ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันศุกร์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2556

สุมิตร กู้ มิลค์กี้เวย์ ดิ่งเหว ดึงทุนใหม่ร่วมบริหารฮึดสู้อีกยก







Milkyway-1-Mobile (Mobile)


มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์ สุดทนหลังโดนมรสุมเล่นงานจนอ่วม ตั้งโต๊ะแถลงสยบ ข่าวปิดบริษัทหนี สุมิตร ใจป้ำกัดฟันแบ่งหุ้น 40% ให้กลุ่มทุนใหม่ในเครือข่าย นายพล คนขอนแก่น ประกาศรื้อผังโครงสร้างทีมบริหารทั้งกระบิ พร้อมเปลี่ยน ชื่อใหม่เป็น เบสท์ มีไลฟ์ อ้างป้องกันการสับสนและเข้าใจผิด ด้าน สุมิตร ยอมรับแบรนด์นายพล กู้ชีวิต เผยแค่เดือนแรกคนแห่ร่วมธุรกิจดันยอดเกือบ 100 ล้านบาท ฟุ้งปี 57 รายได้แตะพันล้าน เหตุองค์ประกอบลงตัว


ตลอดระยะเวลา 4 เดือนที่ผ่านมา บริษัทขายตรงสัญชาติไทยอย่าง มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล โดนมรสุมเล่นงาน อย่างหนักหน่วง ทั้งจากปัญหาภายใน ที่ทะเลาะกันเองระหว่างอดีตภรรยา จน กระทั่งทั้ง 2 ฝ่าย ต้องประกาศแยกทางกันเดินอย่างไม่เหลือเยื่อใย แต่ด้วยได้รับเสียง เชียร์จากคนรอบข้าง บวกกับศักดิ์ศรีที่ค้ำคอ ของทั้ง 2 ฝ่าย จึงใส่เกียร์เดินหน้าเปิดศึก ใส่กันอย่างต่อเนื่อง หวังแย่งชิงแบรนด์ มิ้ลค์กี้ เวย์ มาเป็นของตน จนกลายมาเป็น ศึก 2 ก๊กแห่ง มิ้ลค์กี้ เวย์โดยแบ่งออกเป็น มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค (ฝ่ายอดีตภรรยา) และ มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์ฯ (ฝ่ายอดีตสามี)


จากเหตุการณ์ดังกล่าวได้สร้างความมึนงง!!! ปน คำสงสัยว่าของเหล่าบรรดาแม่ทีมและสมาชิกว่า เหตุใดทั้ง 2 จึงต้องมาแย่งชิงแบรนด์กันเอง ทั้งๆ ที่ทะเลาะกันไปก็ไม่ได้ ทำให้อะไรดีขึ้นมา ไม่เพียงเท่านั้น ทั้ง 2 ฝ่าย ยังได้ยื่นฟ้อง- ร้องกรณีการได้รับสิทธิ์แบบเบ็ดเสร็จเด็ดขาดในการจำหน่าย ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารสำหรับผู้ชาย จนกระทั่งศาลมี คำพิจารณาให้ มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค เป็นฝ่ายชนะ และได้รับ สิทธิ์เป็นตัวแทนจำหน่ายผลิตภัณฑ์ดังกล่าวไป ขณะที่ข้างบน กำลังซัดกันนัวเนียอยู่นั้น ข้างล่างระหว่างสมาชิกกับสมาชิก กันเองก็ปล่อยข่าวโจมตีกันอย่างเมามัน บ้างก็ปล่อยข่าวว่า มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์ จะปิดบริษัท บ้างก็ปล่อย มิลค์กี้ เวย์ เน็ตเวิร์ค ไปไม่รอดแล้ว จนไม่แน่ใจว่าข่าวไหนจริง ข่าวไหน ลวง กระทั่งเมื่อกลางเดือนกรกฎาคม 2556 ที่ผ่านมา สุมิตร วชโรดมทรัพย์ พร้อมกับทีมผู้บริหารชุดใหม่ได้ออกมาตั้งโต๊ะ แถลงข่าวเปิดใจเป็นครั้งแรกในรอบหลายเดือน


โดย สุมิตร วชโรดมทรัพย์ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท เบสท์ มีไลฟ์ จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วง 4 เดือน ที่ผ่านมามีกระแสข่าวลบๆ เกี่ยวกับ บริษัท มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ออกมาอย่างต่อเนื่อง แต่หลังจาก ที่บริษัทมีความชัดเจนเกี่ยวกับทีมผู้บริหารชุดใหม่ จึงได้ จัดงานแถลงข่าวเปิดตัวทีมผู้บริหารชุดใหม่อย่างเป็นทางการ พร้อมทั้งได้ทำการรีแบรนตั้งชื่อบริษัทใหม่ จาก มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์เนชั่นแนล มาเป็น บริษัท เบสท์ มีไลฟ์ จำกัด ทั้งนี้ เพื่อป้องกันความสับสนทางธุรกิจ เนื่องจากปัจจุบัน มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์ มีทีมผู้บริหารใหม่ที่ชัดเจน และบริษัทยังคงที่จะ ดำเนินกิจการต่อเนื่อง ไม่ได้มีปัญหาแต่อย่างใด ซึ่งการรีแบรน- ดิ้งใหม่ในครั้งนี้ หลังจากก่อนหน้านี้มีการแอบอ้างชื่อ มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์ แล้ว ทำให้เกิดความเสียหายพอสมควร ทีมผู้บริหาร จึงตัดสินใจ เพื่อป้องกันความเสี่ยง และไม่ต้องการให้เกิดความ สับสนในชื่อ มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์ จึงตัดสินใจเลิกใช้ชื่อนี้อีกต่อไป


ส่วนโครงสร้างทีมงานผู้บริหารชุดใหม่ ตน (สุมิตร) ยัง คงนั่งในตำแหน่งประธานกรรมการบริหารต่อไป โดยจะดูแล ในส่วนของการกำหนดนโยบายการบริหารทั้งหมดของบริษัท นอกจากนี้ยังมีรองประธานกรรมการบริหารอย่าง อาจารย์ภูริ เข้ามาร่วมในการบริหารงานภายใน พร้อมทั้งได้ เอกวรัญญู เข้ามานั่งในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการ, ผู้อำนวยการฝ่ายการ ตลาด ธนภาค ขณะเดียวกันก็ยังมีทีมผู้บริหารชุดใหญ่ที่ได้รับ การตอบรับแล้ว รอเพียงเปิดตัวอย่างเป็นทางการ นอกจากนั้น ในเรื่องของระบบต่างๆ ซึ่งวันนี้ได้ตอบโจทย์ให้กับผู้คน ที่ต้องการจะเข้าสู่ธุรกิจกับ เบสท์ มีไลฟ์ ว่า บริษัทมีความ พร้อมทุกๆ ด้าน โดยเฉพาะการได้รับเกียรติจาก อาจารย์ รัชเขต วีสเพ็ญ แห่งสภาโจ๊กเข้ามาร่วมในการจัดตั้งสโมสร อะคาเดมี่ เบสท์ มีไลฟ์ เพื่อสร้างผู้นำในระบบเครือข่าย เพื่อ ออกไปสู่ตลาด และขยายตลาดออกไป


หลายคนอาจจะสงสัยว่าที่ผ่านมาเกิดเหตุการณ์ อะไรบ้าง แต่วันนี้ผมเชื่อว่าทุกอย่างได้จูน และปรับความ เข้าใจกันหมดแล้ว ก่อนหน้านี้ผมได้ไปขอคำแนะนำจากผู้ที่ ประสบความสำเร็จในธุรกิจท่านหนึ่ง (นายพล คนขอนแก่น) ท่านจึงได้ส่งทีมผู้บริหารที่มีความรู้ความสามารถในการทำ ธุรกิจ ซึ่งทีมผู้บริหารเหล่านี้มีความชัดเจนในการสร้างระบบ อย่างเป็นรูปธรรม ผมเชื่อว่า บริษัท เบสท์ มีไลฟ์ฯ จะเติบโต อย่างต่อเนื่อง เพราะผู้นำที่เราสร้างขึ้นมายังคงอยู่กับเราเกือบ ทั้งหมด และมีการขยายงานอย่างต่อเนื่อง โดยยอดการเติบโต จากเดือนที่แล้วมาจนถึงปัจจุบันเติบโตถึง 200% ดังนั้น เราเชื่อมั่นว่าหลังจากที่ทุกคนเริ่มเห็นความชัดเจนของบริษัท จะทำให้ เบสท์ มีไลฟ์ เติบโตอย่างยิ่งใหญ่แน่นอน


ขณะที่โครงสร้างการถือหุ้นก็มีการเปลี่ยนแปลง เล็กน้อย เนื่องจากทีมผู้บริหารใหม่ที่เข้ามา ผมต้องการที่จะ ผูกมัดในการเป็นเจ้าของธุรกิจ ไม่อยากให้มองแค่มาทำงาน กินเงินเดือน จึงได้แบ่งหุ้นบางส่วนให้กับทีมผู้บริหารชุดใหม่ โดยสัดส่วนการถือหุ้นเกินกว่า 60% ยังคงอยู่ในมือของผม อย่างไรก็ตาม ส่วนที่ก่อนหน้าที่มีกระแสข่าวว่ามีกลุ่มทุน จะเข้ามาเทคโอเวอร์กิจการของ มิ้ลค์กี้ เวย์ อินเตอร์ นั้น ใน ช่วงแรกมีให้ความสนใจอยู่หลายราย แต่ด้วยโครงสร้างที่ใหญ่ และต้องใช้เงินทุนจำนวนมาก เนื่องจากเรามีการลงทุนอย่าง ต่อเนื่อง ทำให้กลุ่มทุนเหล่านั้นยกเลิกแนวคิดการเทคโอเวอร์ กิจการไป


เราได้มีการลงทุนอย่างต่อเนื่อง ล่าสุด เพิ่งจะลงทุน เปิดศูนย์สาขา 2 แห่ง ได้แก่ นราธิวาส และลำพูน ดังนั้น คนที่จะเข้ามาลงทุนด้วยจำเป็นที่จะต้องมีศักยภาพจริงๆ กล่าวคือ ในธุรกิจถือเป็นเรื่องธรรมชาติที่คนที่เป็นนักลงทุน จะต้องมองหาบริษัทที่ดีที่อยากจะมาลงทุนร่วมเราก็ไม่ได้ ปิดกั้น เพียงแต่ว่าหุ้นส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในมือของผม อาจจะมี แบ่งหุ้นบางส่วนให้กับทีมผู้บริหารที่เข้ามาร่วมบริหารด้วย เพื่อจูงใจ และรักบริษัท และเติบโตไปด้วยกัน ซึ่งปัจจุบันเรา มีแบ่งหุ้นออกเป็น 2 กลุ่ม


ส่วนโครงสร้างแผนการจ่ายผลตอบแทนนั้น บริษัท ยังคงใช้รูปแบบเดิมเกือบทั้งหมด แต่ได้ปรับให้ดีขึ้น โดยบริษัท ได้จัดโปรโมชั่นพิเศษในช่วงนี้ โดยได้เพิ่มในส่วนของรายได้ ของทีมอ่อนเป็น 30% ทีมแข็งเป็น 15% และโบนัสสปอน- เซอร์เพิ่ม ซึ่งเชื่อว่าแผนการจ่ายผลตอบแทนเราน่าจะเป็น บริษัทเดียวที่จ่ายสูงที่สุดในขณะนี้ ส่วนในเรื่องของสินค้า บริษัทได้จับมือกับตัวแทนจำหน่ายสินค้าของ นายพล คนขอนแก่น ซึ่งได้รับอนุญาตจากนายพลแล้ว ให้นำสินค้า จำนวน 3 รายการ เข้ามาทำในลักษณะขายตรงได้ ได้แก่ ผลิตภัณฑ์สำหรับผู้หญิงบี ที โอ เมท (B.T.O. Mate), ดีท็อกซ์ ล้างสารพิษ และ เอนไซม์ เจนิฟู้ด โดยล่าสุดมีกลุ่มผู้นำของนายพล ที่ทำธุรกิจในลักษณะซิงเกิ้ล เตรียมจะเข้ามาทำธุรกิจ ในลักษณะขายตรงกับ เบสท์ มีไลฟ์ อีกจำนวนมาก


การที่เราได้รับกระแสตอบรับดีมากมียอดขาย ขณะนี้เกือบ 100 ล้านบาท ต้องถือว่าส่วนหนึ่งเป็นเพราะ ได้รับอานิสงส์จากแบรนด์ของนายพล ที่เข้ามาช่วยเจาะ ตลาดด้วย และสินค้าที่เรานำเข้ามาช่วยเติมเต็มในส่วนที่ เรายังขาด ซึ่งหลังจากนี้เราก็เตรียมนำสินค้าใหม่ๆ เข้ามา เพิ่มมากขึ้น และสินค้าที่แต่ละรายการเป็นผลงานระดับ งานวิจัยทั้งนั้น นอกจากนั้นเรายังได้นำระบบการทำธุรกิจ แบบออฟไลน์ บนออนไลน์ ซึ่งถือเป็นบริษัทขายตรง รายแรก และรายเดียวเท่านั้นที่นำระบบนี้มาใช้ โดยเราได้ ซื้อลิขสิทธิ์จากคุณติ๊ก ชีโร่ มาเป็นของเราเองทั้งหมด จะ ทำให้สมาชิกที่เก่งและไม่เก่งในธุรกิจขายตรงก็สามารถ ประสบความสำเร็จได้ โดยเราคาดว่าในช่วง 6 เดือนที่เหลือ น่าจะจบยอดขายไม่ต่ำกว่า 300 ล้านบาท ส่วนปี 2557 คงต้องมาคุยกันที่ระดับ 1,000 ล้านบาท


 


 


 


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 228 ประจำวันที่ 1-15 สิงหาคม 2556


 

1 ความคิดเห็น:

  1. หึหึ มิลค์กี้เวย์ อินเตอร์ และ มิลค์กี้เวย์ เน็ตเวิร์ค เปลียนชื่อใหม่ทั้งคู่ บริษํท ชื่อ มิลค์กี้เวย์ คงเป็นอดีตไปซะแล้ว

    ตอบลบ