วันพุธที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข่าวนู สกิน (Nuskin Thailand) อาเซียนยอดพุ่ง รับ AEC แตกไลน์สินค้าชะลอแก่ "เอจล็อก (ageLOC)"


นู สกิน อาเซียนกอดคอโต สิงคโปร์ขยายตัวมากสุด 52% ไทย 12% ส่วนครึ่งแรกปี 55 สาขาอาเซียนสร้างการเติบโตรวม 72% เดินหน้าชักธงสินค้ากลุ่มชะลอแก่ เอจล็อก ขย่มตลาดลากยาว ตั้งเป้าอีก 8 ปี ยอดขายรวมทั่วโลกแตะ 1.5 แสนล้าน บาท ด้านสาขาไทย ปีนี้ขอโตเพิ่ม 20%


มร.ทรูแมน ฮันท์ ประธาน บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส จำกัด เปิดเผยว่า ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงสร้าง ผลงานได้อย่างน่าประทับใจ โดยในปี 2554 ที่ผ่านมา มูลค่าการตลาดของ นู สกิน ภูมิภาค เอเชียตะวันออกเฉียงใต้และแปซิฟิกเติบโต สูงถึง 27% เมื่อเทียบกับปี 2553 และในไตรมาสแรกของปี 2555 นู สกิน ภูมิภาคนี้เติบโตสูงขึ้น 72% เมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีที่ผ่านมา ทำให้เกิดความรู้สึก พึงพอใจมากกับความสำเร็จนี้ ซึ่งสำหรับภูมิภาคนี้เราเคยเห็นตัวเลขความสำเร็จเช่นนี้มาก่อนแล้ว มันทำให้เรารู้สึกตื่นเต้นมากกับอนาคตที่สดใสของภูมิภาคนี้


ความสำเร็จของอาเซียน ส่วนหนึ่งมาจากการวางกลยุทธ์ของผลิตภัณฑ์เอจล็อก ที่ตอกย้ำการเป็นผลิตภัณฑ์ต่อต้านความชรา ในระดับพรีเมี่ยม และหยิบยื่นโอกาสทาง การตลาดที่ทรงพลังอย่างยิ่งให้กับเหล่า ผู้แทนจำหน่ายของบริษัท โดยในงานประชุม Nu Generation Regional Convention นู สกิน ยังได้ทำการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม เอจล็อก ได้แก่ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาร์ สแควร์ (R2) และผลิตภัณฑ์ดูแลผิวพรรณ กัลวานิค บอดี้ สปา ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ในกลุ่มต่อต้านความชราโดยเฉพาะ ที่เคยสร้างความสำเร็จให้กับนู สกิน ทั่วโลกมาแล้ว ด้วยยอดขายกว่า 30,000 ล้านบาท


อย่างไรก็ดี มร.ทรูแมน ยังได้กล่าวถึงตัวเลขการเติบโตของบริษัทในสาขาอาเซียนว่า ในปีที่ผ่านมา สาขาในมาเลเซีย โต 30%, อินโดนีเซีย โต 42%, ฟิลิปปินส์ 19%, สิงคโปร์ 52%, บรูไน 18% และไทย 12%


โดยบริษัทได้วางเป้าหมายว่า ในปี 2020 หรืออีกประมาณ 8 ปีข้างหน้า บริษัท จะต้องทำยอดขายจากทั่วโลกรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 5 พันล้านเหรียญสหรัฐ หรือ 1.5 แสนล้านบาท อีกทั้งจะต้องมีนักธุรกิจที่ติดทำเนียบเงินล้าน 2.5 พันคน โดยจะเน้นการทำงานไปที่ 3 ส่วนหลักคือ 1.ผลักดันสินค้ากลุ่ม เอจล็อก ให้เป็นสินค้าหัวหอกของบริษัท 2.ขยายไลน์สินค้ากลุ่ม เอจล็อก และ 3.ขยายยอดสมาชิกนักธุรกิจของบริษัท ซึ่งทาง นู สกิน มีความมั่นใจว่า หาก 3 ส่วน นี้ ขยายได้ตามเป้า ก็จะทำให้เป้าหมายของ บริษัทปี 2020 เกิดขึ้นจริง


ด้านนางเมลิซ่า ทันโทโกะ คีอาโน่ ประธานภูมิภาคแปซิฟิกและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส เผยว่า แนวโน้มการตลาดได้สอดคล้องกับ ผลิตภัณฑ์กลุ่มต่อต้านความชราที่เราคิดค้น ขึ้นมา และเราดีใจกับการตอบรับของผู้แทน จำหน่ายและผู้บริโภคต่อผลิตภัณฑ์ใหม่ล่าสุดนี้ โดยนับตั้งแต่การเปิดตัวผลิตภัณฑ์เอจล็อกตัวแรกเมื่อ 3 ปีที่ผ่านมา ผลิตภัณฑ์ กลุ่มต่อต้านความชราสามารถสร้างความสำเร็จให้กับนู สกิน ทั่วโลก


โดยดร.โจเซฟ แชง หัวหน้าเจ้าหน้าที่วิทยาศาสตร์และรองประธานกรรมการบริหารฝ่ายพัฒนาผลิตภัณฑ์ กล่าวว่า วิทยาการเอจล็อก ต้องการไปแก้ปัญหาความเสื่อมชราของผู้คนให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และสถิติยอดขายก็ช่วยพิสูจน์แล้วว่าผู้บริโภคประทับใจในประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์มากน้อยแค่ไหน ซึ่งเราเชื่อว่าเราจะค้นคว้าเกี่ยวกับศักยภาพของวิทยาการ เอจล็อกได้อีกไกล สามารถนำมาพัฒนาต่อยอดคุณภาพผลิตภัณฑ์ ที่เราถือว่าเป็นระดับซูเปอร์คลาสของผลิตภัณฑ์ต่อความเสื่อมชรา ทั้งผลิตภัณฑ์ดูแลผิวและผลิตภัณฑ์ เสริมอาหาร


นอกจากนี้ ภายในงานประชุม บริษัท ยังได้ประกาศเปิดการดำเนินงานของนู สกิน สาขาใหม่ ในประเทศเวียดนาม ซึ่งนับเป็นตลาดที่ 53 ของ นู สกิน ทั่วโลก ซึ่งการเปิดตลาดใหม่นี้จะเป็นการช่วยผลักดันโอกาส ทางธุรกิจใหม่ๆ ให้กับผู้คนในภูมิภาคนี้


ด้านนางภคพรรณ ลีวุฒินันท์ ประธานกรรมการ บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า ทางสาขาในประเทศไทย จะได้รับสินค้าใหม่นี้เข้ามาจำหน่ายเพียง 2 หมื่นเซ็ตเท่านั้นในช่วงแรก เนื่องจากออเดอร์ทั่วโลกมีมาก และผลิตไม่ทัน โดยการเปิดตัวในไทยจะทำ อย่างเป็นทางการในปีหน้า


โดยในส่วนยอดขายของบริษัทในไทย กว่า 70% เป็นของกลุ่มสินค้าเอจล็อก ซึ่งถือเป็นสินค้าหัวหอกของบริษัท ซึ่งในส่วนของยอดขายของบริษัทสาขาไทยที่ได้ตั้งเป้าไว้คือ 20% ในการเติบโต โดยในปีที่ผ่านมาโตอยู่ที่ 12% ปิดที่ 2.2 พันล้านบาท สำหรับยอดขายในช่วงครึ่งแรกของปีนี้ บริษัทสาขาไทยมียอดขายเติบโตที่ 20%


ทั้งนี้ ในงานการประชุมของบริษัท ยังคงมีกิจกรรมเกี่ยวกับการตอบแทนสู่สังคม ซึ่งเป็นกิจกรรมที่จัดอย่างต่อเนื่องทั่วทั้งภูมิภาคมาโดยตลอดผ่านโครงการพลังแห่งความดี (Nu Skin Force for Good Foundation) โดยภูมิภาคนี้ได้จัดทำ กองทุนผ่าตัดหัวใจเด็กระดับภูมิภาคเอเชีย ตะวันออกเฉียงใต้ เพื่อสนับสนุนการช่วยชีวิตเด็กด้อยโอกาสที่ป่วยด้วยโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด ส่งผลให้ในปี 2554 บริษัท สามารถช่วยเด็กให้ได้รับการผ่าตัดถึง 439 ราย ซึ่งมากกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้ว่าจะช่วยเหลือให้ได้ 1 ชีวิตต่อ 1 วัน หรือ 365 ราย ใน 1 ปี โดยตั้งแต่ก่อตั้งกองทุนในปี 2541 กองทุนนี้สามารถช่วยชีวิตเด็กไปแล้วกว่า 4,500 ราย


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1322 ประจำวันที่ 1-8-2012 ถึง3-8-2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น