บอสใหญ่ ดนัย ประกาศจุดยืนผู้นำตลาด SLM ตลอดกาล หลังจัดงานฉลองครบรอบ 25 ปี รังสรรค์ตลับแป้งเพชร 333 เม็ด เรียงรายบนตลับที่มีมูลค่ากว่า 35 ล้าน. ควง อั้ม - พัชราภา ฉลองความยิ่งใหญ่จัดโรดโชว์กว่า 41 จังหวัด พร้อมมอบรางวัล Presenter Forever Award แด่ อั้ม ประดับประดาด้วยเพชร แทนคำขอบคุณที่ร่วมเป็นพรีเซ็นเตอร์คู่ใจ มิสทิน นานนับ 10 ปี ตอกย้ำรักนี้ไม่มีวันสลาย...เปิดยุทธศาสตร์การสร้างแบรนด์ผ่านดาราคู่ใจ ทำอย่างไรไม่มีวันดับ..!!
ฉลองครบรอบ 25 ปี มิสทิน ภายใต้บรรยากาศเรียบหรูและเป็นกันเอง...มาถึงวันนี้ การก้าวย่างของ มิสทิน ภายใต้คอนเซ็ปต์ มิสทินมาแล้วค่ะ ดูเหมือนจะครองความเป็นจ้าวตลาดตลอดกาล และไร้ซึ่งคู่แข่งในสนาม SLM แต่กับสนามขายตรง MLM ที่คอยชิงแชร์ผ่านหน้าจอทีวี ก็ต้องยกให้จ้าวตลาดอย่าง แอมเวย์ และเบอร์รองอย่าง กิฟฟารีน ที่ครองหน้าจอและชิงเรตติ้งไม่แพ้กัน
ด้วยยุทธศาสตร์สื่อนำร่อง พ่วงด้วยแบรนด์ที่ถูกสร้างมาอย่างแข็งแรง เติมเต็มด้วยพรีเซ็นเตอร์ที่จ้างมาเป็นแบรนด์แอมบาสเดอร์มาอย่างยาวนาน หากลองมองย้อนไปอดีต มิสทิน จะจองดาราฮอตมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ซึ่งผู้คนที่คอยจ้องอยู่หน้าจอ ก็จะเฝ้ามองดูว่า ปีนี้ มิสทิน จะจองดาราคนใดมาเป็น ซึ่งการคัดสรรก็จะถูกดึงมาจากความฮอตของละครช่อง 7 สี ว่านางเอกวิกนี้คนไหนจะเข้าวิน แล้วจับมาโปรโมทสื่อผ่านแบรนด์ มิสทิน อย่างเต็มรูปแบบต่อไป
ซึ่งดาราสาวที่โด่งดังค้างฟ้าในสมัยนั้น ก็หนีไม่พ้น กบ - สุวนันท์ คงยิ่ง ที่เซ็นสัญญา มิสทิน ยาวนานที่สุด แต่เมื่อลมพัดหวนมาถึงยุคสาว อั้ม - พัชราภา ไชยเชื้อ นางเอกที่ได้รับคัดเลือกเป็นพรีเซ็นเตอร์คู่กับ มิสทิน ก็ต้องหลบชิดซ้ายกันเป็นแถว เพราะ อั้ม - พัชราภา เป็นนางเอกเพียงเบอร์เดียวที่อยู่ในดวงใจ มิสทิน และครองใจประชาชนทั่วประเทศมาตลอดระยะเวลา 10 ปี จนถึง ณ ปัจจุบัน
บัดนี้ อั้ม - พัชราภา กลายเป็นแบรนด์ กลายเป็นโลโก้ มิสทิน หากเห็น มิสทิน ที่ไหน เป็นอันว่า อั้ม - พัชราภา ประกบติดอยู่ที่นั่น ซึ่งต้องยอมรับว่า การสร้างแบรนด์ด้วยการนำดารามาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ยังไม่เคยมีธุรกิจไหน ค่ายใดในยุทธจักรสินค้าอุปโภค - บริโภค สามารถสร้างแบรนด์คาแรคเตอร์สินค้า พ่วงไปกับดาราจ้าวประจำได้ ที่สำคัญถ้าสร้างและตอกย้ำกับดาราคนเดิม ๆ ผู้เสพก็จะเบื่อ และก็ต้องเปลี่ยนดาราอยู่เรื่อยไป
แต่ต่างกับ มิสทิน ที่ผูกปิ่นโตกับ อั้ม - พัชราภา ได้อย่างลงตัว เรียกว่า ถ้าโฆษณาตัวไหนขาด อั้ม ก็ต้องรีบจบโดยเร็ววัน เพราะดึงกระแสไว้ไม่ได้นาน แต่ถ้าโฆษณาตัวไหนที่มี อั้ม ผู้คนก็จะคอยจับจ้องว่า จะมีเวอร์ชั่นใหม่ออกมาอีกหรือไม่...การเดินยุทธศาสตร์ภายใต้แต้มรบนี้ เห็นทีต้องยกนิ้วให้บอร์ดบริหารผู้ก่อตั้ง อมรเทพ ดีโรจนวงศ์ ที่ปล่อยยุทธศาสตร์การสร้างแบรนด์เหนือคู่แข่ง โดยไม่ต้องพึ่งเวทีประกวดนางงามให้เสียเวลา
...แค่จับนางเอกเบอร์ 1 มาเขย่าขวดเดินไปคู่ มิสทิน เป็นอันว่า คนตั้งใจจับจ้องมองหน้าจอตัวโฆษณา มิสทิน กันทั่วบ้านทั่วเมือง
แม้ว่าหลาย ๆ แบรนด์จะปั้นดาราเพื่อต้องการสร้างความโด่งดังเคียงคู่แบรนด์อย่าง SK2ที่เลือก เจี๊ยบ - โสภิตนภา หรืออย่าง แอฟ - ทักษอร ที่เป็นพรีเซ็นเตอร์ การ์นิเย่ สร้างนางเอกเป็นแบรนด์คาแรคเตอร์ แต่ผู้คนก็ไม่ได้ติดตราตรึงใจเท่า อั้ม - พัชราภา ที่เดินเคียงคู่ มิสทิน
การสร้างแบรนด์ที่ดูจะสูสีและน่าติดตาม ก็น่าจะเป็น สบู่ลักส์ ที่ฐานผู้บริโภคส่วนใหญ่ต่างจับจ้องดาราคนใหม่มาเป็นพรีเซ็นเตอร์ ตรงที่การสร้างความสวยงามของแบรนด์การครีเอทงานโฆษณาของ สบู่ลักส์ ถูกจับตาเป็นที่น่าโดดเด่นและอินเตอร์ แต่แบรนด์ของสบู่ ลักส์ ก็ไม่สามารถผูกปิ่นโตกับดาราคนไหนที่เป็นหลักได้ คงคอยจับแต่ดาราที่เป็นกระแสโด่งดัง ณ ห้วงเวลานั้น แล้วโหนกระแสสร้างแบรนด์ตามก็แค่นั้นเอง...
แล้วหันมาตั้งคำถามว่า...เหตุใดทุกคนถึงกากบาทเลือก อั้ม...ก็เพราะผู้คนทั้งโลกทราบว่า อั้ม คือดารา - นางเอก ที่เซ็กซี่ระดับซูเปอร์สตาร์ของเมืองไทย ซึ่งไม่ว่าจะขึ้นเวทีไหนก็โดดเด่น บนเวทีแคทวอร์ค บนเวทีการแสดง รวมถึงความโดดเด่นในเรื่องของเรือนร่าง กล้าพูด กล้าทำ กล้าโชว์ จนสาวไทยต่างหลงใหล และอยากสวยแบบ อั้ม กันแทบจะทั้งนั้น ซึ่งทั้งแวดวงดวงดาว ทั้งดาวตก ดาวร่วง หรือแม้กระทั่งดาวรุ่ง ต่างก็ยึดใบหน้า อั้ม ทำศัลยกรรมเลียนแบบ ถึงจะไม่เด๊ะ แต่ก็อยากให้มีเหมือนเค้าโครง อั้ม สักหน่อยก็ยังดี
ความนิยม อั้ม - พัชราภา จึงไม่ได้จบแค่การทำศัลยกรรม เพราะสิ่งที่ อั้ม ใช้ สิ่งที่ อั้ม เป็น...ทุกคนก็อยากทำและอยากเป็นตามกันแทบทั้งสิ้น ฉะนั้น เมื่อ มิสทิน ผูกปิ่นโตกับ อั้ม ก็เท่ากับว่า อั้ม ใช้สินค้า มิสทิน แล้วสวย...คนที่อยากสวยเหมือน อั้ม ก็อยากใช้ตามดารา ยอดขายจึงดีเหมือนเทน้ำเทท่า อั้ม จึงกลายเป็นตัวตอบโจทย์ที่ดีให้กับสินค้า มิสทิน
แม้ว่า...สินค้าหลายแบรนด์จะเลือก อั้ม ไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ แต่ก็ไม่ลึกซึ้งและไม่กินใจเท่า มิสทิน หรือแม้กระทั่ง มิสทิน ที่ดึงดารานางเอกบางคนมากั้นบางจังหวะ หรือมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ชั่วครู่ แต่ก็เหมือนมาเบรกได้แค่ชั่วครู่ชั่วยามเท่านั้น เป็นได้แค่น้ำจิ้ม หรือฟ้าจะสร้าง อั้ม ให้เคียงคู่กับ มิสทิน จริง ๆ
นายดนัย ดีโรจนวงศ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวถึง อั้ม - พัชราภา ว่า ในใจผม คุณอั้ม - พัชราภา มาเป็นที่หนึ่ง เพราะ อั้ม และ มิสทิน ทำงานผูกพัน
กันมาเป็นเวลา 10 ปี เป็นพรีเซ็นเตอร์คู่ใจ มิสทิน จึงถือโอกาสมอบรางวัล Presenter Forever Award แด่ อั้ม - พัชราภา ไชยเชื้อ โดยรางวัลนี้มีความพิเศษ มีความหมาย เป็นที่ระลึกซึ่งมีแหวนเพชรเป็นของขวัญแทนใจจาก มิสทิน มอบแด่คุณอั้ม และผมเลือก อั้ม ถ่ายทอดความเจิดจรัสแห่งเพชรที่เกิดจากความทุ่มเทระหว่าง มิสทิน และ บิวตี้ เจมส์ จำนวน 333 เม็ด เรียงรายบนตลับแป้งที่มีมูลค่ากว่า 35 ล้านบาท
ตลอดระยะเวลา 25 ปี เราภูมิใจมาก ๆ ที่เราเป็นบริษัทคนไทย จัดจำหน่ายโดยคนไทย และกระจายรายได้สู่คนไทยทั่วประเทศ วันนี้ เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองก้าวสู่ 25 ปี เรามีแคมเปญที่ใหญ่ที่สุดที่จะเกิดขึ้นในช่วงไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ที่รังสรรค์แป้งตลับสุดหรูที่จะต้องจารึกลงหน้าประวัติศาสตร์ความงามของประเทศไทย ที่ตกแต่งด้วยเพชร โดยคุณหนึ่ง - สุริยน ศรีอรทัยกุล กรรมการผู้จัดการ บิวตี้ เจมส์ - เป็นผู้คิดค้นประติมากรรมชิ้นนี้ ร่วมด้วยทีมงาน บิวตี้ เจมส์ ทุก ๆ คน
เนื่องในโอกาสเฉลิมฉลองครบรอบ 25 ปี เครื่องสำอาง มิสทิน จึงเปิดตัวแคมเปญใหม่ที่เป็นแป้งตลับที่ตอบสนองความต้องการของสุภาพสตรีไทย และยังได้มีโอกาสเฉลิมฉลองตลับแป้งของเราด้วยที่มีมูลค่าสูงที่สุดในโลก พร้อมกับพรีเซ็นเตอร์ คุณอั้ม - พัชราภา ไชยเชื้อ ซึ่งจะนำตลับแป้งตัวนี้ออกเดินสายทั่วประเทศประมาณ 41 จังหวัด ต้องบอกว่าน่าจะเป็นตลับแป้งชิ้นแรกของประวัติ ศาสตร์ไทย ก็ถือว่าเป็นการแสดงศักยภาพคนไทย ว่า เรามีศักยภาพทำอะไรระดับโลกได้ การจับมือในครั้งนี้ ทั้ง 2 บริษัทเป็นบริษัทของคนไทย เราต้องการให้ทั่วโลกรับรู้ว่า คนไทยก็ทำสิ่งดี ๆ ได้
และยังได้เปิดตัวภาพ ยนตร์โฆษณาแป้งผสมครีมรองพื้น มิสทิน เลดี้ เอ็ม วี - เชพ เอสพีเอฟ 25 พีเอ++ ภายใต้ชื่อว่า Breakthrough นำแสดงโดย คุณอั้ม - พัชราภา ไชยเชื้อ ที่เป็นผลงานรังสรรค์ของ บริษัท แอล แอนด์ อาร์ มีเดีย จำกัด ด้วยความยาว 30 วินาที กำหนดแพร่ภาพออกอากาศเร็ว ๆ นี้ โดยใช้งบประมาณทั้งสิ้นกว่า 70 ล้านบาท
บอสใหญ่ ดนัย ยังกล่าวถึงยอดขายในรอบ 8 เดือนที่ผ่านมา ต้องบอกว่า ยอดใช้ได้เป็นที่น่าพอใจ เราอาจจะสะดุดในไตรมาสแรกที่อาจเกิดผลกระทบจากอุทกภัยในปลายปีที่ผ่านมา แต่ในช่วงหลังสงกรานต์ ผมถือว่าอำนาจการซื้อก็ถือว่าสูงขึ้น ก็พบว่าตอนนี้คนไทยเข้าสู่ภาวะปกติ ผมเชื่อว่าจากการที่ภาครัฐเพิ่มรายได้ขั้นต่ำ 300 บาท ตรงนี้ก็มีส่วนช่วยในเรื่องกำลังซื้อในระดับทั้งประเทศ ปีนี้ถือว่าเป็นปีที่ดีอีกปีหนึ่ง แม้ว่ายอดอาจจะไม่ก้าวกระโดดมากนัก แต่กับผลประกอบการที่เป็นแบบนี้ ก็ถือว่าใช้ได้ ในส่วนของการแข่งขันก็ถือว่ามีสูง แต่เราเองเนื่องจากเป็นขายตรงชั้นเดียว ซึ่งก็แตกต่างกับอีกหลายระบบ ที่เป็นขายตรงหลายชั้น อันนี้อาจทำให้เรายืนหยัดอยู่บนความเป็นผู้นำได้ต่อไป
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่329 ประจำวันที่1 - 15 ตุลาคม 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น