ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันพฤหัสบดีที่ 7 มีนาคม พ.ศ. 2556

ข่าวยูนิไลฟ์ (UniLife) : สินค้าเกษตรยังไม่ปรับราคา "ยูนิไลฟ์" ตั้งเป้ารายได้ปีนี้ 600 ล.








 


"ยูนิไลฟ์" ขายตรงสัญชาติไทยยังมุ่งมั่นที่จะอยู่เคียงข้างประชาชน ถึงแม้ต้นทุนเรื่องค่าแรงปรับเป็น 300 บาท ยังยืนยันไม่ปรับราคาสินค้า พร้อมแตกไลน์สินค้าเกษตรและอุปโภคบริโภคเพิ่ม ตั้งเป้าปั๊มรายได้ปีนี้ 500-600 ล้านบาท


นางปราณี พุทธิพิพัฒน์ขจร กรรม- การบริหาร บริษัท ยูนิไลฟ์ อินเตอร์-เนชั่นแนล จำกัด เปิดเผย ถึงแนวโน้มธุรกิจขายตรงในภาคเกษตรของบริษัทในปีที่ผ่านมา ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยน แปลงมากนักผลการดำเนินงานในปี 2555 มีรายได้ประมาณ 400 ล้านบาท เป็นไปในทิศทางเดียวกับปี 2554 ที่ผ่านมา ปัจจัย สำคัญมาจากสภาวะดิน ฟ้า อากาศของประเทศเป็นหลัก ถ้าปีไหนเกิดภัยแล้งก็ขาย ไม่ได้ ถ้าปีไหนอากาศดีได้ผลผลิตดีธุรกิจ ก็ดีตามไปด้วย


ดังนั้น ในปี 2556 นี้ บริษัท พยายามประคับประคองรายได้และตั้งเป้า ไว้ว่าจะขยายตัวประมาณ 30% หากได้ 500-600 ล้านบาท และจากความแข็ง-แกร่งของแม่ทีม 200-300 คน ที่ยังร่วมงาน กันมากว่า 10 ปี ถือเป็นหัวหอกที่สำคัญ ที่จะช่วยผลักดันให้เป็นไปตามเป้าหมาย


ปัจจุบันกำลังขึ้นทะเบียนสินค้าใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาอีกในไลน์ของสินค้าเกษตร เช่น ผลิตภัณฑ์จำพวกอาหารพืช ปุ๋ยบำรุงพืช เพื่อให้พืชได้เติบโตดีขึ้น นอกจากนั้น ยังแตกไลน์ขยายสินค้าทางด้านอุปโภคบริโภค เพิ่ม ได้แก่ กาแฟ ผงซักฟอก ยาสีฟัน อื่นๆ แต่สินค้าทางด้านเกษตรยังเป็นกลุ่มรายได้ หลักของบริษัท โดยกลุ่มนี้สร้างรายได้ประมาณ 30% ของยอดขายทั้งหมด


"สินค้าเกษตรทยอยเปิดตัว 2-3 เดือนครั้ง ซึ่งภายในเดือนมีนาคมก็จะออก สินค้าใหม่อีก แต่ขณะนี้อยู่ระหว่างการทดลอง ซึ่งอาหารพืชนั้นถือเป็นความจำเป็นจะต้องใช้ แต่ทุกวันนี้ยอมรับว่าโลก เปลี่ยนแปลงไป โลกร้อนขึ้น ภาวะอากาศ ผิดปกติ ย่อมส่งผลต่อการเพาะปลูกของเกษตรกร อากาศดีฟ้าฝนเป็นใจปีนั้นเกษตร ก็ได้ผลผลิตที่ดี ธุรกิจก็ดีด้วยเช่นกัน ธุรกิจ ทางด้านเกษตรจึงไม่มีผลกระทบต่อปัญหา ด้านค่าแรง 300 บาท แต่จะมีผลทางด้าน ภาคอุตสาหกรรม พนักงานมีรายได้เพิ่มขึ้น มีกำลังซื้อมากขึ้น แต่บริษัทก็ยังไม่มีนโยบายที่จะปรับราคาสินค้า ยังยืนหยัดใช้ ราคาเดิม"


ทั้งนี้ การเปิดตลาดของการแข่งขัน เสรีสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนหรือ AEC ถือว่า เป็นโอกาสที่ดีของบริษัท ในการขยายตลาดออกไปสู่ประเทศเพื่อนบ้าน ซึ่งขณะนี้บริษัทเริ่มเข้าไปเปิดสาขาที่ ประเทศลาว และกัมพูชา เมื่อปลายปี 2555 ที่ผ่านมา โดยจะใช้สาขานี้เป็นฮับ จากนั้น จะเปิดสาขาประเทศเวียดนามในเร็วๆ นี้ กำลังเตรียมความพร้อมอยู่


สำหรับมุมมองของธุรกิจขายตรงในปัจจุบัน นางปราณี ให้ความเห็นว่า ภาพ-ลักษณ์ของธุรกิจเริ่มดีขึ้น ประชาชนรับรู้ข่าวของธุรกิจมากขึ้น ทำให้เข้าใจและแยกแยะได้ ระหว่างขายตรงที่ถูกต้องและ หลอกลวงว่าเป็นอย่างไร หากยังมีบางส่วน ที่ไม่เข้าใจ ก็ต้องช่วยกันให้ความรู้แก่ผู้บริโภคอย่างจริงจัง จะทำให้พวกแอบแฝง ทำธุรกิจแบบตีหัวเข้าบ้านจะได้หมดไปจาก วงการเสียที


"วิธีการพิจารณาบริษัทที่ทำธุรกิจจริงหรือไม่ สิ่งแรกที่ควรพิจารณาคือ ตัวสินค้าเป็นสินค้าที่ใช้ได้จริงหรือไม่ มีประโยชน์ต่อผู้บริโภคและผู้ขายอย่างไร รวมถึงพิจารณาแผนการตลาด ว่าเข้าข่าย แชร์ลูกโซ่หรือไม่ ถ้าแผนทำให้คนได้รายได้ ง่าย ได้เยอะเกินความจริง ก็ไม่น่าจะเข้า ไปสุ่มเสี่ยง เพราะไม่เช่นนั้น กว่ารู้ตัวอีกทีอาจจะเสียหายมากมายไปแล้ว" นางปราณี กล่าวทิ้งท้าย


 


 



ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1383 ประจำวันที่ 6-8 มีนาคม 2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น