ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันเสาร์ที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2555

รัฐลงนาม 4 หน่วยปิดรูหากินขี้ฉ้อ ทีวี ดาวเทียม ขายตรง(MLM)ปรบมือสมหวังอยากเห็นการทำงานเชิงรุกมานาน

รัฐเดินหน้าควบคุมปราบปรามสื่อ ทีวี ดาวเทียม และ เคเบิล ทีวีเต็มอัตราศึก กสทช.จับ 3 หน่วยงานรัฐ อย่าง สคบ., อย. และบก.ปคบ. ร่วมลงนามทำสัญญาควบคุมสื่อ หวังปิดรูโหว่ขี้ฉ้อ หาโอกาสโฆษณาโอเวอร์หลอกผู้บริโภค โดยก่อนหน้านี้ ปคบ.ตั้งหน่วยจับตาทีวี ดาวเทียม 24 ชม. ด้านผู้ค้าปรบมือเห็นดีกับการทำงานของภาครัฐ


จากที่ปัจจุบันการระบาดของรายการ และโฆษณาอวดอ้างสรรพคุณสินค้าที่ ผิดกฎหมายของกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหารและยา ตามสื่อทีวี ดาวเทียม และ เคเบิล ทีวี ทำให้หน่วยงานรัฐต้องเพิ่มมาตรการเข้มงวดในการปราบปราม และควบคุม โดยเมื่อไม่นานมานี้ ทางกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) ได้ทำการตั้งศูนย์ตรวจสอบรายการทีวีในช่องทางดังกล่าว เพื่อจับตารายการ และ โฆษณาที่ส่อกระทำความผิด นอกจากนี้ ยังมีทางกสทช.ที่ร่วมมือกับหน่วยงานรัฐ 4 หน่วย เพื่อเป็นการทำงานเชิงรุกเพิ่มอีกทาง


โดยสำนักงานคณะกรรมการกิจการ กระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการ โทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ลงนามบันทึกข้อตกลงการกำกับดูแลโฆษณาอาหาร ยา และผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมาย หรือมีลักษณะเป็นการเอาเปรียบ ผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการ โทรทัศน์ (MOU) ร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) และกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค (บก.ปคบ.) เพื่อแก้ปัญหาร่วมกันในการปราบปรามโฆษณายาและผลิตภัณฑ์ที่ ผิดกฎหมายและเป็นอันตรายอย่างเป็นทางการและคุ้มครองสิทธิผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ จากโฆษณาและผลิตภัณฑ์อาหารและยาที่อาจจะเป็นอันตรายต่อผู้บริโภคได้


น.ส.สุภิญญา กลางณรงค์ กรรมการ กิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) กล่าวว่า ความร่วมมือกับ 4 หน่วยงานครั้งนี้ เป็นการผนึกกำลังเพื่อเป้าหมายการคุ้มครอง สิทธิผู้บริโภคในกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์เป็นหลัก ด้วยการนำฐานข้อมูลและอำนาจหน้าที่แต่ละด้านของแต่ละหน่วยงานมาประสานความร่วมมือกันดำเนินการปราบปรามโฆษณายาและผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่โฆษณาโดยไม่ได้รับอนุญาตและโอ้อวดสรรพคุณเกินจริงได้อย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นมาตรการกำกับดูแลกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์เป็นการชั่วคราวระหว่างรอกระบวน การเข้าสู่การออกใบอนุญาตฯ ของ กสทช. ต่อไป


โดยสาระสำคัญของบันทึกข้อตกลงคือ ความร่วมมือที่จะบูรณาการงานคุ้มครอง ผู้บริโภคเกี่ยวกับการโฆษณาอาหาร ยา และ ผลิตภัณฑ์สุขภาพที่ผิดกฎหมายหรือมีลักษณะเป็นการเอาเปรียบผู้บริโภคใน กิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ ทั้งในด้านแลกเปลี่ยน แบ่งปันความรู้ ข้อมูล ข่าวสาร ฐานข้อมูล และความคิดเห็นระหว่างหน่วยงานให้เกิดความคล่องตัวและรวดเร็วมากยิ่งขึ้น รวมทั้งส่งเสริมและสนับสนุนการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร และประชาสัมพันธ์ความรู้ด้านต่างๆ และการบังคับใช้กฎหมายเพื่อคุ้มครองผู้บริโภคอย่าง มีประสิทธิภาพ เพื่อหยุดยั้งการโฆษณาที่ ผิดกฎหมายหรือมีลักษณะเป็นการเอาเปรียบ ผู้บริโภค


ทั้งนี้ เพื่อให้การดำเนินงานบรรลุวัตถุประสงค์ ได้มีการเตรียมตั้งคณะทำงาน จาก 4 หน่วยงาน และเชิญตัวแทนคณะอนุกรรมการคุ้มครองผู้บริโภคในกิจการกระจาย เสียงและกิจการโทรทัศน์ นักวิชาการ และ เครือข่ายผู้บริโภคเข้าร่วมเป็นคณะทำงาน เพื่อร่วมวางแนวทางการขับเคลื่อนเรื่องนี้ต่อไป บันทึกข้อตกลงฉบับนี้มีผลบังคับใช้เป็นระยะเวลา 3 ปี นับตั้งแต่วันที่ลงนาม


อย่างไรก็ดี ในเรื่องดังกล่าว อาจส่งผลต่อการนำเสนอเนื้อหาผ่านรายการของบริษัทขายตรง ที่นิยมใช้ช่องทางการสื่อสาร ผ่านทีวี ดาวเทียม และเคเบิล ทีวี แต่ทาง ผู้ประกอบการหลายบริษัท ยังคงเชื่อว่าสิ่งที่ เกิดขึ้นนี้ ส่งผลดีต่อธุรกิจ และผู้บริโภค


> ผู้ค้า กดถูกใจ


อยากเห็นรัฐเอาจริงทีวี ดาวเทียมมานานโดย นายพงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการตลาด บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด แสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับกรณีที่หน่วยงาน รัฐได้เข้ามาคุมเข้มเกี่ยวกับการออกสื่อโฆษณาผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และยา ในสื่อ ทีวี ดาวเทียมมากขึ้นว่า การออกมาตรการ ดังกล่าวถือเป็นเรื่องที่น่ายินดี เพราะจะก่อให้เกิดความถูกต้องและยุติธรรมต่อผู้บริโภค และบริษัทผู้ประกอบการที่ดำเนินงานตามกฎหมาย ซึ่งที่ผ่านมาตนมองว่าหลายๆบริษัทมีการนำเสนอข้อมูลสินค้า หรือผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่บิดเบือน เกินจริง สร้าง ความเข้าใจผิด จนก่อให้เกิดผลเสียต่อผู้บริโภคจำนวนมาก ฉะนั้นการที่รัฐเริ่มเข้ามา ดำเนินการควบคุมในเรื่องนี้อย่างจริงจังและเป็นระบบมากขึ้นจะสามารถลดความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นกับผู้บริโภคได้อย่างแน่นอน
ฉะนั้นตนมองว่า ความยุ่งยากต่างๆ หลังจากที่รัฐบาลออกมาตรการดังกล่าว จะไม่เกิดขึ้นกับบริษัทอย่างแน่นอน เพราะที่ผ่านมากิฟฟารีนก็ดำเนินงานทุกอย่าง ถูกต้องตามกฎระเบียบมาตลอด แต่อย่างไร ก็ดี หลังจากหน่วยงานภาครัฐออกมาตรการ ควบคุมมาอย่างชัดเจนแล้ว บริษัทผู้ประกอบการต่างๆ ก็จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง ศึกษากฎหมายโดยละเอียด เพื่อความเข้าใจ ที่ตรงกันในทุกๆ ฝ่าย


ด้านท.ญ.ลพา วัชรศรีโรจน์ ประธานผู้ก่อตั้ง บริษัท เอม สตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีการควบคุมดังกล่าวว่า ส่งผลดีต่อทุกๆ ฝ่ายอย่างแน่นอน เพราะการสื่อสารโฆษณาสินค้าผ่านเครือข่ายเคเบิล ทีวี หรือทีวี ดาวเทียม ที่ผ่านมายังไม่มีมาตรการควบคุมอย่างเป็นระบบ ส่งผล ให้ผู้ประกอบการหลายแห่งมีการโฆษณาสรรพคุณสินค้าเกินจริง ซึ่งหากเป็นสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวัน ก็อาจจะไม่ เป็นอะไร แต่เมื่อเป็นสินค้าเกี่ยวกับยาหรือ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารที่มีสรรพคุณเฉพาะด้าน หากไม่มีมาตรการควบคุมหรือแนะนำ ใดๆ เลยอย่างที่ผ่านมาจะส่งผลเสียต่อ ผู้บริโภคอย่างแน่นอน


ประโยชน์ของการเข้ามาดำเนินการ ควบคุมอย่างเป็นระบบของหน่วยงานรัฐดังกล่าว จะสร้างความเข้าใจและสร้างการ รับรู้ที่ถูกต้องให้กับประชาชนในทุกระดับ ซึ่งจะก่อให้เกิดการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์อย่างมีวิจารณญาณมากขึ้น เนื่องจากผู้เสพสื่อทางช่องเคเบิล ทีวีมีทุกระดับ ทุกช่วงอายุ บางครั้งหลายๆ คนอาจมีความรู้เท่าไม่ถึงการณ์จึงหลงเชื่อการโฆษณาที่เกินจริง กว่า จะมารู้ตัวอีกครั้งก็ต่อเมื่อสูญเสียทรัพย์สิน หรือเกิดโทษต่อร่างกายตนเองหรือบุคคลรอบๆ ข้างไปแล้ว


นายขวัญชัย ปิยะทัศน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โอทู อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด แสดงความคิดเห็นในกรณีดังกล่าวว่า ตนมองว่ามาตรการดังกล่าว มีแต่ส่งผลดี ต่อผู้บริโภค ซึ่งรัฐบาลน่าจะออกมาตรการนี้ มาตั้งนานแล้ว เพราะที่ผ่านมาตนมองว่า การสื่อสารผ่านช่องทางเคเบิล ทีวีประมาณ ร้อยละ 90 ไร้ประสิทธิภาพ เพราะสื่อเหล่านี้ ไม่มีสิ่งที่ควบคุม ไม่มีความน่าเชื่อถือ ทุกคน เข้ามาเพื่อต้องการแสวงหากำไร โดยไม่คำนึงถึงว่าผู้บริโภคจะได้รับผลลัพธ์เช่นไร การออกมาตรการตรงนี้จะช่วยควบคุมความ ปลอดภัยในการบริโภคสินค้าให้กับผู้บริโภค ได้เป็นอย่างดี ลดความเสี่ยงเกี่ยวกับการใช้สินค้าไร้มาตรฐานหรือคุณภาพต่ำ จนอาจ ทำให้เกิดอันตรายต่อชีวิตและร่างกายของประชาชน โดยเฉพาะประชาชนจำนวนมาก ที่เคยหลงเชื่อคำโอ้อวดที่เกินจริงของหลายๆ บริษัทจนเกือบจะสายเกินไป


ส่วนในด้านความยุ่งยากในการทำงาน ของบริษัทที่จะลงโฆษณาสินค้าต่างๆ นั้น ตนมองว่าไม่น่าจะส่งผลกระทบใดๆ เพราะหากสินค้าของบริษัทนั้นๆ มีคุณภาพและมาตรฐานจริง การควบคุมที่เข้มขึ้นของรัฐจะไม่ก่อให้เกิดความยุ่งยากหรือความเสียหาย เลย แต่ในแง่กลับกันน่าจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ใหม่ สร้างความเชื่อมั่นให้แก่ประชาชน ทั่วไปที่จะหันมาบริโภคสินค้าของบริษัทมากขึ้น


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจฉบับที่ 1309 ประจำวันที่ 16-6-2012 ถึง19-6-2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น