![]() |
สมรภูมิรบ “ขายตรงเกษตร” ส่งสัญญาณเดือด!...หลายค่ายเปิดกลยุทธ์หวังดันยอดขยับปลายปี ด้าน “ดาวปูแดง” ปรับกลยุทธ์ใหม่ “ซื้อตรง” ไม่ต้องซื้อผ่านผู้จำหน่ายอิสระ พร้อมตั้งโรงงาน รับซื้อเผือกและหอมกับพี่น้องเกษตรที่เข้าร่วมโครงการ...ส่วน “แทนคุณแผ่นดินสยาม” เร่งจัดโปรโมชั่นพิเศษกระตุ้นยอดขาย พ่วงท้ายเสริมสินค้าใหม่สู้ศึก... “วิน วิน” ปรับกลยุทธ์บุกตลาดเกษตรใหม่ เปลี่ยนจากขายแบบหลายชั้นมาเป็นแบบซิงเกิ้ล พร้อมจับมือ ธ.ก.ส. จำหน่ายสินค้าให้เกษตรกร...ด้าน “อธิบดีกรมวิชาการเกษตร” ออกโรงเตือน ระวังสินค้าเกษตรปลอม หลังพบตามเว็บไซต์เฮโลขายเพียบ
หลังจากปล่อยให้ธุรกิจนิ่งไประยะหนึ่ง ช่วงน้ำท่วมสำหรับ “ธุรกิจขายตรง” ในส่วนของ “ภาคการเกษตร” ณ เวลานี้ ต้องเรียกว่า หลาย ๆ ค่ายเริ่มที่จะมีการขยับตัว เพื่อกระตุ้นกำลังซื้อให้กลับคืนมาอีกครั้ง!...ที่สำคัญ ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ มีค่ายไหนบ้างที่ “ออกหมัดเด็ด” ชนิดที่ว่า “ทะลุทะลวง” กันบ้าง ทีมข่าว “ตลาดวิเคราะห์” ขอนำเสนอความเคลื่อนไหวของ “ขายตรงเกษตรแถวกลาง” ให้ทุกท่านได้ติดตามดังนี้
เปิดกลยุทธ์ท้ายปี ขายตรงเกษตร
เร่งอุดจุดบอด ชูจุดแข็งสร้างเครือข่าย
...เริ่มต้นเจาะกลยุทธ์ช่วงท้ายปีของ “ขายตรงเกษตร” ค่ายแรกนั่นก็คือ “ดาวปูแดง”ภายใต้การนำทัพของ “เชน
ใจซื่อ” ที่ในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ พบว่าค่ายนี้ได้มีการปรับเปลี่ยนกลยุทธ์ในการทำธุรกิจแนวใหม่ ด้วยการใช้กลยุทธ์ที่ชื่อว่า “ซื้อตรง” ซึ่งจากที่เคยจำหน่ายสินค้าผ่านทางนักธุรกิจอิสระ มาซื้อกับทางบริษัทฯ โดยตรง
และยังพบอีกว่า ทาง “ดาวปูแดง” ยังได้มีการตั้งโรงงานแปรรูปเผือก เพื่อรับซื้อเผือกและหอมจากเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการของบริษัทฯ อีกด้วย อีกทั้งยังมีการประกันราคาเผือกไม่ต่ำกว่ากิโลกรัมละ 10 บาท ซึ่งปัจจุบันพบว่า มีเกษตรกรที่เข้าร่วมโครงการแล้วกว่า 500 รายทั่วประเทศด้วยกัน และในอนาคต “ดาวปูแดง” ยังมีแผนที่จะเปิดโครงการสนับสนุนให้เกษตรกรปลูกพืชชนิดอื่น ๆ เพิ่มขึ้น และพร้อมที่จะรับซื้อด้วย
เช่นเดียวกับทางด้าน “บริษัท แทนคุณแผ่นดินสยาม จำกัด” หรือ “Give Siam” บริษัทขายตรงน้องใหม่ ช่วงนี้ก็ได้มีการเตรียมจัดกิจกรรมพิเศษและโปรโมชั่น เพื่อช่วยกระตุ้นยอดขายในช่วงเวลาที่เหลือ รวมถึงมีแผนที่จะเปิดศูนย์กระจายสินค้า ภายใต้ชื่อ “ศูนย์เกษตรสบาย” จำนวน 150 แห่ง ภายใน 1 - 2 ปีนี้อีกด้วย
ที่สำคัญ ทาง “แทนคุณแผ่นดินสยาม” ยังได้เตรียมที่จะเพิ่มไลน์สินค้า เข้ามาทำตลาดเพิ่ม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการเจรจากับทางโรงงานผู้ผลิตผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร เพื่อนำผลิตภัณฑ์ใหม่เข้ามา โดยจะเป็นผลิตภัณฑ์ที่เกี่ยวกับผู้หญิงและผู้ชาย ซึ่งก่อนหน้านี้พบว่า ค่ายนี้ได้มีการเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารน้ำมันรำข้าว ผสมกับน้ำมันมะพร้าว ภายใต้ชื่อ CO Rice ไปเมื่อไม่นานมานี้เอง
...ด้านขายตรงอย่าง “บริษัท วิน วิน เวิลด์ไวด์ จำกัด” ที่มี “ภก.ประเสริฐ หวานยิ่ง” เป็นหัวเรือใหญ่อยู่นั้น ก็ได้มีการปรับกลยุทธ์ในการทำตลาดทางด้านเกษตรใหม่ ด้วยการเปลี่ยนระบบการขายจากที่เคยทำธุรกิจในเครือข่ายแบบหลายชั้นมาทำธุรกิจในแบบซิงเกิ้ลแทน ซึ่งได้มีการร่วมมือกับทางธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) ในการจำหน่ายสินค้าให้แก่เกษตรกร โดยมีการนำร่องที่จังหวัดเชียงใหม่...
และนอกเหนือจากการปรับเปลี่ยนช่องทางการจัดจำหน่ายใหม่แล้ว ในอนาคตอันใกล้นี้ ค่าย “วิน วิน” ยังเตรียมที่จะเน้นให้สมาชิกได้มีการเปิดธุรกิจในลักษณะคล้ายโมบายที่เรียกว่า “บอส” ให้มากขึ้นอีกด้วย ซึ่งจะเป็นการให้ผู้นำได้มีการบริหารเอง โดย “วิน วิน” จะมีการจ่ายค่าบริหารให้บอส 10% ด้วยกัน
พร้อมกับ อัดกิจกรรมทางการตลาด รวมถึงโปรโมชั่นท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ และจัดให้สมาชิกเก่า และใหม่ได้ไปเข้าแคมป์อบรมพิเศษ เพื่อเสริมทักษะเวลาออกไปเจอสถานการณ์จริง ๆ ด้วย อีกทั้งในช่วงโค้งสุดท้ายของปีนี้ “วิน วิน” ได้มีการเพิ่มสินค้าใหม่อีก 6 รายการด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นครีมอาบน้ำ, กาแฟโสม, โฟมล้างหน้า, แชมพู, ทรีทเมนท์ และครีมหน้าใส เพื่อกระตุ้นยอดขายและตอบโจทย์ผู้บริโภคให้มากขึ้น ส่วนเป้าหมายอัตราการเติบโตสิ้นปีนี้นั้น ค่าย “วิน วิน” ได้ตั้งเป้าที่จะเติบโตอยู่ที่ 40% หรือมียอดขายอยู่ที่ 100 ล้านบาท
…จะเห็นได้ว่า ความคลี่คลายของสถานการณ์น้ำท่วมที่เริ่มผ่อนคลายลง ส่งผลให้ในช่วงเวลานี้ “ขายตรงภาคการเกษตร” เริ่มเปิดเกมแลกกันอย่างสนุกทีเดียว ซึ่งก็ต้องติดตามกันดูว่าแต่ละค่ายที่ได้มีการปรับกลยุทธ์ใหม่เพื่อสู้ศึกการแข่งขัน จะแผลงฤทธิ์ได้ร้อนแรงขนาดไหน ซึ่งไม่เกินสิ้นปีนี้คงได้รู้แน่นอน!
จับตาสินค้าเกษตรปลอม
พบตามเว็บไซต์เฮโลขายพรึบ!
...ส่วนอีกหนึ่งปัญหาที่ ขณะนี้เริ่มที่จะระบาดหนักขึ้นมาอย่างต่อเนื่อง นั่นก็คือ การเปิดเว็บไซต์ขายสินค้าเกษตรของพ่อค้าหัวใสที่ผิดกฎหมาย โดยจากข่าวล่าสุด ทางด้านอธิบดีกรมวิชาการเกษตร “ดำรงค์ จิระสุทัศน์” ได้ออกมากล่าวยอมรับว่า ในช่วงนี้เริ่มที่จะพบเห็นผู้ประกอบการจำนวนหนึ่งได้ใช้วิธีการขายสินค้าทางด้านการเกษตรผ่านทางเว็บไซต์ หรืออินเตอร์เน็ตเพิ่มมากขึ้น โดยการโฆษณาขายสินค้าส่วนใหญ่ ไม่บ่งชี้ว่าเป็นปุ๋ย หรือเป็นวัตถุอันตรายทางการเกษตรอย่างชัดเจน
ซึ่งจากกรณีดังกล่าวนี้ ทำให้เกษตรกรเกิดความเข้าใจผิดว่า สินค้าเกษตรดังกล่าวที่ได้มีการโฆษณานั้น สามารถช่วยเร่งการเจริญเติบโตของพืช รวมทั้งยังช่วยป้องกัน กำจัดศัตรูพืช และทำให้ได้ผลผลิตสูงได้จริง ซึ่งหลังจากที่มีการซื้อไปแล้ว ไม่ได้เป็นไปตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด ถือเป็นการเลี่ยงกฎหมายโดยใช้คำโฆษณาที่คลุมเครือและไม่ชัดเจน
โดยขณะนี้ทางกรมวิชาการเกษตร ได้มอบหมายหน้าที่ให้สำนักควบคุมพืชและวัสดุการเกษตร เร่งประสานหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ไม่ว่าจะเป็นสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับการคุ้มครองผู้บริโภค กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญา กรรมทางเทคโนโลยี และกรมสอบสวนคดีพิเศษ ในการควบคุมการโฆษณาให้ตรงตามความเป็นจริง ไม่ให้มีการโม้โอ้อวดจนเกษตรกรเข้าใจผิดในคุณภาพของสินค้า
...จะเห็นได้ว่า ในเรื่องของกฎหมายการลงโทษผู้กระทำผิดในปัจจุบันนี้ การเข้มงวดกวดขันถือว่ายังไม่เอาจริงเอาจังสักเท่าไหร่ จากกรณีที่ผ่านมาที่มีผู้จำหน่ายหลาย ๆ คนอ้างว่า สินค้าที่โฆษณาเป็นสารปรับปรุงดินทำให้กฎหมายภายใต้ พ.ร.บ.ปุ๋ย และ พ.ร.บ.วัตถุอันตราย ไม่สามารถเอาผิดได้ แต่หากใช้ พ.ร.บ.คุ้มครองผู้บริโภคมาควบคุมสามารถกระทำได้
และจากความไม่ชัดเจนในเรื่องของกฎหมาย รวมถึงการไม่เข้มงวดอย่างจริงจังนี้เอง จึงจำเป็นที่จะต้องร่วมมือกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการแต่งตั้งคณะทำงาน เพื่อวางแนวทางแก้ไขปัญหาดังกล่าวอย่างเร่งด่วน ก่อนที่จะเกิดปัญหามากขึ้นกว่านี้นั่นเอง
ซึ่งก็สอดคล้องกับล่าสุดที่ทาง “ประพนธ์ อางตระกูล” รองเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยา (อย.) ที่ได้ออกมาประกาศว่า อย.ยุคใหม่นับจากนี้ เตรียมที่จะเอาจริงผู้ประกอบการที่โฆษณาโอ้อวดสรรพคุณของสินค้าที่เกินจริง พร้อมกับการเตรียมที่จะเสนอให้สภาผู้แทนราษฎรขอแก้กฎหมายเพิ่มโทษหนักสำหรับผู้ที่กระทำผิดกฎหมายเรื่องของการโฆษณาอีกด้วย
…นับได้ว่า ขณะนี้การแข่งขันของ “ธุรกิจขายตรง” โดยเฉพาะในส่วนของ “ขายตรงภาคการเกษตร” ช่วงหลังน้ำลด จะเป็นอีกหนึ่งช่วงที่วัดกึ๋นความสามารถของ “ผู้ประกอบการ” ใน “ธุรกิจขายตรง” เลยก็ว่าได้ แต่ในทางกลับกัน เรื่องของการ พ.ร.บ.ปุ๋ย ที่ถือว่ายังไม่มีความชัดเจนเท่าที่ควร ก็เป็นอีกหนึ่งช่องโหว่ให้ผู้ประกอบการหัวใส พลิกแพลงแนวทางในการทำธุรกิจที่เสี่ยงต่อการกระทำผิดกฎหมายได้ด้วยเช่นกัน...ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งที่ทุกฝ่ายควรร่วมมือกันกำจัดปัญหาที่มีอยู่ให้หมดไปให้ได้
Credit By : http://www.taladvikrao.com/
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น