ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันพฤหัสบดีที่ 7 เมษายน พ.ศ. 2554

เปิดคฤหาสน์หรู 100 ล้าน ชนิดา บูรณะบุตร ฟันธง! ‘bHIP’ โกยพันล้าน



วันนี้ชื่อของ “ชนิดา บูรณะบุตร” ต้องบอกว่าดังกระหื่มวงการขายตรงไทยอย่างแรงสุดอีกระลอก หลังเกิดกระแสพาเหรดเข้าสู่ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ของขายตรงข้ามชาติสายพันธุ์อเมริกาหลายบริษัทไม่ขาดระยะในช่วง 3 เดือนก่อนหน้านี้ กระทั่งล่าสุด “bHIP Global” ก็ถือกำเนิดขึ้นอย่างไม่เป็นทางการ ณ ไบเทค บางนา ท่ามกลางคลื่นมหาชนคลื่นแรกที่แห่ไหลเข้าร่วมงาน “มินิแกรนด์โอเพ่นนิ่ง” กว่า 5,000 คน เมื่อบ่ายวันที่ 26 มีนาคมที่ผ่านมา

“ชนิดา บูรณะบุตร” ในฐานะ “นักธุรกิจอิสระ001” ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของ “บีฮิป โกลบอล” ได้เปิดใจกับ “เส้นทางนักขาย” เป็นครั้งแรกถึงเหตุผลสำคัญที่เธอ “ตัดสินใจ” เข้าร่วมธุรกิจเครือข่ายขายตรงน้องใหม่รายล่าสุดบนเป้าหมายจะขยายตลาดปีแรกให้มียอดขายรวมถึง 1,000 ล้านบาท ด้วยผลิตภัณฑ์ตัวเอก “Maqui Juice” น้ำผลไม้ “Maqui berry” มากี้เบอร์รี่ผสมแร่ธาตุในน้ำว่านหางจระเข้ประสิทธิภาพจากป่าทวีปอเมริกาใต้

ทั้งนี้การตัดสินใจของ “ชนิดา” สร้างความประหลาดใจให้กับคนในวงการขายตรงอย่างยิ่ง  หลังจากก่อนหน้านี้เธอประสบความสำเร็จสูงสุดในธุรกิจขายตรง AGel จนสามารถสร้างคฤหาสน์ไว้เป็นอนุสรณ์ความสำเร็จย่านหมู่บ้านปัญญาราคากว่า 100 ล้านบาท จากรายได้ทั้งหมดราว 280 ล้านบาท ที่ทำได้ภายในระยะแค่  3 ปีเท่านั้นเอง

เส้นทางทำธุรกิจเครือข่ายเป็นมาอย่างไร?


ชนิดา : หลังจากเรียนจบปริญญาโทที่สหรัฐอเมริกา ได้เข้าทำงานในโรงแรมแห่งหนึ่งเพื่อหาประสบการณ์ แล้วมา เป็นเจ้าของกิจการร้านอาหารไทยในลอสแองเจลิส กระทั่งคิดได้ว่าการเป็น  ลูกจ้างแล้วไม่รวย แต่การเป็นเจ้าของร้านอาหารก็ไม่ใช่คำตอบชีวิต เพราะลงทุนสูงและเหนื่อย และเมื่อรู้จักธุรกิจเครือข่ายการเงินการประกันจึงเข้าไปทำทันทีนาน     4 ปี แต่พบว่าไม่สามารถขยายเครือข่ายในประเทศไทยได้

กระทั่งทราบข่าวที่บริษัทขายตรง  “Nu Skin” กำลังจะเข้าประเทศไทย ก็เลยไปเจรจากับเจ้าของบริษัทกระทั่งได้เป็น Blue Diamond คนไทยคนแรก ในปี 1993 ได้รับเช็คเดือนละ 1 ล้านบาท ต่อมาได้รู้จักกับ       “Synergy” แล้วได้ร่วมบุกเบิกธุรกิจในประเทศไทยถึง 4 ปี เมื่อ “เกลน เจนเซ็น” (Mr.Glen Jensen) หนึ่งในผู้ถือหุ้นได้แยกตัวออกมาเปิดนวัตกรรมใหม่ภายใต้บริษัท “AGel” และได้รับการเชิญให้เป็นคนแรก  จึงตัดสินใจ  ร่วมบุกเบิกให้ “AGel” ในประเทศไทยขึ้นเมื่อ 3 ปีก่อน

“พออยู่เอเจลขึ้นปีที่สี่ซึ่งการขยายธุรกิจได้ดำเนินกันอย่างราบรื่น มีผู้นำที่ประสบความสำเร็จอย่างมากหลายท่าน แต่เจ้าของบริษัทและผู้ถือหุ้นเริ่มมีปัญหาขัดแย้งภายใน ทำให้การขยายงานต่อไม่ราบรื่น จึงเป็นเหตุให้มองไม่เห็นอนาคตอันสดใสอย่างที่คิดไว้ ดิฉันจึงเป็นตัวแทนทีมไปศึกษาหาบริษัทเครือข่ายที่ใช่ใหม่ เริ่มต้นที่ Rian Nutrition แต่ก็พบความ    ไม่สมบูรณ์ในเรื่องสายป่านทุน  จึงหาที่ใหม่ต่อ”

ระหว่างนั้นได้รับทาบทามจากเดวิด เฟลปม์ ให้รู้จักกับบริษัท “Jeunesse” ซึ่ง  เดิมก็คือ “F.F.I.” และได้พูดคุยกับเจ้าของบริษัท แต่ก็ไม่ประทับใจจึงไม่ได้คิดจะไปร่วมงานด้วย  และขณะนั้นก็ได้รับการติดต่อจาก         “bHIP” ที่อยู่รัฐเท็กซัส แล้วเจ้าของบริษัท “แทรรี่” (Mr.Terry LaCore) ได้มอบหมายให้ผู้บริหารบริษัทคนหนึ่งมาพบก่อน จึงทำให้   ไม่สามารถตัดสินใจเลือกได้ทันทีในเวลานั้น เพราะยังไม่ได้พบคุณแทรรี่

เกิดอะไรขึ้นกับการเดินทางไปอเมริกา?


ชนิดา : ช่วงเดือนธันวาคมปลายปี 2553 ถือว่ายังไม่มีบริษัทเครือข่ายขายตรงใหม่รายใดที่ “ประทับใจ” หรือ “ใช่” สำหรับการขยายธุรกิจในภูมิภาคเอเชียฯ แทน “AGel” แต่เป็นจังหวะที่เครือข่ายขายตรง “Monavie” ประสานติดต่อเข้ามาอีกพอดีเช่นกัน ซึ่งอยู่ในรัฐยูท่าห์และเป็นพื้นที่คุ้นเคยเป็นรายล่าสุด จนเป็นที่มาของกระแสการมั่นหมายเตรียมจะเปิดตัวในประเทศไทยขึ้นก่อนหน้านี้

หลังจาก “Monavie” สำนักงานใหญ่ได้เชิญ “กลุ่มนักธุรกิจอิสระไทย” ภายใต้การนำของ “ชนิดา” ทั้งหมดเดินทางไปสหรัฐอเมริกา ช่วงเวลานั้น “แทรรี่” (Mr.Terry LaCore) เจ้าของ “bHIP Global” ทราบข่าว จึงได้เดินทางมาดักรอพบกับ “ชนิดา” ที่ลอสแองเจลิสเป็นครั้งแรกทำให้เกิดความประทับใจต่อกันขึ้น แต่ “ทีมงานชนิดา” ทั้งหมดก็ยังเดินทางไปพบผู้ บริหาร “Monavie” ตามนัดหมาย  ซึ่งได้รับ การรับรองอย่างดีแบบ “ปูพรมแดง” จนเกิดความประทับใจถ้วนหน้า แต่เมื่อฟังแผน   การตลาดแล้ว  ทุกคนรู้สึกเป็นทิศทางเดียวกันว่าลำบากสำหรับตลาดประเทศไทยและเอเชียฯ

เมื่อเดินทางกลับมายังลอสแองเจลิส อีกครั้งเพื่อเตรียมเดินทางกลับประเทศไทย    “bHIP Global” ก็ยกทีมมานำเสนอโอกาสทางธุรกิจที่ลอสแองเจลิสเพื่อเปิดใจ “ทีมงานชนิดา” อีกครั้ง จนทุกคนรับทราบพร้อมกันถึงแผนการตลาดและผลิตภัณฑ์ของ “bHIP Global” ที่น่าจะมีความเป็นไปได้ในการเปิดตลาดที่ประเทศไทยมากกว่ารายอื่นๆ ระหว่างนั้นทีมงานได้ส่งกระแสความร้อนแรงของการพบปะกับ “Monavie” กลับมายังประเทศไทยเป็นระยะๆ จนทำให้ไม่สามารถวกกลับมาเลือก “bHIP Global” ได้ในขณะนั้น ทั้งๆ      ที่เชื่อมั่น “bHIP Global” ว่าจะเป็นบริษัทที่ ให้โอกาสธุรกิจทางกับคนไทยได้มากกว่า แต่จำต้องเลือก “Monavie” เพราะได้โปรโมทไปมากมายแล้ว

ทำไมถึงหวนกลับมาเลือก “bHIP Global”?


ชนิดา : เมื่อถึงเวลาที่จะต้องร่วมธุรกิจกันอย่างแท้จริงกับ “Monavie” จึงได้ทบทวนเงื่อนไข 3 ประเด็นที่ได้ตกลงกันไปกันก่อนหน้านี้ แต่ในที่สุดก็ไม่ได้เป็นไปตามที่ตกลงกันไว้ จึงเห็นถึงความไม่จริงใจในการ  ทำธุรกิจร่วมกัน จึงไม่มีการตัดสินใจร่วมทำธุรกิจกับ “Monavie”  ณ  วันนั้น

“ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการเริ่ม NFR ก่อนจะได้รับ อย. เพื่อทีมงานจะได้มี    รายได้ขึ้นทัน แต่ทางโมนาวีกลับขอเลื่อนออกไปอีก 6 เดือน หรือแม้แต่การว่าจ้าง จีเอ็มคนไทย ก็ขอเปลี่ยนให้เป็นแค่ที่ปรึกษา และสำคัญที่สุดคือไม่ยอมให้มีการปรับเปลี่ยนแผนตามที่ให้สัญญาไว้ ซึ่งจะทำให้การทำงานของทีมงานประสบความสำเร็จยากในแผนการตลาดนั้น”
การทำงานในนามของ “bHIP Global” จึงเริ่มขึ้นเมื่อ 1 เดือนที่ผ่านมา คือ1 มีนาคม 2554 สำหรับตลาดประเทศไทย โดยเหตุผลสำคัญนอกจากแผนการตลาด และผลิตภัณฑ์ที่เหมาะกับประเทศไทยและประเทศในกลุ่มภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้แล้ว “ชนิดา” ย้ำว่า

ด้วยประสบการณ์ที่ผ่านมาอย่างยาวนานกว่า 21 ปีบนเส้นทางธุรกิจเครือข่ายในหลายบริษัท ซึ่งล้วนแล้วเป็นบริษัทอเมริกาที่ผ่านการประสานเจรจาให้มาดำเนินการเปิดตลาดในประเทศด้วยตัวเองทั้งสิ้น จึงมองว่าความแข็งแกร่งของทุนและวิสัยทัศน์ตลอด   จนอำนาจการตัดสินใจของเจ้าของบริษัท  มีส่วนสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทางการขยายธุรกิจเพื่อรองรับการเติบโตอย่างที่สุดของฝ่ายขายในอนาคต

“สำหรับประวัติคุณแทรรี่ เคย  ทำธุรกิจนี้มาตั้งแต่อายุ 19 ปี เป็น top income earner ทั้งสองบริษัทที่เขาทำ บริษัทแรกตอนอายุ 19 และเมื่ออายุ 26  ก็ได้ไปเป็น CEO ของอีกบริษัทหนึ่ง ซึ่งมีผลงานการเติบโตดีมากจนนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์ได้ และเมื่อมาตั้งบริษัทเอง คุณแทรรี่ก็ตั้งใจที่พิสูจน์ฝีมือให้ชาวโลกได้เห็นว่า บริษัทของเขาจะต้องยิ่งใหญ่จากความสามารถของเขาให้ได้ และจะทำให้โตกว่าทุกบริษัทที่เขาเคยทำสำเร็จมาด้วย”

“BHip Global” จะเกิดในเมืองไทยอย่างไร?


ชนิดา : นับจาก “แทรรี่” ที่วันนี้    มีวัยแค่เพียง 38 ปี ได้หันมาทำธุรกิจเครือข่ายของตัวเองทันที หลังจากเขาหยุดพักการทำงานไป 2 ปี ตามกฎหมายของตลาดหลักทรัพย์อเมริกา เขาก็ตั้ง “bHIP Global” ขึ้นเมื่อปี 2007 โดยได้นำความรู้ และประสบการณ์ตลอดจนเงินทุนทั้งหมดมาดำเนินการ  จนวันนี้กล่าวได้ว่า “bHIP  Global” เป็นบริษัทเครือข่ายหนึ่งเดียวที่มีความโดดเด่นที่สุดในทุกเรื่อง แม้โปรไฟล์อาจจะไม่ใหญ่เท่าบางบริษัท

ข้อแรก “แทรรี่” เป็นคนมีวิชั่นของเจ้าของอย่างแท้จริง ไม่ได้ทำเพื่อเงินแต่ต้องการพิสูจน์ฝีมือในความสำเร็จของตัวเองเป็นหลัก เพราะก่อนหน้านี้เขาผลักดันสร้างบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์มาจนสำเร็จไปแล้วเป็นความท้าทายอย่างยิ่งที่จะทำให้บริษัท บีฮิปของเขาประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่กว่าเดิม

ข้อสอง จุดแข็งของบีฮิปนอกจากเจ้าของจะมีเงินทุนกว่า 86 ล้านเหรียญสหรัฐแล้ว เจ้าของยังมีบริษัทซอฟต์แวร์และรองรับการใช้งานเครือข่ายของตัวเอง ซึ่งบริษัท MLM อื่นๆ ในอเมริกามาใช้ซอฟต์แวร์ของเขาทำธุรกิจด้วย  เพราะฉะนั้นความคล่องตัวในเรื่องแผนการตลาดและอื่นๆ สูงมาก

ข้อสาม เป็นเรื่องสินค้ามากี้เบอร์รี่ ที่มีส่วนสำคัญมาจากเปลือกองุ่นแดง ช่วยในเรื่องของหลอดเลือดหัวใจ มีอโลเวร่า   คือว่านหางจระเข้ป้องกันการอักเสบร่วมด้วย มีซีมิเนอรัล คือแร่ธาตุจากทะเลลึก สามอย่างมารวมกัน พอทานแล้วมันก็จะได้ผล มีฮาลาลสำหรับมุสลิมทั่วโลก และยังผ่านการทดสอบจากสถาบัน BrunSwick จากสหรัฐอเมริกา ในการวัดค่า ORAC สารต้านอนุมูลอิสระที่มีมากถึง 94,500 ชนะคู่น้ำผลไม้ทุกเจ้าในโลกนี้

ข้อสี่ แผนการตลาด มีจุดเด่นที่ทำง่ายเริ่มต้นธุรกิจด้วยสินค้าขวดเดียวราคา  พันกว่าบาท  เหมาะสำหรับคนทั่วไปไม่มีประสบการณ์ แต่ก็มีแผนธุรกิจสำหรับผู้นำเครือข่ายที่สามารถสร้างรายได้อย่างก้าวกระโดด สร้างแค่ 2 สายงาน ขาอ่อนให้มากถึง 17% ปกติบริษัทอื่นให้มากสุดเพียง 10% เท่านั้น และยังสามารถสร้างรายได้สูงสุดในข้อนี้ ถึง 3.5 ล้านบาท โดยรักษายอดเพียงขวดเดียวเท่านั้น และค่าสมัคร 350 บาท ยังได้รับการการคุ้มครองอุบัติเหตุส่วนบุคคล 1.4 แสนบาททันที

“และมีแมทชิ่งโบนัสที่ให้สูงสุดถึงคนละ 1,750,000 บาทต่อเดือน ในระดับลูก หลาน เหลน และที่สำคัญที่สุดรายได้ระยะยาวสำหรับผู้นำองค์กรที่มองหาความมั่นคง คือ โบนัสผู้นำ (Leadership Bonus) ซึ่งบริษัทให้ทั้งหมดมากกว่า 300 ล้านบาท โบนัสเริ่มจากตำแหน่งรูบี้ได้ 350,000 บาท  ต่อจากรูบี้ก็เป็นเอมเมอรัลด์ ได้ 875,000 บาท ไดมอนด์ ได้ 1,750,000 บาท และมีระดับกลางก็คือ blue diamond, black diamond, Royal diamond ระดับสูงสุดคือ presidential diamond ได้ 175,000,000 บาท พร้อมทั้ง 1% ยอดขายทั่วโลก”

ส่วนคณะผู้บริหารนั้น “Mr.David Phelps” จะเป็นไดเร็คเตอร์ออฟเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ “ชัยวัฒน์ ชัยจินดาวัธน์” เป็นผู้จัดการประจำประเทศไทย ด้านทีมงานฝ่ายขายในสายงานที่สำคัญ ประกอบด้วย นพ.สิทธวีร์ เกียรติชวนันท์, ไมเคิล ซาเฟล, ดนัย วงศ์ประเสริฐ, จีรวัฒน โชคนิมิตเขมวัตร และ อ.ประทีป แตงทอง มาจากประกันชีวิต โดยล่าสุด “เกลน    เจนเซ็น” (Mr.Glen Jensen) ผู้ก่อตั้งบริษัทเอเจลได้ตัดสินใจย้ายมาร่วมงานในฐานะ   ที่ปรึกษาฝ่ายผลิตภัณฑ์ของบีฮิปเรียบร้อยแล้ว

“ตอนนี้ถือว่าบีฮิปเป็นบริษัท ในฝันจริงๆ  เพราะจะตอบสนองคนได้ทุกอย่าง  ถึงแม้ชื่อเสียงบริษัทนี้เพิ่ง   ขึ้นมาปีที่สี่เอง แต่ว่าปีที่ห้าจะเป็นปีโมเมนตัม แล้วโมเมนตัมจะเกิดในเอเชียโดยเริ่มจากประเทศไทย เชื่อว่าในปีแรกเราจะทำราว 1 พันล้านบาทกันเลย ดิฉันอยากจะรวมพลคนมีศักยภาพทั้งหลายเข้ามาร่วมสร้างประวัติศาสตร์ให้แก่ชีวิตครอบครัวของท่าน โดยบีฮิปจะเป็นโอกาสทองทางธุรกิจให้แก่ท่านอย่างแท้จริง เพียงแค่ท่านทำงานหนักและอดทนรอความสำเร็จ ดิฉันรับรองว่าท่านจะไม่ผิดหวังกับบีฮิปโกลบอล อย่างแน่นอน”

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์เส้นทางนักขาย ปีที่ 8 ฉบับที่ 201 ปักษ์แรก ประจำวันที่ 1- 15 เมษายน 2554

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น