ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

"รูอัน" ขับเคลื่อนธุรกิจ เตรียมจัดโครงการ “รูอัน เวิลด์ สานฝันปันน้ำใจ เพื่อเด็กไทย ครั้งที่ 1”

"รูอัน" ขับเคลื่อนธุรกิจ เตรียมจัดโครงการ “รูอัน เวิลด์ สานฝันปันน้ำใจ เพื่อเด็กไทย ครั้งที่ 1”

หลังจากทาง ค่ายรูอัน เวิลด์ ประกาศเปิดสำนักงานใหญ่ บริษัท รูอัน เวิลด์ (ไทยแลนด์) จำกัด ณ ตึกอโยธยา ทาวเวอร์ อย่างเป็นทางการได้ไม่นาน... ล่าสุด มร.เจมส์ ลี หัวเรือใหญ่แห่งค่ายรูอัน เวิลด์ เตรียมขับเคลื่อนธุรกิจผ่านแคมเปญปันรอยยิ้มสร้างความสุขให้กับเยาวชนไทยกับโครงการ “รูอัน เวิลด์ สานฝันปันน้ำใจ ...

อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/1dRKKZ6

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

ข่าวเอมสตาร์ (Aimstar) : เปิดสาขาที่พม่า "เมาะลำไย" ตอกย้ำเส้นทางการก้าวขึ้นเป็นบริษัทเครือข่าย (MLM) อันดับ 1 ใน AEC ในปี 2015

ข่าวเอมสตาร์ (Aimstar) : เปิดสาขาที่พม่า "เมาะลำไย" ตอกย้ำเส้นทางการก้าวขึ้นเป็นบริษัทเครือข่าย (MLM) อันดับ 1 ใน AEC ในปี 2015

เปิดตัวกันไปแล้วอย่างยิ่งใหญ่กับ “สาขาเมาะลำไย” (Mawlamyaing) สาขาที่ 4 ในประเทศพม่า (สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์) ตอกย้ำเส้นทางการก้าวขึ้นเป็นบริษัทเครือข่ายอันดับ 1 ใน AEC ในปี 2015วันที่ 25/01/2557 ที่ผ่านมา บริษัท เอมสตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด นำโดย ทญ.ลพา วัชรศรีโรจน์ ประธานผู้ก่อตั้ง และ นพ.พนิ...

อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/L0qNbB

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

เปิดยุทธศาตร์ขายตรงน้องใหม่ "โฮลี่ วอน" ประกาศพร้อมรบเต็มอัตราศึกรับปีมะเมีย

เปิดยุทธศาตร์ขายตรงน้องใหม่ "โฮลี่ วอน" ประกาศพร้อมรบเต็มอัตราศึกรับปีมะเมีย

 
 
ขายตรงน้องใหม่ “โฮลี่ วอน” ประกาศความพร้อมลุยสนามขายตรงปีมะเมีย...เตรียมแผนตีตลาดภูธร พร้อมเสริมทัพสื่อเต็มรูปแบบหวังสร้างการรับรู้...แย้มเตรียมบุกตลาดเพื่อนบ้านลาวที่แรก พร้อมเข็นสินค้า “คาวตอง โฮลี่ เบอร์รี่” นำร่องธุรกิจ ลั่นเป้าสิ้นปี’57 ขอแตะ 100 ล้าน                              ...

อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/1hwyTnG

ขายตรง เพียวไลฟ์ ปลุกคนรุ่นใหม่สู้ศึกออกหมัดแรงผนึกสื่อ3ช่องกระหึ่ม

ขายตรง เพียวไลฟ์ ปลุกคนรุ่นใหม่สู้ศึกออกหมัดแรงผนึกสื่อ3ช่องกระหึ่ม


 
เปิดแผนลึกกลศึก “ค่ายเพียว ไลฟ์” ปฏิบัติการณ์ไร้เงาปี 2557 เขย่าตลาดเครือข่ายขายตรงเดือดด้วยการร่วมมือสื่อทีวีดาวเทียมช่อง IN TV, ช่อง TVD และ นสพ.ตลาดวิเคราะห์ เป็นหัวหอก ชูคอนเซ็ปต์ปั้นคนรุ่นใหม่ไต่บันไดรวยแบบง่ายๆ โชว์จุดขายด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และความงาม ในราคาไม่แพง ขณะที่ช่อง H...

อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/1dXOf6s

ขายตรง (MLM) ปีมะเมียระทึก! หลายค่ายเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยง

ขายตรง (MLM) ปีมะเมียระทึก! หลายค่ายเฝ้าระวังปัจจัยเสี่ยง


 
จับทิศขายตรงปีมะเมีย บนความเสี่ยงที่ “เหล่าผู้ประกอบการ” จะต้องระวัง!..ระบุปัจจัยเสี่ยงการเมืองไม่นิ่งปัญหา...

อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/1hww4Dg

สคบ. เรียก 5 สมาคมขายตรง รับนโยบายเร่งด่วน ถกแผนยกระดับตั้ งสมาพันธ์ขายตรงไทย

สคบ. เรียก 5 สมาคมขายตรง รับนโยบายเร่งด่วน ถกแผนยกระดับตั้ งสมาพันธ์ขายตรงไทย


สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เรียก 5 สมาคมธุรกิจขายตรงไทยเข้าร่วมหารือเตรียมยกระดับตลาดขายตรงไทยสู่สายตาต่างชาติรับ AEC พร้อมเสนอแนวคิดจัดตั้งสมาพันธ์ขายตรงไทย เพื่อประสานงานเจรจาเรื่องธุรกิจขายตรงกับ 10 ประเทศเพื่อนบ้าน...ด้าน 5 สมาคมขายตรงระบุสมาพันธ์ขายตรงไทยจะเกิดขึ้นได้ ต้องม...

อ่านต่อเพิ่มเติมได้ที่ http://bit.ly/1dXMQN8

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

แม๊กซ์ อินเตอร์เน็ตเวิร์ค - Maxx Inter Network ลั่นกลองรบ เปิดตัวสำนักงานใหญ่ อิมพิเรียล ลาดพร้าว

แม๊กซ์ อินเตอร์เน็ตเวิร์ค - Maxx Inter Network ลั่นกลองรบ เปิดตัวสำนักงานใหญ่ อิมพิเรียล ลาดพร้าว


นำรายได้ที่มั่นคง และยั่งยืน มาสู่นักธุรกิจเครือข่ายทั่วประเทศ พร้อมเปิดสำนักงานใหญ่แห่งแรกของประเทศไทย ที่อิมพิเรียลลาดพร้าว ชั้นสี่ โซนบันไดเลื่อนหน้าห้าง โดยในวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2556 เวลา 11.00 น. จะมีพิธีทำบุญเปิดสำนักงาน และหลังจากนั้น ขอเชิญแขกผู้มีเกียรติ รับประทานอาหารกลางวันร่วมกัน และในช่วงบ่ายจะมีพิธีแถลงข่าวเปิดบริษัทอย่างเป็นทางการ พร้อมกันนี้ ขอเรียนเชิญสื่อมวลชนทุกแขนงร่วมเป็นสักขีพยานในงานเปิดสำนักงานใหญ่ครั้งนี้ด้วย


 73589


[gallery columns="4" ids="22223,22224,22225,22226"]

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

ข่าวโมรินดา (Morinda) : เปิดใจ‘เชษฐ์ฤชัย โรจน์ธนาวงษ์’ค่าย ‘โมรินดา’ ...ความสำเร็จเกิดจาก ‘ความเชื่อมั่น&ศรัทธา’







Capture (Mobile)

 


“วันนี้ต้องบอกว่าธุรกิจขายตรงถือเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้คนที่ตั้งใจทำธุรกิจนี้จริง ๆ หากทำถูกต้อง ถูกวิธี เป็นธุรกิจที่ลงทุนน้อย ไม่มีความเสี่ยง ที่สำคัญ เป็นธุรกิจที่สามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย ระดับการศึกษาไม่เกี่ยว หากมีความขยัน อดทน เชื่อว่าทุกคนสำเร็จในธุรกิจนี้แน่นอน”


... “กว่าที่จะค้นพบความสำเร็จ ย่อมต้องเจออุปสรรคและปัญหาเสมอ”...เฉกเช่นเดียวกับ นักขายท่านนี้นามว่า “เชษฐ์ฤชัย โรจน์ธนาวงษ์” หนุ่มแดนอีสาน ที่มีคติประจำใจในการทำงานว่า “ต้องมีความเชื่อมั่นและมีความศรัทธาในธุรกิจถึงจะประสบความสำเร็จ”


“เชษฐ์ฤชัย” ก่อนที่จะเดินเข้ามาสู่ธุรกิจขายตรงนั้น เขาผู้นี้เป็นมนุษย์เงินเดือนมาก่อน อาชีพรับราชการอยู่ที่กรมสรรพากรมาประมาณ 5 ปี เงินเดือนเพียงแค่ 6 พันกว่าบาทเท่านั้นเอง มีรายจ่ายมากกว่ารายได้ ด้วยจุดนี้เองที่ทำให้เขาผู้นี้จึงอยากที่จะหางานพิเศษเพื่อหารายได้เพิ่ม


ซึ่งระหว่างที่ “เชษฐ์ฤชัย” รับราชการอยู่นั้น เขาผู้นี้ก็ทำธุรกิจขายตรงควบคู่ไปด้วย แต่ก็ยังไม่ประสบความสำเร็จเสียที...จนกระทั่งมาเจอกับธุรกิจขายตรงที่ชื่อ “โมรินดา” จึงได้ลองศึกษาถึงสินค้า แผนการตลาด และเมื่อมีความเชื่อมั่นและศรัทธาทำให้เขาผู้นี้จึงได้ตัดสินใจเข้ามาสู่ธรกิจ “โมรินดา” อย่างเต็มตัว พร้อมกับออกจากงานประจำ และหันมาตั้งหน้า ตั้งตา ทำธุรกิจขายตรงอย่างจริงจัง!!


... “ที่เลือกโมรินดาเพราะสัมผัสถึงความยิ่งใหญ่และความมั่นคงของที่นี้ได้ และยิ่งพอได้เข้ามาศึกษาถึงแผนการตลาด และสินค้าแล้ว ยิ่งทำให้รู้สึกว่าที่นี้คือ ที่ที่จะฝากชีวิตไว้ได้อย่างแน่นอน”...


ตลอดระยะเวลาตั้งแต่เดือนมีนาคม ปี 2555 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน ความสำเร็จและสิ่งที่ได้รับจากธุรกิจ “โมรินดา” นั้น เขาผู้นี้บอกว่า สิ่งแรกเลย คือ เรื่องของรายได้ สิ่งที่สอง คือ มิตรภาพของทีมงานที่นี่ ที่พร้อมจะช่วยนำพาทุกคนให้ประสบความสำเร็จ สิ่งที่สาม คือ บ้าน รถยนต์ รวมถึงการได้ท่องเที่ยว ทั้งในประเทศและต่างประเทศ


สำหรับตลาดที่ “เชษฐ์ฤชัย” ใช้เป็นพื้นที่ในการขยายธุรกิจ ณ ขณะนี้นั้น อยู่ทางภาคอีสานเป็นหลัก เนื่องจากเขาผู้นี้เป็นคนจังหวัดมหาสารคาม การสร้างทีมงานส่วนใหญ่จึงอยู่ที่นี้...โดยนักขายท่านนี้ยังได้บอกกับ “ตลาดวิเคราะห์” อีกว่า ตลาดขายตรงในภาคอีสานหลังจากที่ทำตลาดแล้ว ถือว่าไม่ค่อยยากอย่างที่คิด ซึ่งตนเองจะใช้สินค้าเป็นตัวนำร่องก่อน ต่อจากนั้น ค่อยสู่ผู้ที่มุ่งหวัง และเข้าสู่การเป็นนักธุรกิจ


“สไตล์การทำงานของผมมีทั้งเชิงรุกและเชิงรับ โดยกลุ่มที่เราทำอยู่นั้น มีอยู่ 2 กลุ่ม คือ กลุ่มที่ 1 กลุ่มผู้นำ โดยกลุ่มนี้จะใช้แนวทางธุรกิจในเชิงรุกด้วยการจัดประชุมเป็นหลัก กลุ่มที่ 2 กลุ่มผู้ขายหรือคนที่มีปัญหาเรื่องสุขภาพ โดยกลุ่มนี้จะเป็นการใช้สินค้าเป็นตัวนำ”


เมื่อถามว่าปัญหาและอุปสรรคของการทำธุรกิจขายตรงในช่วงที่ผ่านมาเป็นอย่างไรบ้างนั้น... “เชษฐ์ฤชัย” เล่าว่า เรื่องของปัญหาการทำงานในทุกธุรกิจย่อมมีอยู่แล้ว ซึ่งอยู่ที่ว่าเรานั้นจะแก้ไขแบบไหน โดยสิ่งที่ตนเองเจอในช่วงทำธุรกิจก็จะเป็นในเรื่องของการไปชักชวนให้ผู้นำอื่น ๆ มาร่วมธุรกิจที่โมรินดา ซึ่งเป็นการเจอผู้นำที่เคยทำโมรินดามาแล้ว ตรงนี้เองที่ทำให้เราต้องมีการอธิบายแนวทางของธุรกิจให้เขาฟังใหม่ ซึ่งตรงนี้ถือว่าเป็นปัญหา ทำให้ตนเองจึงได้มีการปรับการทำธุรกิจใหม่ด้วยการเริ่มต้นกับคนใหม่ ซึ่งตลอดระยะเวลา 1 ปีกว่า เขาผู้นี้มีทีมงานอยู่ใต้สายงานประมาณ 2 พันคน


นอกจากนี้ “เชษฐ์ฤชัย” ยังได้บอกถึงคุณสมบัติของการเป็นนักขายที่ดีและประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้อีกว่า


1.ผู้นำจะต้องเป็นผู้นำจริง ๆ ให้ทีมงานด้วยใจ และทำงานแบบครอบครัว มองด้านผลประโยชน์ส่วนตัวน้อยกว่าส่วนรวม เน้นที่จะให้ ซึ่งเมื่อเราเน้นที่จะให้แล้ว สิ่งที่ได้รับก็จะกลับมาเอง


2.ผู้นำจะต้องมีความรู้จริงในธุรกิจขายตรง รู้จักแผนการตลาด และรู้จักสินค้า


3.ผู้นำจะต้องมีความคิดริเริ่ม เพื่อสร้างสรรค์ทีมงานและพาทีมงานให้ประสบความสำเร็จได้


4.ผู้นำจะต้องมีความกล้าหาญ มีความเด็ดเดี่ยว มีความอ่อนน้อมถ่อมตน ต้องทำตัวให้น่าเคารพนับถือ เพื่อให้ทีมงานทำงานร่วมกันได้ดี


5.ผู้นำจะต้องมีมนุษยสัมพันธ์ดี มีความยุติธรรม และมีความซื่อสัตย์


6.ผู้นำจะต้องมีความตื่นตัวตลอดเวลามีความอดทน


7.ผู้นำจะต้องมีความภักดี ความรัก ความใส่ใจให้กับเพื่อนร่วมงาน ทีมงาน องค์กร อัพไลน์ และไซด์ไลน์ของตนเอง และ 8.ผู้นำจะต้องมีสติปัญญา วิสัยทัศน์ในการทำงาน


“หากเปรียบเทียบผู้นำในปัจจุบันและในอดีตแล้วจะพบว่า การทำงานจะไม่ค่อยแตกต่างกันมาก ส่วนใหญ่จะแตกต่างในเรื่องของการวิธีคิดในการทำธุรกิจ ที่ผู้นำยุคใหม่จะถนัดในเชิงของการทำธุรกิจผ่านออนไลน์ ส่วนผู้นำในอดีตจะไม่ค่อยที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการทำงานตามยุคตามสมัยเท่าที่ควร พร้อมกับไม่ค่อยยอมรับความคิดของคนรุ่นใหม่เท่าที่ควร”


ทั้งนี้ “เชษฐ์ฤชัย” ยังได้ตั้งเป้าหมายทางธุรกิจที่โมรินดาของตัวเองนับจากนี้อีกว่า ต้องการสร้างผู้นำให้ประสบความสำเร็จในตำแหน่งต่าง ๆ ของโมรินดาให้มากที่สุด รวมถึงสร้างผู้นำให้มีรายได้หลักแสน หลักล้านในอีก 2 ปีนับจากนี้


เมื่อถามถึงภาวะเศรษฐกิจรวมถึงกำลังซื้อที่ถดถอยในช่วงขณะนี้มีผลต่อธุรกิจขายตรงหรือไม่ นักขายท่านนี้ให้ความเห็นว่า บริษัทขายตรงที่มีผลิตภัณฑ์ที่ดีอยู่แล้ว จะไม่ค่อยมีผลกระทบแต่อย่างใด ในขณะเดียวกัน ผู้ซื้อส่วนใหญ่จะเลือกซื้อสินค้าจากเหตุผลมากขึ้น พร้อมกับเลือกสิ่งที่ดีที่สุด และคุ้มค่าเงินที่สุด


ส่วนการแข่งขันในธุรกิจขายตรงในปี 2557 นี้นั้น มองว่า จะเป็นการแข่งขันที่ดุเดือดแน่นอน เพราะเห็นการเปิดตัวของธุรกิจขายตรงหน้าใหม่ ๆ ที่เข้ามาสู่ธุรกิจนี้ค่อนข้างเยอะพอสมควร ทั้งบริษัทที่เป็นของคนไทยเองและบริษัทข้ามชาติ โดยสินค้าที่เป็นสินค้าที่มาแรงขณะนี้ น่าจะยังคงเป็นสินค้าในกลุ่มสุขภาพ


 


ท้ายสุดนี้ “เชษฐ์ฤชัย” ยังได้ฝากถึงคนที่ยังไม่ได้เข้ามาสู่ธุรกิจขายตรงด้วยว่า “วันนี้ต้องบอกว่าธุรกิจขายตรงถือเป็นอาชีพที่สร้างรายได้ให้คนที่ตั้งใจทำธุรกิจนี้จริง ๆ หากทำถูกต้อง ถูกวิธี เป็นธุรกิจที่ลงทุนน้อย ไม่มีความเสี่ยง ที่สำคัญ เป็นธุรกิจที่สามารถทำได้ทุกเพศ ทุกวัย ระดับการศึกษาไม่เกี่ยว หากมีความขยัน อดทน เชื่อว่าทุกคนสำเร็จในธุรกิจนี้แน่นอน”


 


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

ประชุมพรรคพลังเครือข่ายประชาชน !







995272_628066343897261_1215616204_n (Mobile)

 


เมื่อวันเสาร์ที่ 4 มกราคม 2557 ที่ผ่านมา ณ โรงแรมบางกอกฮอลล์ เลียบทางด่วนรามอินทรา พรรคพลังเครือข่ายประชาชนได้มีการประชุม พรรคเพื่อแจงนโยบายพรรค และเปิดตัวผู้สมัครของพรรคทั้งแบบปาร์ตี้ลิสท์และเขต โดยเนื้อหาสำคัญของนโยบายพรรคแบ่งเป็น 5 ข้อหลัก ได้แก่ 1.จัดตั้งกระทรวงคุ้มครองผู้บริโภค(กรมการขายตรง) 2.ปราบปรามแชร์ลูกโซ่และเงินกู้นอกระบบอย่างเด็ดขาด 3.ตั้งศูนย์รับเรื่องร้องเรียนและศูนย์ช่วยเหลือผู้บริโภค ทุกตำบล/อำเภอ/จังหวัด


4.ตั้งศูนย์ประสานงานสมาคมฌาปนกิจสงเคราะห์พลังเครือข่ายประชาชน(1ชีวิต1ล้าน) ทุกตำบล/อำเภอ/จังหวัดเพื่อเป็นสวัสดิการให้กับประชาชน 5.ทำนุบำรุงพุทธศาสนาและศาสนาอื่นอย่างเท่าเทียม พร้อมชูจุดยืน ไม่ต้องการเข้าไปเพื่อเล่นการเมืองแต่ต้องการเข้าไปทำงาน เพื่อคุ้มครองผู้บริโภคและกลุ่มพี่น้องชาว เครือข่ายทั่วประเทศ ด้วยสโลแกน “ถ้าเราไม่ช่วยกันแล้วใครจะช่วยเรา?” สำหรับพรรคพลังเครือข่ายประชาชนได้รับหมายเลข 17 ในการเลืองตั้งครั้งนี้


 

อย.ร่วมมือหน่วยงาน ‘กสทช.’ เดินสายตรวจสินค้าอวดสรรพคุณ







Capture

 


อย. เดินเครื่องต้นปี’57 เตรียมประสานงานหลายฝ่ายปราบผู้กระทำผิดกฎหมาย ทั้งการโฆษณาผลิตภัณฑ์อาหาร ยา เครื่องมือแพทย์ และเครื่องสําอางทางสื่อต่างๆ โดยไม่ได้รับอนุญาต และโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง ล่าสุดร่วมมือทาง “กสทช.” สกัดกั้นโฆษณาผิดกฎหมายหวังคุ้มครองผู้บริโภค ระบุ หากพบกระทำผิดจริง เตรียมลงดาบแน่นอน


ภก.ประพนธ์ อางตระกูล รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) เปิดเผยว่า ขณะนี้สํานักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) กำลังได้ดําเนินการตรวจสอบเฝ้าระวังการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพทางสื่อต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง โดยหากพบการโฆษณาที่ไม่ได้ขออนุญาตหรือมีการโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงหลอกลวงผู้บริโภคให้เข้าใจผิดในสาระสําคัญ จะมีการดําเนินการตามกฎหมายอย่างเฉียบขาด ทั้งการเปรียบเทียบปรับ ดําเนินคดี และแจ้งให้เจ้าของผลิตภัณฑ์และสื่อโฆษณาระงับการโฆษณาทันที


พร้อมทั้ง จะมีการส่งข้อมูลให้สํานักงานคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ดําเนินการตามกฎหมายที่เกี่ยวข้องต่อไป โดยบูรณาการการทํางานร่วมกัน กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ทั้งสํานักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) สําหรับในส่วนภูมิภาคมอบให้สํานักงานสาธารณสุขจังหวัดดําเนินการ


ซึ่งในช่วงเดือนตุลาคม -พฤศจิกายน 2556 ที่ผ่านมา ทางอย. เอง ได้มีการดําเนินคดีเกี่ยวกับการโฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาต ผลิตภัณฑ์อาหารจำนวน 144 คดี ผลิตภัณฑ์ยา จำนวน 40 คดี ผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ จำนวน 13 คดี และเครื่องสําอาง 7 คดี รวมจำนวนทั้งสิ้น 204 คดี ส่วนมากพบการโฆษณาทางนิตยสาร โทรทัศน์ดาวเทียม และเว็บไซต์ โดยพบโฆษณาในลักษณะโอ้อวดสรรพคุณเกินจริง และไม่ได้ขออนุญาตโฆษณา ในผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร


อาทิ “โฆษณาอ้างทําให้ขาวอ่อนเยาว์เร็วกว่า” อ้างทําให้ผิวขาวใส สร้างความยึดหยุ่นของผิว บํารุงสายตาและผม ทําให้ผิวหน้าเนียนใส ลดรอยสิวฝ้า กระ ลดการเกิดริ้วรอย บํารุงเส้นเลือด หัวใจ ตับ ช่วยลดคอเลสเตอรอล “อ้างทําให้ผู้ป่วยหายจากโรคมะเร็ง, อาการปวดเข่าดีขึ้น , รักษาอาการน้ำในหูไม่เท่ากัน ชะลอความเสื่อมของร่างกาย, อ้างทำให้ผู้ป่วยหายจากโรคมะเร็ง


ซึ่งข้อความโฆษณาเหล่านี้ ล้วนเป็นการโฆษณาที่ไม่ได้รับอนุญาต และเข้าข่ายหลอกลวงโอ้อวดเกินจริงทั้งสิ้น เพราะผลิตภัณฑ์อาหารไม่ใช่ยา ไม่สามารถอวดอ้างรักษาโรคได้ สําหรับผลิตภัณฑ์ยา พบการโฆษณาขายยาโดยแสดงสรรพคุณอันเป็นเท็จ โฆษณาขายยาโดยมีการรับรองหรือยกย่องสรรพคุณโดยบุคคลอื่น และโฆษณาขายยาโดยไม่ได้รับอนุญาต ส่วนผลิตภัณฑ์เครื่องมือแพทย์ พบการโฆษณาเครื่องมือแพทย์โดยไม่ได้รับอนุญาต เช่น ลดอายุใบหน้าด้วยไหมทองคํา กําจัดไขมันทุกส่วนครั้งเดียวเห็นผล เป็นต้น


ภก.ประพนธ์ ยังกล่าวอีกว่า ทางอย.จะไม่หยุดนิ่งในการตรวจสอบเฝ้าระวังการโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพ


ทางสื่อต่าง ๆ โดยเฉพาะทางโทรทัศน์ดาวเทียม เคเบิลทีวี วิทยุธุรกิจชุมชน หนังสือพิมพ์ นิตยสารต่าง ๆ เพื่อมิให้มีการโฆษณาผลิตภัณฑ์โอ้อวดเกินจริง หลอกลวงผู้บริโภค โดยดําเนินงานร่วมกับ กสทช. และ บก.ปคบ. อย่างใกล้ชิด และดําเนินคดีกับผู้โฆษณาและเจ้าของผลิตภัณฑ์อย่างเข้มงวด เพื่อคุ้มครองความปลอดภัยให้แก่ผู้บริโภค


“อยากที่จะขอเตือนมายังผู้บริโภค ควรไตร่ตรองให้ถี่ถ้วน อย่าหลงเชื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์สุขภาพใด ๆ ก็ตาม ที่โอ้อวดสรรพคุณเกินจริง เช่น ผลิตภัณฑ์อาหารอวดอ้างรักษาโรค ผลิตภัณฑ์ยาอ้างรักษาโรคที่รัฐมนตรีประกาศห้ามโฆษณา เช่น มะเร็ง เอดส์ อัมพาต โฆษณาอวดอ้างว่าเป็นยาบํารุงกาม ไม่ว่าจะเป็นข้อความโฆษณา หรือการนําบุคคลมีชื่อเสียงมาอ้างอิงว่าใช้แล้วได้ผล อย่ารีบด่วนตัดสินใจซื้อ ควรศึกษาข้อมูล สอบถามแพทย์หรือเภสัชกรก่อน เพราะอาจได้รับผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้ขออนุญาต และอาจมีสารอันตรายเป็นส่วนผสม ทำให้ได้รับผลข้างเคียงต่อร่างกาย ขาดโอกาสในการรักษาที่ถูกต้องได้” ภก.ประพนธ์ กล่าวทิ้งท้าย


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

จับทิศธุรกิจขายตรงน้องใหม่‘คัดสรร’ เหล้าใหม่ในขวดเก่าแบรนด์‘จัสมิน’







kudsan (Mobile)

 


จัสมิน สลัดคราบใหม่เปลี่ยนชื่อเป็น “คัดสรร อินโนเทค” พร้อมชูจุดขายธุรกิจบนโลกออนไลน์เต็มรูปแบบ เสริมสินค้าใหม่สเต็มเซลล์พืช จากสวิตเซอร์แลนด์ ลุยตลาดเครือข่าย ลั่นเป้าสิ้นปี’57 ขอยอดแตะ 200 ล้าน...แย้มเตรียมบุกตลาดขายตรงทุกพื้นที่ หลังภาคตะวันออกกระแสตอบรับคัดสรรเริ่มเกิด


นายวิศว์วิชัย นำทรัพย์เจริญ ประธานบริหาร บริษัท คัดสรร อินโนเทค จำกัด เผยว่า การเกิดขึ้นของธุรกิจขายตรงที่ชื่อ “คัดสรร อินโนเทค” นั้น เกิดจากการที่บริษัทต้องการที่จะแก้ไขข้อจำกัดของบริษัทเดิมที่ชื่อจัสมินใหม่ ที่ยังไม่สามารถนำพาจัสมินให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจขายตรงได้


ซึ่งสาเหตุที่ทำให้บริษัทเดิมไม่สามารถที่จะสำเร็จได้ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะในเรื่องของศักยภาพของทีมงาน แผนการตลาด จนทำให้แม่ทีมเริ่มไหลออกจากองค์กรอย่างต่อเนื่อง จนส่งผลทำให้บริษัทฯ จึงได้คิดที่จะพลิกโฉมธุรกิจใหม่ทั้งหมด พร้อมกับการแก้ไขบางจุดที่ถือว่าเป็นจุดอ่อน จึงได้มีการก่อตั้งบริษัท คัดสรร อินโนเทค จำกัด ขึ้นมาใหม่ โดยจะเป็นการดำเนินธุรกิจขายตรงในรูปแบบของออนไลน์เกือบ 100% โดยมีสินค้าที่เป็นตัวชูธงรบของบริษัทฯ คือ ผลิตภัณฑ์ ไฟโตเอสซี (phyto sc stemcell)


“ขณะนี้เราเริ่มที่จะมีผู้นำสนใจเข้ามาอยู่ในระบบบ้างแล้ว ที่สำคัญ ทีมงานเก่าบางส่วนก็เริ่มที่จะเข้าใจในระบบใหม่ด้วย ซึ่งต้องยอมรับว่าในช่วงที่เป็นจัสมินนั้น ทีมงานถือว่ายังไม่ค่อยลงตัวเท่าที่ควร แต่หลังจากที่มาเป็นคัดสรร เชื่อว่าทีมงานและแม่ทีม น่าที่จะลงตัวกว่าในช่วงที่ผ่านมาอย่างแน่นอน”


นายวิศว์วิชัย เผยอีกว่า ขายตรงคัดสรรนั้น ได้เริ่มมาตั้งแต่ช่วงเดือนกันยายน 2556 ที่ผ่านมา ซึ่งสามารถมียอดขายอยู่ที่เกือบ 30 ล้านบาท พร้อมกับมีการจ่ายค่าคอมมิชชั่นไปแล้ว 10 กว่าล้าน โดยในช่วงเดือนแรกบริษัทฯ สามารถทำยอดขายอยู่ที่ 9.4 ล้านบาท เดือนที่ 2 มียอดขายอยู่ที่ 13 ล้านบาท และเดือนที่ 3 มียอดขายอยู่ที่ 15 ล้านบาท ซึ่งถือเป็นการเติบโตเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกเดือน


“การทำธุรกิจของคัดสรรนั้น จะเน้นหนักบนความถูกต้องทั้งในเรื่องของแผนการตลาด สินค้า และตัวสมาชิก โดยเชื่อว่า หากทั้ง 3 ส่วนนี้ลงตัวเมื่อไหร่ จะเป็นพลังที่จะช่วยขับเคลื่อนองค์กรของคัดสรรให้เติบโตอย่างต่อเนื่องแน่นอน”


จะเห็นได้ว่า ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หลังจากที่คัดสรรเริ่มดำเนินธุรกิจ พบว่า ตลาดที่คัดสรรเติบโตอยู่ในขณะนี้ คือ ทางภาคตะวันออก ซึ่งถือเป็นตลาดที่คัดสรรมีทีมงานเก่าอยู่นั่นเอง ส่วนทางภาคอื่น ๆ ขณะนี้ทางคัดสรรยังเตรียมแผนที่จะบุกตลาดเพื่อสร้างเครือข่ายอย่างต่อเนื่องด้วยเช่นกัน


“ขณะนี้บริษัทมีสมาชิกอยู่ที่ประมาณ 1,300 รหัส พร้อมกับมียอดจำหน่ายอยู่ที่ 2 แสนซองต่อเดือน และตั้งเป้าที่จะมียอดขายในปี 2557 นี้ อยู่ที่ 200 ล้านบาท รวมถึงจะมีสินค้าใหม่เข้ามาเสริมทัพอีก 2 รายการ โดยจะเป็นสินค้าในกลุ่มสุขภาพและความงาม”


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

ข่าวโมรินดา (Morinda) : ‘โมรินดา’เตรียมยึดพื้นที่ภาคอีสานปี’57 ชี้!การเมืองนิ่งภาพรวมขายตรงทิศทางสดใส







morinda (Mobile)

 


“โมรินดา” เผยภาพรวมธุรกิจปี’56 ยังโตตามเป้า 100% ถึงแม้จะเจอพิษวิกฤติการเมืองเล่นงาน...แจงตลาดโมรินดาที่ผ่านมาเติบโตดีต่างจังหวัด หลังพบภาคอีสานสัญญาณการเติบโตเริ่มส่อแววดี พร้อมประกาศยึดพื้นที่ภาคอีสานภายในปี’57 ควบคู่สินค้าใหม่กลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและกลุ่มสกินแคร์เสริมทัพ ชี้! ปี’57 หากการเมืองนิ่งส่งผลดีต่อธุรกิจขายตรงแน่


“วิภารัตน์ รัตนพรหมมา” ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท โมรินดา เวิร์ลไวด์ (ประเทศไทย) จำกัด เผยถึงภาพรวมธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาว่า ในปี 2556 ที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่าโมโมรินดาเองได้รับผลกระทบจากปัจจัยลบรอบด้านเหมือนเช่นดั่งขายตรงค่ายอื่น ๆ เช่นกัน แต่ทั้งนี้ ต้องบอกว่าทางบริษัทฯ เอง ก็ได้มีการเตรียมแผนรับมือกับปัจจัยลบที่เข้ามากระทบต่อธุรกิจไว้บ้างแล้วเช่นกัน และสามารถมียอดขายที่เติบโต 100% ตามเป้าหมายที่วางไว้เหมือนเช่นดั่งทุกปี


“ตลาดของโมรินดา ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากนั้น ส่วนใหญ่จะอยู่ที่ต่างจังหวัด ขณะเดียวกันในพื้นที่กรุงเทพฯก็มีการขยายตัวเช่นกัน โดยในพื้นที่ที่มีการขยายตัวอย่างชัดเจนมากที่สุด คงจะเป็นภาคอีสาน ที่เริ่มมีกลุ่มใหม่ ๆ เข้ามา ไม่ว่าจะเป็นทางจังหวัดมุกดาหาร นครพนม มหาสารคาม ขอนแก่น เป็นต้น โดยในปี 2557 นี้ โมรินดา ตั้งเป้าที่จะขยายตลาดทางภาคอีสานให้ครอบคลุมทุกจังหวัดด้วย”


การบุกตลาดของโมรินดา ในปี 2557 ที่นอกเหนือจากการขยายตลาดในพื้นที่ต่างจังหวัดให้มากขึ้นแล้ว โมรินดา ยังคงจะเน้นหนักสินค้าที่มีค่า AGE เช่นเดิม พร้อมกับเตรียมที่จะเสริมทัพสินค้าใหม่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและกลุ่มสกินแคร์ รวมถึงการปรับเพิ่มในส่วนของโปรโมชั่นใหม่ ๆ เข้ามาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้นักธุรกิจได้ทำงานได้ง่ายขึ้น ที่สำคัญ สินค้าที่จะเป็นตัวชูธงรบในปี 2557 ยังคงเป็นผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มแม็กซ์เช่นเดิม โดยจะมีสินค้าอื่นเป็นตัวเสริมในการขยายตลาด


สำหรับเป้าหมายการเติบโตในปี 2557 ของโมรินดานั้น “วิภารัตน์” เผยว่า เป้าหมายการเติบโตคงยังเชื่อว่าน่าที่จะเติบโตอยู่ที่ 100% เหมือนเช่นทุกปี ซึ่งหากเป็นไปตามแผนงานที่บริษัทวางไว้ทั้งในเรื่องของการออกสินค้าใหม่ รวมถึงโปรโมชั่นในการกระตุ้นยอดขาย เชื่อว่าเป้าหมายการเติบโตที่วางไว้ ก็น่าที่จะตรงตามเป้าหมายด้วยเช่นกัน


ส่วนทิศทางการแข่งขันในธุรกิจขายตรงปี 2557 นี้ นั้น เชื่อว่า หากการเมืองนิ่งเชื่อว่าจะส่งผลดีต่อธุรกิจขายตรงอย่างแน่นอน ซึ่งในช่วงที่ผ่านสำหรับปัจจัยลบด้านการเมืองแล้ว เชื่อว่ามีผลกระทบต่อหลาย ๆ ธุรกิจเช่นเดียวกัน ในขณะเดียวกัน คู่แข่งรายใหม่ที่จะเข้ามาในตลาดเครือข่าย ก็ยังถือเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้หลาย ๆ บริษัท ต้องมีการปรับตัวเช่นเดียวกัน


“ธุรกิจโมรินดาหากย้อนไปเมื่อช่วงเริ่มต้น โมรินดาเคยติด 1 ใน 5 ของบริษัทที่มียอดขายสูงสุด รวมถึงสามารถสร้างนักขายให้ประสบความสำเร็จหลายคนด้วยกัน แต่ถึงแม้ว่าในวันนี้จะมีผู้นำบางท่านที่ออกไป แต่โมรินดาก็ยังมีผู้นำบางส่วนที่ยังคงเหนี่ยวแน่นอยู่ที่นี้ นั่นก็หมายความว่า วันนี้โมรินดายังคงเป็นธุรกิจที่ทุกคนมีความเชื่อมั่นว่า จะสามารถฝากชีวิตไว้กับที่นี้ได้ด้วยเช่นกัน”


“วิภารัตน์” กล่าวทิ้งท้ายอีกว่า ในปี 2557 นี้ มองว่า การแข่งขันของธุรกิจขายตรง จะเริ่มเห็นการใช้ในเรื่องของเงินเป็นตัวแปรที่สำคัญ ในการสร้างแรงจูงใจให้คนเข้าไปร่วมธุรกิจอย่างแน่นอน แต่ทั้งนี้เชื่อว่าแผนการตลาดทุกแผน คงไม่ได้แตกต่างกันมากเท่าไหร่ ซึ่งจะอยู่ที่วิธีการในการนำเสนอเท่านั้น ขณะเดียวกัน ในเรื่องของผู้นำ ที่มีการย้ายค่ายไปมาก็คงมีอยู่เหมือนเช่นที่ผ่านมาเช่นเดิม ซึ่งสิ่งที่ผู้ประกอบการควรที่จะทำในตอนนี้คือ การที่จะทำอย่างไรให้ผู้ที่จะเข้ามาร่วมธุรกิจเกิดความเชื่อมั่นนั่นเอง


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

‘อำพล’ช็อกบอร์ดขายตรงไม่ลงตัว เตรียมปฏิรูปสคบ.ใหม่สร้างศรัทธา







1 (Mobile)

 


ผ่าปฏิบัติการล้างบางขายตรงนอกรีด เลขาธิการสคบ.คนใหม่ “อำพล วงศ์ศิริ” เปิดใจผ่านสื่อขายตรงยอมรับที่ผ่านมา สคบ.ทำงานช้า ล่าสุดประกาศเตรียมทำงานในเชิงรุกพร้อมป้องปราบผู้ที่กระทำผิดตั้งแต่ต้นน้ำหวังถอนรากถอนโคน...ส่วนกรณีมีบางบริษัทสวมสิทธิ์ซื้อใบอนุญาตธุรกิจ “อำพล” ชี้ชัดผิดกฎหมายชัวร์...พร้อมช็อก! หลังพบเห็นบอร์ดขายตรงรักษาการนานผิดปกติ เตรียมเร่งสรรหาบอร์ดขายตรงคนใหม่แทนชุดเก่า


หลังจากที่ทาง “สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค” หรือ สคบ. ได้มีการปรับเปลี่ยนตำแหน่งเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคคนใหม่ มาเป็น “อำพล วงศ์ศิริ” ไปเมื่อไม่นานมานี้เอง...ล่าสุดทางด้านเลขาธิการคนใหม่เริ่มเครื่องร้อน ประกาศเตรียมที่จะยกเครื่องการทำงานของ สคบ.ใหม่แบบหมดเปลือก!...


ซึ่งเมื่อช่วงที่ผ่านมา ทาง “อำพล วงศ์ศิริ” เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ก็ได้ออกมาให้เหล่าสื่อมวลชนในธุรกิจขายตรงร่วมสัมภาษณ์ถึงนโยบายของ สคบ.นับจากนี้ พร้อมกับภารกิจเร่งด่วนที่จะช่วยยกระดับอุตสาหกรรมขายตรง


‘อำพล’รับสคบ.ทำงานช้า


เตรียมพร้อมปฏิรูปงานใหม่


อย่างไรก็ตาม ทางด้าน “อำพล” ได้เปิดเผยว่า ที่ผ่านมาต้องยอมรับว่า หน่วยงานของ สคบ. การทำงานค่อนข้างที่จะล่าช้า ซึ่งเป็นการทำงานในเชิงตั้งรับ ด้วยเหตุนี้เอง ทำให้ประชาชนจึงไม่ได้รับความเป็นธรรมในการบริโภคต่าง ๆ ที่มาร้องที่ สคบ. เท่าที่ควร โดยหลังจากที่ตนเองได้เข้ามารับหน้าที่เลขาธิการสคบ. คนใหม่นั้น ทางด้านนายสันติ พร้อมพัฒน์ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ได้มีการกำชับให้สคบ. นั้น ทำงานในเชิงรุก และป้องปราบผู้ที่กระทำผิดตั้งแต่ต้นน้ำ


“การทำงานของ สคบ. นับจากนี้ จะเป็นการดูแลผู้บริโภคตั้งแต่ต้นน้ำนั่นก็คือ ทำอย่างไรที่จะให้ผู้ประกอบการนั้น เมื่อมีการนำเสนอขายสินค้าไปยังผู้บริโภคแล้ว จะต้องเป็นผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ และคุ้มค่าต่อราคาที่ผู้บริโภคซื้อและมีประโยชน์จริง พร้อมกับต้องคุ้มครองผู้บริโภคในระดับรากหญ้าอย่างจริงจังทั่วประเทศด้วย”


นายอำพล ยังกล่าวอีกว่า สำหรับการควบคุมดูแลในธุรกิจขายตรงนั้น สิ่งที่จะต้องทำคือ การเฝ้าระวังทั้งผู้ประกอบการและนักธุรกิจอิสระ ให้ทำธุรกิจอย่างถูกต้อง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมา สิ่งที่สคบ. เจอมากที่สุด คือ มีบางบริษัทขายตรงที่เปิดใหม่ มักจะเปิดทำธุรกิจสร้างเครือข่ายก่อนที่จะเข้ามาขอใบอนุญาต ซึ่งตรงนี้ถือเป็นเรื่องที่ผิดกฎหมาย พร้อมกันนี้ ยังมีการข่มขู่เรื่องระยะเวลาต่อหน่วยงานรัฐ ในทำนองที่ว่าต้องทำให้เสร็จภายใน 15 วัน ซึ่งตรงนี้ถือว่าไม่ถูกต้อง


เพราะความเป็นจริงแล้ว การที่จะอนุมัติให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจแบบถูกต้องตามกฎหมายนั้น จะต้องมีการตรวจสอบเอกสารหลาย ๆ อย่างให้ละเอียด ทั้งในเรื่องของแผนธุรกิจ และความน่าเชื่อถือของบริษัทด้วย ว่าการที่แต่ละบริษัทจะมีการขออนุญาตได้นั้น คุณมีสถานประกอบจริงหรือไม่ มีแหล่งที่มาของการผลิตสินค้าอยู่ที่ไหน เป็นต้น โดยจะต้องมีสินค้าจริงให้ทางสคบ. เห็นด้วย พร้อมกันนี้ ทางสคบ.ก็จะมีการลงพื้นอย่างจริงจังด้วยเช่นกัน


“ส่วนบริษัทขายตรงที่ได้มีการรับอนุญาตในการประกอบธุรกิจไปแล้วนั้น ทางสคบ. เอง มีความกังวลใจไม่น้อยเช่นกัน เนื่องจากที่ผ่านมา พบว่า มีการนำเอาบริษัทที่ได้รับอนุญาตแล้วไปเปลี่ยนเป็นผู้ประกอบการคนใหม่ ซึ่งตรงนี้ทำให้ สคบ. มีความคิดเห็นที่ว่า จำเป็นที่จะมีการเข้าไปติดตามตรวจสอบบริษัทขายตรงที่ได้รับใบอนุญาตไปแล้วในทุก 2 - 3 ปี ว่าได้กระทำอะไรนอกเหนือจากสิ่งที่จดยื่นต่อสคบ.หรือไม่ โดยหากไม่ใช่จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องยกเลิกทันที”


เลขาธิการสคบ.คนใหม่ กล่าวอีกว่า ปัจจุบันนี้มีบริษัทที่กำลังอยู่ระหว่างการขอใบอนุญาตอยู่ประมาณ 50 กว่าบริษัท ส่วนกรณีของการซื้อใบอนุญาตจากอีกบริษัทหนึ่งแล้วมาทำต่อนั้น จำเป็นอย่างยิ่งที่ สคบ.จะต้องตรวจสอบใหม่ โดยหากพบว่าเป็นจริง ถือว่ามีความผิดทางกฎหมายอย่างชัดเจน ซึ่งปัจจุบันพบว่ามีอยู่หลายบริษัทที่ดำเนินการเช่นนี้ โดยในช่วงแรกทาง สคบ.จะเตือนก่อน พร้อมกับให้รีบทำให้ถูกต้องตามกฎหมาย ซึ่งหากพบว่ายังกระทำการเช่นนี้ ทางสคบ.จะดำเนินการตามกฎหมายทันที


“การกระทำดังกล่าวนี้ถือว่ามีความผิดทางกฎหมายอย่างชัดเจน โดยมีโทษปรับไม่เกิน 1 แสนบาท และจำคุกไม่เกิน 1 ปี ซึ่งหากกำลังดำเนินการอยู่โดยที่ยังไม่ได้รับการอนุญาต ก็จะถูกปรับวันละไม่เกิน 1 หมื่นบาท”


ปัจจุบันนี้ พบว่ามีประมาณ 400 กว่าบริษัทที่ได้รับใบอนุญาตแต่ไม่ได้ประกอบการจริง ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ทางสคบ.เอง ต้องรีบแก้ไขตรงนี้ ในขณะเดียวกัน ก็มีบางบริษัทที่ได้มีการถูกเพิกถอนไปแล้วเช่นกัน ส่วนบางบริษัทก็มีการยื่นหนังสือเตือนไปก่อนบ้างแล้ว


เตรียมเสนอแก้ไขกม.ใหม่


พร้อมเร่งหาบอร์ดขายตรง


และด้วยเหตุนี้เอง ที่ทำให้ทาง เลขาธิการ สคบ. คนใหม่ จึงมีแนวคิดที่จะแก้ไขกฎหมายขายตรงใหม่ โดยต้องการทำกฎหมายขายตรงให้เป็นปัจจุบันมากที่สุด และทันต่อสถานการณ์ ซึ่งที่ผ่านมา สคบ.ได้มีการเรียนไปทางท่านรัฐมนตรีไปบางแล้ว ในการแก้ไขกฎหมายขายตรง พ.ศ.2545 ในบางส่วน เพื่อให้เกิดความทันสมัยขึ้น โดยอาจจะมีการตั้งคณะทำงาน ที่มีผู้แทนทางภาคประชาชนเข้ามาช่วยคิดและแก้ไขในกฎหมายฉบับนี้ ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มคนที่มีความรู้ ความเชี่ยวชาญในส่วนต่าง ๆ เป็นต้น


ส่วนการจัดตั้งบอร์ดขายตรงชุดใหม่แทนชุดที่รักษาการนั้น นายอำพล เผยว่า ตนเองค่อนข้างตกใจเป็นอย่างมาก สำหรับบอร์ดขายตรงในปัจจุบัน เพราะถือว่าเป็นชุดที่มีการหมดวาระไปแล้วเมื่อ 2 ปี และยังคงรักษาการเช่นเดิม ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องเร่งดำเนินการสรรหาบอร์ดขายตรงชุดใหม่ที่รู้เรื่องขายตรงเข้ามาทำงานอย่างแท้จริง


พร้อมกันนี้ เลขาธิการ สคบ. คนใหม่ ยังได้กล่าวย้ำอีกว่า สคบ.จะเน้นให้ความเป็นธรรมกับผู้ประกอบการอย่างเสมอภาค โดยจะทำหน้าที่อย่างเป็นกลางที่สุด และไม่มีการไปดูแลสมาคมใด สมาคมหนึ่งเป็นพิเศษ ซึ่งการที่แต่ละสมาคมนั้น จะมีการรวมตัวกันนั้น เป็นเรื่องของผู้ประกอบการไม่เกี่ยวกับทาง สคบ. แต่อย่างใด โดยสคบ. มีหน้าที่อย่างเดียว ที่จะเป็นนายทะเบียนในการที่จะอนุมัติ สนับสนุนคุ้มครองผู้ประกอบการ คุ้มครองผู้บริโภคและคุ้มครองตัวแทนขายตรงให้ทำหน้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนการบริหารจัดการในแต่ละสมาคมนั้น แต่ละสมาคมต้องไปดูแลกันเอง


“การทำงานของผมค่อนข้างที่จะยึดหลักของกฎหมายเป็นที่ตั้ง ที่สำคัญ ต้องสร้างความเป็นธรรมให้ทั้งตัวผู้บริโภคและผู้ประกอบการให้มากที่สุด พร้อมกับต้องไกล่เกลี่ยปัญหาที่เกิดขึ้นให้เร็วที่สุด ก่อนที่จะเป็นปัญหาใหญ่ ซึ่งในแต่ละปีนั้น พบว่ามีเรื่องที่ร้องเรียนหมื่นกว่าเรื่องเลยทีเดียว โดยตรงนี้เป็นสิ่งที่ สคบ. จะต้องทำอย่างไรให้มีเรื่องร้องเรียนน้อยที่สุด ที่สำคัญ ผู้ที่มาร้องเรียนอยากที่จะให้เป็นผู้ที่เดือดร้อนจริง ๆ ซึ่งหากตรวจพบว่าจริง ทางสคบ.ก็จะมีการดำเนินการให้อย่างเร่งด่วนเช่นกัน”


สคบ.จับมือดีเอสไอ


ตั้งชุดเฉพาะกิจลงพื้นที่


นายอำพล เสริมอีกว่า การทำงานของสคบ. นับจากนี้ จะเป็นการทำงานควบคู่กับหน่วยงานของทางภาครัฐอย่าง “ดีเอสไอ” ซึ่งทางดีเอสไอจะมีทีมชุดเฉพาะกิจเพื่อไปลงตรวจพื้นที่ร่วมกับ สคบ.โดยหากตรวจสอบพบว่า มีความผิดทางอาญาเกิดขึ้น ทาง สคบ. จะให้ทางดีเอสไอนั้น ดำเนินการเอาผิดทางอาญา หรืออาจจะว่าแจ้งให้ทางตำรวจ ที่อาจจะเป็นคดีที่ไม่ร้ายแรงมากนัก ให้ทางตำรวจดำเนินการในเบื้องต้น โดยจะเป็นการประสานงานกับทางกองบังคับการปราบปรามการกระทําความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภครับไปดำเนินการ


ส่วนกรณีที่ว่าทาง สคบ. จะมีการปรับโครงสร้างด้วยการให้มีกอง เป็นหน่วยงานเฉพาะเพื่อดูแลธุรกิจขายตรงโดยเฉพาะนั้น ขณะนี้ได้รับการอนุมัติแล้วให้ตั้งเป็นกอง โดยใช้ชื่อว่า “กองคุ้มครองผู้บริโภคด้านธุรกิจขายตรงและตลาดแบบตรง” โดยในอนาคตกองดังกล่าว จะต้องมีบุคลากรไม่น้อยกว่า 15 - 20 คน ในการทำงาน จากปัจจุบันที่มีอยู่เพียง 8 คนเท่านั้น


“ต้องยอมรับว่าขณะนี้บุคลากรของสคบ. มีไม่เพียงพอต่อการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นการตรวจสอบบริษัทที่ขออนุญาตประกอบธุรกิจว่ามีการประกอบกิจการจริงตามที่ได้ขออนุญาตหรือไม่ หรือมีการทำในลักษณะอื่นแทน ซึ่งปัจจุบันหากสังเกตให้ดีจะพบว่าเริ่มที่จะเห็นหลายบริษัทมีการกระทำผิด ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่สคบ. จะต้องมีการระงับก่อนที่จะสร้างความเสียหายมากขึ้นกว่านี้”


...นับว่าการออกมาพบสื่อขายตรงของทาง ท่าน เลขาธิการสคบ. คนใหม่นี้ อย่างเป็นทางการ คงจะเป็นการส่งสัญญาณถึงการทำงานของหน่วยงาน สคบ. นับจากนี้ว่า พร้อมที่จะลงพื้นที่ตรวจจริง เอาจริงเสียที แต่ทั้งนี้ ก็ยังคาดเดาไม่ได้ว่า นโยบายที่ทาง “อำพล วงศ์ศิริ” ได้ประกาศไว้จะสามารถปฏิบัติจริงตามที่ได้ลั่นวาจาไว้หรือไม่ ซึ่งก็ต้องติดตามกันต่อไป...ก็ได้แต่ภาวนาว่า สคบ. ยุคใหม่นี้ อย่าทำให้หลาย ๆ ฝ่ายผิดหวังแล้วกัน!!


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

ข่าวแด๊กซิน (Daxin Thailand) : ‘แด๊กซิน’ปีมะเมียเร่งเสริมทัพสินค้าใหม่ ดันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารขับเคลื่อนธุรกิจ







Capture (Mobile)

 


“แด๊กซิน” ประกาศพร้อมรบรับศักราชใหม่...เปิดเกมรุกเตรียมบุกตลาดสุขภาพ ล่าสุดเข็นสินค้า “บี มอรร์ พลัส” สำหรับสุภาพบุรุษ และ “บี เนส เต้” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผิวขาวสำหรับสุภาพสตรี เขย่าตลาดเครือข่ายรับปีมะเมีย พร้อมเชื่อแจ้งเกิดได้แน่...แย้มเตรียมบุกตลาดต่างประเทศต่อเนื่องรับการเติบโต เผยความสำเร็จปี’56 เติบโตได้เพราะผู้นำ


หากพูดถึง “บริษัท แด๊กซิน (ประเทศไทย) จำกัด” คนที่อยู่ในธุรกิจขายตรงคงรู้จักกันเป็นอย่างดีแน่นอน ซึ่งตลอดระยะเวลา 18 ปีที่ผ่านมาของค่ายนี้นั้น เรียกว่าผ่านพ้นทั้งวิกฤติ และโอกาสในธุรกิจขายตรงมาอย่างมากมายทีเดียว ในขณะเดียวกัน การเติบโตของธุรกิจแด๊กซินนั้น ไม่ใช่จะเติบโตเฉพาะในส่วนของธุรกิจเพียงเท่านั้น แต่ยังสามารถสร้างเหล่าสมาชิกที่เดินเข้ามาสู่ธุรกิจ “แด๊กซิน” ให้เติบโตเช่นกัน


เห็นได้จาก ในช่วงที่ผ่านมา “บริษัท แด๊กซิน (ประเทศไทย) จำกัด” นำโดย “ทวีวงศ์ อับดุลบุตร” รองประธานกรรมการ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (ภาคเหนือ) “รูสลี กูนา” รองประธานกรรมการ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (ภาคกลาง กรุงเทพฯ และปริมณฑล) “จักรพันธ์ พร้อมมูล” รองประธานกรรมการ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (ภาคใต้) พร้อมด้วยคณะผู้บริหาร ได้จัดงาน “แด๊กซิน เอ็กซ์โปร์บูม” ภายใต้ชื่องาน “วันแห่งดาว ก้าวแห่งเกียรติยศ 2013” เพื่อเชิดชูเกียรติให้กับนักธุรกิจแด๊กซินที่ประสบความสำเร็จในช่วงที่ผ่านมา ณ ศูนย์การแสดงสินค้าและนิทรรศการไบเทคบางนา


ซึ่งงานนี้ ยังมีผู้นำในประเทศเพื่อนบ้านอย่าง มาเลเซีย ลาว กัมพูชา มาร่วมในงานครั้งนี้ด้วย เรียกว่าเป็นอีกหนึ่งงานที่ช่วยกระตุ้นการทำงานของเหล่าสมาชิก “แด๊กซิน” ได้เป็นอย่างดีทีเดียว ที่สำคัญ ในงานครั้งนี้ มีผู้ที่ขึ้นรับตำแหน่งผู้บริหารการขายระดับเพชร (DD) 20 รหัส 25 ท่านด้วยกัน พร้อมกับมีผู้ที่ขึ้นรับรางวัลศูนย์ขยายงานยอดเยี่ยม รางวัลสุดยอดนักขายแด๊กซิน รางวัลคลังสินค้าในใจคุณ และรางวัลคุณคือที่หนึ่งของแด๊กซินอีกด้วย


โดยทางด้าน “ทวีวงศ์ อับดุลบุตร” รองประธานกรรมการ ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด (ภาคเหนือ) บริษัท แด๊กซิน (ประเทศไทย) จำกัด ได้เผยถึงภาพรวมของธุรกิจ “แด๊กซิน” ในช่วงที่ผ่านมา รวมถึงทิศทางของธุรกิจนับจากนี้ว่า ภาพรวมของธุรกิจแด๊กซินในปี 2556 เรียกว่ายังเป็นไปตามแผนที่น่าพอใจ ส่วนหนึ่งเป็นเพราะด้วยผู้นำของแด๊กซินบางส่วนมีความแข็งแกร่งอยู่แล้ว รวมถึงการเน้นหนักในเรื่องของการอบรมเทรนนิ่งอย่างต่อเนื่อง ที่เป็นแรงขับเคลื่อนให้ธุรกิจแด๊กซินเติบโตจากปี 2555 อยู่ที่ 20%


“สินค้าหลักที่ถือว่ายังคงสร้างรายได้ให้กับบริษัทในปี 2556 นี้ ยังคงเป็นเห็ดหลินจือและกาแฟ แต่หากย้อนกลับไปเมื่อช่วง 3 ปีที่ผ่านมา อีกหนึ่งสินค้าที่เป็นตัวสร้างยอดขายที่นอกเหนือจากเห็ดหลินจือ จะเป็นในกลุ่มสินค้าเกษตร ขณะเดียวกัน จากกระแสของสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพค่อนข้างมาแรงในขณะนี้ ส่งผลให้ทางบริษัทฯ จึงได้มีการเข็นสินค้าใหม่ที่ชื่อว่า “บี มอรร์ พลัส” อาหารเสริมเพื่อการดูแลสุขภาพของสุภาพบุรุษเข้ามาทำตลาด รวมถึงการเสริมทัพ


อีกหนึ่งสินค้า ใหม่ที่ชื่อว่า “บี เนส เต้” ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารผิวขาว”


“ทวีวงศ์” เผยอีกว่า แผนงานของบริษัทฯ ในปี 2557 นี้ จะหันมาเน้นทำตลาดสินค้าเกี่ยวกับสุขภาพเป็นหลัก โดยจะเป็นการอาศัยในช่วงของเทรนด์เกี่ยวกับสุขภาพที่กำลังมาแรงอยู่ในขณะนี้เข้าถึงกลุ่มบริโภคให้ได้มากที่สุด พร้อมกับคาดว่าในปี 2557 นี้ จะมีการออกผลิตภัณฑ์ใหม่เกี่ยวกับสุขภาพเพิ่มขึ้นอีกไม่ต่ำกว่า 2 รายการด้วยกัน


“ต้องบอกว่าในช่วงที่ผ่านมา “แด๊กซิน” ถือว่าเติบโตมาจากผลิตภัณฑ์อาหารเสริมและสุขภาพอยู่แล้ว แต่ในช่วงหลังที่ผ่านมา ทางบริษัทฯ ได้หันมาให้ความสำคัญในเรื่องของสินค้าเกษตรแทน ซึ่งตลาดกลุ่มนี้ถือว่าได้รับผลตอบรับที่ดีพอสมควร แต่พอกระแสของสินค้าสุขภาพเริ่มมาแรง ส่งผลให้ทาง บริษัทฯ จึงหันมาเน้นในกลุ่มสินค้าที่เคยถนัดแทนนั่นคือผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับสุขภาพ แต่ทั้งนี้ทางบริษัทฯ ยังคงไม่ทิ้งสินค้าในกลุ่มของเกษตรอย่างแน่นอน”


สำหรับนโยบายการบุกตลาดต่างประเทศนั้น “ทวีวงศ์” กล่าวเสริมว่า ขณะนี้ทางบริษัทฯ ได้มีการวางระบบการบริหารจัดการไว้ทั้งหมดแล้ว ซึ่งปัจจุบันได้มีการโฟกัสไปที่ประเทศมาเลเซีย ที่ได้มีการเปิดดำเนินการมาแล้ว 5 ปี นอกจากนี้ยังมีที่ประเทศลาวที่จัดตั้งเป็นบริษัทแล้ว และประเทศกัมพูชาที่กำลังอยู่ในระหว่างการดำเนินการ โดยในกัมพูชา จะเป็นการเปิดในรูปแบบของคลัง เป็นศูนย์กระจายสินค้าของสมาชิก ส่วนในประเทศอินโดนีเซียและบรูไนนั้น จะเป็นการกระจายสินค้าที่มาจากประเทศมาเลเซีย


“ตลาดแด๊กซินในประเทศมาเลเซียนั้น หลังจากที่ดำเนินธุรกิจมาได้ประมาณ 5 ปี เรียกว่าในปี 2556 นี้ ถือเป็นปีที่แด๊กซินมีอัตราการเติบโตที่ดีค่อนข้างมาก ที่สำคัญแด๊กซินเอง ยังเป็นผู้ที่นำเข้าสินค้าเกษตรปุ๋ยออร์แกนิครายใหญ่ที่สุดในประเทศมาเลเซียที่นำเข้าจากประเทศไทยอีกด้วย”


สำหรับสาเหตุที่บริษัทฯ เข้าไปบุกตลาดในประเทศมาเลเซียนั้น ส่วนหนึ่งเป็นเพราะด้วยปัจจัยในเรื่องของความพร้อมของแม่ทีม รวมถึงฐานสมาชิกที่เริ่มเติบโตอย่างต่อเนื่อง ซึ่งในตลาดมาเลเซียนั้น มีสินค้าที่ทางบริษัทฯ นำเข้าไปทำตลาดอยู่ 2 กลุ่มด้วยกัน โดยมีแผนที่จะมีสินค้าให้ครบทั้ง 5 กลุ่มในอนาคตอันใกล้นี้ ซึ่งยอดขาย 120 ล้านบาทในประเทศมาเลเซียนั้น ส่วนใหญ่จะมาจากสินค้าเกษตรถึง 80% ด้วยกัน


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

วัดกึ๋นขายตรงข้ามชาติปีมะเมีย ใครเด่น-ใครรองในสมรภูมิรบเมืองไทย







mlm (Mobile)

 


ซูมความพร้อมขายตรงข้ามชาติน้องใหม่บุกไทย...หลังพบหลายค่ายตอกเสาธุรกิจหวังเจาะตลาดขายตรงเมืองไทยแบบเต็มแม็กซ์ ทั้งเกาหลี-มาเลเซีย-ฮ่องกง-อเมริกัน เชื่อทุกค่ายที่เข้ามาต่างมีดีไม่แพ้กัน อยู่ที่กึ๋นใครจะสร้างความโดดเด่นได้มากกว่ากัน...ระบุ! ขายตรงข้ามชาติเก่าที่เคยมาเจาะตลาดในเมืองไทย พบมีหลายค่ายเป๋ไม่เป็นท่า เหตุเพราะยังไม่รู้ลึกซึ้งถึงตลาดขายตรงเมืองไทยดีพอ พร้อมมีบางค่ายทำธุรกิจผิดรูปแบบ


นับว่า “ตลาดขายตรงเมืองไทย” ในช่วงที่ผ่านมา ต้องยอมรับว่า เป็นตลาดที่ค่อนข้างจะหอมหวานอย่างมากทีเดียวสำหรับ “ธุรกิจขายตรงข้ามชาติ” เพราะมีหลาย ๆ ชาติต่างออกมาชิมลางหวังที่จะร่วมชิงแชร์ “ตลาดขายตรงเมืองไทย” อย่างอุ่นหนาฝาคั่งอย่างมาก ซึ่งมีทั้ง “บริษัทที่สมหวัง” และ “ไม่สมหวัง” ในตลาดขายตรงเมืองไทยค่อนข้างมากทีเดียว


ทั้งนี้ หากมองดูถึงความเคลื่อนไหวของ “บริษัทขายตรงข้ามชาติ” ที่เข้ามาบุกตลาดเมืองไทยในช่วงปี 2556 ที่ผ่านมาแล้ว พบว่า มีหลายค่ายกระโดดเข้ามาสร้างกระแสกันอย่างมากมาย ซึ่งทีมข่าว “ตลาดวิเคราะห์” ขอฉายภาพความเคลื่อนไหวของบริษัทขายตรงข้ามชาติที่หันหัวเรือรบมาเจาะตลาดในเมืองไทยให้ทราบพอสังเขป ดังนี้


 ขายตรงอเมริกันบุกไทย


หวังตีตลาดดึงคนร่วมธุรกิจ


...ขอเริ่มเจาะขายตรงข้ามชาติที่เข้ามาเปิดตลาดเมืองไทยในช่วงปี 2556 ที่ผ่านมา นั่นก็คือ “ออร์กาโน่ โกลด์” ขายตรงสายพันธุ์อเมริกัน ที่ได้ออกมากระทุ้งตลาดขายตรงเมืองไทยด้วยสินค้าในกลุ่มของ “กาแฟ” เป็นตัวขับเคลื่อนตลาดในเมืองไทย พร้อมกับการสู้ธงรบด้วยแผนตลาดแบบไบนารี่


ซึ่งต้องบอกว่า ขายตรงน้องใหม่ค่ายนี้นั้น เพียงแค่เริ่มต้นของการเข้ามาเหยียบขายตรงในตลาดเมืองไทย ก็เกิดกระแสของข่าวลือทางด้านลบไปแบบเบา ๆ ในเรื่องของการขอใบอนุญาตที่มีข่าวลือหึ่งว่ายังไม่ครบขั้นตอน จนทำเอาค่ายนี้ได้ออกโรงมาแก้ข่าวลืออย่างทันควันว่า “ออร์กาโน่ โกลด์” เป็นบริษัทขายตรงที่กระทำถูกต้องตามกฎหมายอย่างชัดเจนแน่นอน!


โดยการเข้ามาของค่าย “ออร์กาโน่ โกลด์” นั้น ช่วงแรกผู้ที่ดูแลธุรกิจในเมืองไทยนั่นก็คือ “ภูเชษฐ์ เผดิมปราชญ์” แต่พอหลังจากนั้นไม่นาน ความสั่นคลอนของขายตรงข้ามชาติรายนี้ ก็เริ่มที่จะไม่นิ่ง นั่นก็คือ ได้มีการเปลี่ยนแปลงตัวผู้ที่ดูแลธุรกิจในเมืองไทยใหม่มาเป็น “ศุภชาติ อังคสุวรรณศิริ”


นับว่าการเริ่มต้นยกแรกของการบุกตลาดขายตรงในเมืองไทยของขายตรงสัญชาติอเมริกาอย่าง “ออร์กาโน่ โกลด์” นั้น เรียกว่ายังไม่สามารถที่จะสร้างกระแสของธุรกิจได้มากเท่าที่ควร ส่วนหนึ่งอาจจะเป็นเพราะด้วยความไม่พร้อมในเรื่องขององค์กรภายใน รวมถึงแนวทางในการทำตลาดที่ยังไม่ค่อยทะลุทะลวงสำหรับตลาดในเมืองไทยนั่นเอง!


ที่สำคัญ ในการใช้สินค้ากลุ่มกาแฟ เพียงตัวเดียวในการขับเคลื่อนธุรกิจก็ยังถือว่า ยังไม่โดดเด่นเท่าที่ควรอีกด้วย อาจจะเรียกว่าไม่สามารถที่จะตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภครวมถึงสมาชิกในเมืองไทยได้นั่นเอง...โดยปัจจุบัน เทรนด์ของสินค้าสุขภาพในธุรกิจขายตรงค่อนข้างที่จะมาแรง ซึ่งหากทาง “ออร์กาโน่ โกลด์” ยังมีสินค้าเพียงกลุ่มเดียวในการขับเคลื่อนธุรกิจแล้วล่ะก็ เชื่อว่าการทำตลาดในเมืองไทยนับจากนี้ ของค่ายนี้ต้องเหนื่อยชนิดที่ว่า “เข็นครกขึ้นภูเขา” อย่างแน่นอน


…เช่นเดียวกับอีกหนึ่งน้องใหม่ขายตรงข้ามชาติอย่าง “ซีสเซิล” ขายตรงสัญชาติอเมริกัน ที่กระโดดเข้ามาเจาะตลาดขายตรงในเมืองไทยเช่นกัน โดยน้องใหม่ค่ายนี้ได้เริ่มดำเนินธุรกิจขายตรงมากว่า 3 ปีแล้ว ซึ่งในช่วงตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ในตลาดเมืองไทยของค่ายนี้นั้น พบว่า อาจจะเรียกว่ายังไม่สามารถที่จะจุดกระแสของเครือข่ายในเมืองไทยได้เท่าที่ควร ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะในเรื่องของสินค้า แผนการตลาดที่อาจจะยังไม่โดนใจสมาชิกในเมืองไทยก็เป็นได้


พร้อมกันนี้ ทาง “ซีสเซิล” เอง ยังประกาศที่จะขอเป็นศูนย์กลางในการขยายธุรกิจสู่ตลาดอาเซียนอีกด้วย รวมถึงเตรียมที่จะเน้นตลาดเชิงรุกเพื่อสร้างการรับรู้ทั้งในเรื่องของสินค้าและแบรนด์ตามช่องทางต่าง ๆ ด้วย พร้อมกับการชูความพร้อมของบริษัท ในเรื่องของสินค้าที่มีคุณภาพ แผนการจ่ายผลตอบแทนที่แข็งแรง รวมถึงมีผู้ก่อตั้งที่มีประสบการณ์จากธุรกิจกว่า 30 ปีอีกด้วย


 จับตาแบรนด์ขายตรงเอเชีย


เตรียมรุกคืบตลาดเมืองไทย


…หลังจากที่พบว่า “ขายตรงข้ามชาติ” อย่าง “อเมริกัน” ถือเป็นอีกหนึ่งสัญชาติที่เข้ามาบุกตลาดในเมืองไทยค่อนข้างมาก มาวันนี้ยังพบอีกว่า บริษัทขายตรงที่เริ่มคืบคลานเข้ามาในเมืองไทยบ้างแล้ว นั่นก็คือทางฝั่งของประเทศในแถบเอเชียและประเทศเพื่อนบ้านเรานั่นเอง


เห็นได้อย่างขายตรงน้องใหม่อย่าง “มายบิซ” ที่ออกมาเขย่าตลาดขายตรงในเมืองไทยด้วยการเข็นสินค้าเครื่องสำอางจากแดนกิมจิ เข้ามาตีตลาดในเมืองไทยเกาะกระแสของเกาหลีฟีเวอร์...โดยขายตรงน้องใหม่ค่ายนี้นั้น ได้ออกมาชูจุดเด่นของธุรกิจตัวเองตรงที่ว่า เป็นธุรกิจขายตรงแนวใหม่ที่แตกต่างจากที่อื่น ๆ โดยมีการเพิ่มช่องทางการลงทุนในระบบแฟรนไชส์ ที่เน้นเปิดกว้างทางด้านการสร้างรายได้


อีกทั้งยังชูในเรื่องของแบรนด์สินค้าความงามในระดับพรีเมียมจากประเทศเกาหลีใต้ที่ได้รับลิขสิทธ์เจ้าเดียวในการทำตลาดในเอเชียอีกด้วย โดยสินค้าที่ถือเป็นหัวหอกในการทำตลาดของค่ายนี้นั้น คือ กลุ่มต่อต้านความชรา หรือ Ani-Aging ภายใต้แบรนด์ L,ENCLOS (ลองคอส) โดยเป็นผลิตภัณฑ์ในรูปแบบสเปรย์


ที่สำคัญ ยังพบอีกว่า ค่ายนี้นั้น ยังได้มีการใช้คอนเซ็ปต์ในการดำเนินธุรกิจออกเป็น 3 ประการด้วยกัน คือ


1.มายบิซ เป็นผู้สร้างทีมงานการตลาดผ่านระบบเครือข่าย


2. แฟรนไชส์ความงามภายใต้แบรนด์โชวาโย ซึ่งเป็นสถาบันเพื่อความงาม ดูแลผิวหน้า ผิวพรรณ และ


3. สถาบันฝึกอบรมครบวงจร อินสไตล์ อคาเดมี พร้อมกับการเน้นทำงานเชิงระบบ ทั้งทางออนไลน์และออฟไลน์


จะเห็นได้ว่า การเข้ามาเขย่าตลาดขายตรงที่เมืองไทยของค่ายนี้นั้น พบว่า จะเป็นการชูความโดดเด่นของสินค้าแบรนด์เกาหลี ที่ถือว่าเป็นจุดขายของค่ายนี้นั่นเอง ซึ่งก็ต้องดูว่าในปี 2557 นี้ น้องใหม่ค่ายนี้จะสามารถสร้างความโดดเด่นในเรื่องของสินค้าแบรนด์เกาหลีได้มากน้อยเพียงใด เพราะปัจจุบันนี้ต้องยอมรับว่าสินค้าแบรนด์เกาหลีค่อนข้างที่จะมีอยู่เกลื่อนบ้านเกลื่อนเมืองโดยเฉพาะในประเทศไทย


นอกจากนี้ ยังมีในส่วนของบริษัทขายตรงน้องใหม่จากแดนกิมจิ ที่เข้ามาเจาะตลาดขายตรงในเมืองไทย ภายใต้แบรนด์ว่า “รูอัน” โดยได้มีการยึดพื้นที่ ณ อาคารอโยธยา ทาวเวอร์ ชั้น 19 ย่านรัชดาภิเษก เป็นฐานรบในการขยายตลาดที่เมืองไทย


ซึ่งสินค้าในการเจาะตลาดที่เมืองไทยของค่ายนี้นั้น จะเป็นในกลุ่มของการต่อต้านความชรา Anti-Aging ที่มีชื่อว่า “MONG-NIS Skin Vitalizing Essence” โดยเป็นสเปรย์ เซลล์บูสเตอร์สารสกัดจากธรรมชาติ พร้อมกันนี้ ทางค่าย “รูอัน” เอง ยังมีแผนที่จะนำเข้าสินค้าจากประเทศเกาหลี เข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอย่างต่อเนื่องอีกด้วย รวมถึงเตรียมแผนที่จะสร้างการรับรู้ต่อผู้บริโภค ในรูปแบบการสื่อสารทางการตลาดที่ครบเครื่องด้วย


โดยการขยายฐานธุรกิจของ “รูอัน” นับจากนี้ ที่นอกเหนือจากในประเทศไทยแล้วนั้น ยังตั้งเป้าที่จะขยายไปยังประเทศสหรัฐอเมริกา แคนนาดา รวมถึงตลาดอาเซียน อาทิ เวียดนาม มาเลเซีย อีกด้วย นับเป็นอีกหนึ่งขายตรงข้ามชาติที่เตรียมความพร้อมในการสู้ศึกรอบด้านที่เมืองไทยอย่างเต็มอัตราศึกกันเลยทีเดียว


…ด้านขายตรงจากประเทศฮ่องกงอย่าง “มาร์เวลแมกซ์” ถือเป็นอีกหนึ่งค่ายที่กระโดดเข้ามาเจาะตลาดขายตรงในเมืองไทยเช่นกัน!...โดยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้นั้น ประเทศไทยถือเป็นประเทศแรกที่ขายตรงค่ายนี้เข้ามาทำตลาด ที่สำคัญ ค่ายนี้ยังได้มีการประกาศเป้าหมายที่จะตีตลาดในประเทศจีน และรัสเซียในลำดับต่อไปอีกด้วย


โดยกลยุทธ์ที่สำคัญ ในการขับเคลื่อนธุรกิจของค่าย “มาร์เวลแมกซ์” นั้น พบว่า ได้มีการเตรียมไว้ 3 แนวทางด้วยกัน คือ กลยุทธ์ที่


1. การสร้างมาร์เวลแมกซ์ให้เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง (Know us) ผ่านช่องทางสื่อประชาสัมพันธ์ การฝึกอบรม กลยุทธ์ที่


2. การนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพและหลากหลาย และแผนการจ่ายผลตอบแทนที่น่าดึงดูดมา


เป็นตัวนำให้ทุกคนสนใจในแบรนด์ (Like us) และ


3. การสร้างความมั่นใจ (Believe us) ด้วยศักยภาพด้านเงินทุน การบริหารงาน และทีมงาน


ที่เป็นมืออาชีพ พร้อมกับการชูจุดเด่นทางด้านระบบเครือข่ายภายใต้ชื่อว่า “Promax” ที่จะช่วยให้สมาชิกทุกคนประสบความสำเร็จ


นับได้ว่า การเข้ามาเจาะตลาดในเมืองไทยของ “มาร์เวลแมกซ์” ในครั้งนี้ หากจะมองว่าง่ายก็ไม่ง่าย และหากจะมองว่ายากก็ไม่ยากนัก ซึ่งหากวันนี้ “มาร์เวลแมกซ์” มีสินค้าที่โดนใจ รวมถึงสามารถเข้าถึงกลุ่มเครือข่ายได้ชนิดที่ว่าตรงจุดแล้ว เชื่อว่า ความพร้อมของค่ายนี้ที่มีทั้งในเรื่องของสินค้า แผนการตลาด รวมถึงการสนับสนุนทางด้านต่าง ๆ ของบริษัทแม่ที่พร้อมจะสนับสนุนอย่างเต็มที่แล้ว ก็น่าที่จะทำให้ “มาร์เวลแมกซ์” สามารถที่จะเข้าไปครองใจคนเครือข่ายที่เมืองไทยรวมถึงผู้บริโภคในเมืองไทยได้ด้วยเช่นกัน


...ส่วน “บริษัท เออาร์เอส โกลบอล เน็ทเวิร์ค ไทยแลนด์ จำกัด” ก็เป็นอีกหนึ่งขายตรงน้องใหม่ที่กำลังเตรียมบุกหนักในประเทศไทยเช่นเดียวกันกับขายตรงน้องใหม่ข้ามชาติรายอื่น ๆ ซึ่งขายตรงค่ายนี้เป็นขายตรงที่มาจากประเทศมาเลเซีย โดยมีเป้าหมายในปีแรก คือ เตรียมปั้นผู้นำเงินแสน


ซึ่งขายตรงข้ามชาติที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทยส่วนใหญ่แล้ว จะบอกเป็นเสียงเดียวกันว่า ค่อนข้างที่จะมีความเชื่อมั่นในศักยภาพตลาดขายตรงที่เมืองไทย เช่นเดียวกันกับค่ายนี้


โดยจุดแข็งและความพร้อมของ “เออาร์เอส” นั้น พบว่า เป็นการชูจุดแข็งในเรื่องของระบบการจ่ายผลตอบแทนให้แก่สมาชิกในระบบออโต้ ไม่ต้องรอ 15 วัน รวมถึงเรื่องของราคาสินค้าที่ขายในประเทศไทยจะมีราคาถูกกว่าที่มาเลเซีย และการลงรหัสจะสูงกว่าที่มาเลเซียอีกด้วย ที่สำคัญ การเปิดตัวสำนักงานแห่งใหม่ย่านลาดพร้าว ยังถือเป็นอีกหนึ่งการตอกย้ำความพร้อม และความตั้งใจในการเติบโตของ “เออาร์เอส” ในประเทศไทยด้วย


 จับคลื่นขายตรงข้ามชาติเก่า


หลายค่ายเร่งปรับกลยุทธ์รับศึก


...ทั้งนี้ หากมองย้อนดูถึงบริษัทขายตรงข้ามชาติที่เข้ามาสร้างกระแสในเมืองไทยชนิดที่ว่าดังแบบกระหึ่มโลกเครือข่ายมาแล้ว คงหนี้ไม่พ้นค่าย “อาเจล” อย่างแน่นอน เพราะถือเป็นบริษัทขายตรงข้ามชาติที่ในช่วงที่ผ่านมา มีคนกล่าวขานกันอย่างมากทีเดียว ทั้งในด้านบวกและในด้านลบ


โดยวันนี้ขายตรงค่ายนี้ หากลองจับคลื่นธุรกิจแล้ว เริ่มอยู่ในขั้นโคม่าเลยก็ว่าได้ เพราะเจอพิษปัจจัยลบในธุรกิจต่าง ๆ รอบด้าน กระหน่ำเข้ามาในธุรกิจอย่างเต็มแรง ทั้งในเรื่องของความไม่พร้อมในเรื่องขององค์กร การไหลออกของเหล่าแม่ทีมเบอร์ต้น ๆ ด้วยแล้ว ยิ่งทำให้ค่ายนี้เห็นทีคงต้องกลับมาคิดทบทวนการทำตลาดในเมืองไทยใหม่ว่า ควรที่จะต้องพลิกกลยุทธ์ใหม่ในการทำตลาดแบบไหนถึงจะสามารถอยู่ในเครือข่ายที่เมืองไทยได้


...เช่นเดียวกับทางด้านค่าย “บีฮิป” ที่ไม่ต่างอะไรกับ “อาเจล” ที่ ก็เริ่มออกอาการเป๋ของธุรกิจเช่นเดียวกัน ที่มีการปรับเปลี่ยนผู้บริหารที่ดูแลตลาดในเมืองไทยแบบจนหลายคนมึนงง ว่าตกลงใครคือ ผู้ที่ดูแลตลาดในเมืองไทยกันแน่ จนในที่สุด ก็พบว่า ผู้ที่เข้ามาเป็นซีอีโอของค่ายนี้คนล่าสุดนั่นก็คือ ดารานักแสดงหนุ่มชื่อดัง “ฟลุค-เกริกพล มัสยวานิช” นั่นเอง..ซึ่งการเข้ามานั่งบริหารงานในครั้งนี้ เชื่อว่าน่าที่จะมีหลายคนตั้งคำถามเป็นหางว่าวอย่างแน่นอนว่า ซีอีโอ คนใหม่นี้รู้ลึก รู้จริง ถึงแก่นแท้ของการทำธุรกิจขายตรงพอหรือไม่?..


โดยโจทย์ที่สำคัญ ของการทำธุรกิจขายตรงของบีฮิปสำหรับ ซีอีโอคนใหม่นี้ คือ จะทำอย่างไร ให้ “บีฮิป” ประเทศไทย สามารถก้าวเดินได้อย่างไร้คำครหานั่นเอง...เพราะวันนี้ทั้ง “อาเจล” และ “บีฮิป” อาจจะเรียกว่าตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันคือ “กินไม่เข้า คายไม่ออก” นั่นเอง เพราะเจอวิกฤติเดียวกัน คือ แม่ทีมเบอร์ต้น ๆ ไหลออกแบบสายฟ้าแลบ


จะเห็นได้ว่า การสร้างกระแสของ “ธุรกิจขายตรง” โดยเฉพาะขายตรงค่ายใหม่ ๆ นี้ ในสมรภูมิรบขายตรงถือว่าเป็นสิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้เลยในธุรกิจนี้ แต่ทั้งนี้ การสร้างกระแสของธุรกิจก็ต้องอยู่ในกรอบของธุรกิจที่ตีเอาไว้ด้วยเช่นกัน ซึ่งหากค่ายไหนที่สร้างกระแสของธุรกิจอยู่นอกกรอบ กฎ กติกา แล้ว กระแสที่สร้างชนิดที่ว่าแรงแค่ไหน ก็ย่อมตกลงมาแบบสายฟ้าแลบด้วยเช่นกัน


ในขณะเดียวกัน การรู้ลึก รู้จริงเรื่องของธุรกิจขายตรงในแต่ละประเทศ รวมถึงวัฒนธรรมของประเทศนั้น ๆ ก็มีส่วนที่สำคัญด้วย เพราะเชื่อว่าหากใครที่อยู่ในถนนขายตรงนี้แล้ว คงพอที่จะมองออกมา วันนี้ขายตรงข้ามชาติที่เข้ามาตีตลาดในเมืองไทย น้อยรายนักที่จะอยู่แบบยั่งยืนได้ ซึ่งบริษัทขายตรงข้ามชาติที่ยืนยงคงกระพันได้นั่น คือ บริษัทยักษ์ใหญ่ที่มีความพร้อมจริง ๆ


และยิ่งการสร้างกระแสของธุรกิจแบบรวยแบบข้ามคืนด้วยแล้วล่ะก็...ขอฟันธงได้เลยว่า บริษัทขายตรงประเภทนี้ มักที่จะอยู่ในธุรกิจขายตรงนี้ได้ไม่นานด้วยเช่นกัน


...เช่นเดียวกับความเคลื่อนไหวของ “ขายตรงข้ามชาติ” อย่าง “เจอเนสส์” ขายตรงสัญชาติอเมริกัน ที่ในช่วงปี 2556 ที่ผ่านมา ก็ออกมาประกาศเตรียมที่จะรุกหนักในตลาดอาเซียน โดยจะใช้ประเทศไทยเป็นศูนย์กลางของธุรกิจในภูมิภาคนี้


โดยในช่วงต้นเดือนตุลาคม 2556 ที่ผ่านมา ค่ายนี้ ก็ได้สร้างความเชื่อมั่นของธุรกิจด้วยการจัดงานภายใต้ชื่อ “Jeuunesse Expo Thailand 2013” ณ ศูนย์ประชุมนานาชาติ รอยัลคลิฟ บีช รีสอร์ท พัทยา…ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งการตอกย้ำธุรกิจว่าวันนี้ เจอเนสส์ พร้อมที่จะดันหมู่มวลสมาชิกทุกคนให้ประสบความสำเร็จในธุรกิจนี้นั่นเอง


...และนี่ก็เป็นเพียงแค่ตัวอย่างบางส่วนของบริษัทขายตรงข้ามชาติที่กำลังเตรียมเข้ามาบุกตลาดในเมืองไทย ที่สำคัญ หากมองไปอีกด้านหนึ่งของขายตรงข้ามชาติที่ได้เข้ามาชิมลางในตลาดเครือข่ายเมืองไทยก่อนหน้านี้แล้ว พบว่า ส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่กระแสจะเกิดขึ้นเฉพาะในช่วงเริ่มต้นเท่านั้น ซึ่งตรงนี้คือ อีกหนึ่งตัวอย่างที่หลาย ๆ ค่าย โดยเฉพาะน้องใหม่ที่กำลังจะเข้าหรือเข้ามาแล้ว ควรศึกษาถึงการดำเนินธุรกิจขายตรงในเมืองไทยให้ดี...เพราะหากค่ายไหนที่เดินถูกทาง เชื่อว่าโอกาสที่จะเติบโตในธุรกิจขายตรงที่เมืองไทยก็มีสูงด้วยเช่นกัน?...


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/

อันตราย!ปีม้าพยศ ขายตรงเถื่อนคืนชีพ







Capture (Mobile)

 


พิษการเมืองวุ่นเศรษฐกิจป่วน เขย่าธุรกิจขายตรง หลังพยายามแก้กฎหมายมา 2 รัฐบาล แต่สุดท้ายก็ต้องถูก “แช่แข็ง” อีกตามฟอร์ม หวั่นปีม้าพยศ ปลุกแชร์เถื่อนคืนชีพ เหตุวิกฤติทางการเมือง สร้างโอกาสคนมีอำนาจ


สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในปี 2557 นับเป็นช่วงเวลาที่ทุกฝ่าย ต้องจับตา หลังจากที่ปี 2556 ที่ผ่านมา แม้ไม่ถึงกับเจ็บปางตาย แต่ก็เกือบเอาตัวไม่รอด


ปี 2556 ถือเป็นช่วงเวลาที่ ภาคธุรกิจต้องลุ้นกันแบบราย “ไตรมาส” เนื่องจาก ตัวแปรหรือผลกระทบที่เข้ามา ล้วนแต่หนักหน่วงรุนแรง ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่ากัน


ต้นปี 2556 มองว่าผลกระทบจากการปรับค่าแรง 300 บาท จะทำให้ เอสเอ็มอี เจ๊งกันระนาว ประเมินกันว่า จะมีกิจการปิดตัวลงนับแสนกิจการ แต่ผ่านมาไตรมาส 2 เสียงร้องครวญครางก็แผ่วไป


การเดินหน้าขับเคลื่อนเศรษฐกิจ ยังฟันฝ่าอุปสรรคขวากหนามไปได้


ถัดจากนั้น ในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน วิกฤติค่าเงินบาท เริ่มเขย่าตลาดการเงิน กดดันให้ค่าเงินบาทแข็งค่ามากเป็นประวัติ การณ์ จนหลุดลงไปต่ำกว่า 29 บาท/ดอลลาร์ด้วยซ้ำ


ด้วยเหตุที่อิทธิพลของเงินทุนจากต่างประเทศ ทะลักเข้าสู่ตลาดเอเชีย จนเงินท่วมตลาดการเงิน


ทั้งแบงก์ชาติกระทรวงการคลังต่างพลิกตำรากันไม่ทัน มีการกดดันให้แบงก์ชาติลดดอกเบี้ยนโยบายลง นัยหนึ่งก็เพื่อต้องการลดการไหลเข้าของเงินทุนต่างประเทศ อีกด้านหนึ่ง ก็หวังจะอาศัย เป็นเครื่องมือในการกระตุ้นการบริโภคในประเทศ


แต่ก็ไม่ได้รับการตอบสนองจากแบงก์ชาติแต่ประการใด หนำซ้ำยังลุกลามบานปลาย กลายเป็นการเปิดศึกระหว่าง “คลัง-แบงก์ชาติ” ถึงขนาดมีข่าวลือว่า จะปลด ดร.ประสาร ไตรรัตน์วรกุล พ้นตำแหน่งผู้ว่าการ


ต่างคนต่างมุมมอง มุมมองแบงก์ชาติมองว่า เศรษฐกิจในประเทศ มีอาการร้อนแรง จำเป็นจะต้อง ระมัดระวังการจับจ่ายใช้สอยของประชาชน เนื่องจากรัฐบาล ได้ออกมาตร การกระตุ้นเศรษฐกิจออกมาหลายด้าน ทั้งบ้านหลังแรก รถคันแรก ล้วนแต่มีผลทำให้หนี้ภาคครัวเรือนพุ่งขึ้นสูง


หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจร้อนแรงเกินไป อาจนำไปสู่ภาวะ “ฟองสบู่แตก” เหมือนกับในช่วงปี 2540


ขณะที่ทางกระทรวงการคลัง กลับมองภาพรวมเศรษฐกิจเป็นหลัก เพราะรู้ดีว่า ผลจากปัญหาในยูโรโซน และสหรัฐอเมริกา ที่ลามไปถึงเอเชีย มีผลทำให้การส่งออกเริ่มประสบปัญหา


โดยในช่วงปลายไตรมาส 2 การส่งออกมีตัวเลขติดลบถึง 5.1% ถ้าไม่หันไปกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ ก็จะทำให้การขยายตัวทางเศรษฐกิจของประเทศหรือ GDP ไม่เป็นไปตามเป้าที่วางเอาไว้ที่ 5.2%


ความพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจในประเทศ รัฐบาลเชื่อว่า มาตรการทางการเงิน จะมีส่วนสำคัญที่จะทำให้ อัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจ ที่ลดลงอันเนื่องมาจากการส่งออกหดตัว จะทำให้เศรษฐกิจ ยังรักษาความแข็งแกร่งได้ต่อไป


แต่ระหว่างที่ทั้ง 2 ฝ่าย ยังเถียงกันไม่จบ หาทางออกยังไม่เจอ เดชะบุญที่สถานการณ์ทางเศรษฐกิจในสหรัฐอเมริกา เริ่มส่อเค้าว่าจะไปในทิศทางที่ดีขึ้น ส่งผลทำให้เงินทุนจำนวนมหาศาลที่หลั่งไหล ไปสู่เอเชีย เริ่มไหลกลับ ไปยังตลาดการเงินในสหรัฐฯ


ความวิตกกังวลเรื่องเงินท่วมตลาด ผ่อนคลายไปได้ระยะหนึ่ง


ครั้นเข้าสู่ไตรมาส 3 สถานการณ์กลับเลวร้ายกว่าที่คาด เพราะเงินทุนที่ไหลกลับ ไม่เพียงแต่เฉพาะเงินที่เข้ามาหาประโยชน์ระยะสั้นชั่วครู่ชั่วยาม หากแต่เป็นเม็ดเงินระยะยาว ที่ทำท่าว่าจะไหลออกไม่หยุดเช่นกัน


เข้าสู่ปลายเดือนพฤศจิ-กายน 2556 การเมืองไทยพุ่งขึ้นสูงจนปรอทเกือบแตก เนื่องจากรัฐบาล ดันทุรังเดินหน้าออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับ “สุดซอย” เพื่อหวังว่า จะเอาเงื่อนไขการนิรโทษกรรมให้กับกลุ่มที่เห็นต่าง และกลุ่มที่สนับสนุนได้รับประโยชน์ร่วมกัน ไม่เว้นแม้แต่ตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร


แต่สุดท้ายกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับ “สุดซอย” กลับกลายเป็น กฎหมาย “เรียกแขก” ที่ไม่ได้รับเชิญออกมาเกลื่อนถนนทั่วกรุงเทพมหานคร


ลุกลามบานปลาย กลายเป็นการเปิดช่องให้พรรคประชา ธิปัตย์ สบโอกาสสร้างกระแสโค่นล้มรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนนำไปสู่การ “ยุบสภา” ในที่สุด


สถานการณ์ความขัดแย้งทางการเมือง ดูจะผ่อนคลายไประดับหนึ่ง แต่เป้าใหญ่ของม็อบ กปปส. ที่มีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นแกนนำ ก็ยังปิดเกมไม่ลง เนื่องจากแกนนำหลายฝ่ายทั้งประชาธิปัตย์ และกลุ่มที่อยู่ฝ่ายตรงข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือฝ่ายอำมาตย์ มองว่า การโค่นล้มระบอบทักษิณ ยังไม่บรรลุเป้าหมาย


แม้จะมีการ “ยุบสภา” ไปแล้ว เมื่อมีการเลือกตั้งใหม่ ระบอบทักษิณก็จะกลับมาอยู่ดี


ขณะเดียวกันตัวนายสุเทพ เอง ก็ไม่ต่างอะไรกับการ “ขึ้นหลังเสือ” ที่เดิมพันด้วยข้อกล่าวหา “กบฏแผ่นดิน” รวมทั้งคดีการสั่งการก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนา ในช่วงเหตุ การณ์ปี 2553 ก็ยังอยู่ในระหว่างรอการมอบตัวกับเจ้าหน้าที่


ยุทธการตัดรากถอนโคน ระบอบทักษิณ แม้ไม่มีการประกาศให้สังคมรับรู้ตรง ๆ แต่ก็เป็นที่เข้าใจได้ว่า กปปส.มีเป้าประสงค์ หวังจะยกระดับฐานะขององค์กรขึ้นเป็นรัฏฐาธิปัตย์ ที่สามารถกุมกลไกอำนาจรัฐ ได้เสมือนหนึ่งกับรัฐบาล


มีการขอนายกรัฐมนตรีพระราชทาน โดยการอ้างเงื่อนไขในมาตรา 7


มีการตั้งสภาประชาชน เพื่อทำหน้าที่เสมือนหนึ่งสภานิติบัญญัติ


ในเวลาเดียวกัน ก็พยายามกวักมือเรียก กองทัพเข้ามาร่วมสนับสนุน การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง


โดยหวังว่าการเปลี่ยนแปลง ในรูปแบบดังกล่าว จะทำให้ประชาคมโลกมองว่า เป็นการปฏิวัติโดยประชาชน


แต่เมื่อเอาเข้าจริง ปรากฏว่า ทุกอย่างไม่ง่ายอย่างที่คิด ท่าทีกองทัพยุคนี้กลับเปลี่ยนไป จากเดิมที่ดูจะเอนเอียงไปข้างใดข้างหนึ่ง ก็เริ่มหันมายืนตรงกลาง ไม่ต่อต้านแต่ก็ไม่ส่งเสริม


แม้สถานการณ์ในยามนี้ จะมีเงื่อนไขที่หนักแน่นพอที่จะทำการปฏิวัติรัฐประหารได้ แต่เมื่อประเมินผลดีผลเสียแล้ว การปฏิวัติอาจกลายเป็นการลากเอาบ้านเมืองเข้าไปสู่ความรุนแรงอย่างที่หลายคนอาจคาดไม่ถึง


ยกเว้นเสียแต่ว่า มีการใช้ความรุนแรงจนทำให้สถาน การณ์ลุกลามบานปลาย จนไม่สามารถควบคุมได้ !


การเดินเกมรุกไล่ กดดันให้รัฐบาล “ยุบสภา” ลามไปถึงการ “ลาออก” จากรัฐบาลรักษาการ กลายเป็นโจทย์ใหญ่ของสังคม


แม้มีการออกพระราชกฤษฎีกา ยุบสภา พร้อมกับให้มีการเลือกตั้งทั่วไปในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ 2557 แต่การเคลื่อนไหวของ กปปส. ก็ยังยืนกรานอย่างหนักแน่นโดยให้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลาออกสถานเดียว


แม้การตัดสินใจตามข้อเรียกร้องจะขัดกับบทบัญญัติรัฐธรรมนูญก็ตาม


นี่คือ ปมแห่งความขัดแย้ง ที่บรรดานักวิชาการทั้งแผ่นดินมองว่า เป็นโจทย์ที่ยากที่สุดของประเทศไทย


ปัญหา ก็คือ จะปล่อยให้สถานการณ์ในประเทศไทย เป็นอยู่อย่างนี้ หรือเลวร้ายไปกว่านี้หรือไม่


ณ เวลานี้ ภาคธุรกิจ คือ “เหยื่อแห่งความขัดแย้ง” ที่ได้รับผลกระทบมากที่สุด ไม่เว้นแม้แต่ภาคธุรกิจขายตรงที่ทุกค่ายต่างถอยหลังกลับไปตั้งหลักกันใหม่


เคยมีการคาดการณ์กันว่าในปี 2556 จะมีการเติบโตไม่ต่ำกว่า 10 -12% หรือคิดเป็นมูลค่ารวมทางการตลาดไม่ต่ำกว่า 80,000 ล้านบาท


แต่เมื่อย่างเข้าสู่ไตรมาสสุดท้ายของปี ยอดขายเกือบทุกค่ายตกวูบอย่างถ้วนหน้า คิดเป็นอัตราการเติบโตจริง ๆ ก็คงไม่น่าจะเกิน 5%


การจะก้าวเดินไปข้างหน้า นอกจากจะต้องดูทิศทางเศรษฐ กิจทั้งในและนอกประเทศแล้ว หากแต่ยังจะต้องให้น้ำหนักกับการเมืองเป็นอันดับต้น ๆ


แม้ในรอบปีที่ผ่านมา มูลค่าการตลาดอาจไม่เพิ่มขึ้นมาก แต่สิ่งที่เห็นได้ชัด ก็คือ แม้จะมีบางกลุ่มบางค่าย เลิกราไปบ้าง แต่ในเวลาเดียวกันก็ยังมีผู้ประกอบการรายใหม่ เข้ามาทดแทนอย่างไม่ขาดสาย


นั่นย่อมเป็นคำตอบได้ดีว่า ธุรกิจเครือข่ายขายตรง ยังเป็นธุรกิจที่ทั้งนักลงทุนไทยและต่างชาติต่างเชื่อมั่นว่ามีอนาคต


ปัญหาที่ต้องติดตามกันต่อไปก็คือ หากมูลค่าการตลาดไม่ขยายตัวมาก แต่มี


ผู้ประกอบการรายใหม่แห่มาลงสนามกันมาก แน่นอนการแข่งขันในปี 2557 นี้ก็คงดุเดือดเข้มข้น อย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้


หากสถานการณ์การแข่งขัน มีความรุนแรง สิ่งที่หลายคนกังวลกันในเวลานี้ ก็คือ หน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลอย่างสคบ.จะคุมเกมอยู่หรือไม่


เพราะจากการตรวจสอบของ “ตลาดวิเคราะห์” พบว่ายังมีหลายกิจการ เล่นนอกกติกา ยังมีหลายกิจการ อาศัยช่องโหว่ทางกฎหมาย หรือ อาศัยเอกสาร ยืนยันการทำธุรกิจจากสคบ.มาบิดเบือนเพื่อแสวงหาประโยชน์ โดยมิชอบ


ล่าสุดมีเสียงสะท้อนจากผู้ประกอบการหลายค่าย มองว่า หากสถานการณ์ทางเศรษฐกิจเป็นช่วงขาลง ประชาชนตกงาน รายได้ลดลง โอกาสที่ธุรกิจแชร์ลูกโซ่จะเติบโตเป็นไปได้สูง


ทั้งนี้ส่วนหนึ่ง เป็นเพราะ ประชาชนจะขาดความยั้งคิด ขาดการไตร่ตรอง ว่ากิจการที่เข้าไปร่วมธุรกิจนั้น เป็นกิจการที่ชอบด้วยกฎหมายหรือไม่


ประกอบกับ สถานการณ์แข่งขัน หากตลาดหดตัว กิจการขนาดกลางและขนาดเล็กจะอาศัยกลยุทธ์ ที่สุ่มเสี่ยงต่อ “มันนี่เกมส์” มากขึ้น


นับตั้งแต่ต้นปี 2556 ที่ผ่านมา มีการดำเนินคดีกับผู้ประกอบการแชร์ลูกโซ่ ไปหลายแห่ง ทั้งที่เป็นกิจการที่มุ่งเน้นการระดมทุน และกิจการขายตรงนอกรีต


แต่ก็เป็นส่วนหนึ่งของปัญหา เพราะข้อเท็จจริง ยังมีกิจการที่อยู่ในข่าย “เฝ้าระวัง” อีกเป็นจำนวนมาก


บางกิจการ เข้าหลักการฝ่าฝืนกฎหมาย ที่ต้องดำเนินคดี เพื่อเอาผิดเอาโทษหรือระงับยับยั้งไม่ให้สร้างความเสียหายแก่ประชาชนมากกว่าที่เป็นอยู่


แต่ก็เป็นที่น่าสังเกตว่าหน่วยงานภาครัฐที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย กลับไม่กล้า “ลงดาบเชือด”


ดังนั้น ปัญหาในข้อกฎหมาย จึงมิได้เป็นเพียงความชัดเจน หรือความเหมาะสมกับสถานการณ์ในเวลานี้หรือไม่เท่านั้น หากแต่ยังมีปัญหาในเรื่องการบังคับใช้กฎหมาย ที่หน่วยงานภาครัฐที่กำกับดูแล ขาดความเอาจริงเอาจัง


ปี 2556 นับเป็นปีที่วงการธุรกิจขายตรง มีการเคลื่อนไหวเพื่อแก้ไขกฎหมายมากที่สุดปีหนึ่ง เนื่องจากหลายฝ่ายมองว่า การกำกับดูแล และการส่งเสริม ยังขาดประสิทธิภาพ


ด้านการกำกับดูแล เป็นที่ชัดเจนว่า องค์กรในการกำกับดูแล ซึ่งหมายถึง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. มีภาระในการดูแลสิทธิประโยชน์ประชาชน นอกเหนือจากธุรกิจขายตรงหลายด้าน


ขณะเดียวกันหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับดูแลธุรกิจขายตรง เป็นเพียงหน่วยงานเล็ก ๆ มีบุคลากรไม่ถึง 10 คน ไม่สามารถเข้าไปดูแลกิจการขายตรงกว่า 800 แห่งได้อย่างทั่วถึง


มีความพยายามผลักดันให้มีการแก้ไขกฎหมายขายตรง ฉบับพ.ศ.2545 เพื่อยกระดับเทียบเท่า “กรม” ที่มีหน้าที่ดูแลธุรกิจขายตรงโดยเฉพาะ


นอกจากนี้ กรณีการลดช่องว่างการเอารัดเอาเปรียบระหว่างตัวแทนกับบริษัท ควรมีการแก้ไขให้เกิดความเป็นธรรม


รวมไปถึงนิยามของคำว่า “ตัวแทน” -“สินค้าขายตรง” และมาตรฐานการกำกับแผนการตลาด ควรมีคำอธิบายเพิ่มเติมให้มีความชัดเจน


ประการต่อมา ความชัดเจนในการชี้ชัดว่า ธุรกิจประเภทใดเข้าข่ายขายตรงที่ถูกกฎหมาย หรือผิดกฎหมาย ควรจะมีคำอธิบายให้ชัดเจน เพื่อเป็นแนวทางให้ประชาชนสามารถพิจารณาโดยง่าย


ด้านการส่งเสริม เป็นที่ทราบกันดีว่า ธุรกิจขายตรง เป็นธุรกิจที่มีบทบาทสำคัญในการเสริมสร้างเศรษฐกิจ มีมูลค่าการตลาดค่อนข้างสูง แต่ขาดการสนับสนุนจากภาครัฐให้เป็นธุรกิจที่ยอมรับอย่างกว้างขวาง ทำให้ทัศนคติจากประชาชนโดยทั่วไปมองว่าขาดความน่าเชื่อถือ


นอกจากนี้ เครือข่ายขายตรงในปีที่ผ่านมา มีกิจการขนาดใหญ่จำนวนมาก เริ่มวางรากฐานเพื่อก้าวไปสู่ AEC โดยการมีการขยายเครือข่ายไปยังประเทศเพื่อนบ้านจำนวนมาก แต่ในด้านยุทธศาสตร์ ภาครัฐยังไม่มีการขับเคลื่อนเพื่อสร้างมาตรฐานการกำกับดูแล เพื่อเข้าสู่มาตรฐานเดียวกัน


ธุรกิจขายตรง ยังมีโจทย์ใหญ่ ที่รอการแก้ไขอีกมากมาย โดยเฉพาะการถูกมองว่าเป็น “ธุรกิจสีเทา” ถือเป็นเรื่องที่ภาครัฐและเอกชน จะต้องร่วมมือกัน ในการสร้างกระบวนการตรวจสอบให้มีความโปร่งใส เพื่อยกระดับสู่การเป็น “ธุรกิจสีขาว” อย่างแท้จริง


แต่ก็น่าเสียดาย ที่ร่างกฎหมายฉบับแก้ไข ยังไม่ทันเข้าสู่สภา ก็มีเหตุต้อง “ยุบสภา”เสียก่อน ถือเป็น “อุบัติเหตุ” ซ้ำสอง ที่เคยเกิดขึ้นมาแล้วในยุคสมัยที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี


เพียงแต่ครั้งนี้ ต้นทุนสูงกว่าครั้งก่อน ก็คือ ต้องเสีย นายจิรชัย มูลทองโร่ย อดีตเลขาธิการสคบ. ที่ถูก “ย้ายฟ้าฝ่า” ไปนั่งตบยุงในตำแหน่งผู้ตรวจการ ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี


ขณะเดียวกัน ตัวเลขาฯ คนใหม่ คือ นายอำพล วงศ์ศิริ อดีตมือปราบ ปปท. หย่อนก้นลงบนเก้าอี้ยังไม่ทันร้อน ก็ถูกยึดสำนักงาน ต้องไปนั่งหลบภัยที่ก.พ.นนทบุรี


แม้ล่าสุด จะหวนคืนสู่ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ ปฏิบัติหน้าที่ได้ตามปกติ แต่ก็ยังต้องรอลุ้นว่า การเมืองจะเปลี่ยน แปลงไปอย่างไร


งานหลักชิ้นสำคัญ ที่ตั้งใจเอาไว้ ว่าจะมา “ล้างบ้าน” ในสคบ.ให้สะอาด ก็เลยอยู่ในอาการละล้าละลัง


คนที่อยู่ในวงการขายตรง ก็เลยอยู่ในอาการ “ฝันค้าง” อีกครั้ง เพราะสู้อุตส่าห์เพียรพยายามมาแล้วถึง 2 ครั้ง แต่ก็ต้องมีอันเป็นไปเพราะการเมือง


เห็นทีงานนี้ กฎหมายขายตรง จะกลายเป็น “กฎหมายอาถรรพ์” ที่รัฐบาลชุดไหนเข้าไปแตะเมื่อไร ก็จะต้องมีอันเป็นไป


ปัญหาที่น่าห่วงก็คือ รัฐบาลอ่อนแอ กฎหมายหย่อนยาน คนที่คิดไม่สุจริตจะได้ใจหรือเปล่า เพราะเวลานี้ ก็มีข่าวลือสะพัดไปทั่วว่า เชื้อชั่วขายตรงกำลังจะรีเทิร์น


สอดรับกับช่วงเหตุการณ์หลัง 14 ตุลา ที่คนใหญ่คนโตที่ร่วมขบวนการทางอำนาจ หลังเหตุการณ์ กลับสู่ภาวะปกติ ก็จะถูกเชื้อเชิญ ไปนั่งเป็นประธานที่ปรึกษา บริษัทแชร์ลูกโซ่ กันไม่รู้กี่บริษัท


จริงเท็จยังไง คงต้องถามคนใกล้ชิด อดีต “เจ้าพ่อกระทิงแดง” ดู


นั่นคือเรื่องในอดีต ที่เป็นรากเหง้าของแชร์เถื่อนหรือแชร์ลูกโซ่ แต่ที่แน่ ๆ ในยุคนี้ ปะหน้าเสธ.อ้าย เจ้าพ่อม็อบสนามม้านางเลิ้ง ก็มาบ่นให้ฟังว่า มีบริษัทขายตรงหลายค่าย มาเชิญไปเป็นประธาน


ส่วนเจ้าตัวจะรับหรือไม่รับไม่ทราบ ทราบแต่เพียงว่า นี่คือ วงจรแชร์ลูกโซ่ ที่มักจะเกิดขึ้นในยามสถานการณ์บ้านเมืองวุ่นวาย


แต่ก่อน กฎหมายปราบแชร์ ยังไม่มี จวบจนมาถึงยุคป๋าเปรม ก็ได้ฤกษ์ล้างบางกันขนานใหญ่ บรรดาแชร์แม่อะไรต่อแม่อะไร ก็มีอันต้องพังพาบกระเจิง


ถึงวันนี้ กฎหมายให้อำนาจเต็มมือ แต่ปัญหาก็คือ ผู้บังคับใช้ จะกล้าชักดาบออกมาฟันหรือเปล่า


เพราะหน้าฉากทางการเมือง มีการประกาศว่าต่อสู้เพื่อประชาชน แต่หลังฉาก ก็มีเกมต่อรองผลประโยชน์กับคนมีสีอยู่เนือง ๆ


 


 


 


 


Credit By : http://www.taladvikrao.com/


เห็นทีงานนี้ โจรเสื้อสูท คงเต็มบ้านเต็มเมือง

“ไอยรา แพลนเน็ต-Aiyara Planet” แตอกย้ำผู้นำ เซซามีน

AIYARA


ประกาศปีมะเล็งบุกทุกทาง


“ไอยรา แพลนเน็ต” ฉลองชัยรับปี 57 ตอกย้ำความเป็นผู้นำอาหารเสริม เอมมูร่า เซซามิน ครองใจคนไทย ปีหน้าเตรียมพร้อมปักธงสู้ ฝึกอบรมสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ โหมกิจกรรมการตลาด พัฒนาเทคโนโลยี รองรับสมาชิกกว่า 7 หมื่นรหัส


ดร.กัมปนาท บุญราศี ประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด เปิดเผยว่า บริษัทดำเนินธุรกิจมาเป็นเวลา 22 เดือน ถือว่าเป็นบริษัทน้องใหม่ที่ได้รับความสนใจ และเป็นที่รู้จักในวงการขายตรง ทั้งนี้ ไอยรา เป็นบริษัทที่ได้รับความเชื่อมั่นเรื่องแบรนด์ขายตรงและมีผลิตภัณฑ์ที่ครองใจคนไทยหลายหมื่นชีวิตคือ เอมมูร่า เซซามีน ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร สารสกัดจากงาดำ และธัญพืชสูตรพิเศษ ที่ค้นคว้าและวิจัยโดยผู้เชี่ยวชาญผลงานนวัตกรรมทางวิทยาศาสตร์ระดับโมเลกุลของไทย


“ตลอด 22 เดือน ที่ผ่านมา ไอยราสร้างความมั่นคง คุณภาพชีวิต ไอยราได้รับการยอมรับในการเป็นแบรนด์คุณภาพขายตรงไทย และผลิตภัณฑ์เอมมูร่า เซซามีน ได้กระจายไป สร้างรายยิ้ม ความสุขให้ผู้คนหลายหมื่นชีวิต วันนี้กล่าวได้ว่า ผลิตภัณฑ์ของเราเข้าไปนั่งในใจคนไทยอย่างแท้จริง…ในปี 2557 เราจะเดินหน้าด้านผลิตภัณฑ์ใหม่ต่อเนื่อง ที่และเราเป็นผู้นำเรื่องเซซามีนอย่างแท้จริง”


ดร.กัมปนาท กล่าวว่า บริษัทมีระบบฝึกอบรมที่มีประสิทธิภาพ ที่สร้างนักธุรกิจเงินแสน เงินล้านมาแล้วมากมาย ทั้งนี้ ระบบเทรนนิ่งของบริษัท มีหัวหอกสำคัญคือ อาจารย์ชาญวิทย์ เมธาชัยวุฒิ วิทยากรผู้เชี่ยวชาญในการฝึกอบรม 5 หลักสูตร ได้แก่ 1.คนที่เริ่มทำธุรกิจ จะอบรมถึงการเปลี่ยนแปลงเพื่อการเติมเต็ม 2.การพัฒนาบุคลากรในสถาบันอบรม ให้พวกเขารู้ว่าธุรกิจคืออะไร สินค้าคืออะไร 3.วิถีผู้นำไอยรา ภาวะผู้นำ 4.หลักสูตรผู้บริหาร และ 5.ชื่อคอร์สฺ ว่า We are Aiyara ทุกคนคือไอยรา ซึ่งการฝึกอบรมนี้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเพื่อรองรับการเติบโตของสมาชิกซึ่งปัจจุบันมีกว่า 7 หมื่นรหัส


“ระบบฝึกอบรมของเรา สร้างนักธุรกิจเงินล้าน เงินแสน อย่างมากมาย เราบรรลุในกาสร้างนักธุรกิจรุ่นใหม่ องค์กรรุ่นใหม่ วันนี้ด้านระบบสนับสนุนความสำเร็จ พัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนสามารถรองรับยอดขายและกิจกรรมต่างๆ ได้เป็นอย่างดี 22 เดือน ในการสร้างวัฒนธรรมไอยรา ใส่ใจ แบ่งปัน เติบโตร่วมกัน ส่งต่อจากรุ่น สู่รุ่น สวยงาม งดงาม จนถึงวันนี้ เรามีวันนี้ได้ มีผู้อยู่เยื้องหลังความสำเร็จ อาจารย์ชาญวิทย์และ คณะผู้บริหารทุกคน และผู้นำสโมสร AMRT muj บุกทะลวงทุกพื้นที่ ส่งต่อความสำเร็จให้ทีมงาน”


ประธานไอยรา กล่าวว่า แผนในปี 2557 ที่จะถึงนี้ ยังมีอีกหลายเรื่องที่บริษัทจะต้องเดินหน้าต่อไป ทั้งนี้เพื่อสร้างความสำเร็จให้สมาชิก นอกจากนี้ยังมีการจัดโปรโมชั่นส่งท้ายปี เพื่อกระตุ้นการทำงานและเป็นขวัญกำลังใจแก่นักธุรกิจ โดยเป็นการคืนกำไรรวมแล้วกว่า 300% ในการสร้างยอดผ่านสมาชิกสายตรงอีกด้วย


Credit By: banmuang.co.th

ส่องกล้องธุรกิจขายตรงปีม้า(2557) ผวาการเมืองยื้อฉุดกำลังซื้อวูบ

105_20121204141351.


ส่องขายตรงปีม้า ผู้ประกอบการหวั่นการเมืองไม่นิ่งเสี่ยงกระทบธุรกิจ ทำคนเครียดหมดอารมณ์ใช้จ่าย เร่งปรับกระบวนยุทธ์ดิ้นหนีขยายตลาดภูธร พร้อมปรับตัวสู้ก่อนเปิด AEC ขายตรงออนไลน์มาแรง หลายค่ายทุ่มงบเร่งพัฒนาหวังแทนที่ช่องทางออฟไลน์ล้าสมัย ส่วนเทรนด์สินค้าสุขภาพ ความงาม ยังฮิตตลอดกาล แต่แข่งขันด้วยนวัตกรรมและคุณภาพ ไตรมาสแรกเตรียมรับความคึกคักขายตรงไทย-เทศ แห่เปิดใหม่เพียบ


แม้ว่าปี 2556 ที่ผ่านมา จะเกิดเหตุการณ์ต่างๆ ที่เป็นปัจจัยเหนือการควบคุม ไม่ว่าจะเป็นภัยธรรมชาติต่างๆ ที่กระทบต่อชีวิตความเป็นอยู่ของผู้คน เกิดภาวะชะลอการใช้จ่าย แต่สำหรับภาคธุรกิจขายตรงก็ถือว่ามีความคึกคักสวนกระแสกับสภาวะเศรษฐกิจ ในปีนี้…แน่นอนว่าบรรดาผู้ประกอบการต่างเตรียมพร้อมรับมือกับสภาวะต่างๆ ไว้เป็นอย่างดี แต่ถึงกระนั้นหากเกิดเหตุปัจจัยอื่นที่มากระทบ โดยเฉพาะความไม่เสถียรของสถานการณ์ทางการเมือง ก็อาจทำให้เกิดผลกระทบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วันนี้ “ขายตรงบ้านเมือง” มีคำตอบ


 


การเมืองป่วนคนซื้อหดหู่


พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ผู้ดำเนินธุรกิจขายตรงของไทยแบรนด์กิฟฟารีนิ เปิดเผยว่า ปีนี้ผลประกอบการของบริษัทฯ คาดว่าจะมีรายได้รวมประมาณ 6,000 ล้านบาท เติบโตเพียงแค่ 5% เท่านั้น ซึ่งยังต่ำกว่าเป้าหมายที่เดิมที่ตั้งไว้เมื่อช่วงต้นปีที่ 7-10% แต่อย่างไรก็ตาม ก็ถือว่ายังดีที่เติบโตใกล้เคียงกับตลาดรวมขายตรงที่เติบโตประมาณ 5-7% สาเหตุมาจากปัจจัยลบหลายประการเช่น ปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัด รวมทั้งกำลังซื้อที่ลดลงจากการที่ผู้บริโภคมีภาระเพิ่มขึ้นจากโครงการรถคันแรก บ้านหลังแรก รวมไปถึงปัญหาความวุ่นวายทางการเมือง ซึ่งคาดว่าปีหน้าตลาดรวมขายตรงยังคงเติบโตประมาณ 5-7%


ในปีหน้าบริษัทฯ จึงได้ทำการปรับแผนด้วยการขยายธุรกิจไปต่างประเทศมากขึ้น เพื่อเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ทดแทน โดยไปทั้งในรูปแบบของการขายสินค้าและการทำธุรกิจรีเทลด้วยการเปิดร้านกิฟฟารีน ซึ่งได้เริ่มไปบ้างแล้วที่ดูไบ อาบูดาบี เป็นต้น ปัจจุบันรายได้จากต่างประเทศมีสัดส่วนเพียง 10% เท่านั้น


“โจทย์ปีนี้ คือ การฟื้นฟูกำลังใจของประชาชน กำลังซื้อของประชาชน ฟื้นฟูสุขภาพจิตของคนไทย สุดท้ายมันจะตอบโจทย์ว่ามันจะขายตรงโตได้เรื่อยๆ ประชาชนยังต้องการความมั่นคง ส่วนผู้บริโภควันนี้ใส่ใจคุณภาพชีวิต ใส่ใจคุณภาพ อยากมีสุขภาพที่ดี ไม่แก่ นี่ยังเป็นสิ่งที่คนยังต้องการ”


 


กระแสนออนไลน์มาแรง


นายกฤธวัช ฤทธีราวี นายกสมาคมธุรกิจขายตรงไทย และกรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ ประเทศไทย จำกัด กล่าวว่า ช่วงครึ่งปีแรก 2557 ตลาดยังมีความผันผวนอยู่มาก เนื่องจากสภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทยปี 2556 มีอัตราการขยายตัว “ต่ำกว่า” ที่เคยประเมินไว้มาก จึงส่งผลมาถึงปีหน้าด้วย โดยปัจจัยเสี่ยงหลายประการที่อาจส่งผลกระทบต่อการเติบโตของตลาดในปีหน้าไม่ว่าจะเป็นปัญหาด้านเศรษฐกิจและการเมือง จะเห็นได้ว่าเศรษฐกิจภายในและนอกประเทศยังคงไม่นิ่ง สถานการณ์การเมืองไทยยังตึงเครียด อีกทั้งความกังวลต่อภาระค่าครองชีพและหนี้ครัวเรือน อาจทำให้กำลังซื้อทรงตัว “เชื่อว่าขายตรงยังเป็นธุรกิจมีโอกาสเติบโตได้ จากปัจจัยบวก อาทิ เรื่องของสินค้า ที่ลูกค้าภักดีต่อแบรนด์อย่างเหนียวแน่น สินค้าส่วนใหญ่ในธุรกิจเครือข่ายเป็นกลุ่มผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม แม้เศรษฐกิจฝืดผู้บริโภคเป็นจำนวนมากยังยอมจ่าย สะท้อนจากมูลค่าตลาดรวมผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและเกลือแร่ 3.6 หมื่นล้านบาทเติบโต 15%”


นอกจากนี้ สื่อออนไลน์ที่เข้ามีบทบาทและมีอิทธิพลต่อกลุ่มผู้บริโภคอย่างมาก เป็นอีกช่องในการสร้างโอกาสการขาย ทำให้บริษัทต่างๆ เพิ่มสื่อออนไลน์เข้าไปในแผนการตลาด อย่างไรก็ตามยังมีผู้บริโภคอีกเป็นจำนวนมากยังเคยชินกับการเลือกซื้อสินค้าในแบบเดิม และคุ้นเคยกับการจับต้อง หรือสัมผัสสินค้าก่อนตัดสินใจซื้อ คนกลุ่มนี้ก็ยังคงใช้จ่ายในรูปแบบเดิมๆ อยู่


“เป็นยุคแห่งการเปลี่ยนถ่ายจากชีวิตอนาล็อกมาสู่ชีวิตยุคดิจิตอลอย่างสมบูรณ์แบบ ผู้ประกอบการต้องเตรียมพร้อมรับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น สำหรับการเติบโตของธุรกิจในปี 2557 บริษัทรอประเมินสถานการณ์การเมืองและเศรษฐกิจที่แน่ชัดก่อน”


 


แนะปรับตัวรับสถานการณ์


นางวิภารัตน์ รัตนพรหมมา ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท โมรินดา เวิร์ลไวด์ จำกัด กล่าวว่า ขายตรงปีนี้จะมีทิศทางที่ดีขึ้นหากการเมืองนิ่งกว่านี้ แม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ทางการเมืองที่ส่งผลกระทบกับบริษัท แต่หากทุกบริษัทรู้จักปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ก็จะเดินไปข้างหน้าได้


“ถ้าการเมืองบ้านเรานิ่ง ขายตรงจะดีกว่านี้ หลายบริษัทมีผลกระทบแม้แต่เรา แต่ช่วงที่ก่อนเกิดเกดการณ์ เราเตรียมพร้อมมาดี ประเทศไทยกำลังจะเป็นฮับอยู่แล้ว ศักยภาพต่างๆ ที่จะเป็นฮับ ไทยจะมีศักยภาพมากกว่าประเทศอื่น เราด้อยอย่างเดียวเรื่องภาษา แต่นักธุรกิจของไทยมีศัยภาพ น่าจะเติบโตได้ดี


ส่วนการทำงานของนักธุรกิจขายตรงจะเลือกและตัดสินใจมากขึ้น สิ่งหนึ่งที่เป็นไฮไลท์ในการตัดสินใจร่วมธุรกิจกับบริษัทไหน มาจากการมีสินค้าที่ดีตอบโจทย์ผู้บริโภค และสิ่งที่จะยึดเหนี่ยวสมาชิกคือการสร้างความเชื่อมั่นให้เกิดขึ้น


“สิ่งที่นักธุรกิจอยู่กับเราต้องบอกว่าเพราะสินค้า เหล่านี้มองว่าสินค้ามันดี ตอบโจทย์ เป็นแนวทางให้เขาในการทำงาน แผนการจ่ายของเรา เทรนด์ตอนนี้คนจะมองว่าไบนารี่ แต่ของเราจะมองว่าแบบเก่า แต่เราได้จ่ายคอมฯ หลายล้าน มีคนเกษียณส่วนการแข่งขันไม่พ้นเรื่องรายได้เข้ามาเป็นหลัก ผู้นำย้ายบ่อยก็ช้ำบ่อย สิ่งที่บริษัททำให้ได้คือ สร้างความเชื่อมั่นกับคนว่าเขาอยู่แล้วเติบโต วินวินทั้งสองฝ่าย”


 


เทรนด์สุขภาพ-ความงาม แรง


นายสุธีร์ รัตนนาคินทร์ ประธานกรรมการ บริษัท เอเชียสุพรีม จำกัด เชื่อว่าขายตรงปีนี้จะอัตราการเติบโตที่น่าพึงพอใจและไม่ได้โตต่ำกว่าปัจจุบัน แต่จะต้องมีการปรับฐานโครงสร้างธุรกิจ อีกทั้งปีนี้เรื่องกฎ กติกา มารยาท จะได้รับการดูแลอย่างดีจากภาครัฐ จะให้ความสำคัญและจริงจัง ทำให้ขายตรงที่ขาดคุณภาพหายไป ที่เหลืออยู่จะเป็นบริษัทที่ทำงานภายใต้กรอบจริยธรรม เป็นมืออาชีพ และการทำธุรกิจที่ตรงไปตรงมา


“ผมว่าบทบาท อย. สคบ. สรรพากร จะเข้ามาดูแลในรายละเอียดมากขึ้นให้โปร่งใส ชัดเจน ขายตรงเข้าไปเกี่ยวโยงกับทุกระดับชั้น การที่ภาครัฐเข้ามาดูแล พัฒนาการขายตรงในทางบวก ธุรกิจที่ไมได้ตั้งใจทำขายตรงระยะยาวจะหายไป ดังนั้น ปีนี้จะเห็นบริษัทขายตรงที่ขาดหลักหายไป แต่จะมีขายตรงข้ามชาติเข้ามามากขึ้น”


สำหรับคนที่จะเข้ามาในวันข้างหน้า นายสุธีร์ มองว่า ต้องมียุทธศาสตร์ กลยุทธ์ ขณะเดียวกันต้องแข็งแรง ทั้งสินค้า ระบบและทิศทาง จะทำให้ขายตรงปรับตัวภายใต้การปรับตัว อาจเกิดการชะงักงันบ้าง แต่เชื่อว่าแม้เศรษฐกิจไทยปีหน้าจะถดถอย ความไม่ชัดเจนเรื่องการเมืองและเศรษฐกิจโลก ทำให้เศรษฐกิจโดยรวมไม่ดี ที่กระทบมากน่าจะเป็นขายปลีกทั่วไป


ส่วนเทรนด์ปีนี้ยังเป็นสุขภาพและความงาม เพราะคนที่มีอำนาจซื้อก็ยังซื้ออยู่ ส่วนสินค้าเกษตรก็จะไปได้ระดับหนึ่ง มีข้อจำกัดเพราะผูกขาดกับระบบเพราะแหล่งที่มาของเงินทุน


 


เชื่อการเมืองกระทบน้อย


นางพรทิพย์ ปุตรเศรณี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แกรนด์ อินเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า ปีนี้สถานการณ์การเมืองยังคงตึงเครียด กระทบธุรกิจและเศรษฐกิจ ส่วนขายตรงนั้นถือว่าได้รับผลกระทบน้อย ซึ่งเป็นลักษณะของการกระทบบรรยากาศการซื้อขาย ส่วนการทำงานของนักธุรกิจ เชื่อว่าไม่กระทบมากนักเพราะต่างก็มีการปรับตัวตามสถานการณ์ เช่น เหตุการณ์ทางการเมืองที่เกิดขึ้นกระจุกตัวที่เมืองหลวง นักธุรกิจก็เลือกที่จะไปขยายตลาดตามต่างจังหวัดแทน การจัดประชุมต่างๆ ก็ทำที่ส่วนภูมิภาคเป็นส่วนใหญ่ ส่วนของบริษัทก็ต้องมีการปรับตัวตาม โดยเฉพาะด้านการสนับสนุนความสำเร็จของนักขายจะหันมาทำกิจกรรมที่สร้างเสริมกำลังใจและปลูกฝังการทำงานที่ถูกต้องมากกว่าจะออฟเฟอร์นอกระบบ


สำหรับเทรนด์สินค้าที่น่าสนใจปีนี้คือกาแฟ แต่ทั้งนี้ก็ต้องเป็นสินค้าที่มีความแตกต่างจากตลาดทั่วไปจึงจะสามารถขับเคลื่อนได้ ส่วนผลิตภัณฑ์สุขภาพ ความงาม ยังคงครองแชมป์แต่ก็มีคู่แข่งเยอะในตลาด ดังนั้นผู้ประกอบการควรคำนึงถึงคุณภาพและฉีกแนวออกไปจากตลาด จึงจะเกิดได้ ขณะเดียวกันเพื่อก้าวสู่ AEC ผู้ประกอบการต้องวางกลยุทธ์เตรียมพร้อมเรื่องการขนส่งและราคาที่แข่งขันในตลาดทั้งภูมิภาคนี้ได้


 


จับตาธุรกิจออนไลน์


นายวิศว์ธิชัย นำทรัพย์เจริญ ประธานบริหาร บริษัท คัดสรร อินโนเทค จำกัด กล่าวว่า ไตรมาสแรกของปีนี้ตลาดขายตรงจะมีความคึกคัก มีการสร้างสีสันมากขึ้น จากการที่มีบริษัทใหม่ๆ มาเปิดดำเนินธุรกิจทั้งบริษัทคนไทยและข้ามชาติ แต่ทั้งนี้ก็ยังคงเป็นคนกลุ่มเดิมที่เข้าไปเล่น มีการปั่นกระแสต่างๆ สุดท้ายก็ตกในวังวนแบบเดิมๆ คือ คนกลุ่มนี้จะกระโจนไปหาที่ใหม่ ส่วนทิศทางตลาดขายตรงปีนี้สิ่งที่น่าจับตามองคือขายตรงออนไลน์ที่กำลังเข้ามาแทนที่ขายตรงแบบเดิม เกิดนักธุรกิจหน้าใหม่ที่เป็นน้ำใหม่ซึ่งส่วนมากก็คือคนรุ่นใหม่ที่แสวงหาและต้องการโอกาสในธุรกิจขายตรง


“หากพูดถึงตลาดขายตรงออนไลน์เมื่อก่อนจะคิดว่ามีแค่คีย์ใบสมัครออนไลน์ จ่ายเงินออนไลน์ แต่ทราบหรือไม่ว่าศักยภาพของการตลาดออนไลน์มีมากกว่านั้นมาก ทุกวันนี้วิถีชีวิตคนเปลี่ยนไป ผู้คนหันมาสั่งสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์ จัดทำออร์เดอร์ จัดส่งสินค้า ผ่านออนไลน์ทั้งหมด สมาชิกจะเข้าออฟฟิศน้อยลง ออฟฟิศก็จะมีขนาดเล็กลง ขณะที่งบประมาณจะทุ่มเทกับการพัฒนาซอฟต์แวร์ แต่ทั้งนี้การตลาดแบบออฟไลน์ก็ยังมีอยู่แต่จะถูกกลืนด้วยการตลาดออนไลน์ไปเรื่อยๆ”


ด้านเทรนด์สินค้า วิศว์ธิชัย บอกว่า ปีนี้เน้นที่สินค้ามีนวัตกรรมมากขึ้น จะเห็นความแปลกใหม่ในเรื่องสินค้ามากขึ้น แต่สินค้านำเข้ายังเป็นที่ยอมรับมากกว่าสินค้าที่ผลิตในประเทศ ส่วนกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่น่าจับตามองคือสเต็มเซลล์ ซึ่งเป็นกระแสที่มาแรงตั้งแต่ปีที่แล้ว แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เป็นที่น่าสังเกตว่าผู้บริโภคยังไม่มีความรู้เพียงพอ เพียงแต่ฮิตตามกระแส ดังนั้นผู้ประกอบการต้องให้ความสำคัญเรื่องการให้ความรู้ที่ถูกต้อง พอๆ กับการขายสินค้า


“อยากให้ผู้ประกอบการทำธุรกิจด้วยความซื่อสัตย์ สินค้าถ้าไม่ดี ไม่มีคุณภาพ อย่าเอามาขาย อย่าใช้แผน เล่นแผน เพราะจะมีคนเจ็บตัวแน่นอน” วิศว์ธิชัย กล่าวในที่สุด


 


หวั่นหนี้สินครัวเรือนพุ่ง


นายดนัย ดีโรจน์วงศ์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เบตเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า จากแนวโน้มเศรษฐกิจในปีหน้าที่ยังไม่เห็นสัญญาณบวก รวมถึงปัญหาความขัดแย้งการเมืองยังไม่มีข้อยุติ หนี้สินภาคครัวเรือนเพิ่มสูงขึ้น คาดส่งผลต่อกำลังซื้อ “ซึมยาว” ส่งผลกระทบต่อการขยายตัวของตลาดขายตรงต่อเนื่องไปถึงปีหน้า โดยบริษัทวางเป้ายอดขายเติบโตเพียง 5% จากปกติตั้งเป้าหมายเติบโตเฉลี่ย 9% ต่อปี


“สภาพเศรษฐกิจและกำลังซื้อที่มีสัญญาณชะลอตัว มาตั้งแต่ไตรมาส 3 ที่ผ่านมา กำลังซื้อหายไปถึง 14% โดยเฉพาะลูกค้าในภาคใต้ ทั้งปีกำลังซื้อหายไปประมาณ 7% เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว เนื่องจากสินค้ามิสทินเป็นตลาดแมส กลุ่มลูกค้าหลักคือภาคการเกษตร และพนักงานโรงงาน คิดเป็นสัดส่วนถึง 50% ดังนั้นคาดว่ายอดขายในปีนี้เติบโตแค่ 6% ใกล้เคียงกับเป้าวางไว้ ถือเป็นการเติบโตต่ำสุดในรอบ 13 ปี”


สำหรับแผนธุรกิจในปีหน้าบริษัทมุ่งเน้น 2 ปัจจัยสำคัญ คือ การบริหารต้นทุน วางเป้าหมาย 2 ปีจากนี้จะต้องลดต้นทุนให้ได้อย่างน้อย 5% เพราะในภาวะที่กำลังซื้อซบเซา เครื่องสำอางซึ่งเป็นเสมือนสินค้าฟุ่มเฟือยย่อมได้รับผลกระทบทันที ดังนั้นการบริหารต้นทุนต่ำลงได้ ก็ทำให้บริษัทไม่ต้องปรับราคาสินค้าขึ้น


การปรับลดต้นทุน เน้นดำเนินการทั้ง 2 ด้าน คือ ต้นทุนสินค้าและต้นทุนประกอบการ ในแง่ของต้นทุนประกอบการจะใช้วิธีการดีลภาคการผลิตในระยะยาวขึ้น จากเดิม 6 เดือน เพิ่มเป็น 1 ปี เพื่อสามารถประกันราคาได้ตลอดทั้งปี ในส่วนของต้นทุนสินค้าจะมีการลดใช้บรรจุภัณฑ์ “กล่อง” เพราะสินค้าเครื่องสำอางบางรายการไม่จำเป็นต้องใช้กล่อง เช่น มาสคาร่า คิดเป็น 30% ของเอสเคยู การลดการใช้กล่องบรรจุทำให้ลดต้นทุนลงไปได้


“ปีหน้าเป็นปีผู้ประกอบการต้องปรับตัว ต้นทุนผลิต-ต้นทุนประกอบการ เป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ธุรกิจเติบโตได้มากหรือน้อย เพราะทั้งต้นทุนวัตถุดิบและต้นทุนแรงงาน มีการปรับเพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดในปีนี้”


คงต้องติดตามกันต่อไป หากสถานการณ์การเมืองยังไม่นิ่ง แน่นอนย่อมมีผลกระทบต่อธุรกิจขายตรงทางอ้อม นั่นก็คือ “กำลังซื้อหดหาย” ไปอย่างปฏิเสธไม่ได้นั่นเอง


 


Credit by : สุภพงษ์ เทียนสี