ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"มิสทิน (MISTINE)" พลิกโฉมเลิกผูกติดขายตรง แตกธุรกิจใหม่ "รับจัดจำหน่ายสินค้า" เต็มรูปแบบ


 


"มิสทิน" ปรับตัวครั้งใหญ่ ขยายธุรกิจสู่ "เน็ตเวิร์กคอมปะนี" ทุ่ม 1.6 พันล้าน ผุดศูนย์กระจายสินค้า รับขนส่ง-กระจายสินค้า ประกาศปั้นเป็นโปรฟิตเซ็นเตอร์ ทุ่มแจกแท็บเลต ช่วยสาวมิสทิน "รับสมัคร-ขายสินค้า" ง่ายขึ้น เร็วขึ้น พร้อมขนสินค้าใหม่บุกรับตลาดโต เผยเล็งเปิด "มิสทินแชนเนล" รับกระแสความแรงเคเบิลทีวี


กล่าวได้ว่า "เบทเตอร์เวย์" หรือ "มิสทิน" เป็นธุรกิจขายตรงชั้นเดียวเพียงรายเดียวที่มีอยู่ในตลาดในเวลานี้ และหลายปีที่ผ่านมา ขายตรงค่ายนี้ได้ปรับตัวเข้าสู่ธุรกิจรีเทลอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งอี-มาร์เก็ตติ้ง จึงทำให้ภาพของความเป็นมัลติแชนเนลชัดเจนขึ้น จากเดิมที่มีภาพลักษณ์เป็นบริษัทขายเครื่องสำอางในระบบขายตรง 


จากนี้ไปทิศทางการขยายธุรกิจของมิสทินยิ่งน่าจับตามากขึ้น เมื่อได้เริ่มแตกไลน์ธุรกิจจาก "คอสเมติกส์คอมปะนี" ไปสู่ "เนตเวิร์กคอมปะนี" ด้วยการจับมือกับพันธมิตร เพื่อเพิ่มความหลากหลายให้กับสินค้า หลังจากได้เริ่มนำร่องความร่วมมือกับเลอซาช่า ผลิตเครื่องหนีบผมรุ่นพิเศษเฉพาะให้กับแค็ตตาล็อกฟรายเดย์เมื่อปีที่ผ่านมา และเร็ว ๆ นี้ยังได้ร่วมกับคลินิกความงาม "วุฒิ-ศักดิ์" พัฒนาโลชั่นสูตรใหม่


ขยับตัวสู่ "เนตเวิร์กคอมปะนี"


นายดนัย ดีโรจนวงศ์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศไทย) จำกัด เปิดเผย "ประชาชาติธุรกิจ" ว่า มิสทินเป็นบริษัทเดียวที่อยู่ในธุรกิจขายตรงระบบชั้นเดียว ถือเป็นความท้าทายทางธุรกิจ ประกอบกับการแข่งขันที่สูงขึ้น จากคู่แข่งที่ไม่ได้มีเฉพาะขายตรง แต่มีทั้งคอนซูเมอร์โปรดักต์และธุรกิจค้าปลีก ทำให้บริษัทไม่สามารถหยุดนิ่งได้ โดยตลอด 5 ปีที่ผ่านมาก็ได้ปรับรูปแบบและพัฒนาวิธีการขาย รวมทั้งระบบบริหารจัดการสมาชิก และการจัดส่งอย่างต่อเนื่อง เพื่อช่วยให้สาวมิสทินมีระยะเวลาการขายยาวขึ้นและง่ายขึ้น และแข่งขันในตลาดได้


โดยได้ลงทุนในระบบต่าง ๆ เพื่อรองรับทิศทางในอนาคตที่จะพัฒนาไปเป็นธุรกิจให้บริการ (business provider) และบริษัทได้ปรับไปสู่การเป็นเนตเวิร์กคอมปะนีมากขึ้น จากเดิมที่เป็นคอสเมติกส์คอมปะนี ซึ่งปัจจุบันไม่ได้จำหน่ายเฉพาะสินค้าความงามอย่างเดียว แต่ยังจำหน่ายสินค้าที่มีความหลากหลาย และมีพันธมิตรทุกประเภท ที่ไม่ขัดกับธุรกิจหลักของบริษัท 


นายดนัยกล่าวว่า ปีที่ผ่านมาได้จดทะเบียนตั้งบริษัทใหม่ ภายใต้ชื่อ บริษัท ศูนย์กระจายสินค้าเบทเตอร์เวย์ จำกัด เพื่อให้บริการขนส่งและกระจายสินค้าทุกชนิด ซึ่งขณะนี้ได้เริ่มทดลองจัดส่งสินค้าให้กับธุรกิจอื่น ๆ อาทิ สินค้าโอท็อป และเอสเอ็มอี รวมทั้งได้เพิ่มพันธมิตรทางธุรกิจ ทั้งในแง่ของการร่วมพัฒนาสินค้า และนำสินค้าเข้ามาจำหน่ายผ่านแค็ตตาล็อกเซล และได้ลงทุนอีก 1,600 ล้านบาท ในการก่อสร้างศูนย์กระจายสินค้าแห่งใหม่ ที่ลาดหลุมแก้ว ปทุมธานี บนพื้นที่ 70 ไร่ มีพื้นที่ให้บริการลูกค้า 40,000 ตร.ม. พร้อมพัฒนาระบบซอฟต์แวร์ในการสั่งสินค้าให้ทันสมัย คาดว่าจะเปิดใช้ปลายปี 2556 


"ไม่เกิน 5 ปีจะเห็นเต็มรูปแบบ ช่วง 1-2 ปีแรกขอโฟกัสให้ระบบลงตัวก่อน และรองรับธุรกิจหลักของเราก่อน พออยู่ตัว เฟสต่อไปก็จะเป็น business provider ให้กับธุรกิจ และสามารถมองว่าเป็นโปรฟิตเซ็นเตอร์ในอนาคตได้"


งัด "แท็บเลต" เพิ่มยอด 


นายดนัยกล่าวต่อไปว่า ขณะเดียวกันก็จะมุ่งพัฒนาเทคโนโลยีสั่งซื้อสินค้าและรับสมัครสมาชิก โดยเฟสแรก เมื่อต้นเดือนเมษายนที่ผ่านมาได้แจกแท็บเลตให้กับผู้จัดการเขตทั่วประเทศที่มีอยู่ 970 ราย เพื่อนำมาช่วยสนับสนุนให้การสมัครสมาชิก การสั่งซื้อสินค้าให้สะดวกและรวดเร็วขึ้นภายใน 5 นาที จากเดิมใช้เวลานาน 4-7 วัน พร้อมทั้งระบบพิกัดแผนที่ (จีพีเอส) 


ที่ทำให้การจัดส่งสินค้าไปยังลูกค้าได้แม่นยำมากขึ้น และยังได้พัฒนาระบบการชำระค่าสินค้าผ่านระบบออนไลน์ และระบบโลจิสติกส์ให้การสั่งซื้อสินค้าให้ได้รับเร็วขึ้นเป็น 4 วัน จากเดิม 7 วัน และอีก 2 ปีข้างหน้าจะพัฒนาให้เหลือ 3 วัน


ส่วนเฟส 2 จะพัฒนาให้เป็นรูปแบบของอิเล็กทรอนิกส์แค็ตตาล็อก สามารถสั่งซื้อสินค้าผ่านแท็บเลตและสมาร์ทโฟนได้ จะเริ่มใช้ปลายปีนี้ ตรงนี้นอกจากจะช่วยให้การสั่งสินค้าง่ายขึ้นแล้ว ยังจะช่วยลดต้นทุนอีกทางหนึ่ง


"ปีนี้เราตั้งเป้ายอดขายไว้ที่ 12,000 ล้านบาท หลัก ๆ มาจากแนวทางที่วางไว้ดังกล่าว และการเร่งเพิ่มรายการสินค้าใหม่อีก 7% จากปัจจุบันที่มีอยู่มากกว่า 1,000 เอสเคยู เพื่อรองรับกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่รับเร็วเบื่อเร็ว หลัก ๆ จะโฟกัสที่กลุ่มเมกอัพ ตามด้วยเพอร์ซันนอลแคร์ สกินแคร์ และน้ำหอม รวมทั้งการโฆษณาประชาสัมพันธ์ ที่มีดาราดังเป็นพรีเซ็นเตอร์ เพื่อสร้างความจดจำ และสร้างความคึกคักให้ตลาด


เล็งเปิด "มิสทินแชนเนล"


นอกจากนี้ บริษัทยังมีแนวคิดให้บริการด้านการสื่อสารกับพันธมิตร (communication provider) ในรูปแบบของนำเสนอสินค้าผ่านแอปพลิเคชั่นต่าง ๆ และในอนาคต ถ้าเคเบิลได้รับความนิยมถึงจุดหนึ่ง อาจจะมีช่องเคเบิลของบริษัทเอง อนาคตอาจจะมี "มิสทินแชนเนล" เพื่อให้ข้อมูลสมาชิก และวันนี้มิสทินจับมือกับพีเอสไอ เคเบิลรายใหญ่อยู่แล้ว 


ปัจจุบัน ผู้ประกอบการ หรือเจ้าของสินค้า นอกจากจะให้ความสำคัญกับสื่อออนไลน์แล้ว ก็ยังมองไปที่เคเบิลทีวี หรือทีวีดาวเทียมมากขึ้น และบริษัทก็มีแผนจะใช้สื่อดังกล่าวเป็นช่องทางในการสื่อสารกับสมาชิก ทั้งในแง่ของสินค้าใหม่ โฆษณาใหม่ รวมถึงการสาธิตการใช้สินค้า วิธีการเก็บรักษา การแต่งหน้า 


เปิดเกมรุกรับ "เออีซี" 


สำหรับตลาดต่างประเทศ นายดนัยกล่าวว่า ปัจจุบัน ในแง่รายได้ยังมีสัดส่วนไม่ถึง 10% ของยอดขายรวม หรือมีรายได้ปีละ 700-800 ล้านบาท แต่มีการเติบโตเฉลี่ย 30-40% ต่อปี และการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน หรือเออีซี ถือเป็นโอกาสดี ที่จะนำสินค้าเข้าไปจำหน่ายในประเทศสมาชิก ทั้งในรูปแบบของรีเทล ค้าส่ง จำหน่ายผ่านตัวแทน และขายตรง ขึ้นอยู่กับสภาพตลาด การแข่งขัน และมีแผนตั้งโรงงานผลิตสินค้าที่พม่า โดยการเตรียมตัวเข้าสู่เออีซี อยู่ภายใต้ 2 ยุทธศาสตร์หลัก ในแง่ของพันธมิตรที่จะเป็นผู้ผลิตและทำการตลาด ขณะนี้ได้เจรจากับนักธุรกิจในประเทศต่าง ๆ อาทิ อินโดนีเซีย เวียดนาม กัมพูชา ลาว คาดว่าอีก 2 ปีจะเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้น


"เราจะเน้นไปทางพม่ามากกว่า ด้วยยุทธศาสตร์ประชากรและการเติบโต การแข่งขันที่ยังน้อย ซึ่งมิสทินเข้าไปในพม่ามา 7-8 ปีแล้ว ฐานค่อนข้างแน่น 


ขณะที่กัมพูชา ด้วยประเทศที่เล็กกว่า และกำลังซื้อไม่สูง แม้ว่าวันนี้จะดีกว่า แต่ด้วยชายแดนที่ติดกัน ทำให้วันนี้สินค้าไทยวิ่งเข้าไปเยอะมาก จึงไม่เหมาะที่จะเข้าไปเปิด เพราะต้นทุนจะสูงกว่าการนำเข้า 


ส่วนลาว เป็นประเทศที่เล็กมาก โลจิสติกส์ค่อนข้างลำบาก เพราะไม่มีทะเล เรามองทางเวียดนามมากกว่า แต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง ทำให้เราตัดสินใจในเรื่องของการผลิตไม่เท่าไร แต่เรื่องการตลาดเข้าไปแล้ว ทั้งลาว เวียดนาม กัมพูชา"


 ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. ประชาชาติธุรกิจ 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น