ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันพฤหัสบดีที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

ข่าวโควิก เคทท์ (Kovic Kate) : Xclusive interview คุณนาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โควิก เคทท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด







20080211_4 (Mobile)


นับตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมาจนถึงปัจจุบัน อุตสาหกรรมขายตรงไทย นับว่ามีอัตราการเติบโตเพิ่มขึ้น อย่างต่อเนื่องเฉลี่ยปีละไม่ต่ำกว่า 7% โดยในปี 2555 ที่ผ่านมา มูลค่ารวมทั้งอุตสาหกรรม คาดว่าสูงถึง 78,000 ล้านบาท ซึ่งหากดูตัวเลขการเติบโตดังกล่าวไม่ใช่เฉพาะ บริษัทขายตรงเท่านั้น อุตสาหกรรมเกี่ยวเนื่อง โดยเฉพาะ บริษัทที่รับจ้างผลิตสินค้า หรือ OEM ที่ป้อนให้กับบริษัท ขายตรงก็มีอัตราการเติบโตตามเช่นกัน โดยเฉพาะ บริษัท โควิก เคทท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ถือเป็นอีกหนึ่งในผู้นำอุตสาหกรรมการผลิตผลิตภัณฑ์เสริม อาหาร เครื่องสำอาง และสารสกัดจากสมุนไพรมากว่า 10 ปี วันนี้เราได้รับเกียรติจาก นาคาญ์ ทวิชาวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โควิก เคทท์ อินเตอร์เนชั่นแนล (ประเทศไทย) จำกัด ให้ สัมภาษณ์พิเศษถึงแนวโน้มการเติบโตของธุรกิจในปี 2556


อัตราการเติบโตในครึ่งแรกของปี 2556 เป็น อย่างไรบ้าง


การเติบโตถือว่าค่อนข้างดี เป็นผลมาจากการขยายตัว ของอุตสาหกรรมขายตรงภายในประเทศ แต่จากตัวเลขสถิติต่างๆ คิดว่าภายในปี 2557 น่าจะได้รับผลกระทบจาก เศรษฐกิจโดยรวมภายในประเทศที่มีความกังวลกันว่าจะเกิด ภาวะเศรษฐกิจที่เรียกว่าฟองสบู่แตก ซึ่งส่วนตัวเชื่อว่า เหตุการณ์ฟองสบู่แตกไม่น่าจะส่งผลกระทบมากนัก ซึ่งใน ระยะแรกผู้บริโภคอาจจะมีการรัดเข็มขัดบ้าง อีกอย่างขณะนี้ บริษัทได้เตรียมความพร้อมไว้รับมือเหตุการณ์ที่อาจจะ เกิดขึ้นในอนาคตไว้แล้ว


ในปีนี้บริษัทมีการลงทุนอะไรใหม่ๆ เพิ่มบ้าง


ปีนี้บริษัทได้ลงทุนกว่า 30 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องแล็บ และเปิดเป็นศูนย์วิจัยพัฒนาสารสกัดต่างๆ เพื่อใช้ ตรวจสอบผลิตภัณฑ์ ซึ่งเครื่องแล็บที่ซื้อมาสามารถ ตรวจเช็กถึงส่วนผสมของผลิตภัณฑ์ว่ามีอะไรบ้าง รวมไปถึงสามารถตรวจสอบได้ว่าสารบางอย่าง มีคุณสมบัติครบตามที่บริษัทแจ้งมาหรือไม่ โดยห้องแล็บนี้จะใช้เป็นแล็บกลาง บริษัทอื่นๆ สามารถนำผลิตภัณฑ์ หรือสินค้าเข้ามาตรวจสอบ ได้ว่า ผลิตภัณฑ์นั้นมีส่วนผสม และสารอะไรบ้าง เนื่องจาก ปัจจุบันมีผลิตภัณฑ์เสริม- อาหาร และเครื่องสำอางใหม่ๆ ออกมาในตลาดค่อนข้างเยอะใน ฐานะที่เราเป็นผู้บริโภคไม่สามารถตรวจสอบ ได้เลยว่า สารอาหารบางตัว หรือส่วนผสมบางชนิด มีครบตามที่กล่าวอ้างมาหรือไม่ ดังนั้น เครื่องนี้ สามารถตรวจสอบได้


ปีนี้ได้มีการเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ อะไรเข้ามาบ้าง


ปีนี้เราได้เพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่อีก 2-3 รายการ ได้แก่ ยาแผนโบราณ และวัตถุดิบที่เป็นสารสกัดจาก สมุนไพรที่ผลิตในประเทศ เพื่อส่งออกไปยังตลาด ต่างประเทศ เช่น ญี่ปุ่น, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, มาเลเซีย, สหรัฐอเมริกา และกลุ่มประเทศสแกน- ดิเนเวีย เพราะต่างประเทศมีความต้องการสารสกัด ที่ผลิตจากสมุนไพรไทยเพิ่มสูงขึ้น โดยปัจจุบัน ประเทศไทยมีสมุนไพรมากกว่า 3,000 ชนิด ดังนั้น ยังมีโอกาสเติบโตได้อีกมากนอกจากเสริมอาหารสำหรับคนแล้ว บริษัทยังได้ ก่อสร้างโรงงานผลิตเสริมอาหารสำหรับสัตว์อีกด้วย เช่น เสริมอาหารสำหรับวัวที่กินแล้วทำให้เพิ่มน้ำนมให้มากขึ้น หรือเสริมอาหารสำหรับไก่ที่ช่วยป้องกันไข้หวัดนก เป็นต้น ซึ่งคาดว่าจะมาช่วยขยายตลาดให้กว้างขึ้น โดยปัจจุบัน บริษัทมีโรงงานผลิตทั้งหมด 5 แห่ง ได้แก่ โรงงาน ที่กาญจนบุรี, โรงงานที่บางปะกง, โรงงานที่รังสิต, โรงงาน ที่หลักสี่ และโรงงานที่ปทุมธานี ซึ่งเป็นโรงงานผลิตเสริม- อาหารสำหรับสัตว์


ตั้งเป้ายอดขายปี 2556 ไว้เท่าไร


หากมองในภาพรวมของปีนี้ บริษัทเชื่อว่าน่าจะ เติบโตต่อเนื่องจากปี 2555 ที่ผ่านมา โดยบริษัทตั้งเป้ายอด ขายไว้ที่ 800-900 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่มียอดขาย 600 กว่าล้านบาท ซึ่งสัดส่วนยอดขายหลักๆ จะมาจากกลุ่ม เสริมอาหาร 75% เครื่องสำอาง 20% และสารสกัด 5% แต่ในปี 2557 เชื่อว่าสัดส่วนดังกล่าวจะเปลี่ยนไป เนื่องจาก เครื่องสำอาง สารสกัด และเสริมอาหารสำหรับสัตว์จะเพิ่มขึ้น โดยแบ่งเป็นกลุ่มเสริมอาหาร เหลือ 57% เครื่องสำอาง 30% สารสกัด 8% และเสริมอาหารสำหรับสัตว์ 5%


เทรนด์ตลาดอาหารเสริมในประเทศไทยเป็นอย่างไรบ้าง


ปัจจุบันเทรนด์ของตลาดเสริมอาหารกำลังมาแรง โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับผิวสวย และควบคุมน้ำหนัก ซึ่งอยู่ใน ยุคของแฟชั่น กล่าวคือ การตลาดจะเน้นในเรื่องของการดึง ดาราหรือนักแสดงมาเป็นพรีเซ็นเตอร์ และโปรโมตลงในสื่อ โซเซียล เน็ตเวิร์ก ทำให้มีลูกค้า และแฟนคลับเข้าไปติดตาม สั่งซื้อเหมือนกับดาราคนนั้น


ปัจจัยที่น่ากังวลในอุตสาหกรรมผู้รับจ้างผลิตคืออะไร


ปัจจัยเรื่องของการขึ้นค่าแรง 300 บาทแม้จะได้รับ ผลกระทบบ้าง แต่ไม่มาก เนื่องจากในช่วงก่อนหน้าที่ภาครัฐ จะปรับขึ้นค่าแรงดังกล่าว บริษัทได้จ้างบุคลากรที่มี ศักยภาพ และการนำเครื่องจักรเข้ามาทดแทนแรงงานคน ส่วนปัจจัยที่ต้องจับตาเป็นพิเศษ คือ ปัจจัยเรื่องของ เศรษฐกิจภายในประเทศที่อาจจะชะลอตัวบ้าง ซึ่งปัจจัย ดังกล่าวจะส่งผลกระทบโดยตรงกับผู้บริโภคจะทำให้กำลัง ซื้อหดตัวได้




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.The Power Network ฉบับที่ 226 ประจำวันที่ 1-15 กรกฎาคม 2556


ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น