“สคบ.” ประกาศลั่น! ปฏิบัติการบุกค้น และตรวจสอบบริษัทขายตรง บทบาทหน้าที่อยู่ในกำมือ “สคบ.” เป็นผู้สั่งการโดยตรง ในฐานะนายทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรงและธุรกิจตลาดแบบตรงตาม พ.ร.บ.ขายตรงปี’45...ดับปัญหาหน่วยงานบางแห่ง หรือเจ้าหน้าที่บางคนที่ไม่อยู่ในสังกัด “สคบ.” หวั่นหาเศษหาเลย สบช่องหากิน ขู่ตบทรัพย์ผู้ประกอบการที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ สูบเลือดจนไม่มีทุนสร้างฝัน ที่หวังจะให้สมาชิกมีรายได้เลี้ยงชีพจากธุรกิจ...“สุวิทย์” ผอ.ฝ่ายกฎหมาย ลั่น! การทำงานของ “สคบ.” ต้องรอบคอบ ก่อนประสานงาน “บก.ปคบ.” เข้าปฏิบัติการตรวจค้นแต่ละบริษัท...ย้ำชัด! ทุกกรณีตรวจค้น ต้องมี “สคบ.” ร่วมด้วยทุกครั้ง หากไร้เงา สามารถย้อนกลับได้ทุกกรณี
เหมือนจะยังเป็นปัญหาหมักหมม ที่ยังไม่ได้รับการสะสาง สร้างความกระจ่างให้เป็นที่รับรู้กันอย่างชัดเจน เกี่ยวกับบทบาทหน้าที่ของ “ขบวนการจัดระเบียบ” ธุรกิจเครือข่ายขายตรงของหน่วยงานต่างๆ ที่ถูกวางตัวให้มาดูแลจัดแถวธุรกิจ ให้เดินตามเส้น เพื่อสร้างผลประโยชน์ให้กับมวลสมาชิก “สกัดด้านมืด” ที่มักจะแฝงตัวเข้ามาในคราบของธุรกิจนี้ ที่ก่อความเสียหาย “ทิ้งคราบน้ำตาให้กับบรรดานักแสวงโชค” ที่หวังจะมาพึ่งบ่อน้ำแห่งนี้ มาแล้วนับไม่ถ้วน...!!!
ดังนั้น ภาครัฐจำเป็นที่จะต้องมี “ขบวนการสแกนและจับผิด” บริษัทที่หวังจะแฝงตัวเข้ามาในธุรกิจ เพื่อหวังกอบโกยเงินมหาศาล แล้วปิดกิจการไปเสวยสุขอย่างอิ่มหมีพีมัน ทิ้งความทุกข์ทรมานไว้ในหลุมพรางที่ขุดขึ้น ทำให้ผู้คนที่หลงเดินตกลงไปจมอยู่ในห้วงเหวที่ยากจะปีนป่ายขึ้นมา เพราะบางคนทุ่มไปกับความฝันและความหวังอย่างเต็มกำลัง แต่สุดท้ายได้กลับมาแต่ความว่างเปล่า และไม่รู้จะหันหน้าไปพึ่งพาใคร?
กระทั่ง “สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.)” กลายเป็นหน่วยงานแห่งความหวังของ ผู้คนที่ไม่ทัน “เล่ห์เหลี่ยมกลโกง” ที่เฉียบคมของ “โจรในเสื้อสูท” ที่จ้องขูดรีดชาวบ้านด้วยการสวมรอยแอบอ้าง แฝงตัวเข้ามาในธุรกิจเครือข่ายขายตรง ด้วยการชูผลประโยชน์มหาศาล กางแผนการจ่าย ยั่วน้ำลายหลวมตัวเข้าสู่เกมตบทรัพย์ของกลุ่มนักลวงโลกเหล่านี้...!!!
ซึ่งยุคแรกๆ ในการเข้ามา “ถือกระบี่” ชี้เป็นชี้ตายตัดสินชะตาบริษัทเครือข่ายขายตรง “สคบ.” เอง ก็ออกแอคชั่น ประสานงานเจ้าหน้าที่ตำรวจนำทีมบุกตรวจค้นอย่างเต็มที่ ตามบริษัทเครือข่ายขายตรงที่ได้รับแจ้งเบาะแสเข้ามาเรียกว่า นาทีนั้น ใครให้เบาะแสที่เข้าข่ายได้รับความเสียหายจากบริษัทโน้น บริษัทนี้ รีบประสานงานเจ้าหน้าที่ บางกรณีถึงขั้นหนีบสื่อมวลชน เข้าไปร่วมเป็นพยานในการปฏิบัติงาน...!!!
กระทั่งวันเวลาผ่านไปความรู้ความเข้าใจในธุรกิจขายตรง ถูกจูนเคลื่อนเข้าหากันมากขึ้น พัฒนาการของธุรกิจที่ถูกมองในภาพลบ โดนกลบจากกระแสความสำเร็จของผู้คนที่ตัดสินใจเลือกเข้ามาเดินในเส้นทางนี้ ที่นับวันจะเพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง จนกลายเป็นเรื่องปกติ ที่จะเห็นงานเกียรติยศเชิดชูเกียรติความยิ่งใหญ่ของผู้ที่ประสบความสำเร็จ มีรายได้หลักแสนหลักล้าน ที่ขึ้นไปยืนตระหง่านโดดเด่นอยู่บนเวที ซึ่งแต่ละค่ายแต่ละบริษัท ก็จะมีของกำนัลอันล้ำค่า มามอบให้กับผู้นำต่างๆ ที่ประสบความสำเร็จ ได้เป็นแรงใจในการก้าวไปคว้าความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่สูงขึ้นมากกว่าเดิม
...ปัจจุบันดูเหมือนธุรกิจขายตรง จะถูกจับตามองจากหลายภาคส่วนมากยิ่งขึ้น เพราะถือเป็นธุรกิจมหัศจรรย์ ที่สามารถสร้างรายได้โดยไม่มีขีดจำกัด และเป็นธุรกิจที่สามารถทำได้ทุกทีทุกเวลา แม้ยามพักผ่อนยังสร้างรายได้ให้ก่อเกิดกับผู้ที่ทำธุรกิจได้ ทำให้หลายปีที่ผ่านมาธุรกิจขายตรง มีอัตราการขยายตัวอย่างต่อเนื่อง จนทำให้หลายคนเชื่อว่า จะสามารถเป็นอีกหนึ่งธุรกิจสำคัญที่จะสามารถขับเคลื่อนระบบเศรษฐกิจไทยได้ในอนาคต...!!!
ธุรกิจขายตรงไทยในปัจจุบัน มีรูปแบบและพัฒนาการก้าวไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ทำให้ธุรกิจสามารถพัฒนาคนที่เข้ามาร่วมธุรกิจให้มีความสามารถ สร้างรายได้ที่มั่นคงจนหล่อเลี้ยงตัวเองได้ บางรายถึงขั้นพลิกชีวิตจากหน้ามือเป็นหลังมือก็ว่าได้...!!!
ซึ่งการขยายตัวของธุรกิจขายตรง ที่สามารถสร้างเม็ดเงินและสร้างงานสร้างอาชีพให้ประชาชน จนกระทั่งแบ่งเบาภาระหน้าที่ของรัฐบาลได้เป็นอย่างดีในช่วงที่ผ่านมา ทำให้รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี วรวัจน์ เอื้อภิญญกุล ซึ่งมีหน้าที่ดูแลหน่วยงาน “สคบ.” โดยตรง มอบงานชิ้นสำคัญ เพื่อส่งเสริมและผลักดันธุรกิจขายตรงให้เติบโตก้าวไปข้างหน้า โดยเฉพาะการขยายฐานตลาดลูกค้าสมาชิกในกลุ่มประเทศประชาคมอาเซียน ซึ่งหากสามารถพัฒนาถึงจุดนั้นได้ ก็จะสามารถนำรายได้เข้าสู่ประเทศอย่างมหาศาล
สายตาที่เฉียบคมมองประโยชน์ของธุรกิจขายตรงไทยในเชิงสร้างสรรค์ของ ฯพณฯ รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี วรวัจน์ เอื้อภิญญกุล พร้อมเตรียมจัดสรรงบสู่หน่วยงาน “สคบ.” เพิ่มอีกเท่าตัวเป็น 300 ล้านบาท ทำเอาเจ้าหน้าที่เส้นสายขยับ เล็งหาสารพัดวิธีมากรุยทางผลักดันความสำเร็จของธุรกิจขายตรงไทยให้เติบโต ขยายวงกว้างมากกว่าที่เป็นอยู่...!!!
ต้องยอมรับว่า “สคบ.” ในยุคปัจจุบันเปลี่ยนแปลงทัศนคติ พยายามเข้ามาเรียนรู้ธุรกิจ เก็บภูมิความรู้จากคนในไปปรับประยุกต์ใช้ เพื่อนำมากำกับดูแล และหาแนวทางส่งเสริมได้รอบคอบและรัดกุมมากยิ่งขึ้น หลังมีบทเรียนจากการเสียเชิงมวย ถูกหมัดเคาน์เตอร์จากบริษัทขายตรงหลายแห่งสวนกลับหลายหมัด ทำให้การทำงานในช่วงนี้ จะออกไปในเชิงสุขุมและรัดกุมเป็นอย่างยิ่ง...!!!
แต่ปัจจุบันใช่ว่า คราบสิ่งสกปรกในแวดวงธุรกิจขายตรงจะถูกกำจัดออกไปได้หมดสิ้น เพราะที่ผ่านมายังมีบรรดากลุ่มมิจฉาชีพหัวหมอ “โฉบเข้ามาตบทรัพย์” นักขายแล้วปิดบริษัทหายหัวเข้ากลีบไปอย่างไร้ร่องรอย รอ “สคบ.” ถือกระบี่อาญาสิทธิ์ควงเจ้าหน้าที่ ไล่ล่าบรรดาพวกทำนาบนหลังคนเหล่านี้ให้หมดสิ้นไปเสียที...!!!
...ทว่าปริศนาที่คนในวงการยังสับสน ไม่ว่าจะเป็น ผู้นำ แม่ทีม หรือนักธุรกิจ หลายคนยังหาคำตอบไม่ได้คือ หน่วยงานไหนกันแน่? ที่ดูแลเรื่องราวความเสียหายของผู้บริโภค เมื่อได้รับความเสียหาย หรือ มีสิทธิ์เต็มที่ในการเข้าไปตรวจสอบการทำธุรกิจของบริษัทขายตรงว่า ถูกต้อง ได้รับใบอนุญาตประกอบธุรกิจ จากทางสคบ.หรือไม่? เพราะที่ผ่านมามีหน่วยงานที่เข้ามาพัวพันกับวงการธุรกิจขายตรงนี้ มีถึง 3 หน่วยงาน ไม่ว่าจะเป็น “สคบ.” ผู้คุมกฎ ที่ได้รับดาบอาญาสิทธิ์มาตั้งแต่เริ่มต้น “ดีเอสไอ” ที่มักจะออกมาแอคชั่นปราบปรามการฟอกเงิน โดยเฉพาะในรูปแบบของแชร์ลูกโซ่ ซึ่งธุรกิจขายตรงมักจะถูกโยงไปพัว พันด้วยเสมอ และที่กำลังเป็นกระแสแรง ถูกเอ่ยถึงกันอย่างหนาหูในช่วงที่ผ่านมานั่นคือ “บก.ปคบ.”
ความสับสนที่ทำให้คนในแวดวงขายตรงออกอาการงงเป็นไก่ตาแตกมากยิ่งขึ้นในช่วงที่ผ่านมาคือ การมีข่าวข่มขู่ อ้างชื่อเจ้าหน้าที่ หรือแม้แต่หน่วยงานใน 3 หน่วยงานนี้ “หากิน” ใช้ยุทธวิธีตบทรัพย์ผ่านการขอความร่วมมือสนับสนุนกิจกรรม หรือแม้แต่งานสังสรรค์ระดมทุน เพื่อทำการบางอย่าง ซึ่งหากไม่ให้ความร่วมมือ หรือบิดพลิ้ว ก็จะมีการประสานเจ้าหน้าที่เข้าไปนั่งกินกาแฟอย่างแน่นอน
ประเด็ดดังกล่าว มีกระแสข่าวกระจายออกมาแทบจะล่วงรู้กันไปทั้งวงการมานาน แต่ก็ยังไม่มีหน่วยงานไหน ออกมาไขปริศนาที่ค้างคาใจคนขายตรงได้ว่า บทบาทพวกนี้เป็นของใคร?...ซึ่งปัจจุบันเรื่องราวบานปลาย จนดูเหมือนการทำงานข้ามหน้าข้ามตากัน ถึงขั้นล้ำเส้นล้วงลูกบทบาทหน้าที่ของอีกฝ่าย...!!!
กระแสข่าวแว่วดังขึ้นทุกวัน ทำให้หน่วยงานที่ดูแลและกำกับธุรกิจเครือข่ายขายตรงที่ได้รับอำนาจโดยตรงอย่าง “สคบ.” นิ่งเฉยไม่ไหว เพราะการทำงานขัดต่อแผนงานที่วางเอาไว้ โดยเฉพาะแผนการพัฒนาธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทย ล่าสุดจึงมีแผนที่จะสร้างความรู้ความเข้าใจให้กับบริษัทขายตรง รวมถึงนักธุรกิจเครือข่ายได้รับทราบเกี่ยวกับบทบาทหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องดังกล่าว...!!!
“สุวิทย์ วิจิตรโสภา” ผู้อำนวยการส่วนขายตรงและตลาดแบบตรง สำนักงานคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผย “ตลาดวิเคราะห์” ว่า บทบาทหน้าที่ สคบ.เอง ในฐานะที่เป็นนายทะเบียนการประกอบธุรกิจขายตรงและธุรกิจตลาดแบบตรง ตาม พ.ร.บ. ขายตรงปี 2545 ซึ่งอำนาจในเรื่องของการตรวจสอบสถานประกอบการทั้งหมดจะเป็นหน้าที่ของ สคบ. เนื่องจากมีพนักงานเจ้าหน้าที่ที่ได้รับการแต่งตั้งตามกฎหมาย และมีออกบัตรพนักงานเจ้าหน้าที่ในการตรวจสอบสถานประกอบการไว้เป็นที่เรียบร้อย เพื่อยืนยันว่า เป็นเจ้าหน้าที่ของ สคบ.
ฉะนั้น หากมีเจ้าหน้าที่จากหน่วยงานอื่นเข้าไปเพียงลำพังไม่เกี่ยวข้องกับ สคบ. ก็จะไม่มีอำนาจตรวจสอบอะไรทั้งสิ้น โดยเฉพาะ บก.ปคบ. หากไปตรวจค้นเพียงหน่วยงานเดี่ยวยืนยันว่า ไม่สามารถทำได้ แต่ต้องการเข้าตรวจค้นบริษัทเครือข่ายขายตรง จะต้องส่งเรื่องมาที่ สคบ. และทาง สคบ. จะส่งเจ้าหน้าที่ประกบคู่ไปด้วย หาก บก.ปคบ. มีเบาะเสาะการทำความผิด และต้องการที่จะไปตรวจสอบ เพราะฉะนั้น ขอย้ำอย่างชัดเจนกับผู้ที่เกี่ยวข้อง และผู้ที่ได้รับผลกระทบจากปัญหาที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา โดยเฉพาะในเรื่องการตรวจสอบการประกอบธุรกิจตามกฎหมายหลักอยู่ที่ สคบ. แต่ขณะเดียวกัน การทำงาน ทั้ง 2 หน่วยงาน จะประสานงานร่วมกันในการตรวจสอบร่วมกันระหว่าง 2 หน่วยงาน ส่วนอำนาจในการตรวจสอบธุรกิจ สคบ. จะมีอำนาจในเรื่องของการเปรียบเทียบปรับ ซึ่งกฎหมายเขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ให้คณะกรรมการหรือบอร์ดขายตรงมีอำนาจในการสั่งปรับ
“การเปรียบเทียบความผิดตามกฎหมายบัญญัติ ให้ใช้อำนาจบอร์ดขายตรง ในขณะนี้บอร์ดขายตรงมอบอำนาจให้กับเลขา สคบ.ในฐานะนายทะเบียนการเปรียบเทียบความผิด เพราะฉะนั้นหน่วยงานอื่น หรือ บก.ปคบ. เอง ไม่มีอำนาจในการเปรียบเทียบปรับกับผู้ฝ่าฝืน พ.ร.บ. ขายตรง หากกรณีที่ บก.ปคบ. ได้รับเรื่องร้องเรียน และมีการสอบสวนในความผิดนั้นแล้วถ้าเห็นว่าเป็นความผิดตาม พ.ร.บ.ขายตรงโดยแท้ ยกตัวอย่างเช่น หากจะไปตรวจสอบบริษัทที่มีการฝ่าฝืนกฎหมาย เราก็สามารถที่จะไปดำเนินการตรวจสอบร่วมกันได้ เพื่อไปหาข้อเท็จที่มีการร้องเรียนจะต้องมีในลักษณะแบบนั้น แต่ไม่ได้หมายความว่า บก.ปคบ. ไปดำเนินการเองแต่เพียงลำพัง”
ทั้งนี้ หากการเข้าไปตรวจสอบเพียงลำพัง อาจจะเข้าข่ายทำนอกกรอบกฎหมายได้เช่นเดียวกัน ซึ่งที่ผ่านมา แม้ บก.ปคบ. ได้รับเรื่องร้องเรียนมาหรือได้รับคำร้องทุกข์จากผู้เสียหายที่เกี่ยวข้องกับความผิดในเรื่องของกฎหมายขายตรง จะต้องมีการสอบสวน และแสวงหาพยานหลักฐาน ซึ่งในบางเรื่องการแสวงหาพยานหลักฐาน ต้องทำได้ 2 กรณีคือ 1. เชิญตัวมาสอบปากคำมาพูดคุย หรืออาจจะไปตรวจสถานที่ ซึ่งเวลาไปตรวจสถานที่ยืนยันว่า หากสร้างความเสียหายจริง โดยหลักการทาง บก.ปคบ.ต้องประสานมาทาง สคบ.มา เพื่อทำงานร่วม และต้องมีความชัดเจนในเรื่องนี้ด้วย
“ที่ผ่านมาเราพยายามมองในลักษณะว่า บก.ปคบ.เอง ได้รับเรื่องร้องเรียนจริงๆ และในมุมมองควรที่ส่งเรื่องร้องเรียนนั้นมาที่ สคบ. เพื่อดำเนินการด้วยซ้ำ อย่างไรก็ตาม บางเรื่องอาจจะเป็นคำร้องทุกข์ ซึ่งหากเป็นคำร้องทุกข์ คนที่รับคำร้องทุกข์ตามประมวลกฎหมายอาญาตำรวจมีอำนาจสอบสวน เพื่อสรุปข้อเท็จจริง เพื่อส่งฟ้อง แต่คดีตาม พ.ร.บ.ขายตรง ส่วนใหญ่ 59.9 % จะมอบหมายให้อำนาจกับนายทะเบียนเปรียบเทียบความผิดได้ เพราะฉะนั้น คำร้องทุกข์ไม่จำเป็นที่จะต้องไปส่งฟ้องอัยการก็ได้ ยกเว้นผู้ประกอบธุรกิจไม่มาเปรียบเทียบความผิด จึงจำเป็นที่จะส่งเรื่องกลับไปให้สคบ.ทำสำนวนเพื่อส่งเรื่องให้ดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป”
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 317 ประจำวันที่ 1 - 15 เมษายน 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น