปรับเปลี่ยนแผนการตลาดรับมือกันพอ-สมควร เพื่อให้ประคับประคองให้ธุรกิจเดิน หน้าต่อไปได้


"ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้เศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี แต่ธุรกิจขายตรงก็ยังคงเติบโต ได้อยู่เพราะมีผู้เข้ามาเป็นตัวแทนจำหน่ายอิสระมากขึ้นส่งผลให้ขายสินค้าได้มากตาม ไปด้วย เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นครั้งนี้ ทำให้มีผู้สนใจเข้าสู่ธุรกิจขายตรงน้อย ลงเรื่อยๆ และเชื่อได้ว่าในช่วงครึ่งปีหลังผู้ประกอบการแต่ละรายอาจจะไม่กล้าอัดงบ-ประมาณในการทำตลาด ยิ่งบางบริษัททุ่มงบประมาณไปแล้ว เกี่ยวกับการจัดโปรโมชั่น ลด แลก แจกแถม เพื่อกระตุ้นการซื้อก็อาจ จะต้องเสียหายและขาดทุนย่อยยับไปเลย"


ขณะเดียวกันยังต้องเพิ่มผลตอบแทน ให้ผู้จำหน่ายอิสระสูงขึ้นอีกเพื่อเป็นแรงจูงใจ ให้จำหน่ายสินค้าได้มากขึ้น และหากเหตุการณ์ทางการเมืองเลวร้ายไปกว่านี้ เอเชีย สุพรีม ก็ได้มองตลาดต่างประเทศและกลุ่มใหม่ๆ เข้ามาช่วยเพิ่มเติมอยู่แล้ว เพราะทุกบริษัทจะมีการแข่งขันกันอย่างหนัก บริษัทไหนแข็งแรงและมีศักยภาพดีกว่าก็จะได้เปรียบ โดยบริษัทยังมั่นใจในสมาชิกและผู้นำเก่งๆ ที่จะนำพาให้ เอเชีย สุพรีมŽ รับมือกับการแข่งขันได้


"แซนสยาม" กลัวเหตุการณ์รุนแรง พาเศรษฐกิจหยุดชะงัก


ทางด้านนายสมชาย อินทิราวรนนท์ ประธานกรรมการ บริษัท แซนสยาม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า เหตุการณ์ทางการเมืองครั้งนี้ ยังไม่ได้ส่งผล กระทบต่อบริษัทแต่อย่างใด เนื่องจากบริษัท เน้นทำตลาดในสาขาต่างจังหวัดเป็นหลัก ส่วนสำนักงานในกรุงเทพฯ ก็มี แต่ไม่มากเท่าไรอีกทั้งยังไม่อยู่ในพื้นที่ใกล้กับการชุมนุม ซึ่งส่วนใหญ่ สาขา "แซนสยาม" ในต่างจังหวัดจะมีสมาชิกที่เป็นนักจัดรายการ วิทยุ หรือดีเจ คอยประชาสัมพันธ์สินค้าและ มีเกมให้ผู้ฟังได้ร่วมสนุก เพื่อที่จะได้รับสินค้า เป็นรางวัล ทำให้สถานการณ์ในเวลานี้ไม่มีผลกระทบแน่นอน


อย่างไรก็ตาม หากสถานการณ์ทางการเมืองเลวร้ายถึงขั้นรุนแรง "สมชาย" ได้กล่าวต่อว่า หากถึงขั้นนั้นจริง เศรษฐกิจประเทศชาติก็จะหยุดชะงัก ทุกธุรกิจจะหยุด นิ่ง ทำให้ประเทศไทยกลับมาสู่ในยุคข้าวยาก หมากแพงอีกครั้ง โดยประเทศเพื่อนบ้านก็จะพัฒนาแซงหน้าประเทศเราไปอีกหลายขั้น


"ถึงเวลานั้นจริงๆ บริษัทก็ต้องรับมือ ให้ได้ และสาขาที่อยู่ในกรุงเทพฯ บางจุด อย่างสำนักงานใหญ่ก็อาจจะปิดชั่วคราวแน่นอน แต่ก็หวังว่า สถานการณ์ทางการเมืองคงไม่ ร้ายแรงถึงขั้นนั้น โดยหากถึงขึ้นนั้นแล้ว บริษัทขายตรงที่มีออฟฟิศใกล้ตรงสถานที่ชุมนุมก็คงจะเสียหายเป็นอย่างมาก ถึงตอนนี้ บริษัทได้เตรียมที่จะเล็งทำตลาดไปในประเทศ เพื่อนบ้านด้วย เพราะจะช่วยให้บริษัทขยาย เครือข่ายและเพิ่มยอดขายอีกต่างหาก" สมชาย กล่าวทิ้งท้าย


 


 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com/

ข่าวเลิฟยู (Loveyou Thailand) : ผลประโยชน์เย้ายวน 18 มงกุฎ!







171407_108261049251811_8149739_o (Mobile)

 


ปัจจุบันธุรกิจขายตรง นับว่าเป็นธุรกิจที่มีเงินสะพัด มากมายมหาศาล จากที่กลุ่ม ทุนเข้ามาเปิดธุรกิจแข่งขันกันมากขึ้น รวมถึงกลุ่มประชาชนที่มุ่งหวังจะสร้างรายได้จากธุรกิจขายตรง สิ่งนี้กลายเป็นปัจจัยเย้ายวน ที่ทำให้กลุ่มมิจฉาชีพเข้ามาหาผลประโยชน์โดยมิชอบ ส่งผลให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจถูกมองในทางไม่ดี ซึ่งหลายฝ่ายก็ต่างเรียกร้องให้มีกฎกติกาในการเอาผิดกลุ่มผู้ไม่หวังดี และปกป้องธุรกิจขายตรง


นายภาวัช หรัญรัตน์ รองประธานกรรมการบริหาร บริษัท เลิฟยู (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ทุกวันนี้ปัญหาในธุรกิจขายตรงยังมีอยู่เยอะมาก เนื่องจากมีคนที่อยาก พลิกชีวิตเข้ามาทำธุรกิจเครือข่ายกันเยอะ ทำให้ต้องเช็กรายละเอียดแต่ละบริษัทให้ดีว่า ทาง สคบ. รับรองบริษัทหรือไม่ ซึ่งเชื่อว่ามีปัญหาที่เกิดขึ้นและไม่ได้ถูกนำมาเปิดเผยเป็นจำนวนมาก เพราะหากต้องขึ้นโรงขึ้นศาลกัน คงจะเสียทั้งเวลาและเงินทอง ก็จะเป็นลักษณะยอมๆ ความกันไป หรือ ไม่ก็ต้องมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งยอมเสียผลประโยชน์ไปเลย


"ในฐานะที่ตนเป็นผู้ประกอบการคนหนึ่ง อยากให้มีการปรับแก้ไขกฎหมายขายตรง เนื่องจาก 10 กว่าปีแล้วที่ยังไม่มีการแก้ไขให้มีความเหมาะสมกับธุรกิจในยุคปัจจุบัน คือ เทคโนโลยีได้พัฒนาไปมาก การติดต่อสื่อสารเป็นไปอย่างรวดเร็ว การที่จะเข้าถึงกันและกันก็เร็วตามไปด้วย ซึ่งอยาก ให้หน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องทำความเข้าใจกับประชาชนให้ชัดเจน เพราะถ้ามีกฎกติกาควบคุมที่ดี จะทำให้ปัญหาในธุรกิจ เครือข่ายน้อยตามไปด้วย"


"ทุกวันนี้โลกได้เปลี่ยนแปลงไปมาก เพราะกำลังเข้าสู่ ยุคของการสื่อสารไร้พรมแดน ไม่ว่าจะที่ไหนๆ ก็คุยกัน ส่งรูป หรือส่งงานได้หมด ทำให้การที่จะทำธุรกิจอะไรๆ ก็ดูง่ายขึ้น แม้การที่ผู้บริโภคจะวิ่งเข้าหาผู้ประกอบการก็ดูจะง่ายเช่นกัน ทำให้กลุ่มไม่หวังดีเข้ามาทำลายธุรกิจดีๆ ให้เป็นสีดำ ทั้งที่จริง ธุรกิจขายตรงเป็นสีขาว แต่ความที่มีผลประโยชน์เยอะทำให้ คนเกิดความโลภ และทำลายให้ธุรกิจนี้มีภาพลักษณ์เสียหาย ไปเลย"


โดยธรรมชาติของผู้ประกอบการขายตรงนั้น จะต้องใช้เงินลงทุนพอสมควร อยู่ที่ว่าจะเปิดบริษัทใหญ่หรือเล็กเท่านั้น ซึ่งย่อมต้องหวังผลกำไร แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม ไม่เอาเปรียบผู้บริโภคจนเกินไป ซึ่งหากสังเกตดีๆ กฎหมาย ขายตรงยังเอื้อประโยชน์ต่อผู้บริโภคมากกว่า แต่ไม่ค่อยเอื้อ ประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ ซึ่งอยากให้มีความยุติธรรม เท่าเทียมกัน และเมื่อมีปัญหาเกิดขึ้น ก็อยากให้มีหน่วยงาน ที่ร้องทุกข์และดำเนินคดีได้ เพื่อเป็นการยกระดับธุรกิจขายตรงเหมือนกับธุรกิจอื่นๆ ที่ทำไปแล้วก่อนหน้านี้


 


 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com/

ข่าววิน วิน เวิลด์ไวด์ (WIN WIN WORLDWIDE) : เชื่อมั่น ศรัทธา อย่าลังเล 'ณัฐสุดา ทันสมัย" ตำแหน่ง "ผู้จัดการ" บริษัท วิน วิน เวิลด์ไวด์ จำกัด







1470100_552813064797002_825595276_n (Mobile)

 


Key to Success ยังคงเดินหน้าค้นหา รายชื่อนักธุรกิจขายตรงที่ประสบความสำเร็จ เพื่อดึงมาเป็นตัวละครในการฉายภาพ ความจริง ที่ต้องการแสดงให้ผู้อ่านได้เห็นว่า ธุรกิจขายตรง หากทำจริง ก็ได้จริง ซึ่งในครั้งนี้ก็เป็นอีกครั้งที่ทีมงานคอลัมน์ได้รับเกียรติในการค้นหาคำตอบของความสำเร็จ ซึ่งในครั้งนี้ผู้อ่านจะได้รู้จักกับ 'ณัฐสุดา ทันสมัย" หรือ "แนท" นักธุรกิจขายตรงสาวหล่อ ตำแหน่ง "ผู้จัดการ" บริษัท วิน วิน เวิลด์ไวด์ จำกัด


ณัฐสุดา ทันสมัย หรือ แนท ปัจจุบันอายุ 28 ปี พื้นเพเป็นคน จ.แพร่ เริ่มทำธุรกิจเครือข่ายมาประมาณ 2 ปี มีรายได้แตะหลักแสนบาทต่อเดือน โดยมีรายได้สะสมถึง 2 ล้านบาท จากความรักที่มีต่องาน ขาย จึงเป็นเรื่องไม่ยากที่สาวหล่อวัยรุ่นผู้นี้ จะเข้ามาสู่วงการขายตรง แต่อะไรที่ทำให้เขากลายเป็นมนุษย์เงินแสนได้ ทั้งๆ ที่อายุ ยังไม่เข้าเลข 3 ด้วยซ้ำ


อะไรคือจุดเปลี่ยนดึงเข้ามาทำธุรกิจ MLM


"คงเป็นเพราะคุณแม่ที่ทำธุรกิจขายตรงมาก่อน และพอดีส่วนตัวเป็นคนชอบงาน ขายอยู่แล้ว ประกอบกับที่บ้านก็ทำอาชีพขายของ ทำให้รู้แนวทางและวิธีการเกี่ยวกับ เรื่องนี้เป็นอย่างดี อีกทั้งตนยังมองว่า ธุรกิจ ขายตรงไม่ได้น่ากลัวอย่างที่คิด เพราะยังมีผู้ที่ประสบความสำเร็จจนเปลี่ยนแปลงชีวิต เป็นคนมั่งคั่งได้หลายต่อหลายคน และเชื่อว่า เมื่อเขาทำได้ ตนเองก็ต้องทำได้เช่นกัน"


ทำไมถึงเลือกทำธุรกิจกับ "บ.วิน วิน เวิลด์ไวด์"


"ชอบในแผนการตลาด ไม่ต้องรักษา ยอด มีระบบการจัดการบริหารที่ดี ซึ่งยังสามารถเกษียณธุรกิจนี้ได้จริง โดยไม่ต้อง ทำงานและมีรายได้เข้ามาตลอดทุกเดือน โดยช่วงระยะแรกๆ อาจต้องเหนื่อยสักหน่อย นอกจากนี้ ยังได้ฟังวิสัยทัศน์ของเภสัชกรประเสริฐ หวานยิ่ง ทำให้เกิดความเชื่อมั่นในองค์กรมากขึ้น"


เวลาเจออุปสรรค เคยท้อคิดจะเลิกบ้างไหม


"ยอมรับว่าเคยท้อจนเกือบจะเลิก ยังจำได้ดีเลยทีเดียว ในตอนนั้นเหลือเงินเพียงแค่ 20 บาท จนไม่มีเงินไปซื้อข้าวกิน ทุกอย่างลงทุนและทุ่มเทไปหมด แต่ที่ผ่านวัน นั้นมาได้ เป็นเพราะความอดทน และศรัทธา ในความสำเร็จ ได้ให้กำลังใจตนเองอยู่ตลอด ว่าต้องทำได้ เพราะหากทำได้แล้ว คนในครอบครัวจะสบายไม่ต้องลำบากอีกต่อไป"


ทำธุรกิจ MLM มากี่ปี...และวางเป้าหมายอย่างไร


"เวลานี้ทำธุรกิจมาได้ 2 ปีเต็ม มี รายได้เฉลี่ยต่อเดือน 1 แสนบาทขึ้นไป อยู่ในตำแหน่ง "ผู้จัดการ" เป้าหมายภายใน 3 ปี จะต้องเป็นมนุษย์เงินล้านให้ได้ เพราะธุรกิจนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ตำแหน่งสูงสุด เพียง แค่สร้างสายงานให้เยอะๆ ก็พอ รวมถึงจะพยายามขยายสายงานให้ครอบคลุมโซนภาคเหนือให้ได้มากที่สุด ซึ่งก่อนสิ้นปีนี้จะถอยรถเบนซ์ C-Class C220 ราคา 2,500,000 บาท มาขับด้วย"


ชีวิตเปลี่ยนแค่ไหน...หลังเข้ามาทำขายตรง


"แต่เดิมที่บ้านไม่ได้ร่ำรวยอะไร ส่วน ตนก็ต้องทำงานและเรียนหนังสือควบคู่ไปด้วย ชีวิตไม่ได้สบายเหมือนคนอื่น แต่ก็ ทำให้ตนแข็งแกร่ง สามารถผ่านอุปสรรค ต่างๆ นานา มาได้ทั้งหมด จนวันที่เข้า มาทำธุรกิจเครือข่าย และประสบความสำเร็จ ถึงแม้จะยังไม่อยู่ในจุดสูงสุด แต่ก็ในระดับที่ทำให้ครอบครัวสบาย ไม่ต้องลำบาก อีกต่อไป ดีใจที่สามารถดูแลคนในครอบครัวได้ และยังได้มีเวลา ไปท่องเที่ยวกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตา"


มีเทคนิคอะไร...สู่ความสำเร็จ


"ไม่ใช่เรื่องยาก ทุกคนมีทุกอย่าง เท่ากัน คุณไม่จำเป็นต้องเก่ง ไม่ต้องรวย แต่ขอแค่เปิดใจมาเรียนรู้ทำธุรกิจ กับบริษัทอย่างจริงจังก็พอ รวมถึงต้อง มีจรรยาบรรณ ความซื่อสัตย์ ไม่ลังเล เชื่อมั่นและศรัทธาในบริษัท ซึ่งอยากให้ดูคน ที่ประสบความสำเร็จ และใช้เป็นแนวทางให้ ตนเองก้าวไปสู่ความสำเร็จ อย่าทำตามใจตนเอง ควรทำตามระบบที่มีมาอย่างดีมากกว่า"


และนี่...ก็เป็นอีกหนึ่งเส้นทางชีวิตจากจุดแรกเริ่มจนถึงปัจจุบันในการอยู่บน ถนนของธุรกิจเครือข่าย ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่เรานำเสนอนี้ อย่างน้อยก็ทำให้ท่าน ผู้อ่านได้รู้ ส่วนจะปรับใช้ในชีวิตได้มากน้อย เพียงใดคงต้องขึ้นอยู่กับแนวทางของแต่ละท่านเท่านั้น


 


 


 


 


Credit By : http://www.siamturakij.com/

เปิดใจบิ๊กบอส 'แม็กซ์ เฮลท์ตี้'แจกสารพัดโปรพลิกวิกฤติเป็นโอกาส







รูปประกอบข่าว40018 (Mobile)

 


เปิดวิสัยทัศน์น้องใหม่วงการขายตรง "แม็กซ์ เฮลท์ตี้" หลังเจอมรสุมกระหน่ำฟาดหางใส่ธุรกิจ ด้วยเหตุเข้าใจผิดจนทำให้ยอดขายลดลง แต่วันนี้นักธุรกิจหนุ่มที่ชื่อ "ประกาศิต เลิศมุกดา" สามารถฝ่าฟันอุปสรรคดังกล่าวมาได้อย่างภาคภูมิใจ หลังจับเข่าคุยคู่กรณีเป็นที่เรียบร้อย ดูเหมือนธุรกิจจะสดใสซาบซ่าส์


วันนี้ทีมข่าว มีโอกาสพูดคุยกับนักธุรกิจหนุ่มผู้นี้ ถึงการสร้างโอกาสและพลิกสถานการณ์ให้กลับเข้ามาสู่ภาวะปกติ ซึ่งได้ฟังแนวคิดถือว่า แนวคิดที่ออกจากปากของบิ๊กบอสค่ายนี้ ถือว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง โดยเฉพาะในการทำงานที่ตนเองได้วางแผนเอาไว้ ลองไปฟังความคิดเห็นของเขากันดู


นายประกาศิต เลิศมุกดา ประธานกรรมการบริหาร บริษัท แม็กซ์ เฮลท์ตี้ ซัพพลาย จำกัด ผู้จัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มคอลลาเจน ภายใต้แบรนด์ "แม็กซ์ กลูต้าคอลลาเจน พลัส 35,000 mg กล่าวว่า แม้ว่าช่วงนี้บริษัทจะเจอปัญหาดังกล่าว แต่ยังคงเดินหน้าพัฒนาธุรกิจอย่างต่อเนื่องด้วยการเปิดตัว 4 โปรเจกต์ ภายใต้คอนเซ็ปต์ Maxx new gen โดยมี 4 ผลิตภัณฑ์ใหม่ เริ่มด้วย Maxx Gluta Collagen Plus Perfect Edition 35,000 mg ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่น หรูหรา เลอค่าเมื่อได้สัมผัส ผลิตภัณฑ์ที่สองคือ Maxx Collagen Pure ด้วยคอนเซ็ปต์ เข้มข้น สั่งได้ตามใจคุณ ผลิตภัณฑ์ที่สามคือ Maxx Snail Plus ครีมจากส่วนผสมของเมือกหอยทาก โด่งดังมาแล้วที่เกาหลี วันนี้ให้คุณได้พิสูจน์แล้ว Maxx รับประกันคุณภาพ และสุดท้าย ไฮไลท์ของงานกับผลิตภัณฑ์เพื่อท่านชาย Sparta ที่มาพร้อมกับพรีเซ็นเตอร์สินค้า อย่าง "อู๊ด เป็นต่อ" โดยบริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ 30,000 กล่องต่อเดือน


ปัจจัยทำให้เติบโตทางธุรกิจมาจากตัวแทนจำหน่าย ตัวแทนร้านค้า โปรโมชั่น ท่องเที่ยวต่างประเทศ โปรการสะสมคะแนน ตอนนี้เรามีโรงงานผลิตสินค้าที่เป็นพันธมิตรกับเราหลายโรงงาน ไม่ว่าจะเป็นโรงงานเจเอสพี และเชียงใหม่โฮลดิ้ง นี่คือกลุ่มพันธมิตรของเรา ทำให้ช่วงที่กลุ่มผู้ไม่หวังดี ทำทุกอย่างลอกเลียนแบบผลิตภัณฑ์เราจนได้รับความเสียหาย เราก็ได้พันธมิตรที่ดีเหล่านี้ช่วยแก้ไขปัญหาได้


"ที่ผ่านมาต้องยอมรับกันว่า ตอนที่เปิดบริษัทแรกๆ ปกติยอดขายเฉลี่ย 7-8 แสนบาทต่อวัน วันแรกที่เปิดตัว ขายสินค้าได้ถึง 13-14 ล้านในวันเดียว เรียกว่าในเดือนหนึ่งบริษัททำยอดได้ถึง 50 ล้านกว่าบาท พอเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้น ทำให้ยอดตกถึง 50% หรือกำไรหายไปประมาณกว่า 30 ล้านบาท บริษัทก็เลยพลิกวิกฤติเป็นโอกาส ด้วยการจัดโปรเจกต์ "โดนจับรับหมื่น" คือตัวแทนร้านค้าไหนที่ไปรับสินค้าจากกลุ่มที่หลอกลวงแล้วโดนจับกุม เราก็ไปช่วยและให้เงินเป็นการปลอบใจ" นายประกาศิต กล่าว


นายประกาศิต กล่าวต่อว่า สำหรับในส่วนของไลน์การผลิต เราดูแลและเอาใจใส่ทุกขั้นตอน เพื่อให้เพียงพอต่อความต้องการของผู้บริโภค ในขณะที่เตรียมเปิดโปรเจกต์ "นูทริแม็กซ์" โรงงานผลิตสินค้าของแม็กซ์ เฮลท์ตี้ โดยเฉพาะ พร้อมชวนตัวแทนหลักของบริษัททุกท่าน ร่วมทริปมัลดีฟส์ที่กำลังจะเกิดขึ้นเร็วๆ นี้ หลังจากที่เพิ่งแจก เบนซ์ ซี คูเป้ ไปถึงสองคันให้กับตัวแทนที่ทำรายได้ตามเป้าโปรโมชั่น บริษัทได้พยายามเน้นทำสื่อการตลาดให้ครอบคลุมทุกช่องทาง ไม่ว่าจะเป็นหนังสือพิมพ์, เคเบิลทีวี และสื่อออนไลน์ เพราะหลักๆ บริษัทได้กำไรมาจากตรงนี้ถึงเดือนละ 30 ล้านบาทต่อเดือน


อย่างไรก็ตาม ในช่วง 2 เดือนนับจากนี้ บริษัทตั้งเป้ายอดขายแม็กซ์กลูต้า คอลลาเจน พลัส 35,000 mg. ไว้ที่ 30,000 กล่องต่อเดือน หลังจากได้มีการเจรจากับบริษัทคู่กรณี ซึ่งสามารถตกลงกันได้ด้วยดี ทำให้ยอดขายแม็กซ์กลูต้าฯ กลับเข้าสู่ภาวะปกติ ขณะที่ Sparta บริษัทตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 30,000 กล่องต่อเดือน และ Maxx Snail Plus ตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 50,000 กระปุกต่อเดือน ส่วนยอดขายรวมในปีนี้บริษัทตั้งเป้าไว้ที่ 500 ล้านบาท


"นโยบายของเราคือ สินค้าจะต้องมีผู้จัดการผลิตภัณฑ์ 1 คน คอยรับผิดชอบ เพื่อจะได้ดูแลสินค้าได้อย่างทั่วถึง โดยกลยุทธ์การตลาดจะเน้นไปที่สื่อดาราเป็นหลัก เพื่อให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายของเรา รวมถึงการจัดโปโมชั่นพิเศษให้กับตัวแทนจำหน่ายที่ทำยอดขายตามเป้าหมายที่บริษัทกำหนด เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขาย โดยล่าสุดเราเพิ่งแจกรถยนต์โตโยต้า คัมรี่ มูลค่าล้านกว่าบาทให้กับตัวแทนจำหน่ายไป 1 คัน หลังจากก่อนหน้านั้น เราเพิ่งดาวน์รถยนต์เมอร์เซเดส-เบนซ์ รุ่นอี คูเป้ ให้กับตัวแทนจำหน่ายไปแล้ว 2 คัน"


สำหรับกรณีที่มีการฟ้องร้องกันกับบริษัทคู่แข่งนั้น นายประกาศิต กล่าวว่า หลังจากได้มีการเจรจากันของทั้ง 2 ฝ่าย ก็สามารถตกลงกันได้เป็นอย่างดี โดยการพูดคุยในครั้งนี้ได้เปลี่ยนจากศัตรูมาเป็นมิตร ซึ่งทั้ง 2 ฝ่ายมีความคิดเห็นที่ตรงกัน คือ ต้องการให้มีการยอมความกันและถอนฟ้องทุกคดี เพื่อเดินไปข้างหน้าด้วยกัน และทางคุณหมอธัญเทพ พู่ประเสริฐศักดิ์ ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเครื่องดื่มคอลลาเจนภายใต้แบรนด์ "แม็กซ์คอลลาเจน เอ็กซ์ตร้า พลัส 25,000 mg" ได้มอบหมายให้ตนเป็นผู้ทำการตลาดสินค้าแบรนด์ดังกล่าวทั้งหมด


"ต้องยอมรับว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นมาถือเป็นเรื่องเข้าใจผิดกัน แต่หลังจากได้มานั่งคุยกัน ทำให้ทุกคนเข้าใจซึ่งกันและกันมากขึ้น ซึ่งตอนนี้ทีมงานของหมอธัญเทพทุกคนกับผมมีความเข้าใจกันมากขึ้น ซึ่งโดยส่วนตัวผมไม่ต้องการจะไปทะเลาะกับใครอยู่แล้ว ดังนั้นการพูดคุยในครั้งนี้จึงเปลี่ยนวิกฤติเป็นโอกาส เพราะเราเป็นนักธุรกิจไม่ว่าจะเกิดปัญหาอะไรขึ้น จะต้องทำให้รายได้กลับคืนมาโดยเร็วที่สุด เพราะหากยังทะเลาะกันอยู่ก็คงจะเสียกันทั้ง 2 ฝ่าย"


คงต้องติดตามค่าย "แม็กซ์ เฮลท์ตี้" กันต่อไป ว่าจะสามารถยืนหยัดต่อสู้แนวทางการทำงาน และพลิกผันตัวจากผู้ประกอบการรายเล็กไปสู่ทำเนียบท้าชิงกับเจ้าตลาดขายตรงได้มากแค่ไหน คงต้องเอาใจช่วยกัน


 


 


 


 


Credit By : http://www.ryt9.com

วันเสาร์ที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

บริษัทแม่ลุกซ์เล็งตั้งป้อมไทยสนง.ใหญ่ ประกาศรับพนักงานเพิ่มรองรับการเติบโต







468084_336380066491072_982501049_o (Mobile)

 


บริษัทแม่ลุกซ์ รอยัล ตอกย้ำความสำเร็จธุรกิจเมืองไทย ประกาศเตรียมย้ายสำนักงานใหม่ หลังเล็งเห็นศักยภาพและความพร้อมเครือข่ายเมืองไทย เผยธุรกิจเติบโตมาได้ในช่วงที่ผ่านมาเพราะความเชื่อมั่นที่ลูกค้ามีให้ลุกซ์...แจงแผนระยาวเตรียมลุยธุรกิจแบบเต็มอัตราศึก หลังบริษัทแม่ไฟเขียว พร้อมสนับสนุนทุกด้าน ตั้งเป้าขยายตลาดมากขึ้นสู่อาเซียน


มร.ฮาแกน ปาล์ม ประธานกรรมการสูงสุด “ลุกซ์ รอยัล เอเชีย แปซิฟิก” และกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุกซ์ รอยัล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปัจจุบันกลุ่มบริษัท ฟอแวกซ์ กรุ๊ป เยอรมนี บริษัทแม่ของ “ลุกซ์ รอยัล ประเทศไทย” ยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และขณะนี้บริษัทฯ มีสาขาอยู่ทั่วโลก สามารถก้าวขึ้นสู่เบอร์ 3 ของตลาดขายตรงโลก ซึ่งจุดนี้เองที่แสดงให้เห็นถึงความมั่นคงของ “ลุกซ์” ได้เป็นอย่างดี


นอกจากนี้ บริษัท ลุกซ์ รอยัล (ประเทศไทย) จำกัด ถือว่าประสบความสำเร็จอย่างมากทีเดียว สำหรับบริษัทขายตรงชั้นเดียวที่นำโดย มร.ฮาเกน ปาล์ม ประธานกรรมการและผู้บริหารสูงสุด ลุกซ์ รอยัล เอเชีย แปซิฟิก คนใหม่ และในฐานะกรรมการผู้จัดการ บริษัท ลุกซ์ รอยัล (ประเทศไทย) จำกัด จึงได้จัดงานประชุมสุดยอดนักขายมืออาชีพและงานเฉลิมฉลองความสำเร็จ ภายใต้ชื่องาน “LUX Award 2012” โดยงานนี้มีบรรดานักขายและผู้นำที่ประสบความสำเร็จตบเท้ารับรางวัลกันอย่างมากมาย


มร.ฮาเกน กล่าวต่อว่า หนึ่งในกลุ่มบริษัทที่ทาง ฟอแวกซ์ กรุ๊ป ให้ความสำคัญ มากที่สุดคือ บริษัท ลุกซ์ รอยัล โดยเฉพาะสาขาประเทศไทย ซึ่งแม้ปัจจุบัน ลุกซ์ เอเชีย แปซิฟิก มีศูนย์ใหญ่อยู่ในประเทศสิงคโปร์ แต่ขณะนี้บริษัทแม่ก็เตรียมที่จะย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่ในประเทศ ไทย เพราะได้มองเห็นถึงศักย ภาพ และความพร้อมต่าง ๆ ของธุรกิจเครือข่ายในประเทศไทย


ไม่เพียงเท่านั้น ด้วยกลยุทธ์ที่ทำให้ “ลุกซ์” ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก นั่นก็คือ “เป้าหมายหลักของนักการตลาดและผู้ประกอบการที่ต้องการประสบความสำเร็จในธุรกิจนั่นเอง


ปัจจุบัน “ลุกซ์” มีธุรกิจหลักอยู่ 3 ธุรกิจ คือ


1. กลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องกรองน้ำ 40%


2. กลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องทำความสะอาดอเนกประสงค์ 40% และ


3. กลุ่มธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องซักผ้า 20% ซึ่งทั้ง 3 กลุ่มธุรกิจนี้ “ลุกซ์” มีความมั่นใจว่า นี่คือสิ่งที่ดีที่สุด ที่พร้อมจะมอบให้กับผู้บริโภคทุกคนทั่วโลก ซึ่งสอดคล้องกับนโยบายของบริษัทแม่ ที่ต้องการเน้นในเรื่องของคุณภาพ และเรื่องความทนทานเป็นอันดับหนึ่ง


นอกจากนี้ “ลุกซ์” สาขาไทย ยังออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ๆ เพิ่ม เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมา บริษัทฯ ได้มีการเปิดตัวเครื่องกรองน้ำชนิดใหม่ ภายใต้ชื่อสินค้า LUX P.O.E. ซึ่งเป็นนวัตกรรมการกรองน้ำใช้ โดยเฉพาะน้ำประปาที่ยังไม่ได้มาตรฐานและเครื่องซักผ้ารุ่นใหม่ 2 รุ่นด้วยกัน คือ WH-1094 และ WH-264 เพื่อเอาใจและตอบสนองความต้องการของลูกค้าไปแล้ว


“เมื่อปีที่แล้ว บริษัทฯ ได้เปิดตัวเครื่องฟอกอากาศเพื่อสุขภาพ ซึ่งแม้จะเปิดตัวในบางสาขา ภายในประเทศไทย แต่ผลปรากฏว่า ภายใน 6 เดือนแรก เครื่องฟอกอากาศดังกล่าว สามารถขายได้ประมาณ 2,500 เครื่อง ถือว่าประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี” มร.ฮาเกน กล่าว


จะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา บริษัท ลุกซ์ รอยัล (ประเทศไทย) จำกัด นั้น ค่อนข้างที่จะได้รับความเชื่อมั่นมาโดยตลอดจากลูกค้า ทั้งในด้านคุณภาพของสินค้า และการบริการ ทำให้ “ลุกซ์” เติบโตมาอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นครอบครัวที่ใหญ่ขึ้น ซึ่งอาจจะเจอปัญหาเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจมากระทบบ้าง แต่ก็สามารถฝ่าฟันอุปสรรคต่าง ๆ มาได้ ในขณะเดียวกัน ความสำเร็จเหล่านี้จะเกิดขึ้นไม่ได้เลย ถ้าขาดบุคลากรอันทรงคุณค่าของบริษัทที่หลาย ๆ ฝ่ายมีส่วนเกี่ยวข้อง


ทั้งนี้ มร.ฮาเกน ยังได้เปิดเผยอีกว่า ในอนาคต ลุกซ์ (ประเทศไทย) จะเป็นผู้นำในการขยายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไปสู่ประเทศต่าง ๆ ในตลาดอาเซียน โดยเฉพาะประเทศอินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์ และเวียดนาม โดยจะนำนักขายจากประเทศไทยเป็นผู้นำในการอบรม ซึ่งจะมีการจัดอบรมให้ความรู้ทั้งภายในประเทศและนอกประเทศ


รวมถึงบริษัทฯ ยังมีแผนที่จะพัฒนาบุคลากรของบริษัทฯ ให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญมากขึ้น โดย “ลุกซ์” เป็นบริษัทขายตรงเพียงบริษัทเดียวในประเทศไทย ที่จ้างคนทำงานเต็มเวลา ลุกซ์ ประเทศไทย เป็นบริษัทขายตรงชั้นเดียว ที่ใช้พนักงานทำหน้าที่คล้ายตัวแทนขายสินค้า มีเงินเดือน รวมทั้งมีค่าคอมมิชชั่นจากการขาย โดยการจัดทำแผนการตลาดเช่นนี้ เพราะบริษัทมีความเชื่อมั่นในเรื่องของสินค้าว่า มีคุณภาพสามารถขายตัวเองได้


สำหรับแผนงานในระยะยาวข้างหน้านั้น ลุกซ์ ประเทศไทย พร้อมที่จะรองรับการเจริญเติบโตของบริษัทฯ อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากบริษัทแม่ได้ให้การสนับสนุนอย่างเต็มที่ พร้อมกันนี้ “ลุกซ์” เอง ยังได้เตรียมลุยธุรกิจต่อจากนี้ไปอย่างเต็มที่ด้วย พร้อมกับการประกาศที่จะรับพนักงานเพิ่ม และเน้นในเรื่องของการเทรนนิ่งในการทำธุรกิจเชิงลึกมากขึ้น รวมถึงการเน้นการขยายเพิ่มเติมไลน์ผลิตภัณฑ์ให้ครบวงจร เพื่อรองรับอัตราการเติบโตที่จะมีขึ้นในอนาคตอันใกล้


 


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

‘รมิตา’เดินเครื่องเครือข่ายอาเซียน ลดเป้าสิ้นปี เหตุปัจจัยลบพ่นพิษรอบด้าน







Capture (Mobile)

 


“รมิตา” เผยธุรกิจ 6 ปีที่ผันผ่าน เจอทั้งวิกฤติและโอกาส...หลังปูพรมสาขาเพิ่ม แบรนด์เริ่มติดหู...บอสใหญ่ “ใจกล้า” คุยหลังเจาะตลาดเพื่อนบ้าน โอกาส & อุปสรรค เดินเคียงคู่ แต่ยังเดินหน้าขยายเครือข่ายอาเซียนเต็มประตู...เชื่อมั่นปีหน้าหากเศรษฐกิจไทยและเทศในภาพรวมดี จะเหวี่ยงธุรกิจขายตรงดีตามอีกครั้ง...แย้มเป้าสิ้นปีขอแตะ 200 ล้าน


นายใจกล้า กาดำดวน รองประธานกรรมการ บริษัท รมิตา เฮลธ์แอนด์บิวตี้ จำกัด เผยว่า ตลอดระยะเวลา 6 ปีที่ผ่านมา เรียกได้ว่า ธุรกิจ “รมิตา” เจอทั้งอุปสรรคและปัญหาในการทำธุรกิจต่าง ๆ มากมาย แต่ก็ยังสามารถดำเนินธุรกิจมาได้ ซึ่งในปีที่ผ่านมา ถือว่าเป็นปีที่ “รมิตา” มีการขยายสาขามากขึ้น จนทำให้หลายคนเริ่มรู้จักแบรนด์ “รมิตา” ล่าสุด ได้มีการขยายสาขาเพิ่มเป็น 20 สาขาด้วยกัน


“การเปิดสาขาของ “รมิตา” นับจากนี้ ตั้งเป้าไว้ว่า จะต้องมีสาขาเกิดขึ้นอย่างน้อยประมาณ 3 - 5 สาขาต่อปี ขณะนี้ได้มีการพิจารณาที่จะเปิดสาขาเพิ่มอยู่เช่นเดียวกัน โดยพื้นที่สำคัญที่น่าสนใจในการขยายธุรกิจ นั่นก็คือ อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก เพราะพื้นที่ดังกล่าวถือเป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ที่สามารถเชื่อมต่อกับประเทศพม่าได้ โดยคาดว่าช่วงต้นปีหน้า น่าที่จะเปิดสาขาที่นั่นอย่างแน่นอน”


ประเทศพม่า ถือเป็นประเทศที่เพิ่งจะเปิดโซนนิ่งในการทำธุรกิจใหม่ จึงกลายเป็นประเทศที่น่าสนใจจากมุมมองของนักธุรกิจทั่วโลก ที่สำคัญคนพม่าเป็นคนที่มีเงิน แต่ยังไม่รู้ว่าจะนำเงินไปลงทุนทางด้านไหนบ้าง ซึ่งหลังจากที่ “รมิตา” ได้นำธุรกิจเข้าไปที่พม่า พบว่าคนพม่าค่อนข้างให้ความสนใจในธุรกิจ รมิตา กันพอสมควร และผลจากการสำรวจตลาดขายตรงในประเทศพม่า ธุรกิจขายตรงไทยยังมีไม่กี่บริษัทเท่านั้น ที่เข้าไปดำเนินการและโดยส่วนใหญ่จะเป็นบริษัทต่างประเทศเท่านั้นที่เข้าไปลงทุน เหตุผลสำคัญที่ธุรกิจขายตรงในพม่าไม่น่าสนใจ อาจเป็นเพราะเรื่องของวัฒนธรรมของธุรกิจขายตรง ที่ยังไม่สามารถสอดรับกับคนพม่าเท่าที่ควร


ด้วยเหตุนี้เอง จึงทำให้ “รมิตา” ได้ปรับแนวทางของธุรกิจใหม่ เพื่อให้เข้ากับคนพม่า ไม่ว่าจะเป็นเงื่อนไขในการจ่ายค่าคอมมิชชั่น เงื่อนไขเอกสารการสมัคร ที่จะทำให้คนพม่าสามารถทำธุรกิจของ รมิตา ได้สะดวกยิ่งขึ้น เพราะคนพม่าบางคนจะไม่มีเอกสารบัตรประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน จึงแก้ปัญหาเหล่านี้ด้วยการถ่ายรูปและสแกนลายนิ้วมือแทน เพื่อให้ยืนยันว่า เป็นตัวจริงที่เข้ามาสมัครเป็นสมาชิก ส่งผลให้เริ่มมีสมาชิกเข้ามาสู่ธุรกิจ รมิตา มากขึ้น


หลังจาก รมิตา อุ่นเครื่องในประเทศพม่าเป็นที่เรียบร้อย ก้าวต่อไป “รมิตา” มีแผนที่จะบุกตลาดประเทศเพื่อนบ้านให้มากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นประเทศลาว กัมพูชา และเวียดนาม ส่วนเป้าหมายในประเทศลำดับต่อไป ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการดำเนินการขอจดทะเบียนอยู่ ซึ่งคาดว่าจะแล้วเสร็จในช่วงต้นปีหน้า นั่นก็คือ ประเทศมาเลเซีย


สำหรับประเทศมาเลเซียนั้น ทางบริษัทฯ จะเร่งดำเนินการให้แล้วเสร็จโดยเร็ว เนื่องจากเป็นตลาดที่สำคัญที่มีพี่น้องมุสลิม ซึ่งถือเป็นตลาดเป้าหมายที่ รมิตา ต้องการจะใช้ฐานพี่น้องมุสลิมตรงนี้ ไปต่อยอดขยายธุรกิจต่อไปยังประเทศอินโดนีเซียและบรูไนในลำดับต่อไป


ทั้งนี้หากเปรียบเทียบสถานการณ์ในแต่ละประเทศสำหรับธุรกิจขายตรงแล้ว อาจวิเคราะห์ได้ว่า ประเทศลาว เป็นประเทศที่ได้รับความน่าสนใจมากที่สุด เนื่องจากประเทศลาวการสื่อสารค่อนข้างเข้าใจง่าย และการเดินทางสะดวกสบาย อีกทั้งคนลาวส่วนใหญ่รู้จักธุรกิจขายตรงของไทยค่อนข้างเยอะพอสมควร ส่งผลให้ตลาดมีความคึกคักเป็นอย่างมาก เพราะมีหลายบริษัทในไทยเปิดตัวกันอย่างมากมาย ซึ่งมาทั้งในรูปแบบที่ถูกกฎหมายและไม่ถูกกฎหมาย แต่ก็เชื่อเหลือเกินว่า หากบริษัทไหนที่สามารถยืนหยัดอยู่ได้ในปี 2557 ตลาดประเทศเพื่อนบ้านก็น่าจะมีอัตราการเติบโตอย่างก้าวกระโดดแน่นอน


“วันนี้ กำลังซื้อของลาวค่อนข้างดีมาก เหตุผลอาจเป็นเพราะคนที่ทำธุรกิจกับ รมิตา ส่วนใหญ่ พบว่าจะเป็นชนชั้นกลางขึ้นไป อาทิ กลุ่มพ่อค้า กลุ่มคนวัยทำงาน ซึ่งหากเรามีโปรโมชั่นที่ดี มีของแจกของแถม ยิ่งทำให้เป็นตัวกระตุ้นให้เกิดกำลังซื้อมากขึ้นด้วยเช่นกัน”


ส่วนในประเทศเวียดนาม ผลจากการวิเคราะห์ พบว่า เวียดนามนั้นมีโอกาสที่จะเติบโตมากกว่าประเทศลาว ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาพรวมเศรษฐกิจของประเทศเวียดนามค่อนข้างดีกว่าลาว จากการสำรวจยังพบอีกว่า คนเวียดนามมีความขยันมากกว่าคนลาวถึง 7 เท่า มีความตั้งใจในการทำงานและมีความมุ่งมั่น จึงทำให้ รมิตา เชื่อมั่นว่า ไม่เกิน 2 ปีนับจากนี้ เวียดนามจะเป็นประเทศที่ รมิตา น่าจะเขย่าตลาดได้อย่างเมามันและมีอัตราการเติบโตที่มากกว่าประเทศลาวอย่างแน่นอน


...หากถามว่าทำไม “รมิตา” สามารถตีตลาดในประเทศเพื่อนบ้านได้ “ใจกล้า” ให้คำตอบอย่างมั่นใจว่า ประการแรก อาจเป็นเพราะความมุ่งมั่นในการทำธุรกิจของทีมผู้บริหารที่มีนโยบายที่ชัดเจน ในด้านการบุกตลาดที่ประเทศลาวอย่างจริงจัง รวมถึงมีทีมงานที่เข้ามาทำอย่างจริงจัง ประการที่สอง ความตั้งใจของสมาชิกที่เข้ามาร่วมธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จจริง ๆ ประการที่สาม ในเรื่องของสินค้าที่สามารถตอบโจทย์ผู้บริโภคและสมาชิกได้ทั้งในเรื่องของคุณภาพและราคา


ปัจจุบันสินค้าที่เป็นตัวหลักของ “รมิตา” ยังคงเป็นกาแฟมะรุม ชามะรุม น้ำดำมะรุม และมีแผนที่จะนำสินค้าใหม่เข้ามาเสริมทัพอีก ในกลุ่มของเครื่องสำอางจากประเทศไต้หวัน ซึ่งขณะนี้ได้มีการนำเข้ามาแล้ว 1 รายการ และกำลังอยู่ในช่วงทดสอบอีก 4 - 5 รายการด้วยกัน ในกลุ่มสินค้าที่เกี่ยวกับสปา คาดว่าภายในต้นปีหน้าจะมีสินค้าใหม่ ๆ เข้ามาเพิ่มเติม โดยอาจจะมีทั้งสินค้าในไทยและต่างประเทศ ซึ่งปัจจุบัน รมิตา มีสินค้าอยู่ทั้งสิ้น 5 กลุ่ม 65 รายการด้วยกัน


“ใจกล้า” กล่าวทิ้งท้ายว่า ยอดขายโดยรวมของ รมิตา สิ้นปีนี้ เชื่อว่า ตัวเลขน่าที่จะยังไม่เป็นไปตามเป้าเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งเป็นเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ถดถอย รวมถึงกระแสขายตรงที่ออกมาในเชิงลบ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้ยอดขายของ รมิตา ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน โดยคาดว่ายอดขายสิ้นปีนี้ น่าที่จะอยู่ที่ประมาณ 200 กว่าล้านบาทเช่นกัน


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

‘เกษตรแถวกลาง’ขยับทัพหลังน้ำลด อธิบดีเกษตรออกโรงฟันเว็บไซต์ผิดกม.







wwwwwww (Mobile)

 


สมรภูมิรบ “ขายตรงเกษตร” ส่งสัญญาณเดือด!...หลายค่ายเปิดกลยุทธ์หวังดันยอดขยับปลายปี ด้าน “ดาวปูแดง” ปรับกลยุทธ์ใหม่ “ซื้อตรง” ไม่ต้องซื้อผ่านผู้จำหน่ายอิสระ พร้อมตั้งโรงงาน รับซื้อเผือกและหอมกับพี่น้องเกษตรที่เข้าร่วมโครงการ...ส่วน “แทนคุณแผ่นดินสยาม” เร่งจัดโปรโมชั่นพิเศษกระตุ้นยอดขาย พ่วงท้ายเสริมสินค้าใหม่สู้ศึก... “วิน วิน” ปรับกลยุทธ์บุกตลาดเกษตรใหม่ เปลี่ยนจากขายแบบหลายชั้นมาเป็นแบบซิงเกิ้ล พร้อมจับมือ ธ.ก.ส. จำหน่ายสินค้าให้เกษตรกร...ด้าน “อธิบดีกรมวิชาการเกษตร” ออกโรงเตือน ระวังสินค้าเกษตรปลอม หลังพบตามเว็บไซต์เฮโลขายเพียบ


หลังจากปล่อยให้ธุรกิจนิ่งไประยะหนึ่ง ช่วงน้ำท่วมสำหรับ “ธุรกิจขายตรง” ในส่วนของ “ภาคการเกษตร” ณ เวลานี้ ต้องเรียกว่า หลาย ๆ ค่ายเริ่มที่จะมีการขยับตัว เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อให้กลับคืนมาอีกครั้ง!...ที่สำคัญ ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ มีค่ายไหนบ้างที่ “ออกหมัดเด็ด” ชนิดที่ว่า “ทะลุทะลวง” กันบ้าง ทีมข่าว “ตลาดวิเคราะห์” ขอนำเสนอความเคลื่อนไหวของ “ขายตรงเกษตรแถวกลาง” ให้ทุกท่านได้ติดตามดังนี้


 เปิดกลยุทธ์ท้ายปี ขายตรงเกษตร


เร่งอุดจุดบอด ชูจุดแข็งสร้างเครือข่าย


...เริ่มต้นเจาะกลยุทธ์ช่วงท้ายปีของ “ขายตรงเกษตร” ค่ายแรกนั่นก็คือ “ดาวปูแดง”ภายใต้การนำทัพของ “เชน


ใจซื่อ” ที่ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ พบว่าค่ายนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการทำธุรกิจแนวใหม่ ด้วยการใช้กลยุทธ์ที่ชื่อว่า “ซื้อตรง” ซึ่งจากที่เคยจำหน่ายสินค้าผ่านทางนักธุรกิจอิสระ มาซื้อกับทางบริษัทฯ โดยตรง


และยังพบอีกว่า ทาง “ดาวปูแดง” ยังได้มีการตั้งโรงงานแปรรูปเผือก เพื่อรับซื้อเผือกและหอมจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการของบริษัทฯ อีกด้วย อีกทั้งยังมีการประกันราคาเผือกไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 10 บาท ซึ่งปัจจุบันพบว่า มีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 500 รายทั่วประเทศด้วยกัน และในอนาคต “ดาวปูแดง” ยังมีแผนที่จะเปิดโครงการสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชชนิดอื่น ๆ เพิ่มขึ้น และพร้อมที่จะรับซื้อด้วย


เช่นเดียวกับทางด้าน “บริษัท แทนคุณแผ่นดินสยาม จำกัด” หรือ “Give Siam” บริษัทขายตรงน้องใหม่ ช่วงนี้ก็ได้มีการเตรียมจัดกิจกรรมพิเศษและโปรโมชั่น เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขายในช่วงเวลาที่เหลือ รวมถึงมีแผนที่จะเปิดศูนย์กระจายสินค้า ภายใต้ชื่อ “ศูนย์เกษตรสบาย” จำนวน 150 แห่ง ภายใน 1 - 2 ปีนี้อีกด้วย


ที่สำคัญ ทาง “แทนคุณแผ่นดินสยาม” ยังได้เตรียมที่จะเพิ่มไลน์สินค้า เข้ามาทำตลาดเพิ่ม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับทางโรงงานผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามา โดยจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งก่อนหน้านี้พบว่า ค่ายนี้ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันรำข้าว ผสมกับน้ำมันมะพร้าว ภายใต้ชื่อ CO Rice ไปเมื่อไม่นานมานี้เอง


...ด้านขายตรงอย่าง “บริษัท วิน วิน เวิลด์ไวด์ จำกัด” ที่มี “ภก.ประเสริฐ หวานยิ่ง” เป็นหัวเรือใหญ่อยู่นั้น ก็ได้มีการปรับกลยุทธ์ในการทำตลาดทางด้านเกษตรใหม่ ด้วยการเปลี่ยนระบบการขายจากที่เคยทำธุรกิจในเครือข่ายแบบหลายชั้นมาทำธุรกิจในแบบซิงเกิ้ลแทน ซึ่งได้มีการร่วมมือกับทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในการจำหน่ายสินค้าให้แก่เกษตรกร โดยมีการนำร่องที่จังหวัดเชียงใหม่...


และนอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่แล้ว ในอนาคตอันใกล้นี้ ค่าย “วิน วิน” ยังเตรียมที่จะเน้นให้สมาชิกได้มีการเปิดธุรกิจในลักษณะคล้ายโมบายที่เรียกว่า “บอส” ให้มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งจะเป็นการให้ผู้นำได้มีการบริหารเอง โดย “วิน วิน” จะมีการจ่ายค่าบริหารให้บอส 10% ด้วยกัน


พร้อมกับ อัดกิจกรรมทางการตลาด รวมถึงโปรโมชั่นท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ และจัดให้สมาชิกเก่า และใหม่ได้ไปเข้าแคมป์อบรมพิเศษ เพื่อเสริมทักษะเวลาออกไปเจอสถานการณ์จริง ๆ ด้วย อีกทั้งในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ “วิน วิน” ได้มีการเพิ่มสินค้าใหม่อีก 6 รายการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นครีมอาบน้ำ, กาแฟโสม, โฟมล้างหน้า, แชมพู, ทรีทเมนท์ และครีมหน้าใส เพื่อกระตุ้นยอดขายและตอบโจทย์ผู้บริโภคให้มากขึ้น ส่วนเป้าหมายอัตราการเติบโตสิ้นปีนี้นั้น ค่าย “วิน วิน” ได้ตั้งเป้าที่จะเติบโตอยู่ที่ 40% หรือมียอดขายอยู่ที่ 100 ล้านบาท


…จะเห็นได้ว่า ความคลี่คลายของสถานการณ์น้ำท่วมที่เริ่มผ่อนคลายลง ส่งผลให้ในช่วงเวลานี้ “ขายตรงภาคการเกษตร” เริ่มเปิดเกมแลกกันอย่างสนุกทีเดียว ซึ่งก็ต้องติดตามกันดูว่าแต่ละค่ายที่ได้มีการปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อสู้ศึกการแข่งขัน จะแผลงฤทธิ์ได้ร้อนแรงขนาดไหน ซึ่งไม่เกินสิ้นปีนี้คงได้รู้แน่นอน!


 จับตาสินค้าเกษตรปลอม


พบตามเว็บไซต์เฮโลขายพรึบ!


...ส่วนอีกหนึ่งปัญหาที่ ขณะนี้เริ่มที่จะระบาดหนักขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ การเปิดเว็บไซต์ขายสินค้าเกษตรของพ่อค้าหัวใสที่ผิดกฎหมาย โดยจากข่าวล่าสุด ทางด้านอธิบดีกรมวิชาการเกษตร “ดำรงค์ จิระสุทัศน์” ได้ออกมากล่าวยอมรับว่า ในช่วงนี้เริ่มที่จะพบเห็นผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งได้ใช้วิธีการขายสินค้าทางด้านการเกษตรผ่านทางเว็บไซต์ หรืออินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น โดยการโฆษณาขายสินค้าส่วนใหญ่ ไม่บ่งชี้ว่าเป็นปุ๋ย หรือเป็นวัตถุอันตรายทางการเกษตรอย่างชัดเจน


ซึ่งจากกรณีดังกล่าวนี้ ทำให้เกษตรกรเกิดความเข้าใจผิดว่า สินค้าเกษตรดังกล่าวที่ได้มีการโฆษณานั้น สามารถช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งยังช่วยป้องกัน กำจัดศัตรูพืช และทำให้ได้ผลผลิตสูงได้จริง ซึ่งหลังจากที่มีการซื้อไปแล้ว ไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ถือเป็นการเลี่ยงกฎหมายโดยใช้คำโฆษณาที่คลุมเครือและไม่ชัดเจน


โดยขณะนี้ทางกรมวิชาการเกษตร ได้มอบหมายหน้าที่ให้สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญา กรรมทางเทคโนโลยี และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในการควบคุมการโฆษณาให้ตรงตามความเป็นจริง ไม่ให้มีการโม้โอ้อวดจนเกษตรกรเข้าใจผิดในคุณภาพของสินค้า


...จะเห็นได้ว่า ในเรื่องของกฎหมายการลงโทษผู้กระทำผิดในปัจจุบันนี้ การเข้มงวดกวดขันถือว่ายังไม่เอาจริงเอาจังสักเท่าไหร่ จากกรณีที่ผ่านมาที่มีผู้จำหน่ายหลาย ๆ คนอ้างว่า สินค้าที่โฆษณาเป็นสารปรับปรุงดินทำให้กฎหมายภายใต้ พ.ร.บ.ปุ๋ย และ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย ไม่สามารถเอาผิดได้ แต่หากใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคมาควบคุมสามารถกระทำได้


และจากความไม่ชัดเจนในเรื่องของกฎหมาย รวมถึงการไม่เข้มงวดอย่างจริงจังนี้เอง จึงจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแต่งตั้งคณะทำงาน เพื่อวางแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะเกิดปัญหามากขึ้นกว่านี้นั่นเอง


ซึ่งก็สอดคล้องกับล่าสุดที่ทาง “ประพนธ์ อางตระกูล” รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ได้ออกมาประกาศว่า อย.ยุคใหม่นับจากนี้ เตรียมที่จะเอาจริงผู้ประกอบการที่โฆษณาโอ้อวดสรรพคุณของสินค้าที่เกินจริง พร้อมกับการเตรียมที่จะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรขอแก้กฎหมายเพิ่มโทษหนักสำหรับผู้ที่กระทำผิดกฎหมายเรื่องของการโฆษณาอีกด้วย


…นับได้ว่า ขณะนี้การแข่งขันของ “ธุรกิจขายตรง” โดยเฉพาะในส่วนของ “ขายตรงภาคการเกษตร” ช่วงหลังน้ำลด จะเป็นอีกหนึ่งช่วงที่วัดกึ๋นความสามารถของ “ผู้ประกอบการ” ใน “ธุรกิจขายตรง” เลยก็ว่าได้ แต่ในทางกลับกัน เรื่องของการ พ.ร.บ.ปุ๋ย ที่ถือว่ายังไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร ก็เป็นอีกหนึ่งช่องโหว่ให้ผู้ประกอบการหัวใส พลิกแพลงแนวทางในการทำธุรกิจที่เสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมายได้ด้วยเช่นกัน...ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันกำจัดปัญหาที่มีอยู่ให้หมดไปให้ได้


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

‘ดี เน็ทเวิร์ค’-‘เอเชีย สุพรีม’เขย่าตลาดปลายปี เข็นสินค้าใหม่สู้ศึก/ขยายสาขาเพิ่มเสริมจุดแข็ง







dnet (Mobile)

 


จับทิศกลยุทธ์พิชิตยอด “ดี เน็ทเวิร์ค-เอเชีย สุพรีม”….ด้าน “ดี เน็ทเวิร์ค” ปรับทัพบุกตลาดคนรักสุขภาพ เปิดตัว “ดี-กลูแคน” เสริมความแกร่งธุรกิจ...ลั่นเป้าขอสร้างยอดขาย 100,000 กล่องต่อเดือน ล่าสุดเปิดศูนย์ใหม่แห่งที่ 3 จังหวัดเพชรบูรณ์ แย้มเป้าสิ้นปี 1 พันล้านยังเหมือนเดิม...ส่วน “เอเชีย สุพรีม” ชูธงสินค้าใหม่นำทัพปลายปี “I-Cally” เชื่อจะเป็นตัวกระตุ้นยอดขายแน่นอน แย้มเดือน ธ.ค. เตรียมพบสินค้าใหม่สกินแคร์จากประเทศเกาหลี...ด้าน “อ.สุธีร์” ยอมรับสิ้นปีขอปรับเป้าลดเหลือ 200 ล้าน


ปล่อยยุทธศาสตร์ช่วงปลายปีอีกหนึ่งหมัดเด็ดสำหรับ “บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด” ที่ออกมาเสริมความแข็งแกร่งของธุรกิจด้วยการส่งผลิตภัณฑ์ใหม่อย่าง “ดี-กลูแคน” ออกมารับเทรนด์ ของตลาดสุขภาพที่กำลังมาแรงในขณะนี้...โดยทางด้าน “สาคร ใสกมล” ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด ได้เผยว่า ปัจจุบันนี้


คนรักสุขภาพเริ่มมีการขยายตัวเพิ่มมากขึ้นกว่าในช่วงที่ผ่านมาอย่างเห็นได้ชัด และยังถือเป็นตลาดที่ใหญ่อีกด้วยในปัจจุบัน


และจากอัตราการเติบโตของตลาดสุขภาพที่มีมากขึ้นนี่เอง ทำให้ดี เน็ทเวิร์ค ได้เล็งเห็นโอกาสที่จะทำตลาดดังกล่าว ซึ่งล่าสุดได้มีการส่งสินค้าใหม่เข้าสู่ตลาดเครือข่ายภายใต้ชื่อว่า “ดี-กลูแคน” โดยมีความโดดเด่นที่เป็นผลิตภัณฑ์ เบต้า-กลูแคน ผนวกกับเอ็นไซม์ชั้นเลิศ จากเห็ดชวียองซ์ ที่เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเสริมภูมิคุ้มกัน มาในรูปแบบผงชงดื่ม


“ดี-กลูแคน ถือเป็นผลิตภัณฑ์ที่สามารถดูดซึมได้ง่าย มีเทคโนโลยีล้ำสมัย เป็นลิขสิทธิ์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ นอกเหนือจากเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีส่วนผสมของเบต้า-กลูแคนและเอ็นไซม์แล้ว ผลิตภัณฑ์ดังกล่าว ยังมีการเพิ่มสารอาหารชั้นยอดอีก 5 - 6 ชนิดด้วยกัน”


นายสาคร กล่าวเสริมอีกว่า ก่อนหน้านี้บริษัทฯ ได้มีการวางแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ “ดี-กลูแคน” เมื่อ


2 ปีที่ผ่านมาแล้ว แต่ติดที่การขอการอนุมัติจากทางสำนักงาน คณะกรรมการอาหารและยา จนในที่สุดก็ได้รับอนุญาต ซึ่งผลิตภัณฑ์ตัวใหม่นี้ ทางบริษัทฯ คาดหวังว่า น่าที่จะเป็นอีกหนึ่งผลิตภัณฑ์ที่มาแรง และสามารถไต่อันดับติด 1 ใน 3 สินค้าที่มียอดจำหน่ายสูงสุดของบริษัทเช่นกัน


ขณะนี้ ดี เน็ทเวิร์ค ได้มีการทดลองเปิดตลาดผลิตภัณฑ์ “ดี-กลูแคน” ไปได้ระยะหนึ่ง ผลปรากฏว่า ได้รับการตอบรับจากสมาชิกอย่างล้นหลาม โดยสามารถจำหน่ายสินค้ากว่า 5,000 กล่อง ภายในระยะเวลาเพียง 10 วัน ซึ่งการที่ผลิตภัณฑ์ “ดี-กลูแคน” ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ส่วนหนึ่งเป็นเพราะผลิตภัณฑ์ที่ใช้แล้วเห็นผลลัพธ์ที่ชัดเจน ทำให้บริษัทฯ มีความมั่นใจว่า สินค้าตัวนี้จะสามารถสร้างยอดขายได้สูงถึง 80,000 - 100,000 กล่องต่อเดือนแน่นอน


...ส่วนอีกหนึ่งกลยุทธ์ที่สำคัญของค่าย “ดี เน็ทเวิร์ค” ที่นอกเหนือจากการเปิดตัวสินค้าใหม่เพื่อตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคและสมาชิกแล้ว “ดี เน็ทเวิร์ค” ยังได้มีการเปิดศูนย์สาขาเพิ่มขึ้นอีก 1 แห่ง ที่จังหวัดเพชรบูรณ์ โดยสาขาดังกล่าวถือเป็นสาขาที่ 3 ต่อจากสาขามีนบุรี และสาขาสาทร พร้อมกันนี้ ทางบริษัทฯ ยังมีแผนที่จะเปิดสาขาใหม่ที่จังหวัดเชียงใหม่และประเทศกัมพูชาเป็นสาขาต่อไปอีกด้วย


“การที่บริษัทฯ ตัดสินใจเปิดสาขาเพชรบูรณ์ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีฐานผู้บริโภคผลิตภัณฑ์โกเรจินส์ เป็นจำนวนมาก และมีสถานีวิทยุอยู่ในพื้นที่จำนวนมาก ที่สำคัญ พรีเซ็นเตอร์ผลิตภัณฑ์โกเรจินส์ คือ คุณเขาทราย แกแล็คซี่ เป็นคนเพชรบูรณ์ ยิ่งทำให้ผลิตภัณฑ์โกเรจินส์ ได้รับการตอบรับจากคนในพื้นที่เป็นอย่างดี ซึ่งในวันเปิดสาขาที่ผ่านมา มีสมาชิกกว่า 1,000 คนที่เดินทางมาร่วมงาน เรียกว่าค่อนข้างประสบความสำเร็จเป็นที่น่าพอใจทีเดียว”


นายสาคร เสริมต่ออีกว่า อีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้ ดี เน็ทเวิร์ค เปิดสาขาเพชรบูรณ์ เนื่องจากเป็นจังหวัดที่มีศักยภาพสูงมาก และเป็นจังหวัดที่มีสมาชิกของ “ดี เน็ทเวิร์ค” ที่มีรายได้หลักแสนอยู่เป็นจำนวนมาก ถือเป็นจุดยุทธศาสตร์ทั้งภาคเหนือและ อีสาน โดยคาดว่าสาขาเพชรบูรณ์ จะสามารถสร้างรายได้สูงถึง 10 ล้านบาทต่อเดือน


ส่วนในเดือนธันวาคมนี้ “ดี เน็ทเวิร์ค” จะทำการเปิดศูนย์สาขาอย่างเป็นทางการในประเทศกัมพูชา โดยในปัจจุบันมีการทดลองจำหน่ายสินค้าผ่านสาขากัมพูชาไปแล้ว และเริ่มมีการคิดคะแนนแล้ว เหลือเพียงแต่การจัดงานเปิดตัวอย่างเป็นทางการเท่านั้น


สำหรับปัญหาน้ำท่วมในช่วงที่ผ่านมานั้น นายสาคร กล่าวว่า มีผลกระทบต่อบริษัทบ้างแต่ไม่มาก โดยมีผลกระทบในพื้นที่ภาคตะวันออก แต่ทางบริษัทฯ คาดว่าหลังน้ำลดยอดขายจะดีดกลับมาเหมือนเคย แต่ในทางกลับกันยอดขายในภาคอีสานของบริษัทฯ กลับเติบโตขึ้น ส่งผลให้ยอดขายของ “ดี เน็ทเวิร์ค” ไม่ได้ลดลงแต่อย่างใด โดยคาดว่าสิ้นปียอดขายจะแตะหลัก 1,000 ล้านบาท เนื่องจากยอดขายในปัจจุบันหลังจากผ่านมา 9 เดือนกว่า ๆ ทางบริษัทสามารถสร้างยอดขายไปแล้วกว่า 800 ล้านบาท


“เราเชื่อว่าเราจะประสบความสำเร็จอย่างล้นหลามในการทำตลาดขายตรง เนื่องจากเรานำเอาหลักการตลาดมาเสริมความแกร่งให้กับธุรกิจขายตรง เอาการตลาดมาผนวกกับ MLM อย่างลงตัว ถือเป็นนวัตกรรมทางการตลาดใหม่ ซึ่งขณะนี้ “ดี เน็ทเวิร์ค” สามารถยกระดับธุรกิจสู่มวลชนได้สมบูรณ์แบบแล้ว ซึ่งเชื่อว่าในอนาคตอันใกล้นี้ คนทั่วประเทศน่าที่จะรู้จักธุรกิจ ดี เน็ทเวิร์ค มากขึ้นอย่างแน่นอน”


...เช่นเดียวกับทางด้าน “บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด” ภายใต้การนำทัพของ “อาจารย์สุธีร์ รัตนนาคินทร์” ประธานกรรมการ ก็ได้ออกมาเสริมทัพหน้าช่วงโค้งสุดท้ายของปลายปีนี้ ด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่ชื่อว่า ผลิต ภัณฑ์เสริมอาหาร “I-Cally” โดยทางด้านประธานบริษัทเอเชีย สุพรีม ได้มีความคาดหวังว่า สินค้าตัวใหม่นี้จะเป็นสินค้าตัวเด่นที่ขายดีในช่วงปลายปีนี้อย่างแน่นอน


ซึ่งในช่วงการทำตลาดของสินค้าใหม่นี้ อาจารย์สุธีร์ เผยว่า ทางบริษัทฯ จะมีการสร้างแบรนด์สินค้า “I-Cally” ผ่านตามสื่อต่าง ๆ เพื่อให้ผู้บริโภคเข้าใจว่า “I-Cally” คืออะไร และมีประโยชน์ต่อผู้บริโภคอย่างไรบ้าง รวมถึงการส่งเสริมการตลาดด้วยการออกไปโรดโชว์ตามภูมิภาคต่าง ๆ พร้อมกับสื่อทีวีที่บริษัทฯ มีอยู่ในขณะนี้ เป็นต้น


“วันนี้การที่เอเชีย สุพรีม จะออกสินค้าใหม่แต่ละตัวนั้น ต้องเป็นสินค้าที่สนองความต้องการของผู้บริโภคจริง ๆ ที่สำคัญต้องอยู่ในกระแสด้วย โดยสินค้า “I-Cally” ถือเป็นอีกหนึ่งสินค้าที่อยู่ในกระแสด้วยเช่นกัน”


อาจารย์สุธีร์ เผยต่ออีกว่า ในช่วงเดือนธันวาคมนี้ ทางบริษัทฯ มีแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่อีก 1 รายการ ในกลุ่มของสกินแคร์ที่นำเข้าจากประเทศเกาหลี ซึ่งในทุก ๆ 3 เดือน เอเชีย สุพรีม จะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ทั้งในประเทศและต่างประเทศ เพื่อต้องการให้บริษัทมีสินค้าที่หลากหลายและตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคได้


“การตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ เรียกได้ว่า เป็นการแข่งขันที่ดุเดือดอย่างมากในเรื่องของสินค้าสำหรับธุรกิจขายตรง พร้อมกับเชื่อว่าในเรื่องของโปรโมชั่นที่บริษัทฯ ได้มีการทำควบคู่กับสินค้าใหม่นี้ น่าที่จะเป็นอีกหนึ่งแรงส่งให้ “I-Cally” ได้รับการยอมรับและได้รับการตอบสนองที่ค่อนข้างดีอย่างแน่นอน”


ส่วนภาพรวมธุรกิจเอเชีย สุพรีม ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมานั้น อาจารย์สุธีร์ เผยว่า ภาพรวมธุรกิจของ เอเชีย สุพรีม ในช่วง 10 เดือนที่ผ่านมา ถือว่าค่อนข้างเติบโตดีเป็นที่น่าพอใจอย่างมาก แต่หากจะให้มองถึงการทำธุรกิจในอนาคตนับจากนี้ ต้องยอมรับว่าเหนื่อยแน่นอน เนื่องจากยังคาดการณ์ไม่ได้ว่าจะมีปัจจัยลบอะไรมากระทบธุรกิจบ้าง


“ต้องบอกว่า ขณะนี้เอเชีย สุพรีม ถือว่าเดินทางมาได้ 70% ของเป้าหมายแล้ว ซึ่งสามารถประสบความสำเร็จทั้งในเรื่องของยอดขาย เป็นที่น่าพอใจ รวมถึงในเรื่องของฐานสมาชิก ปัจจุบันบริษัทฯ มีฐานสมาชิกอยู่ที่ 17,000 รหัส โดยคาดว่าสิ้นปีตัวเลขสมาชิกน่าที่จะแตะอยู่ที่ 2 หมื่นรหัสด้วยเช่นกัน”


สำหรับเป้าหมายยอดขายสิ้นปีนี้นั้น อาจารย์สุธีร์ กล่าวยอมรับว่า เป้าหมายที่เคยประกาศไว้ที่จะมียอดขายสิ้นปีนี้อยู่ที่ 300 ล้านบาทนั้น ขณะนี้ทางบริษัทฯ ได้มีการปรับเป้าลงมาที่ประมาณ 200 ล้านบาท ส่วนหนึ่งที่ปรับเป้าลง เป็นเพราะความล่าช้าในเรื่องของการออกสินค้าใหม่ในบางกลุ่มนั่นเอง


ซึ่งปัจจุบันนี้ตลาดหลักของเอเชีย สุพรีม ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ต่างจังหวัดประมาณ 80% ส่วนกรุงเทพฯ อยู่ที่ 20% ซึ่งภาคที่เอเชีย สุพรีม มีอัตราการเติบโตมากที่สุดอยู่ที่ภาคใต้ และกำลังมีแผนที่จะขยายตลาดไปในภาคเหนือ ส่วน


ปีหน้าคาดว่า จะขยายตลาดต่อไปในภาคอีสาน ซึ่งขณะนี้ เอเชีย สุพรีม มีสาขาอยู่ทั้งสิ้น 3 สาขาด้วยกัน คือ หาดใหญ่ เชียงใหม่ พิษณุโลก พร้อมกับการขยายตลาดไปที่ประเทศเพื่อนบ้าน อาทิ มาเลเซีย ลาว พม่า กัมพูชา อีกด้วย


อาจารย์สุธีร์ กล่าวทิ้งท้ายว่า “ขณะนี้หลายคนอาจจะมีความกังวลใจในเรื่องของกำลังซื้อที่ถดถอย แต่ในทางกลับกัน บริษัทฯ มีความเชื่อมั่นว่า กำลังซื้อของผู้บริโภคในธุรกิจขายตรงยังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง และมองว่าในภาวะเศรษฐกิจที่แย่ แต่สำหรับธุรกิจขายตรงแล้วกลับเติบโตขึ้นสวนกระแส เห็นได้จากปัจจุบันมีการเปิดตัวของธุรกิจขายตรงน้องใหม่เกิดขึ้นเยอะมากมายนั่นเอง”


...นับได้ว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ เรื่องของสินค้าถือเป็นอีกหนึ่งแม่เหล็กที่สำคัญของการทำธุรกิจเช่นเดียวกัน เพราะหากใครที่นำสินค้าออกมาโดนใจและถูกใจผู้บริโภคด้วยแล้ว เชื่อว่ายอดขายของแต่ละค่ายที่ตั้งไว้ก็น่าที่จะเพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับด้วยเช่นกัน


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

‘สคบ.-ดีเอสไอ-อย.’สานพลัง เร่งโชว์ผลงานปราบขายตรงผิดกม.







Capture (Mobile)

 


หน่วยงานรัฐ “สคบ.-ดีเอสไอ-อย.” เตรียมโชว์ผลงาน...ล่าสุด “สคบ.” เตรียมภารกิจยกแรกลงพื้นที่สำรวจสถานีดาวเทียม หวังปราบการโฆษณาสินค้าเกินจริง พร้อมเร่งลดขั้นตอนการยื่นขออนุญาตประกอบธุรกิจให้สั้นลง...ส่วน “ดีเอสไอ” แนะวิธีป้องกันการโดนหลอกจากแชร์ลูกโซ่ อย่ารีบด่วนตัดสินใจ ควรศึกษาบริษัทที่จะทำให้รอบคอบ..ด้าน อย. ยอมรับปัจจุบันสินค้าขายตรง ให้ข้อมูลในช่วงแรกไม่ตรงกับข้อมูลหลังทำธุรกิจ ระบุหากพบการโฆษณาที่ไม่เป็นไปตามที่ให้ไว้ หรือเกินจริง มีโทษทั้งจำทั้งปรับ


เรียกว่าเป็นการเดินเครื่องส่งท้ายปีเลยก็ว่าได้ สำหรับหน่วยงานภาครัฐที่คอยสอดส่องดูแลผู้ที่กระทำความผิดในธุรกิจขายตรง ซึ่งหน่วยงานภาครัฐที่อาจเรียกว่าสั่นคลอนมากที่สุดในช่วงนี้ คงจะเป็นทาง “สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค” หรือ สคบ. ที่ได้มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคคนใหม่ ซึ่งผู้ที่เข้ามารับหน้าที่แทน “จิรชัย มูลทองโร่ย” นั่นก็คือ “อำพล วงศ์ศิริ” นั่นเอง...ล่าสุดเลขาธิการคนใหม่ เครื่องเริ่มร้อน ประกาศพร้อมที่จะบูรณาการธุรกิจขายตรงใหม่กันเลยทีเดียว


ในขณะเดียวกัน ทั้งทางด้าน “ดีเอสไอ” หรือ “อย.” ต่างก็มีการเตรียมความพร้อมที่จะช่วยยกระดับธุรกิจ


ขายตรงให้ทำถูกต้องตามกฎหมายด้วยเช่นกัน!!


 สคบ.บูรณาการขายตรงใหม่


เร่งปรับขั้นตอนทำงานสั้นลง


นายสุวิทย์ วิจิตรโสภา ผู้อำนวยการส่วนขายตรงและตลาดแบบตรง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เผยถึงสิ่งที่ สคบ. จะเร่งดำเนินการนับจากนี้ในธุรกิจขายตรงว่า ในเรื่องของกฎหมายจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ในขณะเดียวกัน การทำธุรกิจขายตรงแต่ละบริษัทต้องทำถูกต้องตามกฎหมายด้วย ซึ่งผู้ที่จะเข้ามาสู่ธุรกิจขายตรงนั้น จะต้องยื่นหนังสือก่อนที่จะทำธุรกิจทุกครั้ง รวมถึงการที่จะเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนในปี 2558 นั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องมีการบูรณาการอุตสาหกรรมขายตรงให้ดีด้วยเช่นกัน


ซึ่งล่าสุด นโยบายที่ทาง สคบ.ภายใต้เลขาธิการสคบ.คนใหม่ “อำพล วงศ์ศิริ” นั้น ก็ได้ออกมาเตรียมเร่งนโยบายในเรื่องของการปรับขั้นตอนการทำงานให้สั้นลง เนื่องจากที่ผ่านมา การยื่นขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจกับทางสคบ. ค่อนข้างที่จะล่าช้า จึงจำเป็นต้องปรับให้มีขั้นตอนการทำงานที่กระชับลงนั่นเอง


นอกจากนี้ ทาง สคบ. จะมีการพิจารณาในเรื่องแผนการจ่ายผลตอบแทนของแต่ละบริษัทอย่างละเอียดด้วยว่า ต้องไม่มีลักษณะการระดมทุนรายได้ ซึ่งรายได้ทั้งหมดต้องมาจากยอดขายไม่ใช่ค่าหัวคิว เนื่องจากจะผิดมาตรา 19 ที่ว่าด้วย


... “ห้ามมิให้ผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงและผู้ประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง ดำเนินกิจการในลักษณะที่เป็นการชักชวนให้บุคคลเข้าร่วมเป็นเครือข่ายในการประกอบธุรกิจขายตรงหรือในการประกอบธุรกิจตลาดแบบตรง โดยตกลงว่าจะให้ผลประโยชน์ตอบแทนจากการหาผู้เข้าร่วมเครือข่ายดังกล่าว ซึ่งคำนวณจากจำนวนผู้เข้าร่วมเครือข่ายที่เพิ่มขึ้น”...


นายสุวิทย์ กล่าวอีกว่า “สิ่งที่รัฐมนตรีได้ฝากมาถึงทาง สคบ.อย่างเข้มงวดในช่วงนี้คือ ต้องการเห็นการบูรณการธุรกิจขายตรงใหม่ ในเชิงของการแก้ไขปัญหาให้กับผู้บริโภคที่มาร้องเรียนให้ได้ โดยทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้องต้องช่วยกัน พร้อมกับต้องให้ความรู้ที่เป็นประโยชน์เกี่ยวกับธุรกิจขายตรง ในทุกด้านและทุกมิติแก่ทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องด้วย”


ส่วนอีกหนึ่งภารกิจที่ทางสคบ. กำลังจะดำเนินการในเร็ว ๆ นี้ คือ การตรวจเข้มในเรื่องของสื่อโฆษณาต่าง ๆ ที่ผิดกฎหมาย ซึ่งในช่วงนี้จะเน้นหนักสินค้าสุขภาพที่ขายผ่านทางเคเบิลทีวีก่อน โดยอยากที่จะให้เคเบิลทีวีทุกช่องอยู่ในกรอบของกฎหมายเกี่ยวกับการโฆษณาผ่านสื่อทีวี โดยทาง สคบ. จะมีการเข้าไปตรวจสอบสถานีดาวเทียมในแต่ละสถานี ซึ่งหากพบว่ามีสถานีไหนที่กระทำผิดกฎหรือไม่ได้มีการจดทะเบียนประกอบธุรกิจ ทางสคบ. จะมีการเร่งดำเนินคดีทันที โดยจำคุก 1 ปี ปรับ 1 แสนบาท หรือปรับรายวัน 1 หมื่นบาท


“ต้องยอมรับว่า การโฆษณาสินค้าผ่านทางเคเบิลทีวีในปัจจุบันนี้ ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่ค่อนข้างแก้ไขยากพอสมควร เพราะมีบางสถานีที่มีการฝ่าฝืนกฎหมาย ในขณะเดียวกัน พิธีกรหรือผู้ดำเนินรายการตามช่องเคเบิลที่ขายสินค้าอาหารเสริม มีการพูดและบรรยายสรรพคุณของสินค้าที่นอกเหนือจากสคริป รายการค่อนข้างเยอะพอสมควร ด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้การทำงานของเลขาธิการ สคบ. คนใหม่ จะมีการลงพื้นที่มากขึ้น เพื่อให้สถานีเคเบิลทีวีแต่ละแห่งได้กระทำการโดยถูกต้องตามกฎหมายนั่นเอง”


ต่อด้วยประเด็นที่ว่าในส่วนของกรมขายตรงนั้น มีหลายฝ่ายอยากจะให้มีการแบ่งแยกออกมาจากหน่วยงาน สคบ. อย่างชัดเจนนั้น ขณะนี้รอการอนุมัติของกฎกระทรวงคาดว่าในช่วงต้นปี 2557 น่าที่จะชัดเจนมากยิ่งขึ้น


...เรียกได้ว่า นโยบายที่ทาง สคบ. ภายใต้เลขาธิการคนใหม่ที่ชื่อ “อำพล วงศ์ศิริ” นั้น ที่ได้ประกาศนโยบายอย่างชัดเจนที่ว่า ต้องการลดขั้นตอนการขออนุญาตการประกอบธุรกิจขายตรงของผู้ประกอบการให้สั้นลง รวมถึงการดูในเรื่องของแผนการจ่ายผลตอบแทนที่สกัดกั้นบริษัทที่มีแนวโน้มเข้าข่ายเป็นแชร์ลูกโซ่ไม่ให้เข้าสู่ธุรกิจขายตรงได้ และการลงพื้นที่เพื่อปราบปรามผู้ที่กระทำผิดกฎหมายในเรื่องของการโฆษณาสินค้าผ่านสื่อเคเบิลทีวีให้มากขึ้น น่าที่จะเป็นการพิสูจน์ความสามารถของเลขาธิการ สคบ. คนใหม่นี้ได้มากทีเดียว เพราะหากภารกิจแรกไม่สามารถดำเนินการได้ เชื่อว่าอนาคตเก้าอี้เลขาธิการ สคบ. นี้ก็อาจที่จะสั่นไหวได้ด้วยเช่นกัน!!


หน่วยรัฐชี้แนวทางขายตรง


ควรร่วมมือกันเพื่อยกระดับ


...จะเห็นได้ว่า การที่จะช่วยยกระดับธุรกิจขายตรงให้เป็นที่ยอมรับและถูกต้องตามกฎหมายนั้น ต้องอาศัยหลาย ๆ ฝ่ายร่วมมือกันด้วยเช่นกัน เช่นเดียวกับทางด้าน พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์ ผู้บัญชาการสำนักงาน คดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ก็ได้เผยว่า การที่จะไม่ให้โดนหลอกจากธุรกิจแชร์ลูกโซ่ได้นั้น สิ่งแรกเลยคือ ต้องรวบรวมข้อมูลทั้งตัวอย่างของธุรกิจที่เราจะทำให้ครบถ้วน อย่าเพิ่งรีบที่จะตัดสินใจทำธุรกิจ ที่สำคัญอย่าเดินตามเกมของผู้ที่ชักชวนเราเข้าไปร่วมธุรกิจ


ในขณะเดียวกันต้องศึกษาดูด้วยว่า บริษัทมีความน่าเชื่อถือมากน้อยแค่ไหน จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายหรือเปล่า การจ่ายผลตอบแทนเป็นอย่างไร สินค้ามีคุณภาพมากน้อยแค่ไหน ซึ่งหากมีการชักชวนให้นำเงินไปลงทุนในครั้งละมาก ๆ ขอฟันธงได้เลยว่าน่าที่จะเป็นการระดมทุนอย่างแน่นอน


…เช่นเดียวกับทางด้าน ภภ.ประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา หรือ อย. ก็ได้พูดถึงในส่วนของกฎระเบียบ อย.ต่อการขึ้นทะเบียนผลิตภัณฑ์ในธุรกิจขายตรงว่า ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันนี้ ต้องยอมรับว่าสินค้าในธุรกิจขายตรง นั้น การให้ข้อมูลในช่วงแรกและหลังจากที่ไปโฆษณาแล้วข้อมูลส่วนใหญ่จะไม่ค่อยตรงกัน ซึ่งตรงนี้ถือเป็นปัญหามานาน และจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งแก้ไข


ซึ่งพบว่า ปัจจุบันนี้ผลิตภัณฑ์ที่ค่อนข้างมีปัญหาจะเป็นในกลุ่มของผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนัก ผลิตภัณฑ์อาหารเสริม เครื่องสำอาง ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิวหน้า ครีมบำรุงผิว และบำรุงผม และเครื่องมือแพทย์ ในขณะเดียวกัน สินค้าที่กำลังมีผู้ร้องเรียนค่อนข้างมาก ในขณะนี้คือ ที่นอนแม่เหล็ก เครื่องนวดผิวหน้า โดยปัจจุบันทาง อย. เองกำลังเร่งดำเนินการ


“สำหรับบริษัทไหนที่พบว่า มีการโฆษณาที่ดูแล้วพบว่า ไม่เป็นไปตามที่ให้ไว้ หรือเกินความจริง จะมีโทษอาญาจำคุกไม่เกิน 3 ปี ปรับไม่เกิน 3 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ส่วนกรณีที่เป็นการโฆษณาฝ่าฝืน ราชการสามารถให้ระงับการโฆษณาได้ ในขณะเดียวกัน อยากที่จะฝากถึงผู้บริโภคด้วยว่า ก่อนตัดสินใจซื้อขายอะไร อย่าหลงเชื่อง่าย ควรที่จะต้องสอบถามผู้รู้ อ่านฉลาก และต้องกล้าปกป้องสิทธิ์ของตนเองด้วย เพื่อป้องกันการถูกหลอกนั่นเอง”


‘วิมล’ที่ปรึกษารมต.ชี้ขายตรง


ต้องยกระดับมาตรฐานรับAEC


...เช่นเดียวกับทางด้าน นายวิมล จันทร์จิราวุฒิกุล ที่ปรึกษารัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้กล่าวในงานสัมมนาขายตรงไทยที่จัดขึ้นในช่วงที่ผ่านมาว่า ธุรกิจขายตรงถือเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่มีการขยายตัวมากที่สุด โดยสามารถสร้างเม็ดเงินให้กับประเทศมากกว่าปีละหลายหมื่นล้านบาท และคาดว่าเมื่อเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปลายปี 2558 ธุรกิจขายตรงน่าที่จะมีมูลค่าเพิ่มมากขึ้นประมาณ 1 แสนล้านบาทอีกด้วย จากปัจจุบันที่มูลค่าตลาดธุรกิจขายตรงอยู่ที่ประมาณ 8 หมื่นล้านบาท


“จากการเติบโตของธุรกิจขายตรงที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงยังมีผู้ประกอบทั้งรายใหญ่ และรายย่อยจำนวนมากที่เริ่มหันมาสนใจในธุรกิจนี้มากขึ้น เชื่อว่าภาพรวมการแข่งขันของธุรกิจขายตรงนับจากนี้ จะต้องรุนแรงมากขึ้นอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกัน หลาย ๆ บริษัทในธุรกิจขายตรงเมืองไทย จะเริ่มมีแผนขยายธุรกิจไปยังประเทศเพื่อนบ้านมากขึ้นด้วย”


นายวิมล ยังกล่าวอีกว่า ในช่วงที่ผ่านมา ทางภาครัฐได้มีการให้นโยบายและได้ดำเนินการอย่างจริงจังกับธุรกิจขายตรงผ่านส่วนราชการในสังกัดต่าง ๆ เพื่อหาแนวทางยกระดับมาตร ฐานธุรกิจขายตรงให้สูงขึ้น และปรับเปลี่ยนกฎหมายขายตรง เพื่อเอื้อแก่การทำธุรกิจ พร้อมทั้งหาทางปราบปรามบุคคลที่ฉวยโอกาสหาผลประโยชน์จากธุรกิจนี้ จนทำให้ภาพลักษณ์ธุรกิจขายตรงต้องเสื่อมเสีย


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

วิน วิน เวิลด์ไวด์ เปิดแผนปี 57 ชูโมเดลธุรกิจใหม่ “คุณธรรม” คู่ “คุณภาพ” พร้อมกลยุทธ์ป่าล้อมเมือง







prasret (Mobile)

 


เภสัชกร ประเสริฐ หวานยิ่ง ประธานกรรมการ บริษัท วิน วิน เวิลด์ไวด์ จำกัด หนึ่งในบริษัทขายตรง ที่อยู่ภายใต้สมาชิกของ สมาคมขายตรงไทย (TDSA) และดำเนินธุรกิจมาแล้วกว่า 8 ปี เปิดเผยถึงทิศทางและนโนบายในการดำเนินธุรกิจของบริษัทฯ ว่า นับตั้งแต่ปี 2557 เป้นต้นไป บริษัทจะกลับมาให้ความสำคัญกับการทำธุรกิจขายตรงอย่างจริงจังอีกครั้งหนึ่ง หลังจากชลอธุรกิจเพื่อปรับเปลี่ยนองค์กรมาระยะหนึ่ง ตลอดช่วง 1-2 ปีที่ผ่านมา


“กลยุทธ์หลัก ที่เรากลับนำมาใช้ในการบุกตลาดนับแต่นี้เป็นต้นไป เราเรียกว่ากลยุทธ์ “คุณธรรม” คู่ “คุณภาพ” เพื่อร่วมสร้างภาพธุรกิจขายตรง ให้มีภาพลักษณ์ที่ดีขึ้นในสายตาของสาธารณะชน ทั้งในด้านของรูปแบบการดำเนินธุรกิจ และคุณภาพของสินค้าที่นำมาจัดจำหน่าย ซึ่งเชื่อแน่ว่า กลยุทธ์นี้ จะเป็นกลยุทธ์ที่ยั่งยืน และแตกต่างอย่างโดดเด่นจากคู่แข่งอื่นๆ ในตลาด และสร้างความสำเร็จให้กับบริษัทได้อย่างแน่นอน”


ภาพรวมของธุรกิจขายตรงในปีที่ผ่านมา ที่ยังคงเป็นเงาสะท้อนในสายตาประชาชน ก็คือ ธุรกิจขายตรงยังแยกไม่ออกกับธุรกิจหลอกลวงต้มตุ๋นที่เรียกว่า”มันนี่ เกม” เพราะฉะนั้น บริษัทฯ ในฐานะที่อยู่ในสมาคมขายตรงไทย(TDSA) และมีเป้าหมายที่จะทำธุรกิจขายตรงแบบไม่มีผลประโยชน์แอบแฝง จึงชูกลยุทธ์ “คุณธรรม” มาเป็นอันดับแรกในการทำธุรกิจ เพื่อสร้างความรู้และชัดเจนให้เกิดขึ้นในกลุ่มผู้ที่สนใจจำเข้ามาทำธุรกิจขายตรง ว่าธุรกิจขายตรงที่แท้จริงเป็นแบบไหน และแตกต่างจากมันนี่ เกม อย่างไร


“ลูกทีมที่สนใจจะมาทำธุรกิจกับบริษัท เราจะบอกเลยว่าที่นี่ไม่สามารถสร้างคุณให้เป็นเศรษฐีร่ำรวยได้ ใน 3 เดือน 6 เดือน และไม่ต้องมาทุ่มเงินสต็อกสินค้า หรือชักชวนคนเข้ามาเป็นสมาชิกเยอะๆ เพื่อหวังจะได้ค่าแนะนำ หรือก้าวขึ้นตำแหน่งสูงๆ เพราะเราไม่ใช่มันนี่ เกม สิ่งที่สมาชิกจะได้จากที่นี่ คือ เราจะสอนให้คุณทำธุรกิจ สอนให้ขายสินค้า ให้ขยายเครือข่ายและบริหารลูกทีมอย่างมีประสิทธิภาพ และเรากล้าการันตีว่า ถ้าทำได้ตามแผนที่บริษัทฯ วางไว้ คุณจะมีรายได้เพิ่มขึ้นจากหมื่นเป็นแสน จากแสนเป็นล้าน ไม่น้อยไปกว่าขายตรงค่ยอื่น ภายใน 2-3 ปี อย่างแน่นอน” เภสัชกร ประเสริฐ กล่าว


อีกกลยุทธ์หนึ่งของบริษัทฯ ที่ถูกนำมาเป็นหัวหอกในการบุกตลาดในครั้งนี้ก็คือ “คุณภาพ” ซึ่งหมายถึงคุณภาพของสินค้าที่นำมาจำหน่ายนั่นเอง


“บริษัทเราก่อตั้งมาด้วยทีมงานที่มีความรู้และประสบการณ์ทางด้านสาธารณสุข ทั้งแพทย์ปัจจุบัน แพทย์แผนโบราณ เภสัชกร สัตวแพทย์ ทันตแพทย์ และผู้ทรงคุณวุฒิทางด้านโภชนาการอาหารปลอดภัย ดังนั้น เราจึงคิดค้นและสรรหาสินค้าที่มีคุณภาพ และมีประสิทธิภาพจริงตามคำโฆษณามาให้สมาชิกจำหน่าย และที่สำคัญ สินค้าทุกตัวผ่านการตรวจสอบและอนุญาติจาก อ.ย. แล้วทั้งสิ้น จึงมั่นใจได้ว่า สินค้าของบริษัทมีคุณภาพจริงตามฉลากทุกประการ และจุดนี้จะช่วยเสริมให้สมาชิกทุกคน สามารถขายสินค้าได้อย่างต่อเนื่อง และมีรายได้เพิ่มขึ้นตามศักยภาพและเครือข่ายของตนเองที่สร้างขึ้นอย่างแน่นอน”


นอกจากเรื่องคุณภาพของสินค้าแล้ว ภายใต้นโยบาย “คุณภาพ” ของบริษัทฯ เรายังให้ความสำคัญกับเรื่อง “ราคา” สินค้าควบคู่ไปด้วย ในตลาดขายตรง สินค้าที่ได้รับการยอมรับว่าคุณภาพดี เชื่อถือได้ ราคามักจะสูงกว่าสินค้าปกติในท้องตลาดมาก ทำให้ผู้บริโภคขาดความต่อเนื่องในการซื้อสินค้าไปใช้ในชีวิตประจำวัน และโดยหลักการตลาดแล้ว สินค้าขายตรง คือสินค้าที่ตัดค่าการตลาด และค่าตัวแทนจำหน่ายออก ทำให้ต้นทุนต่ำกว่าสินค้าที่ขายในช่องทางปกติ ด้วยหลักการธุรกิจแบบนี้ บริษัทฯ จึงสามารถตั้งราคาได้อย่างสมเหตุสมผล โดยไม่หวังผลกำไรมาก ขอเพียงมีรายได้ให้ตัวแทนสามารถสร้างธุรกิจให้เติบโตได้เท่านั้น


ในส่วนของกลยุทธ์การทำตลาดอื่นๆ บริษัทฯ จะทำตลาดแบบป่าล้อมเมือง คือ เริ่มจากต่างจังหวัด แล้วค่อยๆ ขยายเข้ามาในกรุงเทพน โดยขณะนี้ ตลาดที่แข็งที่สุดของเราคือในพื้นที่ภาคเหนือ อาทิ เชียง ใหม่ ลำพูน ลำปาง และจะขยายไปให้คลุมพื้นที่มากขึ้น โดยในพื้นที่ภาคเหนือ บริษัทมีศูนย์บริการอยู่แล้ว ที่เชียงใหม่และพิษณุโลก นอกจากนั้นแล้ว เราจะขยายพื้นที่ไปทางภาคอีสาน โดยมีการตั้งศูนย์บริการแล้วที่ขอนแก่น และจะขยายไปภูมิภาคอื่นๆ จนทั่วประเทศ


ลักษณะการขยายธุรกิจ บริษัท จะให้สิทธิสมาชิกระดับผู้บริหาร เปิดสาขาในรูปแบบของโมบาย โดยเรียกว่า “บอส” ซึ่งแต่ละบอส ก็จะรับผิดชอบบริหารงานขาย และบริหารสต็อกสินค้าในพื้นที่ของตน โดยจะได้รับค่าบริหารเป้นค่าตอบแทน นอกเหนือจากเปอร์เซ็นต์จากยอดขายปกติอีกด้วย


สำหรับในส่วนของสินค้าของบริษัท ในปีนี้เราจะเน้นไปที่สินค้าใน 3 กลุ่มหลัก คือ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ ผลิตภัณฑ์เพื่อความงาม และผลิตภัณฑ์ของใช้ภายในบ้าน ทั้งนี้โดยมีแผนที่จะออกสินค้าใหม่ๆ ออกสู่ตลาดอย่างสม่ำเสมอ โดยเน้นที่สินค้าที่มีนวตกรรม เช่น อาหารเสริม คอสเมติก ฯลฯ เพื่อตอบสนองความต้องของลุกค้า และสร้างรายได้ให้กับสมาชิก ให้มีรายได้เพิ่มขึ้นตามจำนวนสินค้าที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดไป


บริษัท วิน วิน เวิลด์ไวด์ จำกัด เป็นบริษัทที่ประกอบธุรกิจขายตรงมากว่า 8 ปี และเป็นหนึ่งในสมาชิกของสมาคมขายตรงไทย (TDSA) โดยมีสินค้าหลักคือ ผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ และผลิตภัณฑ์เสริมความงาม ซึ่งคิดค้นภายใต้ทีมงานที่มีความเชี่ยวชาญด้านสาธรณสุขโดยเฉพาะ 

วันพุธที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

ปล่อยผีขายตรงค้างสต็อก200แห่ง ‘อำพล’เครื่องร้อนผ่าตัดใหญ่‘สคบ.’







Capture (Mobile)

 


“สคบ.” ยุค “อำพล วงศ์ศิริ” เดินหน้าผ่าตัดวิธีพิจารณาใบอนุญาต เน้นกระชับฉับไว้ แต่ได้มาตรฐาน ยัน ! ยังไม่ถึงเวลาคุมกำเนิดผู้ประกอบการ เผยบริษัทขายตรงรายใหม่ ค้างการพิจารณาในยุค “จิรชัย” กว่า 200 แห่ง คาดหลังปรับองค์กรใหม่ แยกกองงานเข้ามาดูแลธุรกิจขายตรงโดยเฉพาะ จะเดินหน้าตรวจสอบกิจการอย่างเข้มข้น หากพบมีพฤติกรรมฝ่าฝืนกฎหมาย อาจถึงขั้นถอนใบอนุญาต


 รื้อระบบพิจารณาใบอนุญาต


200 บ.ขายตรงยังมีสิทธิ์ลุ้น


31 ตุลาคม 2556 ถือได้ว่าเป็นวันแรกที่ นายอำพล วงศ์ศิริ หย่อนก้นลงบนเก้าอี้ เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) อย่างเต็มตัว


แม้ก่อนหน้านี้ จะมีการปรามาส ว่า จะเอา สคบ.อยู่หรือไม่ แต่แค่เพียงไม่ถึงสัปดาห์ ก็เริ่มมีการส่งสัญญาณไปยังบรรดาผู้ประกอบการทั้งหลายว่า การทำงานของ สคบ.คงไม่ตั้งรับเหมือนที่ผ่านมาแน่นอน


ด้วยสไตล์การทำงานแบบ “ถึงลูกถึงคน” อีกทั้งยังเคยผ่านงานใหญ่ ในตำแหน่งเลขาธิการ ปปท. มาแล้วย่อม “การันตี” ได้ว่า อดีตมือปราบการทุจริตคอรัปชั่นในภาครัฐคนนี้ ย่อมไม่ธรรมดา


ล่าสุดมีการเตรียมการเดินสายออกเยี่ยมกิจการขายตรง เพื่อรับฟังปัญหา หรือข้อเสนอแนะในการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจขายตรง


ขณะเดียวกันก็เร่งดำเนินการผ่าตัดองค์กรภายใน สคบ. เพื่อรองรับกับงานทั้งในด้านการคุ้มครอง


ผู้บริโภค รวมไปถึงการกำกับดูแลธุรกิจขายตรงในเวลาเดียวกัน โดยจะมีการเสริมบทบาท ทั้งในด้านการกำกับ และส่งเสริมให้มีความชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่


แหล่งข่าววงใน กระซิบว่า นับจากนี้ต่อไปการทำงานในการกำกับดูแลธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรง จะเน้นการทำงานในเชิงรุกมากกว่าที่เป็นอยู่ในอดีต


เริ่มตั้งแต่กระบวนการพิจารณาตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ ที่มีเสียงลือเสียงเล่าอ้างว่า มาตรฐานการพิจารณาของสคบ.ขาดความคงเส้นคงวา ถึงวันนี้ก็จะต้องมาดูกันว่า ปัญหาที่ซุกซ่อนเอาไว้ใต้พรมเหล่านี้จะได้รับการแก้ไขอย่างไร


โดยเฉพาะ การพิจารณาใบอนุญาตประกอบธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรง ที่มีการร้องเรียนว่า ถูกดองเอาไว้ในลิ้นชัก กว่า 200 บริษัท ก็จะต้อง “ฟันธง” กันให้ชัด ๆ เสียทีว่า ใครสมควรจะได้รับใบอนุญาตหรือไม่ได้


ถ้าได้ควรเข้าหลักเกณฑ์มาตรฐานอย่างไร ถ้าไม่ได้มีข้อบกพร่องอย่างไร เอากันให้ชัด ๆ ซัดกันให้เต็มเหนี่ยว ไม่ต้องมานั่งเกรงอกเกรงใจใครอีกต่อไป


เพราะในหลักการพิจารณา กฎหมายก็เขียนเอาไว้ชัดเจนว่า ภายในระยะเวลา 45 วัน ควรจะมีคำตอบให้กับผู้ยื่นใบอนุญาตว่า ได้หรือไม่ได้ ถ้าไม่ได้ควรจะต้องปรับปรุงแก้ไขอย่างไร


หากไม่สามารถตอบคำถามได้ ผลก็จะกลายเป็นว่า สคบ. เล่นเกมบีบผู้ประกอบการรายใหม่ เพื่อหวัง “ตบทรัพย์” ตามที่เคยปรากฏเป็นข่าวในช่วงที่ผ่านมา


โดยเฉพาะจำนวนกิจการที่ยื่นขอรับใบอนุญาต ที่ยังค้างเติ่ง กว่า 200 บริษัท ที่มีการยื่นข้อเสนอมาเป็นเวลาแรมปี ย่อมเป็นเรื่องที่ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า “ผิดปกติ”


จากข้อมูลที่แหล่งข่าวระดับลึกใน สคบ. เปิดเผยกับ “ตลาดวิเคราะห์” ระบุว่า ที่ผ่านมา การพิจารณาเป็นไปในลักษณะที่ซ้ำซ้อน ทำให้ผู้ประกอบการรายใหม่ที่ยื่นเรื่องเข้ามา ต้องเสียเวลารอคอยยาวนานเกินความจำเป็น


โดยเฉพาะ ในประเด็นเรื่องตัวสินค้า ซึ่งส่วนใหญ่ผู้ประกอบการที่ยื่นเรื่องเข้ามา ต่างก็ทราบในหลักเกณฑ์หรือข้อกำหนดทางกฎหมายดีอยู่แล้วว่า สินค้าที่เข้าสู่ระบบขายตรง จะต้องผ่านการรับรองจากหน่วยงานภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็น อย.หรือ สมอ.


แต่เมื่อสู่การพิจารณาของ สคบ. กลับมีการสอบย้อนหลังไปในเรื่องตัวสินค้าใหม่อีกครั้ง ทำให้เกิดความล่าช้าโดยไม่จำเป็น


นอกจากนี้ในการพิจารณาแผนการตลาด หากคณะทำงานเข้าใจระบบขายตรงดี ก็สามารถพิจารณาได้อย่างรวดเร็ว


การที่มีการยกอ้างประเด็นเรื่องตัวสินค้า แผนการตลาด หรือ รวมไปถึงตัวผู้ลงทุน ที่ต้องมีการตรวจสอบว่า เป็นผู้ประกอบการตัวจริงหรือไม่ แม้จะเป็นสิ่งที่ สคบ.พึงปฏิบัติ แต่การพิจารณาก็ควรมีมาตรฐานที่ชัดเจน รวดเร็ว กระชับฉับไวกว่าที่เป็นอยู่


เพราะถ้าหากเป็นกลุ่มผู้ประกอบการที่มีเจตนามาทำธุรกิจขายตรงอย่างถูกต้อง สคบ.ก็ควรเปิดโอกาสให้เข้ามาทำธุรกิจได้อย่างเสรี


อย่างน้อยก็ดีกว่า ไปบีบให้พวกเขา ต้องไปหาทางเข้า “ประตูหลัง” ด้วยการแอบซื้อใบอนุญาต จากกลุ่มผลประโยชน์บางกลุ่ม แอบจดทะเบียนเอาไว้ “เซ็งลี้” อย่างที่เป็นอยู่ในเวลานี้


นี่คือ ความพิกลพิการในกระบวนการพิจารณาใบอนุญาตธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรง ที่คนในวงการขายตรงต่างทราบกันดี


ในอีกมุมหนึ่ง กิจการที่ได้รับใบอนุญาตไปแล้ว ประมาณการกันว่ากว่า 800 บริษัท ก็จะต้องระดมสรรพกำลัง เข้าไปตรวจสอบอย่างจริงจังว่า มีการทำธุรกิจจริงจังหรือไม่


หากพ้น “ไซเลน พีเรียด” ไปแล้ว ไม่มีการทำธุรกิจ ก็สมควรจะต้องมาทบทวนว่า สมควรที่จะให้ใบอนุญาตอีกต่อไปหรือไม่


กฎหมายเขียนเอาไว้ชัดเจน ทั้งกระบวนการให้ใบอนุญาตไปจนถึงการคืนใบอนุญาต นี่คือ สิ่งที่หลายคนอยากเห็นการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง


ถ้าหากปล่อยให้คนที่ไม่ตั้งใจทำธุรกิจจริงจังรับใบอนุญาตไป แล้วไป “กีดกัน” คนที่สนใจจะทำธุรกิจอย่างจริงจัง ความเป็นธรรมในสังคมจะเกิดได้อย่างไร


 คุมเข้มแต่ไม่คุมกำเนิด


ตั้งกองขายตรงดูแลธุรกิจเฉพาะ


มีข่าวบางกระแส ระบุว่า ในอนาคต สคบ.อาจจำเป็นจะต้อง คุมกำเนิดธุรกิจขายตรง เหตุก็เพราะมีกิจการเกิดขึ้นมากมายราวกับดอกเห็ด ทำให้ยากต่อการกำกับดูแล


แต่ล่าสุดได้รับการยืนยัน จากนายสุวิทย์ วิจิตรโสภา ผู้อำนวยการกองขายตรงและการตลาดแบบตรงว่า สคบ.ยังไม่มีนโยบาย


เพียงแต่สิ่งที่จะเกิดขึ้น ในอนาคตอันใกล้นี้ ก็คือ การกำกับดูแลคงจะเป็นไปอย่างเข้มงวดมากขึ้น การเข้าไปตรวจสอบกิจการที่มีพฤติการณ์ น่าสงสัย จะเป็นไปอย่างเข้มข้น


เพราะจากสภาพที่เป็นอยู่ในขณะนี้ การทำธุรกิจขายตรง บางค่ายบางกิจการ ก็ไม่ได้ทำผิดร้ายแรง หรือผิดไปจากธุรกิจขายตรง 100 % หากแต่ยังมีโอกาสในการปรับปรุงแก้ไขได้


สิ่งสำคัญ ผอ.กองขายตรงและการตลาดแบบตรง ย้ำชัดว่า ทุกอย่างจะต้องดูที่เจตนาเป็นหลัก หากมีการผิดพลาดพลั้งเผลอ ก็ควรมีมาตรการลงโทษจากเบาไปหาหนัก


หากรุนแรง จนอาจจะนำไปสู่ความเสียหายแก่ประชาชน ก็คงจะต้องมีมาตรการ “ตัดไฟเสียแต่ต้นลม” ตามอำนาจที่กฎหมายเปิดโอกาสให้ทำได้


การพลิกบทบาท หน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรง แหล่งข่าวใกล้ชิด เปิดเผยว่า คงจะต้องมีการปรับโครงสร้างองค์กรของสคบ.ให้แข็งแรงเสียก่อน


โดยเฉพาะในเวลานี้ หน่วยงานดังกล่าวยังเป็นเพียงหน่วยงานเล็ก ๆ ที่อยู่ในการควบคุมของ สคบ.เท่านั้น


ซึ่งหลังจากนี้ ก็จะแยกหน่วยงานเฉพาะขึ้นมาทำหน้าที่กำกับดูแลธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรงโดยตรง


“เวลานี้ เราได้ตั้งเป็นกองขึ้นมาแล้ว โดยเพิ่งได้รับการอนุมัติจาก กพร. ซึ่งจะเป็นหน่วยงานใหม่ ที่จะมีการดึงเอาบุคลากรที่มีความสามารถ เข้ามาเสริมมากขึ้น โดยล่าสุดตัวน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ก็ย้ำชัดว่า ให้สคบ.ทำงานเพื่อผู้บริโภคอย่างแท้จริง โดยพร้อมให้การสนับสนุนทุกด้าน รวมทั้งในด้านงบประมาณด้วย” แหล่งข่าวคนเดิมกล่าว


ถือเป็นการปรับโครง สร้างองค์กร สคบ.ในด้านการกำกับและส่งเสริมธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรง ที่สอดประสานกับการทำงานร่วมกับหน่วยงานบังคับใช้กฎหมายอีกหลายหน่วยงานในเวลาเดียวกัน


ด้านดีเอสไอ มีการวางยุทธศาสตร์ในการป้องปรามแชร์ลูกโซ่ ล่าสุดมีการแต่งตั้ง พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์ ขึ้นเป็นผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อมารับผิดชอบงานนี้โดยเฉพาะ


ขณะที่ กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) นอกเหนือจากดำเนินคดีในด้านการเอารัดเอาเปรียบผู้บริโภคแล้ว ล่าสุด มีการประกาศนโยบายชัดเจน ในการเข้าไปดำเนินการกวาดล้าง การขายสินค้าผ่านสื่อออนไลน์ ที่มิได้มีใบอนุญาตการประกอบธุรกิจการตลาดแบบตรง


รวมไปถึงกิจการขายตรง ที่มิได้มีใบอนุญาตประกอบการ แต่ยังดำเนินธุรกิจในลักษณะขายตรง


เช่นเดียวกับ สนง.คณะกรรมการอาหารและยา รวมไปถึง คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม (กสทช.) ก็ประกาศชัดเจน จะดำเนินการกับผู้ประกอบการ ที่มีการโฆษณาเกินจริง ที่ไม่เพียงแต่จะมีผลต่อการดำเนินคดีต่อเจ้าของสินค้าเท่านั้น หากแต่ยังมีผลกระทบไปถึงสื่อ โทรทัศน์ดาวเทียม ที่อาจจะต้องรับโทษ หรือ อาจต้องถูกเพิกถอนใบอนุญาตด้วย


ที่น่าจับตา เร็ว ๆ นี้ อย. กำลังเตรียมเสนอแก้ไขกฎหมายเพื่อเพิ่มบทลงโทษ แก่เจ้าของสินค้า ที่โฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาต จากเดิมที่มีโทษปรับเพียง 5,000 บาทเท่านั้น ก็จะมีการเพิ่มโทษปรับในอัตราที่สูงขึ้น


 5 หน่วยงานรุมสกรัมดีเดย์1 พ.ย.56


ลบภาพ “เสือหลับ”เป็น“เสือตื่น”


การดำเนินงานของ 5 หน่วยงานหลัก มีการประกาศ KICK OFF ไปเมื่อต้นเดือนพฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา อันเป็นช่วงที่ นายกำพล วงศ์ศิริ เลขาธิการ สคบ.คนใหม่เข้ารับตำแหน่ง พร้อม ๆ กับการปรับเปลี่ยนตำแหน่งสำคัญ ทั้งดีเอสไอ บก.ปคบ. ในเวลาใกล้เคียงกัน


ถือเป็นการลบภาพ “เสือหลับ” ที่ใครต่อใครต่างกล่าวหามาเป็น “เสือตื่น” ที่จะต้องจับตาดูกันต่อไปว่า ความเข้มข้นในการกำกับดูแลธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรง จะคงเส้นคงวาขนาดไหน


เพราะในจำนวน 4 - 5 หน่วยงานที่ว่า ก็มีอำนาจตามกฎหมายอยู่แล้ว ปัญหาอยู่ที่การบังคับใช้จะเดินไปถึง “สุดซอย” ได้หรือไม่


มีผู้ประกอบการขายสินค้าจำนวนมากเวลานี้ เปลี่ยน แผนการขายสินค้า จากเดิมที่อาศัยการเช่าพื้นที่ขายในห้างสรรพสินค้า หรือที่เรียกว่า “ออนกราวน์” หันมาเน้นการขายผ่านระบบ “ออนไลน์”


เพราะมีกระแสตอบรับที่ดี สะดวกสบาย แถมค่าใช้จ่ายถูก แค่เปิดเว็บไซต์ของตนเอง ก็สรรหาสินค้ามาลงได้มากมาย แบบไม่มีข้อจำกัด ไม่ต้องจ้างพนักงาน PC มาประจำหน้าร้าน


เรื่องนี้มีการดำเนินธุรกิจกันอย่างกว้างขวาง เพราะทุกคนเข้าใจว่า นี่คือธุรกิจเสรี ที่ใครก็สามารถทำได้ แต่โดยข้อเท็จจริง การดำเนินธุรกิจที่ว่านี้ เข้าหลักการทำตลาดแบบตรง ที่ผู้ที่เป็นเจ้าของสินค้า หรือตัวแทน จะต้องมีการจดทะเบียนรับใบอนุญาตการตลาดแบบตรงกับสคบ.


โดยสินค้ารูปแบบการขาย จะต้องผ่านกระบวนการตรวจสอบ ไม่ต่างกับการทำธุรกิจขายตรง


มีการประเมินว่า การทำธุรกิจในรูปแบบออนไลน์ในเวลานี้ มีผู้ที่เข้ามาทำธุรกิจมากมายนับแสนคน


ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเชื่อว่า การทำธุรกิจดังกล่าวไม่มีกฎหมายรองรับ หรือแม้จะรู้ว่ามีกฎหมายรองรับ แต่เมื่อผู้บังคับใช้กฎหมาย ไม่มีการดำเนินการอะไร ก็ยิ่งเท่ากับเป็นการส่งเสริมให้กิจการเหล่านี้ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด


เพราะฉะนั้น เมื่อปล่อยปละละเลย ให้มีการดำเนินการกันมากมาย การที่จะเข้าไปดำเนินการ จึงเป็นไปโดยความยากลำบาก


อย่างเก่งก็คง ต้องใช้วิธี “เชือดไก่ให้ลิงดู” สักรายสองราย เพราะถ้าจะไปไล่จับกันทั้งกระบิ คงต้องอาศัย


เจ้าหน้าที่ตำรวจทั้งกองบัญชาการ


สิ่งสำคัญที่ สคบ.ต้องเร่งดำเนินการ ก็คือ จะต้องสร้างความเข้าใจให้แก่ผู้ประกอบการว่า การฝ่าฝืนกฎหมายมีโทษอย่างไร


ขณะเดียวกันก็จะต้อง ให้ความรู้กับประชาชนว่า การซื้อขายสินค้า ผ่านสื่อออนไลน์ทีไม่ได้รับอนุญาต มีความเสี่ยง ต่อการถูกฉ้อโกง หรือหลอกลวง


โดยเฉพาะสินค้าที่มีการโฆษณาชวนเชื่อเกินจริง อาจจะทำให้ผู้บริโภคได้รับอันตรายได้


เพราะฉะนั้นธุรกิจขายตรงและการตลาดแบบตรง ยังคงเป็นโจทย์ใหญ่ที่ สคบ.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องบูรณาการร่วมกัน


หลายปีที่ผ่านมา ธุรกิจขายตรงซอยเท้าอยู่กับที่มาเนิ่นนาน ภาคเอกชน เดินหน้าไป “ปักหมุด” ในกลุ่มประชาคม อาเซียนล่วงหน้าเอาไว้หลายประเทศ


แต่ที่น่าสังเกต ก็คือ หน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับและส่งเสริมธุรกิจขายตรง กลับแทบไม่เคย ย่างเท้าเข้าไปเจรจากับหน่วยงานที่กำกับดูแลในประเทศคู่ค้าเหล่านี้เลย


ปัญหาในเรื่องข้อกฎหมายขายตรงระหว่างประเทศ ถึงวันนี้ ยังตีโจทย์ไม่ออกเลยว่า จะรักษาความได้เปรียบทางการค้าของประเทศเอาไว้อย่างไร


เพราะแม้กลไกทางด้านภาษี จะเท่าเทียมเสมอภาคกัน แต่เงื่อนไขในการเข้าไปลงทุน รวมไปถึงข้อจำกัดในเรื่องสินค้าถิ่นกำเนิด ก็ยังไม่มีการเตรียมความพร้อมแต่อย่างใด


หากไม่สร้างภูมิคุ้มกันบริษัทขายตรงไทยให้เข้มแข็ง แล้วปล่อยให้ออกไป “รบนอกบ้าน” โดยไม่มีการหาทางวางกรอบหรือกติกาในทำธุรกิจร่วมกัน ก็เท่ากับส่งกิจการเหล่านี้ไปตาย


จุดเปลี่ยนของ สคบ.ในยุค นายอำพล วงศ์ศิริ จึงนับเป็นก้าวที่สำคัญ ต่ออนาคตและทิศทางของธุรกิจทั้งระบบ เพราะถ้าไม่เร่งดำเนินการสร้างมาตรฐานให้ชัดเจนเสียแต่ตอนนี้ การก้าวเดินไปข้างหน้าของธุรกิจก็จะเป็นไปอย่างล่าช้า


สิ่งที่หลายคนกังวลกัน ก็คือ การปรับภาพลักษณ์ของสคบ.ให้กลายเป็นองค์กรที่มีความศักดิ์สิทธิ์ มีความเข้มข้นในการกำกับดูแล แม้จะเป็นสิ่งที่ดี แต่ในเวลาเดียวกัน ก็จะต้องหันมาเน้นการส่งเสริมและพัฒนาอุตสาหกรรมนี้ควบคู่กันไป


ในเวลานี้ บอกตรง ๆ ใครได้เห็นปูมหลังของ เลขาธิการ สคบ.ท่านนี้แล้ว ก็อดที่จะเกร็งไม่ได้ ยังไง ๆ เสีย ก็คงต้องเดินสายกลาง แบบพอดี ๆ ไม่ตึงไม่หย่อนเกินไป


เพราะในระบบธุรกิจขายตรง คงไม่มีใครเดินอยู่ในกรอบได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ เนื่องจากยังมีกฎหมายบางมาตรา ที่ขัดกับหลักการทำธุรกิจขายตรง


หากยังไม่มีการแก้ไข แล้วยังดึงดันเอามาใช้ควบคุมพฤติกรรมผู้ประกอบการ การก้าวเดินใน 2 บทบาทของ สคบ.ก็จะกลายเป็นการ “ขัดแข้งขัดขา” กันเอง


ถึงเวลาที่จะต้องเอาคน “รู้ลึก รู้จริง” มาดูแลธุรกิจขายตรงเสียที !!!


 


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/