
นายโกเมศ ลักษมีสถาพร ผู้จัดการ ฝ่ายการตลาด บริษัท วี-เน็ต โกลบอล (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ถึงที่มาของบริษัท ว่า วีเน็ตมีจุดกำเนิดจากประเทศอินโดนีเซีย โดยผู้ก่อตั้งคือ “มร.มาลากี้” ผู้มีประสบการณ์เชี่ยวชาญทางด้านซอฟต์แวร์และระบบไอทีต่างๆ ซึ่งด้วยความที่อยู่ในวงการไอทีมานาน ทำให้ มร.มาลากี้ มีความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบไมโครชิพเป็นอย่างดี จนเป็นที่มาของ การคิดค้นระบบเมมเบรนชิพที่สามารถใช้กับระบบเครือข่ายมือถือเกือบทุกค่าย และท่านได้พัฒนาเป็นธุรกิจรูปแบบใหม่ ที่มีลักษณะคล้ายธุรกิจเครือข่ายขายตรง
“ตนเอง ซึ่งในอดีตเคยทำงานเกี่ยวกับ ด้านไอทีมาเช่นกัน รู้สึกโชคดีมากที่ได้มีโอกาสพบกับมร.มาลากี้ ที่เข้ามาสำรวจตลาดในประเทศไทยเมื่อประมาณปี 2009 ในขณะนั้นหลังจากที่ได้รับฟังแนวคิด และแผนการตลาดต่างๆ โดยเฉพาะแนวคิด “การเปลี่ยนรายจ่ายให้เป็นรายได้” นำเอามือถือมาต่อยอดกับเทคโนโลยีที่มีอยู่ มาทำ การตลาดในรูปแบบเครือข่าย โดยผลิตสินค้าออกมาในรูปแบบเมมเบรนชิพ และนำไปแปะติดกับซิมการ์ด มือถือที่เราทุกคนใช้อยู่ เราก็จะสามารถทำธุรกรรมทาง การเงินผ่านทางมือถือได้ทันที ถือเป็นแนวคิดการทำธุรกิจรูปแบบใหม่ที่ตนมองเห็นถึงความเป็นไปได้และโอกาสในการเติบโต โดยเฉพาะ เมื่อปัจจุบันมือถือได้กลายเป็นปัจจัยที่ 5 สำหรับทุกๆ คน” นี่คือเหตุผลหรือที่มาในการตัดสินใจเข้าร่วมลงทุนธุรกิจ ของโกเมศ
ซึ่งโกเมศ กล่าวต่ออีกว่า การก่อตั้งบริษัท วีเน็ต ในประเทศไทยใช้งบลงทุนประมาณ 10 ล้านบาท ปัจจุบันเมมเบรนชิพ ดังกล่าวสามารถใช้กับระบบเครือข่ายมือถือ ได้เกือบทุกค่ายในไทย ยกเว้นระบบทีโอที โดยลูกค้าสามารถชำระค่าบริการต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพท์ ค่าบัตรสินเชื่อ การเติมเงินและอื่นๆ อีกมากมาย ผ่านทางระบบมือถือได้ทันที เพียงโอนเงินจากบัญชีเข้าไปในวอลเล็ต แล้วก็เริ่มทำรายการ ซึ่งรายได้จะเกิดจากการเติมเงิน และ การชำระค่าบริการผ่านระบบ และมีการแนะนำบอกต่อกันไป
“โดยเริ่มต้นจากการสมัครเป็นสมาชิก เพื่อรับเมมเบรนชิพไปแปะติดซิมการ์ดในราคาชุดละ 999 บาท โดยสามารถ ใช้ได้ตลอดชีพ ไม่มีค่าธรรมเนียมรายเดือน และไม่ต้องรักษายอด จากนั้นระบบจะโอนเงินคืนในวอลเล็ตจำนวน 100 บาท หากมีการแนะนำหรือบอกต่อเกิดขึ้น ก็จะได้รับ สปอนเซอร์โบนัสต่อชุด 250 บาท นอกจาก นี้ ยังจะได้รับเงินคืนเป็นเปอร์เซ็นต์ในอัตรา ที่กำหนดจากการที่ตัวเองหรือเครือข่าย ของตนชำระค่าใช้จ่ายต่างๆ ผ่านระบบวีเน็ต”
การใช้กลยุทธ์การบอกต่อดังกล่าว จึงเสมือนกับธุรกิจขายตรงประเภทหนึ่ง แต่แตกต่างกับขายตรงตรงที่บริษัทไม่มีสินค้าแนะนำบอกต่อ เหมือนบริษัทขายตรง ทั่วไป ทั้งนี้ด้วยความโปร่งใส และเพื่อให้ การดำเนินธุรกิจเป็นไปอย่างถูกกฎหมายบริษัทจึงได้ไปยื่นจดทะเบียนกับ สคบ. แต่เมื่อยื่นเรื่องไปทาง สคบ.ตัดสินว่า บริษัท วีเน็ตสามารถดำเนินธุรกิจได้ทันที โดยไม่ต้องจดทะเบียนเป็นบริษัทขายตรง เนื่องจาก เป็นสินค้าประเภทให้บริการที่แตกต่างไปจากธุรกิจขายตรงอื่นๆ อย่างไรก็ตาม บริษัท ก็ได้มีการจดทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์อย่างถูกต้อง เพื่อความชัดเจน โปร่งใสแล้ว เช่นเดียวกัน
“วันนี้วีเน็ตอาจจะยังไม่เป็นที่รู้จักมาก นัก แต่ก็ได้เริ่มเข้ามาอยู่ในกระแสตลาดเครือข่ายบ้างแล้ว โดยวีเน็ตจะเน้นขยายตลาดไปสู่กลุ่มนักธุรกิจเครือข่ายก่อน เพราะ กลุ่มบุคคลเหล่านี้มีแรงบันดาลใจในตัวเองสูง มีพลังขับเคลื่อนสูง และที่สำคัญมีการติดต่อสื่อสารกันอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งหลายคน อาจคิดว่า บริษัทวีเน็ตจะเข้ามาแข่งขัน หรือ แย่งชิงแม่ทีมกับธุรกิจขายตรงค่ายอื่นๆ ซึ่ง ตนขอยืนยันตรงนี้ว่า วีเน็ตไม่ใช่ธุรกิจที่จะมาแข่งขันกับเครือข่ายใดๆ อย่างแน่นอน เพราะรูปแบบการจัดตั้งบริษัทมีความแตกต่าง กัน และตนค่อนข้างมั่นใจว่าธุรกิจวีเน็ตจะสามารถเป็นพาร์ตเนอร์กับทุกๆ ธุรกิจได้ต่อไป”
สำหรับกลยุทธ์การตลาดในปีนี้ นายโกเมศ เปิดเผยว่า บริษัทจะมีการผลักดันให้ สมาชิกได้มีการเปิดศูนย์ วีเน็ตเซ็นเตอร์ ให้ ได้มากที่สุด โดยศูนย์วีเน็ต เซ็นเตอร์ ดังกล่าว จะมีลักษณะคล้ายศูนย์เซ็นเตอร์ให้บริการ อย่างศูนย์ทรูมูฟ ปัจจุบันสมาชิกของบริษัทได้ทำการเปิดไปแล้วในเขตสายไหม กรุงเทพฯ และกำลังจะเปิดที่ศูนย์พระโขนง หนองจอก และสาทร ส่วนต่างจังหวัดก็จะมีที่หาดใหญ่ สุพรรณบุรี เชียงใหม่ และโคราช ทั้งนี้คาดว่า ภายในสิ้นปี บริษัทจะสามารถเปิดศูนย์ วีเน็ตได้ประมาณ 20 สาขาทั่วประเทศ นอกจากนี้ บริษัทจะเน้นการจัดงานต่างๆมากขึ้น เพื่อให้บริษัทได้เป็นที่รู้จักของประชาชนโดยทั่วไป โดยในวันที่ 1 กรกฎาคม ที่จะถึงนี้ บริษัทจะจัดงานครั้งใหญ่ “Grand Opening V-Net Thailand” เปิดตัว วีเน็ต ประเทศไทยอย่างเป็นทางการ
อย่างไรก็ตาม นอกจากบริษัทวีเน็ตจะมีการใช้เมมเบรนชิพในการสร้างรายได้แล้ว บริษัทก็ยังได้มีการวางแผนพัฒนาระบบ สื่อออนไลน์ เพื่อสร้างกลุ่มสังคมสมาชิกวีเน็ต ได้มีการนำสินค้ามาแลกเปลี่ยนผ่านสื่อออนไลน์ของทางบริษัท ซึ่งนอกจากจะได้ซื้อขาย สินค้าราคาพิเศษแล้ว บริษัทยังให้ผลตอบแทน สำหรับสมาชิกที่ซื้อขายผ่านระบบออนไลน์ นี้ด้วย โดยในอนาคตบริษัทก็อาจจะนำสินค้า เกี่ยวกับไอทีเข้ามาเสริมทัพมากขึ้นเรื่อยๆ
“ด้านเป้าหมายธุรกิจบริษัทคาดว่าธุรกิจวีเน็ตจะสามารถตอบสนองการใช้ชีวิต ในกลุ่มคนทุกระดับทั่วประเทศไทยซึ่งในปีนี้ บริษัทมีเป้ายอดสมาชิก 1 แสนรหัส โดยขณะนี้ มีสมาชิกอยู่ประมาณ 1.3 หมื่นรหัส สมาชิก แอ็กทีฟประมาณ 20-30%” นายโกเมศกล่าว
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1309 ประจำวันที่ 16-6-2012 ถึง 19-6-2012
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น