ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2554

2กูรูฟันธง ผลสำรวจ ‘เอแบคโพลล์’ ชี้ทิศธุรกิจยังสดใสด้วยหลายปัจจัย



เปิดบทวิเคราะห์ผลสำรวจธุรกิจเครือข่ายพบมีอัตราการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องด้านกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่มียอดขายสูงสุดยังคงเป็นผลิตภัณฑ์เสริมความงามตามด้วยผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและของใช้ประจำวันสำหรับเรือนร่างเผยปัจจัยอันดับแรกที่ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าขายตรงคือเรื่องของคุณภาพเป็นหลัก...ด้าน 2 กูรูขายตรงเชื่อธุรกิจขายตรงยังคงเติบโตดีและมีพัฒนาการที่ดีขึ้นเอย่างต่อเนื่องพร้อมกับเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่ทุกคนต้องการเลือกเป็นอาชีพเสริมและอาชีพหลัก
ณ ปัจจุบันต้องยอมรับว่า “ธุรกิจขายตรง” เริ่มที่จะคืบคลานแทรกซึมเข้าไปในเกือบทุกครัวเรือนของเมืองไทยเลยก็ว่าได้ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่น่ายินดีเป็นอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจนี้...แต่ก็มีบางกลุ่มที่อาจจะยังไม่รู้จักธุรกิจขายตรงเท่าทีควร และด้วยจุดนี้เองที่ทำให้มีหลายๆ หน่วยงานจึงได้ออกมาสำรวจถึงผลวิจัยเกี่ยวกับธุรกิจขายตรงกับผู้บริโภค โดยล่าสุดทางศูนย์วิจัยเอแบคนวัตกรรมทางสังคม การจัดการและธุรกิจ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้ร่วมกับทางสมาคมการขายตรงไทยเปิด เผยถึงผลสำรวจกับกลุ่มผู้บริโภคที่มีต่อธุรกิจขายตรง
ซึ่งผลการสำรวจดังกล่าวนั้น ทาง “เอแบคโพลล์” ได้มีการสำรวจกับกลุ่มเป้าหมายในพื้นที่ 12 จังหวัด จากทุกภูมิภาคของประเทศ ระหว่างเดือนกันยายนจนถึงเดือนธันวาคม 2553 ที่ผ่านมา โดยการดำเนินโครงการมีการจำแนกออกเป็น 3 โครงการย่อย ตามกลุ่มเป้าหมายและวัตถุประสงค์ในการสำรวจ ที่ประกอบด้วย กลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขายตรง กลุ่มผู้บริโภคสินค้าขายตรง และกลุ่มประชาชนทั่วไป โดยการสำรวจแต่ละกลุ่มมีเนื้อหาสาระให้ติดตามดังนี้

‘เอแบคโพลล์’เผยผลวิจัยขายตรง
พบธุรกิจมีพัฒนาการที่ดีต่อเนื่อง
...ทั้งนี้ จากผลสำรวจของ “เอแบคโพลล์” กลุ่มประชาชนทั่วไปเกี่ยวกับทัศนคติต่อธุรกิจขายตรง จากตัวเลขพบว่าร้อยละ 57.5 ที่รู้จักในธุรกิจขายตรง โดยที่เพศ หญิงมีสัดส่วนการรู้จักที่สูงกว่าเพศชาย คิดเป็นร้อยละ 62.0 : 51.5 ขณะที่พื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑลกับต่างจังหวัด สัดส่วนการรู้จักธุรกิจขายตรงไม่แตกต่างกันคิดเป็นร้อยละ 58.1 : 56.8
นอกจากนี้ ยังพบอีกว่า กลุ่มที่รู้จักในธุรกิจขายตรงร้อยละ 82.2 ไม่เคยเป็นสมาชิกบริษัทขายตรง โดยเหตุผลอันดับแรก คือ ไม่มีความสนใจเป็นสมาชิก ร้อยละ 31.7 ส่วนกลุ่มที่เคยเป็นสมาชิกบริษัทขายตรงร้อยละ 17.8 แต่ปัจจุบันไม่ได้เป็น ให้เหตุผลอันดับแรก คือ ไม่มีเวลาทำธุรกิจ ร้อยละ 35.0
ส่วนตัวเลขความสนใจซื้อสินค้าขายตรง พบว่า กลุ่มที่ไม่สนใจซื้อสินค้าขายตรงให้เหตุผล 3 อันดับ คือ ราคาแพง ร้อยละ 63.7 รองลงมา คือ ขั้นตอนในการซื้อที่ยุ่งยาก ร้อยละ 48.8 และคุณภาพสินค้าไม่ตรงกับที่โฆษณา/ไม่ได้คุณภาพ ร้อยละ 28.0 ในทางตรงข้ามกลุ่มที่มีความสนใจซื้อสินค้าขายตรง ระบุถึงเหตุผลที่ทำให้สนใจซื้อ 3 อันดับแรก คือ คุณภาพสินค้า ร้อยละ 79.3 รองลงมา คือ การรับประกันสินค้า ร้อยละ 31.5 และราคาสินค้า ร้อยละ 31.1 ตามลำดับ
ด้านการสำรวจภาพลักษณ์ของนักขาย ผู้จำหน่ายสินค้าขายตรงนั้น การสำรวจในหัวข้อดังกล่าว มีทั้งด้านดีและไม่ดี โดยภาพลักษณ์ด้านดีที่เด่นชัด คือ นักขายมีมนุษยสัมพันธ์ดี/อัธยาศัยดี/เข้าหาลูกค้าเก่ง ร้อยละ 79.0 ขณะนี้ภาพลักษณ์ด้านไม่ดีที่เด่นชัดที่สุด คือ ชอบสร้างแรงกดดันให้ซื้อสินค้า/สมัครสมาชิก ร้อยละ 67.5
ทั้งนี้ ทางด้าน “เอแบค โพลล์” เอง ยังได้มีการซุ่มสำรวจกลุ่มผู้บริโภคสินค้าขายตรง ที่ซื้อผ่านช่องทางการซื้อขายขายตรงนั้น พบว่า ผู้บริโภคซื้อสินค้าขายตรงผ่านผู้จำหน่าย/นักขาย มากกว่าซื้อตรงจากบริษัท คิดเป็นสัดส่วนของการซื้อผ่านผู้จำหน่ายร้อยละ 72.4 จากบริษัทโดยตรง ร้อยละ 38.3
และเมื่อเปรียบเทียบคุณภาพ ราคา บริการหลังการขาย และการรับประกัน กับสินค้าที่วางจำหน่ายผ่านช่องทางอื่น โดยจากกลุ่มตัวอย่างผู้บริโภค มีแนวโน้มประเมิน คุณภาพ บริการหลังการขาย และการรับประกันสินค้าของสินค้าขายตรง ดีกว่าสินค้าชนิดเดียวกันที่จำหน่ายผ่านช่องทางอื่น อย่างไรก็ตาม ผลการประเมินด้านราคาพบว่า สินค้าขายตรงมีแนวโน้มแพงกว่าสินค้าชนิดเดียวกันที่วางจำหน่ายผ่านช่องทางอื่น
นอกจากนี้ ปัจจัยที่สำคัญ ในการให้ผู้บริโภคเลือกซื้อสินค้าขายตรง คือ คุณภาพสินค้า คิดเป็นร้อยละ 30.8 รองลงมา คือ ราคาสินค้า ร้อยละ 10.5 และการรับประกันคุณภาพสินค้าร้อยละ 7.9 ในขณะเดียวกัน หากจำแนกตามเพศและพื้นที่ พบว่า มีแนวโน้มไปในทิศทางเดียวกัน อย่างไรก็ตาม เมื่อจำแนกตามพื้นที่พบว่า ตัวอย่างในพื้นที่ต่างจังหวัดมีแนวโน้มให้น้ำหนักกับปัจจัยด้านคุณภาพสินค้ามากกว่าตัวอย่างในพื้นที่กรุงเทพฯ ปริมณฑล คิดเป็นร้อยละ 33.9 และ 26.0 ตามลำดับ
ส่วนอีกหนึ่งผลสำรวจในธุรกิจขายตรงกับทางด้านกลุ่มผู้ประกอบการธุรกิจขายตรงนั้น จากข้อมูลผลของการสำรวจที่ทาง “เอแบคโพลล์” ทำการซุ่มตัวอย่างมีเพียงแค่ 129 บริษัทนั้น โดยสำรวจแบ่งการกระจายออกเป็น 3 กลุ่มหลัก คือ กลุ่มแรกดำเนินธุรกิจไม่เกิน 5 ปี มีร้อยละ 35.4 ส่วนกลุ่มที่ดำเนินธุรกิจระหว่าง 5-10 ปี และมากกว่า 10 ปี มีเท่ากัน คือ ร้อยละ 32.3 ที่สำคัญ ส่วนใหญ่ร้อยละ 70 ดำเนินธุรกิจแบบระบบ MLM ร้อยละ 18.9 ดำเนินธุรกิจแบบ SLM ร้อยละ 12.6 ดำเนินธุรกิจแบบ Binary และอื่นๆ อีกร้อยละ 2.5
หากพิจารณาถึงสัดส่วนของสมาชิกที่อยู่ในระบบขายตรงปัจจุบัน (ปี 2553) พบว่า มีสมาชิกที่สมัครเพื่อซื้อสินค้าใช้ในสัดส่วนที่สูงกว่ากลุ่มที่สมัครเพื่อทำธุรกิจ คิดเป็นร้อยละ 63.4 และ 36.6 ตามลำดับ นอกจากนี้ หากจำแนกตามเพศจะพบว่า มีสมาชิกเพศหญิงคิดเป็นร้อยละ 48.5 ชายร้อยละ 32.7 และสมัครร่วมรหัสร้อยละ 18.8 ตามลำดับ
ทั้งนี้ ทาง “เอแบคโพลล์” ยังได้เปิดเผยข้อมูลทางด้านการจัดจำหน่ายอีกว่า มูลค่าตลาดรวมของธุรกิจขายตรงในปี 2551 อยู่ที่ 46,147,087,826 บาท ซึ่งเติบโตจากปี 2548 ประมาณ 25.8% ขณะที่ในปี 2552 มูลค่าตลาดรวมยังเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องเป็น 52,895,484,984 บาท คิดเป็นอัตราการเติบโต 14.6%
ซึ่งเมื่อหากจำแนกมูลค่าตลาดตามประเภทสินค้าพบว่า ผลิตภัณฑ์เสริมความงาม มีส่วนแบ่งตลาดสูงที่สุด คือ 31.2% รองลงมาผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพ 25.2% และของใช้ประจำวันสำหรับเรือนร่าง 11.1% ส่วนสินค้าประเภทอื่นมีส่วนแบ่งตลาดไม่ถึง 10% ที่สำคัญหากจำแนกมูลค่าตลาดตามระบบการทำธุรกิจ (ข้อมูลจาก 129 บริษัท คิดเป็นมูลค่าตลาด 87.1%) พบว่าระบบ MLM มีส่วนแบ่งทางการตลาดสูงที่สุด คิดเป็นร้อยละ 82.5% หรือมูลค่าตลาด 38,008,843,839 บาท รองลงมาระบบ SLM คิดเป็น 16.6% หรือมูลค่าตลาด 7,636,936,642 บาท ระบบ Binary คิดเป็น 0.6% หรือมูลค่าตลาด 297,648,306 บาท

เปิดมุมมอง2กูรูขายตรง
ชี้ธุรกิจยังโตด้วยหลายปัจจัย
...อย่างไรก็ตาม จากผลการสำรวจที่หากจะให้มองตามหลักความเป็นจริงแล้ว เรียกได้ว่าการซุ่มสำรวจเพียงแค่ 129 บริษัทขายตรงเท่านั้น อาจจะยังไม่สามารถฟันธงได้สำหรับธุรกิจนี้ เพราะถือว่าข้อมูลในบางอย่างอาจจะยังน้อยนิดอยู่บ้าง แต่อย่างไรเสีย ก็ยังเชื่อว่า “ธุรกิจขายตรง” ยังคงเป็นอีกหนึ่งธุรกิจแห่งโอกาสสำหรับใครหลายคน ในหลายยุค หลายสมัยนั่นเอง
ทั้งนี้จากผลการสำรวจของเอแบคโพลล์กับ “ธุรกิจขายตรง” นั้น หากจะให้ทางด้านผู้ประกอบการได้เผยถึงมุมมองเกี่ยวกับผลการสำรวจดังกล่าวแล้ว แต่ละท่านเห็นการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจนี้อย่างไร และอะไร คือ ปัจจัยเด่นที่ทำให้
ผู้คนต่างหลงใหลเข้ามาอยู่ในธุรกิจนี้
โดยทางด้านนายกิจธวัช ฤทธีราวี ผู้จัดการทั่วไป บริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ได้เปิดเผยว่า สิ่งหนึ่งที่เห็นได้อย่างชัดเจนในการสำรวจครั้งนี้นั้น จากความเห็นของตนเองมองเห็นว่าธุรกิจนี้มีการพัฒนาที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง ในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นทางด้านการยอมรับ อีกทั้งสิ่งหนึ่งที่เห็นและเป็นปัจจัยที่สำคัญ ในธุรกิจนี้  ยังคงเป็นความรับผิดชอบต่อผู้บริโภค ซึ่งในมุมมองของผู้ประกอบการ คือว่า ความรับผิดชอบของผู้บริโภคนั้นจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพ ซึ่งตรงนี้เห็นโดดเด่นทุกๆ การวิจัย โดยคุณภาพถือเป็นพื้นฐานของผู้ประกอบการทั่วๆ ไป ที่ต้องเกี่ยวข้อง ซึ่งธุรกิจขายตรงถือเป็นเพียงแค่ช่องทางในการนำ เสนอสินค้าเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม ความรับผิดชอบไม่ใช่เพียงแค่การนำเสนอสินค้าที่มีคุณภาพเท่านั้น แต่ในเรื่องของราคาสินค้าถือว่าต้องยุติธรรมอีกด้วย นอกจากนี้ อีกหนึ่งเรื่องที่มองเห็นว่า มีการพัฒนาที่ดีขึ้นเรื่อยๆ นั่นก็คือ พัฒนาการของนักธุรกิจอิสระ ที่จะนำไปสู่การยอมรับของคนทั่วไปมากขึ้น แต่ทั้งนี้เชื่อว่าธุรกิจขายตรงยังคงเป็นอีกหนึ่งโอกาสสำหรับผู้ที่ต้องการมองหารายได้เสริมและยังสามารถยึดเป็นอาชีพหลักได้ด้วยเช่นกัน
ด้าน “ภคพรรณ ลีวุฒินันท์” ประธานกรรมการบริหาร บริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ได้กล่าวว่า สำหรับผลการสำรวจในครั้งนี้ถือว่าเป็นสิ่งที่ได้ประโยชน์ค่อนข้างมาก โดยเชื่อว่าทั้งตัวผู้ประกอบการเอง และสมาชิกหากได้มีการได้รับการแบ่งปันข้อมูลนี้ไป จะสามารถช่วยในหลายๆ ด้าน ซึ่งถือเป็นการเพิ่มจุดแข็งให้กับบริษัทมีความโดดเด่นเพิ่มขึ้น ในขณะเดียวกัน เมื่อเจอจุดอ่อนก็นำจุดอ่อนนั้นไปพัฒนาให้ดีขึ้น
อย่างผลสำรวจที่เห็นได้อย่างชัดเจน คือ ในมุมมองที่มองผู้แทนจำหน่ายว่า ขายอย่างเดียวโดยที่ไม่มีการรับผิดชอบกับสินค้านั้น จากเปอร์เซ็นต์ของปี 2553 ที่ผ่านมา ต้องบอกว่าลดลงจากปี 2548 ถึง 20% นั่นก็หมายความว่า มุมมองหรือทัศนคติของผู้บริโภคต่อธุรกิจขายตรงต่อผู้แทนจำหน่ายนั้นดีขึ้น และมีทัศนคติในทางบวกมากขึ้น
“จากทิศทางโดยภาพรวมของธุรกิจขายตรงที่ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่า ธุรกิจขายตรงจะเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำหรับคนทั่วไปและหลากหลายอาชีพอย่างแน่นอน ในขณะเดียวกัน ไม่ว่ายุคไหน สมัยไหน ทั้งผู้ประกอบการหรือแม้กระทั่งตัวผู้บริโภคเอง ต้องการที่จะเห็นธุรกิจนี้เป็นธุรกิจที่สวยงามด้วยเช่นกัน”

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: หนังสือพิมพ์ ตลาดวิเคราะห์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น