เฮอร์บาไลฟ์ เปิดแนวรบใหม่ บุกตลาดต่างจังหวัด เน้นสร้างกิจกรรม ควบคู่การเปิดสาขาเพิ่ม วางแผน 3 ปี ต้องสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จักทั่วประเทศ ล่าสุดดันผลิตภัณฑ์เสริมอาหารใหม่ เฮอร์บาไลฟ์ ไลน์ น้ำมันปลาคุณภาพ เขย่าตลาดครึ่งปีหลัง ชูจุดเด่นด้วยการดึงนักวิทยาศาสตร์ดีกรีรางวัลโนเบล ร่วมทีมวิจัย พร้อมเร่งสปีดขยายไลน์ ผู้จำหน่ายอิสระเพิ่มขึ้นอีก 5 พัน รหัสภายในสิ้นปี
นายจักรพันธ์ สุทธโทธน กรรมการ ผู้อำนวยการ บริษัท เฮอร์บาไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ไทยแลนด์) ลิมิเต็ด จำกัด เปิดเผยว่า ในปีนี้สัดส่วนยอดขายของบริษัทเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด หลังจากที่บริษัทได้ปรับกลยุทธ์การตลาด โดยเข้าไปรุกในส่วนของตลาดภูมิภาคมากขึ้น ดังจะเห็นได้จากสัดส่วนยอดขายในช่วงไตรมาสแรกของภูมิภาคต่างๆ มีอัตราสูงขึ้น โดยภาคอีสาน มียอดขายโต 100%, ภาคใต้ 30% และภาคเหนือโต 5% ตามลำดับ โดยปัจจุบันบริษัทมีสมาชิกแอ็กทีฟประมาณ 2.3 หมื่นรหัส จาก 50 จังหวัดทั่วประเทศ ปีนี้ตั้งเป้าเพิ่มอีก 5 พันรหัส
จักรพันธ์ ได้กล่าวต่อถึงด้านกลยุทธ์ การตลาดในปีนี้ว่า เฮอร์บาไลฟ์จะยังคงเน้น การขยายตลาดออกสู่ภูมิภาคมากขึ้น โดย การลงพื้นที่แต่ละครั้ง บริษัทจะมีการจัดกิจกรรม โดยเน้นการบรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับเรื่องของสุขภาพมากขึ้น จาก เมื่อก่อนที่ยังไม่มีในส่วนนี้ จึงอาจทำให้ผู้คน ทั่วไปยังไม่รู้จักผลิตภัณฑ์ของบริษัทมากนัก และยังมีกิจกรรมที่ชื่อว่า วันนี้คุณดื่ม Shake แล้วหรือยัง ซึ่งเป็นแผนการโปรโมต ผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มเพื่อสุขภาพ Her-balifeNutritional Protein Drink Mix (Shake) อันเป็นผลิตภัณฑ์หลักที่ขายดี ที่สุดของบริษัท โดยเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพดังกล่าวมีส่วนประกอบของกรดอะมิโนต่างๆ โดยเฉพาะกรดอะมิโนจำเป็นต่อร่างกายทั้ง 9 ชนิด นอกจากนี้ ยังมีคาร์โบไฮเดรต เส้นใย พร้อมทั้งวิตามิน และเกลือ แร่ ที่จำเป็นต่อร่างกาย เพื่อส่งเสริมการมีสุขภาพที่ดีของผู้บริโภคในทุกๆ วัน
นอกจากนั้น ในปีนี้บริษัทยังมีการนำ ผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเข้ามา คือผลิตภัณฑ์ที่ชื่อ ว่า เฮอร์บาไลฟ์ไลน์ (น้ำมันปลาชนิดแคปซูล) ผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ที่มีส่วนช่วยเพิ่มระดับการสร้างไนตริกออกไซด์ของ หลอดเลือด ช่วยลดระดับคอเลสเตอรอล และลดกรดไขมันไตรกลีเซอไรด์ จึงช่วยลดโอกาสในการเกิดโรคหัวใจที่เส้นเลือดหัวใจ เพราะผลิตภัณฑ์ดังกล่าวจะอุดมไปด้วยกรดไขมันโอเมก้า 3 ซึ่งเป็นกรดไขมัน ไม่อิ่มตัวหลายตำแหน่ง อยู่ในรูปแบบของ กรดไอโคซาเพนตาอีโนอิก และกรดโดโคซา เฮ็กซาอีโนอิก นอกจากนี้ ยังมีน้ำมันสกัดจากพืชสมุนไพรอีก 3 ชนิด ได้แก่ ไทม์ขาว เปปเปอร์มินท์ และกานพลู สินค้าดังกล่าว เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีความปลอดภัย สูง สามารถช่วยลดการอุดตันของไขมันในเลือด ช่วยส่งเสริมหัวใจและหลอดเลือด ให้มีสุขภาพดี เหมาะสำหรับผู้บริโภคในทุกวัย
โดยการเปิดตัวสินค้าดังกล่าว บริษัท ได้รับเกียรติจาก ดร.หลุยส์ อิกนาร์โร นักวิทยาศาสตร์ดีกรีรางวัลโนเบลสาขาสรีรวิทยา ผู้เป็นกรรมการที่ปรึกษาทางวิทยาศาสตร์ และกรรมการที่ปรึกษาทางโภชนาการของเฮอร์บาไลฟ์ ได้ให้เกียรติเป็นผู้บรรยายให้ความรู้เกี่ยวกับความเสี่ยง ด้านโรคหัวใจแก่สมาชิกนักธุรกิจ เพื่อให้พวกเขาได้เข้าใจเกี่ยวกับการดูแลรักษาสุขภาพร่างกายมากขึ้น ซึ่งการจัดกิจกรรม ดังกล่าว ได้รับการตอบรับที่ดีมาก ส่วนในปีหน้า บริษัทคาดว่าจะมีการนำเข้าผลิตภัณฑ์ใหม่เพิ่มเข้ามาอีก 2 รายการ
นอกจากกลยุทธ์ต่างๆ ที่กล่าวมาแล้ว ในปีนี้บริษัทจะเน้นการฝึกอบรมมาก ขึ้น จะมีการสนับสนุนการจัดกิจกรรมของ สมาชิกมากขึ้น ซึ่งต้นปีที่ผ่านมาบริษัทมีการจัดอบรมหรือประชุมรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 10 ครั้ง และมีเรื่องที่น่ายินดี คือในการจัดประชุมครั้งที่ผ่านมา พบว่ามีผู้เข้าร่วมประชุมกว่า 1,500 คน เพิ่มขึ้นจากเดิมถึง 3 เท่า จึงถือได้ว่าการกำหนด นโยบาย ส่งเสริมสนับสนุนกิจกรรม ของสมาชิก และการเน้นบรรยายให้ ความรู้เกี่ยวกับสุขภาพมากขึ้น ส่งผล ดีต่อธุรกิจของบริษัทอย่างเห็นได้ชัด นายจักรพันธ์ เปิดเผยโดยภายในสิ้นปีนี้ หรือปีหน้า บริษัทก็มีแผนที่จะเปิดศูนย์สาขา โดยมีลักษณะเป็น Sale Center เนื่องจากบริษัทได้มองเห็นถึงศักยภาพความ พร้อมต่างๆ ที่มีมากขึ้นเรื่อยๆ โดยอาจจะเข้าไปประเดิมในภาคอีสานเป็นพื้นที่แรก เนื่องจากอัตราการเติบโตขยายตัวไป อย่าง รวดเร็วมาก ซึ่งตนคาดว่าจะมีการใช้งบประมาณในการเปิดศูนย์แต่ละศูนย์ประมาณ 5 ล้านบาท และในอนาคตจะมีการขยายไปที่ภาคใต้ ภาคเหนือเป็นลำดับถัดไป
ทั้งนี้ จักรพันธ์ ยังได้กล่าวแสดงความมั่นใจถึง ศักยภาพของธุรกิจเฮอบาร์ไลฟ์ ประเทศไทย ว่าตนเองมีความมั่นใจ ว่าธุรกิจขายตรงเฮอร์บาไลฟ์จะสามารถเติบโตได้เป็นเท่าตัวภายในสิ้นปี จากแผนกลยุทธ์การดำเนินงานดังที่กล่าวมา และมั่นใจด้วยว่า ภายใน 3 ปี ธุรกิจเฮอร์บาร์ไลฟ์จะกลายเป็นธุรกิจที่ทุกคนต้องนึกถึง
อย่างไรก็ดี ตนก็มีความเป็นห่วงอยู่บ้างเกี่ยวกับสถานการณ์ความวุ่นวายด้านการเมืองของไทย ที่อาจส่งผลกระทบ ต่อความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของประชาชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานออฟฟิศ สาขาไทยก็อยู่ในเขตพื้นที่เสี่ยงเกี่ยวกับการก่อความไม่สงบทางการเมือง จุดนี้อาจ ส่งผลให้ผู้บริโภคจำนวนมากของบริษัทเกิดปัญหาหรืออุปสรรคสำคัญด้านการขยายเครือข่าย ส่วนปัญหาทางด้านเศรษฐกิจ ตนคิดว่าไม่มีผลโดยตรงต่อธุรกิจขายตรง เพราะจากการสำรวจของเอแบคโพล พบว่า ธุรกิจขายตรงโดยรวมเติบโตมากกว่า 10% ทุกปี นายจักรพันธ์ กล่าวทิ้งท้าย
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจฉบับที่ 1310 ประจำวันที่ 20-6-2012 ถึง22-6-2012
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น