ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันเสาร์ที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2556

ผ่าแผนเครือข่ายยุคไฮเทค T2R พ่อมดขายตรงตัวจริง









การเปิด ตัวของ ท็อปอัพทูริช หรือ T2R บริษัทขายตรงพันธุ์ใหม่ ที่ประกาศตัวชัดเจนว่า เป็นเครือข่ายระบบเติมเงินโทรศัพท์มือถือที่ทัน สมัยที่สุด แต่ปัญหาที่หลายคนตั้งคำถามก็คือว่า เหตุและที่มาของ รายได้ของกิจการแห่งนี้คืออะไร หน้าฉากประกาศชัด คือบริการเติม เงินมือถือ แต่หลังฉากกับพยายามเน้นการสร้างรายได้จากการขาย แฟรนไชน์ เน้นการหารายได้จากสมาชิกมากกว่าการขายสินค้า เห็น ทีงานนี้ต้องถามใจสคบ.ว่าคิดอย่างไร


สร้างฝัน สู่วันร่ำารวย ดูรูปแบบการขายสไตล์ T2R


วันนี้ ไม่ว่าคุณจะใช้มือ ถือเครือข่ายไหน ระบบไหน คุณ สามารถที่จะรวยได้ด้วยสุดยอด เทคโนโลยีผสมผสานกับแนวคิด ทางการตลาดที่ลงตัว ที่สามารถ สร้างรายได้มหาศาลให้กับคุณ นี่ไม่ใช่รายได้เสริม เล็ก ๆ น้อย ๆ ที่จะทำให้คุณต้องเสียเวลาโดย เปล่าประโยชน์ แต่นี่จะเป็นราย ได้มากกว่ารายได้หลักที่ท่าน เคยได้รับ พิสูจน์ด้วยตัวคุณเอง ครับ
นี่คือ คำแถลงของ ศรวัสย์ ไพศาลศรวัส ประธานบริษัท ขายตรงน้องใหม่ ท็อปอัพทูริช หนึ่งในบริษัทขายตรง ที่เปิด ตัวอย่างอลังการ ด้วยการนำ เสนอขายสินค้าในลักษณะที่ เรียกว่า Personal Franchise Counter Survice
ท็อปอัพทูริช จดทะเบียน ตั้งบริษัท เมื่อวันที่30 กรกฎาคม 2555 มีสำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่ บริเวณถนนจันทร์ แขวงทุ่งวัด ดอน เขตสาธร กรุงเทพมหานคร รูปแบบการทำธุรกิจแม้ จะดูละม้ายคล้ายคลึงกับ เรียล เน็ทเวิร์ค ตรงที่เป็นการทำธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องกับโทรศัพท์มือถือ โดยอาศัยการพลังเครือข่ายเป็น พลังขับเคลื่อน แต่สิ่งที่ต่างกันก็คือ ท็อป อัพทูริช มุ่ง เน้นไปที่การบริการ เติมเงินในทุกค่ายมือถือเป็นจุด ขาย ขณะที่เรียล เน็ทเวิรค์ มุ่ง เน้นไปที่การขายซิมแบบเติมเงิน หรือ พีเพด ให้กลุ่ม True Move เป็นหลัก เรียล เน็ทเวิร์ค เคย ออกตัวแรง เป็นที่ฮือฮาอยู่พัก ใหญ่ แต่สุดท้ายก็มีอันพังพาบ เมื่อเริ่มมีกระแสความไม่ชอบ มาพากล ที่ส่อว่าจะไม่ใช่กิจการ ขายตรง
พันธุ์แท้ เป็นเหตุที่ ทำให้ True Move ต้องบอกเลิก สัญญา แล้วหันไปหาพาร์ท เนอร์ใหม่ แม้ปัจจุบัน เรียล เน็ท เวิร์ค ยังไม่ถูกลบชื่อไปจาก ระบบ ธุรกิจขายตรง แต่ ณ วัน นี้ ก็เป็นที่ทราบดีว่า ธุรกิจยัง นอนแน่นิ่งไม่ไหวติงแต่อย่างใด ย้อนกลับมาดูค่าย ท็อป อัพทูริช จะเห็นว่า การเปิดตัว ของค่ายขายตรงค่ายนี้ ทำการ บ้านมาดี เพราะมองว่า หายนะ ที่เกิดขึ้นกับ เรียลเน็ทเวิร์ค ส่วนหนึ่งเป็นเพราะเอากิจการ ไปผูกมัดกับ ค่ายโทรศัพท์มือถือ มากเกินไป ซึ่งหากวันดีคืนดี ค่ายโทรศัพท์มือถือเกิดไม่ไว้ วางใจ ก็จะทำให้กิจการล้มลง ทันที
ท็อปอัพทูริช เลือกที่จะ เดินแผนทางการตลาดอีกรูป แบบหนึ่งคือแทนที่จะมุ่งเน้น ไปขายซิมโทรศัพท์มือถือให้ค่าย ต่าง ๆ ก็หันมาเน้นการบริการ เติมเงิน ผ่านระบบแฟรนไชน์ ที่ นอกจากจะไม่จำเป็นต้องยืม จมูกคนอื่นหายใจแล้ว หากแต่ ยังขยายขอบเขตทางการตลาด สามารถตอบสนองลูกค้าได้ทุก กลุ่มทุกค่าย รูปแบบธุรกิจแฟรนไชน์ ถูกนำมาผสมผสานกันกับการ แผนการตลาดในลักษณะ MLM ที่ผู้สนใจทำธุรกิจ สามารถ เลือกเปิดแฟรนไชน์ได้อย่างไม่ จำกัด เบื้องต้น 1 แฟรนไชน์ ใช้ เงินลงทุนจำนวน 1,000 บาท ได้รับรหัสประจำตัว 1 รหัส หาก เปิด 3 แฟรนไชน์ หรือ 3 รหัส ก็จะคิดในอัตรา 2,600 บาท หาก เปิด 3แฟรนไชน์ หรือ 3 รหัส ก็ จะคิดในอัตรา 5,800 บาท หากเปิด 15 รหัส ก็จะคิดใน อัตรา 12,200 บาท สรุปง่าย ๆ ยิ่งเปิดแฟรน ไชน์มากหรือเปิดรหัสมาก ก็จะ มีส่วนลดมากขึ้น ตามจำนวน การลงรหัสสมาชิกหรือการเปิด แฟรนไชน์ ในแต่ละรหัส จะสามารถ รับผลประโยชน์สูงสุดตาม แผนการตลาดได้ 4,200 บาท/ วัน หากเปิดถึง 15 รหัส ก็จะได้ ผลประโยชน์สูงสุดต่อวันจำนวน 63,000 บาท ทุกคนที่ถือรหัสหรือเปิด แฟรนไชน์ จะมีกระเป๋าเติมเงิน ของตนเองโดยอัตโนมัติ โดย ทางบริษัท ฯ จะมีการออกแบบ ระบบเติมเงินที่สะดวกรวดเร็ว สามารถ ตอบสนองการเติมเงิน ของสมาชิกในเครือข่ายได้อย่าง ถูกต้องแม่นยำ รวมทั้งมีการ คำนวณผลประโยชน์ได้แบบ เรียลไทม์


ที่มารายได้ยังสับสน เหตุที่ทำให้พฤติกรรมเบี่ยงเบน


ในแผนการตลาด ที่ ท็อปอัพทูริช ได้วางเอาไว้ มี การกำหนดเป็นแผนการตลาด แบบ ไบนารี่ รูปแบบเป็น ทีม อ่อน-ทีมแข็ง คือ ในแต่ละรหัส จะมี Front Line แบ่งข้างซ้าย ขวา เป็น 2 รหัส ในทุก ๆ รหัส จะมีคะแนน 350 คะแนน โดยหากเครือข่าย มีการขยายตัวมากขึ้น ก็จะถูก นำมาคำนวณ เป็นคะแนน สะสม โดยสมาชิกจะได้รับ โบนัส 40% จากคะแนนทีมอ่อน ส่วนคะแนนจากทีมแข็ง หาก ตัดยอดแล้ว ยังมีคะแนนสะสม หลงเหลืออยู่ก็จะยกยอดเอาไป คิดคำนวณผลประโยชน์ใน รอบถัดไป โดยไม่มีการลด คะแนนทิ้ง ทุก ๆ รหัส ที่สมาชิกแนะนำ จะมีโบนัสขยายแฟรนไชน์ จำนวน 200 บาท รวมทั้งจะมี โบนัสที่ได้จากการเติมเงินใน อัตรา 0.3% จากยอดการเติม เงินทั้งหมดของแฟรนไชน์ใต้ สายงานที่สมาชิกเป็นผู้แนะนำ 7 ชั้นลึก โดยจะต้องเป็นการเติม เงินมือถือผ่านระบบ ITS (Intelligence Topup System) หรือ กระเป๋าอิเล็คทรอนิคส์ ที่ทาง บริษัทได้ออกแบบเอาไว้เท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีสิทธิ ประโยชน์อื่น ๆ อีกมากมาย อาทิ กองทุนเพื่อสมาชิกและครอบ ครัว/กองทุนผู้นำ ที่สมาชิกที่มีเครือข่ายใต้สายงานครบ 25,000 รหัส รวมทั้ง โบนัสพูล ที่บริษัท ฯ จะปันผลให้รหัสละ 15 บาท จากยอดขายในแต่ละ เดือน สำ หรับผู้นำ ระดับ Dimond ขึ้นไป หรือรวมไปถึงโบนัสการ ท่องเที่ยว ซึ่งถือเป็น โบนัสยอด ฮิตสำหรับธุรกิจขายตรง ที่ทุก ค่ายมักนิยม พาผู้น้ำที่ประสบ ความสำเร็จไปสัมผัสความ ศิวิไลซ์ในต่างแดน ดูจากรูปแบบวิธีการ บริหารการตลาด ของ ท็อปอัพ ทูริช ถ้าเทียบกับบริษัทขายตรง ทั่ว ๆ ไป ก็ไม่น่าจะมีความผิด ปรกติ เทียบกับบริษัทขายตรง บางแห่งที่กำลังเติบโตอยู่ใน เวลานี้ ยังมีหลายบริษัทให้ผล ประโยชน์แก่สมาชิกมากกว่า ด้วยซํ้า เพราะฉะนั้น ประเด็น เรื่องแผนการตลาด คงไม่ใช่ ประเด็นใหญ่ ปัญหาที่หลายคน ต่างสงสัยกันเป็นอันมาก ดูจะ เป็นเรื่อง ต้นทุนสินค้าและที่มา ของรายได้เสียมากกว่า
ในวงการธุรกิจขายตรง สิ่งหนึ่ง ที่เป็นที่ประจักษ์พยาน ได้อย่างชัดเจนว่า กิจการนั้น ๆ ดำเนินธุรกิจขายตรงอย่าง แท้จริง ก็คือ หนึ่ง.จะต้องมีสินค้าเพื่อ จำหน่าย สอง. รายได้หลักจะต้อง มาจากรายได้จากการขาย สินค้าเป็นสำคัญ และสาม. รายได้จากการ ขายจะต้องสูงกว่ารายจ่ายจาก การให้สิทธิประโยชน์แก่สมาชิก ทั้งมวล หากการดำเนินธุรกิจขาย ตรง เดินออกนอกเส้นทางที่ว่า นี้ ก็ย่อมจะสุ่มเสี่ยงที่จะก้าว เดินไปสู่ธุรกิจที่เรียกว่า แชร์ ลูกโซ่ มีผู้สันทัดกรณีหลายคน พยายามวิเคราะห์ถึงโครงสร้าง ของธุรกิจขายตรงกับธุรกิจทั่วไป เอาไว้อย่างน่าสนใจ โดยเฉพาะ โครงสร้างของต้นทุน ถ้าหาก เป็นธุรกิจทั่วไป ก็จะประกอบ ด้วยต้นทุนหลัก 4 ด้านด้วยกัน ด้านที่หนึ่ง คือต้นทุนการ ผลิตสินค้าที่จะต้องมีโรงงาน จะ ต้องมีเครื่องจักร ที่แปรสภาพ จากวัตถุดิบมาเป็นผลิตภัณฑ์ มีสัดส่วน 40% ด้านที่สอง ต้นทุนค่า ขนส่ง มีสัดส่วน 20% ด้านที่สาม ต้นทุนค่า โฆษณา มีสัดส่วน 30% ด้านที่สี่ ต้นทุนค่าส่วน แบ่งผลประโยชน์ร้านค้า 10% ส่วนถ้าหาก เป็นธุรกิจ ขายตรง องค์ประกอบของ ต้นทุนก็จะประกอบไปด้วย ต้นทุนหลัก 2 ด้านด้วยกันคือ ต้นทุนการผลิต 40% และอีก 60% ก็จะเป็น ต้นทุนที่ จะต้องจ่ายผลประโยชน์แก่นัก ธุรกิจเครือข่าย เพราะฉะนั้น ตรงจุดนี้
ถ้าหากจะมาพูดถึงเรื่องต้นทุนของ ท็อปอัพทูริช ก็คงจะต้องมา พิจารณากันดูก่อนว่า สินค้า ของ ท็อปอัพทูริช คืออะไร ดังที่กล่าวไปแล้ว ในตอน ต้นว่า ธุรกิจของ ท็อปอัพทูริช คือ การขายแฟรนไชน์ โดยมี สินค้าก็คือใบอนุญาตที่แทบจะ กล่าวได้ว่าแทบไม่มีต้นทุนแต่ อย่างใด คุณค่าของ แฟรนไชน์ ถ้าหากจะตีเป็นมูลค่า ก็คงเป็น มูลค่าทางโอกาส ที่ผู้ที่มาซื้อ แฟรนไชน์หรือสมาชิก จะใช้เป็น ช่องทางในการเข้าไป เล่นเกม ประโยชน์ ร่วมกับ ท็อปอัพ ทูริชเท่านั้น ส่วนกรณีเรื่อง สิ่งอำนวย ความสะดวกทางด้านการเติม เงิน กับค่ายโทรศัพท์มือถือ ต่าง ๆ แม้จะเป็นช่องทางหนึ่งที่ สามารถหารายได้ให้กับ ท็อป ทูริช ได้แต่ก็ไม่ใช่ช่องทางราย ได้หลัก ที่จะสามารถ COVER ค่าใช้จ่ายผลประโยชน์แก่ สมาชิกได้ เพราะในเงื่อนไขผล ประโยชน์ที่ผู้ที่ทำหน้าที่เป็น ตัวแทนจำหน่ายบัตรเติมเงิน หรือบริการเติมเงินแบบ ออนไลน์ ที่เราเห็นกันตามร้าน ค้าต่าง ๆ ทั้งร้าน 7-11 หรือร้าน โชวห่วยทั่วไป ก็จะได้ผล ประโยชน์หรือรายได้จากส่วน แบ่งเพียง 3.5 % เท่านั้น อธิบายง่าย ๆ ก็คือ หาก บริษัท จะหารายได้เดือนละ 100,000 บาท ก็จะต้องหาลูกค้า มาเติมเงินเป็นจำนวนเงินไม่ตํ่ากว่า 28 ล้านบาท ดังนั้น ตรงจุดนี้ คือสิ่ง ที่ ท็อปอัพทูริช มองว่า เป็นสิ่ง ที่เป็นไปไม่ได้ที่จะนำรายได้จาก วิธีการนี้ มารองรับกับการทำ ธุรกิจในระบบขายตรง และแน่นอน วิธีการเดียว ที่จะทำให้แผนการตลาดในรูป แบบ MLM สามารถขับเคลื่อน ไปได้ นั่นคือ การขายแฟรนไชน์ ซึ่งจะว่าไปแล้วก็ไม่ต่างอะไรกับ ขาย ตำแหน่ง เพื่อให้สิทธิใน การรอรับผลประโยชน์เฉกเช่น บริษัทขายตรงทั่วไป จะต่างกัน ก็คือ การได้มา ซึ่งตำแหน่งในรูปแบบธุรกิจขาย ตรง จะได้มาโดยการซื้อสินค้า ที่มีตัวตนสัมผัสได้เพื่อนำไป สะสมในตำแหน่งของตนเอง แต่สำหรับ ท็อปอัพทูริช สินค้า ที่ได้ มีเพียงกระดาษแค่แผ่น เดียวในการแสดงสิทธิเป็นเจ้า ของแฟรนไชน์ เท่านั้น นี่คือ ข้อแตกต่าง สำหรับ การเดินเกมธุรกิจขายตรงสไตล์ ท็อปอัพทูริช ที่ไม่มีใครเหมือน และไม่เหมือนใคร !!! เพราะฉะนั้น หากแนว ทางการดำเนินธุรกิจออกมาใน ลักษณะนี้ จึงเป็นสิ่งที่หลายคน ตั้งคำถามว่า ธุรกิจที่ ท็อปอัพ ทูริช กำลังดำเนินอยู่จะต่างกัน อย่างไรกับ มันนี่เกมส์ ที่มุ่งเน้นแต่เพียงเพื่อการระดม เงินผ่านระบบแฟรนไชน์ มากกว่าจะไปคำนึงถึงการขาย สินค้า


ผู้บริหารยอมรับ ค่าฟรีบัตรเติมเงินไม่พอเลี้ยงลูกทีม


มีสมาชิกท่านหนึ่ง เคยตั้ง คำถามไปยัง ศรวัสย์ ไพศาล ศรวัส ประธานบริษัท ท็อปอัพทู ริช จำกัด เกี่ยวกับรายได้ของ บริษัท แต่ก็ได้รับคำ ตอบ ว่า............ ต้องทำความเข้าใจนะ ครับว่ารายได้นั้นมาจากส่วน ไหนบ้าง การออกแบบแผนการ ตลาดนั้นมันต้องมีทั้งศาสตร์ และศิลป์นะครับ ต้องคำนึงถึง หลักความเป็นจริง จะเห็นว่า รายได้ตอนเริ่มแรกนั้น จะมา จากการสร้างเครือข่ายเป็นหลัก ครับ เพราะถ้าไม่มีเครือข่าย แล้ว จะเกิดยอดทางธุรกิจได้อย่างไร แต่การสร้างเครือข่ายนั้นคือ ขั้นตอนที่ต้องมีรายจ่าย ต้อง ลงทุน ดังนั้นการสร้างกระแส เงินสดเป็นสิ่งสำคัญ ที่จะทำให้ ธุรกิจสามารถประคองตัวและ อยู่รอดได้หรือไม่สังเกตได้จาก บางธุรกิจที่ไม่เข้าใจเรื่องนี้ คิด ว่าการลงทุนน้อย ๆ จะทำให้คน เข้าร่วม แต่ข้อเท็จจริงก็คือ รายได้ที่ได้รับนั้นมันไม่ทำให้นัก ธุรกิจสามารถหล่อเลี้ยงตัวเอง ได้ หรือบางธุรกิจลงทุนสูงเกิน ไปก็จะทำให้คนจำนวนมากไม่ สามารถเข้าร่วมทุนได้ การกำหนดยุทธศาสตร์ การลงทุนถือเป็นสิ่งสำคัญ มาก ๆ ครับ ที่ต้องไม่น้อยจนเกิน ไปที่ทำให้สิ่งที่ทำให้แค่รายได้ เสริม หรือมากเกินไปจนคนไม่ สามารถ เข้าร่วมได้ ตัวเลข 1,000 บาท จึงเป็นตัวเลขที่เหมาะสม ที่สุดที่จะทำให้ทุกคนสามารถ ลงทุนได้ และรายได้จากธุรกิจก็ ทำให้เกิดกระแสเงินสด สมดุล ครับ และแน่นอนเมื่อเครือข่าย ถูกสร้างขึ้นในระดับที่เหมาะสม คราวนี้รายได้ที่เกิดจากการเติม เงินของสมาชิกในเครือข่ายก็จะ มาทดแทน ซึ่งจะกลายเป็น Passive Income หลักแสนหลัก ล้านต่อเดือนในที่สุด นี่คือเหตุผลที่ประธานบริษัท ท็อปอัพทูริช ออกมา ชี้แจง ที่แสดงให้เห็นอย่าง ชัดเจนว่าฝ่ายบริหารออกมา ยอมรับในเรื่องของความจำเป็น จะต้อง เน้นการขายแฟรนไชน์ มากกว่าการเน้นการบริการเติม เงินโทรศัพท์มือถือ การให้บริการเติมเงินผ่าน กระเป๋าอัตโนมัติ เป็นเพียงการ สร้าง จุดขาย เล็ก ๆ เพียงเพื่อ ทำให้คนทั่วไปรับรู้ว่า ท็อปอัพ ทูริช มีสินค้ารองรับ สามารถ นำเอามาแปรเปลี่ยนเป็น คะแนน สะสมในสายงานของสมาชิก แต่ละคนได้เท่านั้น ท็อปอัพทูริช พยายาม เบนความสนใจมวลหมู่สมาชิก ที่เข้ามาสู่เครือข่ายขายตรง โดยการพยายามฉายภาพใน อนาคตให้เห็นถึงช่องทางและ โอกาสของการเป็นเศรษฐีเงิน ล้าน มีการอธิบายเทคนิคการ จัดผังสายงาน มีการอธิบาย เทคนิคในการบริหารเครือข่าย ที่อาจกล่าวได้ว่าเป็นหลักสูตร สำคัญในการสร้างเครือข่ายให้ เติบใหญ่ขึ้นมา โดยมองว่า ผลพวงจากการที่สมาชิกมีการ เติมเงิน จะเป็นรายได้ที่เรียกว่า Passive Income ที่จะเกิดขึ้นใน อนาคต ดังนั้น ระยะเริ่มแรก จึงมี ความจำเป็นจะต้องอาศัยรายได้ จากการ ขาย แฟรนไชน์ หรือ การขาย ตำแหน่ง เป็นสินค้า หลัก ทั้งที่ในความเป็นจริง แฟรนไชน์ เป็นเพียงสิ่งสมมุติ เพื่อใช้เป็นช่องทางในการระดม ทุนเข้ามาสู่กิจการเท่านั้น ท็อปอัพทูริช พยายาม หาเหตุผล มาอธิบายให้มวลหมู่ สมาชิกเข้าใจถึงเหตุผลของการ คิดค่าสมาชิก หรือค่า แฟรน ไชน์ ที่ 1,000 บาท/รหัส โดยมีการแจกแจงว่า จำนวน 200 บาท จะเป็นค่าแนะนำ แฟรนไชน์โบนัส จำนวน 320 บาท เป็นการจ่ายค่า RoYalty Bonus จำนวน 15 บาท เป็นการจ่าย ค่า Bonus Pool จำนวน 70 บาท เป็นค่าภาษีมูลค่าเพิ่ม 2 บาท เป็นค่าจ่ายกองทุนเพื่อครอบครัว และ 150 บาท เป็นกองทุน เพื่อการท่องเที่ยว รวมเป็นค่าใช้จ่ายในการ บริหารเครือข่ายทั้งสิ้น 757 บาท/1รหัส ส่วนที่เหลือ ก็จะ เป็นรายได้เข้ากิจการ ดูจาก ตัวเลขค่าใช้จ่าย ก็ สมเหตุสมผล และก็ดูจะไม่เกิน ความจริง เพราะอย่างน้อยหาก ผลจากการจ่ายสิทธิประโยชน์ แก่สมาชิกรวมทั้งภาษี หักกลบ ลบหนี้แล้ว ก็ยังมีเงินเหลือเข้า กิจการ เพราะฉะนั้นถ้าดูกันตาม แผนการตลาดแบบขายตรง ก็ ไม่ถือว่า OVER PAY เนื่องจาก ความสามารถในการจ่ายผล ตอบแทนแก่สมาชิกอยู่ในวิสัยที่ สามารถจ่ายได้ เพียงแต่ การระดมเงิน ผ่านช่องทางที่ว่านี้ หากองค์กร มีการเติบโตมากขึ้น มีสมาชิก เพิ่มขึ้นมาเป็นแสนเป็นล้านรหัส ภาระต้นทุนที่มีการยกอ้างเอาไว้ ว่า จะมีการจ่ายในอัตราเท่านั้น เท่านี้ตามที่กล่าวมาข้างต้น จะ เปลี่ยนไปอย่างไร นี่คือ สิ่งที่ทุกคนต่างวิตก กังวลกัน .... ประการต่อมา หาก กิจการมุ่งเน้นการไล่ลาสมาชิก โดยกำหนดราคาที่ค่อนข้างสูง โดยอ้างว่าเพื่อเอาไว้รองรับผล ประโยชน์จากสมาชิกขายตรงทั้งมวล
หากวิเคราะห์ดูตาม แผนที่ ท็อปอัพทูริชที่กล่าวมา ข้างต้น มันก็ไม่ต่างอะไรกับการ หารายได้จากค่าสมัครสมาชิก รายใหม่ เพื่อนำรายได้มาจ่าย ผลตอบแทนแก่สมาชิกรายเก่า นั่นเอง หากนำ เอาไปเปรียบ เทียบกับ ธุรกิจแชร์ลูกโซ่ ที่มีการ ถูกดำเนินคดี จะต่างกันตรงไหน เพราะหลายกิจการที่ต้องมีอัน สะดุดลง ก็เพราะมีการทำธุรกิจ ในลักษณะ งูกินหาง เป็นการ เอาเงินมาต่อ เงิน มากกว่าจะมุ่ง เน้นการขายสินค้า สิ่งที่ ท็อปอัพทูริช พยายามสร้างความเชื่อมั่นให้ กับสมาชิก ก็คือ การยกอ้าง เหตุผลความจำเป็นเพื่อขจัดข้อ โต้แย้งในเรื่องที่มาของรายได้ ขณะเดียวกันก็พยายาม บอกให้สมาชิกทั้งรายเก่า และ รายใหม่ที่กำลังเข้ามาว่า ท็อป อัพทูริช คือ ธุรกิจขายตรง แบบ MLM ที่มีสินค้าเป็นรูปธรรมจับ ต้องได้ นั่นคือ การให้บริการ เติมเงินโทรศัพท์มือถือ ที่ทัน สมัยสะดวกรวดเร็ว ลูกค้าไม่มี ความจำเป็นจะต้องเดินไปเติม เงินในร้านสะดวกซื้อ ที่ต้องเสีย เวลาและค่าใช้จ่าย เป็นรูปแบบ แฟรนไชน์ ที่สามารถหารายได้ง่าย ลงทุน น้อย ไม่ต้องเคลื่อนย้ายสินค้า ไม่สิ้นเปลืองค่าใช้จ่าย ทุกอย่าง ดูจะสวยสดงดงามไปหมด เนื่องจากในอีกไม่กี่เดือน ข้างหน้านี้ กลุ่มลูกค้าผู้ใช้ โทรศัพท์มือถือทุกค่าย ก็จะมี โอกาสได้สัมผัสการใช้บริการ ระบบ 3 G หรืออาจรวมไปถึง 4 G ที่จะเกิดขึ้นในอีกปีสองปี ข้างหน้านี้ แต่น่าเสียดาย ธุรกิจทีมี ตลาดใหญ่โตมโหฬาร กลับ ไม่ใช่ช่องทางรายได้ ที่ ท็อปอัพ ทูริช นำเป็นจุดขาย ทั้ง ๆ ที่ควร จะเป็นรายได้หลัก หากแต่เป็น เพียง สินค้าล่อเป้าให้สมาชิก เท่านั้นเอง
ดังนั้น การเปิดตัวเป็น ลีดเดอร์ในเรื่องธุรกิจเติมเงิน โทรศัพท์มือถือ ที่คุยนักคุยหนา ว่าเป็นระบบที่ทันสมัยที่สุด ของเมืองไทย จึงเป็นเพียงแค่ การปลุกกระแสให้คนจำนวน 90 % ของผู้ใช้บริการโทรศัพท์ มือถือ ให้เข้ามาสู่กระบวน การสร้างเครือข่าย ด้วยเพียง หวังผลประโยชน์จากการหา สมาชิก รายใหม่เข้ามาจ่ายผล ประโยชน์ให้สมาชิกรายเก่า นั่นเอง ผิดถูกอย่างไร ตลาด วิเคราะห์คงไม่ฟันธงขึ้นอยู่กับ วิจารณญาณของผู้อ่าน หรือผู้ ที่ทำหน้าที่กำกับดูแลจะไป พิจารณาดูเอาเอง แต่ที่แน่ ๆ ตอนนี้ บรรดา สมาชิกหลาย ๆ คน ฝากถามมา ว่า ท็อปอัพทูริช มีใบอนุญาต ประกอบธุรกิจขายตรงหรือเปล่า ถ้ามีโปรดกรุณาชี้แจง ด่วน !!!!



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 338 ประจำวันที่ 16-28 กุมภาพันธ์ 2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น