ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันพุธที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ตามหาความจริงคดีแชร์ลูกโซ่ DCHL สูญเสีย 5 พันล. ล่าตัวการ 11 คนไทยที่เหลือ เจอที่ไหนประกาศจับที่นั่น..!!


สคบ. DSI กองปราบฯ จับมือ 3 ประสาน บุกจับตัวการใหญ่ DCHL 9 ราย รวบตัวทันควัน คงเหลือระดับดุกซ์อีก 11 รายคนไทย เจอที่ไหนจับที่นั่นเตือนมาร์ควิสอีกกว่า 500 ราย หากข่มขู่สมาชิกหรือแอบเปิดดำเนินต่อ สั่งเชือดเป็นรายต่อไป และสั่งปรับวันละ 10,000กองปราบฯ ลั่นหากผู้เสียหายโดนข่มขู่ แจ้งความได้ที่ สน.ท้องที่ ตำรวจจะเฝ้าระวังภัยให้เป็นพิเศษ สคบ. เล็งติดตามพฤติกรรมเพิ่มอีก 2 ค่าย เข้าข่ายหมิ่นแหม่แชร์ลูกโซ่หรือไม่..


วันที่ 26 สิงหาคม 2555 ทีมข่าว นสพ.ตลาดวิเคราะห์ และสถานี INTV TVD ได้รับร้องเรียนจากสามี ภรรยา คู่หนึ่งที่ได้หอบหิ้วเอกสารเป็นแฟ้มปึกใหญ่ พร้อมเอกสารการเข้าไปแจ้งความร้องทุกข์ที่ DSI ว่ามีบริษัทขายตรงบริษัทหนึ่งที่ยื่นขอใบอนุญาตจดทะเบียนขายตรง สคบ.เป็นที่เรียบร้อย โดยจำหน่ายสินค้าตะเกียง - น้ำมันหอมระเหย ตนจึงได้ตัดสินใจสมัครในเดือนมีนาคม 2544 ในนามบริษัท ดิจิตอล คราวน์ โฮลดิ้ง จำกัด (DCHL) เป็นบริษัทสัญชาติจีน พอทำไปได้สักระยะหนึ่งก็เกิดสงสัยในพฤติกรรมการกระทำว่า ธุรกิจเข้าข่ายแชร์ลูกโซ่หรือไม่


ตนกับสามีจึงได้เข้าไปแจ้งความไว้ที่ DSI ไว้ก่อน ขณะเดียวกันที่สาขาโคราช ก็ได้มีชาวบ้านรวมตัวกันเข้าไปแจ้งความร้องทุกข์เช่นเดียวกัน แต่เนื่องจากขั้นตอนการทำงานของ DSI ที่ทำการสืบสวนสอบสวนล่าช้า และหวั่นเกรงว่าภัยจะมาถึงตัว เพราะโดนขู่ฆ่ามาแล้วหลายครั้ง จึงได้ตัดสินใจหอบหลักฐานมาที่สำนักงาน นสพ.ตลาดวิเคราะห์ และสถานี INTV TVD เพื่อแจ้งเบาะแสให้ทราบ โดยมีสื่อในวงการขายตรงด้วยกันแนะนำ ว่า ถ้าเป็นเรื่องใหญ่ขนาดนี้ให้แจ้งไปที่สำนักงานตลาดวิเคราะห์จะเกิดผลกว่า ตนและสามีจึงรุดมาที่สำนักงานในวันดังกล่าว


เมื่อทีมข่าวรับทราบเรื่องราวดังกล่าว ก็ได้ทำการเสาะหาข้อมูลในเชิงลึกอีกครั้ง เพราะก่อนหน้านั้นทีมข่าวก็ได้รับการร้องเรียนมาเช่นเดียวกัน และได้ส่งทีมงานไปเจาะหาข้อมูล แต่ไม่สามารถเข้าไปได้ สืบเนื่องจากไม่มีผู้แนะนำ จึงไม่อนุญาตให้เข้าไปสังเกตการณ์ได้ เพราะที่นี่มีระบบป้องกันอย่างแน่นหนา ก็ได้นำข้อมูลเพียงบางส่วนมาตีพิมพ์ข่าว เพื่อสื่อถึง สคบ.รับทราบ แต่การกระทำในครั้งแรกไม่เกิดผลใด ๆ เมื่อทีมข่าวได้รับทราบข้อมูลเบื้องลึกจาก 2 สามี ภรรยา อีกครั้ง จึงได้ทำการประสานงานทันที โดยเริ่มติดต่อไปยัง สมาคมผู้สื่อข่าวอาชญากรรม ในวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 โดยรวบรวมผู้เสียหายกว่า 30 คน เดินทางไปที่สมาคมผู้สื่อข่าวอาชญากรรมฯ


นักข่าวสายอาชญากรรมจาก นสพ.ไทยรัฐ เมื่อเห็นผู้ร้องทุกข์จำนวนมาก จึงแนะนำให้มาที่กองปราบฯ เพราะที่นี่มีความพร้อมมากกว่า ทางทีมข่าวตลาดวิเคราะห์ จึงได้ประสานงานไปยัง พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปราม/โฆษก มือปราบชื่อดัง เป็นผู้รับเรื่องราวร้องทุกข์ด้วยตนเอง และจัดแถลงข่าวโดยทันที ในวันเดียวกัน เวลา 15.00 น. และ นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ได้ตีพิมพ์ลงในหนังสือพิมพ์ตลาดวิเคราะห์ พร้อมออกอากาศทางรายการข่าวสถานี INTV ไปพร้อม ๆ กัน ในฉบับวันที่ 1 15 สิงหาคม 2555 โดย พ.ต.อ.ได้แถลงข่าว เพื่อรับทำเป็นคดีพิเศษร่วมมือกับทาง DSI มีใจความคร่าว ๆ ที่สำคัญดังนี้
ตอนนี้ทางเจ้าหน้าที่ฝ่ายสอบสวนของ DSI ก็ได้รับเป็นคดีพิเศษไปแล้ว เนื่องจากว่าเป็นภัยคุกคามต่อประชาชนโดยทั่วไป โดยเน้นไปที่คนภาคอีสาน และตอนนี้กำลังเพิ่มไปที่ภาคเหนือที่ อ.แม่สาย มีข้อมูลเชิงลึก และกำลังอยู่ระหว่างดำเนินการและคิดว่าคงจะร่วมมือกับทาง DSI อย่างใกล้ชิด ในการที่จะจับกุมผู้กระทำผิดรายนี้ ถือว่าเป็นรายใหญ่มาก


ในส่วนตัวของกระผมเองก็เคยขับรถผ่านเส้นทางพระราม 9 ก็เห็นเหมือนน้องนักข่าวเห็น ว่ามันเกิดอะไรขึ้น มันเหมือนตลาดนัดเพราะคนเยอะมาก เราก็คิดว่ามันมีงานอะไร พอทราบตรงนี้ก็มองเห็นภาพเลยว่า มีคนโดนหลอกเยอะมาก ขอให้คำมั่นว่าทางกองปราบปรามฯ จะร่วมมือกับ DSI ในการที่จะสอบสวนสืบสวนจับกุมผู้กระทำผิดรายนี้ทุกคน และขอให้คำมั่นว่าทางผู้เสียหายรายใดที่ถูกคุกคาม ก็สามารถติดต่อมาที่เราได้เลยที่กองปราบฯ ที่หมายเลข Call Center ที่ 1195 เรามีเจ้าหน้าที่รับสายอยู่บริการ 24 ชั่วโมง ก็บอกว่ามาแจ้งความเรื่องนี้ หากถูกใครคุกคามขู่อย่างไร แบบไหน ให้เล่าเลยไม่ต้องกลัว ก็เหมือนเปิดหน้าเล่นกันเลย
และเราขอยืนยันว่าทางเราจะดำเนินการโดยเร็วที่สุด เพราะถือว่าเป็นภัยคุกคามประเทศไทย บ้านเราไม่มีใครอยู่เหนือกฎหมาย ไม่ว่าเขาอาจจะไปแอบอ้างด้วยวิธีการใด ๆ เราจะรีบดำเนินการ ในตรงนี้ความผิดก็คือในภาษาพูดเราเรียกว่าแชร์ลูกโซ่ ความผิดทางกฎหมาย ก็คือฉ้อโกงประชาชน คือหลอกลวงให้ประชาชนโดยทั่วไปหลงเชื่อ อย่างนี้ก็คือว่าหลงเชื่อให้มาลงทุนนะ เอามา 2 แสนแล้วจะได้คุณจะได้ประมาณ 10% ไปเรื่อย ๆ ซึ่งในข้อเท็จจริงแล้วมันไม่ใช่การทำธุรกิจจริง ๆ อย่างมาซื้อตะเกียง ตะเกียงก็ทำอะไรไม่ได้ ไม่เหมือนลงทุนไปทางเกษตร มีการลงทุนแล้วนำไปค้าขาย ตรงนี้ก็คล้าย ๆ คดีที่มีในอดีต ไม่ว่าจะเป็นแชร์ชะม้อย หรือแชร์อะไรต่าง ๆ พวกนี้ ก็เหมือนกับเขาจะกดดันให้ผู้ที่มาร่วมลงทุนไปหาลูกค้ารายใหม่หรือเหยื่อรายใหม่ ๆ เข้ามา เมื่อได้รายใหม่มา 2 แสน เขาก็ให้รางวัล 2 หมื่น เพราะทางบริษัท


ก็จะให้แสนแปดไปเรื่อย ๆ คนเก่าก็ไปหาคนใหม่ ๆ หาลูกค้ารายใหม่เพิ่มขึ้น มันก็เป็นที่เขาเรียกว่าอัพไลน์ - ดาวไลน์
ดังนั้น ความเสียหายก็เกิดขึ้นอย่างที่ทางผู้เสียหายได้บอกว่า เหยื่อรายใหม่ที่ไม่สามารถไปหาลูกค้ารายใหม่ ไม่สามารถหาเงินมาได้ครบ มันก็จะสะดุด ถ้าสะดุดทางนี้ก็จะไม่ได้รับค่าตอบแทน ค่าตอบแทนสำหรับบางคนที่เข้ามาใหม่ ๆ มันก็จะได้ไม่คุ้ม อย่างเช่น ทำมาซักสามเดือนอย่างเก่งก็ได้ไปหกหมื่น แต่ตัวเองต้องไปกู้เงินมาถึง 2 แสน ใน 2 แสนนี้ต้องมีเสียดอกเบี้ยนอกระบบ หรือที่ไปขายฝาก ทำให้ขาดจำนอง โดนยึดไปอีกกลายเป็นปัญหามากมาย เพราะถ้าปล่อยไปมันจะกระทบความมั่นคงทางด้านเศรษฐกิจ ถ้าประเมินมูลค่าความเสียหายในตอนนี้ก็เยอะมาก ถ้าเอา 2 แสน ด้วยจำนวนผู้เสียหายที่ชำระไปแล้ว แล้วยังมีต่อเนื่องอีก บางคนเอามา 2 แสน และก็มาเพิ่มขึ้นอีก ยังต้องเสียดอกเบี้ยนอกระบบเพิ่มขึ้นอีก หรือคนที่เอาที่ดินแปลงนึงไปขายฝาก พอครบสิ้นปีไม่เอาเงินมาให้เขาก็ยึดที่ดินไป เพราะฉะนั้นมูลค่าความเสียหายมันมากกว่า 2 แสน ตอนนี้ยอดผู้เสียหายประมาณ 2 หมื่นคน ก็เอา 2 หมื่นคนคูณด้วย 2 แสน ก็เท่ากับ 4,000 ล้านบาท
นั่นแปลว่าบวก ๆ ขึ้นไปอีก เพราะมันยังมีผลต่อเนื่องจากความเสียหาย เพราะการสูญเสียเวลา สูญเสียโอกาสในการทำงาน ทั้งทรัพย์สินที่เอาไปค้ำประกัน จำนองหรือขายฝากก็โดนยึดอะไรต่าง ๆ ไป เดี๋ยวทางกองปราบฯ ก็จะรีบดำเนินการกับทาง DSI ทางเราก็จะลงบันทึกประจำวันไว้ว่า มาขอความร่วมมือกับเรา และเราก็จะร่วมมือด้วยความเต็มใจ เพราะหลาย ๆ ปีที่ผ่านมาหน่วยนี้ก็จะเป็นหน่วยปราบปราม ไม่ว่าจะเป็นแชร์ชะม้อย แชร์นกแก้ว เราก็ได้ทำมาแล้ว เรามีประสบการณ์ในเรื่องนี้ ขอให้มั่นใจในเรื่องของความปลอดภัย ไม่ต้องกลัวว่าจะถูกคุกคาม ท่านใดถูกคุกคาม ก็โทรมาแจ้งได้ที่ 1195 เพราะเราก็อยากจะได้ข้อมูลและข้อเท็จจริงว่า มีใครมาคุยอะไรกับเรา ไม่ว่าจะมาขู่หรือมาชวนให้เชื่ออะไรก็โทรมาที่ 1195 ได้เลย หรือจะทำเป็นจดหมายมาก็ได้ มาถึงผู้บังคับการกองปราบปราม จะเปิดผนึกหรือจะลงชื่อ ไม่ลงชื่อมาก็ได้ หรือใครที่มีข้อมูลที่คิดว่าเป็นความลับ ก็มาพบผมโดยตรงเลยก็ได้ เรายินดีที่จะให้ความร่วมมือ จากนี้ไปเราก็จะไปประชุมหารือกันว่า ใครที่กระทำความผิดบ้าง และเงินผู้ที่เสียหาย ได้เสียหายไปเท่าไหร่ จะทำอย่างไรที่จะทำให้ผู้เสียหายได้รับเงินคืนให้เร็วที่สุด เราคงตั้งคณะสอบสวนให้สอบสวนในเรื่องนี้โดยด่วนที่สุด


3 เดือนเศษเร่งเก็บข้อมูล
ปฏิบัติการจับทั่วไทย12-13 ต.ค.
ภายหลังแถลงข่าวใหญ่จากวันที่ 4 กรกฎาคม 2555 ที่ผ่านมา เมื่อกองปราบฯ ประกาศจับมือทำงานร่วมกับทาง DSI ก็มีผู้เสียหายเดินทางเข้ามาแจ้งความเพิ่มขึ้นอย่างไม่ขาดสายที่ DSI เมื่อทราบว่าทางเจ้าหน้าที่เริ่มจะเอาจริง บริษัท DCHL จึงได้ปรับเปลี่ยนแผนภายในใหม่ ด้วยการประกาศรับคืนสินค้าพร้อมกับคืนเงินบางส่วน 30 40% โดยใช้วิธีการหักเงินจากอัพไลน์ (แม่ทีมใหญ่) หาก อัพไลน์คนไหนโดนดาวไลน์ (ลูกทีม) คืนสินค้าเยอะเท่าไหร่ อัพไลน์ก็จะโดนหักเงินปันผลมากเท่านั้น จากที่เคยได้รับเงินปันผลเต็มและมีกำไรบ้าง ก็เริ่มจะหมดตัว เพราะถือเป็นความผิดของอัพไลน์ที่ไม่สามารถทำให้ดาวไลน์ขยายสายงานต่อได้ และยังมาคืนสินค้าแล้วรับเงินคืนอีก แถมยังสั่งให้สมาชิก รูดซิบปาก ห้ามรับรู้ข้อมูลข่าวสารใด ๆ ภายนอก ส่วนข่าวที่ถูกโจมตีจากสื่อ ระดับดุกซ์ (ผู้นำสูงสุด) กับผู้บริหาร 20 คน ก็บอกว่าสามารถเคลียร์กับตำรวจได้ ด้วยการใช้เงินเป็นใบเบิกทาง

พร้อมกับกำชับให้อัพไลน์คุมดาวไลน์เข้มทุกพื้นที่ ยึดมือถือ ห้ามดูทีวี ห้ามเล่นอินเตอร์เน็ต ห้ามอ่านหนังสือพิมพ์ ห้ามพูดคุยกับคนภายนอก เพราะจะได้ไม่หวั่นไหวกับข้อมูลข่าวสาร และที่สำคัญยังเปิดห้องเช่าให้มาอยู่รวมกันใกล้ ๆ กับศูนย์ฝึกอบรม สาขาพระราม 2 ที่จุคนได้ประมาณ 2,000 คน เพราะสามารถจำกัดคน จำกัดพื้นที่ในการเสพข่าวสารได้ และให้ฟังข่าวสารจากทางบริษัทเท่านั้น ซึ่งผู้เสียหายบางคนจากการที่ได้พูดคุยกับทีมข่าว แทบจะไม่เคยได้ดูทีวีเลยเป็นเวลานานกว่า 1 ปี

ส่วนอัพไลน์ที่แตกแถวไม่อยู่ในกรอบ หากคนไหนดอดไปแจ้งสื่อ ไปแจ้งความ หรือไปตั้งกระทู้ใน สคบ.ก็จะโดนขู่ฆ่า ตามรังควาน จนกระทั่งอัพไลน์ที่ไม่เห็นด้วยกับการกระทำดังกล่าว ต้องย้ายที่อยู่ระเหเร่ร่อนไปเรื่อย ๆ บางคนยอมทิ้งทรัพย์เพื่อหนีเอาตัวรอด เพราะกลัวโดนตามล่า เมื่อปฏิบัติการ

การจัดวางระบบใหม่ของ DCHL เริ่มเข้มข้นกับอัพไลน์ผู้ที่แหกกฎบริษัทเริ่มต่อต้านและออกมาแจ้งความเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทาง DCHL ก็เปิดกฎที่เข้มข้นรุนแรงกว่าเก่าในรอบ 3 เดือนกว่า ๆ ก่อนที่ทาง DSI และกองปราบฯ จะเริ่มปฏิบัติการจับกุมทั่วประเทศ

โดยเฉพาะ พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รองผู้บังคับการ กองบังคับการปราบปราม/โฆษก ร่วมด้วย พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 ที่ได้รับมอบหมายจาก นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ DSI ทำการจับกุมผู้กระทำความผิดทั่วไทย ดังรายละเอียดต่อไปนี้

วันนี้ 12 ตุลาคม 2555 เวลา 15.00 น. พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์ ผู้บัญชาการสำนักดคีอาญาพิเศษ 1 พ.ต.อ.ไชยา คงทรัพย์ ผกก.สน.มักกะสัน พ.ต.ท.กัมพล รัตนประทีป เจ้าหน้าที่ตำรวจฝ่ายสืบสวน สน.มักกะสัน พร้อมกำลังเจ้าหน้าที่ DSI จำนวนกว่า 30 คน นำหมายค้นของศาลอาญาเข้าตรวจค้นตึกเลขที่ 338 อาคาร DCHL ถนนพระราม 9 แขวงบางกะปิ เขตห้วยขวาง กรุงเทพฯ หลังได้รับร้องเรียนว่าบริษัท

ดังกล่าวได้เปิดเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่น้ำมันหอมระเหยพร้อมตะเกียงวิเศษ หลอกลวง และฉ้อโกงประชาชน เบื้องต้นมูลค่าความเสียหายมูลค่าเกินกว่า 10 ล้านบาท
ณ วันนั้นมีสมาชิกที่อยู่ในบริษัทจำนวนมากหลายร้อยคนอยู่ในตึก DCHLและยังมีตึกด้านหลังไว้สำหรับเก็บบัญชีสต๊อกสินค้า และรายรับ - รายจ่ายทำบัญชีการเงินทั้งหมด รวมถึงได้เคยแจ้งกับทางสมาชิกให้ทราบว่าจะปรับเป็นสปา เพื่อไว้ให้สมาชิกไว้ใช้บริการ จากการตรวจสอบพบว่า มียอดเงินหมุนเวียนวิ่งเข้ามาในบัญชีเฉพาะเดือนกันยายนเดือนเดียว ทั้งสิ้น 139 ล้านบาท และสำหรับวันเดียวกันนี้มียอดเงินวิ่งเข้ามา จำนวน 39 ล้านบาท ทางเจ้าหน้าที่จึงยึดเอกสารทั้งหมดเพื่อนำไปตรวจสอบที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ

และทราบว่าจะมีตัวการใหญ่ซึ่งเป็นชาวต่างชาติได้เดินทางกลับเข้ามา 1 คน ทราบชื่อภายหลังคือ นายฮวง เชียง เซียง อายุ 43 ปี สัญชาติจีนไต้หวัน ตามหมายจับ จึงรีบมาควบคุมตัวพร้อมขอตรวจค้นทันที ซึ่งตัวการใหญ่มีทั้งหมด 3 คน ขณะนี้ ทางเจ้าหน้าที่กองปราบปรามได้แจ้งว่า สามารถควบคุมตัวได้แล้ว 2 ราย ชื่อ น.ส.เฉิน เป่า หยี อายุ 32 ปี สัญชาติจีน และ น.ส.หว่อง คิน ซีย อายุ 36 ปี สัญชาติจีน อยู่ระหว่างการสอบสวน

นอกจากนี้ ยังได้ออกหมายจับไปแล้วจำนวน 20 คน ซึ่งเป็นตัวการใหญ่ชาวต่างชาติ 3 ราย อีก 17 ราย เป็นคนไทย ที่ทำหน้าที่เป็นดุกซ์ และยังมีศูนย์ใหญ่อีกที่อยู่จังหวัดนครราชสีมา โดยคนไทยจะทำหน้าที่เป็นผู้บริหารขึ้นเวทีพูดชักชวนหลอกลวงลูกค้าให้มาลงทุน ตามเกณฑ์การลงทุนเป็นระดับ ๆ แบ่งซอยย่อย พบว่ามีการลงทุนขั้นต่ำประมาณ 200,000 บาท และจะมีการโชว์สลิปให้เห็นยอดเงินตอบแทนที่ได้คืนมาทุกวันที่ 20 ของเดือน จะได้ผลตอบแทนที่เกินจริง ทำให้ผู้ลงทุนหลงเชื่อซึ่งจะได้มาประมาณแค่ 1 - 2 เดือนแรก จากนั้นก็จะไม่มีเงินเข้ามาในบัญชีทำให้ผู้ลงทุนทวงถามถึงส่วนแบ่งผลตอบแทนที่จะได้รับทุกเดือน โดยทางอัพไลน์จะแจ้งให้ทราบว่า หากอยากได้ผลตอบแทนกลับคืน ก็ต้องไปหาผู้มาร่วมลงทุนมาลงทุนอีก ถึงจะได้ผลตอบแทนกลับไป ก็ทำให้มีผู้หลงเชื่อมาเป็นทอด ๆ
ด้านนายอิสรพงศ์ สาพงษ์เอี่ยม เจ้าหน้าที่คดีพิเศษ DSI กล่าวว่า คดีนี้เจ้าหน้าที่มีการสืบ ติดตามตั้งแต่ปี 2553 บริษัทขายตรงที่จำหน่ายตะเกียงน้ำมันหอมระเหยที่อวดสรรพคุณบำบัดสารพัดโรค ดำเนินงานปีนี้เข้าสู่ปีที่ 10 ซึ่งปีที่ผ่านมามีฐานสมาชิกกว่า 20,000 ราย และปัจจุบันฐานสมาชิกปิดที่ราว 40,000 ราย ซึ่งผู้เสียหายส่วนใหญ่จะอยู่ทางภาคเหนือและภาคอีสาน โดยเฉพาะ จ.สุรินทร์และโคราช ที่ลุกลามเกือบทั่วทั้งจังหวัด ส่งผลให้ผู้เสียหายบางรายต้องขายที่นา สิ้นเนื้อประดาตัว และหนักถึงขั้นแขวนคอตายในบางราย

การนำกำลังเข้าตรวจสอบครั้งนี้ เจ้าหน้าที่ได้ยึดของกลาง สมุดเงินฝาก และเข้าตรวจสอบเก็บข้อมูลเบื้องต้นภายในห้องบัญชี ห้องคอมพิวเตอร์ โดยยึดเซิร์ฟเวอร์เพื่อนำกลับไปตรวจสอบรายละเอียดต่าง ๆ จำนวน 1 เครื่อง นอกจากนี้ ยังมีการตรวจสอบสมุดรายวันทั่วไป บัญชีรายรับแต่ละเดือน ที่พบว่าบริษัทนี้มีรายรับ เงินวิ่งเข้ามาในบัญชีเดือนกันยายน ล่าสุด! 139 ล้านบาท และรายได้ที่วิ่งเข้ามาในบัญชีวันที่บุกตรวจสอบวันเดียวปาเข้าไปถึง 39 ล้านบาท...!!
เบื้องต้น เจ้าหน้าที่ได้แจ้งข้อหาตัวการใหญ่ 3 รายว่า ร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตามพระราชกำหนดการกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 มาตรา 4 และมาตรา 5 มาตรา 12 และ 15 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 341 มาตรา 343 ประกอบมาตรา 83
ต่อมาที่กองปราบปราม เมื่อเวลา 19.30 น.พ.ต.อ.ประสพโชค พร้อมมูล รอง ผบก.ป. พร้อมด้วย พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) แถลงข่าวจับกุม น.ส.หว่อง คิน ซี อายุ 36 ปี น.ส.เฉิน เป่า หยี อายุ 32 ปี ทั้งสองสัญชาติจีน น.ส.มีนา สุขสงวน อายุ 32 ปี และ น.ส.วนิสา ศิลาอ่อน อายุ 29 ปี ผู้ต้องหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นฉ้อโกงประชาชนและร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตาม พรก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 โดยจับกุม น.ส.หว่อง คิน ซี และ น.ส.เฉิน เป่า หยี ได้ที่บริเวณลานจอดรถ อาคารเดอะสตาร์ แอท พระราม 3 ถนนพระราม 3 เแขวงบางโพงพาง เขตยานนาวา กทม. น.ส.มีนา ได้ที่หน้าบ้านเลขที่ 73/219 หมู่ 5 ต.เสาธงหิน อ.บางใหญ่ จ.นนทบุรี ส่วน น.ส.วนิสา จับกุมได้บริเวณกองปราบปราม ถนนพหลโยธิน
ด้านผู้ต้องหาทั้งหมดต่างให้การปฏิเสธว่า ไม่ได้หลอกขาย เนื่องจากลูกค้าจะซื้อของก็ซื้อไปเลยไม่ต้องสมัครสมาชิกตามที่ถูกกล่าวหาแต่อย่างใด ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับ นางมีนา นั้นถือเป็นวิทยากรการพูดชักจูงใจอันดับต้น ๆ ของประเทศ ซึ่งทางบริษัทดังกล่าวยอมจ่ายเงินให้เดือนละ 5 แสนบาท ให้มาสอนพนักงานของบริษัทเพื่อไปหลอกลวงสมาชิกต่อไป

และในวันเดียวกัน เมื่อเวลา 12.00 น.พ.ต.ท.ภูวเดช ภูวปรีชานนท์ สว.กก.1 บก.ป. พ.ต.ท.พุทธพงศ์ เมฆเอี่ยมนภา สว.กก.1 บก.ป. พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่ตำรวจชุดปฏิบัติการ นำกำลังจับกุมตัว นายสายันต์ ประกอบสัญฑ์ อายุ 31 ปี ชาว จ.สกลนคร และ น.ส.พเยาว์ กาบมาลี อายุ 31 ปี ชาว จ.สระแก้ว สองสามี - ภรรยาในฐานความผิดร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นฉ้อโกงประชาชน และร่วมกันฉ้อโกงประชาชนตาม พ.ร.ก.การกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน พ.ศ.2527 โดยสามารถจับกุมได้ที่อาคารเลขที่ 689 ปากซอยเอกชัย 16 แขวงบางขุนเทียน เขตจอมทอง กทม.

ทั้งนี้ สืบเนื่องมาจากเจ้าหน้าที่ตำรวจกองปราบปรามสืบทราบว่า ผู้ต้องหาทั้ง 2 ราย ซึ่งเป็นสามี - ภรรยาได้พักอาศัยอยู่ที่อาคารดังกล่าว และเป็นผู้ต้องหาที่ทาง DSI ได้ออกหมายจับไว้ในคดีแชร์ลูกโซ่ขายน้ำมันหอมระเหย จึงรายงานผู้บังคับบัญชาทราบ และทำการจับกุมได้ดังกล่าว จากการสอบสวนทั้งสองให้การปฏิเสธตลอดข้อกล่าวหา และจะให้การในชั้นศาลเท่านั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวผู้ต้องหาทั้ง 2 รายส่งพนักงานสอบสวน กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) เพื่อทำการสืบสวนสอบสวนขยายผล และดำเนินคดีตามกฎหมายต่อไป

ต่อมา ที่ศาลอาญาเมื่อเวลา 11.00 น.พนักงานสอบสวนกรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) คุมตัว นายฮวง เชียง เซียง ชาวจีน น.ส.หว่อง คิน ซี ชาวจีน น.ส.เฉิน เป่า หยี ชาวจีน น.ส.มีนา สุขสงวน นางวนิสา ศิลาอ่อน และนายคำสิงห์ วรรณประภา ผู้ต้องหาที่ 1 - 6 ในข้อหาร่วมกันกู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ไปฝากขังที่ศาลอาญาครั้งแรก มีกำหนด 12 วัน ตั้งแต่วันที่ 13 - 24 ต.ค.55

คำร้องฝากขังบรรยายว่า ผู้ต้องหาที่ 1 เป็นกรรมการผู้จัดการ บริษัท ดิจิตอล คราวน์ โฮลดิ้ง จำกัด ทำธุรกิจขายตรง นำเข้าน้ำหอมระเหยจากต่างประเทศ โดยมีการโฆษณาชักชวนหาสมาชิกผ่านเว็บไซต์ www.dchl.com เชิญชวนให้สมาชิกเข้าร่วมรับการอบรมโดยผู้ต้องหาทั้ง 6 จะเป็นผู้บรรยายในการสัมมนา ให้สมาชิกร่วมลงทุนกับบริษัท ไม่ใช่การขายสินค้า สร้างความเสียหายมูลค่า 10 ล้านบาท เหตุเกิดระหว่างวันที่ 11 ส.ค.53 - 15 พ.ค.54 การสอบสวนยังไม่แล้วเสร็จ ต้องสอบปากคำพยานอีก 30 ปาก รอผลการตรวจประวัติอาชญากร ขออนุญาตศาลฝากขัง พร้อมคัดค้านการประกันตัวเกรงว่าผู้ต้องหาจะหลบหนี
ศาลพิจารณาคำร้องอนุญาตให้ฝากขังได้ (ขอบคุณ : ข้อมูลบางส่วนคัดลอกมาจาก ASTV)


25 ต.ค.55 ผู้เสียหายกว่า 40 คน
นัดออกสื่อช่องTPBS และ INTV
วันที่ 25 ธันวาคม 2555 ความพยายามของผู้นำระดับสูง 41% หรือ มาร์ควิส และอัพไลน์ ได้รวมตัวกันอีกครั้งกว่า 40 คน ได้นัดรวมตัวกันเพื่อให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ : สถานีประชาชน ช่อง TPBS รวมถึงสถานี INTV ในวันเดียวกัน เพื่อประกาศต่อสมาชิกหรือดาวไลน์ที่ยังโดนอัพไลน์ระดับมาร์ควิสกว่า 500 คน กระจายอยู่ทั่วประเทศ ที่ยังป้อนข้อมูลข่าวสารที่ผิดไปจากความจริง ทั้งที่เป็นข่าวครึกโครม ว่าตัวการใหญ่โดนจับกุม 9 คน คงเหลืออีก 11 คนที่ตามรวบตัวอยู่ในขณะนี้ โดยเฉพาะระดับมาร์ควิสยังปิดบังข้อมูลข่าวสารที่แท้จริง และได้แจ้งข้อมูลเท็จให้กับสมาชิกรับทราบว่า ระดับดุกซ์ที่โดนจับกุมตัวนั้นไม่จริงเขาไม่ได้หายไปไหน เหตุที่มาไม่ได้เพราะไปแข่งขันกีฬาสี

สืบเนื่องจากยังมีสมาชิกอีกจำนวนมากที่ยังไม่รับทราบข่าวสาร เพราะโดนปิดหู ปิดตา ห้ามเสพข่าวสารทุกชนิด พร้อมยึดมือถือห้ามติดต่อผู้ใด ขณะเดียวกันยังมีแฟนหนุ่มของดุกซ์ที่โดนจับกุมตัวไป จำนวน 3 คน ได้เข้าไปเฝ้าสังเกตการณ์ผู้เสียหายที่ให้สัมภาษณ์ที่ช่อง TPBS โดยไม่เกรงกลัวต่อกฎหมายและสื่อแต่อย่างใด วึ่งตามที่เคยให้ข้อมูลกับสมาชิกว่า เรามีเงินเยอะพอที่จะจ่ายให้กับตำรวจ และประกาศจะตามล่าหัวมาร์ควิสและอัพไลน์ที่ออกให้สัมภาษณ์สื่อด้วย

และในวันเดียวกันเจ้าหน้าที่จาก สคบ. นายณัชภัทร ขาวแก้ว นิติกรชำนาญการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) และ พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ กองบังคับการปราบปราม ออกให้สัมภาษณ์ผ่านรายการ : สถานีประชาชน พร้อมกับผู้เสียหาย เพื่อแจ้งเตือนผู้ที่หลงเป็นเหยื่อ

จากนั้นได้ให้สัมภาษณ์ผ่านทางช่อง INTV ที่ออกในรายการ : ข่าวเด่นวันนี้ รวมถึงมาร์ควิสและอัพไลน์ ผู้เสียหายรวมตัวกันกว่า 10 คน เพื่อให้สัมภาษณ์อย่างละเอียดผ่านรายการ : ตลาดวิเคราะห์ ทางสถานี INTV และ TVD ที่ทำหน้าที่เป็นตัวแทนคนเครือข่ายตลอดมา ซึ่งมีใจความสำคัญดังต่อไปนี้

พ.ต.อ.นิรันดร์ อดุลยาศักดิ์ ผู้บัญชาการสำนักคดีอาญาพิเศษ 1 กรมสอบสวนคดีพิเศษ (DSI) กล่าวกับทีมข่าว INTV ในรายการ : ข่าวเด่นวันนี้ ว่าในจำนวนผู้เสียหายที่มาร้องเรียนกว่า 2,600 คน ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษจะคืนเงินให้กับผู้เสียอย่างไร ในเบื้องต้นก็ได้รับคำตอบว่า จากปริมาณผู้เสียหายประมาณ 2,600 คน เราก็มีวิธีการบริหารจัดการ ก็คือ เราได้จัดเจ้าหน้าที่ประมาณ 5 นาย ซึ่งเป็นพนักงานสอบสวนเข้าเวรสอบสวน วันหนึ่ง ๆ เราคาดว่าจะทำได้ 40 คน แต่ว่าถ้ามีปริมาณผู้เสียหายมากขึ้น ก็จะเพิ่มพนักงานสอบสวนให้มากขึ้น และก็จัดสถานที่เพิ่มเติมมากขึ้น และต้องขออนุญาตท่านอธิบดีที่จะดำเนินการตามนี้ แต่ในเบื้องต้นเราคิดว่าจะจัดซัก 5 คนและ 1 วันไม่ต่ำกว่า 40 คน ซึ่งผมคิดว่าถ้าทำไปนาน ๆ มันก็จะเกิดความเชี่ยวชาญและก็จะทำได้เร็วขึ้น อาจจะให้คนที่สอบคนเดิมเพิ่มได้ประมาณ 20% ก็น่าจะได้วันละ 60 คนต่อวัน

สำหรับเม็ดเงินที่อายัดไว้ ถ้ามีผู้เสียหายมีจำนวนมากเกิน 10,000 คนขึ้นไป เงินที่อายัดไว้นำมาจ่ายไม่เพียงพอ ซึ่งถ้าพูดกันตามหลักกฎหมาย มันจะมีหน่วยงานที่อาจจะให้ความช่วยเหลือได้ เช่น กระทรวงยุติธรรม เรามีหน่วยงานอยู่หน่วยงานหนึ่งที่เปิดขึ้นมา หากมีความเสียหายทางคดีอาญาเกิดขึ้น เราก็สามารถที่จะไปติดต่อก็คือ กรมคุ้มครองสิทธิ์ ซึ่งผมจะไปตรวจสอบดูว่ากรณีที่ถูกหลอกลวงเป็นคดีอาญา จะมีการชดเชยค่าเสียหายทางแพ่งได้หรือไม่ แต่ทั้งนี้ผมยังไม่รับปาก แต่ว่าเป็นกรณีที่ผู้ต้องหาถูกดำเนินคดีแล้ว ต่อมาศาลยกฟ้องตรงนี้ก็สามารถเรียกค่าเสียหายได้ ผมยังไม่แน่ใจว่ากรมคุ้มครองสิทธิ์จะทำได้แค่ไหน เพียงได
แต่อย่างไรก็ดีผมอาจจะเสนอผู้บังคับบัญชาว่า กรณีที่เกิดขึ้นแบบนี้ ทางหน่วยงานของรัฐนี้จะสามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง ในเบื้องต้นอย่างที่ผมบอก ก็คือ ถ้าเดินทางมาแล้วก็มาให้การ ผมก็จะจ่ายค่าเดินทางในกรุงเทพฯ 200 บาท ต่างจังหวัดก็ 500 บาทอย่างที่กราบเรียนไป

ถามว่าคดีนี้จะยืดเยื้อหรือไม่ หากมีผู้เสียหายเพิ่มมากขึ้น คดีนี้จะเสร็จเป็นส่วน ๆ ส่วนหนึ่งอย่างที่ผมกราบเรียนก็คือ 70 คนแรกภายในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2555 เราจะรีบส่งฟ้องศาล ส่วนที่เหลือเราสอบสวนผู้เสียหายหมดเมื่อไหร่ เราจะรีบส่งสำนวนเสนอพนักงานอัยการ ซึ่งคาดว่าจะไม่เกิน 3 เดือน ก็เราพยายามทำให้เสร็จภายในกรอบนี้ โดยเพิ่มพนักงานสอบสวนอย่างที่กราบเรียน

ในเบื้องต้น DSI มีการให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องแชร์ลูกโซ่ ที่มีความต่างจากขายตรง โดยปกติเราจะมีการผลิตเอกสารชี้แจง นอกจากนั้นก็ยังมีในเว็บไซต์ของกรมสอบสวนคดีพิเศษที่เปิดเข้าไปดู อย่างที่บอกเมื่อกี้ ก็คือ แง่คิด สะกิดใจ ห่างไกลแชร์ลูกโซ่ วิธีการสังเกตธุรกิจไหนเป็นธุรกิจขายตรง ธุรกิจไหนเป็นธุรกิจแชร์ลูกโซ่ เราก็จะมีข้อมูลอยู่ หากท่านทำธุรกิจขายตรงอยู่และไม่แน่ใจ ขอให้เข้าไปดูแง่คิด สะกิดใจ แล้วนำไปวิเคราะห์ดู ถ้ามันเป็นไปในแง่ของแชร์ลูกโซ่ ท่านก็อาจจะต้องรีบถอยออกมาและก็แจ้งให้เราทราบต่อไป

เหตุผลที่เราต้องใช้เวลาสืบสวนนานกว่า 3 เดือน เป็นเพราะเรื่องของการรวบรวมพยานหลักฐาน มันต้องมีทั้งการแฝงตัว การตรวจสอบบัญชีเงินฝาก ซึ่งก็ต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร แต่ละคดีเราไม่สามารถยืนยันได้ว่า ใช้ระยะเวลานานเท่าไหร่ เพราะว่าถ้ารีบดำเนินการ อาจจะส่งผลเสียในรูปคดี เช่น มีผู้ต้องหาบางรายที่หลุดรอดไป เพราะว่าเราต้องดูพยานหลักฐานให้ละเอียด ถ้าดูไม่ดี ถ้ารีบร้อนก็จะได้ผู้ต้องหาที่ไม่ครบถ้วน จึงทำให้พนักงานสอบสวนกังวลกัน


รวบทันที9 รายตัวการใหญ่ไม่รอด
ตามล่าอีก11 รายเจอที่ไหนจับที่นั่น
ทางด้าน พ.ต.อ.สุวัฒน์ แสงนุ่ม พนักงานสอบสวนผู้ทรงคุณวุฒิ กองบังคับการปราบปราม กล่าวเพิ่มเติมถึงกรณีการเข้าไปจับกุมว่า หลังจากที่ได้รับร้องเรียนในครั้งแรกที่กองปราบฯ เราก็ทำการสอบสวนปากคำผู้เสียหายไว้ และก็ประมาณเรื่องแล้วมันเข้าลักษณะของคดีพิเศษที่กรมสอบสวนคดีพิเศษจะต้องดำเนินการ เราจึงส่งเรื่องให้ทางกรมสอบสวนคดีพิเศษ หลังจากนั้นกรมสอบสวนคดีพิเศษก็จะทำการสอบสวนอย่างต่อเนื่อง

เมื่อผู้เสียหายเข้ามาร้องเรียนที่กองปราบฯ เราก็จะรับเรื่องส่งต่อให้กรมสอบสวนคดีพิเศษดำเนินการ จากนั้นก็รวบรวมพยานและหลักฐานส่งให้กรมสอบสอบสวนคดีพิเศษได้ออกหมายจับผู้ต้องหาจำนวน 20 ราย และหมายจับนี้ก็เริ่มมาปรึกษากับเราว่า จะเริ่มดำเนินการวันไหน เพราะว่ามันจะมีผู้ต้องหาที่เป็นชาวต่างชาติ ซึ่งอยู่นอกราชอาณาจักร เราก็ไม่อยากไปจับคนอื่นที่อยู่ในราชอาณาจักรก่อน เพราะเกรงว่าถ้าจับไปก่อนแล้วคนที่อยู่เมืองนอกนั้นจะทราบ ก็ไม่ยอมเข้ามาในราชอาณาจักร ทำให้การจับกุมลำบาก จึงได้รอ

เมื่อทาง สคบ.แจ้งว่า ในวันที่ 12 ต.ค.นี้ ทางผู้บริหารเบอร์ 1 ของบริษัทจะเข้ามาทำการเสียค่าปรับที่ สคบ. วันนั้นเราก็ตกลงว่าจะลงมือจับกุมถ้าเขามาจริง เพราะคนอื่นอยู่ในราชอาณาจักรอยู่แล้ว ถ้าตัวใหญ่อยู่นอกราชอาณาจักรมาเมื่อไหร่จับกุมคนในประเทศได้ คนอื่นก็จะตามมา วันที่ 12 ต.ค. ผู้บริหารระดับสูงเขาก็มาที่ DSI ก็เลยไปจับกุมเบอร์ 1 และหลังจากนั้นวันเดียวกันเราก็สามารถจับกุมได้เพิ่มอีก 5 ราย ในวันที่ 13 ต.ค.จับได้อีก 2 ราย และไปมอบตัวที่ DSI อีก 1 ราย สรุปกองปราบฯ จับกุม 7 ราย DSI 2 ราย รวมทั้งสิ้นเป็น 9 ราย คงเหลือติดตามการจับกุมอีก 11 ราย ตอนนี้เราก็พยายามติดตามสืบสวนจับกุมอยู่ พวกนี้ก็เริ่มรู้ตัวและเริ่มหลบหนีกัน ตอนนี้ก็กำลังเช็คข้อมูลว่าเขาไปอยู่ตรงไหน

ส่วน 11 รายที่เหลือ ก็ไม่ได้แบ่งใครจับ ทาง DSI ก็จะมีหมาย ทางเราก็จะมีหมาย และจะร่วมกันติดตามสืบสวนจับกุมและร่วมมือกับตำรวจท้องที่ด้วย ถ้าใครเจอก็จับได้หมด ไม่มีระยะเวลาว่าจะจับเมื่อนั้นเมื่อนี้ ทุกวันนี้ก็ยังดำเนินการอยู่เจอเมื่อไหร่ก็จับ 11 คนเมื่อนั้น คงเหลือแต่คนไทยทั้งนั้นละครับ กระทำผิดในข้อหากู้ยืมเงินที่เป็นการฉ้อโกงประชาชน ก็จำคุกตั้งแต่ 5 -10 ปี และก็ปรับตั้งแต่ 5 แสน ถึง หนึ่งล้านบาท และก็ปรับอีกวันละไม่เกิน 10,000 บาท หากเปิดดำเนินการต่อจนกว่าจะหยุดดำเนินการ ซึ่งตอนนี้เขาหยุดไปแล้ว

ในส่วนของพยาน ถ้าใครรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้รับความปลอดภัย มันมีกฎหมายคุ้มครองพยานอยู่แล้ว เขาสามารถมายื่นคำร้องได้ อาจจะไปยื่นกับตำรวจท้องที่หรือมายืนที่กองปราบฯ ว่า หากเกรงจะไม่ได้รับความเป็นธรรมก็จะมีการจัดการพิจารณาและจัดชุดคุ้มครองตามความเหมาะสม

ถามว่าผู้เสียหายยังมาแจ้งได้ที่กองปราบฯ หรือไม่ ก็ยังมาได้ครับ ในส่วนของคดีอื่น ๆ ถ้าเราสอบสวนแล้วมันเข้าลักษณะฉ้อโกงประชาชน การกู้ยืมเป็นการฉ้อโกงประชาชน เราก็ต้องส่งเรื่องให้ DSI ก็ร่วมมือกันอยู่แล้วครับ และถ้ามีใครชักชวนให้ทำธุรกิจโดยที่ท่านไม่มีส่วนในการบริหารอะไรเลย ทำหน้าที่เพียงเอาเงินมาลงทุน หรือไปหาสมาชิกเพิ่มและก็ได้ผลตอบแทนที่มันสูง ตรงนี้มันผิดปกติ และให้ท่านตั้งข้อสังเกตไว้เลยว่า มันอาจจะเข้าลักษณะแชร์ลูกโซ่ เพราะว่าคงไม่มีใครเขาหวังดีกับเราขนาดนั้น ที่ว่าได้เงินง่าย ๆ แล้วจะมาชวนเราทำ เขาก็คงทำเองไปแล้ว และถ้าใครเจอพฤติกรรมอย่างนี้ก็ให้ติดต่อตำรวจท้องที่ หรือว่ากองปราบฯ หรือว่า DSI ก็ได้ และต้องตรวจสอบก่อนที่ท่านจะตัดสินใจไปลงทุน พ.ต.อ.สุวัฒน์ กล่าวทิ้งท้าย


15 ต.ค.ถอนใบอนุญาต สคบ.
เตือนภัยขายตรงอีก2ค่ายจ่อคิวเชือด
นายณัชภัทร ขาวแก้ว นิติกรชำนาญการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) กล่าวถึงในส่วนของบริษัท DCHL ก็คือ ณ วันนี้ทางเลขาธิการคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ก็ได้มีคำสั่งเพิกถอนไม่อนุญาตบริษัทนี้ประกอบธุรกิจขายตรงตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2555 เป็นต้นไป ถ้าหากกระทำการฝ่าฝืน มันก็มีบทลงโทษก็คือปรับเป็นรายวัน วันละไม่เกิน 10,000 บาท อันนี้ก็คือบทลงโทษหลังจากการเพิกถอน

ทำไมถึงมีการกระทำที่ล่าช้า ทั้งที่มีการตั้งกระทู้ถามในเว็บ สคบ.มานานแล้ว อยากบอกว่ามีการดำเนินการมาพอสมควรแล้ว เพียงแต่การร่วมมือกันระหว่างหน่วยงานเพื่อที่จะเอาผิด เอาคนเข้าคุก มันก็ต้องใช้เวลานิดนึง เพราะถ้าเกิดการผิดพลาดอะไรคงไม่ได้ ตรงนี้เราก็มีการประชุมร่วมกันกับกรมสอบสวนคดีพิเศษ และก็สำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงินและกลุ่มป้องปรามการเงินนอกระบบอยู่เป็น

ระยะ ๆ เมื่อมีข้อเท็จจริงและก็ได้หลักฐานใหม่มา เพื่อที่จะนำไปสู่กระบวนการขั้นสุดท้ายเมื่อวันที่ 12 ตุลาคม ที่ผ่านมานี้ ก็มีการประชุมกันเรื่อย ๆ เพราะมีคนร้องเรียนเข้ามาตั้งแต่ปลายปี 2553 เพียงแต่พฤติกรรมมันแตกต่างกันไปบ้าง มันยังไม่ชัดเจนพอที่จะให้เราดำเนินคดีฐานความผิดตามที่ถูกกล่าวหา ณ วันนี้

ถามว่าก่อนหน้านี้มีการแฝงตัวเข้าไปดูบ้างหรือไม่ ก็มีทางตำรวจกรมสอบสวนได้แฝงตัวเข้าไป และก็ทางป้องปรามทาง ปปง.ได้แฝงตัวเข้าไป แต่ว่าเข้าไปตอนไหนอย่างไรนั้น ก็คงเข้าไปลับ ๆ ไม่ได้เปิดเผยตัวตน ณ ตอนนี้ตามที่ผู้บังคับการสำนักคดีอาญาพิเศษ ที่ได้บอกไว้นะครับว่า คนที่เสียหายก็ขอให้เข้าไปแจ้งความร้องทุกข์ลงชื่อไว้กับกรมสอบสวนคดีพิเศษทั้งหมด เนื่องจากว่าทางกรมสอบสวนรับเป็นคดีพิเศษแล้ว และจะมีการฟ้องร้องดำเนินคดีทั้งทางแพ่งและทางอาญา
ตอนนี้ก็รวบตัวได้ทั้งหมดเลย ทั้งที่สาขาสำนักงานใหญ่หลัก ๆ ก็คือ ตรงพระราม 9 และที่โคราช อันนี้ก็คิดว่าคงปิดทำการแล้ว และคงไม่สามารถเปิดทำการได้อีกแล้ว ถ้ายังเปิดก็มีโทษปรับอีกต่อวันไม่เกิน 10,000 บาท สิ่งที่ทางรัฐอำนวยความสะดวกกระทำได้พร้อมกัน เพราะว่าตึก สคบ.กับ DSI อยู่ตึกเดียวกันเพียง แต่คนละชั้น สามารถเข้ามาปรึกษาเข้ามาร้องเรียนอะไรได้ เราก็จะอำนวยความสะดวกให้เป็นอย่างยิ่ง

ส่วนผู้เสียหายเกินหลักหมื่นหรือไม่ อันนี้ผมยังตอบไม่ได้ เพราะว่าที่ผ่านมาในฐานข้อมูลของบริษัท มันก็มีเป็นหลักหมื่น แต่คนที่เสียหายจริง ๆ ที่เดินเข้ามาร้องทุกข์มันก็ไม่ถึง จากนี้ไป สคบ.ก็คงชี้แจงไปทุกจังหวัด เดี๋ยวเราจะมีหนังสือแจ้งทางจังหวัดให้ประสานเผยแพร่ประชาสัมพันธ์เรื่องเกี่ยวกับแชร์ลูกโซ่ต่อไป
ที่สำคัญก่อนหน้านี้มีการเชิญบริษัทขายตรงที่เข้าข่ายว่าเป็นแชร์ลูกโซ่หรือไม่ ก็มีการเชิญมา 2 ค่าย ก็ได้ทำตามขั้นตอนกระบวนการของกฎหมายที่ให้อำนาจ สคบ.ไว้ คงจะดูประเด็นในเรื่องของข้อเท็จจริง และประเด็นของการร้องเรียน รวมถึงพฤติกรรมของบริษัทที่ไปทำ คงต้องปรับเข้ากฎหมายว่า มันสามารถที่จะดำเนินการได้ตามข้อกฎหมายข้อใดบ้าง

โดยเฉพาะข้อกฎหมายที่เอาหนักสุดเลย มาตรา 19 หลัก ๆ ก็คือ ผู้ใดประกอบธุรกิจขายตรง โดยมีลักษณะเป็นการชักชวนให้ประชาชนเข้ารวมธุรกิจโดยจ่ายผลตอบแทนจากการคิดคำนวณ จากจำนวนคนที่เพิ่มขึ้นประมาณนี้ ก็มีโทษจำคุกไม่มีโทษปรับเฉพาะมาตรานี้ แต่สำหรับความผิดฐานมาตราอื่น ๆ เช่น มาตรา 38 มาตรา 27 มาตรา 20 อันนี้มีบทลงโทษในเรื่องของการเสียค่าปรับอยู่ ตรงนี้ก็ดูเป็นแต่ละฐานความผิดไป

จึงอยากฝากถึงประชาชนก่อนที่จะเข้าร่วมธุรกิจ ก็คงจะต้องมีการตรวจสอบ อย่างแรกที่อยากให้ตรวจ ก็คือ 1. บริษัทได้รับการจดทะเบียนจาก สคบ.หรือไม่ ตรวจสอบในเว็บไซต์ของสำนักงานได้ว่า บริษัทนี้ได้จดทะเบียนหรือไม่ 2. ถ้าตรวจสอบพบแล้วว่า พบบริษัทจดทะเบียนแล้ว ถ้ามีพฤติกรรมแบบนี้ให้โทรมาถามเจ้าหน้าที่สักนิดหนึ่ง เพราะเจ้าหน้าที่ในส่วน สคบ.เขาก็จะมีข้อมูลของบริษัทอยู่เบื้องต้น ที่สามารถอธิบายหรือว่าบอกในข้อเท็จจริงได้ และเพียงพอที่จะให้ท่านตัดสินใจในการที่จะเข้าร่วมหรือไม่เข้าร่วมในการทำธุรกิจ ส่วนบริษัทที่อยู่ภายใต้แนวนโยบายของท่านเลขาธิการคนปัจจุบัน นายจิรชัย มูลทองโร่ย ก็คือ ส่งเสริมทุกบริษัทที่ทำดีแน่นอน และก็เน้นหนักปราบปรามกับบริษัทที่มีพฤติกรรมที่เป็นแชร์ลูกโซ่ ตรงนี้ท่านก็ให้นโยบายมาชัดเจน


 


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ. ตลาดวิเคราะห์ ประจำวันที่ 1 - 15 พฤศจิกายน 2555ฉบับ331

8 ความคิดเห็น:

  1. ยังงัยกันแน่..เงินทำไมโอนเข้าเป็นsal

    ตอบลบ
  2. คนที่เสียหายน่าจะได้เงินคืนบ้างบ่างส่วนนะคะ

    ตอบลบ
  3. ต้องทำยังไงจะได้เงินคืนครับ คดีสิ้นสุดหรือยังครับ ตั้งแต่ ตุลาคม 2554 ครับ

    ตอบลบ
  4. ตอบหน่อยครับว่าบริษัทมันจะคืนเงินหรือเปล่าครับ

    ตอบลบ
  5. ถูกโกงแชร์น้ำหอมระเหย 12300 บาท ที่โคราช โทรศัพท์ไอโฟน 5 s 2300 บาทครับ ที่ กทม ปทุมวันครับ

    ตอบลบ