ปัจจุบันกระแสที่กำลังคิดคัก และน่าจับมาตอมอย่างยิ่งในธุรกิจขายตรง คงไม่พ้นเรื่องการประกาศขยายธุรกิจในต่างแดน โดยเฉพราะในแถบอาเซียนที่บริษัทขายตรงไทย “จ้องมองตาเป็นมัน” มานานหลายศวรรษ หวังเข้าไปปักหลักขยายพื้นที่ดูดเงินในกระเป๋าผู้คนในแถบนี้ พร้อมหลีกหนีการแข่งขันที่ชุลมินวุ่นวายในตลาดของขายตรงเมืองไทย ไปสร้างตลาดใหม่ที่ยังในกิ๊ก เพราะเชื่อว่า จะสามารถคอนโทรลผู้นำ นักขาย ให้อยู่ในโอวาทได้ง่ายกว่านักธุรกิจในเมืองไทย ที่นับวันจะมีวิชาแก่กล้า เพิ่มอัตราต่อรองสูงขึ้นเรื่อยๆ
การขยายตลาดในแถบกลุ่มประเทศอาเซียน โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้านของเรา ใช่ว่าจะเป็นเรื่องใหม่ที่เกิดขึ้นในวงการขายตรงไทย เพราะหลายทศวรรษที่ธุรกิจขายตรงบนผืนแผ่นดินไทย ไม่ว่าจะเป็นขายตรงข้ามชาติ ที่มาตั้งสาขา เพื่อขยายธุรกิจบนผืนแผ่นดินที่อุดมสมบูรณ์แห่งนี้ หรือ ขายตรงพันธุ์ไทย ที่เกิดจากน้ำพักน้ำแรงของผู้ประกอบคนไทย ต่างเพียรพยายามที่จะลำเลียงสินค้า ลิผนธุรกิจเข้าปปิดการขายในตลาดต่างแดนให้ได้ โดยเฉพาะกับประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งเป็นที่หมายปองของคนเครือข่ายในการขยายธุรกิจออกสู่ต่างประเทศ
หากสังเกตกันให้ดีหลายปีที่ผ่านมาพื้นที่การแข่งขันแย่งชิงความยิ่งใหญ่ในธุรกิจขายตรง ที่หลายบริษัททุ่มเทแรงกายแรงใจ และเม็ดเงินพร้อมเสริมกำลังคนเข้าไปเปิดศึกห้ำหั่นกันมากที่สุดส่วนใหญ่มักจะเป็นพื้นที่จังหวัดใหญ่ๆ ใกล้กับแนวตะเข็บชายแดน ไม่ว่าจะเป็นอุดรฯ,ขอนแก่น,อุบลฯ , หนองคาย, เชียงใหม่, เชียงราย ,สระแก้ว ฯลฯ ล้วนเป็นพื้นที่สำคัญ ที่มีการทุ่มงบเปิดคลังสินค้าให้สมาชิกในพื้นที่ เพื่อสามารถกระจายออกไปสู่มือลูกค้าในประเทศเพื่อนบ้านได้ง่ายขึ้น
ที่ผ่านมา ความปรารถนาที่จะเข้าไปขยายตลาดตมแนวขายแดนของ บริษัทขายตรไทยหลายแห่ง มักจะล้มเหลงมากกว่าสำเร็จ เพราะต้องยอมรับว่า ตลาดประเทศเพื่อนบ้าน ยังคงเป้นเพียงประเด็นรอง หรือเป็นได้เพียงแผนธุรกิจระยะยาวที่วางเอาไว้เท่านั้น หลังฐานธุรกิจมีความแข็งแกร่งมากพอแล้ว
อย่างไรก็ตามที่ผ่านมาธุรกิจขายตรงไทย ยังคงเปราะบาง เพราะไม่สามารถต้านทานการแข่งขันภายในประเทศได้ ทำให้รากฐานธุรกิจไม่มั่นคง “ตั้งมาไม่ทันไร ก้ตายโดยไร้สาเหตุ?” ทำให้ภาพธุรกิจขายตรงไทย ที่ก้าวไปปักธงบนแผ่นดินอื่นสะท้อนกลับมาในภาพของ “ความล้มเหลว” มากกว่าความ “สำเร็จ”
ทั้งนี้ ปัจจุบันก็ยังมีบริษัทขายตรงไทยหลายแห่ง พยายามที่จะเข้าไปตั้งฐานธุรกิจในตลาดต่างประเทศเหล่านี้ให้ได้ เพราะเชื่อว่า ยังมีความหวัง และความฝันที่จะสร้างธุรกิจให้เกิดขึ้นมากได้ ซึ่งความเชื่อที่เกิดขึ้น มักจะมากจากน้ำมือของบรรดาแม่ทีม ผู้นำ หรือนักขายตามแนวชายแดน ที่มักจะไปแสวงหาดอกาสเปิดตลาดทำกันเอง โดยการหอบหิ้วสินค้าข้ามฝั่ง พร้อมรูปแบบแผนการตลาดของบริษัทเข้าไปขายฝันให้กับผู้คนอีกฟากหนึ่ง เมื่อสินค้าได้รับการยอมรับในระดับหนึ่ง และยังได้แนวร่วมจากคนในพื้นที่เข้ามาเสริม ทำให้มองเห็นอกาสในการเปิดตลาดมากขึ้น
“การใช้แนวร่วมจากคนในพื้นที่เข้าไปขยายุรกิจก่อนเปิดตัว หรือ ที่เรียกกันว่า “กองทัพมด” ทุกค่ายแทบจะใช้วิธีนี้แทบทั้งนั้น เพราะถือเป็นการสำรวจความนิยม หากกระแสดี มีแรงขับเคลื่อนจากคนในพื้นที่ ก็จะมีการลงทุนลงเพิ่มแรงกระตุ้นเพื่อให้แจ้งเกิดอย่างจริงจัง แต่หากไม่ได้รับการตอบรับ ก้สามารถถอนตัวออกมาได้ทัน เนื่องจากเป็นแผนธุรกิจที่มีอัตราเสี่ยงต่ำ กับการ “สร้างโอกาสทางธุรกิจ” ในตลาดต่างประเทศในลักษณะดังกล่าว”
ทั้งนี้ ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ความหวังในการขยายฐานสมาชิกในต่างแดนของขายตรงไทย ก็ยังมีอย่างต่อเนื่อง ควบคู่ไปกับการสร้งธุรนดิจให้มีความแข็งแกร่งภายในประเทศ และดูเหมือนโอกาสจะลอยมาให้หยิบฉวย เมื่อแระแสการเตรยมความพร้อมรับมือ การเปิดการค้าเสรีประชาคมอาเซียน ของธุรกิจต่างๆ ที่จะมีขึ้นในปี 2558 กลายเป็นประเด็นที่ถูกหยิบขึ้นมาพูดคุยกันหนาหูมากขึ้นว่า ขายตรงไทย จะได้ผลประโยชนอะไร จากการเปิดการค้าเสรีในครั้งนี้
ในขณะศัยภาพของธุรกิจขายตรงไทย ไม่ด้อยไปกว่าประเทศสมาชิกที่มีอยู่ด้วยกัน 10 ประเทศ รวมถึงประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็น มาเลเซีย , ฟิลิปปินส์ , อินโดนีเซีย,สิงคโปร์, บรูไน, ลาว , กัมพูชา , เวียดนาม , และพม่า หากประเมินจากสายตาประเทศไทย มีโอกาที่จะสร้างความยิ่งใหญ่ได้ไม่น้อย แต่จะใช้ประโยชน์จากการเปิดเสรีฯ ตรงนี้ในรูปแบบไหน
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาบรรดาผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงหลายท่านมักจะออกมาพูดในทำนองเดียวกันว่า
“เป็นโอกาสของธุรกิจบริษัทที่จะมีการเตรียมความพร้อมในการขยายธุรกิจ ในอีก 3 ปีข้างหน้า ซึ่งจะมีการเปิดเสรีประชาคมอาเซียน และ จะทำให้บริษัทสามารถขยายฐานลูกค้า สมาชิก และ สินค้าไปยังประเทศในอาเซียนได้ ข้อสำคัญจะทำให้บริษัทมีอัตราการเติบโตมากยิ่งขึ้น”
ในขณะเดียวกันข้อดีของการเปิดการค้าเสรีในครั้งนี้ที่จะมีขึ้นนั้น ย่อมมีข้อที่ต้องพิจารณาถึงกรอบความน่าจะเป็นควบคู่ไปด้วยกันไม่ใช่ ทำกันเฉพาะ การอาศัยช่วงจังหวะนี้ ประโคมข่าวโหนกระแส โดยยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่า การเปิดเสรีประชาคมอาเซียนในอีก 3 ปีข้างหน้า รูปแบบการบริหารจัดการร่วมกันของ 10 ประเทศ จะมีเงื่อนไข และข้อห้ามอะไรบ้างสำหรับธุรกิจขายตรง โดยเฉพาะเรื่องแผนการจ่ายผลตอบแทน คะแนน โปรโมชั่นนต่างๆ จะขัดต่อกฏหมายของประเทศนั้นๆ หรือไม่ ที่สำคัญธุรกิจขายตรงไทยมีความพร้อมมากน้อยขนาดไหนในปัจจุบัน
ขณะเดียวกัน ประเทศในแถบอาเซียนที่ธุรกิจขายตรงประเทศไทย น่าจะเจาะกลุ่มลูกค้า และสมาชิกได้ หลายบริษัทล้วนไปสร้างฐานบัญชาการ หรือสาขาเอาไว้ และมีการขยายงานกันอยู่แล้ว จากการใช้กลยุทธ์กองทัพมด อย่างที่กล่าวมา ซึ่งการเปิดเสรีฯ น่าจะเป็นประโยชน์กับบริษัทเหล่านี้ ในเรื่องการขนส่งสินค้า และการขอใบอนุญาต
ส่วนค่ายอื่นที่ยังมีสาขาในประเทศในแถบกลุ่มประเทศอาเซียนเหล่านี้ และหวังประโยชน์จากการเปิดเสรีฯ เพียงเพราะจะใช้เป็นลู่ทางในการขยายสาขา คงต้องหวนกลับมาคิดกันใหม่เพราะเปิดไปอาจจะขยายตลาดไม่ได้ ถือเป็นเรื่องที่เสี่ยงไม่น้อยเลยทีเดียว
ฉะนั้น วันนี้การออกมาป่าวประกาศโครมๆ หวังปักธงธุรกิจในแถบอาเซียน จากการเปิดเสรีประชาคมอาเซียนที่จะเกิดขึ้นในปี 2558 ในช่วงนี้ เป็นเพียงเกมสร้งสีสัน โหนตามกระแสแค่นั้นเอง เพราะขายตรงไทย ทุกค่ายทุกบริษัท ต่างรู้ดอยู่แก่ใจว่า “โอกาสทางธุรกิจ” ในพื้นที่ต่างแดนใน 10 ประเทศสมาชิกอาเซียนนี้ มีมาก-น้องแค่ไหน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น