ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันอาทิตย์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2555

MLM Gossip (ล้วงลับคนเครือข่าย) : ไมเคิล ซาเฟล แห่ง บีฮิป (Bhip Thailand) ภาค 10 : แถลงข่าวตอบทุกข้อสงสัย ทั้งในเรื่องธุรกิจและเรื่องส่วนตัว


ไมเคิล ซาเฟล แฟนตาล กัญญาแถลงข่าวตอบทุกข้อสงสัย ทั้งในเรื่องธุรกิจและเรื่องส่วนตัว ไปชมคลิปงานแถลงข่าว ไมเคิล ซาเฟล แฟนตาล กัญญา แถลงข่าวตอบทุกข้อสงสัย ทั้งในเรื่องธุรกิจและเรื่องส่วนตัว ณ Pullman King Power Hoetl เมื่อวันที่ 21/09/2555 ไมเคิล ซาเฟล แฟนตาล กัญญา จะออกมาตอบทุกข้อสงสัย ไม่ว่าจะเป็นระบบธุรกิจขายตรง เรื่องรถหรู ข่าวหมอซี นักเที่ยวกลางคืน เรื่องโพสต์ข้อความลง facebook และอีกหลายเรื่องที่กำลังเป็นประเด็นร้อนอยู่ในขณะนี้ หวังว่าคลิป ไมเคิล ซาเฟล แฟนตาล กัญญาแถลงข่าวตอบทุกข้อสงสัย ทั้งในเรื่องธุรกิจและเรื่องส่วนตัว คลิปนี้คงจะไขข้อสงสัยให้กับหลายๆคนได้ ไม่มากก็น้อย ไปชมกันเลย


วันเสาร์ที่ 29 กันยายน พ.ศ. 2555

ข่าวนูไวท์ (Nuvite) : ร่วมแสดงความยินดี ในงาน "NUVITE ABSOLUTE BEAUTY ก้าวสู่ปีที่ 10"


นายทรงพล ชัญมาตรกิจ ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ทีวี ไดเร็ค จำกัด (มหาชน) ร่วมแสดงความยินดี ในงาน NUVITE ABSOLUTE BEAUTY ก้าวสู่ปีที่ 10 โดยมีแบรนด์ แอมบาสเดอร์สาวสวยตลอดกาลอย่าง เงาะ-กชกร นิมากรณ์ทำหน้าที่ดูแลแบรนด์นูไวท์มายาวนานกว่า 10 ปี พร้อมประกาศบุกตลาดอินโดจีน โดยตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 160 ล้านบาท



เผยแพร่ข่าวประชาสัมพันธ์

โดยบริษัท มาสเตอร์ มายด์ คอมมิวนิเคชั่นส์ จำกัด (ในนาม บมจ.ทีวีไดเร็ค)

ต้องการข้อมูลเพิ่มเติม กรุณาติดต่อ

ฐิยาภรณ์ ศรีอดุลย์พันธุ์ (ด๊ะ) โทร. 02 612 2081

Email : c_mastermind@hotmail.com

ข่าวแอมเวย์ (Amway Thailand) : รีแบรนด์กลุ่มครัวเรือน ภายใต้ชื่อใหม่ "แอมเวย์ โฮม" (Amway Home)


นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า จากรูปแบบการดำเนินชีวิตของผู้บริโภคในยุคปัจจุบันที่ เปลี่ยนไป โดยเริ่มหันมาใส่ใจกับการดูแลตนเอง ครอบครัว และที่อยู่อาศัยมากขึ้น จนกลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน โดยเฉพาะกระแสนิยมที่ให้ความสำคัญกับการใส่ใจสิ่งแวดล้อมมากขึ้นนั้น แอมเวย์จึงเล็งเห็นความสำคัญของความต้องการผู้บริโภคที่เติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับเพื่อเป็นการปรับภาพลักษณ์ของผลิตภัณฑ์ในกลุ่มนี้ให้มีความชัดเจนขึ้น และตอบรับความต้องการของผู้บริโภคได้ครอบคลุมมากที่สุด จึงได้ปรับโฉมหรือรีแบรนด์ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนทั่วโลก ภายใต้ชื่อใหม่ "แอมเวย์ โฮม" (Amway Home)


โดยการรวม 3 กลุ่มผลิตภัณฑ์เป็นหนึ่งเดียวกัน ประกอบด้วย "แอมเวย์ โฮม เอสเอ 8" ผลิตภัณฑ์ซักรีด, "แอมเวย์ โฮม แอล.โอ.ซี." ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดพื้นผิว และ "แอมเวย์ โฮม ดิช ดรอปส์" ผลิตภัณฑ์ล้างจาน ชูจุดเด่นด้านประสิทธิภาพการทำความสะอาดสูงสุด พร้อมด้วยส่วนผสมของสารสกัดจากธรรมชาติ และจากสูตรผสมที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ในกลุ่มนี้สามารถแสดงสัญลักษณ์ "การออกแบบเพื่อสิ่งแวดล้อม" หรือ Design for the Environment : DfE จากสำนักงานพิทักษ์สิ่งแวดล้อมแห่งสหรัฐอเมริกา (U.S. EPA)


นอกจากนี้ ได้เปิดตัว 2 ผลิตภัณฑ์ใหม่ ได้แก่ "แอมเวย์ โฮม ทอยเลต โบว์ล คลีนเนอร์" ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดโถสุขภัณฑ์ และ "แอมเวย์ โฮม เลเทอร์ แอนด์ ไวนิล คลีนเนอร์" ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดหนังและไวนิล เพื่อตอบรับทุกความต้องการในครัวเรือน ทั้งนี้มั่นใจว่าจะผลักดันให้แอมเวย์ โฮม เป็นที่หนึ่งในใจผู้บริโภคด้วยการเติบโต 10% ภายในสิ้นปี 55

ข่าวแอมเวย์ (Amway Thailand) : สานต่อ One by One: ยิ้มสยาม ครั้งที่ 15 ส่งมอบรอยยิ้มสดใสแก่เยาวชนไทยแล้วกว่า 1,700 คน


นางบุษปัน วังวิวัฒน์ ผู้อำนวยการฝ่ายทรัพยากรบุคคล บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด (กลาง) ร่วมกับมูลนิธิแอมเวย์เพื่อสังคมไทย และมูลนิธิสร้างรอยยิ้ม ประเทศไทย ดำเนินโครงการ One by One: ยิ้มสยาม ครั้งที่ 15 ณ โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ จังหวัดอุบลราชธานี เพื่อให้การรักษาเด็กที่มีอาการปากแหว่งเพดานโหว่โดยไม่คิดค่าใช้จ่าย ซึ่งเป็นการจัดบริการอย่างต่อเนื่อง 15 ปี มีเด็กไทยได้รับรอยยิ้มใหม่แล้ว 1,721 คน ใน 7 จังหวัด ได้แก่ อุบลราชธานี ยโสธร ลำปาง นครศรีธรรมราช ยะลา สุรินทร์ และตาก

ข่าวนีโอไลฟ์ (NeoLife) : ผนึก "เมก้าไลฟ์ ไซแอ้นซ์" เพิ่มโรงงานผลิตสินค้ารับแรงซื้อทะลัก


จากปัจจุบัน กระแสสุขภาพนับเป็นกระแสที่คนไทยให้ความนิยมสนใจ เป็นอย่างยิ่ง เนื่องจากความหมุนเวียนเปลี่ยนไปของโลกที่ทำให้โรคภัย ไข้เจ็บต่างๆ ทวีความรุนแรง และมีความหลากหลายมากขึ้น จนทำให้การรักษาให้หายจากโรคภัยเหล่านั้นเป็นเรื่องที่ยากขึ้น เหตุดังกล่าวการ ป้องกันจึงเป็นเรื่องที่ผู้คนหันมาให้ความสำคัญ

การป้องกัน ทำให้ร่างกายมีภูมิคุ้มกันรักษาและต่อต้านโรคภัยต่างๆ จึงเป็นทางออก ที่ดีที่สุด เพราะในเมื่อการรักษาร่างกายให้หาย จากโรคภัยต่างๆเป็นเรื่องยากและมีราคาแพงขึ้น การหาวิธีป้องกันจึงเป็นสิ่งที่ผู้คนใฝ่หา สิ่งที่ ถูกหยิบยกให้เป็นทางออกของการป้องกัน จาก โรคภัยที่ดีที่สุด คือการหาตัวช่วยที่เรียกว่า สินค้า เสริมอาหาร จึงเป็นที่นิยมเป็นอย่างยิ่ง

ธุรกิจขายตรงนับเป็นธุรกิจหนึ่งที่มีสินค้า เสริมอาหารเป็นตัวชูโรง เพราะไม่ว่าบริษัทใด แบรนด์ใด ก็มักจะมีผลิตภัณฑ์ประเภทนี้เป็นสินค้าเรือธงของบริษัท สินค้าเสริมอาหารของบริษัทขายตรงจึงกลายเป็นที่นิยมเป็นอย่างยิ่งของกลุ่มผู้บริโภค

บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด นับเป็นบริษัทขายตรงบริษัทหนึ่ง ที่มี สินค้ากลุ่มเสริมอาหารเป็นสินค้าตัวเอกของบริษัท ด้วยคุณภาพ ของสินค้ามาตรฐาน และความนิยมจากผู้บริโภค จนทำสินค้าของ นีโอ ไลฟ์ ได้รับความนิยมเป็นอย่างยิ่ง จนเกิดภาวะสินค้าขาดตลาด เนื่องจากความ ต้องการของผู้บริโภคที่มากขึ้น ไลน์การ ผลิตเดิมดูจะไม่เพียงพออีกต่อไป

จากปัจจัยความต้องการดังกล่าว ทำให้กลุ่มผู้บริหารของ นีโอ ไลฟ์ นำโดย ดร.นพรุจ เวชกุล ประธานกรรมการบริหาร ท่านประธาน ดร.รัชนี มหานิยม ประธานกรรมการบริหารฝ่ายสมาชิก/กรรมการผู้จัดการ นิโรธ เจริญประกอบ ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ และ พิศิษฐ์ แทนทิว ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการ/กรรมการบริหารของ บริษัท ต้องจัดการพาคณะนักธุรกิจอิสระระดับสูงของบริษัท เข้าเยี่ยมชมโรงงานเมก้าไลฟ์ ไซแอ้นซ์ ที่นิคมอุตสาหกรรมบางปู จ.สมุทรปราการ เพื่อรับรู้กระบวนการผลิตสินค้าเสริมอาหารเพื่อสุขภาพของบริษัท อีกทั้งยังเป็นการตอก ย้ำในเรื่องของความใส่ใจในตัวสินค้า และแสดงถึงความมีมาตรฐานของโรงงาน ผลิตสินค้า ที่ผลิตให้กับบริษัท

เมก้าไลฟ์ ไซแอ้นซ์ เป็นโรงงานผลิต สินค้าด้านเสริมอาหารชั้นนำของประเทศไทย และยังเป็นโรงงานที่ผลิตสินค้าเสริมอาหารส่งออกไปยังต่างประเทศกว่า 20 ประเทศทั่วโลกผ่านช่องทางต่างๆ โดย นีโอ ไลฟ์ นับเป็นบริษัทขายตรงหนึ่งเดียว ที่ได้รับสิทธิ์ในการรับสินค้าของโรงงานไป จำหน่ายผ่านช่องทางธุรกิจขายตรง

โรงงานเมก้าไลฟ์ ไซแอ้นซ์ ปัจจุบันมีทั้งหมด 2 โรงงาน แต่ด้วยกระแสสุขภาพ ที่นับวันจะได้รับความนิยมจากผู้บริโภคสูงขึ้น สินค้าที่ผลิตจากโรงงานก็ยิ่งได้รับความนิยมสูงขึ้นตาม ด้วยคุณภาพและมาตรฐานของการผลิต ทำให้ทางกลุ่มผู้บริหารของโรงงานต้องทำการเพิ่มกำลังการผลิตให้มากขึ้น ด้วยการเพิ่มโรงงานการผลิตขึ้นมาอีก 1 โรงงานเป็น 3 โรงงาน

โดยในส่วนของโรงงานที่ 3 นั้น จะมี การนำเทคโนโลยีการผลิตเข้ามามากขึ้นกว่า 2 โรงงานเดิม เนื่องจากปัจจุบันเรื่อง ของจำนวนแรงงานกลายเป็นปัญหาของโรงงาน ทำให้ทางโรงงานต้องนำเทคโนโลยีเข้ามามากขึ้น เพื่อทดแทนกำลังคนที่นับวันจะหายากขึ้นทุกที ซึ่งในส่วนของโรงงานที่ 3 ที่กำลังจะเกิดขึ้นนั้น คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณช่วงกลางปี 56 หรือ ปีหน้านี้

อย่างไรก็ดี ในส่วนของ นีโอ ไลฟ์ ดร.นพรุจ เวชกุล นายใหญ่ของบริษัท กล่าวว่า นับเป็นเรื่องดี ที่บริษัทมีสินค้าที่ผ่านการผลิตจากโรงงานที่มีชื่อเสียง และได้รับความไว้ใจจากผู้คนกว่า 20 ประเทศ ซึ่งในส่วนนี้จะทำให้บริษัทมีความได้เปรียบ ในเรื่องของสินค้าเพิ่มมากขึ้น เพราะจากคุณภาพสินค้า และมาตรฐานโรงงาน นีโอ ไลฟ์ นับว่าได้ประโยชน์จากสิ่งนี้เป็นอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ จากการที่โรงงานได้ทำการขยายฐานการผลิตออกไปยังต่าง ประเทศแล้ว การที่ นีโอ ไลฟ์ จะทำ การขยายตลาดตามกลยุทธ์รุกคืบออกต่างประเทศรับมือการเปิดการค้าเสรีอาเซียน สิ่งนี้ก็นับว่าส่งอานิสงส์ให้กับ นีโอ ไลฟ์ เพราะเมื่อโรงงานผลิตสินค้า มีอยู่ในต่างประเทศ การที่ นีโอ ไลฟ์ จะขยายตามออกไป เรื่องสินค้าย่อมมีความได้เปรียบ เพราะคนในประเทศที่มีโรงงานของ เมก้าไลฟ์ ย่อมรู้จักสินค้า และเมื่อ นีโอ ไลฟ์ ขยายตาม ผู้บริโภคในประเทศนั้นๆ ก็จะสามารถซื้อ สินค้าของเมก้าไลฟ์ ผ่านช่องทางขายตรง โดยมี นีโอ ไลฟ์ เป็นผู้จำหน่าย

ทั้งนี้ จากที่กล่าวมา เมก้าไลฟ์ และ นีโอ ไลฟ์ นับเป็นคู่หูธุรกิจที่เหมาะสม เพราะจากที่ทราบ ธุรกิจขาย ตรงสิ่งสำคัญคือสินค้า และโรงงานผลิต จะต้องมีช่องทางขายที่ดี ซึ่งทั้ง เมก้าไลฟ์ และ นีโอ ไลฟ์ ต่างได้ประโยชน์ ในส่วนของธุรกิจ ส่วนผู้บริโภคก็จะได้รับประโยชน์จากสินค้าที่ได้ทาน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1339 ประจำวันที่ 29-9-2012 ถึง2-10-2012

ข่าวโมรินดา (Morinda) : ฉลองครบ 12 ปี เปิดสินค้าใหม่กลุ่ม "ไบโอ-แอคทีฟ (Bio-Active)"


นายเจฟฟรีย์ วอสซ์เดน รองประธาน ฝ่ายการตลาด บริษัท โมรินดา อิงค์ กล่าวว่า กลยุทธ์การดำเนินงานของ โมรินดา เรายังคงใช้กลยุทธ์หลัก โดยการขยาย เครือข่ายในรูปแบบปากต่อปาก คือ ใช้ดี แล้วบอกต่อ สู่เพื่อน ญาติพี่น้อง หรือบุคคล ที่เราอยากให้เขามีสุขภาพที่ดี ซึ่งที่ผ่านมา ถือว่ากลยุทธ์ดังกล่าวได้ผลเป็นที่น่า พอใจ ทำให้บริษัทเติบโตอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้บริษัทก็ยังมีหลักการทำงานที่จะเน้น การปฏิบัติให้ครอบคลุม 4 ข้อหลักๆ ได้แก่

1.การสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ให้เป็นที่ยอมรับทั่วประเทศ และในทุกกลุ่มบุคคล ซึ่งการยอมรับในที่นี้ หมายถึง ผู้บริโภค อยากจะเข้ามามีส่วนร่วมกับบริษัท ด้วยใจ ไม่ใช่การบีบบังคับ หรือเพียงเพราะ ผลประโยชน์ทางธุรกิจ 2.บริษัทต้องมีระบบ การจำหน่ายสินค้าที่ทุกคนสามารถซื้อได้สะดวก และมีบรรจุภัณฑ์ที่พกพาได้ง่าย ผู้ บริโภคอยากจะดื่มก็ดื่มได้ทันที 3.ต้องมีสินค้าให้เพียงพอกับความต้องการของผู้บริโภค สามารถส่งถึงมือผู้บริโภคได้ตลอด เวลา และ 4.ต้องสร้างภาพลักษณ์ที่ดี อย่างใครพูดถึงบริษัทก็จะต้องพูดถึงแต่เรื่องดีๆ ซึ่งจะเห็นได้ว่าจากหลักการทำงานดังกล่าว บริษัทไม่ได้คำนึงถึงแต่เรื่องยอดขาย แต่เรา ต้องคำนึงถึงความรู้สึกร่วมของผู้บริโภค ให้พวกเขารักผลิตภัณฑ์ของบริษัทจริงๆ

เจฟฟรีย์ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับกลยุทธ์การดำเนินงานของบริษัทว่า ปัจจุบันบริษัทเริ่มมีการออกแบบบรรจุภัณฑ์ ของน้ำโนนิ ให้มีหลายขนาด และมีหลายราคาเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคทุกๆกลุ่ม ทั้งผู้ที่มีกำลังซื้อมากและน้อยลดหลั่นกันไป ซึ่งขณะนี้ต่างประเทศเริ่มนำออกมาวางจำหน่ายแล้ว ส่วนกิจกรรมภายในงานเฉลิม ฉลองครั้งนี้ โมรินดาประเทศไทยจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม BIO ACTIVE อีก 3 รายการ นอกจากนั้นเรายังเตรียมนำเข้าผลิตภัณฑ์ใหม่ เกี่ยวกับการลดน้ำหนักเข้ามาทำตลาดในประเทศไทยอีกหนึ่ง รายการ โดยคาดว่าจะนำเข้ามาจำหน่ายได้ภายใน 2-3 เดือนข้างหน้า

ส่วนการจัดงานเฉลิมฉลองครบรอบ 12 ปี โมรินดาประเทศไทย ตนรู้สึกยินดีที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของผู้เข้าร่วมงานในครั้งนี้ ซึ่งในฐานะรองประธานฝ่ายการตลาด ตนต้องขอยืนยันว่าผลิตภัณฑ์ทุกตัวของบริษัท เป็นผลผลิตจากธรรมชาติที่มีคุณภาพ และปลอดภัย 100% บริษัทไม่มีการสังเคราะห์ สินค้าขึ้นมา แต่จะใช้วัตถุดิบจากธรรมชาติ ที่ผ่านการค้นคว้าวิจัยทั้งหมด และนอก จากนั้นสินค้าทุกตัวของเราต้องได้รับการตรวจสอบด้วยกระบวนการทางวิทยาศาสตร์ ว่ามีความปลอดภัย และมีคุณภาพ เหมาะกับผู้บริโภคทุกกลุ่ม เจฟฟรีย์ กล่าว

ด้านนางวิภารัตน์ รัตนพรหมมา ผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัทโมรินดาเวิร์ลไวด์ (ประเทศไทย) จำกัด ให้ข้อมูล เพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่ม BIOACTIVE อีก 3 รายการ ว่า ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ตาฮิเตียนโนนิ ที่จดทะเบียนได้รับชื่อไบโอแอคทีฟ ต่อท้ายนั้นมี 3 ราย การ ด้วยกันคือ ไบโอ แอคทีฟ เพียว แมงโกและเกรพ ซึ่งเป็นที่น่าภาคภูมิใจที่ผลิต ภัณฑ์เสริมอาหารของบริษัทถือเป็นเจ้าแรก ที่ได้จดทะเบียน ได้ชื่อ ไบโอแอคทีฟ สิ่งนี้ถือเป็นนวัตกรรมใหม่ที่น่าสนใจสำหรับวง การธุรกิจขายตรงในประเทศไทย

ไบโอแอคทีฟ ถ้าแปลเป็นภาษาไทยอย่างเป็นทางการ หมายถึง ออกฤทธิ์ ทางชีวภาพ สามารถกระตุ้นระบบภูมิคุ้ม กันของร่างกาย ควบคุมการทำงานของเซลล์ และสร้างเซลล์ใหม่เพื่อทดแทนเซลล์ที่เสื่อมไป ถือเป็นนวัตกรรมใหม่สำหรับ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่ยังไม่มีบริษัทไหน ในประเทศไทยสามารถทำได้อย่างเรา ซึ่งสินค้าที่เปิดตัวใหม่นี้ ทางบริษัทมีความ มั่นใจว่า จะทำให้บรรดานักขายของเราทำงานได้ง่ายขึ้น

ทั้งนี้ในไตรมาสสุดท้าย นอกจากบริษัทจะมีสินค้าตัวใหม่ที่เข้ามาแล้ว ยังมีงานวิจัยและกิจกรรมมากมายทั้งสาขาไทย และทั่วโลก เช่น เรื่องของการประชุมงาน วิจัยของนักวิทยาศาสตร์และแพทย์จากทั่วโลก โดยจะมีการนำเสนอผลงานเชิงวิชาการ ซึ่งงานทางด้านวิจัยที่จะออกมาจะเป็นตัวที่จะทำให้ผู้บริโภครู้จักกับสินค้าของบริษัท รวมถึงการเชื่อมั่นและยอมรับ ถึงคุณภาพ มาตรฐานของสินค้าเรามากขึ้น


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1339 ประจำวันที่ 29-9-2012 ถึง2-10-2012

J&C ทุ่มงบเนรมิตงานประกาศเกียรติคุณ MDP ภาคใต้ ประจำปี 2555 สุดอลังการ!!!


เมื่อวันอาทิตย์ที่ 16 กันยายน 2555 ที่ผ่านมา บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด ทุ่มงบกว่า 3 ล้านบาท เนรมิตห้องคอนแวนชั่นฮอลล์ ศูนย์ประชุมนานาชาติฉลองสิริราชสมบัติ 60 ปี มอ. หาดใหญ่ จังหวัดสงขลา จัดงานประกาศเกียรติคุณ MDP ระดับภูมิภาค (ภาคใต้) ประจำปี 2555 ขึ้น โดยมีดร.สมชาย และดร.กฤตภัค หัชลีฬหา เป็นประธานในงาน พร้อมด้วยคณะผู้บริหารของบริษัทฯ มีการแสดงเปิดงานอย่างยิ่งใหญ่อลังการด้วยนาฏศิลป์ไทยประยุกต์ ในงานนี้มีผู้เข้ารับโล่และเข็มประกาศเกียรติคุณ ในตำแหน่ง Manager แผน Balance Team จำนวน 41 รหัส และตำแหน่ง Director แผน Balance Team จำนวน 22 รหัส พร้อมกันนี้ผู้เข้าร่วมงานยังได้โอกาสรับฟังการแบ่งปันประสบการณ์ดีๆ จากผู้ประสบความสำเร็จในธุรกิจ ต่อจากนั้นประธานกรรมการ ดร.สมชาย หัชลีฬหา ได้ขึ้นกล่าวแสดงวิสัยทัศน์และแผนการทำงานของบริษัทที่พร้อมก้าวสู่ ทศวรรษใหม่จอยแอนด์คอยน์ ห้างขายตรงโมเดิร์นเทรดแห่งแรกของไทย ภายในงาน J&C Shop รูปแบบใหม่มาเปิดขายสินค้า รวมทั้งสินค้าจากพันธมิตรธุรกิจกว่า 30 ราย เพิ่อให้พี่น้องสมาชิกชาวใต้ที่เดินทางมาร่วมงานอย่างล้นหลามเกินความคาดหมายกว่า 4,000 คน ได้ช้อปกันอย่างจุใจ ปิดท้ายการฉลองความสำเร็จด้วยมินิคอนเสิร์ตจากนักร้องลูกทุ่งชื่อดัง ฝน ธนสุนทร และการจับฉลากผู้โชคดีรับรางวัล รถยนต์ NISSAN MARCH และในครั้งหน้าเตรียมพบกันที่ภาคอีสาน ซึ่งดร. สมชายได้กระซิบมาแล้วว่ายิ่งใหญ่อลังการไม่แพ้กันอย่างแน่นอน

วันศุกร์ที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2555

ขายตรงอาเซียน (AEC MLM) : ขายตรงฟิลิปปินส์รับอานิสงส์จีดีพีโต ปี 2554 ยอดขายพุ่ง 37% ยักษ์มะกันตีปีก


เอเอ็นแซท แบงก์ ธนาคารขนาดใหญ่แห่งหนึ่งของออสเรตเลียเผยฟิลิปปินส์กลุ่มประเทศที่มีผลงานด้านเศรษฐกิจดีที่สุดในเอเชีย และยังคงมีแนวโน้มเช่นนี้ในอนาคต เป็นข่าวดีสำหรับบริษัทขายตรงทุกแห่งที่เปิดธุรกิจอยู่ในฟิลิปปินส์


พอล กรุนวาล์ด หัวหน้านัก เศรษฐศาสตร์ภาคพื้นเอเชีย แปซิฟิเอ เอ็นแซท แบงก์กล่าวกับสำนักข่าวเอเอ็น ซีว่า เศรษฐกิจของฟิลิปปิส์ หอมหวาน มากทีเดียว


เรามีความรู้สึกเป็นบวกมากๆ กับเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ ผมเพิ่ง เดินทางกลับมาจากนิวยอร์ค นักลงทุน ที่นั่นสนใจเศรษฐกิจของฟิลิปปินส์ เรา มองเห็นเศรษฐกิจประเทศนี้หอมหวาน มากๆ จีดีพีน่าจะเติบโตประมาณ 5-6% แข็งแกร่งมากและเงินเฟ้ออยู่ ภายใต้การควบคุม


กรุนวาล์ดตั้งข้อสังเกตถึงการ พัฒนาโครงสร้างด้านเศรษฐกิจ 2 สว่ นที่ ทำให้เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์มีแนวโน้ม ดีคือความพยายามของรัฐบาลฟิลิปปินส์ ที่จะปรับงบประมาณของประเทศให้ สมดุลย์ทั้งปรับปรุงการปล่อยกู้สาธารณะ และการใช้จ่ายของภาครัฐและส่งเสริมธุรกิจต่างๆ หันไปใช้เอาต์ซอร์สซึ่งเป็น ธุรกิจที่กำลังบูมมากในขณะนี้


การส่งเสริมให้ธุรกิจต่างๆ พึ่งพาเอาต์ซอร์สดูเหมือนจะกระตุ้น เศรษฐกิจภายในประเทศได้อย่างดีที เดียว เมื่อนำทั้ง 2 ส่วนมาประกอบเข้า ดว้ ยกนั เราจะเหน็ ว่า ฟิลิปปินส์ อีกหนึ่งในประเทศที่มีผลงานด้านเศรษฐกิจดี ที่สุดในเอเชียประเทศหนึ่ง


กรุนวาล์ดกล่าวอีกว่า ขณะที่ ฟิลิปปินส์เอาตัวรอดจากวิกฤตหนี้สินยูโร โซนและวิกฤตเศรษฐกิจทั่วโลกที่กำลัง ชะลอตัวซึ่งเป็นผลกระทบมาจากวิกฤต ยุโรป ฟิลิปปินส์ไม่ได้มีภาษีดีกว่าอินเดีย และอินโดนีเซียที่ใช้การบริโภค อุปโภค ภายในประเทศกระตุ้นการเติบโตของ เศรษฐกิจ แต่เศรษฐกิจของฟิลิปปินส์อาจ จะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งมากกว่า ประเทศเศรษฐกิจเปิดอย่างสิงคโปร์และ ฮ่องกงด้วยซํ้า


ฟิลิปปินส์เปรียบเสมือนบ้านของ บริษัทขายตรงจากสหรัฐฯหลายบริษัท อาทิ แอมเวย์, เอวอน, ฟอร์เวเวอร์ ลิฟวิ่ง โปรดักส์, 4ไลฟ์ รีเสิร์ช,จีเอ็นแอลดี อินเตอร์ เนชั่นแนล, เฮอร์บาไลฟ์, แมรี่ เคย์, นิคเคน, นู สกิน, รีลิฟ และทัพเพอร์แวร์ แบรนด์


สำหรับผลงานธุรกิจขายตรงของ ฟิลิปปินส์ จากข้อมูลของสมาพันธ์สมาคม การขายตรงโลก (World Federation of Direct Selling Association : WFDSA) ปี 2554 ฟิลิปปินส์มียอดขาย 750 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ (1 ดอลลาร์สหรัฐประมาณ 31 บาท) เพิ่มขึ้น 37% เทียบกับปี 2553 ที่มียอดขาย 546 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ขณะ ที่นกั ขายลดลง 771,000 คน จาก 3,210,000 ในปี 2553 เหลือ 2,439,000 คน


นอกจากฟิลิปปินส์จะมีบริษัทขาย ตรงของสหรัฐฯเข้ามาปักหลักอยู่หนาตา แล้ว เมื่อปีก่อน บริษัท สแตนโฮม เวิลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล แบรนด์ขายตรงอันดับ 1 ผลิตภัณฑ์ดูแล ทำความสะอาดบ้าน ในยุโรป ซึ่งเป็นของ Groupe Yves Rocher หนึ่งในบริษัทเครื่องสำอางชั้น นำของโลกจากฝรั่งเศสได้ขยายธุรกิจ มายังเอเชียเป็นครั้งแรก โดยเปิดสาขา แรกขึ้นในฟิลิปปินส์ ใช้ชื่อบริษัทว่า สแตนโฮม เวิลด์ ฟิลิปปินส์


เยอมัน มาร์ติเนส ผู้จัดการทั่วไป และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) สแตนด์โฮม เวิลด์ อินเตอร์เนชั่นแนล กล่าวระหว่างร่วมพิธีเปิดสาขาใน ฟิลิปปินส์ว่า เป้าหมายของบริษัทคือการ เปลี่ยนชีวิตผู้หญิงชาวฟิลิปปินส์และแม่ ทุกคนให้มีชีวิตที่ดีขึ้น โดยบริษัทมีแผน จะพัฒนาฟิลิปปินส์เป็นศูนย์กลาง Hub ของเอเชียรองรับการขยายธุรกิจไปยัง ประเทศอื่นๆ ในเอเชียภายใน 5 ปีนับจากนี้


ในการขยายธุรกิจในฟิลิปปินส์ สแตนโฮม เวิลด์จะแนะนำผลิตภัณฑ์ที่มี คุณภาพสูง มีศักยภาพในการขาย มากกว่า 300 ชนิดครอบคลุมทั้งผลิตภัณฑ์ ดูแล ทำความสะอาดบ้านเพื่อปกป้อง รักษาสุขภาพของทุกคนในครอบครัวให้ มีสุขภาพกาย สุขภาพใจแข็งแรงรวมไป ถึงผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง บำรุงผิว เสื้อผ้าและชุดชั้นในสตรี


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ธุรกิจเครือข่ายขายตรง ฉบับที่ 236 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16-30 กันยายน 2555

ข่าวขายตรงโลก (MLM World) : ยก "ขายตรง" โมเดลด้านวิบากกรรม ศก.ยุโรป สินค้าตลาดแมสเวิร์ค! ปัจจัยบวก "ความต้องการเยอะ"


แบรนด์ขายตรงชั้นนำของโลกไม่ว่าจะเป็น เอวอน , แมรี่เคย์ , ออริเฟลม , นู สกิน หรือแม้แต่นาทูร่าที่เปิดธุรกิจอยู่ในยุโรปท่ามกลางปัจจัยท้าท้ายจากภาวะเศรษฐกิจถดอยเห็นตรงกัน ธุรกิจขายตรงคือกุญแจที่จะต่อกรกับภาวะเศรษฐกิจถดถอยในยุโรปได้ เห็นได้จากผลประกอบการในภาคพื้นยุโรปของทุกบริษัทยังมีตัวเลขเติบโต

DirectSellingNews ฉบับเดือน สิงหาคมเปิดเผยรายงานของ วายสเตท ดอทคอม บริษัทวิจัยตลาดชั้นนำที่ได้ รวบรวมผลประกอบการในภาคพื้นยุโรป ของบรรดาบริษัทขายตรงยักษ์ใหญ่ของ โลกและเพิ่งนำออกเผยแพร่ระบุ บริษัท ขายตรงจำนวนมากมองแนวโน้มธุรกิจ ขายตรงในยุโรปยังคงเป็นบวกอยู่แม้ส ถาณการณ์ด้านเศรษฐกิจจะท้าทายอยู่ มากก็ตามและเห็นทิศทางการขยายตัว เพิ่มขึ้นด้วย

ฝรั่งเศส-เยอรมัน มหาอำนาจขายตรง ผลิตภัณฑ์ตลาดแมสแนวโน้มดี
วายสเตทดอทคอมเปิดเผยว่า ตลาดขายตรงที่มีผลการดำเนินงาน แข็งแกร่งมากในปีที่ผ่านมาคือฝรั่งเศส และเยอรมนี โดยทั้งสองประเทศคือแหล่ง ผลิตรายได้สูงสุดในอุตสาหกรรมขายตรง ของยุโรป ขณะที่รัสเซียคือประเทศที่มี การจ้างงานขายตรงมากที่สุดของภูมิภาค ซึ่งในปีที่ผ่านมาธุรกิจขายตรงของรัสเซีย มียอดขายเพิ่มขึ้นเป็นตัวเลขหลักเดียว เทียบกับปีก่อนหน้า

นอกจากนี้ยังมีตลาดขายตรงใน กลุ่มประเทศทะเลบอลติคได้แก่ลิทัวเนีย, ลัตเวีย, เอสโตเนียและฟินด์แลน์ ที่เกิดขึ้น จากการแยกตัวออกจากสหภาพโซเวียต หรือรัสเซียและเป็นประเทศสมาชิกน้อง ใหม่ในสหภาพยุโรป (อียู) ถูกมองว่ามี แนวโน้มขยายตัวได้ดีในปี 2555 นี้เช่นกัน รวมไปถึงนอร์เวย์ และตุรกีซึ่งผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอางและบำรุงผิวมียอดขายเพิ่ม ขึ้นมาก

สำหรับในปี 2555 ผลิตภัณฑ์ ที่ทำตลาดแมสอาทิ เครื่องสำอางและ แฟชั่นเป็นกลุ่มสินค้าที่จะมีศักยภาพใน การขยายตัวสูงโดยเฉพาะในประเทศ โปแลนด์ บริษัทที่ขายสินค้ากลุ่มนี้จะ ประสบความสำเร็จสูงมาก ขณะที่ยูเครน มีอัตราเติบโตมั่นคงมากเช่นกัน

เครื่องสำอาง-เพอร์ซันนัล แคร์ นำโด่ง ค่ายขายตรงอเมริกา/ยุโรปยังโตได้ดี
ผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายสูงสุดใน ตลาดขายตรงยุโรปไม่ต่างจากภูมิภาค อื่นนั่นคือเครื่องสำอางและเพอร์ซันนัล แคร์ยังคงครองส่วนแบ่งตลาด(มาร์เก็ต แชร์) อันดับหนึ่ง รองลงมาคือผลิตภัณฑ์ เกี่ยวกับครัวเรือน ขณะที่เสริมอาหารมี อัตราเติบโตเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

สำหรับผลงานของค่ายขายตรงชั้นนำเริ่มจากเอวอนแม้ผลงานในภาพ รวมปีนี้จะมีผลกำไรลดลงมาก แต่สำหรับ ในยุโรปแล้ว เอวอนเป็นบริษัทที่ถูกมอง ว่ามีผลประกอบการดีที่สุดทำยอดขายได้ สูงสุดในภูมิภาคนี้ ส่วนแมรี่เคย์ มีผลงาน ที่ดีมากในประเทศยุโรปทั้ง 15 ประเทศ ที่แมรี่เคย์เปิดธุรกิจอยู่ ตลาดใหญ่คือ เยอรมนีมีนักขายอยู่มากกว่า 24,000 คน นอกจากนี้ยังมีออริเฟลม, นาทูร่า คอสเมติค, นู สกิน, เอมอร์ แปซิฟิกและมีนาร์ด เจแปน คอสเมติคซึ่งลล้วนมีผลงานใน ยุโรปดีเช่นกัน

ส.ขายตรงชี้เทรนด์บวก ความต้องการเยอะ ศูนย์กลาง ฟื้นคนใช้จ่าย
Maurits Bruggink กรรมการ บริหารสมาคมการขายตรงยุโรปเชื่อว่า ธุรกิจขายตรงของยุโรปยังคงเติบโตเป็น บวกได้ตลอดปี 2555 บางประเทศจะ เติบโตได้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทั้งภูมิภาค ด้วยซํ้าโดยเฉพาะในกลุ่มประเทศตลาด เกิดใหม่ทั้งในแถบยุโรปตอนกลางและ โซนตะวันออกไม่ว่าจะเป็นรัสเซีย ยูเครน และประเทศทะเลบอลติค ขณะที่ตุรกียัง คงเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักได้

ปัจจัยบวกกระตุ้นการเติบโตของ กลุ่มประเทศเหล่านี้มีอยู่ด้วยกัน 4 ข้อ คือ1.มีความต้องการมากในแถบยุโรป ตะวันตกโดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่มีแบรนด์ อาทิ เครื่องสำอางและผลิตภัณฑ์เกี่ยว กับครัวเรือน 2.พัฒนาการของเศรษฐกิจ ที่มีอยู่ทั่วไปเป็นปกติทำให้ผู้บริโภคใช้ จ่ายมากขึ้น 3.ความกระตือรือร้นในการ ทำงานของเจ้าของธุรกิจรวมไปถึงการ เสริมสร้างความมั่งมี ยกระดับฐานะของ ตัวเองและ 4.การปรับปรุงกฎระเบียบ ต่างๆ เพื่อส่งเสริมการขยายตัวของธุรกิจ ขายตรง

แม้ประเทศในยุโรปตะวันตกและ ยุโรปตอนใต้บางประเทศจะได้รับผลก ระทบจากวิกฤตเศรษฐกิจและการเงิน แต่รวมๆ แล้วยังเติบโตได้อยู่เป็นตัวเลข หลักเดียว โดยเยอรมนียังคงเป็นตลาด ที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของยุโรปอยู่และเริ่ม เก็บเกี่ยวประโยชน์จากการฟื้นตัวของ เศรษฐกิจ ส่วนฝรั่งเศสและประเทศ แถบสแกนดิเนเวียยังคงมีมุมมองบวก อยู่เนื่องจากรัฐบาลแต่ละประเทศให้การ รับรองและเพิ่มมาตรการสนับสนุน เศรษฐกิจมากขึ้น

ขณะที่อิตาลีซึ่งเป็นตลาดขายตรง ที่มีขนาดใหญ่เป็นลำดับสองของอียูยังคงไม่แน่ไม่นอนเพราะไม่สามารถคาดเดา ได้ว่าวิกฤตการเงินจะก่อให้เกิดหนี้เสียใน ประเทศเพิ่มอีกมากน้อยแค่ไหน

ขายตรงยุโรปอันดับสามดลก ส่วนแบ่งตลาด 21% รองเอเชีย / อเมริกา
ส่วนในอังกฤษ พอล เซาธ์เวิร์ธ กรรมการสมาคมการขายตรงอังกฤษให้ ความเห็นว่า การกลับมามีชีวิตชีวาของ ธุรกิจขายตรงภายในประเทศส่วนหนึ่ง มาจากกฎกติกาในการกำกับดูแลธุรกิจที่มีการปรับปรุงใหม่และนำออกมาบังคับ ใช้เมื่อไม่นานมานี้รวมไปถึงโมเดลธุรกิจ ใหม่ๆ ที่เกิดขึ้น สื่อสังคมต่างๆ ที่ช่วย ให้การติดต่อสื่อสารง่ายขึ้น นักขายใหม่ๆ โดยเฉพาะผู้ชายที่หันมาทำขายตรงมาก ขึ้นจากเดิมที่มีแต่ผู้หญิง ซึ่งในปีที่ผ่าน มาอุตสาหกรรมขายตรงของอังกฤษมี นักขายผู้ชายเพิ่มขึ้นถึง 26% เทียบกับปี 2553

ปัจจุบัน ธุรกิจขายตรงของ ยุโรปมียอดขายมากเป็นอันดับสามของโลก โดยในปี 2554 ตามข้อมูล ของสมาพันธ์สมาคมการขายตรงโลก (World Federation of Direct Selling Association:WFDSA) ขายตรงของยุโรป ประกอบด้วยยุโรปตะวันตก, ตะวันออก และตอนกลาง มียอดขายรวม 32,760 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแบ่งตลาด 21.31% นักขาย 20,118,985 คน เทียบ กับธุรกิจขายตรงทั่วโลกที่มียอดขาย ทั้งสิ้น 153,727 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (1 ดอลลาร์สหรัฐประมาณ 31 บาท) นักขาย91,533 825 คน

ภูมิภาคที่ครองอันดับหนึ่งคือ เอเชีย แปซิฟิกมียอดขาย 66,871 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแบ่งตลาด 44% นักขาย 52,007,014 คน รองลงมาคือ อเมริกา(รวมสหรัฐอเมริกา) มียอดขาย 60,429 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแบ่ง ตลาด 39% นักขาย 26,744,908 คน

สำหรับฝรั่งเศสและเยอรมนีซึ่งจัด เป็นประเทศที่ทรงอิทธิพลในแวดวงขาย ตรงของยุโรปนั้นติดกลุ่มตลาดขายตรง ที่มียอดขายมาก 10 อันดับ(ท็อปเทน) ของโลกด้วย โดยฝรั่งเศสอยู่อันดับเจ็ด กระโดดขึ้นมาจากอันดับสิบในปี 2553 ด้วยยอดขาย 5,139 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้นถึง 114.39% หรือกว่าเท่าตัว ส่วน แบ่งตลาดเพิ่มขึ้นจาก 2% เป็น 3% นัก ขาย 480,000 คน ขณะที่เยอรมนีหล่น จากอนั ดบั เจด็ ไปอยอู่ นั ดบั แปดยอดขาย 3,743 ล้านดอลลาร์สหรัฐ ลดลง 1% ส่วน แบ่งตลาดลดลงจาก 3% เหลือ 2% นัก ขาย 284,906 คน

ส่วนรัสเซียหล่นจากอันดับเจ็ดไป อยู่อันดับเก้าด้วยยอดขาย 3,589 ล้าน ดอลลาร์สหรัฐ เพิ่มขึ้น 8.06% ส่วนแบ่ง ตลาดลดลงจาก 3% เหลือ 2% นักขาย 4,077,181 คน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ธุรกิจเครือข่ายขายตรง ฉบับที่ 236 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16-30 กันยายน 2555

วันพุธที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2555

สัมภาษณ์พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค: เปิดวิสัยทัศน์กับ คุณพงษ์กฤตย์ องค์ศิริวัฒนา และ คุณนัทธวัฒน์ ธีระวาณิชย์ ธีระวาณิชย์











 


สัมภาษณ์พระรามเก้า เน็ตเวิร์ค คุณพงษ์กฤตย์ องค์ศิริวัฒนา และคุณคุณนัทธวัฒน์ธีระวาณิชย์ธีระวาณิชย์ ขายตรงน้องใหม่มาแรงลุยตลาดสุขภาพเติมตัวด้วยสมุนไพรจีนที่สืบทอดมาอย่างยาวนาน


1.ก่อนอื่นทางเว็บไซต์ ไทยเอ็มแอลเอ็มนิวส์ อยากทราบก่อนเลยว่าทางพระรามเก้า มีความเป็นมาอย่างไรบ้างครับ


บริษัทพระรามเก้า เน็ตเวิร์ค ได้เปิดแถลงข่าวเมื่อต้นปีที่ผ่านมาในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2555 โดยมีการเปิดตัวบริษัทพร้อมด้วยสินค้าหลัก 3 กลุ่มด้วยกัน ตัวกลุ่มหลักของเราคือสินค้าสมุนไพรจีนเพื่อสุขภาพ ส่วนที่สองคืออาหารเสริม และส่วนสุดท้ายคือเครื่องสำอาง โดยเป้าหมายหลักของเรา ทางท่านประธานเสกข์สรร ธีระวาณิชย์ มีความมุ่งหวังอย่างแท้จริงเพื่อให้คนไทยได้รู้จักสมุนไพรจีนกว้างขวางมากขึ้น แล้วที่ท่านประธานมาทำธุรกิจเครือข่ายเพราะว่าทางท่านประธานมีสูตรสมุนไพรจีนโบราณที่สืบทอดกันมาตั้งแต่รุ่นทวดซึ่งเป็นแพทย์อยู่ในราชวงศ์จีนของท่านประธานแต่จริงๆ แล้วสูตรยาสูตรนี้ได้รับการปรุงมาอย่างยาวนานในราชวงศ์จีนและได้รับสืบทอดกันมาเป็นรุ่นต่อรุ่นที่มีอายุมากกว่า 500 ปี ซึ่งส่วนผสมต่างๆ ผ่านการคัดสรรมาเป็นอย่างดีแล้วและธุรกิจขายตรงเหมาะที่สุดในการกระจายสินค้าให้ถึงมือผู้บริโภคและได้รับรายละเอียดอย่างแท้จริง


 


2.ตรงนี้ทางเราอยากทราบคุณสมบัติของสมุนไพรจีนของทางพระรามเก้าเน็ตเวิร์คหน่อยครับว่ามีคุณสมบัติอะไรบ้างแล้วมีความเป็นมาอย่างไร


สินค้าในกลุ่มสมุนไพรจีนตัวแรกที่แนะนำคือ ยาน้ำสมุนไพรจีน ปาซินสุ่ย เป็นสมุนไพรจีนที่ล้ำค่า สกัดตามสูตรจากราชวงค์จีนโบราณ สมุนไพรที่เป็นส่วนสำคัญคือ ปักคี ตังกุย ตังเซียม นำมาผสมผสานด้วยกัน รับประทานง่ายเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย ช่วยบำรุงสุขภาพให้แข็งแรงผลิตภัณฑ์กลุ่มยาบำรุงต้นตำรับจากประเทศจีนสืบทอดมาหลายชั่วอายุคนผสมผสานจากสมุนไพรหลายชนิดเพื่อดูแลสุขภาพให้ดีจากภายใน แถมสินค้าตัวนี้ได้รับการรับรองจาก อย. ว่าสามารถช่วยบำรุงหัวใจได้เป็นตัวแรกและตัวเดียวที่ได้รับอนุญาตให้ใช้สรรพคุณ นี้ติดไว้ข้างกล่องได้


ส่วนที่สองคือยาน้ำสมุนไพรจีนบำรุงร่างกาย ซินแปะฮ้อ สกัดตามสูตรจากราชวงศ์จีนโบราณ สรรพคุณสมุนไพรที่เป็นส่วนสำคัญ เช่น กระวาน กฤษณา กระเจี๊ยบแดง รวมถึงตัวยานำมาผสมผสานเข้าด้วยกัน รับประทานง่ายเหมาะสำหรับทุกเพศทุกวัย เป็นยำบำรุงร่างกายสำหรับสุภาพสตรีประจำเดือน มดลูกไม่ปกติ สร้างเสริมพลังงาน สร้างภูมิต้านทาน ช่วยลดอัตราการเสี่ยงของการเกิดโรคต่างๆ ซินแป๊ะฮ้อ เครื่องดื่มรสสมุนไพรที่สกัดมาจากสมุนไพรธรรมชาติ 100%


 


3.ทำไมไม่นำสินค้าเหล่านี้สู่การตลาดในรูปแบบอื่นแทนที่จะเป็นธุรกิจขายตรงครับ


ซึ่งปัจจุบันทางเรามีบริษัทที่ผลิตในการตลาดแบบซิงเกิ้ลอยู่แล้วแต่เพียงเราแตกลายออกมาในธุรกิจขายตรงของเรานั่นเองแต่ในส่วนนี้ผลิตภัณฑ์นั้นสินค้าของเราจะเป็นคนละสูตรกับที่ขายอยู่ตามท้องตลาดทั่วๆไป ซึ่งหากเป็นสินค้าตัว ปาซินสุ่ย และซินแปะฮ้อของเราได้ใช้ส่วนประกอบที่คัดเกรดคุณภาพมาอย่างพิถีพิถันอย่างแท้จริงซึ่งส่วนนี้ทำให้ค้าสินค้าของเรานั้นมีราคาสูงตามไปด้วยพูดง่ายๆ เปรียบดั่ง Premium Product นั่นเอง


 


4.ทาง พระรามเก้าเน็ตเวิร์ค ตั้งเป้ายอดไว้ที่ปีแรกที่เท่าไหร่ครับ


ปีนี้บริษัทเราตั้งเป้าไว้ที่ 50 ล้านบาทครับ และตอนนี้หากสังเกตจากอัตราการเจริญเติบโตตามไตรมาสแล้วโตขึ้นทุกๆ เดือน ซึ่งตอนนี้ผ่านมาได้ 8 เดือนแล้ว ยอดของทางพระรามเก้าเน็ตเวิร์คใกล้จะเลยจุด 20 ล้านบาทแล้วซึ่งหากให้มองว่าปีนี้สามารถทำได้ตามยอดไหมทางเรามองว่าไม่ใช่เรื่องยากเลยครับ ซึ่งทีมงานของเราเติบโตอย่างต่อเนื่องซึ่งจุดการตลาดของเรามีอยู่ 2 จุดคือทางฝั่งกรุงเทพ และส่วนอีสาน ที่เป็นกำลังให้กับเราในตอนนี้อยู่


 


5.แผนการตลาดของทางพระรามเก้าเป็นอย่างไรบ้างครับที่จะใช้ช่วยกระตุ้นยอดขายในส่วนนี้


ซึ่งปีหน้าเรามองเพิ่มว่าเราจะลุยตลาดออนไลน์ ซึ่งทางลูกค้าสามารถสั่งซื้อสิ้นค้าได้เองพร้อมระบบการบริหารการจัดเก็บสินค้าส่วนปีนี้เราเน้นไปการสร้างรากฐานให้มั่นคงซึ่งทำอย่างไรก็ได้ที่ให้สมาชิกใหม่และเก่ารู้จักเราและได้รับการบอกต่อในกระแสสังคม ซึ่งแผนที่เราเน้นหนักและมั่นใจมากๆ คือทางเราอยากให้ผู้บริโภคได้ใช้ผลิตภัณฑ์ของเราก่อนเพราะทางพระรามเก้า มีความมั่นใจในตัวสินค้าของเรามากๆ หากได้ทดลองใช้ดูจริงๆ แล้วจะก่อให้เกิดการซื้อซ้ำและบอกต่อกันปากต่อปาก ซึ่งหากการสังเกตปีนี้เราได้ออกบู๊ธตามงานต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ซึ่งผู้ใช้สินค้าและเป็นสมาชิกของเราเป็นดาราก็มียกตัวอย่างเช่นคุณปุ๊ก สมาพร คุณปอ ปุณยวีร์ ส่วนทางเรามีแผนการตลาดอื่นๆ ตอนนี้เรามีโครงการหัวใจพระรามเก้า คือบริษัทเรามุ่งหวังจริงๆ ในส่วนนี้เพื่อที่จะมอบประโยชน์ที่เราได้รับตอบแทนสู่สังคมและมุ่งหวังให้สังคมธุรกิจขายตรงดีขึ้นโดยเราคอนเซ็ปของเราคือ พระเก้าเน็ตเวิร์คเป็นขายตรงสีขาว โดยเราจะมอบให้แก่มูลนิธิเด็กที่เป็นโรคหัวใจ ซึ่งตรงเป้าหมายของเราคือสมุนไพรเราสามารถช่วยบำรุงหัวใจได้โดยตรงอยู่แล้ว โดยทางเราไม่หวังที่จะได้กำไรก่อนที่จะช่วยเหลือสังคมแต่พวกเราอยากช่วยเหลือสังคมจริงๆ ซึ่งวันอาทิตย์ที่ 9 กรกฎาคม 2555 ที่กำลังจะถึงนี้ ทางเราจะมีงานเปิดตัวคืองาน Im number 9 พร้อมกับบริจาคเงินให้ในวันงานนี้อีกด้วย พร้อมมีการเชิญแพทย์มาให้ความรู้พร้อมกับศาสตร์แผนจีนมารวมในที่นี้อีกด้วย


 


6.ตอนนี้มีแผนที่จะขยายคลังสินค้าหรือ center ไปยังส่วนไหนบ้างครับ


ตอนนี้เรามีแผนจะเปิด Center ภายในปีหน้านี้ ซึ่งในส่วน สต๊อคคิทเราก็จะเปิดรับภายในปีนี้ด้วย ซึ่งเราอยากได้ผู้มุ่งหวังเข้ามาร่วมกับเราจริงๆ ซึ่ง มีสวัสดิการต่างๆ มากมาย ไม่ว่าค่าจัดอบรม ค่าน้ำมัน และอื่นๆ อีกมากมาย ซึ่งทางเราจะมุ่งเน้นไปทางภาคหลักก่อนๆ


 


7.มีแผนที่จะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเติมไหมครับ


แน่นอนครับปีหน้าเราจะมีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ด้วย เราจะแบ่งเป็นสองภาคส่วนนะครับส่วนแรกทางเรามีการเซ็นสัญญา MOU กับทางมหาวิทยาลัย มหิดลในการค้นคว้าทดลองสินค้าตัวใหม่ๆ ของเรา ในส่วนที่สองทางเราจะร่วมมือกับทางบริษัทในเครือของเราคือบริษัท ไมโครอินโนแวทีฟ ซึ่งบริษัทนี้เป็นบริษัทที่นักลงทุนร่วมมือกับทาง สวทช. ซึ่งจะร่วมมือกันเป็น 3 ภาคส่วนเข้าด้วยกัน ซึ่งผลิตภัณฑ์ของเราตอนนี้ได้ทำการค้นคว้าอยู่หากสินค้าเราพร้อมคลอดออกมาเมื่อไหร่เรามั่นใจเลยว่าสินค้าตัวนี้จะเป็นสินค้าเบอร์หนึ่งในตลาดขายตรงอย่างแน่นอนส่วนรายละเอียดของผลิตภัณฑ์ขออุบไว้เป็นความลับก่อนครับ


 


8.ในปี 2558 ประเทศไทยเราจะเข้าร่วมกับสมาคมอาเซียน ทางพระรามเก้ามีวางแผนการในอนาคตระยะยาวตรงส่วนนี้ไว้บ้างแล้วหรือยังครับ


แน่นอนครับซึ่งทางสินค้าใหม่ที่ทางเราเกริ่นไปข้างต้นนั้นจะตอบรับกับ AEC เลยเปรียบเหมือนหมัดเด็ดเราที่จะเข้าไปลุยในตลาดภูมิภาคครับ ซึ่งหากสินค้าออกสู่ตลาดแล้วทางเราวางแผนที่ประชาสัมพันธ์ผ่านสมาคมอาเซียนด้วย ซึ่งทางท่านประธาน เสกข์สรร ธีระวาณิชย์ เล่งเห็นถึงส่วนนี้แล้วพร้อมรับมืออย่างชัดเจนโดยหากสังเกตบรรจุภัณฑ์ของเราจะมีภาษาต่างชาติหลากหลายภาษาอาทิเช่น จีน เวียดนาม มาเลเซีย และภาษาอังกฤษอีกด้วยซึ่งครอบคลุมกลุ่มผู้บริโภคในแถบอาเซียนอย่างมากๆ แล้วเรามองว่าหา AEC เกิดขึ้นแล้วเราจะได้รับประโยชน์จากส่วนนี้อย่างแน่นอนและเป็นโอกาสกับนักลงทุน


 


9.มีสินค้าตัวไหนที่จะแนะนำเพิ่มเติมบ้างไหมครับ


ในนี้เราจะมีส่วนของอาหารเสริมอีกครับได้แก่ตัว เร จีม (Re Gime)ซึ่งช่วยควบคุมน้ำหนักและก็กระชับสัดส่วนอีกด้วยแถมเพิ่มพลังงานให้แก่เซลล์กล้ามเนื้อได้อย่างรวดเร็ว พร้อมเพิ่มความทนทานในการออกกำลังกาย และความแข็งแรงของกล้ามเนื้ออีกด้วย ส่วนตัวที่สองได้แก่ ไทม์ ล็อค (Time Lock) ซึ่งสรรพคุณช่วยให้สุขภาพดีสะท้อนออกมาภายนอก สร้างความเปล่งปลั่งให้แก่ผิวพรรณ ช่วยเสริมสร้างเนื้อเยื่อคอลลาเจนและ อิลาสตินให้กับผิวได้อย่างรวดเร็ว แถมช่วยยกกระชับผิวหน้าไม่ให้แก่อีกด้วยครับ ส่วนสินค้าอีกประเภทหนึ่งของเราคือ FEELLAN กลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่องสำอาง บำรุงผิวซึ่งสินค้าตัวนี้เราทำสัญญาร่วมทุนกันกับบริษัทยักษ์ใหญ่ของประเทศเกาหลีในการนำเข้ามาจัดจำหน่ายในประเทศไทย ซึ่งสินค้าตัวนี้ได้ขยายเข้าไปจัดจำหน่ายในหลายๆ ประเทศแล้ว ได้แก่ประเทศสหรัฐอเมริกา เป็นต้น


 


10.อยากทราบครับว่าทำไมแม่ทีมต่างๆ หรือผู้ที่อยากประสบความสำเร็จในชีวิตถึงต้องมาก้าวเดินร่วมกับทางพระรามเก้าเน็ตเวิร์คครับ


พระรามเก้าเน็ตเวิร์คขอแบ่งออกเป็นให้องค์ประกอบหลักเลยได้แก่



  1. เราคือบริษัทที่มั่นคง เพราะเรามีบริษัทในเครือที่ประสบความสำเร็จและมั่นคงโดยตัวท่านประธานเสกข์สรร ธีระวาณิชย์ อยู่แวดวงธุรกิจมามากกว่า 40 ปี และประสบความสำเร็จมาแล้วอย่างมากมาย

  2. เรามีที่ปรึกษาที่มากด้วยความสามารถ ได้แก่ท่าน ดิลก มหาดำรงศ์กุล ซึ่งเป็นเจ้าของโรงแรมโรงแรมสวิสโฮเต็ลเลอ คองคอร์ดท่านที่สองคือว่าที่ร้อยตรี ฉลอง ทองแผ่ เป็นที่ปรึกษาทางภาคส่วนควบคุมอาหารและยา ท่านที่สาม ท่านชาลี โสภณพนิช

  3. ทางเรามีระบบที่สนับสนุนงานของแม่ทีมไม่ว่าจะเป็นการ opp ระบบออนไลน์ หรือ ออฟไลน์ หรือระบบบริหารงานที่เป็นส่วนกลางของเราเอง

  4. แผนการตลาดของเราทันสมัยจ่ายแบบสมเหตุสมผลไม่มีการจ่าย over pay อย่างแน่นอนซึ่งแผนการตลาดของเราคือการทำตลาดระยะยาวไม่ใช่ธุรกิจที่ฉาบฉวย

  5. ผลิตภัณฑ์ ซึ่งเป็นจุดเด่นของเรา พระรามเก้าเน็ตเวิร์คเราชูเรื่องของคุณภาพสินค้าเป็นหลักก่อนเพื่อให้เกิดการซื้อซ้ำกับผู้บริโภค และผู้บริโภคใช้แล้วกล้าที่จะนำไปบอกต่อว่าผลิตภัณฑ์เรานั้นมีคุณภาพ


ซึ่งนี่คือ 5 ปัจจัยขององค์ประกอบหลักหากผู้ที่สนใจร่วมเป็นส่วนหนึ่งกับพระรามเก้าเน็ตเวิร์คนั้นอยากจะก้าวร่วมไปกับเราเจริญเติบโตไปกับเราห้ามพลาด โอกาสที่ได้เข้ามาอยู่ในกลุ่มผู้นำของเรา


 


11.ทางพระรามเก้าเน็ตเวิร์คมีอะไรที่อยากจะฝากทิ้งท้ายกับ www.thaimlmnews.com บ้างครับ


ก้าวไปข้างหน้า ก้าวไปสู่ความสำเร็จ ก้าวไปพร้อมกับเรา พระรามเก้าเน็ตเวิร์ค เหตุผลที่เราใช้สโลแกนนี้และชื่อบริษัทพระรามเก้า เน็ตเวิร์ค เพื่อความก้าวหน้าทุกท่านที่เข้ามาร่วมธุรกิจกับเรา เราจะให้ความก้าวหน้า พร้อมความมั่นคง หรือจะเป็นอสิรภาพทางการเงินและ สุขภาพที่ดี พร้อมอนาคตที่ยั่งยืนไปกับเราพระรามเก้าเน็ตเวิร์ค


 


Credit by www.thaimlmnews.com


 


 


 


 

ข่าวนูไวท์ (Nuvite) พร้อมลุยตลาดอาเซียนขายผ่านสื่อทุกมิติดันยอดโตอีก 25%


เงาะ-กชกร นิมากรณ์ แบรนด์ แอมบาสเดอร์ผลิตภัณฑ์นูไวท์ เผยกลยุทธ์การตลาดในปีนี้ ขยาย การขายผ่านหลายช่องทาง มั่นใจ ด้วยแรงสนับสนุนของ ทีวี ไดเร็ค จะทำให้ปีนี้ นูไวท์สามารถโกยยอด ขายปิดที่ 160 ล้านบาทได้อย่างสบาย แถมปีหน้ายังพร้อมบุกตลาดอินโดไชน่า และอาเซียน อย่าง ประเทศลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย ตั้งเป้าสร้างยอดขายเติบโตจากปีนี้อีก 25%

นางสาวกชกร นิมากรณ์ แบรนด์ แอมบาสเดอร์ผลิตภัณฑ์นูไวท์ เปิดเผยว่า สำหรับกลยุทธ์การทำตลาดของแบรนด์ นูไวท์ในปีนี้ บริษัทจะใช้จุดแข็งของ ทีวี ไดเร็ค ที่มีความพร้อมด้านช่องทางในการ นำเสนอสินค้าและบริการที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการสื่อสารข้อมูลเสนอขายสินค้าและบริการโดยตรงต่อผู้บริโภคผ่าน โทรทัศน์ภาคปกติหรือฟรีทีวี, โทรทัศน์ดาวเทียม, เคเบิลทีวี, สื่อสิ่งพิมพ์, Call Center, ระบบออนไลน์ผ่านเว็บไซต์ และ การจำหน่ายสินค้าแบบขายปลีกผ่านร้านค้าปลีกของบริษัท จำนวน 77 สาขา ซึ่งตั้งอยู่ในแหล่งชุมชน ไม่ว่าจะเป็นห้างสรรพสินค้าหรือศูนย์ค้าปลีกแหล่งใหญ่ทั่วประเทศ

จากทางเลือกมากมายที่สนับสนุนให้ผู้บริโภคเข้าถึงผลิตภัณฑ์ของนูไวท์ จึงทำให้ตนเชื่อว่า ปีนี้ผลิตภัณฑ์นูไวท์จะทำยอดขายได้ถึงเป้าหมายอย่างแน่นอน โดย บริษัทตั้งเป้าสิ้นปีต้องทำยอดขายให้ได้ 160 ล้านบาท นอกจากนั้นในปีหน้า บริษัท เตรียมขยายช่องทางการขายของแบรนด์ นูไวท์ไปยังตลาดต่างประเทศในแถบ อินโดไชน่า และเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เช่น ลาว, เขมร, เวียดนาม, มาเลเซีย โดย ตั้งเป้ายอดขายต้องเติบโตเพิ่มขึ้นจากปีนี้มากกว่า 25%

เงาะ-กชกร ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์นูไวท์ว่า นูไวท์ถือได้ว่าเป็นแบรนด์ต้นๆ ในตลาดที่เปิดตัวด้วยผลิตภัณฑ์เสริมอาหารเพื่อผิวขาวและนำสารอาหารกลูต้าไธโอนเข้ามาในตลาดผิว เราจึงสามารถการันตีด้วยคุณภาพของผลิตภัณฑ์ที่สามารถตอบโจทย์และความต้องการของลูกค้ามายาวนานกว่า 10 ปี โดยสินค้าภายใต้แบรนด์นูไวท์ แบ่งเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มแรกผลิตภัณฑ์เสริม อาหาร อย่างเช่น ผลิตภัณฑ์ นูไวท์ คลาสสิค สูตรดั้งเดิมเพื่อผิวกระจ่างใส นูไวท์ ไลโค พี ผลิตภัณฑ์สำหรับผิวสวยเปล่งปลั่งด้วย สารสกัดจากมะเขือเทศ หรือนูไวท์ ออยล์ พลัส ผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับการปรับฮอร์โมน เพศหญิง อาการวัยทอง กลุ่มที่สอง กลุ่มสกินแคร์ เช่น ครีมมาสก์ผิว ผลิตภัณฑ์ทำความสะอาดผิว ลดปัญหาสิว หรือผลิตภัณฑ์ลบเลือนริ้วรอย และกลุ่มสุดท้าย ผลิตภัณฑ์ในกลุ่มเมกอัพ

โดยปีนี้ตลอดทั้งปีบริษัทได้เพิ่ม สินค้าแบรนด์นูไวท์ไปแล้วประมาณ 9 ตัว ในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์ เพื่อรองรับการเติบโต และความต้องการที่สูงขึ้นของผู้บริโภค และคาดว่าในปีหน้าจะเพิ่มสินค้าอีก 4-5 รายการ เพื่อรองรับการขยายงานไปสู่ตลาดอินโดไชน่า

อย่างไรก็ดี ในปี 2555 ถือเป็นปีที่ นูไวท์ก้าวสู่ปีที่ 10 บริษัทจึงได้มีการจัด งานเฉลิมฉลอง เพื่อตอบแทนผู้บริโภคที่ให้ความไว้วางใจในแบรนด์นูไวท์มาตลอดระยะเวลาตลอด 10 ปี โดยงานจัดขึ้นภายใต้คอนเซ็ป Absolute Beauty หรือสวยอย่างสมบูรณ์แบบ

สมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย "TDIA" ลงนาม MOU ร่วมเทคโนสยามยกชั้นขายตรงเปิดหลักสูตร ป.โท ต่อยอดถึง ป.เอก


สมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย (TDIA) จับมือ วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม เปิดหลักสูตรสอน วิชาชีพขายตรงเทียบชั้น ป.โท เป็นแห่งแรก หวังผลักดันภาพขายตรงไทยให้เป็นธุรกิจสีขาวแบบ ไร้มลทิน โดยค่าเล่าเรียนตลอดหลักสูตร 1.2 แสน บาท แต่สมาชิกสมาคมอุตสาหกรรมฯ ลดเหลือ คนละ 1 แสนบาท เริ่มแรกคาดว่ามีผู้เรียนทั้งสิ้น 30 คน โดยจะเปิดสอนในช่วงเดือนพฤศจิกายนปีนี้ แถม นายกสมคมฯยังปล่อยหมัดเด็ดทิ้งท้าย หลักสูตรนี้ อาจต่อยอดถึงชั้น ป.เอก ได้ต่อไป

นายนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ นายกสมาคมอุตสาหกรรม ขายตรงไทย เปิดเผยว่า โครงการความร่วมมือทางวิชาการในการเปิดหลักสูตรการสอนวิชาขายตรงในระดับปริญญาโทกับวิทยาลัยเทคโนโลยีสยามครั้งนี้ ถือเป็นโครงการแรกที่ทางสมาคมฯ ได้ดำเนินการหลังจากตนเข้ารับตำแหน่งนายกสมาคมฯ และถือเป็นการดำเนินงานที่ประสบความสำเร็จด้วยดี ในอนาคต สมาคมฯจะมีการขยายความร่วมมือเหล่านี้ไปสู่หน่วยงานการศึกษาอื่นๆ ต่อไป

ทั้งนี้ หลักสูตรขายตรงที่จะเปิดสอน ในวิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม สมาคมฯ ก็ได้ มีส่วนร่วมให้คำปรึกษา และจะแนะนำคณาจารย์ที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับ วิชาขายตรงโดยเฉพาะให้กับวิทยาลัยฯ ได้คัดเลือก ส่วนผู้เรียนในกลุ่มแรก สมาคมฯ ก็ได้รวบรวมสมาชิกจำนวนหนึ่งมาสมัคร มีประมาณ 30 คน โดยค่าศึกษาตลอดหลักสูตรประมาณ 1.2 แสนบาท แต่ในฐานะสมาชิกของสมาคมฯ ทางวิทยาลัยลดให้เหลือคนละ 1 แสนบาท และในอนาคตหากมีผู้ประสบความสำเร็จในระดับ ปริญญาโทแล้ว ระดับปริญญาเอกก็ไม่ใช่เรื่องที่ไกลจนเกินไป ที่ผ่านมาตนก็ได้มีการ พูดคุยคร่าวๆ แล้วกับทางวิทยาลัยฯ

นายกสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย ได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ในขณะนี้สมาคมฯ ได้รับงบประมาณสนับสนุนจำนวนหนึ่งจากกระทรวงอุตสาหกรรม เราจึงเตรียมจะทำโครงการเปิดอบรมหลักสูตรขายตรงในระยะสั้นร่วมกับสถาบัน บัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า เป็น การจัดอบรมฟรี แต่อาจจำกัดเวลาและจำนวนคน โดยจะมุ่งเน้นไปยังผู้ที่อยากประกอบธุรกิจใหม่เป็นอันดับแรกก่อน ดังนั้น จะเห็นได้ว่าสมาคมฯ เองมีความต้องการที่จะส่งเสริมด้านการศึกษาเกี่ยวกับการขายตรงอย่างถูกต้องให้กับบุคคลทุกๆ ฝ่ายจริงๆ เพื่อเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีต่อผู้บริโภค คือภาพจากคนภายนอกที่มองเข้ามาต้องมองภาพธุรกิจขายตรงอย่างถูกต้อง ด้วยภาพลักษณ์ที่ดีงาม ซึ่งโครงการในครั้งนี้ถือเป็นการเริ่มต้นที่ดี และสมาคมฯ เองคงมีอีกหลายๆ โครงการที่จะได้ร่วมกับหน่วยงานอื่นๆ ต่อไป

ด้านอาจารย์พรพิสุทธิ์ มงคลวนิช อธิการบดี วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม กล่าวว่า หลักสูตรนี้ มีชื่อว่าหลักสูตรปริญญาโท บริหารธุรกิจมหาบัณฑิต (M.B.A.) กลุ่มวิชาการตลาดและธุรกิจเครือข่าย โดยผู้เรียนต้องศึกษาวิชาว่าด้วยการขายตรงทั้งหมด 36 หน่วยกิต มีประมาณ 5 วิชา รวมถึงการทำวิทยานิพนธ์ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจขายตรง ซึ่งทางวิทยาลัย จะเริ่มเปิดกลุ่มวิชานี้ในภาค 2/55 ประมาณ เดือนพฤศจิกายน โดยกำหนดระยะเวลาเรียนอย่างช้าที่สุดไม่เกิน 5 ปี

ทั้งนี้ คณาจารย์ที่สอนมีทั้งอาจารย์จากภายในและภายนอกหรือผู้ทรงคุณวุฒิ ที่ทางสมาคมฯ ได้เสนอชื่อมาให้เราพิจารณา โดยหลักสูตรแรกจะมีผู้เรียนจาก สมาคมฯประมาณ 30 คนก่อน หลังจากนั้นทางวิทยาลัยจะได้นำองค์ความรู้ต่างๆมาปรับปรุงให้เป็นที่ต้องการของคนทั่วไปอย่างแท้จริง และขยายวงกว้างไปสู่กลุ่มบุคคลทั่วไปที่สนใจในวิชาชีพขายตรงต่อไป

อธิการบดีวิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ยังได้กล่าวถึงความแตกต่างของหลักสูตร วิชาชีพขายตรงของวิทยาลัยฯ กับสถาบัน อื่นๆ ว่า นอกจากที่นี่จะเป็นสถาบันแห่งแรกที่เปิดสอนกลุ่มวิชาขายตรงระดับปริญญาโทแล้ว สิ่งที่แตกต่างหรือข้อได้เปรียบที่ผู้เรียนจะได้รับจากวิทยาลัยของเรายังมีอีก 4 ประการด้วยกัน คือ ประการ แรก ความรู้ ที่ไม่ใช่เพียงความรู้ในทฤษฎี สอง ประสบการณ์ซึ่งได้มาจากอาจารย์ ผู้สอนและผู้เรียน ที่มีความรู้ความสามารถเกี่ยวกับวิชาชีพขายตรง เข้ามาแบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน ประการที่สาม การสร้างองค์ความ รู้ใหม่จากปัญหาต่างๆ ที่ทุกฝ่ายร่วมกันคิดวิเคราะห์ และแก้ไข และประการสุดท้าย เครือข่าย สังคมผู้เรียนที่อยู่ในวิชาชีพเดียวกัน

ทั้งนี้ ภายในงานยังได้มีนายสุวิทย์ วิจิตรโสภา ผู้อำนวยการส่วนขายตรงและตลาดแบบตรง สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ร่วมเป็นสักขีพยานการลงนาม MOU ระหว่างสองสถาบัน ซึ่งนายสุวิทย์ก็ได้กล่าวแสดงความ คิดเห็นถึงการเปิดหลักสูตรขายตรง ดังกล่าวว่า เป็นที่น่าชื่นใจที่ทางสมาคมอุตสาหกรรมขายตรงไทย และวิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม ที่กำลังจะกลายเป็นมหาวิทยาลัยในอนาคตอันใกล้นี้ ได้ร่วมมือทาง วิชาการเปิดหลักสูตรขายตรงในระดับปริญญาโทขึ้น เพราะตนมองว่าโครงการเหล่านี้จะเป็นรากฐานสำคัญของการสร้าง องค์ความรู้สู่การประกอบวิชาชีพที่ถูกต้อง เอื้อประโยชน์ต่อสังคมโดยรวมอย่างแท้จริง

ธุรกิจขายตรงเป็นธุรกิจที่ดี ที่สามารถสร้างงาน สร้างรายได้ และสร้าง เศรษฐกิจให้กับประเทศได้เป็นอย่างดี และโดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการความร่วมมือนี้ก็เป็นโครงการที่สามารถรองรับอาเซียนได้อย่างหนึ่ง เพราะจะเป็นการสร้างภาพลักษณ์ที่ดีของขายตรงไทยให้ก้าวสู่นานาประเทศได้อย่างเต็มภาคภูมิ

นายสุวิทย์ ได้กล่าวถึงสิ่งที่ สคบ. จะร่วมสนับสนุนโครงการนี้ ว่า ก่อนอื่นตนต้องขอเรียนว่า ทางสคบ.คงไม่เข้าไปแทรกแซงการทำงานของสถาบันการศึกษา แต่เราจะช่วยประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับหลักสูตร ว่าหลักสูตรนี้ดีอย่างไร เรียน แล้วจะได้อะไร ให้กับบุคลากรของ สคบ. และประชาชนทั่วไปได้รับทราบโดยทั่วกัน ประการที่สองยินดีสนับสนุนในส่วนของวิทยากร เพราะในฐานะที่เรานั่งอยู่บนฐาน ข้อมูล เป็นผู้กำกับดูแลธุรกิจขายตรงอย่าง ใกล้ชิด ฉะนั้น สคบ.จึงน่าจะมีส่วนช่วยเหลือ ตรงนี้ได้เป็นอย่างดี อย่างไรก็ตาม หากสมาคมฯ และวิทยาลัยฯ มีเรื่องที่จะให้ สคบ. สนับสนุนในส่วนใดเพิ่มเติมเช่น อาจ จะมีการจัดทำหลักสูตรย่อยๆ ที่ต้องการประกาศนียบัตรจาก สคบ. เราก็อาจจะมีการปรึกษากันต่อไป ตรงนี้ก็มีความยินดีสนับสนุนอย่างเต็มที่


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่1338 ประจำวันที่ 26-9-2012 ถึง28-9-2012

ข่าวขายตรง (MLM) : รื้อ! กฎหมายขายตรงกู้เศรษฐกิจ-ดันสู่องค์การมหาชน


จิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการ สคบ. ประกาศชัดเตรียมรื้อพ.ร.บ.ขายตรง และตลาดแบบตรง ปี 45 และตัวร่าง ที่คาราคาซังมานานทิ้ง เดินสายรับฟัง ความเห็น 3 ฝ่าย รัฐ-ผู้ประกอบการ-ประชาชน หาข้อยุติตั้งกฎหมายใหม่คุม MLM ชี้ไม่เกิน 1-2 ปี ได้บังคับใช้ พร้อมบอกแผน ไบนารี่ หากจ่าย ได้จริงก็ไม่ผิด ส่วนการตั้ง กรม ขายตรง ไม่ทิ้ง วางแผนตั้ง องค์การมหาชน ดูแลสร้างเอกภาพธุรกิจ ด้านนโยบายติดตรา สคบ.วอนผู้ประกอบการทำความเข้าใจกติกาใหม่ เรื่องเบี้ยประกันแค่ตีความผิด ย้ำชัด สคบ. หวังเป็นสื่อกลางระหว่าง ภาครัฐและเอกชน ยกระดับธุรกิจขายตรงไทย ช่วยเศรษฐกิจชาติ

นายจิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) เปิดเผยว่า หลังจากเรื่องของพระราชบัญญัติขายตรงและตลาดแบบ ตรง ฉบับ พ.ศ.2545 ซึ่งมีหลายเสียงเห็นว่าพ.ร.บ. ตัวนี้ เก่าเกินไป เนื่องจากการพัฒนาของธุรกิจ ล้ำหน้าไปมาก ทำให้ต้องการที่จะให้รัฐแก้ไขปรับปรุง เพื่อบังคับขึ้นมาใช้ใหม่ โดยมีการร่างขึ้นมาแล้ว และเกือบที่จะได้บังคับใช้ ตอนนี้ตนเห็นด้วยที่จะมีพ.ร.บ.ตัวใหม่ ที่จะ กำหนดใช้ขึ้นแทน แต่ตนต้องการที่จะรื้อตัวร่างนี้ขึ้นใหม่หมด เพื่อให้ เกิดความเป็นธรรมแก่วงการโดยรวม

ปัจจุบันจากความผันแปรของเศรษฐกิจ และธุรกิจขายตรงที่มีแนวโน้มเปลี่ยนไป จากพ.ร.บ.ฉบับ 2545 ที่บังคับใช้อยู่ ดูจะเก่าเกินไป ทำให้ตนต้องการที่จะหยิบเรื่องนี้ขึ้นมา เป็นนโยบายการทำงาน โดยหลังจากที่ตนได้เข้ามานั่งเป็นเลขาธิการ สคบ. เรื่องพ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรงตัวใหม่ นับเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องมีการปรับแก้ไข โดยจะเป็นการรื้อตัวร่างเก่า และจัดทำขึ้นมาใหม่ โดยสคบ.ได้วางการทำงานในการสร้างพ.ร.บ.ตัวใหม่นี้ 3 ข้อ เลขาธิการ สคบ. กล่าว

โดยการทำงาน 3 ข้อ ที่เลขาธิการ สคบ.ได้วางเพื่อการทำพ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรงตัวใหม่ คือ 1.การประชุมเพื่อ รับฟังความคิดเห็นจากหน่วยงานภาครัฐ เพื่อ จัดทำพ.ร.บ.ตัวใหม่ 2.การรับฟังความคิดเห็น จากผู้ประกอบการ โดยเฉพาะบรรดาผู้บริหาร บริษัทขายตรงต่างๆ เพื่อความเป็นธรรมกับ ทุกบริษัทและ 3.การรับฟังความคิดเห็นจาก ภาคประชาชน เพื่อให้เกิดการยอมรับ พ.ร.บ. ตัวใหม่จากผู้บริโภค

จากที่กล่าวมา จิรชัย เลขาธิการ สคบ.คนใหม่ พยายามที่จะเดินสายออกไปพบกับผู้บริหารของบริษัทขายตรง และประชาชนเพื่อรับฟังความคิดเห็น เพื่อนำมา ใช้ในการทำงานของสคบ. โดยแผนการทำ พ.ร.บ.ขายตรงและตลาดแบบตรงตัวใหม่นี้ ทาง สคบ.เชื่อว่า ใน 1-2 ปีนี้ น่าจะสามารถ ออกมาเป็นรูปเป็นร่าง และบังคับใช้

ทั้งนี้ เลขาธิการสคบ. ยังกล่าวถึงแผน จ่ายแบบ ไบนารี่ ว่า เรื่องของแผนจ่ายแบบ ไบนารี่ เป็นเรื่องที่ไม่ผิด เพราะหาก บริษัทสามารถจ่ายได้จริงอย่างที่แผนบอก ก็ไม่มีความผิดอะไร เพราะแผนไบนารี่ก็อยู่ในกรอบของกฎหมายทุกอย่าง

ส่วนเรื่องที่เป็นประเด็นอีกอย่างหนึ่ง คือ ความเป็นไปได้ของการจัดตั้ง กรมขาย ตรง ขึ้น เพื่อการทำงานเฉพาะวงการธุรกิจ เพื่อให้ภาครัฐสามารถดูแลได้อย่างทั่วถึง เรื่องนี้ จิรชัย เลขาธิการสคบ. กล่าวว่า การตั้งกรมขายตรง เหมือนกับธุรกิจประกัน ภัยที่มีการตั้งกรมประกันภัย นับเป็นแนวคิด ที่ดี ซึ่งตนเห็นด้วย เพราะธุรกิจจะมีผู้ดูแลโดยเฉพาะ ซึ่งถือเป็นการยกระดับวงการที่ดี แต่ทางสคบ.ในยุคตนไม่ได้เพียงคิดแค่นั้น แต่ต้องการที่จะตั้ง องค์การมหาชน ขึ้นมาเพื่อดูแลธุรกิจเลยทีเดียว ถึงแม้การตั้งองค์การมหาชน จะทำให้ขายตรงหลุดจากการควบคุมของ สคบ.ก็ตาม แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา เพราะหากสิ่งใดจะสามารถยกระดับ ธุรกิจได้ สคบ.ก็พร้อมผลักดัน

อย่างไรก็ดี ในส่วนของนโยบายการรณรงค์ติดตราสัญลักษณ์สคบ. ที่รัฐบาลต้องการให้บริษัทขายตรงเข้ามาขอรับ เพื่อ เพิ่มความน่าเชื่อถือ ตอนนี้ก็ยังไม่มีบริษัทใด เข้ามาขอรับอย่างจริงจัง เนื่องจากยังมีข้อข้องใจ และสงสัยในกฎเกณฑ์หลายข้อ โดย เฉพาะเรื่องการที่ต้องจ่ายเบี้ยประกันกับบริษัทประกัน เพื่อเยียวยาผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหาย ซึ่งเรื่องนี้ผู้ประกอบการไม่เห็น ด้วย จากเหตุที่ว่าเบี้ยประกันแพงเกินไป

ในเรื่องนี้ จิรชัย เผยว่า เรื่องของเบี้ยประกันเป็นความเข้าใจผิดของผู้ประกอบ การ ว่าต้องจ่ายเบี้ยประกัน 0.5% จากยอด ขายแต่ละปี ซึ่ง สคบ.และรัฐบาลต้องการเพียงให้บริษัทขายตรงมีบริษัทประกันเพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้ผู้บริโภค ส่วนเรื่องการเสียค่าสินไหม หรือค่าเยียวยา ก็ขึ้นอยู่กับความเสียหายที่ผู้บริโภคเรียกร้อง ซึ่งผู้ประกอบการต้องทำความเข้าใจใหม่

เรื่องของการติดตราสคบ. นับเป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะหากวันที่การค้าเสรีเปิด สิ่งนี้จะเป็นตัวสร้างความ ได้เปรียบกับบริษัทที่มีตราสคบ.ได้เป็นอย่างดี อีกทั้งหากบริษัทใดมีตราสคบ.นั่นก็ยิ่งเป็นตัวแสดงอย่างชัดเจนถึงมาตรฐานของบริษัทนั้นๆ ซึ่งทางสคบ.ก็พร้อมที่จะช่วย ในเรื่องของความมั่นใจกับผู้บริโภคอีกทาง

นอกจากประเด็นต่างๆ ที่กล่าวมานี้แล้ว จิรชัย ยังได้กล่าวถึงการทำงานของ สคบ.ยุคใหม่นี้ว่า สคบ.ต้องการเป็นส่วนหนึ่ง ที่สำคัญในการผลักดันธุรกิจขายตรง ให้เป็น ธุรกิจสร้างชาติอย่างเป็นรูปธรรม ลบภาพความเป็นธุรกิจสีเทาออกให้หมด โดยที่จะเน้นการทำงาน 3 ข้อ คือ 1.ส่งเสริมธุรกิจ 2.ช่วยธุรกิจที่ยังติดขัดให้เดินไปได้ และ 3.ตัดธุรกิจแอบแฝงออกจากระบบให้สิ้น

โดยการทำงานของสคบ.เกี่ยวกับธุรกิจขายตรงนับจากนี้ อย่างแรกที่สำคัญคือ การจัดระเบียบธุรกิจขายตรง โดยเฉพาะ บริษัทที่จดทะเบียนอยู่กับสคบ.ขณะนี้ที่มีอยู่เกือบ 900 บริษัท ต้องแยกออกมาให้ได้ว่าบริษัทใดยังดำเนินงานอยู่ บริษัทใดปิดกิจการแล้ว อีกทั้งยังรวมไปถึงความเคลื่อนไหวว่า บริษัทใดมีการปรับเปลี่ยนไป แล้วหรือไม่อย่างไร ทั้งแผนงาน และสินค้า

ซึ่งสคบ. ได้กำหนดการทำงานสำคัญ 3 ข้อ โดยเป็นการตั้งกองกำลังขึ้นมา คือ 1.กองจดทะเบียนบริษัท 2.กองดำเนินงานด้านการติดตาม ประเมินผลการทำธุรกิจ และ 3.การปราบปรามโดยใช้กฎหมายที่มีอยู่ เพื่อตัดธุรกิจแฝงทิ้ง

อย่างไรก็ดี เรื่องของจำนวนคนที่เป็น ปัญหาของสคบ.มาตลอด จิรชัย ต้องการที่จะทำให้ปัญหานี้หมดลง โดยการวางการทำงานเฉพาะจุด และตรงประเด็น เพื่อการ ทำงานอย่างมีประสิทธิผล
จากนโยบายต่างๆ ที่ จิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการสคบ.คนใหม่ได้กำหนดขึ้นมานี้ สคบ.ได้พยายามที่จะหานักวิชาการเข้า มาช่วยในการหาความเป็นไปได้ของการดำเนินนโยบายต่างๆ โดยทางสคบ.จะเป็นผู้กำหนดวางแนวทางการทำงาน ส่วน นักวิชาการจะเป็นกลุ่มคนที่จะทำนโยบายต่างให้เกิดประสิทธิผลตามแนวทางที่ได้วาง


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่1338 ประจำวันที่ 26-9-2012 ถึง28-9-2012

วันจันทร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2555

ข่าวมิ้ลค์กี้ เวย์(Milky Way) : สมาชิกผู้นำกว่า 200 ชีวิต ร่วมกิจกรรมคอสฝึกอบรมครั้งแรก ณ เขาใหญ่นิวซีแลนด์

[gallery]


ปักหลัก เขาใหญ่ นิวซีแลนด์


ปลุกพลังพลพรรคมิ้ลค์กี้ เวย์


บริษัท มิ้ลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค จำกัด ภายใต้การบริหารของ สุมิตร วชโรดมทรัพย์ นำพาสมาชิกผู้นำกว่า 200 ชีวิต ร่วมกิจกรรมคอสฝึกอบรมครั้งแรก ณ เขาใหญ่นิวซีแลนด์ สระบุรี ในหลักสูตร นับหนึ่ง สร้างสายสัมพันธ์ รวมพลังคน มิ้ลค์กี้ เวย์ มีวิทยากรร่วมสร้างความคลึกคลื้น ดลทรัพย์ ปรีชาสวรรค์ เจ้าของหลักสูตร คนไม่ธรรมดา เป็นวิทยากรหลักในงานครั้งนี้ ซึ่งในงานสัมมนาครั้งนี้สร้างความซาบซึ้งใจให้กับสมาชิกทุกท่าน ร่วมประกาศวามพร้อมรวมพลังสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับ มิ้ลค์กี้ เวย์ ได้ประกาศศักดาอย่างสง่าผ่าเผยในธุรกิจขายตรงเมืองไทย


credit: www.thaimlmnews.com

ข่าวสมาร์ท อินเตอร์ฯ (Smart My Life) : ลุยสื่อออนไลน์ เร่งขยายเต็มตัว กุมภาพันธ์ 2556


โค้งสุดท้ายของปี สมาร์ทรุกประชาสัมพันธ์ผ่านทีวีออนไลน์ รองรับตลาด AEC พร้อมเตรียมงานใหญ่แกรนด์โอเพ่น เดือน กุมภาพันธ์ 2556 ยึดหลักการทำงานคำนึง ถึงผู้บริโภค สมาชิก และประเทศชาติ แผยบริษัทพร้อมสำหรับรองรับการเติบโตในอนาคต


นวรัตน์ สัมพันธ์ศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท สมาร์ท อินเตอร์เนชั่นแนล เน็ตเวิร์ค จำกัด เปิดเผลกับ เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ว่า ไตรมาสสุดท้ายของปีนี้จนถึงต้นปีหน้าบริษัทจะรุกทำประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อทีวีออนไลน์ให้ชัดเจนมากยิ่งขึ้น ซึ่งบริษัทมองว่าปัจจุบันผู้คนสามารรับรู้ข่าวสารได้ทุกที่ทุกเวลาผ่านทางโทรศัพท์มือถือและเพื่อเป็นการรองรับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ที่จะมาถึงในปี 2558


นอกจากนี้บริษัทยังได้จัดโปรโมชั่นต่างๆ ให้กับสมาชิก โดยบริษัทวางเป้ายอดขายปลายปีที่ 20 ล้านบาท พร้อมกันนี้ได้เตรียมความพร้อมที่จะเปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการพร้อมกับงานมอบเข็มเกียรติยศแก่สมาชิกที่ประสบความสำเร็จที่จัดขึ้นในเดือน กุมภาพันธ์ 2556 ซึ่งปัจจุบันบริษัทมีจำนวนสมาชิกประมาณ 6,000 รหัส


ปัจจุบัน บริษัทมีสินค้าทั้งสิ้น 4 กลุ่มได้แก่ กลุ่มเสริมอาหาร กลุ่มอุปโภค-บริโภค กลุ่มเครื่องสำอาง และ กลุ่มเพื่อการเกษตร รวมสินค้าทั้งสิ้น 30 รายการ และในเร็วๆนี้ บริษัทวางแผนที่จะเปิดตัวสินค้าใหม่ ในกลุ่ม เสริมอาหาร ผลิตภัณฑ์ที่ช่วยชะลอวัย และกลุ่มเพื่อการเกษตร


ทั้งนี้ สินค้าที่เป็นตัวนำของริษัทในขณะนี้ คือ สินค้ากลุ่มการเกษตรที่มีทั้งหมด 8 รายการ ที่สามารถครอบคลุมการทดแทนใช้ปุ๋ยเคมี คือ เป็นอาหารหลัก อาหารรอง และเสริมอาหาร ใช้ได้กับทุกพืชทุกเวลาบริษัทมองว่าสินค้ากลุ่มนี้เป็นสินค้าที่สามารถลดต้นทุนเพิ่มผลผลิต ให้กับเกษตรกรและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี


อย่างไรก็ตามบริษัทยังได้เตรียมความพร้อมเพื่อรองรับการเติบโตที่จะเกิดขึ้นอนาคต ได้ก่ การจัดเตรียมสำนักงานที่เป็นของบริษัทเอง นอกจากนี้บริษัทยังมีผู้บริหารที่มีประสบการณ์ด้านธุรกิจขายตรงมากกว่า 10 ปี รวมถึงการเตรียมสินค้า ที่ดีคุณภาพออกสู่ตลาดการวางระบบสารสนเทศ ที่ช่วยให้สมาชิกสามารถทำธุรกิจได้ตลอด 24 ชั่วดมง และการสั่งซื้อสินค้าและจัดส่งสินค้าที่สมารถชิกสามารถรับสินค้าได้ภายใน 3-5 วันขณะเดียวกันบริษัทยังมีศูนย์ฝึกอบรม รวมถึงการจัดหลักสูตรต่างๆ ในการอบรมให้กับสมาชิก ตลอดจนการทำทีวีออนไลน์ ที่ออกอากาศตลอด 24 ชั่วโมง


ทั้งนี้ หลักในการทำงานบริษัทจะคำนึงถึง องค์ประกอบหลัก 3 ส่วน คือ ผู้บริโภค สมาชิก และประเทสชาติ กล่าวคือผู้ชริโภค บริษัทมีความคำนึงว่าจะต้องรับสินค้าที่ดีคุ้มค่ากับราคาที่จ่าย ควาคำนึงถึงผลการจ่ายผลตอบแทน ที่ต้องซื่อสัตย์และยุติธรรมกับสมาชิก และ ในส่วนของประเทศชาติ บริษัท และสมาชิก จะต้องมีการจ่ายภาษีคืนให้แก่ปรเทศอย่างถูกต้อง


ถ้าถามว่าทำไมบริษัทถึงใช้ชื่อ SMART เพราะ SMART มาจากภาษาอังกฤษ 5 ตัวเริ่มจาก


- S มาจากคำว่า Simple ที่แปลว่า ง่าย ไม่ซับซ้อน สินค้าที่ขายได้ง่าย และระบบที่ง่าย


- M มาจากคำว่า Management คือ ต้องการให้นักธุรกิจบริหารเป็นไม่ว่าจะเป็นบริหารเรื่ององค์กร เรื่องเวลา บริษัทผลตอบแทนที่ได้มา


- A คือ Attitude ที่แปลว่า ทัศนคติ คือ ทัศนคติ ที่มีต่อผู้บริโภค ที่ทำงาน ต่อทีม ต่อสินค้าและการตลาดที่คิดว่าจะต้องทำสำเร็จ


- R คือ Reward ที่แปลว่า รางวัล คือ เมื่อนักธุรกิจเดินข้ามาในบริษัทจะต้องได้อะไรกลับไปมากกว่า แผลการตลาดรายได้ที่ได้ เช่น การท่องเที่ยว การมีไลฟ์สไตล์ มีอินรภาพทางการเงินและเวลา


- T คือ Team คือ บริษัท ต้องการมีระบบทีมที่ดี คือ ต้องการให้มีความสามัคคีในทีมงาน


นวรัตน์ กล่าว


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 207 วันที่ 16- 30 กันยายนพ.ศ. 2555

ข่าวซินเนอร์จี้ เวิล์ดไวด์ (Synergy WorldWide) : มั่นใจ 3-5 ปี ฟันพันล้าน ชูยอดครึ่งแรกโตเกินเป้าหมาย


ซินเนอร์จี้ ยิ้มรับยอดครึ่งปีแรก เกินเป้า 5% รับ 180 ล้านบาท หลังดันแผน 3 ข้อหลักสู้ศึก มั่นใจอีก 3-5 ปี ยอดขายพุ่ง 1,000 ล้านบาท เดินหน้าสรร้างแบรนด์ ต่อเนื่องเทงบ 100 ล้านบาท จากเดิม เทงบ 40-50 ล้านบาทต่อปี ลุยพีอาร์เต็มสูบ พร้อมรุกสื่อเคเบิล คาดอีก 2 ปีแล้วเสร็จ


ศุภพงศ์ จันทรวีระกุล ผู้จัดการทั่วไป บริษัท ซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หลังบริษัทประสบความสำเร็จ จากการยึดองค์ประกอบหลัก 3 ข้อในการทำงานที่ประกอบไปด้วย



  1. บริษัทแม่พร้อมให้การสนับสนุน

  2. แผนการจ่ายผลตอบแทนที่ดี

  3. ความตั้งใจในการทำงานของนักธุรกิจ ที่ทให้ ซินเนอร์จี้ พร้อมที่จะเดินหน้าสู่เป้าหมายยอดขาย 1,000 ล้านบาท ในอีก 3-5 ปีข้างหน้าจากนี้ไป


นอกจากนี้ยังมีองค์ประกอบสำคัญที่ช่วยขับเคลื่อนบริษัทไปสู่ความสำเร็จ คือ การจ่ายผลตอบแทนที่มีความยุติธรรม พลิกชีวิต สร้างรายได้ ซึ่งบริษัทมีเป้าหมายที่ชัดเจน ซึ่งปัจจัยต่างๆเหล่านี้ ส่งผลให้ผู้นำของซินเนอร์จี้ มีรอยัลตี้ แบรนด์ กับองค์กรสูงเป็นอย่างมาก แม้ว่าช่วงที่ผ่านมาจะมีผู้นำออกจากบริษัทไปแล้วเนื่องจากขณะนั้น อาจมีบางคนมองธุรกิจแค่ระยะสั้นๆและต้องยอมรับว่าธุรกิจในขณะนั้นเปรียบเสมือนคลื่นที่ขึ้นๆ ลงๆ ทำให้ผู้นำขาดความมั่นใจ แต่ในช่วง 2 ปี ที่ผ่านมา ธุรกิจเริ่มนิ่ง และมีผู้นำเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ธุรกิจเติบโตตามเป้าหมายที่วางไว้ได้


ทั้งนี้ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา หลังผ่านวิกฤติ บริษัทกลับมีผลกำไรเพิ่มขึ้น เนื่องจากผู้นำ มีความตั้งใจจริงในการทำธุรกิจและมีความเข้มแข็ง มีเป้าหมายที่ชัดเจนสิ่งที่บริษัทจะช่วยสนับสนุนทีมผู้นำอีกด้านหนึ่ง คือ การโปรโมตความสำเร็จของผู้นำออกสื่อต่างๆ มากขึ้น เพื่อเป็นการสร้างความมั่นใจให้กับนักธุรกิจใหม่ และเป็นการสร้างแรงจูงใจให้กับผู้สนใจเข้ามาทำธุรกิจ รวมถึงเป็นการต่อยอดการขยายธุรกิจในอนาคต


ศุภพงศ์ กล่าวต่อว่า นอกเหนือจาก 3 องค์ ประกอบหลักที่ทำให้ธุรกิจเดินหน้านั้น กลยุทธ์ที่จะใช้ผลักดันให้ยอดขายเป็นไปตามเป้าหมายที่วางไว้คือ การรุกขยายตลาดบลูโอเชี่ยน ที่จะพุ่งเป้าไปในกลุ่มคนที่ไม่เคยทำธุรกิจเครือข่ายมาก่อน มองไปที่กลุ่มคนมีปัญหาเรื่องสุขภาพ เนื่องจากปัจจุบันคนให้ความสนใจสุขภาพในเชิงป้องกันมากขึ้น ทำให้มองเห็นว่ากลุ่มดังกล่าวเป็นกลุ่มที่มีโอกาสสูงในการที่เข้ามาร่วมธุรกิจเคือข่าย


เหตุผลที่มุ่งเน้นไปยังกลุ่มที่ไม่เคยทำธุรกิจเครือข่ายมาก่อน เพราะมีเป้าหมายที่ต้องการจะสร้างคนของบริษัทขึ้นมาเอง พุ่งเป้าไปในกลุ่มนักศึกษาจบใหม่ กล่มคนที่ต้องการหารายได้เสริม โดยจะใช้สื่อเพื่อสร้างการรับรู้มากขึ้น ทั้งสื่อแมกกาซีน สื่อเคเบิลทีวี ที่ตอนนี้เราอยู่ระหว่างการตั้งทีมงานเพื่อดำนเนิการเรื่องดังกล่าวคาดว่าอีก 2 ปี จะดำนเนิการสื่อเคเบิลทีวีได้ และปีนี้ถือเป็นปีแรกที่เราใช้งบการรุกตลาดสูงถึง 100 ล้านบาท จากปกติที่จะใช้งบประมาณ 40-50 ล้านบาทต่อปี


อย่างไรก็ดี จากการขับเคลื่อนธุรกิจอย่างจริงจับในปี 2554 ที่ผ่านมา บริษัทเติบโตกว่าปี 2553 ถึง 70% และในปี 2555 นี้ ตั้งเป้าการเติบโตไว้ที่ 50% ขณะที่ครึ่งแรกของปี บริษัทเติบโตอยู่ในเกณฑ์ที่ดีสามารถทำยอดขายใด้เกินเป้าหมายเดิม 5% จากเป้าเดิมที่ตั้งไว้ 180 ล้านบาท ซึ่งปัจจัยความสำเร็จดังกล่าวมาจากการสั่งซื้อสินค้าของกลุ่มผู้บริโภค เพิ่มขึ้น จากปกติที่มียอดสั่งซื้อเฉลี่ย 4,000-5,000 บาทต่อรหัส ปัจจุบันเพิ่มเป็น 6,000 บาทต่อรหัส


ประกอบกับบริษัทได้มีการจัดโปรโมชั่นให้แก่สมาชิกอย่างต่อเนื่อง รวมถึงปัจจัยด้านคุณภาพของสินค้าที่ผู้บริโภคหรือสมาชิกได้ซื้อไปใช้แล้วเห็นผลส่งผลให้เกิดการซื้อซ้ำ โดยสินค้าที่มียอดขายสูงสุดได้แก่ Pro Agi-9 ซึ่งเป็นสินค้าที่สามารถ ทำยอดขายได้ถึง 40% จากสินค้าทั้งหมด อีกหนึ่งตัวที่กำลังได้รับความนิยาม คือ Noni Blend หรือน้ำลูกยอ สูตรใหม่ ถือเป็นสินค้าที่ติดอันดับ Top 5 ของสินค้าขายดี


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 207 วันที่ 16- 30 กันยายนพ.ศ. 2555

ข่าวซีสเซิล (Sisel Thailand) : เชื่อมั่นตลาดไทยแข็งแกร่ง ดันสินค้าใหม่เสริมทัพ 41 รายการ


ซีสเซิล ชูแผนขยายสาขาทั่วโลก 32 แห่ง เล็งเปิดอีก 2 แห่ง เผย ซีสเซิล ทั่วโลกเติบโตอย่างต่อเนื่อง เชื่อมั่นไทยเป็นอีกหนึ่งตลาดที่มีความแข็งแกร่ง เตรียมเพิ่มสินค้าอีก 41 รายการ ย้ำ อเมริกา เตรียมเพิ่มสินค้าอีก 41 รายการ ย้ำที่อเมริกายังทำตลาดแบบดั้งเดิม เน้นการสร้งความสัมพันฑ์ พร้อมคัดสรรค์สุดยอดผู้นำจากทั่วโลกเข้า ร่วมทริปใหญ่ประจำปี Mower Mountain


แอรอน เรนเนอร์ท รองประธานฝ่ายขาย นานาชาติ บริษัท ซีสเซิล อินเตอร์เนชั่นแนล เปิดเผยว่า ปัจจุบันบริษัทได้ขยายเครือข่ายสู่ประเทศต่างๆ แล้ว 32 แห่งทั่วดลก และในเร็วๆนี้ มีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีก 2 แห่ง ทั่วโลก และในเร็วๆนี้ มีแผนที่จะเปิดเพิ่มอีก 2 แห่ง ที่ประเทศ ออสเตรเลีย และในภาคพื้นเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อีกหนึ่งแห่ง ขณะนี้ตลาดของบริษัทนับว่ามีอัตราการเติบโตขึ้นอย่างต่อเนื่อง รวมถึงประเทศไทยที่ปัจจุบันมีผู้นำที่สามารถขึ้นตำแหน่ง Five Star ได้แล้วถึง 21 คน ซึ่งเป็นไปตามแผนที่บริษัทได้ววางเอาไว้


ทั้งนี้ ประเทศี่สามารถสร้างยอดขายติดอันดับ TOP 5 ของบริษัทได้แก่ ญี่ปุ่น ซึ่งเป็นประเทศที่ยังคงเป็นตลาดหลัก อันดับ 1 ต่อด้วยอเมริการเหนือ อันดับ 2 รัสเซีย, ยูเครน , และ เยอรมัน ส่วนประเทศไทยแม้จะเปิดดำเนินธุรกิจแค่ปีกว่าๆ แต่ยอดเติบโตขึ้นอย่างรวดเร็วและบริษัทมีความเชื่อมั่นว่าประเทศไทยจะเป็นอีกตลาดหนึ่ที่สร้างความแข็งแกร่งให้กับบริษัทได้


ในส่วนของตลาดอเมริกา ขณะนี้เติบโตอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากผู้นำที่อเมริการมีความมุ่งมั่นเป็นอย่างมากโดยผู้นำเหล่านี้ยังคงยึดหลักการของขายตรงพื้นฐานมาใช้ในการทำธุรกิจ คือ การสร้างความสัมพันธ์ดังนั้น ผู้นำถึงให้ความสำคัญกับการพบปะเจอหน้ากันการเข้าร่วมประชุมอย่างสม่ำเสมอ แม้ว่าในยุคปัจจุบันสมาชิกหรือผู้นำจะมีความเข้าใจในระบบและการนำอินเตอร์เน็ตเข้ามาใช้ในการทำธุนกิจเป็นอย่างดีก็ตามแต่ยังคงให้ความสำคัญกับการสร้างความสัมพันธ์ให้กับสมาชิกได้อย่างเป็นอย่างดี


อีกทั้งยังรวมถึงการที่บริษัทมีความมั่นคงมีระบบที่ดี และสินค้าที่มีความหลากหลายสามารถตอบโจทย์ความต้องการของสมาชิกและผู้บริโภคได้เป็นอย่างดี ปัจจุบัน บริษัท ซิสเซิล ในอเมริกา มีสินค้าทั้งสิ้น 180 รายการ และ คาดว่าจะมีรายการสินค้าใหม่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง


ในส่วนของ ซีสเซิล ปรเทศไทย ปัจจุบันมีสินค้า 4 กลุ่มได้แก่ กลุ่มสินค้าที่ไม่มีสารปนเปื้อน กลุ่มเครื่องสำอาง กลุ่มผลิตภัณฑ์ควบคุมน้ำหนัก และหลุ่มผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับลดริ้วรอย และคืนความอ่อนเยาว์ ซึ่งในประเศไทยขณะนี้มีสินค้าที่ขึ้นทะเบียนแล้ว 22 รายการ และสินค้าที่กำลังยึ่นขออนุญาตอีก 41 รายการโดยบริษัทมอว่าสินค้านั้นควรมีความหลากหลาย ทั้งนี้ เพื่อเป็นการสร้างโอกาส และเป็นการสร้างทางเลือกที่หลากหลายให้กับสมาชิกในการขยายงาน


อย่างไรก็ตาม ระยะเวลาในการขึ้นทะเบียนสินค้าในประเทศไทยนั้นไม่แน่นอน สินค้าบารายการได้รับการอนุมัติเร็วมาก แต่บางรายการอาจจะต้องใช้เวลาเนื่องจากการใช้ส่วนประกอบที่ค่อนข้างเข้าใจยาก จึงต้องมีการเตรียมเอกสารชี้แจงเพื่อทำความเข้าใจและมีผลวิจัยรองรับ แต่หลังจากส่งเอกสารประกอบความเข้าใจเรียบร้อย คาดว่าจะมสินค้าที่ได้รับการอนุมัติเพิ่มเติมอีกหลายรายการในเร็วๆนี้


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 207 วันที่ 16- 30 กันยายนพ.ศ. 2555

ข่าวไอยรา แพลนเน็ต (Aiyara Planet) : โอ่ ยอด 6 เดือนโตตามเป้า เร่งอัดกิจกรรมกระทุ้งยอดท้ายปี


ไอยรา เผยรายได้ 6 เดือน คาดโตตามเป้า 100 ล้านบาท เล็งอัดกิจกรรมกระตุ้นยอดปลายปี ลุยจัดงาน Amazing King of Seasamael 23 มีนาคมนี้ และพร้อมจัดงานซอฟต์โอเพนนิ่ง ก่อนจัดงานจริง มกราคม ปี 2556


กัมปนาท บุญราศรี ประธานกรรมการ บริษัท ไอยรา แพลนเน็ต จำกัด เปิดเผลกับ เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ว่าตั้งแต่เปิดดำเนินธุรกิจตั้งแต่เดือนมีนาคม 2555 ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน บริษัทมีอัตราการเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยในช่วงระยะ 6 เดือนที่ผ่านมาสามารถทำยอดขายได้ 100 ล้านบาท ตามที่ตั้งเป้าหมายไว้ โดยปัจจุบันบริษัทมีจำนวนสมาชิก 7,500 รหัส และมีตลาดหลักอยู่ที่ภาคใต้ วึ่งเป็นตลาดที่มียอดขายสูงถึง 40% ของตลาดทั้งหมด รองลงมาเป็นภาคกลาง ภาคเหนือ และ ภาคอีสาน


ในส่วนของสินค้าปัจจุบันมีทั้งสิ้น 4 กลุ่ม ได้แก่ กลุ่มเพื่อสุขภาพ กลุ่มควบคุมน้ำหนัก กลุ่มความงามและกลุ่มเกษตร รวมสินค้าทั้งสิ้น 11 iยการ สำหรับสินค้าที่มียอดขายสูงสุดในขณะนี้คือ IMMURA SESAMEAL สารสกัดจากงาดำและธัญพืช ผลงานวิจัยของคณะแพทย์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และเป็นสินค้าที่สามารถทำยอดขายให้กับบริษัทได้สูงถึง 60% ของยอดขายรวม


ช่องทางการส่งสินค้าให้กับสมาชิก คือการส่งสินค้าผ่านไปรษณีย์ไทย , inter Express สต๊อก คิดส์ และ เอเจนซี่ในส่วนของ สต๊อก คิดส์ ปัจจุบันเรามี สต๊อกคิดส์ กระจายอยู่ทั่วประเทศกว่า 100 แห่ง และ เอเจนซี่อีก 1 แห่ง


สำหรับเหตุผลสำคัญที่บริษัทสามารถเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากการที่บริษัทมีจุดแข็งและความพร้อมหลายๆด้านไม่ว่าจะเป็นการมีสินค้าที่โดดเด่น และหลากหลายเพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคและสมาชิกต่อมาคือการฝึกอบรมที่มีวิยากรผู้เชี่ยวชาญมาฝึกอบรมให้กับสมาชิก การมีระบบไอทีที่ดีรองรับสมาชิก รวมถึงการมีแผนการจ่ายผลตอบแทนที่ดีให้กับสมาชิก


อย่างไรก็ดี ในไตรมาสสุดท้าย บริษัทเตรียมจัดงาน Amazing King of Sesemeal เป็นงานที่รวบรวมผู้ที่ได้รับประทานผลิตภัณฑ์แล้วได้ผลมาร่วมแชร์ประสบการณ์ภายในงาน งานดังกล่าวจะจัดขึ้นในวันที่ 23 กันยายน 2555 นี้ และในวันที่ 21 ตุลาคม บริษัทจะจัดงานซอล์ฟโอเพ่นนิ่ง รวมถึงการจัดงานโรดโชว์ในภูมิภาคต่างๆ พร้อมกับการมอบเข็มเกียรติยศให้กับสมาชิกที่ประสบความสำเร็จในเดือนพฤศจิกายนถึงเดือนธันวาคมนี้ และปิดท้ายด้วยงานเปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการในเดือนมกราคม 2556


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 207 วันที่ 16- 30 กันยายนพ.ศ. 2555

MLM Gossip (ล้วงลับคนเครือข่าย) : ไมเคิล ซาเฟล แห่ง บีฮิป (Bhip Thailand) ภาค 9 : แก้ต่างที่คมชัดลึก

ไมเคิล ซาเฟล นักธุรกิจชื่อดังออกมาแก้ต่างที่คมชัดลึก เพื่อนๆ คิดว่าไงกันครับ


วันอาทิตย์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2555

ข่าวแอมเวย์ (Amway Thailand) : อาร์ทิสทรี ฟอลล์ คัลเลอร์ คอลเล็คชั่น 2012 (Escape To Paradise Fall 2012) เร็ว ๆ นี้


Escape To Paradise Fall 2012
พบกับอาร์ทิสทรี ฟอลล์ คัลเลอร์ คอลเล็คชั่น 2012 เร็ว ๆ นี้
จำหน่ายพร้อมกันทั่วประเทศ 26 กันยายน 2555
ติดตามรายละเอียดได้ที่www.artistry.co.th/fallcollection2012

บริษัท จี พินนาเคิ้ล จำกัด (G Pinnacle Co.,Ltd.) : นำทีมสมาชิกตะลุยดินแดนมังกร ณ ประเทศจีน



บริษัท จี พินนาเคิ้ล จำกัด (G Pinnacle Co.,Ltd.)นำทีมโดย คุณ ศุภกร รักษ์บุญยวง ประธานบริษัท จี พินนาเคิ้ล จำกัดพาสมาชิกกว่า 30คน ทัวร์แดนมังกร ณ ประเทศจีน ด้วยความเป็นกันเอง สร้างความสัมพันธ์อันดีกับพี่น้องสมาชิกให้มีความรู้สึกอบอุ่นเสมือนครอบครัวเดียวกัน บรรยากาศในการทัวร์ครั้งนี้ เต็มไปด้วยความสนุกสนานและเสียงหัวเราะ ซึ่งเป็นภาพแห่งความสุขและความทรงจำที่งดงาม ในประเทศจีน ตลอดระยะเวลา 5วัน เมื่อวันที่27/08/55 31/08/55ที่ผ่านมา ทั้งนี้ผู้สนใจสามารถติดตามข่าวสาร



ได้ที่ http://www.gpinnacle.net/หรือที่http://www.facebook.com/GPINNACLE

วันเสาร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2555

ข่าวแอมเวย์ (Amway Thailand) : "แอมเวย์ ช็อป น่าน" ขยายโอกาสทางธุรกิจสู่ภาคเหนือ


นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด (ที่ 2 จากขวา) และนายวรานนท์ คงปฏิมากร ผู้อำนวยการฝ่ายจัดจำหน่าย (ซ้าย) พร้อมด้วยนักธุรกิจระดับสูง ร่วมพิธีเปิด แอมเวย์ ช็อป สาขาน่าน ศูนย์รวมโอกาสทางธุรกิจแห่งใหม่ที่ครบครันด้วยสินค้าและบริการ บนพื้นที่กว่า 240 ตารางเมตร เพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของนักธุรกิจแอมเวย์ รวมทั้งอำนวยความสะดวกให้สมาชิก ผู้สนใจ และผู้บริโภคทั่วไปในจังหวัดน่านและบริเวณใกล้เคียงอย่างครอบคลุมมากขึ้น

ข่าวกิฟฟารีน (Giffarine Thailand) : ตอกย้ำแผนรุก AEC ขนสมาชิกอาเซียนฉลองก้าวสู่ปีที่ 17


กิฟฟารีน ค่ายขายตรงยักษ์ใหญ่ สัญชาติไทย ยึดไบเทค บางนา ระเบิดความ สำเร็จก้าวสู่ปีที่ 17 ภายใต้แนวคิด Giffarine Champs of the Champs : กิฟฟารีน ก้าวนำอย่างแตกต่างในทุกมิติ อวดความ ยิ่งใหญ่ พร้อมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ร่วม 10 รายการ บรรดานักธุรกิจทั้งไทย และอาเซียนแห่ร่วมงาน บริษัทย้ำภาพเดินหน้าสู่การค้าเสรีอาเซียนเต็มตัว

พ.ญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวถึง งานฉลองความสำเร็จในครั้งนี้ของกิฟฟารีนว่า จากความสำเร็จของกิฟฟารีนตลอด 16 ปีที่ผ่านมา ทำให้กิฟฟารีนก้าวขึ้นสู่การเป็นแบรนด์ไทยอันดับหนึ่ง ในธุรกิจขายตรงหลายชั้น ด้วยการสร้างจุดแข็งในเรื่องของการวิจัยและพัฒนาอย่างเหนือชั้น จนเกิดเป็นสุดยอดนวัตกรรมผลิตภัณฑ์คุณภาพที่ได้รับการยอมรับจากนักธุรกิจและผู้บริโภคจำนวนมาก พร้อมไปกับการขยายเครือข่ายนักธุรกิจ ด้วยการสร้างนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกๆ ปี ซึ่งในปีนี้ได้จัดให้มีการเชิดชูเกียรติให้กับนักธุรกิจที่เข้ารับ ตำแหน่งสูงสุดของบริษัท นำมาซึ่งความภาคภูมิใจในศักยภาพของระบบธุรกิจเครือข่ายกิฟฟารีน ก่อให้เกิดการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง เพื่อครองความเป็นอันดับหนึ่ง ทั้งในเรื่องของการพัฒนาผลิตภัณฑ์ และขยายเครือข่ายนักธุรกิจของเราให้ก้าวหน้า อย่างยั่งยืนต่อไป

โดยงานในครั้งนี้ ได้จัดให้มีการเปิดตัว ผลิตภัณฑ์ใหม่ระดับพรีเมี่ยมว่า 10 รายการ ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงาม โดยกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่โดดเด่นที่สุดในงานนี้ คือ ชุดผลิตภัณฑ์บำรุงผิว เอดดัลไวส์ (Edelweiss) จากดอกไม้สีขาวแสนสวยบนเทือกเขาแอลป์ และหมู่พืชพรรณธรรมชาติที่เปี่ยมไปด้วยคุณค่าของสารที่มีประสิทธิภาพในการฟื้นฟู ผิวให้ขาวกระจ่างใส แลดูสุขภาพดี นอกจาก นี้ ยังมีผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และผลิตภัณฑ์ เครื่องสำอางที่น่าสนใจอีกมากมาย อาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร อาร์ทิโชก-แดนดี, กิฟฟารีน อะบาโลน, คอลลาเจน-ไฮยา ซีรั่ม, อินเทนซ์ ฟอร์มูล่า และกิฟฟารีน กลามอรัส วันเดอร์ไลท์ คอนซีลเลอร์ คิท เซ็ท (ดูเอกสาร ข้อมูลผลิตภัณฑ์)

นอกจากนี้ ได้จัดให้มีการเชิดชูเกียรติ และแสดงความยินดีกับความสำเร็จของสองผู้บริหารระดับสูงสุดในตำแหน่งไดมอนด์ แกรนด์ พาราไดซ์ คนล่าสุด คือ เรือเอกสุรินทร์-คุณฉวีวรรณ ลอยสูง และ คุณสมบุญ- คุณธัญชนก แดงรอด พร้อมทั้งพิธีประดับเข็มเกียรติยศผู้บริหารระดับสูงอีกหลายตำแหน่ง

จากนั้นเข้าสู่เวทีสุดอลังการของการ เปิดตัวผู้ชนะการแข่งขัน Giffarine Sales Contest ครั้งที่ 10 ผู้ชนะการแข่งขัน Giffarine Fantastic Beijing Awards 2012 ผู้ชนะการแข่งขันท่องเที่ยวประเทศยุโรป (เยอรมนี สวิตเซอร์แลนด์ และออสเตรีย) โดยผู้ชนะเลิศทั้ง 3 อันดับ ผู้ชนะเลิศ ได้แก่ คุณใยผกา เพียรศรีวัชรา ศูนย์เพชรบุรี รอง ชนะเลิศอันดับ 1 ได้แก่ คุณปิติพงษ์ เลาหพงศ์ศิริ ศูนย์ลำพูน รองชนะเลิศอันดับ 2 ได้แก่ คุณณัฐตรี กุศลเพิ่มพูน ศูนย์ปิ่นเกล้า และ คุณสูเรีย โต๊ะหลง ศูนย์สตูล และที่พิเศษในปีนี้ด้วยการเพิ่มรางวัลขวัญใจกรรมการซึ่งมีผู้ได้รับรางวัล ได้แก่ คุณณัฐธยาน์ เพชรผสมทอง ศูนย์ลำพูน และคุณนิธิศ เกศดี ศูนย์รามคำแหง และ ผู้ชนะการแข่งขัน Junior Mini Rally Rewards ท่องเที่ยวประเทศสิงคโปร์ พร้อมทั้งเปิดตัวการแข่งขันสุดเอ็กซ์คลูซีฟอย่าง Giffarine Fantastic Kyoto-Osaka Awards และ Junior Mini Rally Rewards ท่องเที่ยวประเทศฮ่องกง ปิดท้ายด้วยการเฉลิมฉลองความสำเร็จเพื่อก้าวเข้าสู่ปีที่ 17 อย่าง ยิ่งใหญ่ที่สุดของกิฟฟารีนด้วยสุดยอดคอนเสิร์ตจาก คาราบาว

อย่างไรก็ดี ในช่วงก่อนหน้านี้ พ.ญ.นลินี ได้กล่าวถึงแผนการตลาดในช่วงโค้งสุดท้ายว่า สำหรับกลยุทธ์การตลาด ในไตรมาสที่ 4 พิจารณาจากพฤติกรรมของ ผู้บริโภค ในช่วงครึ่งปีแรกที่ระมัดระวังในเรื่องการจับจ่ายใช้สอยเป็นอย่างมาก และคาดว่าจะส่งผลต่อเนื่องในครึ่งปีหลังด้วย ทางเราจึงมีแผนรับมือด้วยการทุ่มงบประมาณ 70 ล้านบาท จากงบประมาณทั้ง ปี 100 ล้านบาท เพื่อทำตลาดในครึ่งปีหลัง โดยตั้งเป้า ยอดขายในปีนี้ไว้ที่ 6,000 ล้านบาท โดยจะเน้นกลุ่มเป้าหมายเดิมเป็นหลัก พร้อมทั้งขยายเครือข่ายและผู้บริโภคไปยังกลุ่มคนรุ่นใหม่ผ่านสื่อออนไลน์ และช่องทางต่างๆ ที่ทันสมัยเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้ เป็นอย่างดี ซึ่งจะเน้นกลุ่มผลิตภัณฑ์เครื่อง ดื่มเพื่อสุขภาพและผลิตภัณฑ์ไวท์เทนนิ่งเป็นหลัก เพราะวัยรุ่นสมัยใหม่นอกจากจะสนใจ เรื่องความสวยความงามแล้วเรื่องสุขภาพ ก็เป็นเทรนด์ที่มาควบคู่กันด้วย

ตลอดระยะเวลากว่า 16 ปีที่ผ่านมา ความสำเร็จของนักธุรกิจกิฟฟารีนทุกคน และ การนำเสนอผลิตภัณฑ์คุณภาพสู่ผู้บริโภค นับล้าน คือ บทพิสูจน์แห่งความภาคภูมิใจของกิฟฟารีนที่ได้เป็นส่วนหนึ่งในการสร้างคุณภาพชีวิตที่ดีให้แก่คนไทยด้วยผลิตภัณฑ์ คุณภาพหลากหลายชนิดกว่า 2,000 รายการ ที่สามารถเข้าไปเติมเต็มชีวิตประจำวันของ สมาชิกผู้บริโภคกว่า 6 ล้านรหัส ปัจจุบันกิฟฟารีนมียอดจำหน่ายตลอดระยะเวลาของการดำเนินธุรกิจรวม 49,045 ล้านบาท และตอบแทนเป็นรายได้กลับคืนสู่ครอบครัว ไทยหลายแสนครอบครัวไปแล้วกว่า 24,000 ล้านบาท โดยมีศูนย์ธุรกิจตั้งอยู่ในประเทศไทย รวม 112 สาขา และต่างประเทศ 18 สาขา พร้อมทั้งมีบริการเดลิเวอรี่ส่งสินค้าถึงมือผู้บริโภคในทุกภูมิภาคทั่วประเทศ

ทั้งนี้ ปัจจุบันกิฟฟารีนมีสมาชิกแล้ว ประมาณ 6.2 ล้านรหัส คิดเป็นกลุ่มนักธุรกิจ อยู่ที่ประมาณ 3-5 แสนรหัส ที่เหลือก็จะเป็นกลุ่มสมาชิกผู้บริษัท และจากการเปิด กิฟฟารีนแชนแนล ขึ้นเมื่อประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยเป็นช่องรายการทีวี ผ่าน สัญญาณดาวเทียม ทำให้ยอดการสมัครเป็นสมาชิกของบริษัทมากขึ้น อีกทั้งแบรนด์ ของกิฟฟารีนก็เป็นที่รับรู้มากขึ้น ทำให้บริษัท มีความมั่นใจในกลยุทธ์ต่างๆ ที่ทำในปีนี้ และเชื่อว่าตัวเลข 6 พันล้านที่วางในสิ้นปี ไม่ใช่เรื่องเกินจริงอย่างแน่นอน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่1337 ประจำวันที่ 22-9-2012 ถึง25-9-2012

ปี 2555 นี้ "ธุรกิจขายตรง (MLM)" รวย!


เห็นที ปี 2555 นี้ คงจะเป็นปีมังกรทองของธุรกิจขายตรงเป็นแน่แท้

เหตุที่กล้าเอ่ยเริ่มต้นด้วยประโยคเช่นนี้ ก็เพราะการเห็นด้วยตาเปล่า และความที่ผู้เขียนได้คลุกคลี และสัมผัสกับคนวงในขายตรงหลายสำนัก หลายหน้าที่ ทำให้ประโยคที่กล่าวไม่ใช่เพียงการคาดเดาแน่นอน

ผ่านระยะเวลาการทำธุรกิจมาร่วม 9 เดือนของปี 2555 สิ่งหนึ่งที่เห็นได้ชัด ถึงความเจริญรุ่งเรืองของธุรกิจขายตรงคือ ปัญหาจากภายนอก เรื่องการเมืองไม่มีอะไรรุนแรง สภาพความเป็นไปของสังคม ไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ชวนขนลุก จนทำให้ผู้บริโภคเกิดความวิตก จนต้องลดการซื้อ หรือไม่ซื้อ

ธุรกิจขายตรงแบรนด์ใหม่ๆ เกิดขึ้นมากมาย ทั้งจากที่ เลื่อนการเปิดจากปีที่แล้วที่มีเหตุมหาอุทกภัย จนต้องมาเปิด ในช่วงต้นปี หรือบริษัทใหม่ ที่ตั้งใจเปิดในปีนี้ นับดูแล้วก็มีกว่า 10 บริษัทเลยทีเดียว

ซึ่งปัจจุบันในรายชื่อของบริษัทขายตรงที่จดทะเบียนเปิดดำเนินงานธุรกิจเครือข่ายกว่า 800 บริษัท ที่อยู่ในหน้าเว็บไซต์ของสคบ. ทำให้เห็นชัดว่า ธุรกิจขายตรงรุ่งเรืองเพียงใด

ถึงแม้ในโลกของความเป็นจริง ในจำนวนกว่า 800 บริษัทที่กล่าวมา จะมีเพียง 100-200 บริษัทเท่านั้น ที่ยังเคลื่อนไหว และดำเนินงานอย่างเป็นรูปธรรมก็ตาม

โดยในจำนวน 100-200 บริษัทที่เคลื่อนไหว ก็ถือว่ายังเยอะอยู่ดี และเมื่อดูจากตัวเลขมูลค่าการตลาดรวม ที่ วรวัจน์ เอื้อภิญญกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายรัฐมนตรี ผู้ดูแลขายตรง เคยหลุดปากว่า มีจำนวนนับ 1 แสนล้านบาท นี่ยิ่งเป็นตัวการันตีว่า ขายตรงรุ่งเรืองเพียงใด

ในปีนี้ ที่เห็นได้ชัดอย่างหนึ่งคือ ธุรกิจขายตรงหลาย ค่ายส่วนใหญ่ มีการทำตลาดที่ตรงจุดมากกว่าที่ผ่านๆ มา

โดยเน้นไปที่สินค้า และนักธุรกิจในสังกัดเป็นสำคัญ

นี่คือตัวแปรที่สำคัญ สินค้าต้องดีจริง ผู้บริโภคถึงกล้า เสียเงินซื้อ และไม่เสียดายหากต้องซื้อต่อ

นักธุรกิจเป็นเสมือนหัวใจของธุรกิจ บริษัทใดทำให้นักธุรกิจของตนเอง หาเครือข่ายได้ดี และต่อเนื่องด้วยการประชุมอบรม และช่วยเหลือด้วยเครื่องมือต่างๆ ก็เสมือนมีชัยไปเกินครึ่ง

2 สิ่งนี้ บริษัทขายตรงในปีนี้ ส่วนใหญ่ ทำได้ดี

เพราะหากมองย้อนไป บริษัทขายตรงหลายแห่งห่วงแต่เรื่องบริษัทคู่แข่ง ไม่มอง ไม่เน้นสร้างตลาดของตนเอง ดีแต่ จะเตะตัดขากันเอง ซึ่งหารู้ไม่ว่านั่น คือ ทางดับ!!!

นอกเหนือจากสิ่งที่กล่าวมานี้แล้ว สิ่งหนึ่งที่จะเป็นตัว การันตีได้เป็นอย่างดีว่า ธุรกิจขายตรงในปี 55 นี้ จะดีสมเป็นปีมังกรทองคือ น้ำท่วม

ไม่มีใครในตอนนี้ ที่เชื่ออย่างสุดโต่งว่า น้ำจะไม่ท่วมจนสร้างความเสียหายอย่างปีที่แล้วนี่คือเรื่องดี

เพราะความระแวงที่เกิดขึ้นนี้เอง นำไปสู่การหามาตรการป้องกัน เพื่อไม่ให้เกิดเหตุซ้ำรอย

บริษัทขายตรงหลายแบรนด์ มีแผนรองรับน้ำท่วม เรียงลำดับขั้นตอนไว้เป็นอย่างดี

และหากน้ำไม่ท่วมอย่างปีก่อนๆ เส้นทาง 12 เดือน ของธุรกิจขายตรงในปี 55 ไม่ต่างจากการถูกโรยด้วยกลีบดอกไม้

ปีนี้ธุรกิจขายตรงต้องแข่งกับตัวเอง เมื่อไม่มีเหตุการณ์ ภายนอกเข้ามาถือเป็นโอกาสที่ดีในการผลักดันบริษัทไปข้างหน้า

หากไม่สะดุดขาตัวเอง สงสัยจะได้เฮกันถ้วนหน้า

ฟันธง!!!


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่1337 ประจำวันที่ 22-9-2012 ถึง25-9-2012

ข่าวขายตรง (MLM) : อีสาน-ใต้ ทำเลทอง MLM หนีเมืองชิงยอดขายภูธร


ถึงแม้ปัจจุบัน ตลาดใหญ่ของธุรกิจขายตรงจะยังคงเป็นกรุงเทพมหานครก็ตาม แต่เมื่อมองไปที่การขยายตัวในแต่ละปี อัตราการเติบโตของภาคตะวันออกเฉียงเหนือ และภาคใต้ ก็นับว่ามีการขยายตัวที่ดี ซึ่งสำหรับธุรกิจเครือข่ายแล้ว 2 ภูมิภาคนี้ ถือเป็นยุทธภูมิทองคำที่ยังเหลือพื้นที่ และผู้คนในการทำตลาดได้อีกมาก

เมื่อดูจากการทำตลาดของบริษัทต่างๆ เห็นได้ชัดว่า บริษัทขายตรงทั้ง แบรนด์ใหญ่ หรือเล็ก ก็พยายามที่จะรุกออกมาทำยอดขายในเขตต่างจังหวัด ซึ่งมีภาคอีสาน และภาคใต้ เป็นขุมทรัพย์ที่ต้อง วางกลยุทธ์ให้ดี เพื่อชิงยอดขายก้อนโตโดยนายจักรพันธ์ สุทธโทธน กรรมการผู้อำนวยการ เฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด เปิดเผยว่า ภายในปีนี้จนถึงต้นปี 2556 บริษัทมีแผนที่จะเปิดศูนย์สาขา ที่มีลักษณะ เป็น Sale Center เนื่องจากมองเห็นถึงศักยภาพ ความพร้อมต่างๆ ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยอาจจะเข้าไปประเดิมในภาคอีสานเป็นพื้นที่แรก เนื่องจากอัตราการเติบโตขยายตัวเป็นไปอย่างรวดเร็ว ซึ่งคาด ว่าจะมีการใช้งบประมาณในการเปิดศูนย์ แต่ละศูนย์ประมาณ 5 ล้านบาท และในอนาคตจะมีการขยายไปที่ภาคใต้ ภาคเหนือเป็นลำดับถัดไป

ปีนี้สัดส่วนยอดขายของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่บริษัทปรับกลยุทธ์การตลาด โดยเข้าไปรุก ในส่วนของตลาดภูมิภาคมากขึ้น ดังจะเห็น ได้จากสัดส่วนยอดขายในช่วงไตรมาสแรกของภูมิภาคต่างๆ มีอัตราสูงขึ้น โดยภาคอีสานมียอดขายโต 100%, ภาคใต้ 30% และภาคเหนือโต 5% ตามลำดับ โดย ปัจจุบันบริษัทมีสมาชิกแอ็กทีฟประมาณ 2.3 หมื่นรหัส จาก 50 จังหวัดทั่วประเทศ ปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มอีก 5 พันรหัส

ด้านนายวิชัย ทองขุนคำ ประธานกรรมการ บริษัท ธนาธร ยูเนี่ยนไลฟ์ จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับศูนย์จำหน่ายสินค้าของบริษัทในปัจจุบันนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นของสมาชิก ซึ่งปัจจุบันมีอยู่ที่จังหวัด กระบี่, สุราษฎร์ธานี, แม่สอด, ตราด, เชียงใหม่, เชียงราย, ขอนแก่น, กาฬสินธุ์, นครราชสีมา, ชัยภูมิ และบุรีรัมย์ โดยปีนี้ ตั้งเป้าที่จะมีศูนย์ให้ได้ประมาณ 40 จังหวัด และปีหน้าคาดว่าธนาธรจะต้องมีศูนย์ครบ ทุกจังหวัดอีกด้วย

เป้าหมายของเราคือ 3 ปีแรกเป็น การตั้งรับ 3 ปีที่ 2 เป็นการทำตลาดเชิงรุก 3 ปีที่ 3 เป็นการสร้างแบรนด์ ขณะเดียวกัน ในภาวะที่มีการแข่งขันสูงเช่นนี้ เราขอที่ จะเติบโตอย่างไม่หวือหวา ไม่อยากที่จะแข่งขันกับใคร ต้องการที่จะแข่งขันกับตัวเองเสียมากกว่า และต้องการโตแบบมีคุณภาพ โดยในปีนี้บริษัทตั้งเป้าที่จะมียอดขายอยู่ที่ประมาณ 200 ล้านบาท ซึ่ง ถือว่าเป็นยอดขายที่อาจจะไม่เยอะแต่หาก ทำได้ตรงตามเป้า ถือว่าเป็นอีกหนึ่งความ สำเร็จของเราด้วยเช่นกัน

อย่างไรก็ดี นอกจาก 2 บริษัทที่กล่าว มา ยังมี นายสุธีร์ รัตนนาคินทร์ ประธาน กรรมการ บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด กล่าวว่า หลังจากที่บริษัท เอเชีย สุพรีม จำกัด ได้เปิดตัวครบรอบ 1 ปี โดยภาพรวมแล้วนั้น บริษัทมีการเจริญเติบโตไปใน ทิศทางที่ดี และถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นที่น่าพอใจ ซึ่งบริษัทได้เน้นย้ำวิสัยทัศน์ของ การก่อตั้งบริษัทเป็นหลัก นั่นก็คือการดำเนินธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย ซื่อสัตย์ มีจริยธรรม ไม่เอาเปรียบผู้บริโภค ด้วยสินค้าและผลิตภัณฑ์ที่มีคุณภาพ พร้อมเป็น ศูนย์กลางในการให้ความรู้ในด้านการดูแล สุขภาพอย่างถูกต้อง สนับสนุนให้นักธุรกิจ ของ เอเชีย สุพรีม บรรลุเป้าหมายและประสบความสำเร็จไปด้วยกัน

ในส่วนของการเปิดสาขานั้น บริษัท เตรียมที่จะเปิดที่อิมพีเรียล ลาดพร้าว ไว้เพื่อเป็นศูนย์สาขาในประเทศ โดยในส่วนของต่างจังหวัดก็มีแล้วที่เชียงใหม่ หาดใหญ่ โดยบริษัทได้มองไปที่สระบุรี เป็นเป้าหมาย ต่อไปที่บริษัทจะเปิดขยายสาขาเพิ่ม โดยต้องการที่จะเดินหน้ารุกตลาดภาคตะวันออกเฉียงเหนือในอนาคต ซึ่งตลอด 1 ปีที่ผ่านมา บริษัทมีสมาชิกที่สนใจเข้าร่วมงานกับทางบริษัท กว่า 3 พันรหัส และคาดว่าภายในสิ้นปี นี้จะมียอดสมาชิกทั้งสิ้น 1 หมื่นรหัส พร้อมกันนี้ยังได้รับการตอบรับ จากสมาชิกเป็นอย่างดี ทั้งในเรื่องของผลิตภัณฑ์ และผลตอบแทนของบริษัท ทำ ให้มียอดขายเติบโตอยู่ที่ 30% และคาดว่า ในอีก 3 ปีบริษัทจะมียอดขายเป็น 500 ล้านบาท

โดยสิ่งที่กล่าวมา เป็นการสะท้อนถึง ความจริง ซึ่ง นายวชิรชัย คงชัย ประธาน ชมรม ธุรกิจขายตรงภาคใต้ เคยเปิดเผย สยามธุรกิจ ว่า เอกลักษณ์สำคัญของธุรกิจเครือข่ายในภาคใต้ นั่นคือ บริษัทขายตรงแต่ละค่ายไม่ค่อยมีปัญหา หรือมีความเดือดร้อนในการทำธุรกิจมากนัก นอกเหนือจากนี้ ตนมองว่าเหตุการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นในหลายภูมิภาคยังส่งผลดีต่อการ ทำธุรกิจในพื้นที่ด้วยซ้ำ เนื่องจากเมื่อเกิด ปัญหาขึ้นก็เสมือนกับเป็นช่องทางหนึ่งให้สมาชิก และแม่ทีมได้ไปมาหาสู่ เยี่ยมเยียน ซึ่งกันและกัน ซึ่งจะช่วยสร้างสัมพันธภาพ ที่ดีระหว่างกัน

นอกจากนี้ ในส่วนของภาครัฐที่ให้ความใส่ใจธุรกิจเครือข่ายมากขึ้น หรือภาค วิชาการที่มีการตื่นตัว เริ่มปรับหลักสูตร จัด ทำหนังสือคู่มือเกี่ยวกับธุรกิจนี้อย่างจริงจัง เพื่อให้ประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ได้รู้จักธุรกิจนี้อย่างแท้จริง ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้ปีนี้ธุรกิจเครือข่าย เป็นปีแห่งมืออาชีพ การตลาดมีการเติบโตมากขึ้น สะดวกขึ้น ผู้คนเข้ามาสู่ธุรกิจเพิ่มขึ้น

ทั้งนี้ ในภาคใต้ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ ยังมีการผลักดันขายตรงเข้าไปเป็น วิชาเรียน เพื่อเป็นการให้ความรู้เบื้องต้น กับนักศึกษา ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ธุรกิจขายตรงในภาคใต้ กลายเป็น ธุรกิจที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่1337 ประจำวันที่ 22-9-2012 ถึง25-9-2012

วันศุกร์ที่ 21 กันยายน พ.ศ. 2555

ข่าวประชาสัมพันธ์ มิ้ลค์กี้ เวย์ (Milkyway Planet) OPP เปิดโอกาสธุรกิจ

[gallery link="file"]


มิ้ลค์กี้ เวย์ OPP เปิดโอกาสธุรกิจ


แจก ฟีโน่ พร้อมจัดโปรโมชั่นเสริมการขาย


บริษัท มิ้ลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค จำกัด บริษัทขายตรงคลื่นลูกใหม่มาแรง จัดงานประชุม เปิดโอกาสทางธุรกิจ มีคณะผู้นำ และมวลสมาชิกหลั่งไหลเข้ามาร่วมงานกว่า 200 คน โดยมี สุมิตร วชโรดมทรัพย์ ประธานกรรมการบริหารบริษัทฯ ขึ้นกล่าวตอกย้ำแนวนโยบายความมั่นคงของบริษัทฯ พร้อมทั้งสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักขายมืออาชีพที่เข้ามาร่วมเป็น สำหรับบรรยากาศภายในงานมีการจับฉลากของรางวัลผลิตภัณฑ์มากมาย และรางวัลใหญ่ รถจักรยานยนต์ ฟีโน่ 1 คัน พร้อมกันนี้ บริษัทฯ ยังได้ประกาศโปรโมชั่นเพื่อส่งเสริมการขายให้กับสมาชิกอีกมากมาย ซึ่งการจัดงานดังกล่าวจัดขึ้น ณ เช็นเตอร์ ชั้น 4 ห้างอิมพีเรียล เวิลด์ ลาดพร้าว เมื่อเร็วๆ นี้

ขายอาเซียน (AEC MLM) : รุกตลาด "ขายตรงเวียดนาม (Vietnam)" เร่งกำจัด "จุดอ่อน" ชิงผู้บริโภค


เวียดนาม เป็นประเทศยักษ์ใหญ่อันดับ 3 ในกลุ่ม อาเซียน ด้วยจำนวน ประชากรประมาณ 90 ล้านคน รองจาก อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ และเป็นประเทศ คู่ แข่งที่สำคัญของ ไทยที่ประมาทไม่ได้ ทั้งเรื่องของสภาวะเศรษฐกิจที่มีการขยายตัวอย่างต่อ เนื่อง การเมืองที่มีเสถียรภาพมากกว่า ขณะเดียวกันก็เป็นประเทศเพื่อนบ้านที่มองข้ามไม่ได้ ด้วยเช่นกันโดยเฉพาะเรื่องของการเข้าไป ลงทุน เพราะปัจจุบันไทย ติดอันดับ 1 ใน 10 ประเทศของผู้ลงทุนรายใหญ่ของ เวียดนาม ไปแล้ว


กว่า 20 ปีมาแล้วที่ เวียดนาม ได้ใช้ นโยบายปฏิรูปที่เรียกว่า Doi Moi มาขับเคลื่อน เศรษฐกิจของประเทศให้มีการขยายตัวอย่างต่อ เนื่อง ส่งผลถึงสภาพชีวิตความเป็นอยู่ของ ประชากรมีการพัฒนาในลำดับที่ดีขึ้น ล่าสุดถูก จัดให้เป็นประเทศในกลุ่ม อาเซียน ที่มี สัดส่วนการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคสูงสุด อันดับ 2 รองจาก ฟิลิปปินส์ คือร้อยละ 67 เมื่อเทียบกับ GDP


สินค้าไทย เป็นต่อ เวียดนาม ขานรับ มีคุณภาพ
โดยพฤติกรรมการบริโภคของ ชาว เวียดนาม นั้นยังคงอยู่กับ วิถีชีวิต ใกล้เคียง จากเดิมที่เป็นอยู่ แต่ ทัศนคติ ที่มีต่อ สินค้า ไทย เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆ ที่มีอยู่ในตลาด อย่าง จีน-เกาหลีใต้-ไต้หวัน-สิงคโปร์-ยุโรป หรือ แม้แต่ เวียดนาม เอง ยังเป็นที่ยอมรับในเรื่อง ของ คุณภาพ และ ราคา ที่สมเหตุสมผลจนได้ รับ ความนิยม สูงกว่า ซึ่งสินค้าบางประเภทถึง ขนาดถูกนำไปลอกเลียนแบบเพื่อจำหน่ายหวังดึง ผู้บริโภคที่ใช้สินค้าไทย แต่ด้วย ราคา ในระดับที่ สมเหตุสมผลรวมกับ คุณภาพ ที่เหนือกว่ากลาย เป็นการเพิ่มความถี่ในการบริโภคที่เพิ่มขึ้นและสืบ เนื่องมายาวนานจนกลายเป็นความคุ้นเคยกับ สินค้าไทย


ไม่เว้นแม้แต่ ตลาดเครื่องสำอาง ใน เวียดนาม ที่มีการขยายตัวอย่างรวดเร็ว โดย เฉพาะประเภท ผลิตภัณฑ์บำรุงผิว มีสินค้า แบรนด์ข้ามชาติครองตลาดอยู่แล้วถึงร้อยละ 57 และเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของคนไทย แต่ ผู้บริโภค ชาวเวียดนาม ก็ยังมีความชื่นชอบในสินค้าที่ ผลิตโดย คนไทย ไม่ว่าจะเป็น ผลิตภัณฑ์บำรุง ผิว-แชมพู-สบู่ เป็นต้น


ดังนั้น คุณภาพสินค้าไทย ที่ถูก ชาว เวียดนาม ยกระดับให้เป็นต่อเหนือประเทศคู่แข่ง สิ่งหนึ่งที่ ผู้ประกอบการคนไทย จะทอดทิ้งไม่ได้ คือการรักษากลุ่ม ผู้บริโภคเดิม รวมถึงการเพิ่ม ฐาน กลุ่มผู้บริโภคใหม่ แ ล ะ ต่อยอด ผลิตภัณฑ์ ออกไปเพื่อความยั่งยืนให้กับธุรกิจใน ระยะยาว


ส่วน ตลาดอาหารเสริม ใน เวียดนาม นั้น ทางการ จะค่อนข้างเข้มงวดให้เป็นไปตาม กฏหมาย แต่ใช่จะปิดกั้นเลยเสียทีเดียวหากแต่ การดำเนินธุรกิจเพื่อจัดจำหน่ายจะต้องขออนุญาต จาก ทางการ ก่อนเพราะไม่สามารถ จำหน่ายตรง ให้กับผู้บริโภคได้ จะต้องผ่าน กลุ่มผู้แทน จำหน่าย หรือ กลุ่มพ่อค้าคนกลาง ให้ทำหน้าที่ กระจายสินค้า เท่านั้น


ขายตรง เดินหน้าปักธงไม่หยุด
ขายตรง เดินหน้าปักธงไม่หยุด ทั้งนี้ ธุรกิจขายตรงคนไทย ที่เข้าไปทำ ตลาดใน เวียดนาม จะเห็นว่าหลายบริษัทขาย ตรงต่างเดินหน้าขยายตลาดก่อนกระแส ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือAEC จะมาแรง ในปีนี้ ไม่ว่าจะเป็น เอวอน ซึ่งลงหลักปักฐาน ขยายตลาดใน เวียดนาม มาตั้งแต่ปี 2539 แอมเวย์ เปิดสาขาตั้งแต่ต้นปี 2551 พร้อม สรรพทั้ง โรงงานผลิต และ คลังสินค้า ส่งผล ให้ แอมเวย์ สาขาใน เวียดนาม ติดอันดับ ท็อป ตลาดขายตรงเวียดนาม มีนักขายอิสระ ทะลุเกิน 40,000 คน ยังไม่นับรวม ออริเฟลม โมรินดา ที่เข้าไปบุกเบิกตลาดกันก่อนหน้านี้ และล่าสุด นูสกิน เตรียมบุกตลาด เวียดนาม ในช่วงเดือนที่เหลือของปี 2555 นี้อีก ขณะ กิฟฟารีน ก็เตรียมวางแผนบุกตลาดในปี 2556 นี้ และยังไม่นับรวมอีกหลายบริษัทที่ขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างศึกษาตลาดผู้บริโภคชาวเวียดนาม ก่อนขยายตลาดอย่างจริงจัง


จับตาใน ตลาดเวียดนาม เวลานี้คือ สังคม ไทยกำลังจะเข้าสู่การเป็น สังคมผู้สูงอายุ มาก ขึ้น แต่ เวียดนาม กลับมี คนวัยหนุ่มสาว อยู่ มาก มี ประชากร รวมกันกว่า 80 ล้านคน มี แรงงาน ในปัจจุบันรวมกันราว 50 ล้านคนแยก เป็นหญิง-ชาย อยู่ในสัดส่วนพอๆ กัน ซึ่งถือเป็น ข้อได้เปรียบ เพราะ คนหนุ่มสาวชาวเวียดนาม คือพลังสำคัญของชาติในอนาคต


เรียนรู้ โอกาสทอง กำจัด จุดอ่อน ได้
จากข้อมูลข้างต้นนับ เป็น โอกาสทอง ของ ธุรกิจขายตรง เลยทีเดียวแม้ว่าจะมีหลาย บริษัทใหญ่ขายตรงเข้าไปบุกเบิกขยายตลาด ก่อนหน้านี้ แต่ภาพรวมของการแข่งขันก็ยังถือว่า ไม่รุนแรงมากนักเมื่อเทียบถึง จำนวน ผู้บริโภค ที่คาดว่า จะเพิ่มขึ้นใกล้ๆ 90 ล้านคน ฉะนั้นการ ล่วงรู้ถึง พฤติกรรมผู้บริโภค กลุ่มเป้าหมายก่อน ตัดสินใจบริโภคสินค้าถือเป็นปัจจัยสำคัญยิ่งที่บริษัทขายตรง จะต้องหา ผู้บริโภคชาว เวียดนามตัวจริง ของตัวเองเพื่อตอบสนองความ ต้องการให้ตรงจุดได้


มีปัจจัยหนึ่งที่จะมองข้าม พฤติกรรม ชาวเวียดนาม ไปไม่ได้ในยุคของ การสื่อสารที่ ไร้พรมแดน นั่นคือเรื่องของ พฤติกรรมชาว เวียดนาม ที่ทาง กระทรวงข้อมูลและสื่อสาร ระบุไว้ว่า เวียดนามเป็นประเทศที่ถูกจัดให้อยู่ ในอันดับที่ 18 จาก 20 อันดับแรกของโลก ที่มี ประชากรเข้าถึง อินเตอร์เน็ต มากกว่าร้อยละ 30 และถูกจัดอยู่ในอันดับที่ 8 ในภูมิภาคเอเชีย และเป็นอันดับที่ 3 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออก เฉียงใต้ เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมานี


ฉะนั้นการที่ ชาวเวียดนาม ติดอันดับ โลก ใช้อินเตอร์เน็ตมากที่สุด ย่อมมีความหมาย ในตัวแล้วว่า ผู้บริโภค จะได้รับอิทธิพลจาก ข้อมูลข่าวสารที่ทันสมัยผ่านทางอินเตอร์เน็ต หาก มีความสนใจผลิตภัณฑ์ที่บริษัทมีแต่ยังไม่ สามารถตอบสนอง ผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมาย ได้ อย่างรวดเร็วอาจกลายเป็น จุดอ่อนให้ธุรกิจไม่ ประสบความสำเร็จได้ เช่น การออกผลิตภัณฑ์ ใหม่ในประเทศไทยของ ธุรกิจขายตรง ก็จะต้อง ออกพร้อมกันกับ ตลาดในเวียดนาม ด้วย เพราะถือเป็นตลาดเดียวกันแล้ว การออก ผลิตภัณฑ์ไม่พร้อมกันจะย่อมมีผลทั้งความรู้สึก ทัศนคติของผู้บริโภคได้เหมือนกันว่า ผลิตภัณฑ์ ที่ออกใหม่ในเวียดนาม แต่ออกช้ากว่าประเทศ ไทยถือว่าเป็นผลิตภัณฑ์ที่ล้าหลัง เป็นต้น


ฉะนั้นการที่ ประชากร ของประเทศ มีสูงถึงประมาณ 80 กว่าล้านคนแล้ว การล่วงรู้ว่าผู้ บริโภคมีความต้องการ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทมาก น้อยเพียงใดนั้นเป็นเรื่องสำคัญแน่นอน ยิ่ง ชาว เวียดนาม มีความต้องการบริโภคเพิ่มหรือมี อำนาจซื้อ หรือมีรายได้เพิ่มมากขึ้นยิ่งเกิดการ บริโภคเพิ่มขึ้นเท่านั้น


"ค้าปลีก-ขายตรง" ชิงผู้บริโภค 90 ล้านคน
อย่างไรก็ตาม ตลาดในปัจจุบันในยุค ของการสื่อสารที่ไร้พรมแดน ได้เป็น ตลาดของ ผู้ซื้อ ไปแล้วไม่ใช่ ตลาดของผู้ขาย ขณะที่ ช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้า อุปโภคบริโภค ประเภทเดียวกันเริ่มเพิ่มมากขึ้นโดยเฉพาะ ตลาดค้าปลีก ใน เวียดนาม หากดูจากผล การศึกษาของบริษัท AT Kearney ระบุชัดเจนว่า มูลค่าการค้าปลีกของเวียดนามจากปัจจุบันไป จนถึงปี 2557 จะเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 ต่อปี มี โอกาสที่จะดึงดูดการลงทุนจากบรรดาผู้ประกอบ การค้าปลีกทั้งในประเทศและต่างประเทศได้เป็น อย่างดี ไม่เพียงเท่านี้ยังมีรายงานในหัวข้อ Viet Nam Retail Market Forecast to 2014 พบว่า ช่องทางการพัฒนา ตลาดค้าปลีกสมัยใหม่ มี โอกาสขยายตัวได้ดีในอนาคต โดยมาจาก กำลัง ซื้อของผู้บริโภค และตลอดระยะเวลาหลายปีที่ ผ่านมาบริษัทผู้ค้าปลีกจากต่างประเทศมีความ พยายามที่จะขยายตลาดและเพิ่มสัดส่วนทาง การตลาดให้กับบริษัทของตน ด้วยจำนวนผู้ บริโภคที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 90 ล้านคน จึงทำให้ ตลาดค้าปลีกในเวียดนาม ได้รับความสนใจ อย่างยิ่งจากบรรดานักลงทุน ด้วยจำนวนผู้ บริโภคที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้นถึง 90 ล้านคน


ฉะนั้น เวียดนาม วันนี้ถือจึงเป็น ตลาดใหญ่ ที่ทั้ง ตลาดค้าปลีกและ ตลาด ขายตรง มองไปที่จำนวนผู้บริโภคกลุ่มเดียวกัน ประมาณ 90 ล้านคน ผู้ประกอบการไทย เอง ที่มีความสนใจต้องการขยายตลาดอย่างจริงจังก็ สามารถฉกฉวย โอกาสจากความได้เปรียบที่มี อยู่ได้ ทั้งความเป็นประเทศบ้านใกล้เรือนเคียง ของ ไทย และเป็น ศูนย์กลางทางผ่านของ สินค้าในภูมิภาค รวมถึงมี ภาพลักษณ์สินค้า ไทย ที่ครองตลาดมานานจะเป็นทุนช่วยให้ ธุรกิจขายตรงไทย สามารถเข้าไปครองส่วนแบ่ง ทางการตลาดโดยเฉพาะ ตลาดค้าปลีก ใน เวียดนามที่มีแนวโน้มเติบโตอย่างต่อเนื่องได้ เพราะแม้วันนี้ ธุรกิจขายตรง ไม่ต้องการแข่งขัน แต่อนาคตก็หนีไม่พ้นสนามแข่งขัน ในเมื่อ เวียดนาม วันนี้เปิด ตลาดค้าปลีก แล้วร้อยละ 100 เพื่อให้นักลงทุนจากต่างประเทศเข้ามา ลงทุน มีบรรดานักลงทุนจากต่างประเทศเตรียมที่ จะพัฒนาระบบการค้าปลีกเข้าไปสู่ทุกพื้นที่ใน เวียดนาม แล้วก็คงถึงเวลาแ ล้วกับ ธุรกิจขายตรง ที่เตรียมขยายตลาดหันปรับตัว ปรับกลยุทธ์ทางการตลาดให้สอดรับกับ สถานการณ์ที่กำลังจะเกิดขึ้นในระยะเวลาอัน ใกล้นี้


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ธุรกิจเครือข่ายขายตรง ฉบับที่ 236 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16-30 กันยายน 2555

ข่าวซินเนอร์จี้ (Synergy WorldWide) : เปิดศูนย์ สต็อก คิสท์เจาะตลาดหัวเมืองใหญ่รองรับ AEC (ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน)


ซินเนอร์จี้ ขายตรงเลือดมะกัน ผู้นำตลาด Heart Healthy เป็นปลื้ม หลังยอดขายปีนี้โตกว่า 200% บอกไตรมาสสุดท้ายเตรียมเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ อีก 2 รายการ ได้แก่ Omega-3 และคิวเทน พร้อมเสริมกลยุทธ์เด็ด วางแพลน หนุนสมาชิกเปิดศูนย์ สต็อก คิสท์ ตามหัวเมืองใหญ่แถบชายแดน รองรับตลาด ใหญ่ AEC

นายพิชญุต์ม์ เจนอารีวงศ์ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท ซินเนอร์จี้ เวิลด์ไวด์ มาร์เก็ตติ้ง (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย สยามธุรกิจว่า ในปัจจุบันการดำเนินงานของซินเนอร์จี้ประเทศไทยมีความลงตัวในทุกๆ ด้าน ดังจะเห็นได้จากเมื่อช่วงปลายปีที่แล้วซึ่งมีวิกฤติน้ำท่วมหนัก บริษัทเองก็มีความกังวลว่าอาจจะได้รับผลกระทบ เกิดความเสียหายต่อตัวบริษัทและสมาชิก แต่ปรากฏว่าเราสามารถผ่านช่วงเวลาวิกฤตินั้นมาได้ด้วยดี

ซึ่งปัจจัยสำคัญที่ทำให้ซินเนอร์จี้ก้าวผ่านปัญหาต่างๆ จนมีความมั่นคงอย่างต่อเนื่องนั้น พิชญุต์ม์ มองว่า เกิดจากบริษัทมีผู้นำที่แข็งแกร่ง และทุ่มเทให้กับการทำงาน อย่างแท้จริง และเมื่อประกอบกับโครงสร้าง ของบริษัทที่แข็งแรง และเป็นสากลอยู่แล้ว จึงทำให้ขณะนี้มีผู้นำใหม่ๆ เข้ามาร่วมธุรกิจ กับซินเนอร์จี้เพิ่มมากขึ้น รวมถึงยอดขายที่ เติบโตอย่างต่อเนื่องในทุกๆ เดือน

ปัจจุบันบริษัทมีสมาชิกประมาณ 3 หมื่นรหัส ตนเชื่อว่าผู้ที่เข้ามาสู่ธุรกิจซินเนอร์จี้เป็นผู้ที่มองเห็นถึงการเติบโตในระยะ ยาว ที่เน้นการเติบโตอย่างมั่นคงมากกว่าจะมองเพียงผลประโยชน์ในระยะสั้น ด้านยอดขายของบริษัทขณะนี้มีสัดส่วนการเติบโตเพิ่มขึ้นมากกว่า 210% เมื่อเทียบจาก ช่วงเวลาเดียวกันในปีที่แล้ว และคาดว่าสิ้นปียอดขายจะเติบโตได้เกือบ 300% เมื่อ เทียบจากฐานปีที่แล้ว

ทั้งนี้ อาจกล่าวได้ว่า ที่ผ่านมาบริษัท ซินเนอร์จี้ ถือเป็นบริษัทที่มีความชัดเจนสำหรับการวางตัวเป็นผู้นำด้านอาหารเสริม ที่ช่วยดูแลหลอดเลือดและหัวใจ หรือมุ่งสู่การเป็น Heart Healthy Company เพื่อ ให้สอดคล้องกับนโยบายของทาง Synergy Worldwide สำนักงานใหญ่ โดยผลิตภัณฑ์ ที่เป็นสินค้าเรือธงของบริษัท คือ ProArgi-9 Plus ซึ่งผลิตภัณฑ์นี้ได้สร้างยอดขายให้กับบริษัทเป็นสัดส่วนประมาณ 40% จากยอดขายรวมทั้งหมด

พิชญุต์ม์ ยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมอีกว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทได้นำเข้า ผลิตภัณฑ์ใหม่ที่อยู่ในคอนเซปต์ Heart Healthy อีกประมาณ 2 ตัวด้วยกัน คือ Omega-3 และโคเอนไซส์คิวเทน โดยผลิตภัณฑ์โอเมก้า 3 ถือเป็นสินค้าทั่วไปที่ทุกคนรู้จักกันดีอยู่แล้ว แต่ความพิเศษซึ่งเพิ่มขึ้นมาของเรา คือ บริษัทได้มีการปรับปรุงสูตรใหม่ ให้มีความเข้มข้นมากกว่าในท้องตลาด และยังมีการเพิ่มรสชาติด้วยการผสมกลิ่นเลมอนเข้าไปเพื่อให้มีกลิ่น และรสชาติที่น่าทาน อย่างไร ก็ดี ปัจจุบันบริษัทมีสินค้าทั้งหมด 2 กลุ่มด้วยกัน คือ กลุ่มสกินแคร์และเฮลธ์แคร์ รวมแล้วกว่า 30 รายการ ส่วนบริษัทแม่ของ ซินเนอร์จี้ มีสินค้าทั้งสิ้นกว่า 600 รายการ ซึ่งไทยเองก็จะมีการทยอยนำเข้าสินค้าอื่นๆ มาสู่มือผู้บริโภคชาวไทยเรื่อยๆ

สิ่งสำคัญอีกอย่างหนึ่งที่จะไม่กล่าวถึงไม่ได้ คือ ทราบมาว่าขณะนี้บริษัทซินเนอร์จี้เริ่มมีแพลนที่จะให้สมาชิกได้มีการเปิด ศูนย์ สต็อก คิสท์ เพื่อรองรับการเจริญเติบโต ในอนาคต จากปัจจุบันที่บริษัทมีเพียงศูนย์สาขาหลักๆ ในหัวเมืองใหญ่อยู่ประมาณ 3 แห่ง คือ กรุงเทพฯ โคราช และเชียงใหม่ ซึ่งพิชญุต์ม์ กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า น่าจะมีความ ชัดเจน และเริ่มให้สมาชิกมีการเปิดศูนย์ สต็อกฯ ในช่วงปลายปีนี้ โดยเงื่อนไขการเปิด บริษัทจะเน้นในพื้นที่ยุทธศาสตร์ ตามหัวเมือง ใหญ่ก่อน หรืออาจจะในพื้นที่ที่มีการเติบโตสูง นอกจากนั้นจะสนับสนุนให้สมาชิกเปิดในพื้นที่แถบจังหวัดชายแดนเพื่อรองรับการ ขยายฐานผู้บริโภคไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในประเทศพม่า ลาว และ กัมพูชา ที่ซินเนอร์จี้ยังไม่เข้าไปเปิดสาขาที่นั่น

ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัทซินเนอร์จี้มีสาขาแล้วในประเทศไทย, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, ฮ่องกง, ฟิลิปปินส์ และอินโดนีเซีย ซึ่งซินเนอร์จี้สาขาไทยกับเวียดนามเราทำงานคู่ขนานกันไป เพราะตลาดของทั้ง 2 ประเทศมีความ คล้ายคลึงกัน ส่วนประเทศที่ยังไม่เปิด คือ พม่า ลาว กัมพูชา และบรูไน ซึ่งในอนาคตจะเข้าไปเปิดตลาดที่ประเทศเหล่านี้อย่างแน่นอน พิชญุต์ม์ เผย

นอกจากนี้ ผู้จัดการฝ่ายสื่อสารการตลาด บริษัท ซินเนอร์จี้ ประเทศไทยยังให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับสยามธุรกิจว่า ในปีนี้บริษัท มีกิจกรรมจัดทริปการท่องเที่ยวต่างประเทศ ให้กับนักธุรกิจตลอดทั้งปี เพื่อเป็นการตอบแทนความทุ่มเทของนักธุรกิจที่ทำงาน และขับเคลื่อนธุรกิจซินเนอร์จี้อย่างเต็มกำลัง โดยทริปต่างๆ จะประกอบไปด้วยการเดินทาง ไปดูศูนย์กระจายสินค้าที่ประเทศสิงคโปร์ ทริปท่องเที่ยวญี่ปุ่น และทริปเยี่ยมชมสำนักงานใหญ่ที่สหรัฐอเมริกา นอกเหนือจากนั้น ปีนี้ยังถือเป็นปีที่สำคัญของซินเนอร์จี้ประเทศไทยอีกเรื่องหนึ่ง คือ การเป็น เจ้าภาพจัดงาน ประชุมระดับภูมิภาคที่มีผู้นำ ในประเทศเขตอาเซียนกว่า 2 พันคนเข้าร่วมงาน ซึ่งงานจะจัดขึ้นในวันที่ 2-3 พฤศจิกายนนี้


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1336ประจำวันที่ 19-9-2012 ถึง21-9-2012

ข่าวแอมเวย์ (Amway Thailand) : จัดหนักไตรมาสสุดท้ายอัดแคมเปญใหญ่ขุน "นิวทริไลท์ (Nutrilite Thailand)" 5.7 พันล.


ฐานแม่ แอมเวย์ โชว์ยอดขาย นิวทริไลท์ ทั่วโลกฟันรายรับแล้ว 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ เดินหน้าขยายโรงงาน 4 โครงการ ตอบรับกระแส สุขภาพติดลมบน ด้าน แอมเวย์ ประเทศไทย เสริมแกร่ง ดึง พ.ญ.อาร์ทิมิส ผู้เชี่ยวชาญระดับ โลกด้านโภชนาพันธุศาสตร์ ร่วมประชุมวิชาการโภชนาการแห่งชาติ ครั้งที่ 6 พร้อมอัดแคมเปญ 6 ฮีโร่ หมายดันยอดขายสินค้ากลุ่มเสริมอาหารแตะ 5.7 พันล้านบาท ส่วนยอดรวมผ่าน 8 เดือน ขยายตัว 13%


นายกิจธวัช ฤทธีราวี กรรมการผู้จัดการ บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า แอมเวย์ คอร์ปอเรชั่น ยกย่องให้แบรนด์นิวทริไลท์มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อทิศทาง การดำเนินธุรกิจของแอมเวย์ในฐานะที่เป็นแบรนด์ในกลุ่มวิตามินและผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มียอดขายรวมอันดับ 1 ของโลก โดยปีที่ผ่านมา ยอดขายกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิว-ทริไลท์ทั่วโลกสูงถึง 4.7 พันล้านเหรียญสหรัฐ (ประมาณ 140,600 ล้านบาท) คิดเป็น 45% ของยอดขายรวมแอมเวย์ คอร์ปอเรชั่น


ล่าสุด แอมเวย์ คอร์ปอเรชั่น ได้ขยายโรงงานและเพิ่มกำลังการผลิตผลิตภัณฑ์เสริม อาหารนิวทริไลท์รวม 4 โครงการ ทั้งผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ดและซอฟต์เจล ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดผง ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารชนิดเม็ด รวมถึงโรงงานสกัดและผลิตสาร สกัดเข้มข้นจากส่วนประกอบที่เพาะปลูกในฟาร์มชีวภาพของนิวทริไลท์ การขยายโรงงานผลิตในครั้งนี้ นอกจากจะสะท้อนให้เห็นถึงเทรนด์ของผู้บริโภคทั่วโลกในปัจจุบันที่หันมาใส่ใจ สุขภาพและต้องการผลิตภัณฑ์เสริมอาหารนิวทริไลท์ที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่องแล้ว ยังตอกย้ำภาพลักษณ์ความเป็นผู้นำอันดับ 1 ของโลกในตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารได้เป็นอย่างดี ทั้งยังสามารถสนับสนุนการขยายธุรกิจของนักธุรกิจแอมเวย์กว่า 3 ล้านคนใน 100 ประเทศ และดินแดนทั่วโลกอีกด้วย กิจธวัช กล่าว


นายกิจธวัชกล่าวต่อไปว่า ความสำเร็จดังกล่าวมาจากความจริงจังและทุ่มเทของ นักธุรกิจแอมเวย์ทั่วโลกและความมุ่งมั่นในการวิจัยค้นคว้าเพื่อให้ได้วัตถุดิบที่ดีที่สุดจากธรรมชาติและกระบวนการผลิตที่ดีที่สุดทางวิทยาศาสตร์ดังแนวคิด Best of Nature, Best of Science ของนิวทริไลท์นั่นเอง จึงไม่น่าแปลกใจที่เรามีผลงานศึกษาวิจัยทางวิทยาศาสตร์และสารอาหารทางโภชนาการ รวมทั้งการทดลองด้านการแพทย์มากมาย และทำงานร่วมกับสถาบันระดับโลกมากกว่า 10 แห่งในสหรัฐอเมริกา อิสราเอล สเปน จีน และเกาหลีใต้ ซึ่งในโอกาสอันดีที่สมาคมโภชนาการแห่งประเทศไทยในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ได้จัดการประชุมวิชาการโภชนาการแห่งชาติ ครั้งที่ 6 ขึ้น แอมเวย์ประเทศไทยจึงได้เรียนเชิญผู้เชี่ยวชาญระดับโลกด้านโภชนาพันธุศาสตร์มาร่วมแบ่งปันงานวิชาการ เพื่อส่งเสริมความก้าวหน้าของวงการโภชนาการในประเทศไทย


ด้าน พ.ญ.อาร์ทิมิส ซิโมพูลอส ประธานศูนย์พันธุศาสตร์โภชนาการและสุขภาพ และประธานสมาคมนานาชาติ ด้านโภชนาพันธุศาสตร์ (Nutrigenomics) กรุงวอชิงตัน ดีซี สหรัฐอเมริกา และหนึ่งในคณะกรรมการที่ปรึกษาด้านวิทยาศาสตร์ สถาบันสุขภาพนิวทริไลท์ เปิดเผยว่า ในปี 2554 โรคหัวใจและหลอดเลือดคร่าชีวิตผู้คน ทั่วโลกไปกว่า 17 ล้านคน และคาดการณ์ว่า ปี 2573 หรืออีก 18 ปีข้างหน้า จะมีผู้เสียชีวิตเพิ่มขึ้นประมาณ 30% หรือประมาณ 22.1 ล้านคนทั่วโลก สาเหตุสำคัญประการหนึ่งของอุบัติการณ์ดังกล่าวเกิดจากการบริโภคโอเมก้า-6 ในปริมาณที่สูงกว่าโอ-เมก้า-3 พฤติกรรมนี้กระตุ้นให้เกิดสภาวะที่ก่อให้เกิดอาการของหลายๆ โรค รวมถึงโรค หัวใจและหลอดเลือด โรคมะเร็ง โรคที่เกี่ยวกับการอักเสบและภูมิคุ้มกันตนเอง รวม ทั้งการเกิดสภาวะรบกวนการพัฒนาสมอง


นอกจากนี้ การบริโภคโอเมก้า-6 และโอเมก้า-3 ในสัดส่วนที่เหมาะสมยังมีผล ต่อพัฒนาการทางสมอง และเพื่อป้องกันการเสื่อมของสมองระยะแรก ดังนั้น การรักษาสมดุลของสารอาหารทั้ง 2 ประเภทจึงเป็นเรื่องจำเป็น และสามารถทำได้โดยลด ปริมาณการรับประทานน้ำมันที่มีโอเมก้า-6 สูง เช่น น้ำมันข้าวโพด, น้ำมันดอกทานตะวัน, น้ำมันดอกคำฝอย, น้ำมันเมล็ดนุ่น และน้ำมันถั่วเหลือง ทั้งนี้ ควรเพิ่มการรับประทาน น้ำมันที่มีโอเมก้า-3 อาทิ น้ำมันปลา น้ำมัน มะกอก เป็นต้น เพื่อสุขภาพหัวใจและสมอง ที่ดีในระยะยาว พ.ญ.อาร์ทิมิส กล่าว


โดยนางรัตนา ชาญนรา ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยว่า สำหรับการเติบโตของนิวทริไลท์ในประเทศไทยเป็น ไปด้วยดีเติบโตตามเป้าหมาย โดยช่วง 8 เดือนที่ผ่านมา เราประสบความสำเร็จจากการจัดกิจกรรมทางการตลาดมากมาย ทำให้ ยอดขายเติบโตขึ้นถึง 13% เมื่อเปรียบเทียบ กับช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา จึงมั่นใจ ว่าจะสร้างสถิติใหม่ให้นิวทริไลท์มียอดขาย สูงสุดถึง 5,700 ล้านบาท ในสิ้นปี 2555 นี้ โดยจัดเตรียมแคมเปญพิเศษเพื่อแนะนำสาร อาหารจำเป็น 6 ชนิดภายใต้แนวคิด 6 ฮีโร่ ผู้ดูแลหัวใจคุณ ในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้


นางรัตนากล่าวว่า 6 ฮีโร่ ผู้ดูแลหัวใจคุณเป็นแคมเปญที่มีวัตถุประสงค์หลักมุ่งให้ ความรู้กับผู้บริโภคเรื่องการดูแลสุขภาพหัวใจและหลอดเลือด เนื่องจากช่วงสามปีที่ผ่านมาประเทศไทยมีสถิติผู้ป่วยเข้ารับการรักษาโรคหัวใจและหลอดเลือดในโรงพยาบาลกระทรวงสาธารณสุขทั่วประเทศเพิ่มขึ้นถึง 89% นอกจากนั้น โรคหัวใจและ หลอดเลือดยังเป็น 1 ใน 5 อันดับแรกของสาเหตุการเสียชีวิตของคนไทย ซึ่งสอดคล้อง ตามเทรนด์ของโลกดังที่ พ.ญ.อาร์ทิมิสได้กล่าวไว้ เราจึงควรให้ความสำคัญกับการประชาสัมพันธ์ขยายความรู้ในการดูแลสุขภาพ ด้านนี้แก่ประชาชนอย่างจริงจัง


แคมเปญดังกล่าวจึงมีเนื้อหาเกี่ยวกับ สาเหตุที่ทำให้เกิดโรคและอธิบายให้เข้าใจง่ายๆ เกี่ยวกับการทำงานของสารสกัดที่มีประโยชน์ต่อสุขภาพหัวใจและหลอดเลือดรวม 6 ชนิด ได้แก่ สารอาหารน้ำมันปลา (Fish Oil) การ์ลิค (Garlic) ชาเขียว (Green Tea) เลซิติน อี (Lecithin E) โคเอ็นไซม์คิวเท็น (CoQ 10) และวิตามินบีคอมเพล็กซ์ (B Complex) เปรียบเทียบสารสกัดแต่ละชนิดเป็นฮีโร่ที่ช่วยดูแลสุขภาพหัวใจ และใช้ เทคนิคการเล่าเรื่องแบบสนุกและง่ายต่อการ เข้าใจ เพื่อเป็นการย่อยเนื้อหาด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพให้ประชาชนสามารถเข้าใจและเข้าถึงได้มากขึ้น โดยประชาสัมพันธ์ผ่าน ช่องทางโซเชียล มีเดีย อย่างเฟซบุ๊ก ยูทูบ และเว็บไซต์นิวทริไลท์ เริ่มตั้งแต่วันที่ 13 กันยายนที่ผ่านมา นางรัตนากล่าวในที่สุด


อย่างไรก็ดี ในส่วนของการเติบโตเฉพาะกลุ่มสินค้าเสริมอาหาร เมื่อเทียบกับ ประเทศอื่นๆ ในทวีปเอเชีย ประเทศจีนนับเป็นประเทศที่ยอดขายของนิวทริไลท์เติบโต มากที่สุด รองลงมาคือ ญี่ปุ่น เกาหลีใต้ และ ไทย ตามลำดับ


ทั้งนี้ ในส่วนของยอดขายรวมของบริษัท ขณะนี้ยอดการเติบโตของแอมเวย์ประเทศไทยมียอดเติบโตเทียบจากช่วงเดียวกันในปีที่ผ่านมาคือ 13% ซึ่งในไตรมาสที่ 4 บริษัทจะเน้นการทำตลาดในเรื่องของหัวใจและหลอดเลือดเป็นหลัก ตามแคมเปญ 6 ฮีโร่ ดังที่กล่าวมาในข้างต้น อีกทั้งยังจะมีการกระตุ้นเรื่องของการตลาด อย่างเข้มข้นในไตรมาสสุดท้ายของปี เพื่อขยับยอดขายให้ใกล้เคียงกับเป้าใหญ่ที่วางไว้เมื่อ 5 ปีที่แล้วคือ 2 หมื่นล้านบาท


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1336ประจำวันที่ 19-9-2012 ถึง21-9-2012

ข่าวขายตรง (MLM) : แข่งเดือดทิ้งโค้งสิ้นปีค่ายเล็ก-ใหญ่ปั้นกลยุทธ์กระตุ้นยอดขาย


นับถอยหลังสู่สิ้นปี แบรนด์ขายตรงออกกลยุทธ์ปั่นยอดขายอย่างหนัก 3 เดือนสุดท้าย กิฟฟารีน ใช้ช่องดาวเทียมใหม่ของตัวเองคุ้ม อบรม นักธุรกิจผ่านหน้าจอโทรทัศน์ ด้าน คังเซน-เคนโก อัดหลักสูตรพื้นฐานนักขายลากยาว ฝั่ง นู สกิน เน้นหนักสินค้าชะลอแก่ ส่วน โมรินดา ชูธงท่องเที่ยวฮาวายกระตุ้นสมาชิก


ในที่สุด ช่วงโค้งสุดท้ายประจำปี 55 ของธุรกิจขายตรงก็มาถึง บรรดาแบรนด์ขายตรงค่ายต่างๆพยายามหากลยุทธ์ปั้นยอดขายในช่วง 3 เดือนสุดท้ายนี้ ซึ่งหลายค่ายให้ความสำคัญ ไปที่สมาชิก ซึ่งถือเป็นตัวแปรในยุคขายตรงอู้ฟู่ ซึ่งค่ายใดทำให้ นักขายในสังกัดของตนเองขายสินค้า สร้างเครือข่ายได้มากกว่า ยอดขายที่ฝันคงเกิดขึ้นจริง


> กิฟฟารีน ใช้ทีวีดาวเทียม ดันยอด 6 พันล้าน


นายพงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการตลาด บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด กล่าวว่า ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ ทางกิฟฟารีนจะรุกหนักในการทำตลาด ทุกช่องทางทั้งภาพยนตร์โฆษณา การโฆษณาทางวิทยุ กิจกรรมทางการตลาดและรายการส่งเสริมการขายต่างๆ ตามเทศกาล เพื่อกระตุ้นพฤติกรรมการซื้อสินค้าของผู้บริโภค ตลอดจนการพัฒนา อัพเดตข้อมูลข่าวสารต่างๆ ผ่านกิฟฟารีน แชนแนลอย่างต่อเนื่อง เพื่อเพิ่มเครือข่าย และดันยอดขายให้เป็นไปตามเป้าที่วางไว้ 6,000 ล้านบาท


นอกจากนี้ กิฟฟารีนยังเปิดตัวภาพยนตร์โฆษณาตัวใหม่ล่าสุด ชุด เลิฟ ซีน จ่อคิวออกอากาศอย่างต่อเนื่อง โดยนำเสนอผลิตภัณฑ์กิฟฟารีน กลูต้า เคอร์คิวม่า ซี-อี ภายใต้คอนเซปต์ คู่รักโรแมนติก ซึ่งก่อนหน้านี้ทางกิฟฟารีนได้ออกอากาศภาพยนตร์โฆษณาชุด อะบาโลน ซิตี้ ไปแล้ว และยังได้รับกระแสตอบรับที่ดีจากผู้ชมอีกด้วย อีกทั้งเพลงประจำโฆษณากลายเป็นเพลงฮิตที่ได้รับความสนใจจากผู้บริโภคอย่างมากมาย


พงศ์พสุ ยังกล่าวเพิ่มเติมว่า ปัจจุบันกิฟฟารีนมีสมาชิกแล้ว ประมาณ 6.2 ล้านรหัส คิดเป็นกลุ่มนักธุรกิจอยู่ที่ประมาณ 3-5 แสนรหัส ที่เหลือก็จะเป็นกลุ่มสมาชิกบริษัท และจากการเปิด กิฟฟารีน แชนแนล ขึ้นเมื่อประมาณ 3 เดือนที่ผ่านมา โดยเป็นช่องรายการทีวีผ่านสัญญาณดาวเทียม ทำให้ยอดการสมัครเป็นสมาชิกของบริษัทมากขึ้น อีกทั้งแบรนด์ของกิฟฟารีนก็เป็นที่รับรู้ มากขึ้น ทำให้บริษัทมีความมั่นใจในกลยุทธ์ต่างๆ ที่ทำในปีนี้ และเชื่อว่าตัวเลข 6 พันล้านที่วางในสิ้นปี ไม่ใช่เรื่องเกินจริงอย่างแน่นอน


> คังเซน อัดความรู้พื้นฐานนักขายต่อเนื่อง


นายอิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ ประธาน กรรมการบริหาร บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยถึงกลยุทธ์ไตรมาสสุดท้ายของบริษัทว่า ในช่วงที่ผ่านมาบริษัทได้ทำการวางรากฐานโครงสร้างความรู้เกี่ยวกับงานขายให้กับ นักธุรกิจของบริษัทใหม่ ซึ่งนับเป็นการเริ่มต้นใหม่ เนื่องจากในปัจจุบันมีบริษัทขาย ตรงเกิดขึ้นมาอย่างมากมาย ทำให้การแข่งขัน ระหว่างนักธุรกิจเป็นเรื่องที่มองข้ามไม่ได้


โดยในช่วงไตรมาสที่ 4 นี้ บริษัทก็จะยังดำเนินงานที่บริษัทได้ทำมาตั้งแต่ต้นปี โดยเน้นไปที่เรื่องของความรู้นักธุรกิจเป็นสำคัญ ซึ่งจะมีการปรับเปลี่ยนในบางจุดเท่านั้น เพื่อประสิทธิภาพในการทำงาน อีกทั้งในการสร้างความรู้ให้กับนักขายนั้น จะเน้นความรู้เกี่ยวกับเรื่องแผนของการทำงาน และการจ่ายผลตอบแทน


อย่างไรก็ดี ในช่วงเดือนพ.ย.นี้ ทาง บริษัทยังจะมีการเปิดตัวสินค้าใหม่ขึ้นมาอีกหนึ่งตัว โดยจะเป็นสินค้าในกลุ่มสินค้าความงาม ซึ่งบริษัทจะเริ่มส่งเข้าวางตลาด ตั้งแต่เดือนต.ค.ที่จะถึงนี้ เพื่อเป็นการทดสอบตลาด ซึ่งบริษัทมีความมั่นใจว่าสินค้าใหม่จะเป็นที่นิยมไปถึงปีหน้า นายใหญ่ คังเซน-เคนโก เผย


นอกจากนี้ ในส่วนของยอดขายบริษัท จากปีที่ผ่านมา คังเซน-เคนโก ปิดตลาดไปที่ 1.8 พันล้านบาท โดยปีนี้บริษัทต้องการ ให้เกิดการขยายตัว 5-10% เพื่อทำให้ตัวเลขยอดขายขยับถึง 2 พันล้านบาท ในสิ้นปีนี้


อย่างไรก็ตาม อิทธิศักดิ์ ยังได้กล่าวถึงเหตุอุทกภัยที่สร้างความวิตกกังวล ต่อประชาชนชาวไทยอยู่ในขณะนี้ว่า เรื่อง ของเหตุน้ำท่วมที่อาจเกิดขึ้นในหลายจังหวัด เป็นสิ่งที่บริษัทกลัวที่สุด เนื่องจาก เป็นเรื่องของภาวะภายนอกที่ยากจะควบคุม ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทก็ถูกเหตุมหาอุทกภัย เล่นงานเสียหนัก ทำให้ปัญหาน้ำท่วมยังคงเป็นสิ่งที่ไม่ควรมองข้าม โดยหากปัญหา ต่างๆ ไม่เกิดขึ้นในพื้นที่สำคัญ หรือเกิดผล กระทบน้อย บริษัทก็หวังว่าจะตัวเลข 2 พันล้านบาทของ คังเซน จะเกิดขึ้นได้


> นู สกิน ลากยาวจับตลาดสาว 2 พันปี


นางวิภาดา ตั้งปกรณ์ ผู้อำนวยการ ฝ่ายส่งเสริมการขายและการตลาด บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า กลยุทธ์การตลาดของบริษัทในช่วงท้ายปี 2555 จะมีการดำเนินงานใน 2 กิจกรรมหลักๆ คือ การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ที่มีชื่อว่า เอจล็อก กัลวานิค บอดี้ ซิสเต็ม III หรืออุปกรณ์กระชับสัดส่วนที่ใช้เทคโนโลยีกระแสกัลวานิคแบบรูปคลื่น และกิจกรรมโรดโชว์ ในพื้นที่ต่างๆ เพื่อแนะนำผลิตภัณฑ์ของบริษัท และสาธิตการใช้ผลิตภัณฑ์ใหม่ ซึ่ง ตนมั่นใจเป็นอย่างยิ่งว่ากิจกรรมทั้งสองของบริษัทจะได้รับกระแสตอบรับเป็นอย่างดีจากบรรดาสมาชิก และประชาชนทั่วไป ถือเป็นกลยุทธ์การตลาดสำคัญที่บริษัทตั้งใจในการจัดเตรียมเพื่อพิชิตยอดขายในครึ่งปีหลัง


โดยผลิตภัณฑ์ เอจล็อก กัลวานิค บอดี้ ซิสเต็ม III จะเป็นผลิตภัณฑ์ตัวสุดท้ายที่บริษัทจะเปิดตัวในปีนี้ เนื่องจากนู สกิน ประเทศไทย ตั้งใจและคาดหวังกับ อุปกรณ์กระชับสัดส่วนเครื่องนี้เป็นอย่างมาก เพราะถือได้ว่าไทยเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ที่ได้รับเกียรติให้จัดวาง จำหน่ายสินค้านวัตกรรมใหม่เครื่องนี้ และ ที่สำคัญไปกว่านั้น จากการที่บริษัทได้นำอุปกรณ์เครื่องนี้มาจำหน่ายในลักษณะ Pre- Sales เมื่อช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา เพื่อ ดูกระแสการตอบรับ ปรากฏว่า การตอบรับ จากบรรดาสมาชิกเกินความคาดหมาย บริษัท สามารถจำหน่ายอุปกรณ์เครื่องนี้ในช่วง Pre-Sales ได้รับรายได้ถึง 200 ล้านบาท ในช่วงท้ายปีนี้บริษัทจึงตั้งเป้าหมาย


> โมรินดา ชูโปรฯ เที่ยวล่อใจสมาชิก


ด้านนางวิภารัตน์ รัตนพรหมมาผู้จัดการประจำประเทศไทย บริษัท โมรินดา เวิร์ลไวด์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผยในประเด็นเดียวกันว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี โมรินดา เตรียมเน้นไปที่ 2 เรื่องสำคัญคือ 1.การจัดอบรมและการ ประชุมนักขาย ไม่ว่าจะเป็นหลักสูตรใด หรือการประชุมในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัดก็ตาม บริษัทเน้นในเรื่องนี้เป็นสำคัญ เนื่องจากบริษัทเล็งเห็นถึงความสำคัญของสมาชิกว่าเป็นสิ่งสำคัญในการดำเนินธุรกิจขายตรง 2.เรื่องของสินค้า สินค้าเป็นสิ่งที่บริษัทให้ความสำคัญ โดยในช่วงไตรมาสสุดท้ายนี้ บริษัทยังต้องการที่จะเปิดตัวสินค้าเพิ่มอีก 3 รายการ ซึ่งจะเป็นสินค้าเสริมอาหารทั้งหมด โดยมี ผลโนนิ เป็นวัตถุดิบสำคัญ ซึ่งส่วนนี้ถือเป็นหัวใจของผลิตภัณฑ์โมรินดา


ซึ่งในส่วนของแผนทั้ง 2 ซึ่งเป็นเรื่อง สำคัญที่บริษัทเน้นในไตรมาสที่ 4 นี้ ยังมีเรื่องของการจัดทำโปรโมชั่นท่องเที่ยวอีก 1 อย่างที่บริษัทดึงเข้ามากระตุ้นงานขายของสมาชิกในช่วงปลายปี โดยจะเป็นการ ท่องเที่ยวเกาะฮาวาย ซึ่งจะมีการกระจาย ประชาสัมพันธ์ไปทุกการประชุมอบรม เพื่อ สร้างการรับรู้และกระตุ้นยอดขายโค้งสุดท้าย


นอกจากนี้ ในส่วนของยอดขายนั้น บริษัทถือว่าทำได้ดีในช่วงที่ผ่านมาและสามารถทำเป้าได้ตามความคาดหวังจากบริษัทแม่ ตั้งแต่ 6 เดือนแรกของปี เพราะ ทางบริษัทแม่ได้วางเป้าให้บริษัทสาขาของ ไทยน้อย ทำให้เป้าเป็นไปตามที่วางเร็วกว่า ที่กำหนด


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1336ประจำวันที่ 19-9-2012 ถึง21-9-2012