ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันอาทิตย์ที่ 15 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

ข่าว "คังเซน-เคนโก (Kangzen-Kenko)" ปักหมุดอาเซียน เชื่อมั่นเปิด AEC ปี 2558 เอาอยู่..!!


ทันทีที่รายการ ตลาดวิเคราะห์ ที่ออกอากาศทางสถานี INTV และ TVD ทุก ๆ วันเสาร์ - อาทิตย์ยิงคำถามถึงเรื่องยอดขาย 5,000 ล้านบาทในอาเซียน มีโอกาสไหม...สำหรับ 1- 2 ปีข้างหน้า กับยอดขายค่าย คังเซน - เคนโก หนึ่งในบอร์ดบริหารที่เป็นคีย์แมนคนสำคัญของค่าย คังเซน - เคนโก ...อิทธิศักดิ์ อำพันยุทธ์ ในฐานะ ประธานกรรมการบริหาร บริษัท คังเซน - เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด ก็ตอบด้วยความมั่นใจว่า สำหรับผู้ประกอบการเองทุกๆคนก็อยากได้ตัวเลขเยอะๆทุกคนก็อยากได้ยอดขายสูงๆแต่เรามีการประเมินอยู่เสมอว่าด้วยจุดแข็งและจุดอ่อนที่เราต้องมีการพัฒนาอยู่ตลอดเวลาเราจะสะท้อนตัวเลขออกมาได้มากขนาดไหน.. จริงๆผมจะประกาศเป้า 5,000 ล้านบาทหรือ 7,000 ล้านบาทก็ได้หรือจะ 10,000 ล้านบาทก็ได้แต่อันที่จริงแล้วมันไม่ใช่มันเป็นเพียงแค่คำพูดแต่เราจะมีการประเมินตัวเราเองตลอดเวลาว่าด้วยศักยภาพของตัวเราเวลานี้ควรจะโตสักกี่เปอร์เซ็นต์ซึ่งผมมองตัวเลขค่อนข้างคอนเซอร์เวทีฟจะเป็นการอนุรักษ์นิยมเล็กๆถ้าขายตรงของเราโตได้เฉลี่ยต่อปีปีละ 10 15% หรือโตได้ 20% ก็ถือว่าเราโชคดีซึ่งตัวเลขที่เติบโตทั้งในตลาดอาเซียนและไทยเรากวาดยอดขายรวมกว่า 3,000 ล้านบาท


ที่สำคัญเมื่อปลายปี 2554 ที่ผ่านมา ประเทศไทยเจอสภาวะน้ำท่วมหนัก ย้อนกลับไปดูอุตสาหกรรมทั้งระบบถูกกระทบทั้งหมดคังเซน-เคนโกก็โดนไปทั้งสิ้น 10 กว่าสาขาที่ต้องปิดไปเพราะโดนน้ำท่วมเหมือนกัน แต่ทางเราก็พยายามแจ้งสมาชิกบางคนที่โดนน้ำท่วม ให้ย้ายฐานการทำงานไปยังพื้นที่ที่น้ำยังไม่ท่วม อาทิ คนที่อาศัยอยู่ภาคกลางย้ายไปทำที่ภาคตะวันออก โชคดีที่นักขายเรามีทัศนคติที่เป็นบวก เขาพยายามมองวิกฤติให้เป็นโอกาส เมื่อตรงนี้ทำงานไม่ได้ ก็ไปทำงานที่อื่น ก็เท่ากับสร้างสำนักงานชั่วคราวไปสร้างธุรกิจในที่ที่เกิดใหม่ คือใช้เวลาว่างให้เป็นประโยชน์ น้ำท่วมที่นี่ ก็ไปทำที่ใหม่ได้ พอน้ำลดก็กลับมาทำที่เดิม
ในจังหวะเดียวกันเพื่อนบ้านหรือทุก ๆ คนได้รับผลกระทบมากหรือน้อย บางคนบ้านหายไปทั้งหลัง รถหายไปทั้งคัน บางคนก็โรงงานปิด แต่สิ่งหนึ่งที่ไม่หยุด นั่นคือ ค่าใช้จ่ายมันมีอยู่ตลอด ค่าใช้จ่ายไม่ได้หยุดตามจังหวะธุรกิจที่หยุด ก็กลายเป็นว่า นักธุรกิจ คังเซนฯ ได้นำเอาอาชีพเสริมเข้าไปกระตุ้นให้คนเข้ามา แต่ต้องยอมรับว่าทำไม่ได้เต็มที่ เพราะมันยากนิดนึง แค่เปลี่ยนทัศนคติในการทำงานกลายเป็นมุมบวก แม้จะน้ำท่วมจะเป็นภาพลบ แต่ปรับทัศนคติบวกในสายตานักธุรกิจ ก็ถือว่าโอเคแล้ว
ณ วันนั้น ธุรกิจของเราก็ชะงักไป 20% มีดร็อปลงไป สมาชิก ทีมงาน สต๊าฟ เราจำเป็นต้องช่วยสมาชิก มีการระดมสิ่งของช่วยเหลือพี่น้องประชาชนส่วนหนึ่ง อะไรที่ช่วยเหลือได้เราก็ช่วยเหลือกันไป ลงไปช่วยกันทำ ข้าวสาร อาหารแห้ง รวมถึง คังเซนฯ ได้บริจาคผ่านสื่อต่าง ๆ และมีการบริจาคด้วยตัวเอง อาทิ เรือยาง ขนรถสิบล้อ ขนเตาแก๊ส 2,000 ชุด เอาสมาชิกเป็นกระบอกเสียงไปช่วยเหลือตามจุดต่าง ๆ
เมื่อวิกฤติได้ผ่านพ้นไป เกมการเดินตลาดในไตรมาสที่ 1 2 ก็คงไม่ต้องตั้งรับกันแล้ว เพราะเราตั้งรับมานาน 3 เดือนเต็ม ก็โดนกันไปพอสมควร จนกลายเป็นวลีฮิตของทุกพื้นที่น้องน้ำมารึยัง
หลังจากที่เราโดนผลกระทบไป เราก็พยายามทำเท่าที่ทำได้ในช่วงระยะเวลาหนึ่ง เมื่อเราสำรวจฐาน เห็นได้อย่างหนึ่งว่ากำลังซื้อลดลงอย่างเห็นได้ชัด โดยเฉพาะในโซนภาคกลางซึ่งเป็นฐานใหญ่ของเรา เพราะว่าโรงงานในนิคมอุตสาหกรรมเรายังรันไม่ได้ 100% การจ้างงานอะไรต่าง ๆ บางทียังไม่เกิดขึ้น 100% ซึ่งมันเป็นฐานผู้บริโภคใหญ่เรียกว่าหดไปพอสมควร เราก็เลยต้องหันไปขยายธุรกิจในพื้นที่อื่นมากขึ้น พอถึงเวลาทุกอย่างเรียบร้อย การรันธุรกิจในอุตสาหกรรมได้ 100% ผมเชื่อว่าสุดท้ายแล้วคนก็ไหลกลับมาทำงาน เพราะนิคมอุตสาหกรรมใหญ่กลับมารันเหมือนเดิม คนก็กลับมาทำงานเช่นเดิม พื้นที่อื่นที่ยังเป็นห่วงอยู่ ก็สามารถกลับมาขยายได้เพิ่มมากขึ้น ยกเว้น ปีนี้น้ำมา กันไม่ได้ ตรงนี้ก็เป็นเรื่องที่ต้องว่ากันต่อไป
โดยสรุปไตรมาส 1 และ 2 คังเซนฯ ได้ปรับเป็นยุทธศาสตร์เชิงรุก ส่วนไตรมาส 3 ย่างก้าวสู่ฤดูการขาย ก็ต้องหยั่งเข้าไปในพื้นที่ในช่วงฤดูการขาย ถ้าเปรียบกับธุรกิจท่องเที่ยวที่แบ่งฤดูการท่องเที่ยวออกเป็น โลซีซั่น อยู่ 2 ช่วง ช่วงแรกคือ เดือนเมษายน - พฤษภาคม เป็นช่วงจับจ่ายใช้สอยและวันหยุดยาว เป็นวันครอบครัว พอจับจ่ายใช้สอยสู่ช่วงโลซีซั่น 2 นั่นคือ เปิดเทอม ย่างเข้าหน้าฝนหรือช่วงภาวะที่เกิดน้ำท่วม เรื่องธุรกิจก็จะได้รับผลกระทบจากการเดินทาง


รุก-รบด้วยระบบเทรนนิ่ง
จุดเหวี่ยงนักขายสำเร็จเร็ว
เมื่อผ่านพ้นไปแล้ว 6 เดือน ทุกอย่างเริ่มเข้าที่เข้าทาง จึงเตรียมกลยุทธ์ในการบุกตลาด ด้วยการเปิดตัวสินค้าใหม่ หรือเรียกว่า B2C (Business 2 Consumer) คือเราพยายามใช้งบที่มีอยู่อย่างจำกัดให้เกิดประโยชน์สูงสุด จะเห็นว่างบประมาณที่เราใช้จะลงไปในส่วนของการจัดอีเว้นท์ การออกบูธ การจัดงานร่วมกับผู้นำในพื้นที่ เพื่อที่จะแนะนำกลุ่มลูกค้าที่เดินผ่านไปผ่านมา ซึ่งเป็นการแนะนำอยู่ในตัว เรามั่นใจอยู่ลึก ๆ ว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมา แบรนด์ KK หรือ คังเซน - เคนโก เป็นที่รู้จักอยู่ในตลาดพอสมควร
ฉะนั้น การที่เราไปออกบูธเท่ากับเป็นการตอกย้ำแบรนด์ KK เดิมเคยเห็นโฆษณาผ่านช่อง 3 จากที่เคยเห็นแล้วผ่านไป แต่ไม่เคยรู้ว่าสาขาอยู่ที่ไหน เราจึงมาต่อด้วยกลยุทธ์ B2C ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่ทำได้ง่ายที่สุด ใช้งบประมาณน้อยที่สุด และเข้าถึงผู้บริโภคได้มากที่สุด
เพราะฉะนั้นจะมีการจัดอีเว้นท์ใหญ่ - ย่อย ลงในแต่ละพื้นที่ค่อนข้างเยอะ อย่างวันที่ 1 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา ก็เป็นอีกแผนงานหนึ่งจัดขึ้นที่ไบเทค บางนา ถือเป็นอีเว้นท์ไม่ค่อยใหญ่เท่าไหร่ แต่ก็ได้รับความสนับสนุนจากสมาชิกมากันตามสมควร เรามีการเปิดตัวสินค้าใหม่ พร้อมแนะนำระบบในการทำธุรกิจที่มั่นคงและถูกต้องเป็นอย่างไร เรามีการแบ่งห้องเล็ก ๆ 4 ห้อง มีห้องแผนการตลาด ห้องการเปิดตัวสินค้า ห้องในการอบรมปรับเปลี่ยนทัศนคติ เป็นต้น
ผมถึงบอกว่าเราพยายามสร้างเน็ทเวิร์คบิลเดอร์หรือกลุ่มนักธุรกิจใหม่ที่เกิดขึ้นในแต่ละช่วงของธุรกิจซึ่งจะสังเกตได้ว่าในแต่ละห้องอบรมจะจำกัดการอบรมห้องละไม่เกิน40นาทีวันหนึ่งก็มีอยู่3รอบคูณจำนวนครั้งต่อวันรันตั้งแต่เช้าจรดเย็นเหตุผลที่เราทำอย่างนี้เพราะเราเห็นว่าในแต่ละรอบถ้ามีการอบรมแล้วคนเยอะเกินไปการเข้าถึงตัวจะน้อยแต่ถ้าคลาสของเราไม่ใหญ่จนเกินไปห้องอบรมไม่แน่นและสามารถใกล้ชิดได้มากกว่ามีการเทสมาก่อนว่าได้ผลก็เป็นเรื่องจริงที่เกิดขึ้น
ยกตัวอย่างเมื่อก่อนผมอบรมที่พัทยาเป็นฟังก์ชั่นSM (Star Manager)ฟังก์ชั่นครั้งนั้นอบรม400กว่าคนแต่ว่า400กว่าคนมันจบแล้วก็จบบางทีคนอาจเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็ไม่รู้ผมจึงปรับใหม่โดยคัดเกณฑ์ในการฝึกอบรมเหลือ120 150คนปรากฏว่าเราเช็คเรตติ้งมากกว่า60%ที่เข้าใจและเรียนรู้งานได้เร็วขึ้นคือทุกอย่างต้องทำการบ้านอย่างละเอียดยิบอย่างที่บอกคังเซนฯของเรามีจุดแข็งในเรื่องของการขายแต่ว่าการสร้างระบบบิลเดอร์หรือสร้างระบบเน็ทเวิร์คยังไม่ค่อยเข้มแข็งเท่าที่ควร
แต่ในช่วง 2 3 ปีที่ผ่านมา เรารู้แล้วว่าขายตรงจะทิ้งน้ำหนักไปทางหนึ่งทางใดไม่ได้ ขายตรงจะทิ้งน้ำหนักงานขายอย่างเดียวไม่ได้ จะทิ้งน้ำหนักการสร้างระบบอย่างเดียวก็ไม่ได้ เพราะบางทีการสร้างแต่ฝัน สร้างแต่ละระบบ
ฝัน ๆๆ จนขายอะไรไม่ได้ แต่ว่าถ้าขาย ๆๆ อย่างเดียวไม่มีวันหยุด เพราะฉะนั้นเราต้องเอาทั้ง 2 ระบบนี้มาแมทซ์ด้วยกัน เมื่อมาสร้างระบบที่ถูกต้อง เราก็มีทิศทางที่ดีในการขายสินค้า ตัวสินค้าไม่ดีมันเอื้อให้ทำธุรกิจไม่ได้ แต่ของเราคนบริโภคได้ทุก ๆ เดือน แค่อินพุตระบบก็อปปี้ระบบความสำเร็จลงไป แต่ระบบนี้จะให้เกิดความเข้มแข็งต้องเดินตามสเต็ป 1 2 3 4 เมื่อมามิกซ์การอบรมที่มีอยู่หลาย ๆ คอร์ส ระบบก็จะไปสร้างคนให้เกิดความแข็งแกร่งได้ไม่ยาก
แผนงานการอบรมก็จะก้าวไปพร้อม ๆ กับการจัดอีเว้นท์และการเปิดตัวสินค้าใหม่ อย่างที่ไบเทค บางนา การจัดงานก็พ่วงไปกับการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ออร์แกนิค ผลิตภัณฑ์ระดับ 5 ดาว ภายใต้ชื่อออร์แกนนิคนูทริชั่นแอนด์รีจูวีแลคต้องบอกว่า 16 ปีแล้วที่เราเปิดตลาด แต่นำสินค้ามาอัพเกรด มาปรับคุณภาพ เติมสารอาหารลงไป ก็เลยถือโอกาสเปิดตัวสินค้าตัวนี้อีกครั้งหนึ่ง ขณะเดียวกันเรามีสินค้าอีกหลายรายการในเครือออร์แกนิค และกำลังรอนำเข้าอีก 4 5 รายการ รวมแล้วเรามีสินค้ากว่า 20 กว่าตัว แต่ตอนนี้ขออนุญาตนำเข้าแค่ 3 ตัวก่อน
ส่วนสินค้าที่เป็นนางเอก ก็ยังคงเป็นครีมไข่มุกหรือที่เรียกว่าว่า เพิร์ล และยกระดับไปเป็น เพิร์ล ซีรี่ส์ จากเจาะลูกค้าฐานกลางยกระดับไปถึงระดับบน สิ่งหนึ่งที่เราภูมิใจมาก นั่นคือ การจับมือร่วมลงทุนกับซัพพลายเออร์ที่ไต้หวัน ซึ่งโรงงานแห่งนี้จะผลิตสินค้าชุด เพิร์ล ซีรี่ส์ ให้กับเรา ที่ผ่านการขออนุญาตจาก GP Certificate ต่าง ๆ เพื่อส่งไปทั่วโลก จริง ๆ ซัพพลายเออร์เจ้านี้อยู่กับเรามาตั้งแต่เราเปิดบริษัท เดิมทีเขามีอยู่แล้ว 2 โรงงาน แต่ว่าด้วยกำลังผลิตฟูล คาพาซิตี้ (Full Capacity - กำลังการผลิตเต็ม) เพราะเรามีการขยายไลน์สินค้า ซึ่งระยะหลังนี้มีการเติบโตมาก ๆ ซึ่งเราเริ่มส่งออกไปที่ลาว กัมพูชา เวียดนาม รวมถึงไทยมากขึ้น
และถือเป็นการขยายโรงงานผลิตเป็นโรงที่ 3 ซึ่ง 2 โรงแรก เราไม่ได้เริ่มต้น เพราะเขาเริ่มต้นมาก่อน แต่พอเราชวนมาลงทุนในไทยเขาบอกไม่สะดวก (กลัวน้ำท่วม) ก็พยายามชักชวนเพราะจะได้พัฒนาในเรื่องของคุณภาพ และเราต้องการอิมเมจภาพลักษณ์ เพราะว่าธุรกิจขายตรงเราต้องการอิมเมจ หรือว่า ภาพลักษณ์ เพราะเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในธุรกิจขายตรง เราต้องสร้างธุรกิจให้เขาสัมผัสได้ เราจึงมีข้อตกลงร่วมกันว่า ถ้าจะสร้างโรงงานโรงที่ 3 ผมขอร่วมลงทุนด้วยส่วนหนึ่ง ก็เท่ากับว่าสินค้าตัวนี้เราเป็นผู้จำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวในเมืองไทย ภายใต้ลิขสิทธิ์ของเราเอง
ส่วนในประเทศอื่น ๆ เราไม่ได้ขยายออกไปในรูปแบบแฟรนไชส์หรือรีเทล แต่เราผ่านในรูปแบบของธุรกิจขายตรง เพราะจะต้องไปลิงค์กับระบบ โกรบอล วัน คือ 1 รหัสคุณสามารถทำธุรกิจที่ คังเซนฯ โอเปอเรชั่นอยู่ โดยเราปรับเมื่อปลายปีที่ผ่านมา ว่า หากมีการคำนวณรายได้จะคำนวณมาจากเวียดนาม ลาว กัมพูชา มารวมกัน จุดแข็งของเราคือ เรามีทีมเขียนโปรแกรมซอฟต์แวร์ของเราลิงค์ระบบเวิลด์วาย ระบบเซิร์ฟเวอร์ เมนเฟรมต่าง ๆ เราใช้งบลงทุนไปกว่า 50 ล้านบาท ตอนนี้คาพาซิตี้ลิงค์ได้ทั้ง 5 ประเทศ เราเขียนระบบขึ้นมาเอง เป็นโกรบอลสไตล์ คังเซนฯ เพราะธุรกิจจะเติบโตได้ต้องเน้นการทำงานที่เป็นทีม ไม่ได้เน้นเก่งแค่เพียงคนเดียว
สำหรับโปรเจ็กต์ที่จะเป็นภาพลักษณ์ของ คังเซน เคนโก ในอนาคต ก็คือ เราเตรียมพร้อมที่จะสร้างสำนักงานแห่งที่ 2 เป็นอาคารคังเซน เพลส มูลค่าการลงทุนกว่า 300 ล้านบาท จะประกอบไปด้วยตึก 2 ตึก ตึกแรกก็จะเป็นอาคารห้องประชุมคอนเวนชั่น ฮอลล์จุคนได้ 700 800 คน เป้าหมายเราจะจัดงานใหญ่ที่นั่น ซึ่งจะเป็นห้องประชุมใหญ่ชั้นบน และชั้นล่างจะเป็นห้องประชุมย่อยซอยลงมา ตึกที่ 2 จะเป็นออฟฟิศบิวดิ้ง บริษัทต่าง ๆ ในเครือจะย้ายมาที่นี่ 6 7 บริษัท ซึ่งเราอยากให้เป็น One stop service ในที่เดียวกัน โปรเจ็กต์นี้เราเริ่มต้นดำเนินการแล้ว แต่ด้วยพื้นที่ใช้สอยประมาณ 12,000 ตารางเมตร ทำให้เข้าไปในมาตรากฎหมายตรวจสอบผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม หรือ EIA ก็ต้องยื่นขออนุญาตทั้ง กทม. และ EIA ซึ่งอาจจะต้องใช้เวลา 3 4 เดือน ถ้าหมดหน้าฝนคาดว่าปลายปีนี้ก็น่าจะเริ่มลุยได้
ส่วนในเรื่องของแผนงานโรงแรมที่เคยวางไว้ ตัวผมเป็นคนที่ชอบการบริหารด้านการโรงแรม ชอบเรื่องการบริการ ก็อยากจะมีโรงแรมและรีสอร์ท เป็นของเราเอง ซึ่งในอนาคตผมมั่นใจว่า ธุรกิจของเราจะมั่นคงและเดินหน้า เมื่อธุรกิจเจริญเติบโต สิ่งหนึ่งที่เราต้องพูดคุยอยู่เสมอ ก็คือ การแตกแขนงธุรกิจสู่ธุรกิจอื่นที่สามารถเกื้อหนุนกันได้ ทั้งโรงแรมและรีสอร์ท ซึ่งเราได้จัดซื้อที่ดินอยู่ทั่วประเทศ อีกส่วนหนึ่งที่เราเริ่มต้นไปแล้ว นั่นคือ ธุรกิจในส่วนของการเงิน ที่ดิน และโรงพิมพ์ รวมถึงธุรกิจบริหารจัดการทั่วไป ธุรกิจที่เปิดขึ้นมาใหม่ นั่นคือ ธุรกิจในส่วนของการส่งเสริมความงาม แต่จะไม่นำบริษัทเข้ามหาชน เพราะด้วยข้อจำกัดหลาย ๆ อย่าง และด้วยแคชโฟร หรือ กระแสเงินสดที่เรามีอยู่เพียงพอ
ในเรื่องของการสื่อโฆษณา จริง ๆ เรามีการใช้งบตามสมควร เราใช้งบประมาณได้อย่างสูงสุดทุ่มในเรื่องของบิลบอร์ด ณ จุดต่าง ๆ ที่เรากระจายไปในเวลานี้ เป็นจุดที่มีการสัญจรไปมาผ่านค่อนข้างเยอะ คนที่ขับรถผ่านไป มาแล้วมองเห็น ก็เป็นการรีมายด์แบรนด์เนมของเราได้เหมือนกัน นอกเหนือจากนั้น การโฆษณาผ่านทางสื่อต่าง ๆ หนังสือพิมพ์ก็จะมีอย่างต่อเนื่อง ส่วนสื่อโฆษณาทีวี เรามีการโยกงบไปสนับสนุนการประกวดนางสาวไทย ซึ่งก็ถือว่าเราโชคดีที่ส่งประกวดทั้ง 3 คน ได้ตำแหน่งนางสาวไทยทั้งหมดเลย
ส่วนการใช้สื่อทีวีดาวเทียมผมคิดว่ากลยุทธ์ในแต่ละบริษัทแต่ละองค์กรมีความคิดที่ต่างกันเรื่องของการใช้สื่อก็แล้วแต่ความพร้อมของแต่ละองค์กรเราเชื่อว่ามันก็เป็นผลดีทั้งนั้นขอเพียงแต่ว่าแต่ละองค์กรแมนเนจในการใช้สื่ออย่างไรผมถือว่าโอเคก็เป็นทิศทางเดินในแต่ละบริษัทก็ว่ากันไป


อาเซียนโกยยอดกว่า1,000ล้าน.
ยังเปิดเกมรุกหนัก-ไม่ล่าถอย
ในตลาดอาเซียนเติบโตมากที่สุดก็จะเป็นอินโดนีเซีย ยอดขายปีละ 1,000 ล้านบาท เราติดอันดับ 6 หรือติดอันดับท็อปเท็นในอินโดนีเซีย ซึ่งเราเปิดที่อินโดนีเซีย ก็ต้องบอกว่า เป็นระยะเวลา 10 กว่าปีแล้ว เพราะการที่แบรนด์ไทยไปโตที่ต่างประเทศ ถือว่าเป็นเรื่องยากมาก กว่าที่เราจะไปเรียนรู้วัฒนธรรมของเขา ไปทำความเข้าใจระบบความรู้พื้นฐาน การยืนบนธุรกิจขายตรงบางทีมันก็ยากพอสมควร อย่างประเทศพม่าเอง ถือว่าเราไปเปิดประเทศมาเป็นเวลา 8 9 ปีแล้ว แต่ยอมรับว่าในพม่าเองเราใช้เวลาร่วม ๆ 5 6 ปี ที่จะเรียนรู้วัฒนธรรมของเขา เกี่ยวกับเรื่องการทำเน็ทเวิร์คเครือข่าย ฉะนั้น การเข้าไป 2 3 ปีแรก ต้องเรียนรู้ปูพื้นอย่างเดียว ถึงจะสอบผ่าน
ฉะนั้น การเดินยุทธศาสตร์ของเรา จะมุ่งเน้นการสร้างยอดขาย สร้างองค์กรธุรกิจ โดยเฉพาะผู้ที่จะเข้ามาร่วมบิสิเนส พาร์ทเนอร์ เราค่อนข้างจะให้ความสำคัญ คืออยากให้เขาเรียนรู้เพื่อการทำงานอย่างถูกต้องเป็นอย่างไร องค์กรธุรกิจมันถึงจะเจริญเติบโตได้ ฉะนั้น เราต้องให้ความสำคัญในเรื่องการอบรม เราจึงเดินทางอยู่ตลอดเวลา ทัวร์ไปทั้งการจัดงาน หรือจัดอบรมสัมมนาต่าง ๆ เราก็จัดทีมงานจากบริษัทของเราไป และไม่ใช่ทีมโดเมสติก Domestic แต่เป็นทีมอินเตอร์เนชั่นแนลเทรนนิ่ง ยกตัวอย่าง เดือนนี้ไปพม่า ลาว กัมพูชา ก็จำเป็นต้องใช้ทั้ง 2 ภาษา เป็นเซ็นเตอร์กลาง เพราะในประเทศเวียดนาม กัมพูชา ยังคงมีความจำเป็นที่จะต้องใช้ล่ามแปล เพราะโดยพื้นฐานโลคัลที่นั่น จะมีข้อจำกัดเรื่องภาษาพอสมควร แต่ว่าก็ยังไปได้ด้วยดี เพราะว่าเรามีการลองผิด ลองถูกกันมาหลายปีแล้ว
เมื่อเราเคลื่อนสู่ระบบการทำงานให้สมาชิก ก็เท่ากับเติมความเป็นระบบมากยิ่งขึ้น อย่างที่ผ่านมาสมาชิกของเราเขาไม่รู้จักเน็ทเวิร์ค แต่เขามีความเชี่ยวชาญเรื่องซื้อมา ขายไป ต้องบอกว่า พม่าขายเก่งแบบขั้นเทพ เราบอกเสมอว่าขายตรงที่ดี ต้องเกิดการบริโภคซ้ำแล้วซ้ำอีกอย่างต่อเนื่อง เมื่อเขามีพื้นฐานทางธุรกิจมากขึ้น สินค้าตาม พอระบบเดิน ทุกอย่างก็วิ่งได้เลย จึงทำให้ธุรกิจพม่าเริ่มฟื้นตัวขึ้นเรื่อย ๆ แต่ยอดไปยังไม่ถึง 100 ล้านบาท เพราะเพื่อนบ้านอย่างพม่าปิดประเทศมาหลายปี และต้องเรียนรู้เขามากพอสมควร และที่สำคัญรายได้ต่อหัวยังคงต่ำอยู่ ชนชั้นแรงงานรายรับอยู่ระหว่าง 500 2,500 บาท/หัว
เมื่อเทียบกับสินค้าของ คังเซนฯ ที่จำหน่ายในราคา 700 800 บาท/ชิ้น จนไปถึงหลักหมื่น ซึ่งกว่าจะทำความเข้าใจก็ยากเหมือนกัน เพราะวิธีการของเขาวิ่งไปหาคน เมื่อได้คนมาก็ชวนซื้อของ คือเขาได้กำไรจากค้าปลีก ระบบจึงค่อย ๆ ไต่ขึ้นมาเรื่อย ๆ โจทย์คือคนขายเก่ง ทำยังงัยให้เขาเข้าใจเครือข่ายมากขึ้น เมื่อเราจับทางได้ ก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องยาก ซึ่งประเทศอื่น ๆ ก็ไม่ต่างกันอย่าง ลาว ที่เป็นประเทศเพื่อนบ้านก็เช่นเดียวกัน ก็ต้องใช้กลยุทธ์เดียวกันในการบริหารงาน
19 ปีที่ คังเซนฯ เติบโตมา เราเติบโตมาจากสินค้าดีมีคุณภาพ แต่เมื่อมองไปที่ฐานนักธุรกิจของเรา ส่วนใหญ่จะถูกปรับจากนักขายมาเป็นนักธุรกิจอิสระกว่า 70% ตอนนี้เราจึงปรับเปลี่ยนนักธุรกิจให้เป็น เน็ทเวิร์ค บิลเดอร์ คือนักขายที่เป็นนักธุรกิจที่มีความเข้าใจระบบ 100% สัดส่วน 30% จะเป็นคนรุ่นใหม่ นิว เจเนอเรชั่น หรือ ยังบลัด เราจึงเติมระบบในการอบรม เทรนนิ่ง ก็อปปี้ และทำอย่างไรให้บุคคลเหล่านี้ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องกัน จาก 70 : 30 เราจะเพิ่มเป็น 50 : 50 ให้เท่าเทียมกัน ถ้าเราทำได้ตามคาดหวัง ยอดของเราก็จะไปได้อย่างฉลุยเลยทีเดียว
อัตรา30%ที่ได้ไม่ใช่เฉพาะคนรุ่นใหม่แต่มีสมาชิกที่เป็นรุ่นบุกเบิกของเราด้วยวันนี้ก็ถือว่าไม่น้อยหน้าเพราะขายตรงถ้าอยู่ได้อย่างยั่งยืนมั่นคงถาวรและเจริญเติบโตได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุดต้องนำเอาระบบขายตรงมาเป็นหัวใจสำคัญต้องปรับการทำงานให้เป็นไปตามระบบเชิญผู้มุ่งหวังและผู้ถูกมุ่งหวังเข้าระบบสุดท้ายก็เข้าสู่ฟังก์ชั่นของการอบรมใช้ฟังก์ชั่นการอบรมให้เป็นประโยชน์
ซึ่งภายใต้การจัดงานBest Off the Bestที่ไบเทค บางนา ตามที่กล่าวมาในเบื้องต้น คังเซนฯ ก็เชิญผู้ที่ประสบความสำเร็จในแต่ละประเทศอย่าง พม่า ลาว กัมพูชา เข้ามาร่วมงานดังกล่าวด้วย ซึ่งในเอเชียคาดว่าน่าจะมีฐานสมาชิกกว่า 3,000 คน ก็ไม่ถือว่ามากนัก และวันนี้ต้องบอกว่าเราสยายปีกได้ครอบคลุมหมดแล้ว จริง ๆ เราตั้งใจครอบตลาดอาเซียนครบ 2 ทศวรรษ หรือ 20 ปี แต่ในปีที่ 19 เราทำได้ครบถ้วนตามจุดมุ่งหมาย เป้าหมายต่อไป เราต้องการต่อยอดทางธุรกิจมากยิ่งขึ้นไปเรื่อย ๆ
ประเด็นสุดท้ายที่มีการพูดคุยกัน นั่นคือ ภาพรวมของธุรกิจขายตรงในสายตาบอร์ดบริหาร มองการเติบโตเป็นเช่นไร.. บอสอิทธิศักดิ์วิเคราะห์ทิ้งท้ายว่า
ตัวเลขการเติบโตผมว่าสวยนะเพราะจากที่ผมเข้าไปสัมผัสในอุตสาหกรรมโดยรวมทั้งในประเทศและต่างประเทศการเติบโตในภาพรวมปีนี้น่าจะเห็นเป็นตัวเลข70,000ล้านบาทสำหรับที่เข้าระบบซึ่งอาจจะบวกด้วยซ้ำเหตุผลเพราะว่าผมเห็นดิสเพลเยอร์หรือกลุ่มผู้ประกอบการใหม่เข้ามาสู่กลุ่มธุรกิจขายตรงมากขึ้นถ้าตลาดนี้มันตันคงไม่มีผู้ประกอบการรายใดเอาเงินลงทุน10 20ล้านบาทมาลงหรอกครับแสดงว่าทุกคนมองเห็นธุรกิจนี้มีโอกาสโตมหาศาลจึงแห่เข้ามาลงทุนอย่างมากไม่เพียงเฉพาะในโลคัลหรือในประเทศไทยเท่านั้นแต่ยังมีในอาเซียนทางยุโรปและอเมริกาก็ยังไหลเข้ามาสู่ประเทศไทยเพราะว่าตัวเลขการเติบโตในฝั่งยุโรปและอเมริกามีอัตราการเติบโตที่น้อยลงแต่ตัวเลขการเติบโตในเอเชีย-แปซิฟิกกลับเพิ่มขึ้นทุกปีนั่นก็หมายความว่าโอกาสทางนี้มีเพิ่มมากขึ้นอย่างแน่นอน
ส่วนการย่างก้าวสู่เวทีอาเซียน จริง ๆ เราพัฒนาตัวเราเองไม่ได้หยุด ถามว่าเราพร้อมไหม คงไม่ถึงขนาดนั้น แต่เราพอสู้ไหว เพราะว่าในอินโดจีนทั้งหมด ผมลงไปศึกษาตลาดและเปิดธุรกิจครอบคลุมมาประมาณ 4 5 ปีแล้ว คิดว่าเราพอมีฐานพอสมควร ก็พอสู้ได้ในเวทีอาเซียน ซึ่งกำลังจะเปิดเสรีทางการค้าในปี 2558เชื่อว่า เอาอยู่..!!


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่324 ประจำวันที่16 - 31 กรกฏาคม 2555

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น