ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันเสาร์ที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2555

ปรับ ครม.ขายตรงหน่าย พ.ร.บ. ฉบับใหม่รอต่อไป



การเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นได้ตลอดเวลา ล่าสุด จากที่มีการเปลี่ยนคณะรัฐมนตรี รวมทั้งเปลี่ยนผู้ที่มีอำนาจสูงสุดในส่วนดูแลวงการขายตรง ทำให้ผู้บริหารหลายท่านเกิดความวิตกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ จะทำให้ การเติบโตของธุรกิจเครือข่ายถูกชะงักหรือไม่ อย่างไร

ซึ่งจากที่ทราบกันดีอยู่แล้วว่า ขณะนี้ วงการขายตรงกำลังเฝ้ารอ พ.ร.บ. ขายตรงและตลาดแบบตรงฉบับใหม่ เพื่อที่จะปรับเปลี่ยนแผน การตลาดให้อยู่ในกฎเกณฑ์ที่กำลังจะออก เพื่อที่จะมุ่งไปที่การทำงานรอรับการเปิดประชาคมการค้าเสรีอาเซียนในปี 58 แต่เหมือนกับว่า สิ่ง ที่เฝ้ารอต้องสะดุด เนื่องจากรัฐมนตรีที่ดูแลมีการปรับเปลี่ยน ซึ่งผู้บริหารหลายฝ่ายเกรงว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ จะทำให้ธุรกิจขายตรงต้องเดิน ไปข้างหน้าแบบพะวงข้างหลัง ไม่ทราบว่า เมื่อไหร่กฎหมายใหม่จะออก และเมื่อกฎใหม่ถูกบังคับใช้ บริษัทแต่ละแห่งต้องปรับอะไรบ้าง ซึ่งจะทำให้เกิดการทำงานที่ไม่เป็นไปตามความคาดหวัง

>> ‘อีซี่ ฟาร์แมกซ์’ วอนรัฐกระตุ้นภาพลักษณ์

นายศุภชาติ อังคสุวรรณศิริ ผู้จัดการทั่วไป บริษัท อีซี่ ฟาร์แม็กซ์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศ ไทย) จำกัด กล่าวกับ “สยามธุรกิจ” ว่า ผลกระทบในแง่หนึ่งเมื่อมีการเปลี่ยนตัวคณะรัฐมนตรี คงจะเป็นเรื่องความต่อเนื่องของการจัดร่าง พ.ร.บ.การขายตรงใหม่ที่อาจทำให้เกิดความล่าช้าไป แต่อย่างไรก็ดี การ เปลี่ยนแปลงต่างๆ ตนมองว่าก็ยังคง ขึ้นอยู่กับความจริงใจของคณะรัฐบาล ชุดนี้ ว่ามีความจริงใจในการดำเนิน งานในธุรกิจขายตรงเพียงใด

“ดังนั้น ภาพรวมในขณะนี้ตนมองว่าการเปลี่ยน ครม.ชุดใหม่ยังไม่ มีผลกระทบใดๆ ต่อการดำเนินงานในธุรกิจเครือข่ายมากนัก เพราะผู้ที่จะมาทำหน้าที่ดูแลในส่วนพ.ร.บ. ขายตรงยังไม่มีนโยบายใดๆ ออกมา ซึ่งส่วนนี้เราผู้เกี่ยวข้องทุกคนจึงยังคงต้องช่วยกันจับตามองต่อไป”

อย่างไรก็ตาม ตนอยากฝากให้ครม. ชุดใหม่ที่เข้ามา พยายามเร่งพัฒนาวิชา ชีพขายตรงให้เป็นที่ยอมรับของผู้คนใน วงกว้าง เพราะตนคิดว่าธุรกิจเครือข่ายเป็น อีกอาชีพหนึ่งที่ส่งเสริมรายได้ให้ผู้คนในหลายระดับ แต่ปัจจุบันต้องยอมรับว่าธุรกิจ นี้ยังคงเป็นสีเทาอยู่ เช่น ผู้ที่ไม่เข้าใจงาน เครือข่ายอย่างแท้จริง แล้วไปบิดเบือนเจตนา ทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจติดลบ ก่อให้เกิดความเสียหาย ดังนั้นหากรัฐบาลใช้การบังคับ กฎหมายให้ทุกอย่างมีความชัดเจน ให้ทุกคนปฏิบัติตามกติกา หรืออยู่ในกรอบของกฎหมายที่กำหนดไว้ ก็จะทำให้ภาพลักษณ์ของธุรกิจนี้สูงขึ้น ทำให้ประชาชนทั่วไปเกิดความเชื่อมั่นที่จะเข้ามาร่วมงานกับเรา

>> “ดีเน็ทเวิร์ค” เร่งพ.ร.บ. ชูธุรกิจ

ด้านนายสาคร ใสกมล ประธาน ผู้ก่อตั้ง บริษัท ดี เน็ทเวิร์ค เวิลด์ไวด์ จำกัด เปิดเผยว่า ในประเด็นที่รัฐบาลปรับเปลี่ยนโผ ครม.ชุดใหม่ ซึ่งทำให้รัฐมนตรีที่ เกี่ยวข้องกับการดำเนินงานด้านธุรกิจเครือ ข่ายต้องมีการเปลี่ยนแปลงไปด้วย ตนมอง ว่า ผลกระทบของการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ย่อมเกิดขึ้นอยู่แล้ว แต่จะส่งผลกระทบไป ในรูปแบบใดนั้น ต้องขึ้นอยู่กับตัวบุคลากร ที่เข้ามาทำหน้าที่บริหาร คือ หากบุคลากร คนใหม่ที่เข้ามาให้ความใส่ใจในธุรกิจขายตรงมากขึ้น ก็ย่อมทำให้ธุรกิจขายตรงก้าว เข้าสู่ยุคที่ 4 หรือยุคซึ่งแยกธุรกิจสีขาวและ ดำได้อย่างชัดเจนเร็วขึ้นเท่านั้น

เนื่องจากในมุมมองของตน คิดว่าธุรกิจนี้สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ยุคหลักๆ ยุคแรก คือ ยุคผูกขาด ถือเป็นช่วงเริ่มแรก ของวงการเครือข่ายไทย ซึ่งจะมีไม่กี่บริษัท ยุคที่ 2 คือ ยุคของการแข่งขัน ที่มีนายทุน ต่างๆ เข้ามามีส่วนร่วม จนก่อให้เกิดความ เสียหายมากมาย ยุคที่ 3 คือยุคปัจจุบัน ที่ถือเป็นยุคของมืออาชีพ ซึ่งผู้ทำธุรกิจเครือ ข่ายทุกคนต้องมีความเป็นมืออาชีพ ธุรกิจ จึงจะเติบโต และอยู่รอดได้ และยุคที่ 4 เป็น ยุคที่สามารถแยกธุรกิจสีขาวและดำได้ชัดเจน คือ ประชาชนทั่วไปสามารถแยกแยะ ด้วยตนเองได้ว่าธุรกิจเครือข่ายค่ายนี้ดำเนินตามกรอบของกฎหมาย เป็นธุรกิจที่เชื่อถือได้จริงหรือไม่

ทั้งนี ในกรณีที่ครม.ชุดเก่ากำลังดำเนินการจัดทำพ.ร.บ.ขายตรงใหม่อยู่นั้น เมื่อมีการเปลี่ยนครม.ใหม่ ก็อาจจะมีผลให้ เกิดความล่าช้าบ้าง เนื่องจากเมื่อมีคนใหม่ ก็ต้องเข้ามานั่งศึกษาใหม่ เรียนรู้ใหม่ หรือ จัดตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ในการพิจารณา ดังนั้นตนจึงอยากจะให้ครม.ชุดใหม่นี้ เร่งออกกฎหมายขายตรงให้เร็วที่สุด เพราะว่าขายตรงในยุคที่ผ่านมาทำให้เกิดความเสียหายต่อภาพลักษณ์ในธุรกิจนี้มาก

>> “แซน สยาม” หวั่นเปลี่ยนครม.บ่อยขายตรงโตช้า.

นายปธิกร โยทองยศรองกรรมการ ผู้จัดการ บริษัท แซนสยาม อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด กล่าวกับ “สยามธุรกิจ” ถึงประเด็นดังกล่าวว่า “ตนมองว่าในปัจจุบัน ประชาชนทั่วไปเริ่มที่จะเข้าใจในระบบเครือข่ายมากขึ้น ฉะนั้น แม้ว่ารัฐบาลจะมี การเปลี่ยนแปลงตัวบุคคลก็ไม่น่าจะมีผลเสีย และไม่น่าจะส่งผลให้ธุรกิจเครือข่ายดีขึ้นกว่าเดิม เพราะตนมั่นใจว่าธุรกิจนี้จะ ดีขึ้นก็ด้วยตัวของธุรกิจเอง ด้วยโอกาสที่บริษัทขายตรงต่างๆ จะรีบเข้าไปดำเนินการดึงประชาชนที่เดือดร้อน จากการเปลี่ยนแปลงทางด้านเศรษฐกิจ เช่น ค่าครองชีพที่สูงขึ้นมากกว่า” นายปธิกร กล่าว

นอกจากนี้ แม้ครม.ชุดเก่ากำลังดำเนินการจัดทำพ.ร.บ.ขายตรงใหม่อยู่นั้น ตนก็ยังมองว่าการเปลี่ยนแปลงครม.ใหม่ก็ไม่น่าจะทำให้การดำเนินธุรกิจขายตรงมี ปัญหา เพราะแม้ตัวบทกฎหมายจะมีความ สำคัญ แต่เราก็ต้องหันกลับมามองด้วยว่า พ.ร.บ.ใหม่จะออกมาในรูปแบบไหน ถ้า พ.ร.บ.ที่ออกมาใหม่เป็นไปในทางบวก หรือ ช่วยส่งเสริม รักษาสิทธิให้กับผู้ที่เกี่ยวข้อง ในธุรกิจเครือข่าย ก็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดีไป แต่หากจัดทำพ.ร.บ.ใหม่แล้วยังไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลง ตนคิดว่าก็มีค่าเท่ากัน

ทั้งนี้ ตนก็อยากจะฝากถึงรัฐบาลต่อ การปรับเปลี่ยนครม.ชุดใหม่ว่า อยากให้มีรัฐมนตรีที่เข้าใจในธุรกิจเครือข่ายเข้าดูแลเพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจนี้ได้พัฒนาไป ในทิศทางที่ดีขึ้น เป็นที่พึ่งของประชาชนมากขึ้น คือ รัฐบาลควรสรรหารัฐมนตรีที่เข้าใจในระบบเครือข่ายเข้ามาดูแล เพราะ รัฐมนตรีถือเป็นบุคคลสำคัญที่มีหน้าที่ในการดูแล ควบคุม ตรวจสอบธุรกิจเครือข่าย โดยภาพรวม ดังนั้น หากได้คนที่เข้าใจในธุรกิจนี้มาบริหารงาน ก็จะทำให้ขายตรงไทยสามารถพัฒนาก้าวสู่ความเป็นสากล เป็นที่ยอมรับของประชาชนในประเทศ และต่างประเทศ และประการสำคัญคือจะ ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจของประเทศชาติ เนื่องจากจะเห็นได้ว่าประเทศที่พัฒนาแล้ว หลายๆ ประเทศ ธุรกิจเครือข่ายก็เป็นอีก ธุรกิจหนึ่งที่ช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจในประเทศชาติของเขาได้

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น