ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันศุกร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ขุดข้อมูลพาณิชย์ใครจริง ใครโม้ เผยสถิติยอดขาย 5 อันดับสูงสุดของธุรกิจขายตรงในรอบ 3 ปี ระหว่างปี 2552-2554 จากกรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์









ยักษ์ใหญ่ แอมเวย์ ครองแชมป์ เบอร์ 1 ตลอดกาล ขณะที่ กิฟฟารีน รั้งอันดับ 2 เชิดหน้าชูตาขายตรงพันธุ์ไทย ลบคำครหาโดนแซง ด้าน นู สกิน ไต่ขึ้นมาติดท็อปไฟว์ครั้งแรกในปี 2554 แหล่งข้าวชี้หลายบริษัทเคลมตัวเลขเกินจริง หวังเลี่ยงภาษี


ภาพรวมอุตสาหกรรมขายตรงในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังคงเติบโตอย่างต่อเนื่อง โดยมีอัตราการเติบโตเฉลี่-ย 6-10% ต่อปี ซึ่งปัจจุบันแม้จะยังไม่มีหน่วยงานใดเก็บข้อมูลหรือตัวเลขเพื่อทำสถิติตลาดรวมขายตรง แต่สมาคมอุตสาหรรมขายตรงไทย (TDSA) ได้ร่วมมือกับบริษัทวิจัยชื่อดังในการเก็บข้อมูลตัวเลข 2 ปีต่อ 1 ครั้ง เพื่อหาตัวเลขตลาดรวม โดยในปี 2552 ที่ผ่านมาตลาดรวมธุรกิจขายตรงมีมูลค่า 52,900 ล้านบาท เติบโตจากปี 2551 อยู่ที่ 14.6% จนมาถึงปัจจุบันที่ยังไม่มีการเก็บข้อมูลตัวเลขดังกล่าว แต่มีการคาดการณ์กันว่าตลาดรวมขายตรงน่าจะมีมูลค่าเกือบ 100,000 ล้านบาท


เผยตัวเลขท็อปไฟว์


จากข้อมูลดังกล่าวถือเป็นดัชนีวัดได้ว่าอุตสาหกรรมขายตรงปัจจุบันยังคงเป็นธุรกิจที่สร้างรายได้ให้กับประเทศไทยอย่างมหาศาล ซึ่งปัจจัยที่ช่วยหนุนตลาดให้เติบโต มาจากการที่ธุรกิจขายตรงมีภาพลักษณ์ที่ดีมากขึ้นในสายตาของผู้บริโภค การแข่งขันเพื่อสร้างแบรนด์ การโฆษณาประชาสัมพันธ์ต่างๆ การให้ความรู้เกี่ยวกับธุรกิจขายตรงให้กับผู้บริโภคในวงกว้าง ตลอดจนการออกสินค้าใหม่ที่อิงเทรนด์สุขภาพ ซึ่งอัตราการเติบโตดังกล่าวถูกนำเสนอในรูปแบบของการเก็บสถิติ การจัดอันดับ 1 ใน 5 ของธุรกิจขายตรงที่มียอดขายสูงสุด ล่าสุดนสพ. เดอะพาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ได้เก็บสถิติรวบรวมตัวเลขบริษัทขายตรงที่สร้างยอดขายได้สูงสุด 5 อันดับแรก ตั้งแต่ปี 2552 จนถึงปี 2554 กรมพัฒนาธุรกิจการค้ากระทรวงพาณิชย์ ได้ว่า บริษัทที่ยังครองยอดขายเป็นอันดับ 1 ตลอดกาลยังคงเป็นเจ้าตลาดอย่างบริษัท แอมเวย์ (ประเทศไทย) จำกัด ส่วนอันดับสองเป็นของบริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิซิตี้ จำกัด ซึ่งที่ผ่านมาเป็นประเด็นถกเถียงกันมาโดยตลอดว่าอันดับที่ 2 เป็นของผู้ประกอบการรายใด ระหว่างกิฟฟารีน แบรนด์สินค้าคนไทย กับบริษัท ซูเลียน(ประเทศไทย) จำกัด ยักษ์ใหญ่จากประเทศมาเลเซีย ซึ่งจากข้อมูลของกรมพัฒนาธุรกิจการค้าระบุชัดเจนว่า ซูเลียน มียอดขายอยู่ในอันดับสาม แค่ในปี 2552 และปี 2554 เท่านั้น เพราะในปี 2553 อันดับยอดขายสูงสุดอันดับ 3 ตกเป็นของ บริษัท เอมสตาร์ เน็ทเวิร์ค จำกัด


สำหรับสถิติยอดขายในรอบ 3 ปี (2552-2554) พบว่า ในปี 2554 ที่ผ่านมาบริษัทที่ทำยอดขายได้เป็นอันดับ 1 คือ แอมเวย์ มียอดขายรวม 14,644 ล้านบาท ตามด้วยกิฟฟารีน ที่มียอดขาย 5,146 ล้านบาท อันดับ 3 ซูเลียน มียอดขาย 4,980 ล้านบาท อันดับ 4 เอมสตาร์ มียอดขาย 3,933 ล้านบาท และอันดับ 5 เป็นของบริษัท นู สกิน เอ็นเตอร์ไพร์ส จำกัด ที่มียอดขาย 1,954 ล้านบาท


ทั้งนี้ จากสถิติยอดขายในปี 2553 นั้น อันดับ 1 คือ แอมเวย์ มียอดขาย 13,590 ล้านบาท อันดับ 2 กิฟฟารีน มียอดขาย 4,609 ล้านบาท อันดับ 3 เอมสตาร์ มียอดขาย 4,585 ล้านบาท อันดับ 4 ซูเลียน มียอดขาย 4,184 ล้านบาท และอันดับ 5 บริษัท คังเซน-เคนโกฯ มียอดขาย 2,204 ล้านบาท ขณะที่ปี 2552 อันดับ 1 แอมเวย์ มียอดขาย 12,609 ล้านบาท อันดับ 2 กิฟฟารีน มียอดขาย 4,355 ล้านบาท อันดับ 3 ซูเลียน มียอดขาย 3,309 ล้านบาท อันดับ 4 คังเซน-เคนโก มียอดขาย 2,377 ล้านบาท และอันดับ 5 เอมสตาร์ มียอดขาย 1,805 ล้านบาท


ยักษ์ใหญ่เร่งสร้างแบรนด์


การขึ้นท็อปไฟว์ของ นู สกิน ในปี 2554 นั้น ถือเป็นครั้งแรกของนูสกินที่ขึ้นอันดับท็อปไฟว์ หลังจาก นู สกิน ได้เข้ามาดำเนินธุรกิจตั้งแต่ปี 2540 จนถึงปัจจุบันเป็นเวลา 16 ปี โดยปัจจัยที่ทำให้ นู สกิน มียอดขายที่เติบโตนั้นมาจากการรุกตลาดเพื่อสร้างแบรนด์อย่างจริงจัง และการสร้างโพซิชั่นของแบรนด์ที่เป็นสินค้าต่อต้านความเสื่อมชราอย่างชัดเจน และมีการตอกย้ำตำแหน่งสินค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนโยบายดังกล่าว นูสกินได้ผลักดันทั่วโลก ที่ให้ความสำคัญกับสินค้าต่อต้านความเสื่อมชรา เพราะเทรนด์หรือแนวโน้มตลาดของสินค้าในกลุ่มเอนไทน์เอจจิ้งมีการเติบโตเป็นอย่างมาก


ส่วนพี่ใหญ่ในวงการขายตรงอย่างแอมเวย์ ที่สามารถรักษายอดขายได้ติดอันดับ 1 มาโดยตลอด นอกเหนือจากการสร้างธุรกิจในประเทศไทยมาอย่างยาวนานแล้ว ยังเป็นผลมาจากแอมเวย์ได้สร้างแบรนด์ และรุกตลาดอย่างต่อเนื่อง ครบวงจรทุกด้าน ทั้งสมาชิกกลุ่มผู้บริโภคและการสื่อสารแบรนด์ผ่านสื่อต่างๆ รวมทั้งมีการสร้างตำแหน่งสินค้าที่ชัดเจนเพื่อเจาะกลุ่มผู้บริโภค อาทิ แบรนด์นิวทริไลท์ ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาร์ทิสทรี ในกลุ่มสินค้าความงาม ทั้งกลุ่มสกินแคร์ และสีสัน อีกทั้งแอมเวย์ยังมี รอยัลตี้ แบรนด์กับผู้บริโภคที่สูงไม่น้อย


ส่วนกิฟฟารีนแม้จะเป็นสินค้าแบรนด์ไทย ยังสามารถสร้างยอดขายได้เป็นอันดับสองตลอดระยะเวลา 3 ปี(2552-2554) ซึ่งเป็นผลมาจากกิฟฟารีนได้สร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก และหากถามกลับไปว่า ปัจจุบันผู้บริโภครู้จักแบรนด์กิฟฟารีนมากน้อยเพียงใด เรื่องนี้ น.ต.พญ.นลินี ไพบูลย์ ประธานกรรมการ ของ กิฟฟารีน เผยว่าจากการสำรวจล่าสุดพบว่าผู้บริโภคมากถึง 99% รู้จักแบรนด์กิฟฟารีน ไม่เพียงแค่รู้จักแบรนด์เท่านั้น แต่ยังรู้จัก น.ต.พญ.นลินี ด้วยว่าเป็นเจ้าของธุรกิจกิฟฟารีน


ขณะที่กิฟฟารีนเองได้สร้างความมั่นใจในธุรกิจให้กับสมาชิกและผู้บริโภคด้วยการตั้งโรงงานผลิตสินค้าในกลุ่มเสริมอาหาร ที่มีการลงทุนมากกว่า 700 ล้านบาท รวมทั้งสินค้าของกิฟฟารีน ก็มีความหลากหลาย ที่สำคัญราคาสินค้าเป็นราคาที่ผู้บริโภคจับต้องได้ มีการซื้อซ้ำ อีกทั้งคุณภาพสินค้าดี ส่งผลให้กิฟฟารีนมีสมาชิกผู้บริโภคสูงถึง 6,000,000 คน และมีนักธุรกิจอิสระมากกว่า 500,000 คน ประกอบกับที่ผ่านมากิฟฟารีนมีการสร้างแบรนด์ผ่านสื่ออย่างชัดเจน


ซัดบางรายมั่วตัวเลข


อย่างไรก็ตามในช่วงที่ผ่านมามีบริษัทขายตรงชื่อดังหลายบริษัทได้โฆษณาประชาสัมพันธ์ผ่านสื่อต่างๆ ว่ามียอดขายหลายพันบาท แต่จากการแจ้งรายได้ไปยังกรมพัฒนาธุรกิจการค้า พบว่าหลายบริษัทมียอดขายไม่ถึง 1,000 ล้านบาท บางบริษัทแถลงต่อหน้าสื่อว่ามียอดขายสูงถึง 5,000 ล้านบาท แต่กลับแจ้งกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าว่ามียอดขายเพียง 800 ล้านบาทเท่านั้น


สำหรับประเด็นดังกล่าว แหล่งข่าวจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า กระทรวงพาณิชย์เปิดเผยว่า การกระทำดังกล่าวสามารถตีความได้หลายอย่างที่บริษัทขายตรงเหล่านั้นไม่แจ้งยอดขายตรงกับความเป็นจริง ซึ่งเป็นไปได้ว่า บริษัทเหล่านั้นอาจหลีกเลี่ยงภาษี หรือต้องการสร้างขวัญกำลังใจและกระตุ้นให้สมาชิก และแม่ทีมมีความตื่นเต้น เป็นการปลุกพลังในการแสวงหาสมาชิกอย่างไรก็ตาม ประเด็นดังกล่าวทางหน่วยงานภาครัฐควรจะมีการตรวจสอบที่เข้มข้นถึงตัวเลขยอดขายทีแท้จริงของแต่ละบริษัท เพื่อสร้างความถูกต้องในธุรกิจอีกทางหนึ่งด้วย




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพเดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 216 ประจำวันที่ 1-15 กุมภาพันธ์ 2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น