ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555

เด้ง ‘ปิยะวัฒก์’ เข้ากรุ ปิดฉากมือปราบ ‘แชร์ลูกโซ่’


เจาะประเด็นร้อนแบบทะลุทะลวง “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” อดีตมือปราบแชร์ลูกโซ่ ที่ถูก “นายชาญเชาวน์ ไชยานุกิจ” รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ปฏิบัติราชการแทนปลัดกระทรวง มีหนังสือย้ายฟ้าผ่าจากผบ.สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคดีพิเศษมีผลทันทีตั้งแต่วันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา แฉเบื้องหน้าเบื้องหลังสาเหตุ “ปิยะวัฒก์” ชีวิตราชการตกต่ำลงทุกขณะเป็นเพราะอะไรกันแน่ ทั้งๆ ที่ ก่อนหน้านี้เคยมีชื่อเสียงเกรียงไกร ขบวนการแชร์ลูกโซ่พอได้ยินชื่อนี้ต่างหัวหดตดหายไปตามๆ กัน เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา มีข่าวย้ายฟ้าผ่าข้าราชการระดับ 9 ของกรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ. ถึง 5 ตำแหน่ง บางคนก็ได้ดิบได้ดี แต่สำหรับมือปราบแชร์ลูกโซ่อย่าง พ.อ.ปิยะวัฒน์ กิ่งเกตุ ผบ.สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญา ถูกเด้งเข้ากรุ ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคดีพิเศษ ดูเหมือนวิถีชีวิต “มือปราบแชร์ลูกโซ่” ผู้นี้ เส้นทางราชการได้ถดถอยลงไปทุกทีตลอดระยะเวลา 2-3 ปีที่ผ่านมา บุญจะนำหรือกรรมจะซัดหนัก หลังเกษียณอายุราชการ ก็ยากจะคาดเดาอนาคตของท่านผู้นี้ได้

เมื่อ 7-8 ปีที่ผ่านมา ชื่อ “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” เริ่มติดชาร์ต อันดับต้นๆ ในฐานะข้าราชการ “ตงฉิน” ผู้หนึ่ง ภาพที่ฉายออกไปสู่สาธารณชน คือมือปราบดีเอสไอ.ที่ขาวสะอาด จนกลายเป็นไม้เบื่อไม้เมากับขบวนการแชร์ลูกโซ่อย่างเห็นได้ชัด

เมื่อปี 2547 เริ่มต้นจากการสร้างผลงานกระหึ่มตามสื่อต่างๆ โดยมีส่วนจับ บริษัท กรีน แพลนเน็ทฯ พร้อมตั้งข้อหา “แชร์ลูกโซ่” โดยอ้างความเสียหายฉ้อโกงประชาชนมูลค่านับพันล้านบาท

ขณะนั้น “รัศมี วิศทเวทย์” เลขาฯ สคบ. เซ็นอนุมัติสั่งเพิกถอนใบอนุญาตบริษัท กรีน แพลนเน็ทฯ หลังสิ้นสภาพจากการเป็นบริษัทขายตรง ดีเอสไอ.ก็เข้าจับกุมเจ้าของบริษัทดังกล่าว และคณะผู้บริหารขังคุกนานถึง 8 เดือน จนศาลชั้นต้นตัดสินจำคุกนานนับหมื่นปีเมื่อกว่า1 ปีที่ผ่านมา ขณะนี้อยู่ในชั้นศาลอุทธรณ์

หลังจากนั้น “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ฉายามือปราบแชร์ลูกโซ่ส่องประกายเจิดจ้า เมื่อครั้งจับแชร์ข้าวสาร หรือบริษัท อีซี่ เน็ทเวิร์คฯ และบริษัทขายตรงที่เข้าข่ายแชร์ลูกโซ่อีกหลายต่อหลายราย

ในช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา ชื่อ “ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” กลายเป็นบุคคลสำคัญอันดับต้นๆ ของดีเอสไอ. ขนาด “ทวี สอดส่อง” หรือแม้แต่ “พล.ต.อ.สมบัติ อมรวิวัฒน์” อดีตอธิบดี ดีเอสไอ. ชื่อเสียงยังเป็นรอง “ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ในยุครุ่งเรื่องด้วยซ้ำไป

คราวนี้มาถึงยุค “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ที่เข้ามานั่งในตำแหน่งอธิบดี กรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือดีเอสไอ. “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ก็ยังคั่วตำแหน่งใหญ่ และมีบทบาทอย่างมาก ในตำแหน่ง ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษกรมสอบสวนคดีพิเศษยังคงรับบทเป็นผู้ปราบปราม “แชร์ลูกโซ่” อย่างถึงพริกถึงขิง

ในช่วงต้นปี 2553 ที่ผ่านมา ถือเป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญของ “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ที่ไปตั้งข้อหาแชร์ลูกโซ่กับ “บริษัท เบสท์ 59 จำกัด” ฐานฉ้อโกงประชาชน การทำงาน “สไตล์” มือปราบแชร์ลูกโซ่ผู้นี้ มักจะอาศัยอาวุธอันทรงประสิทธิภาพในการเผด็จศึก ทุกครั้งที่ดำเนินคดีกับบริษัทแชร์ลูกโซ่ได้ “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” มักจะใช้สื่อทีวี และหนังสือพิมพ์รายวันถล่มเป้าหมายจนยับ เพื่อให้สมาชิกแตกฮือ ในที่สุดก็มาร่วมมือกับทางการ เพื่อแจ้งความเอาผิดบริษัทนั้นๆ นี่คือ ที่มาของคำว่าแชร์พันล้าน ทั้งๆ ที่เดิมทีอาจมีมูลค่าความเสียหายจริงๆ แค่ไม่กี่ล้านบาท

แต่ “ปิยะวัฒก์” มักจะออกข่าวตามสื่อให้กลุ่มสมาชิกขวัญผวา พร้อมขู่ว่า จะตั้งข้อหาคนที่เกี่ยวข้องฐานมีส่วนรู้เห็นเป็นใจในการฉ้อโกงประชาชน ทำให้สมาชิกที่ถูกทางการข่มขู่ ต่างต้องยอมเข้ามาร่วมมือกับเจ้าหน้าที่รัฐแจ้งความดำเนินคดีกับบริษัทของตนเอง เมื่อบริษัทถูกปิดหลังถูกดำเนินคดี ข้อหาฉ้อโกงสมาชิกก็คงรับไปเต็มๆ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

ในกรณีบริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือปูแดง ไคโตซาน “สมปอง แซ่ตั้ง” และทีมผู้บริหาร ก็เกือบจะถูก “เชือด” เหมือนกับบริษัทแชร์ลูกโซ่รายอื่นๆ เช่นกัน ช่วง 2-3 วันแรก “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ก็ออกข่าวอยู่ฝ่ายเดียวว่า “ปูแดงเป็นแชร์ลูกโซ่” เหมือนกับที่เคยทำสำเร็จมาแล้วกับค่ายอื่นๆ แต่บริษัทนี้ไม่ง่ายอย่างที่คิด เนื่องจากสมาชิกไม่ได้ “แตกฮือ” เหมือนค่ายอื่นๆ เพราะพวกเขาได้นำผลิตภัณฑ์ปูแดง ไคโตซาน ไปใช้กับพืชจนได้ผลมาแล้ว แถมมีรายได้คนละตั้งแต่หลักหลายพันบาท ไปจนถึงหลักหลายแสนบาทต่อเดือน

บางคนกำลังผ่อนบ้าน ผ่อนรถ เมื่อพวกเขาได้รับความเดือดร้อนกันถ้วนหน้า จึงเกิดการรวมตัวกันนับพันคนกลายเป็น “ม็อบปูแดง” ออกมาเคลื่อนไหวหน้าดีเอสไอ. เรียกร้องความเป็นธรรมกับอธิบดี และรองอธิบดี รวมถึงนำม็อบไปเรียกร้องความเป็นธรรมกับรัฐบาลที่รัฐสภาฯ

สื่อมวลชนทุกสำนักให้ความสนใจในคดีนี้เป็นอย่างมาก ต่างพากันประโคมข่าวเรื่องความเดือดร้อนของสมาชิกปูแดงฯ ที่ถูกดีเอสไอ.สั่งปิดบริษัท ทำให้พวกเขาขาดรายได้ เมื่อกระแสข่าวย้อนกลับเข้า “ถล่ม” พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ รอบทิศทางอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ในช่วงเวลาเดียวกัน สมาชิกปูแดงกว่า 3,000 คน ก็พากันแจ้งความเอาผิดมือปราบแชร์ลูกโซ่ตามสน.ต่างๆ ทั่วประเทศ ฐานทำให้พวกเขาเสียประโยชน์ขาดรายได้จากการทำอาชีพขายตรง

งานนี้ทำให้นักการเมืองหลายพรรครวมถึงรัฐมนตรีในขณะนั้น ให้ความสนใจในคดีนี้เป็นอย่างมาก กลับกลายเป็นว่า ดีเอสไอ.ไปสร้างความดือดร้อนให้กับประชาชนแทน ภาพพจน์ของดีเอสไอ.ในช่วงนั้น นับว่าเสื่อมสุดๆ ในสายตาประชาชน ที่ไปตั้งข้อหา “ปูแดงเป็นแชร์ลูกโซ่” ทำให้ผู้คนได้รับความเดือดร้อนมากมาย จากตรงนี้แหละที่ทำให้ประชาชนรู้สึกเห็นใจและสงสารบริษัทปูแดง และแล้วภาพคำว่า “แชร์ลูกโซ่” ก็เริ่มเลือนหายไปจากความรู้สึกของปราะชาชนในเวลาต่อมา

กอปรกับรองอธิบดีท่านหนึ่ง ชักไม่ค่อยมั่นใจกับการทำงานของทีมจับปูแดงฯ ก็เลยแอบตั้งทีมงานพิเศษขึ้นมาชุดหนึ่งเพื่อตรวจสอบในเชิงลึกว่า บริษัท เบสท์ 59 จำกัด มีการฉ้อโกงประชาชนอย่างที่ “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ตั้งข้อหาจริงหรือไม่

ปรากฏว่า ไม่มีผู้เสียหายที่เกิดจากการฉ้อโกงของบริษัท เบสท์ 59 จำกัด แต่อย่างใด ไม่เข้าข่ายความผิดแชร์ลูกโซ่อย่างที่เป็นข่าวแต่อย่างใด ขณะเดียกัน “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” และทีมงานสอบสวน บางคนถูกชาวบ้านทำหนังสือร้องเรียนอธิบดีถึงการทำงานอันไม่ชอบมาพากล คือ ชาวบ้านให้ปากคำอีกอย่าง แต่เจ้าหน้าที่กลับไปสรุปปากคำอีกอย่าง เมื่อข้อเท็จจริงที่อยู่ในมุมมืดถูกเปิดเผยออกมาต่อเนื่อง

“ธาริต เพ็งดิษฐ์” ในฐานะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ จึงได้มอบหมายให้ “พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์” รองอธิบดีขณะนั้น ดูแลคดีปูแดงฯ เป็นพิเศษ เนื่องจากมีความไม่ชอบมาพากล กอปรกับก่อนหน้านี้มีสื่อหลายฉบับได้นำเสนอข่าวว่า เรื่องนี้อาจมีผลประโยชน์แอบแฝงเพราะมีข่าวว่า คู่แข่งทางธุรกิจได้ทุ่มงบกว่า 20 ล้านบาท เพื่อโค่นปูแดงโดยมีเจ้าหน้าที่ ดีเอสไอ.บางคนไปรับเงินที่สิงคโปร์

ในที่สุด “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ในฐานะเจ้าของคดี ก็ได้ส่งสำนวนสั่งฟ้องบริษัท เบสท์ 59 จำกัด ตามขั้นตอนเพื่อให้อธิบดีเซ็นอนุมัติต่อไป

แต่ “ธาริต เพ็งดิษฐ์” ในฐานะอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ไม่ทำตาม แถมมีคำสั่งไม่ฟ้อง บริษัท เบสท์ 59 จำกัด ในข้อหาฉ้อโกงประชาชน หรือแชร์ลูกโซ่อีกต่างหาก จุดแตกหักระหว่าง “พ.อ. ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” กับ อธิบดี “ธาริต เพ็งดิษฐ์” อธิบดี และ “พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์” รองอธิบดี ได้ปะทุขึ้นร้อนแรงที่สุดตั้งแต่ตั้งกรมสอบสวนคดีพิเศษขึ้นมา

งานนี้ “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” เดือดเลือดขึ้นหน้า ที่ผู้บังคับบัญชาไม่ตอบสนองตามที่ตนเองมุ่งหวัง เพราะมีความเชื่อว่า “ปูแดง คือแชร์ลูกโซ่” ร้อยเปอร์เซ็นต์ ถึงกับโพสต์ข้อความทางเฟชบุ๊ค โจมตีผู้บังคับบัญชาอย่างดุเด็ดเผ็ดร้อน กล่าวหาว่ามีผลประโยชน์ในคดีนี้

เรื่องนี้ “สมปอง แซ่ตั้ง” ได้ฟ้องหมิ่นประมาท “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ที่กล่าวหาว่าเป็นแชร์ลูกโซ่ ทั้งๆ ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษสั่งไม่ฟ้อง ขณะเดียวกันในช่วงเวลาไล่เลี่ยกัน อัยการเองก็สั่งไม่ฟ้องในข้อกล่าวหาดังกล่าวเช่นเดียวกัน

หลังจากขึ้นศาล “พ.อ. ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ก็ยอมรับสภาพด้วยการประกาศผ่านเฟชบุ๊คว่า “ตามที่ข้าพเจ้าได้เขียนข้อความลง FB ของข้าพเจ้าเมื่อวันที่ 31 สิงหาคม 2553 ทำให้บุคคลอื่นหรือบุคคลทั่วไปเข้าใจว่า บ.เบสท์ 59 จำกัด และนายสมปอง แซ่ตั้ง วิ่งเต้นคดีหรือกระทำการไม่ชอบด้วยกฎหมายอันเนื่องมาจากถูกกล่าวหาดำเนินคดีในความผิดฐานฉ้อโกงประชาชนหรือประกอบกิจการแบบแชร์ลูกโซ่ ซึ่ง บ.เบสท์ 59 จำกัด และนายสมปองฯได้ฟ้องข้าพเจ้าต่อศาลอาญาในข้อหาหมิ่นประมาทและดูหมิ่นนั้น ข้าพเจ้าขอชี้แจงว่าข้าพเจ้ามิได้มีเจตนาที่จะกล่าวพาดพิงไปในทางว่า บ.เบสท์ 59 จำกัด และนายสมปองฯ กระทำการใดๆ อันเป็นการไม่ชอบด้วยกฎหมายหรือดำเนินการใดๆ จนเป็นเหตุให้กรมสอบสวนคดีพิเศษหรือพนักงานอัยการมีคำสั่งไม่ฟ้อง บ.เบสท์ 59 จำกัดและบุคคลอื่นใดที่เกี่ยวข้องเพราะการสั่งไม่ฟ้องเป็นการใช้ดุลพินิจของกรมสอบสวนคดีพิเศษและพนักงานอัยการตามกฎหมาย ซึ่งคำสั่งไม่ฟ้องข้อหาฉ้อโกงประชาชนเป็นอันยุติแล้ว

ข้าพเจ้าได้ทำความเข้าใจและปรับความเข้าใจกับนายสมปองฯ และ บ.เบสท์ 59 จำกัด จนเป็นที่เข้าใจกันแล้ว ข้าพเจ้าไม่ติดใจในการกระทำของ บ.เบสท์ 59 จำกัด และนายสมปองฯ บ.เบสท์ 59 จำกัด และ นายสมปองฯ ก็ไม่ติดใจดำเนินคดีกับข้าพเจ้าอีกต่อไปและได้ถอนฟ้องข้าพเจ้า พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ

เกมนี้ถ้าจะมองในเชิงลึก น่าจะมีการวางแผนอย่างแยบยล โดยให้ “สมปอง แซ่ตั้ง” ยอมความ “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ก็ยอมรับกับความผิดพลาดของตัวเอง ถึงยอมเสีย “ฟอร์ม” มือปราบแชร์ลูกโซ่ กับ “ลูกแกะ” อย่าง “สมปอง” อย่างหมดท่า

แต่มหากาพย์ใหญ่ไม่น่าจะจบลงง่ายๆ เพียงเท่านี้ เพราะในช่วงเดียวกัน “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ได้เขย่าบัลลังก์ผู้บังคับบัญชาทั้ง 2 คนแบบหักดิบทางสื่อแบบพังกันข้างหนึ่ง

นี่คือ ที่มาของการฟ้องหมิ่นประมาท ที่ “พ.ต.อ.ณรัชต์ เศวตนันทน์” รองอธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษในขณะนั้น “ซัดหมัดหนัก” เข้าเต็มหน้า “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” เข้าเต็มๆ น่าจะอาศัยการรับสารภาพในคดีหมิ่นประมาท “สมปอง แซ่ตั้ง” นี่แหละเป็นหลักฐานมัดแน่นอีกทางหนึ่ง เพราะเป็นเรื่องที่โยงใยกัน

นับตั้งแต่เกิดคดีปูแดงฯ เป็นต้นมา เส้นทางเดินของ “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ก็ลุ่มๆ ดอนๆ เริ่มตั้งแต่ห้องทำงานถูกย้ายไปอยู่ที่อาคารอื่นเหมือนถูกลอยแพ เมื่อปีที่ผ่านมาก็ถูกย้ายไปเป็น ผบ.สำนักคดีทรัพย์สินทางปัญญาได้ประมาณ 1 ปี แม้แต่กลุ่มนักธุรกิจ และสื่อจำนวนหนึ่ง ซึ่งเคยส่งเสียงเชียร์ “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ในยุคที่เรืองอำนาจอย่างออกนอกหน้า ขณะนี้ต่างก็หายหน้าไปกันหมด

ล่าสุดสดๆ ร้อนๆ “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ก็ถูกกระทรวงยุติธรรมสั่งย้ายเข้ากรุ ไปเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านคดีพิเศษซึ่งอาจไม่มีบทบาทในดีเอสไอ. มากหนัก เจ้าตัวอาจยื่นเรื่องฟ้องศาลปกครอง เรียกร้องความเป็นธรรมตามสิทธิ์ที่พึงมี

ก่อนหน้านี้ “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ก็เคยมีข่าวว่าจะยื่นเรื่องให้ปปช. ตรวจสอบอธิบดี ดีเอสไอ.มาแล้ว พอมาถึงตรงนี้ ก็น่าจะเป็นการปิดตำนานมือปราบ “แชร์ลูกโซ่” ด้วยภาพที่หมองมัวอย่างน่าเสียดาย

นี่อาจเป็นบทเรียนสอนใจให้กับข้าราชการไทยหลายๆ คน ที่ชอบใช้อำนาจอย่างไม่เป็นธรรมกับประชาชน การที่ “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ไปยัดข้อหาร้ายแรงให้กับ บริษัท เบสท์ 59 จำกัด หรือปูแดงฯ ว่าเป็น “แชร์ลูกโซ่” จนธุรกิจต้องปิดตัวไป สร้าง “บาป” ให้กับประชาชนจำนวนมาก ทั้งๆ ที่องค์ประกอบของการฉ้อโกงยังไม่ครบถ้วนตามขบวนความ

เรื่องนี้ได้สร้างความเดือดร้อนให้กับประชาชนนับพันๆ คนเลยทีเดียว ซึ่งพวกเขาเคยมีรายได้ที่เกิดจากการทำอาชีพดังกล่าวเพื่อหาเลี้ยงครอบครัว แต่ต้องมารับกรรมกับการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐบางคนที่ลุแก่อำนาจ...ไม่ฟังเสียงทักท้วงของใคร

วิบากกรรมอันนี้อาจเป็นแค่การเริ่มต้นก่อตัวขึ้นเท่านั้น เพื่อให้ ““พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ได้ฉุกคิด และสำนึกผิดในยุคสมัยที่ตนเองยังเรืองอำนาจ อยู่ “ตราบาป” ที่ได้ก่อไว้จะด้วยการรู้ตัวหรือไม่ก็ตาม

ประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากการกระทำที่มีความไม่ชอบมาพากลของ “พ.อ.ปิยะวัฒก์ กิ่งเกตุ” ต่างก็ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมอย่างน่าเสียดาย ไม่ว่าบุญหรือบาปกรรม ที่ “มือปราบแชร์ลูกโซ่” ได้กระทำไว้กับประชาชนคนหาเช้ากินค่ำให้ได้รับความเดือดร้อน จะต้องรับผิดชอบกับสิ่งที่ตนเองได้ทำไว้อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

“อำนาจมีไว้ให้สร้างความดี ไม่ใช่มีไว้เพื่อทำลายคนดี

 ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1295 ประจำวันที่ 28-4-2012 ถึง 1-5-2012       

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น