มีน้องใหม่ของวงการขายตรงมานำเสนอครับ ถือ เป็น้องใหม่ที่ใจถึงไม่เบา เพราะยังไม่ทันเริ่มรันธุรกิจที่นี่ลงทุนในโครงสร้างพท้นฐานไปแล้วเกิน 20 ล้านบาท
ลงอะไรไปบ้าง ทั้งสำนักงานที่แรก สินค้ากว่า 10 ตัว ระบบ Back Office ระบบโปรแกรมต่างๆ และอื่นๆ อีก “จิปาฐะ”
บริษัทนี้ใช้ชื่อว่า “มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค” หรือ แปลได้ว่า “ทางช้างเผือก”
เจ้าของอายุแค่ 40 ต้นๆ ชื่อคุณ “สุมิตร วชโรดมทรัพย์” ผู้เขียนทราบมาว่า สำเร็จในธุรกิจส่งออก ตัวเลขธุรกิจมวลรวมของตระกูลนี้ ซึ่งเป็นตระกูลของนักธุรกิจรายใหญ่ที่ค่อนข้างไม่ค่อยเปิดเผยตัวต่อสาธารณชนมากนัก
ตระกูล “วชโรดมทรัพย์” มีธุรกิจอะไรบ้าง ผู้เขียน ยังทราบไม่หมด แต่ที่โดดเด่นก้คือ ธุรกิจส่งออก โดยเฉพาะเจ้าของธุรกิจส่งออก “ผ้าไหม” ที่ว่ากันว่าติดอันดับ 1 ของโลก ส่วนธุรกิจอื่นๆ มีธุนกิจส่งออก เครื่องหนัง รีสอร์ต และ โรงแรม ที่ได้ยินมาก็ประมาณนี้
ถ้าเป็นเพราะธุรกิจส่งออกเพียงอย่างเดียว มีมูลค่าธุรกิจที่สูงพอสมควร เอาเป็นว่าตัวเลขราวๆ หมื่นล้าน
ผมได้ยินมาอีกว่า จะมีการลงทุนทำธุรกิจดรงแรมที่เมืองผู้ดี ใจกลางกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษเพิ่มในขณะนี้ ส่วนมูลค่าการลงทุนนั้นไม่ทราบตัวเลข
ที่แน่ๆ ธุรกิจของตระกูลนี้ส่วนใหญ่ผูกขาดความเป็นเจ้าของเพียงเจ้าเดียว หมายความว่า ส่วนมากไม่มีหุ้นส่วนถือหุ้นเพียวเจ้าเดียวเท่านั้น
นอกจากกลุ่มธุรกิจของตระกูล ตัวคุณ “สุมิตร” เอง นอกจากเป็นคนที่มีฝีไม้ลายมือในเรื่องของธุรกิจส่งออกแล้ว คุณ “สุมิตร” มีธุรกิจส่วนตัวคือธุรกิจส่งออกเครื่องหนัง ซึ่งธุรกิจตัวนี้ สร้างยอดขายให้คุณ “สุมิตร” นับพันล้านบาทต่อปี
ที่ผมเขียน ไม่ใช่เพราะยกยอถึงความมากมีของธุรกิจเจตนาอยู่ที่อยากให้ทราบพื้นฐานของคนที่เป็นเจ้าของ “มิลค์กี้ เวย์” ให้ผู้อ่นได้รับทราบ
เพราะเป้นที่ทราบกันดีว่า ธุรกิจขายตรง จะรวยจะจน นั้นไม่ใช้เส้นแบ่งความสำเร็จในธุรกิจนี้
จะมีก็เพียงนิดเดียวคือ ทุนนา ย่อมได้เปรียบกว่า
มีคนถามว่า เจ้าของรายนี้เข้าใจขายตรงหรือเปล่าซึ่งตัวผมนั้นคิดว่า สมัยที่เราเข้าขายตรงใหม่ๆ เรารู้เรื่องธุรกิจตัวผมนั้นคิดว่าสมัยที่เราเข้าขายตรงใหม่ๆ เรารู้เรื่องธุรกิจนี้มากน้อยเพียงไหน
ไม่ว่าเจ้าของ หรือนักขายก้เหมือนกันครับ จะเข้าใจเร็ว หรือข้า อยู่ที่ประสบการณ์ทางธุรกิจ ประสบการณ์ชีวิตและการ คลิ๊กช้า หรือ คลิ๊กเร็ว
บริษัทนี้เตรียมแต่งตัวมาตั้งแต่ปลายปีที่แล้วเริ่มทดลองระบบจริงๆ เมื่อช่วงเดือนมกราคมที่ผ่านมานี่เอง
เริ่มเนตมิตสำนักงานใหญ่ไว้ล่วงหน้าแถวพระราม 2 ได้ข่าวว่า จะเปิดสำนักงานเพิ่มอีกใจกลางเมือง เพื่อความสะดวกของสมาชิกได้มาช้อป ชม เยี่ยม และใช้บริการ
ที่ชัวร์ๆ แล้วน่าจะเป็นย่านรัชดา-พระราม 9
ผมเคยถามว่า ทำไมถึงคิดเปิดขายตรง ก็เหมือนข้อสงสัยของหลายๆคน
ไม่สงสัยไม่มีนัยแอบแฝง ถามตรงๆ ก้มีคำตอบกันตรงๆ คือ ทำเพราะขยายไลน์ธุรกิจของตัวเอง ทำธุรกิจก้ต้องเพื่อแสวงหากำไรด้วย เพราะไม่มีธุรกิจไหนเปิดแล้วไม่ต้องการกำไร หรือ ขาดทุน
แต่คำตอบที่ลึกกว่านั้นก็คือ ถ้าเราคิดทำธุรกิจให้ได้กำไร ถ้าได้กำไรอยู่คนเดียวก็อย่าทำ
ทำแล้วได้แต่ตัวเอง แต่คนที่เข้ามามีส่วนร่วมไม่ได้อะไรเลย แล้วจะทำไปทำไม เพราะสุดท้ายธุรกิจก็อยู่ได้ไม่นาน
เพราะฉะนั้น บุคลากร หรือคนที่เข้ามาร่วมอุดมการณ์ร่วมธุรกิจกับเรา เขาต้องได้ด้วยตามสัดส่วนของความสามารถ และใครที่มีความสามารถ ตั้งใจจริง รักเราจริง เราก็จ้องส่งเสริม ไม่ได้ส่งเสริมแค่เท่านั้น เท่านี้ แต่จะดูว่าใครที่อยู่กับเรานานๆ ไม่หนีไปไหน
“เราก็ต้องให้เขาเหล่านั้นดูแลธุรกิจเราต่อไป” เหมือนกับบุญคุณต้องทดแทน เพราะเราคิดว่าคนเหล่านี้มีบุญคุณกับเรา
“ไม่มีเรา ก็ไม่มีเขา ไม่มีเขา ก็ไม่มีเรา” น้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า ต้องพึ่งพาอาศัยกัน ถึงจะอยู่รอด และไปด้วยกันได้
และสิ่งหนึ่งที่ต้องไม่มีก็คือ “ห้ามโลภ” ห้ามล้วงลูกและห้ามอิจฉา วันนี้ในธุรกิจขายตรงทราบมาว่า แม่ทีมบางคน เมื่อมีรายได้เยอะมักจะโดนสกัดก็มี
ในขณะเดียวกันคึนมีรายได้เยอะ เจ้าของมีรายได้เยอะ หลงตนก็มี เราจะไม่เป็นอย่างนั้น
ครับ!! เป็นคำพูดตอนหนึ่งที่เคยได้ยินมาจากคนๆ หนึ่งทีกุมบังเหียน “มิลค์กี้ เวย์” อยู่ใน ขณะนี้ผู้เขียนมองว่า คนเราอยากที่จะเห้นความเป็นจริง หรืออยากเห็นความจริงบางอย่าง แน่นอนต้องใช้เวลาพอสมควร
“มิลค์กี้ เวย์” อนาคตจะเป็นอย่างไร ก็ต้องใช้เวลามองกัน เพราะนี้ยังถือเป็นน้องใหม่ขายตรง จะสร้างจะขยายฐานกำลังได้เร็ว ได้ช้าขนาดไหน ก็ขึ้นอยู่กับคนบริหาร
ที่สำคัญบริหารแล้ว จะมีแนวร่วมในช่วงของการเริ่มต้นที่ดีขนาดไหนด้วย สิ่งนี้ก็เป็นสิ่งสำคัญที่จะขาดเสียไม่ได้
อย่างไรก็เอาใจช่วย และยินดีต้อนรับ “มิลค์กี้ เวย์” ขายตรงน้องใหม่เข้าสู่สุดยอดวงการที่ “หิน” ที่สุด ในชั่วโมงนี้ โชคดี และเอาใจช่วยครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น