ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ยูนิไลฟ์-Unilife อัดแผนโค้งสุดท้าย ควักงบ 300 ล้านบาท ผุดโรงงานเกษตร


โค้งสุดท้าย ยูนิไลฟ์ เดินหน้างัดกลยุทธ์สร้างองค์ความรู้ สู่เกษตรกร พร้อมจัดงานเลี้ยงแบบโต๊ะจีน หวังทะลวงเป้า 500 ล้านบาท ล่าสุดควักงบ 300 ล้านบาท สร้างโรงงาน สินค้าเกษตรเพิ่ม รองรับการเปลี่ยนแปลงตาม สภาพแวดล้อมในอนาคต ที่จะมีผลสู่สินค้าเกษตร คาดโรงงานใหม่แล้วเสร็จกลางปี 2556 ขณะที่ ตลาดสินค้าเกษตรยังคงแข่งเดือด หลังรัฐบาล ส่งหลายโครงการกระตุ้นตลาดสินค้าเกษตร

เฉลิมเกียรติ มงคลธรรมากุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท ยูนิไลฟ์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผยว่า ในไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ บริษัทได้เตรียมแผนการตลาด ด้วยการเข้าไปเสริมองค์ความรู้กับเกษตรกร เช่น การจัดประชุม การจัดโรดโชว์ โดยบริษัท จะจัดให้มีเลี้ยงโต๊ะจีน ซึ่งบริษัทได้มองเห็นว่าช่วง ปลายปีเป็นช่วงที่เกษตรกรเริ่มเก็บเกี่ยวผลผลิตเรียบร้อย และเป็นช่วงที่เกษตรกรส่วนใหญ่จะมีการจัดฉลอง ทั้งนี้ ต้องดูถึงความเหมาะสมกับสังคมของแต่ละพื้นที่ โดย ปีนี้บริษัทได้ตั้งเป้ายอดขายทั้งปีที่ 500 ล้านบาท ซึ่ง ขณะนี้สามารถทำยอดขายไปได้แล้ว 400 ล้านบาท

สำหรับภาพรวมของบริษัทตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา ยังอยู่ในระดับที่น่าพอใจ โดยมีอัตราการเติบโตประมาณ 10% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันกับปีที่ผ่านมา ซึ่งบริษัท มองว่าหลายๆ บริษัทที่ทำธุรกิจการเกษตรในปีนี้ อาจ จะยอดการขายลดลงบ้าง เนื่องจากผลกระทบจากภาวะ น้ำท่วมในช่วงปลายปีที่ผ่านมา

ในส่วนของยอดขายในปัจจุบัน ภาคกลางยังคง เป็นตลาดหลัก เนื่องจากภาคดังกล่าวเป็นภาคที่มีนาข้าว มากที่สุด สามารถทำยอดขายได้สูงถึง 70% โดยแบ่ง เป็นกลุ่มสินค้าเกษตรทั้งหมด 76 รายการ และเป็นสินค้า กลุ่มอุปโภค-บริโภคกว่า 10 รายการ ซึ่งสินค้าในกลุ่มนี้ บริษัทจะเน้นให้เป็นสินค้าที่สอดคล้องกับความต้องการของเกษตรกร และในเร็วๆ นี้ บริษัทจะเปิดตัวสินค้าใหม่ ในกลุ่มเกษตรเพิ่มอีก 10 รายการ

พร้อมกันนี้บริษัทยังได้จัดสรรงบประมาณ 300 ล้านบาท เพื่อก่อสร้างโรงงานเพิ่ม ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่าง การก่อสร้าง คาดว่าจะแล้วเสร็จประมาณกลางปี 2556 ซึ่งโรงงานแห่งใหม่นี้จะเป็นโรงงานสำหรับผลิตสินค้า การเกษตร โดยเหตุผลหลักที่บริษัทต้องสร้างโรงงาน แห่งใหม่ เนื่องจากบริษัทได้เล็งเห็นว่าในอนาคตต้องมี การปรับสูตรสินค้าการเกษตรใหม่ๆ เพิ่มขึ้น เพราะ สภาพแวดล้อมในปัจจุบันมีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เวลา ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการออกผลผลิตของพืช ดังนั้น บริษัทจึงมองว่าควรจะมีโรงงานที่สามารถรองรับ กับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคตได้

ทั้งนี้ บริษัทมีคลังสินค้าทั้งสิ้น 35 คลังทั่วประเทศ นอกจากนี้ยังมีศูนย์ในการส่งสินค้าอีก 600 ศูนย์ โดย ศูนย์สินค้าของบริษัทจะเปิดในรูปแบบร้านค้าที่สมาชิก เปิดเอง และในศูนย์นี้ทุกสายงานของบริษัทสามารถ เข้าไปใช้บริการได้ ซึ่งทุกศูนย์ที่เปิดให้บริการได้รับการ อนุญาตให้เปิดถูกต้องตามกฎหมาย จากการที่หลาย พื้นที่ต้องประสบกับปัญหาภัยแล้งนั้น ได้ส่งผลกระทบ กับเราไม่มากนัก เพราะว่าเราทำธุรกิจแบบเครือข่าย จึง มีระบบที่เป็นตัวผลักดันให้สินค้าสามารถจำหน่ายได้ใน หลายพื้นที่ ที่จะต้องประสบกับปัญหาต่างๆ แต่จะได้ มากหรือน้อยนั้นขึ้นอยู่กับภาวะปัญหาของแต่ละพื้นที่ อีกทั้งจุดแข็งของเรา คือ แผนการตลาดที่สามารถ ตอบแทนผลประโยชน์ให้กับสมาชิกได้จริง

เฉลิมเกียรติ กล่าวต่อไปว่า ในการทำธุรกิจของ บริษัทนั้นจะเน้นการทำธุรกิจที่ต้องเป็นที่ยอมรับใน สังคมและต้องเป็นธุรกิจที่ถูกต้องตามกฎหมาย โดย สมาชิกต้องเป็นผู้ที่มีคุณธรรมและมีจรรยาบรรณในการ ทำธุรกิจ และอยู่ในกฎกติกาที่บริษัทได้ตั้งไว้ หากสมาชิก คนใดทำผิดกฎกติกา บริษัทจะไม่สนว่าใครจะทำยอด- ขายได้เท่าไหร่ ซึ่งหากทำผิดกฎเมื่อไร บริษัทก็พร้อม ที่จะตัดสมาชิกท่านนั้นไป เพราะธุรกิจไม่ได้ต้องการแค่ ยอดขายเท่านั้น

อย่างไรก็ตาม ทิศทางของตลาดปุ๋ยในช่วง ไตรมาสสุดท้ายจะมีการแข่งขันสูงขึ้น และนอกจาก จะแข่งขันกันเองในตลาดเครือข่ายแล้ว ยังต้องแข่งขัน กับตลาดภายนอกซึ่งเป็นกลุ่มเจ้าตลาดเดิม และเป็น ช่วงที่มีโอกาสทางการตลาดสูงเช่นเดียวกัน เนื่องจาก มีโครงการจากรัฐบาลหลายโครงการที่กระตุ้นให้ เกษตรกรทำเกษตรเพิ่มขึ้น ดังนั้นเมื่อมีโครงการ เหล่านี้เกษตรกรจำเป็นต้องหาผลิตภัณฑ์ที่ช่วยเพิ่ม ผลผลิตและลดต้นทุนให้กับตัวเอง ซึ่งปุ๋ยก็เป็นอีกหนึ่ง ทางเลือกสำหรับเกษตรกร


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.เดอะ พาวเวอร์ เน็ตเวิร์ค ฉบับที่ 210 วันที่ 1-15 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น