ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันพุธที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2555

‘ศรีไทย’ โดนนโยบายขึ้นค่าแรงจุก! จ่อปรับราคาสินค้า 5-10% ตรึงไว้แค่ ‘เอสเนเจอร์ (SNATURE)’


“ศรีไทย” ลั่นเป้าใหญ่ปี 55 ขอยอดแตะ 7,800 ล้านบาท กำไร 20% เดินเครื่องจักรเต็มสูบ จัดงบลงทุนทั้งปี 900 ล้านบาท เตรียมขยายฐานการผลิตอีก 3 ประเทศ ได้แก่ อินเดีย ลาว และพม่า เพื่อสร้าง ความได้เปรียบหลังเปิดเสรีอาเซียน ยอมรับการปรับขึ้นค่าแรง ส่งผลกระทบ กับบริษัท มิถุนายนนี้ เตรียมจ่อปรับขึ้นราคาสินค้าอีก 5-10% ส่วนแบรนด์ “เอสเนเจอร์” ขายตรงในเครือ ยังขอคงราคาเดิม


นายสนั่น อังอุบลกุล ประธานกรรมการ บริษัท ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแผนการดำเนินธุรกิจปี 2555 ว่า บริษัทตั้งเป้ายอดขายจะเติบโตขึ้นอีก 17% จากปี 2554 คือ ปีที่แล้วปิดยอดขาย 6,694 ล้านบาท ปีนี้คาดว่าน่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 7,800 ล้านบาท และในปีนี้อาจมีอัตรากำไรสุทธิขั้นต้นไม่ต่ำกว่า 20% จากปีก่อนอยู่ที่ 19% พร้อมกันนี้บริษัทยังได้ตั้งงบการลงทุนประมาณ 900 ล้านบาท เพื่อใช้เพิ่มกำลัง การผลิตและขยายโรงงานรวมทั้งการ เพิ่มสำนักงานสาขาทั้งในและต่างประเทศ


“เป้าหมาย 7,800 ล้านในปีนี้ แบ่งเป็น ยอดขายจากผลิตภัณฑ์พลาสติก 4,800 ล้านบาท ผลิตภัณฑ์เมลามีน 2,445 ล้านบาท และธุรกิจขายตรงเอสเนเจอร์อีก 555 ล้าน บาท ซึ่งตนเชื่อมั่นว่าด้วยศักยภาพและความ พร้อมของบริษัท เป้าหมายดังกล่าวไม่ใช่เรื่องที่เกินฝัน และในปีนี้บริษัทได้มีการจัดงบ การลงทุนในด้านต่างๆ ไว้ประมาณ 900 ล้าน บาท โดยแบ่งออกเป็นการลงทุนในเครื่องจักร 350 ล้านบาท ลงทุนเกี่ยวกับแม่พิมพ์ 200 ล้านบาท และในด้านอื่นๆ อีก 350 ล้านบาท”


ปัจจุบันศรีไทยซุปเปอร์แวร์มีโรงงานผลิตเมลามีนในประเทศอินโดนีเซีย จีน และเวียดนาม โดยขณะนี้บริษัทได้ลงทุน 350 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องจักรผลิต Closure และ Preform ที่จะทำการผลิตใน โรงงานของบริษัทในประเทศเวียดนาม และบริษัทกำลังศึกษาและเตรียมความพร้อม ในการลงทุนตั้งโรงงานผลิต Closure และ Preform ในลาวไปพร้อมกันด้วย นอกจากนี้ ยังคาดว่าต่อไปอาจมีการขยายโรงงานผลิต เมลามีนไปที่ประเทศอินเดีย และพม่า เพื่อรองรับความต้องการของผู้บริโภคที่สูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง ส่วนในเมืองไทย ศรีไทยฯได้ตั้งบริษัทขึ้นมาอีกบริษัทคือ บริษัท โคราช ไทยเทค จำกัด (Korat ThaiTech Co.,Ltd.) ที่จะทำการผลิตผลิตภัณฑ์เมลามีนเพื่อรองรับการส่งออกเพียงอย่างเดียว โดยใช้งบ การลงทุนไปทั้งสิ้นประมาณ 160 ล้านบาท


ในด้านบรรจุภัณฑ์อาหาร (Food Packaging) บริษัทได้นำเทคโนโลยีใหม่ใน การทำฉลากติดบรรจุภัณฑ์ (IML) ที่มีลักษณะ เงาคล้ายโลหะ (Metallic) มาใช้กับบรรจุภัณฑ์ใส่อาหารประเภทพร้อมรับประทาน (Ready to Eat) ถ้วย (Cup) รวมถึงภาชนะ ใส่ข้าวโพดคั่ว (Pop Corn Bucket) อันเป็น การเพิ่มคุณค่าให้แก่ผลิตภัณฑ์ให้มีความแปลกใหม่ และสวยงาม สำหรับบรรจุภัณฑ์ เครื่องดื่ม (Beverage Packaging) บริษัท มีนวัตกรรม และเทคโนโลยีในการผลิตฝาปิด ขวดน้ำขนาด 29/25 (Water Closure 29/25) โดยสามารถผลิตฝาปิดขวดน้ำได้เบา และเร็วที่สุดในโลก ซึ่งสามารถช่วยประหยัด พลังงาน ประหยัดวัตถุดิบ และลดมลพิษได้ เป็นอย่างมาก 


โดยขณะนี้ บริษัทได้ผลิตฝาน้ำที่มีคุณสมบัติดังกล่าวให้แก่ขวดน้ำดื่มแบรนด์ “น้ำทิพย์” ของบริษัท ไทยน้ำทิพย์ จำกัด แต่เพียงผู้เดียว ทั้งนี้เป็นเพราะทั้ง 2 บริษัท มีนโยบายที่สอดคล้องกันในเรื่องของการรักษาสิ่งแวดล้อมอย่างยั่งยืน คือ 3 save ของศรีไทยฯ ได้แก่ Save Material, Save Energy และ Save The World และแนวคิด “น้ำทิพย์ คิดมาเพื่อโลก” ด้วยขั้นตอน “เลือก ดื่ม บิด” ของไทยน้ำทิพย์ จึงเกิดเป็นน้ำทิพย์รูปแบบใหม่ในปัจจุบัน


“นอกจากรูปแบบฝาที่ช่วยลดการใช้วัตถุดิบแล้ว บริษัทยังใช้เครื่องจักรที่ทันสมัย ซึ่งสามารถลดการใช้พลังงานและรักษา สิ่งแวดล้อมด้วยการใช้เครื่องจักรระบบ Electric ในการผลิตฝาและ Hylectric ใน การผลิต Preform ทำให้สามารถลดพลังงาน ในการผลิตได้มากกว่า 70% เมื่อเปรียบเทียบ กับการผลิตสินค้าอื่นๆ และการลดการใช้วัตถุดิบในครั้งนี้ เป็นเพียงบางส่วนของการ พัฒนาบรรจุภัณฑ์เพื่อสิ่งแวดล้อมอย่าง ยั่งยืน บริษัท ศรีไทยฯ ยังได้ดำเนินการอย่าง ต่อเนื่องเพื่อลดปริมาณ Carbon Footprint การพัฒนาลำดับต่อไป คือ การใช้วัตถุดิบ Biobased Plastic มาเป็นวัตถุดิบในการผลิตฝาปิดขวด ซึ่งในปัจจุบันได้มีการเริ่มพัฒนาแล้ว”


นายสนั่นได้เปิดเผยต่อว่า สำหรับการเตรียมตัวเพื่อรองรับการเปิดเสรีอาเซียน ที่จะถึงในปี 2558 นี้ นอกจากการพัฒนาคุณภาพสินค้าแต่ละตัวให้ชัดเจนแล้ว ยังมีองค์ประกอบที่สำคัญอีกด้านหนึ่ง คือด้านบุคลากร ซึ่งบริษัทจะต้องมีการพัฒนาทักษะ (skill) ของพนักงานให้เป็นผู้มีความรู้ ความ ชำนาญอย่างแท้จริง โดยเฉพาะบุคลากร ในระดับผู้จัดการระดับกลางจนถึงระดับสูงให้รู้จักบริหารจัดการอย่างเป็นระบบ 


ส่วนประเด็นการขึ้นค่าแรงงานนั้น ประธานใหญ่ศรีไทยซุปเปอร์แวร์ยอมรับว่า ในส่วนของบริษัท ต้องแบกค่าแรงเพิ่มขึ้นถึง 20 ล้านบาท/เดือน หรือ 200 ล้านบาท/ปี หลังจากที่มีการปรับค่าแรงงาน 300 บาท/วัน/คนทั่วประเทศ ทำให้ต้นทุนค่าแรงงานพุ่ง 40-45% บริษัทต้องปรับตัวโดยเน้นการ ลงทุนในเครื่องจักรและเทคโนโลยีชั้นสูง (High technology & Capital Intensive) อีกทั้งการพัฒนา automation process เพื่อ ลดและเลี่ยงการใช้แรงงานคน และเพิ่มผลผลิต (optimize productivity) นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีแผนปรับเพิ่มราคาสินค้าในผลิตภัณฑ์พลาสติกประมาณ 5% สินค้าเมลามีนอีก 10% ภายในเดือนพฤษภาคม


สำหรับธุรกิจเครือข่ายเอสเนเจอร์ (S Natur) นั้น ยังไม่มีการปรับขึ้นราคาสินค้า แต่อย่างใด โดยปัจจุบัน S Natur มีสาขากระจายอยู่ทั่วประเทศ 15 แห่ง และมีตัวแทน จำหน่ายอยู่ในต่างประเทศ คือ ลาว และพม่า และในปีนี้บริษัทจะเปิดสาขาเพิ่มอีก 2 แห่งในประเทศอินโดนีเซีย และกัมพูชา เพื่อ สามารถรองรับกับความต้องการและใกล้ชิด กับผู้บริโภคในตลาด AEC ต่อไป


  ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1306 ประจำวันที่ 6-6-2012  ถึง 8-6-2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น