ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันศุกร์ที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2555

แข่งแรงกระชากใจ สินค้าภายในผู้หญิง เดิมพัน15,000ล้าน


ผ่าแผนลับตลาดสินค้า “ภายในผู้หญิง” หลัง “สตาร์ ซันไชน์” หันหลังให้ “ซัน คลาร่า” โดยไปจับมือกับ “โควิก” ออก “คลาร่า พลัส” ลุย...ด้านโรงงานเจ้าตำรับสินค้าฟิตกระชับเด้งเชือดหาทางออก ไปจับมือ “โอทูฯ” ออก “เอฟ-ทู” เมื่อปลายปีที่ผ่านมา...หลังปล่อยหมัดเด็ดส่ง “เอฟ-ทู” ออกไปเขย่าตลาดได้ระยะหนึ่ง แต่ยังเอาไม่ค่อยจะอยู่ เพราะค่ายนี้ใช้แผนยูนิเลเวลทำศึกจึงวางหมัดเด็ดเดือนมิถุนายนนี้ มีเฮ!..ล่าสุด “เนเจอรัล เฮิร์บฯ” เจ้าพ่อสินค้ามดลูกตัวจริงได้ผลิตแบรนด์ “ออไรท์” ให้ “แอมริช” สู้ศึกในสนามแข่งขันแผนการตลาดแบบไบนารี่...“เอกพิสิฐ” บุญหล่นทับเต็มๆ ออกหมัดหนักเด้งรับทันทีด้วยการนัดแม่ทีมทีใช้สื่อทีวีดาวเทียม และวิทยุชุมชุนในมือ ประกาศยึดตลาด “มดลูก” ภายในปี 2556 ด้วยการทุ่มงบ 80 ล้านบาท ลงสื่ออย่างเดียว แถมได้ “กุนซือดี” วางเกมรบครบเครื่อง จับตา “ธเนตร วงษา” เข้าพบ “กาย ไพรินทร์” แจ้งความประสงค์พร้อมนำสินค้าฟิตกระชับลงสนามแข่งในนาม “เจอเนสส์” เพื่อชิงส่วนแบ่งตลาด 15,000 ล้านบาทในปี 2555 จับตาให้ดีๆ จะมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้นแน่นอน

ความสำเร็จอย่างยิ่งยวด ที่ “ซัน คลาร่า” สินค้าฟิตกระชับสำหรับผู้หญิง ที่ “บริษัท สตาร์ ซันไชน์ จำกัด” นำมาจำหน่ายในระบบเครือข่ายขายตรง ใช้เวลาเพียง 1 ปี 6 เดือนสามารถทำยอดขายจาก “ซัน คลาร่า” เพียงตัวเดียวเพียวๆ เกือบ 5,000 ล้านบาท จนกลายเป็นตำนานให้เล่าขานไม่จบสิ้น

ทำให้สินค้าในลักษณะเดียวกันนี้ออกสู่ตลาดทั้งขายตรงชั้นเดียว และหลายชั้น ปัจจุบันมีเกือบ 20 ยี่ห้อ ทั้งโนเนม และมีชื่อเสียง รวมทั้งสิ้นค้าปลอม และเลียนแบบอีกมากมาย ซึ่งมีหลายสิบยี่ห้อ ที่ใช้สื่อวิทยุชุมชนเกาะกระแส “ซัน คลาร่า” แชร์ตลาดสินค้ามดลูกไปค่ายละไม่น้อยเลยทีเดียว

ส่วนโรงงานผู้ผลิตสินค้าซึ่งเป็นเจ้าตำนาน “ฟิตกระชับ” ก็น่าจะยกความดีความชอบให้ “บริษัท เนเจอรัล เฮิร์บ อินดัสตรี่ จำกัด” ของ “ธนอรรถ ตรีธิติธัญ” ไปเต็มๆ
อย่างที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ “บริษัท เนเจอรัล เฮิร์บ อินดัสตรี่ จำกัด” ไม่ได้ผลิตสินค้าสำหรับผู้หญิงเพียง 2-3 แบรนด์เท่านั้น “ธนอรรถ ตรีธิติธัญ” ดำเนินธุรกิจสมุนไพรมากว่า 10 ปี มีสินค้าที่ผลิตจากโรงงานดังกล่าว 7-8 ยี่ห้อ

ปัจจุบันมีบริษัทในเครือ 3 แห่ง คือ บริษัท เนเจอรัล เฮิร์บฯ, (ผลิตสินค้าให้หลายยี่ห้อ) บริษัท วิณภา จำกัด (ผลิตสินค้า เอฟ-ทู) ให้กับบริษัท โอทู อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด และบริษัท กู๊ด เนเจอร์ จำกัด

ส่วนผลิตภัณฑ์ที่สร้างตำนานได้ร้อนแรงที่สุดให้กับ “เนเจอรัล เฮิร์บ” ก็คือ “ซัน คลาร่า” นั่นเอง



เปิดตำนาน “ซัน คลาร่า”
“สตาร์ทฯ” ซื้อสื่อ 3 แสน/เดือน
“โกสิทธิ์ ผะลิวรรณ์” ได้รับการแนะนำจาก “สมปอง แซ่ตั้ง” ให้ไปพบกับ “กาย ไพรินทร์” เนื่องจากช่วงนั้น “สมปอง” ประสบความสำเร็จจากการขายปูแดงฯ เดือนละกว่า 270 ล้านบาท จึงหวังดีกับ “โกสิทธิ์ ผะลิวรรณ์” เพราะเป็นเพื่อนที่เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขมาด้วยกัน
จากการทำเครือข่ายแล้วหลายค่าย

ที่สำคัญ “สมปอง แซ่ตั้ง” เล่าว่า “สตาร์ ซันไชน์” เปิดมากว่า 4 ปี แต่ก็มียอดขายสูงสุดไม่เกิน 2.5-3 ล้านบาทก็อยากจะให้เพื่อนประสบความสำเร็จเหมือนกับตัวเอง
กาย ไพรินทร์ กล่าวว่า “คุณโกสิทธิ์” ไปพบผมที่สำนักงานลาดพร้าว ซ. 115 เราได้พูดคุยกัน 2-3 ชั่วโมง เพื่อแลกเปลี่ยนวิสัยทัศน์กัน ก็มองว่า โกสิทธิ์ดูท่าเป็นคนตรงไปตรงมากล้าได้กล้าเสียดี หลังจากนั้นผมก็โทรไปถามสมปองเพื่อให้แน่ใจว่า เป็นเพื่อนรักกันจริงๆ หรือไม่ พอได้คำตอบเป็นที่แน่ชัด ก็เลยนัดให้ “โกสิทธิ์” มาหารืออีกครั้ง เพื่อวางยุทธศาสตร์ในการทำตลาด

“ผมก็เลยโทรหาเอ-มนัส เนียมสอาด ซึ่งเขาทำงานอยู่กับบริษัทขายกาแฟชื่อดังแห่งหนึ่งในระบบแฟรนไชส์ เพื่อให้มารับหน้าที่เป็น ผอ.การตลาด เนื่องจากโกสิทธ์เวลานั้นเดินสายอยู่ต่างจังหวัด ในกรุงเทพฯ ไม่มีผู้บัญชาการรบ แรกๆ ก็ซื้อเวลาทีวีเพื่อทำรายการเดือนละประมาณ 3 แสนบาท ออกอากาศวันละ 1 ครั้ง โดยใช้สินค้าเกษตร ซัน ฮีโร่ และซัน ไคโตซาน ทำตลาดได้ 6-7 เดือนยอดขายก็แตะเกือบ 10 ล้านบาท”



ดัน “เอ-มนัส-ภูริต”หัวหอก
แท็คทีมลุยทีวีเต็มรูปแบบ
ในช่วงนั้น “ภูริต สิทธิพิทักษ์” ซึ่งเป็นเพื่อนกับ “โกสิทธิ์” มาก่อนแล้วก็ถูกชักชวนให้มาร่วมงานกัน เดิม “ภูริต” ไม่มีความเชี่ยวชาญด้านสินค้าเกษตร จึงได้แนะนำให้เอาสินค้า “ซัน คลาร่า” มาจำหน่ายใน “สตาร์ ซันไชน์” แรกๆ โกสิทธิ์ก็ไม่ค่อยเห็นดีเห็นงามกับสินค้าตัวนี้สักเท่าไหร่ เพราะกำลังเพลินกับยอดขายสินค้าเกษตร
“เอ และภูริตก็มาปรึกษาผมว่าจะทำอย่างไร พอดีในช่วงนั้นผมเพิ่งเปิดช่อง TVD ใหม่ๆ ลูกค้าเช่าเวลาก็ยังไม่มาก มีเวลาเหลือเยอะก็เลยให้เอกับภูริตจัดรายการสินค้าซัน คลาร่า แล้วแอบออกอากาศในช่วงเย็นๆ ก่อน โดยไม่ได้บอก “โกสิทธิ์” แต่อย่างใด เพราะเชื่อว่าเขาคงไม่มีเวลามานั่งดูรายการทั้งวันแน่ หลังจากนั้นผมเห็นสินค้าตัวนี้ยอดขายลู่ทางแจ่มใส สมาชิกที่ใช้ต่างก็พูดว่าสุดยอด ก็เลยเพิ่มเวลาออกอากาศวันละ 10 รอบ คือ ช่องละ 5 รอบ ไม่รวมรายการบันเทิงที่สอดแทรกสินค้าซัน คลาร่าเข้าไปอีก 2-3 รายการ สรุปว่า สตาร์ ซันไชน์ ในช่วงเริ่มต้นซื้อสื่อทีวีออกอากาศใช้งบประมาณ 3 แสนบาท แต่ได้รับการสนับสนุนจากผมอีกเดือนละเกือบ 2 ล้านบาท หลังจากยอดขายซัน คลาร่าประสบความสำเร็จอย่างมาก โกสิทธิ์ ถึงได้เพิ่มงบซื้อสื่ออีกเดือนละกว่า 1 ล้านบาท ในเวลาต่อมา”



เบื้องลึก “สตาร์ ซันไชน์”
หันหลังให้ “เนเจอรัลฯ”
หลังจากนั้นแบรนด์ “ซัน คลาร่า” ก็กลายเป็นสินค้า “ฟีเวอร์” มาแทนที่ “ปูแดงฯ” ซึ่งแผ่วลงเพราะถูก “ดีเอสไอ” เล่นงานจนต้องหยุดกิจการไปชั่ว คราวกลางปี 2553 จนถึงช่วงปลายปี 2554 ยอดขาย “ซัน คลาร่า” แรงจนฉุดไม่อยู่ เล่นเอาโรงงานผลิตสินค้าป้อนให้ไม่ทัน

เพราะยอดขาย “ซัน คลาร่า” ที่เคยพีกหรือสูงสุด คือ เดือนละกว่า 700,000 กล่อง หรือ 480-500 ล้านบาท / เดือน “โกสิทธิ์ ผะลิวรรณ์” กลายเป็นเศรษฐีเพียงปีเศษๆ ซึ่งได้ส่งสัญญาณไปถึง “ธนอรรถ ตรีธิติธัญ” ผู้ผลิตซัน คลาร่าว่า จะสั่งซื้อสินค้าเดือนละ 1 ล้านกล่อง หรือผลิตได้เท่าไหร่รับซื้อหมด ห้ามผลิตให้ค่ายอื่น
เจ้าของโรงงานไม่สามารถ ตอบสนองความต้องการของ “โกสิทธิ์” ได้ เนื่องจากเดิมก็ผลิตสินค้าในลักษณะนี้ แต่คนละแบรนด์ให้กับบริษัทต่างๆ อยู่แล้ว 7-8 ยี่ห้อ แม้แต่ “คลีโอ” ของค่ายจอยแอนด์คอยน์ก็หนึ่งในนั้น แต่หลายแบรนด์โปรโมทไม่ถึงก็เลยไม่เป็นที่รู้จัก

ในช่วงที่ “ซัน คลาร่า” ขาดตลาด โรงงานผลิตให้ไม่ทัน กลุ่มแม่ทีมซึ่งมาจากทั่วสารทิศ ระดับบิ๊กส่วนใหญ่มีสื่อทีวีดาวเทียม และวิทยุชุมชนอยู่ในมือจำนวนมาก ใช้ “สื่อ” เหล่านี้ระบายสินค้าให้ถึงกลุ่มผู้บริโภค สร้างผลกำไรอันงดงาม

เมื่อเกิดช่วงชุลมุน เพราะสินค้า “ซัน คลาร่า” ขาดตลาด จึงมีการลัดคิวกันเกิดขึ้น “ภูริต” ในฐานะที่เป็นเพื่อนกับ “โกสิทธิ์” ได้โทรศัพท์โดยใช้คำพูดห่ามๆ ขวานผ่าซากตามสไตล์ลูกทุ่งของหนุ่มชาวใต้กับ “รองประธานฯ คือ คุณเจี๊ยบ” ซึ่งเป็นภรรยาของ “โกสิทธิ์ ผะลิวรรณ์” เพื่อจะเอาสินค้าให้ได้

จุดแตกหักเริ่มระอุจากตรงนี้ เพราะเรื่องนี้รู้ถึงหู “โกสิทธิ์” ที่ภูริตไม่ให้เกียรติ โดยใช้ความสนิทส่วนตัวลัดคิวซื้อสินค้า แถมพูดจาไม่เป็นศิริมงคลกับรองประธานฯ หลังจากนั้นทั้งคู่ก็เริ่มหันหลังให้กัน

มีการปล่อยข่าวโจมตีกันในวงการยกใหญ่ “เอ-มนัส เนียมสอาด” ในฐานะ “ผู้อำนวยการฝ่ายการตลาด” ไม่สามารถทนแแรงปะทะและแรงเสียดทานของพญาช้างสารอย่าง “โกสิทธิ์-ภูริต” อารมณ์เดือดของทั้งคู่ รวมถึงแม่ทีมสายต่างๆ ที่โทรไล่จิกเพื่อซื้อสินค้า ซัน คลาร่า “เอ-มนัส” ก็เลยประกาศลาออกถอยฉากมาอยู่วงนอกแทน
กอปรกับในช่วงนั้น สินค้า “ซัน คลาร่า” มีของปลอมเข้ามาทำลายตลาดจำนวนมาก แถมถูกอย.ออกข่าวเล่นงานต่อเนื่อง “โกสิทธิ์” ก็อยู่ในอาการเครียดรอบทิศทาง
มิหนำซ้ำ เป็นช่วงจังหวะที่ “ค่ายโอทูฯ” เปิดตัวผลิตภัณฑ์ “เอฟ-ทู” ซึ่งผลิตมาจากโรงงาน วิณภา ซึ่งเป็นบริษัทในเครือของเนเจอรัล เฮิร์บฯ ยิ่งทำให้ “โกสิทธิ์” ลมบ่อจอยไปใหญ่ เพราะก่อนหน้านั้นมีผู้หวังดีแต่ “ประสงค์ร้าย” คอยปล่อยข่าว “เสี้ยม” ให้ผู้บริหาร 2 ค่ายนี้ขัดแย้งกัน



“สตาร์ฯ” ลดยอดสั่ง “ซัน คลาร่า”
จับมือ“โควิก”ออก“คลาร่า พลัส”
พิษสงของความ “ร่ำรวย” ไม่เข้าใครออกใคร “ธนอรรถ” ก็รวยจากการผลิต “ซัน คลาร่า” ส่วน “โกสิทธิ์” ก็ไม่น้อยหน้าเพราะได้กำไรไปหลายร้อยล้านจากการขาย “ซัน คลาร่า” พลัง “ทิฐิ” จึงอุบัติขึ้นกับคนทั้งสอง

จากนั้นมา “ธนอรรถ-โกสิทธิ์” ไม่เคยพูดคุยกันเลยแม้แต่ครั้งเดียว ฟังเฉพาะคนเป็นสื่อกลางที่คอยสื่อสารกันไปมา ในที่สุดทั้งสองก็เริ่มห่างกัน
เรื่องนี้คนใกล้ชิด “โกสิทธิ์” ให้ความคิดเห็นว่า “ทำตัวเหมือนเด็ก เรื่องมีอยู่นิดเดียวกลับไม่คุยกัน ยอมสูญเสียเงินเป็นพันๆ ล้าน คนเราพอรวยแล้วพูดยาก ไม่ค่อยจะฟังใคร”
หลังจากนั้น “สตาร์ ซันไชน์” ก็สั่งซื้อซัน คลาร่าจากบริษัท เนเจอรัล เฮิร์บฯ ด้วยยอดที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง ส่งผลต่อรายได้ของบริษัทดังกล่าวเป็นอย่างมาก โชคดีที่เจ้าของโรงงานไม่ได้เชื่อตามที่ “โกสิทธิ์” แนะนำให้ขยายโรงงานเพิ่มอีกโรงเพื่อเพิ่มกำลังการผลิตในช่วงที่ฮันนี่มูนกันอยู่ ไม่งั้น “ธนอรรถ” คงกระอักเลือดอย่างไม่ต้องสงสัย
เมื่อสินค้า “ซัน คลาร่า” บันดาลให้คน 2 คนรวยแบบไม่มีเหตุผล ในที่สุดก็แยกกันเดินคนละทาง ต่างก็มีกิ๊กหรือคู่ค้ารายใหม่เกิดขึ้น

“สตาร์ ซันไชน์” ไปให้ “บริษัท โควิก” ผลิตสินค้า “คลาร่า พลัส” ให้ ก็น่าแปลกใจทั้งๆ ที่ในอดีตค่ายนี้เคยเปิดบริษัทขายตรงมาก่อนหน้านี้แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ แต่ “โกสิทธิ์” ก็เลือกที่จะให้ความสำคัญตรงนี้

และในเดือนตุลาคม 2554 บริษัท สตาร์ ซันไชน์ ได้ให้ทนายไปยื่นจดลิขสิทธิ์ชื่อ “ซัน คลาร่า” แต่เจ้าหน้าที่กรมทรัพย์ สินทางปัญญาไม่มีการรับรอง เพราะจะต้องมีการตรวจสอบแหล่งที่มาของสินค้าดังกล่าวว่า ใครคือผู้ผลิต และได้เลข อย.นั้นมา

และเมื่อเร็วๆ นี้ “ธนอรรถ” มั่นใจแล้วว่า “สตาร์ ซันไชน์” ไม่จำหน่ายซัน คลาร่าอีกต่อไป จึงได้ส่งทนายไปยื่นร้องคัดค้านการแจ้งจดลิขสิทธิ์ของ “สตาร์ ซันไชน์” ไว้ ทางกรมทรัพย์สินทางปัญญาก็ได้รับเรื่องดังกล่าวไว้แล้ว เนื่องจากบริษัท เนเจอรัล เฮิร์บ อินดัสตรี่ จำกัด มีหลักฐานจาก อย.ในการเป็นเจ้าของ และผู้ผลิตแบรนด์ “ซัน คลาร่า” ส่วน “สตาร์ ซันไชน์” เป็นเพียงตัวแทนจำหน่ายเท่านั้น



โรงงานดึง “ซัน คลาร่า” คืน
ขายสมาชิกเก่าทำตลาดผ่านสื่อ
ล่าสุด บริษัท เนเจอรัล เฮิร์บฯ” ได้ส่งหนังสือแจ้งไปว่า สิ้นเดือนเมษายนนี้จะไม่ผลิตสินค้า “ซัน คลาร่า” ให้ “บริษัท สตาร์ ซันไชน์ จำกัด” อีกต่อไป
เนื่องจาก “ธนอรรถ ตรีธิติธัญ” ได้ดูรายการทีวี 2-3 ช่องที่ “โกสิทธิ์” ให้สัมภาษณ์ว่า “คลาร่า พลัส” เป็นสารสกัดสูตรเข้มข้นเห็นผลเร็ว และดีกว่าซัน คลาร่าตัวเดิม แถมราคาถูกกว่า กอปรกับมีสินค้าปลอมเป็นจำนวนมากในท้องตลาด

“ธนอรรถ ตรีธิติธัญ” เห็นว่า ขืนนั่งรอนอนรออยู่อย่างนี้ต่อไป มีแต่เสียกับเสีย ก็เลยควักเงินลงโฆษณาทางสื่อแจ้งให้ผู้บริโภคทราบว่า ซัน คลาร่า ได้เปลี่ยนแปลงกล่องใหม่สดใสกว่าเดิม

และยังได้โฆษณาในหนังสือพิมพ์มติชน และเดลินิวส์ เพื่อประกาศให้ทราบถึงการโฆษณา “ซัน คลาร่า” ตามสื่อทีวีดาวเทียม และวิทยุชุมชนที่พูดอวดอ้างสรรพคุณเกินจริงว่า บริษัท เนเจอรัล เฮิร์บฯ ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโฆษณาต่างๆ เหล่านั้นแต่อย่างใด

“ปัจจุบันมีสมาชิกเก่าได้โทรสั่งซื้อ “ซัน คลาร่า” จากโรงงานโดยตรงแล้วภายใต้บรรจุภัณฑ์ใหม่จำนวน 300,000 กล่อง ซึ่งไม่ได้จำหน่ายในระบบขายตรงหลายชั้น แต่นำไปจำหน่ายผ่านสื่อทีวีและวิทยุชุมชนต่างๆ ผมมีแผนจะปราบปรามสินค้าปลอมก่อน หลังจากนั้น 4-5 เดือนถึงจะดูว่าจะมอบสินค้านี้ให้กับตัวแทนจำหน่ายให้บริษัทขายตรงค่ายใหม่ต่อไป หากสตาร์ ซันไชน์ไม่เอาแล้ว ขณะนี้กำลังให้ที่ปรึกษาพิจารณาบริษัทที่มีศักยภาพอยู่ เพราะหากใครได้สินค้าตัวนี้ไปจำหน่ายก็เหมือนกับได้ยอดขายติดตามไปด้วยไม่ต่ำกว่า 100 ล้านบาท/เดือน เนื่องจากแบรนด์ติดตลาดอยู่แล้ว แต่ก็ยังไม่ทิ้งคู่ค้าเดิมหากมีโอกาสหาข้อสรุปร่วมกัน ผมก็ยังหวังว่าทุกอย่างจะลงเอยด้วยดี” นายธนอรรถกล่าว



“เอฟ-ทู” ทุ่มฟรีทีวีสู้ศึก
ชี้ต้องปรับกลยุทธ์ใหม่
หลังบริษัท โอทู อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ได้ส่งผลิตภัณฑ์ฟิตกระชับภายในผู้หญิงอย่าง “เอฟ-ทู” ลงสนามแข่งเมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2554 ที่ผ่านมา ได้สร้างกระแสฮือฮาพอสมควร งานนี้ “ขวัญชัย ปิยะทัศน์” จัดหนัก ทุ่มงบหลายสิบล้านบาทกับสื่อฟรีทีวีอย่างช่อง 3 และช่อง 5 เพื่อดันสินค้า “เอฟ-ทู” ให้เป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น
แม้แบรนด์ “เอฟ-ทู” จะเริ่มเป็นที่รู้จักของผู้คนในวงกว้างมากขึ้นก็ตาม โดยผ่านทีวีดาวเทียมเป็นตัวหลัก และฟรีทีวีเป็นตัวกระตุ้นเสริม แต่ปัญหาของค่ายนี้ติดอยู่ที่ผู้บริโภคยังหาซื้อสินค้าไม่ค่อยจะได้ เนื่อง จาก ตัวแทนจำหน่าย“เอฟ-ทู” ยังกระจายไปไม่ทั่วประเทศนัก หรือพูดง่ายๆ หาซื้อยากนั่นเอง

ในช่วง 1-2 เดือนที่ผ่านมา แทนที่ “เอฟ-ทู” จะทำยอดขายได้เดือนละ 80,000-100,000 กล่อง กลับขายได้เดือนละประมาณ 40,000-50,000 กล่องเท่านั้น ซึ่ง “ผู้บริหารโอทูฯ” เอง อยู่ระหว่างวางยุทธศาสตร์การตลาดแนวใหม่ และปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับการแข่งขันในปัจจุบัน โดยดึงกลุ่มร้านขายยาซึ่งเป็นฐานสมาชิกคอยเป็นแรงขับเคลื่อน

เพราะการใช้งบกับ “สื่อฟรีทีวี” จะอาศัยแค่สมาชิกเพียงอย่างเดียวเห็นจะไม่สำเร็จ “โอทูฯ” ก็เลยวางแผนกินรวบบุกทะลวงไปทุกอำเภอ เพื่อกระจาย “เอฟ-ทู” ให้บรรลุเป้าหมายเดือนละ 100,000 กล่องเป็นอย่างต่ำภายเดือนกรกฎาคมนี้

มิถุนายน 2555 นี้ คอยติดตาม “ซีรีส์” โฆษณา “เอฟ-ทู” ทางฟรีทีวีทุกช่อง 3 เวอร์ชั่น ที่ผ่านมา “โอทูฯ” ได้ส่ง “เอฟ-ทู” ชิมลางทางฟรีทีวีบางช่อง เพียงแค่ต้องการ “ชกโชว์” ออกหมัดแย็บเพื่อวาดลวดลายให้ดูเพลินๆ เท่านั้น ของจริงต้องหลังเดือนมิถุนายนนี้เป็นต้นไป



“ออไรท์” ตีปีกฉีกรอยยิ้ม
สื่อทีวี-วิทยุชุมชนร่วมตรึม
ขณะเดียวกัน “ค่ายแอม ริช” ซึ่งนำทัพโดย “เอกพิสิฐ บุญชะนะ” เวลานี้เหมือนได้เข้าไปร่วมขุดทองใน “ขุมทรัพย์มหึมา” หลังนายพลเอกท่านหนึ่งแนะนำให้รู้จักกับเจ้าของโรงงานผลิต “ซัน คลาร่า” คือ เนเจอรัล เฮิร์บฯ และได้เซ็นสัญญาผลิตสินค้าแบรนด์ “ออไรท์” ให้ออกมาทำตลาดเรียบร้อยแล้วตั้งแต่เมื่อปลายเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

จากจุดสตาร์ทในวันเปิดตัวมียอดขายมากถึง 20,000 กล่อง “เอกพิสิฐ บุญชะนะ” ยังได้เข้าไปปรึกษานักวางยุทธ ศาสตร์ ที่เคยทำให้สินค้าประเภทนี้มียอดขายถล่มทลายมาแล้ว แถมได้ผู้นำเข้าไปเสริมทัพอีกเพียบ ที่แน่ๆ แฟนคลับซัน คลาร่าที่มีสื่อวิทยุและทีวีดาวเทียมแห่ร่วมงานพรึบอาจเป็นเพราะว่าคนพวกนี้น่าจะชื่นชอบแผนไบนารี่ก็เป็นได้
ศึกครั้งนี้ “แอมริช” ประกาศทุ่มงบ 80 ล้านบาท เพื่อผลักดันสินค้า “ออไรท์” ให้เกิดภายในปี 2556 นี้ เห็นได้ชัดๆ เลยวันงานเปิดตัว “ออไรท์” ที่ผ่านมา “เอกพิสิฐ” แจกเงินให้ผู้นำที่ใช้สื่อวิทยุชุมชนเพื่อให้เอาเทปที่ออกทางรายการทีวีไปเปิดเสียงตามคลื่นวิทยุต่างๆ ทั่วประเทศ และแม่ทีมที่ใช้สื่อทีวีดาวเทียมอีกหลายกลุ่มได้นำเทปรายการเพื่อนำไปเผยแพร่ทางช่องต่างๆ ในโอกาสต่อไป

ที่แน่ๆ ความแรงของ “แอมริช” ไม่ใช่แค่พูดลอยๆ เท่านั้น เพราะ “เอกพิสิฐ” ได้จัดโต๊ะจีนเลี้ยงผู้นำทุกวันเสาร์เดือนละ 4 ครั้งที่ 13 เหรียญ ถ.พระราม 9 บรรจุคนได้รอบละ 400-450 คนเต็มทุกรอบ แถมทุกวันอังคารยังจัดสังสรรค์ที่สำนักงานใหญ่ในหมู่บ้านสัมมากร ถ.รามคำแหง 110-112 เป็นประจำ โดยมียอดขายเดิมพันกันในปี 2556 นี้ วางไว้ที่ 3,500 ล้าบาท ส่วนในปี 2555 นี้ “เอกพิสิฐ” ว่า เหลือเวลาอีก 9 เดือน เอาไปแค่ 2,000 ล้านก็พอ 60% ให้สมาชิกเอาไปแบ่งกัน “เอกพิสิฐ” กล่าวย้ำกับผู้นำที่มาร่วมงาน

สงครามตลาดสินค้า “ฟิตกระชับ” สำหรับผู้หญิง ไม่น่าจะหยุดเพียงแค่นี้ สดๆ ร้อนๆ “ธเนตร วงษา” แม่ทัพใหญ่แห่งค่าย “เจอเนสส์” ได้เข้าไปพบ “กาย ไพรินทร์” ที่ สนง.อิมพีเรียล ชั้น 5 บอกว่า เจอเนสส์จะย้ายสำนักงานใหญ่มาอยู่บนชั้น 3 อิมพีเรียล ลาดพร้าว และจะนำสินค้า “ฟิตกระชับ” มาทำตลาดเช่นกัน ติดต่อกับทางโรงงานไว้แล้ววันนี้มาขอชี้แนะน่อย

ฉะนั้น ในปี 2555 นี้ น่าจะเป็นอีก 1 ปีทองของสินค้าประเภท “ภายในผู้หญิง” อย่างไม่ต้องสงสัย นี่ถ้าค่ายขายตรงบิ๊กๆ มีสมาชิกมากๆ ได้สินค้านี้ไปเป็นหัวหอก โอกาสกินรวบตลาดทั้งระบบเป็นไปได้สูง

และเชื่อว่ามูลค่าการตลาดผลิตภัณฑ์ภายในผู้หญิงโดยรวมทั้งของจริงและของปลอมที่ออกมาแข่งกันทำตลาดอยู่ในขณะนี้ มีอัตราที่เพิ่มขึ้นมหาศาลจากหลายสิบยี่ห้อ ในปี 2554 ที่ผ่านมา ตลาดสินค้าประเภทนี้อยู่ที่ประมาณ 10,000 ล้านบาท และในปี 2555 นี้ คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 15,000 ล้านบาท แน่นอน

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 318 ประจำวันที่ 16 - 30 เมษายน 2555 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น