ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันศุกร์ที่ 3 สิงหาคม พ.ศ. 2555

ข่าวจอยน์แอนด์คอยน์ (J&C) : ให้ "กิมเอ็ง" นำทางเข้า "มหาชน" ใน 3 ปี


ครั้งเมื่อ ดร.สมชาย หัชลีฬหา ประธานกรรมการ บริษัท จอย แอนด์ คอยน์ คอร์ปอเรชั่นจำกัด ร่วมออก รายการโทรทัศน์ เส้นทางนักขาย ทาง Nation Channel ประจำเดือนกรกฏาคมที่ผ่านมาได้กล่าวเปิดประเด็นถึงผลการดำเนินงานในรอบ 6 เดือนที่ผ่านมาว่า


ตัวเลขที่เกิดขึ้นจริง ปัจจุบันค่าเฉลี่ยที่เติบโตยังอยู่ในเป้าที่ตั้งไว้คือ 20% แต่สำหรับจำนวนผู้จำหน่ายอิสระที่เข้ามาร่วมธุรกิจเมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ก็มากกว่า 20% นิดหน่อยเติบโตอย่างต่อเนื่องถือว่าอยู่ในเป้าแต่ว่ายังไม่ถูกใจมากนัก และคาดว่าในครึ่งปีหลังน่าจะมากกว่านี้


ทิศทางการเติบโตใน 6 เดือนหลังของปีนี้
ดร.สมชาย กล่าวว่ายังมีความเชื่อว่าการเติบโตจะมากกว่า 20% แน่นอน ด้วยสิ่งที่บริษัทดำเนินการไปนั้นล้วนเป็นนวัตกรรมที่มีอยู่ต่อเนื่องจากที่เริ่มใน 6 เดือนแรกของปีนี้ แล้วก็มีระบบที่พัฒนาเพิ่มขึ้น เช่น เรื่องของการที่มีพันธมิตรหรือนวัตกรรมทางเทคโนโลยี ที่เรียกว่า อีวอลเล็ต ก่อนหน้านี้พยายามสร้างความเข้าใจให้กับผู้จำหน่ายอิสระทั่วไป ถึงระบบเครื่องมือนี้ว่าดีอย่างไร


ปกติแล้วผู้จำหน่ายอิสระเวลาที่ทำธุรกิจ การซื้อการขายจะต้องมาซื้อสินค้าที่สาขาอย่างเดียว แต่วันนี้ระบบของ J&C ออกแบบระบบ อีวอลเล็ต ที่เป็นกระเปาเงินแบบเดบิต ที่ไม่ต้องมารอสั่งออเดอร์ที่สาขา แต่สามารถสั่งออเดอร์ในเว็บไซต์ได้ด้วยตนเองได้ทำด้วยตนเอง เสมือนเป็นเจ้าของธุรกิจเอง แล้วก็มีวงเงินให้ตามจำนวนเงินที่เติมเข้ามา คล้ายระบบ อีสมาร์ทเพิร์ส ดร.สมชายกล่าว และว่า


แตกต่างกันที่ระบบอีสมาร์ทเพิร์สไม่ได้ผลตอบแทนอะไรกลับไป แต่อีวอลเล็ตของ J&C มีผลตอลแทนในแง่ของคะแนนที่ได้ซื้อสินค้าไป มีค่าตอบแทนจากการบริหารศูนย์ ตัวเขาเองสามารถที่จะขายอะไรก็ได้ ที่เวลาขายลูกค้าสามารถออนไลน์ได้ทันที มีผลตอบแทนทันทีเพียงแต่ว่าไม่ต้องขนของไป สามารถให้ลูกค้าไปรับของที่สาขาไหนก็ได้ หรือจะให้ส่งมาที่บ้าน แค่เพียงคลิ๊ก


นี่คือวิธีการที่ J&C ออกแบบเทคโนโลยีมาเป็นเวลา 2 ปีวันนี้ค่อนข้างสมบูรณ์ ทำให้คนทำงานได้ง่ายขึ้น ลองคิดดูว่า บริษัทได้สร้างสาขาอยู่ในจังหวัดใหญ่ๆ ให้สมาชิกที่เป็นผู้จำหน่ายอิสระสามารถมีระบบของตัวเองไปทำงานที่บ้าน เอาสัญลักษณ์ J&C มีชั้นวางสินค้าสักสองถึงสามชิ้น คือเอาสินค้าที่จำเป็นไปวางไว้หน้าบ้านของเรา ก็เหมือนเป็นร้านเล็กๆ คนผ่านไปผ่านมาก็ซื้อขายได้ ทำระบบเองขายเอง ไม่ได้เป็นขายปลีกแต่เป็นระบบที่ขายเอง


เมื่อมีระบบแล้วอยากทำธุรกิจเป็นของตนเอง ต้องทำอย่างไร
สามารถเอาสินค้าเข้าระบบได้ คือ อยากจะเอาอะไรมาขายก็ทำได้เพียงแจ้งกับทางบริษัทเข้ามา เป็นระบบเดียวกับการนำสินค้าไปฝากขายในห้างสรรพสินค้า มีวิธีการที่ไม่แตกต่างกันแล้วก็ง่ายในการทำธุรกิจ ระยะหลังเราจะมีร้านค้าเป็นร้านโชว์ห่วยมาเอาระบบของเราไปใช้เยอะมาก เพราะไม่ต้องวุ่นวายอะไร


สิ่งที่เราค้นพบก็เป็นสิ่งเดียวกับที่เราได้วิจัยมากว่า การที่เราทำให้คนมีระบบอยุ่ในมือเสมือนว่าเขาเป็นเจ้าของธุรกิจ ในแง่มุมของการเป็นเจ้าของกิจการ ถ้าเขาไม่มีระบบเขาไม่สามารถจะจัดการเองและรู้สึกว่าไม่มีความเป็นเจ้าของ ก็จะไม่ต่างอะไรกับผู้บริโภคทั่วไป แต่วันนี้ที่เราชวนมาเป็นหุ้นส่วนคือให้มีความเป็นเจ้าของร่วมกัน


ดร.สมชายกล่าวย้ำว่า เอาระบบไปใช้ บริหารจัดการเอง อยากรู้อะไรก็ได้รู้ เพราะมีฐานข้อมูล หัวใจของการทำธุรกิจคือต้องมีการประเมิน เวลาจะทำอะไรต้องมองว่าจะขายอะไรได้บ้าง มากหรอน้อย ลูกค้าอยู่ตรงไหนของประเทศ แล้วลูกค้าของ J&C เป็นคนประเภทไหน มีรายได้อย่างไร บริโภคครั้งละเท่าไหร่ ต่อหัวต่อคนเท่าไหร่ สิ่งเหล่านี้เป็นข้อมูลสำคัญ ซึ่งตรงนี้ถ้าเข้าในระบบบริหารจัดการ จึงสร้างระบบที่สามารถดูแลจัดการเอง


พอเขามีความเข้าใจระบบจะทำให้รู้สึกว่าเป็นธุรกิจของเขาและอยากจะทำ อยากทำต่อเนื่องเพราะว่าได้เห็นการเติบโตอย่างเป็นรูปธรรมแล้วก็มีการวิเคราะห์ได้ เปรียบเทียบได้ว่าโตอย่างไร มีความสำเร็จอย่างไร


การจับมือร่วมกับ บมจ.โตเกียวมารีนประกันชีวิต (ประเทศไทย)
ในแง่ของการเป็นพันธมิตรกันนั้น J&C ไม่ได้เพียงสินค้าของบริษัทนี้เท่านั้น สินค้าของบริษัทมีอีกหลายพันรายการจะมาจากพันธมิตร เช่น สินค้าอุปโภคบริโภคที่ร่วมกับเครือสหพัฒน์ สินค้าการเกษตรก็มีโรงงานที่มาตราฐานประมาณ 2-3 แห่ง ก็ส่งสินค้าที่ดีให้กับบริษัท มีสินค้าเครื่องสำอาง สินค้าเพื่อสุขภาพ แต่ที่สำคัญสำหรับวันนี้คือ มีการเอาสินค้าเข้ามาตัวหนึ่ง ซึ่งเป็นสินค้าใหม่ ยังไม่มีใครทำก็คือเรื่องของการประกันชีวิต (ไม่ใช่ประกันวินาศภัย)


คือปกติ J&C เราก็มีประกันภัยอยู่แล้ว อุบัติเหตุ วินาศภัยต่างๆ เช่นสมาชิก อาจจะจ่าย 1 พันบาท คุ้มครอง 1 ล้านบาท คุ้มครอง 1 ปีถือว่าเบี้ยถูกมาก อุบัติเหตุ เกิดขึ้น 1 ครั้งรับ 1 ล้านบาท มีคนที่ได้ประโยชน์จากตรงนี้พอสมควร สามารถทำให้เขาประสบความสำเร็จในแง่ของการวางแผนการจัดการลดความเสี่ยง คือการป้องกันความเสี่ยง เพราะทุกคนมีความเสี่ยง แต่ในแง่ของประกันชีวิต ความเสี่ยงของอุบัติเหตุทุกคนก็ระวังอยู่แล้ว


แต่การระวังชีวิตในระยะยาว จึงเป็นการฝากเงินแล้วยังคุ้มครองชีวิตในระยะยาวด้วย เช่นโครงงานเกษียณสำหรับการทำงานวันนี้ไป 10-20 ปี ช่วงที่มีเวลาเก็บเงิน เราเอาเงินไปฝากทุกปี เกิดฝากไปสัก 8 ปี แล้วถืงปีที่ 9 หยุดทำงาน ก็ไม่ต้องฝกอีก แต่รอถึงปีที่ 20 ก็มีเงินตอบแทนกลับมา เป็นเหมือนเงินบำนาญโครงการนี้ดูแลไปจนถึงอายุ 90 ปี สามารถรับเงินไปได้เรื่อยๆ และเมื่อเสียชีวิตก็มีเงินก้อน สามารถส่งต่อให้ลูกหลานได้


การจับมือร่วม ต่างกันอย่างไรกับประกันทั่วไป
ต่างกันตรงที่ประโยชน์ที่จะได้รับในแง่ของผู้จำหน่ายอิสระเอง ถ้าอยากจะเก็บเงินและอยากได้โครงการดีดี ลงทุนน้อยแล้วก็มีผลตอบแทนกลับมาด้วย ตามปกติถ้าเป็นสมาชิกแล้วซื้อประกันคงไม่ได้อะไร แต่ถ้าเป็นสมาชิกของ J&C ซื้อประกันจะได้รับค่าคอมมิชั่นอยู่แล้ว แต่ทางโตเกียวมารีนกรุณายกในส่วนนั้นให้กับทาง J&C แล้วเราก็นำตรงนั้นมาบริหาร เราไม่ได้เอาผลประโยชน์อย่างเดียว


แต่เอาประโยชน์มาแบ่งสรรปันส่วนให้กับสมาชิกที่อยากจะฝากเงิน อยากมีการวางแผนชีวิตในระยะยาว ว่าหลังเกษียณจะมีรายได้จะมีเงินบำนาญให้สักเดือนละ 30,000-50,000 บาท หรือบางคนอยากจะมีรายได้สัก 1 แสนบาท จะอยู่ได้อย่างไร ก็นำเงินมาฝากแล้วค่าคอมมิชั่นที่เราจะให้ เราก็นำมาคืนให้กับสมาขิก ซึ่งในแง่ของคนที่ทำขายตรงแล้ว ถ้าจะเอาค่าคอมมิชชั่นมาเป็นของตัวเองก็ไม่ต้องไปเป็นตัวแทน เพียงเป็นสมาชิก J&C ก็สามารถซื้อประกันได้เหมือนเป็นตัวแทนประกัน


คิดอย่างไรกับโครงการมอบตราสัญลักษณ์พร้อมการประกันภัยสินค้าธุรกิจขายตรงจากสคบ.
นโยบายการมอบตราสัญลักษณ์ถือเป็นเรื่องดี เป็นการยกมาตรฐานอุตสาหกรรมขายตรง แต่ว่าในแง่ของ ผู้ประกอบการไม่ค่อยสบายใจสักเท่าไหร่ที่อยู่ๆก็มีต้นทุน โดยหลักการแล้วได้เข้ารับฟัง ซึ่งผมเองก็เป็นเลขาสมาคมพัฒนาธุรกิจขายตรงไทยมีโอกาสได้เข้าไปร่วมในการร่างระเบียบว่าด้วยเรื่องของการกำหนดกฏเกณฑ์ให้ตราสัญลักษณ์กับผู้ที่ต้องการได้ตราสัญลักษณ์


เมื่อกฏออกมาหลายๆ กฏ เราก็ได้บอกว่า ทำไปแล้วก็เป็นสิ่งที่คณะท่านรัฐมนตรีได้ร่างมาแล้ว การเปลี่ยนแปลงก็จะไปทางท่านรัฐมนตรีซะมากกว่า ซึ่งหมายความว่าเป็นแนวทางที่ดี แต่ว่าก็ต้องเข้าใจเรื่องของอุตสาหกรรมขายตรงด้วยโดยเงื่อนไขก็จะไม่เหมือนซะทีเดียวกับความเข้าใจ กฏเกณฑ์ของท่านรัฐมนตรีบอกว่าอยากให้ธุรกิจที่เกี่ยวข้อง สคบ. ให้ตราสัญลักษณ์ไปเลยเป็นธุรกิจติดดาว แต่ประเด็นคือจะติดดาวต้องคุ้มครองด้วยนะ


ทำไมธุรกิจขายตรงต้องติดดาว
เมื่อไหร่ที่เกิดความเสียหาย ต้องมีบริษัทประกันมาดูแล หากมีใครร้องเรียนสินค้าไม่ได้มาตรฐาน ซื้อแล้วไม่ตรงกับตามโฆษณา บริษัทประกันภัยจ่ายทันทีที่มีคนร้องเรียน แต่ถ้าจ่ายแล้วภายหลังตรวจพบว่า ไม่ได้เป็นความผิดของลูกค้าแต่เป็นความผิดของบริษัท บริษัทก็ต้องจ่ายเงินให้กับบริษัทประกันต่อ แต่ถ้าเป็นความผิดของลูกค้า ตรงนี้ประกันจะเป็นคนจ่าย จึงเป็นความสุ่มเสี่ยง ที่บริษัทประกันก็ต้องยอมรับว่าทุกปีก็ต้องมีค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้น


ซึ่งตรงนี้เท่าที่ตรวจสอบมาจากหลายๆสมาคม หลายๆผู้ประกอบการ โดยเฉพาะรายใหญ่อาจจะต้องเป็นภาระเพราะว่าเท่าที่ดูตัวเลข เท่าที่ท่านผู้อำนวยการฝ่ายขายตรงสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค (สคบ.) ที่พิจารณาในเรื่องของเกณฑ์การคิดค่าเบี้ยประกัน เบี้ยการเก็บในแต่ละปี ขึ้นอยู่กับรายได้


เช่นกรณีตัวอย่าง ถ้าไปแจ้งกับทางกรมสรรพกรว่ามีรายได้ 1พันล้านบาท มีเรตเก็บตั้งแต่ 0.1 ประมากณร้อยละ 10 สตางค์ ไปถึง 0.5 ก็คือร้องละ 50 สตางค์ความแตกต่างขึ้นอยู่กับความสุ่มเสี่ยงอาจจะถูกเก็มมากหน่อย ใน 1 ปี จะถูกเก็บถึง 5 ล้านบาท แล้วถ้าบริษัทใหญ่ๆมีรายได้หมื่นล้านบาท จะต้องเสียมากถึง 50 ล้านบาท ถ้าอยู่ในสมาคมแล้วมีประวัติดีอาจจะถูกเรียกเก็บน้อยลงมา หรือลดลงไปกึ่งหนึ่ง ก็ยังถูกเรียกเก็บถึง 25 ล้านบาท แล้วบริษัทใหญ่ๆที่มีการเคลมปีละ 25 ล้านบาท ต้องมาดูกันว่าจะมีแบบนี้หรือเปล่า


ตอนนี้เท่าที่ได้คุยก็ได้รับความกรุณา ได้คุยกับท่าน ผอ. ว่าอาจจะไม่ถึง 0.5 อาจจะเริ่มสัก 0.1 เป็นเกณฑ์ แล้วก็อาจจะเป็น 0.05 ซึ่งบริษัทใหญ่กะเหลือประมาณ 2.5 ล้านบาทต่อปี ก็คือว่าไม่หนักหนาเท่าไหร่ สำหรับเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องใหม่ผมก็ยังตอบไม่ได้ว่าผลจะเป็นอย่างไร ถามว่าทำให้ผู้บริโภคมั่นใจก็เป็นเรื่องที่ดี แต่ก็มีความเป็นห่วงเรื่องค่าใช้จ่าย แล้วตัวบริษัทประกันก็มีการกำหนดมาแล้วว่าเป็นบริษัทเดียวกัน จึงตอบไม่ได้ว่าบริษัทอื่นๆ มีระบบการเก็บเบี้ยเท่ากันมั้ย นี่ก็เป็นสิ่งที่ต้องคิดต่อ


ห้างขายตรงสะดวกซื้อเป็นอย่างไรบ้าง สาขาใหม่ที่ไหนบ้าง
ที่เพิ่งเปิดไปก็คือสาขาสกลนคร สาขาประจวบฯ แล้วก็สาขาที่เปิดเร็วๆนี้ก็สาขาพัทลุงที่ทำขึ้นมาใหม่ ส่วนสาขาใหม่ที่เราจะวางแผนเปิดเป็นห้างสรรพสินค้าสะดวกซื้อ เนื้อที่ตั้งแต่ 1,500 ตารางเมตรขึ้นไปจะเริ่มสร้างในเดือนหรือสองเดือนนี้ กำลังรอใบอนุญาตการสร้างสมบูรณ์ ซึ่งนั้นหมายความว่าทุกสาขา ที่สาขาหาดใหญ่ สาขาสุราษฏร์ธานี สาขาตรัง สาขาแพร่ และสาขาพิษณุโลก อันนี้ก็คือสาขาหลักที่จะลงเสาเข็มแล้วก็สร้าง


คาดว่าปีหน้าจะมีสัก 5-6 สาขาที่เสร็จแล้วก็มีความพร้อมที่จะให้บริการสมาชิกแล้วก็มีภาพลักษณ์ที่มองเห็นได้ชัดแล้วก็จับต้องได้เป็นตัวสินค้า เหมือนอย่างที่เราจัดงานเมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมาบริษัทเองก็มีกรจัดงานแล้วจำลองเหตุการณ์ให้เหมือนห้างจริง คือเอาสินค้าที่หลากหลายไปโชว์อยู่ในงานเลย แล้วก็เห็นว่าสินค้าหมื่นรายการซื้อขายกันอย่างไร สามารถทำให้ทุกรายการกลับมาเป็นประโยชน์กับสมาชิกได้อย่างไร อันนี้ก็ทำให้เห็นอยู่แล้ว


J&C ใช้เกณฑ์อะไรในการเลือกสถานที่สร้างห้าสะดวกซื้อ
ส่วนใหญ่ตอนนี้ที่เป็นนโยบายคือ เลือกพื้นที่ที่มีประชากรหนาแน่น ในย่านธุรกิจ พื้นที่ทุกพื้นที่ในจังหวัดใหญ่ๆ ส่วนใหญ่พื้นที่จะอยู่ใกล้กับห้างบิ๊กซี โลตัส จะอยู่ในเส้นเดียวกัน ไม่ห่างกันมาก ถึงห่างก็ไม่เกิด 2 กิโลเมตร อย่างที่สาขา พิษณิโลกก็ใกล้กันเลย แล้วก็สาขาแพร่อยู่ตรงข้ามกันเลย ทุกที่จะไม่ห่างกันมาก


ภาพของ J&C อีก 5 ปีจะเป็นอย่งไร
สิ่งที่เป็นโมเดลทั้งหมดที่พูดมา จะเป็นรูปธรรมทั้งหมดใน 3 ปีข้างหน้า ผมมั่นใจเหลือเกินว่า คงจะเห็นเป็นภาพเด่นชัด ไม่ว่าจะเป็นสาขาที่เสมือนว่าเป็นห้างจริงๆ บรรยากาศรูปร่างหน้าตาคงจะคล้ายๆกับเทสโก้ โลตัสมินิ ที่เราคุ้นเคยกันตามต่างจังหวัด ของเขาชั้นเดียวของเราอาจจะเป็นสองชั้นหรือสามชั้น เพราะธุรกิจนี้ไม่ใช่แค่จับจ่ายใช้สอยเพียงอย่างเดียว แต่ว่าเรามีระบบฝคกอบรมที่จะทำให้คนที่ไม่เก่งไม่รู้อะไรเลยเข้ามาเรียนรู้ ฉะนั้นชั้นสองหรือชั้นสามจะเป็นที่ฝึกอบรม


ถ้าโมเดลนี้สำเร็จเราอยากจะให้เกิดขึ้นเร็ว ซึ่งเพื่อเหลือเกินว่า 3 ปีบริษัทคงมีความพร้อมในการลงทุน และถ้าจำเป็นต้องระดมทุนเราก็จะเป็นบริษัทมหาชน โดยหาคนที่สนใจร่วมลงทุน เท่าที่เราคุยไปแล้ว แล้วอยู่ในชั้นเตรียมตัวไว้ อยู่ที่ว่าจะเข้าหรือไม่เข้าอันนั้นเป็นอีกเรื่อง ณ ตอนนี้ก็เริ่มใช้ ออดิเตอร จากตลาดหลักทรัพย์


ดร.สมชายกล่าวว่า สำหรับพี่เลี้ยงใหญ่ ก็คือคนที่เรารุ้จักคุ้นเคยกันดีก็คือ บริษัทหลักทรัพย์ เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) เป็นบริษัทหลักทรัพย์ชั้นนำของไทย ซึ่งวันก่อนได้คุยกับคุณมนตรี ศรไพศาล ซึ่งท่านก็เป็นประธานเจ้าหน้าที่บริหารของบริษัท กิมเอ็ง ท่านกรุณาบอกว่ายังไงก็แล้วแต่ จะมาดูแลเรื่องนี้ จะทำยังไงต้องการใช้เงินทุนอย่างไร แล้วก็ทำให้ประชาชนมีโอกาสได้มีส่วนร่วมเป็นเจ้าของร่วม J&C ได้ ท่านก็บอก เกรงว่าสมาชิกจะซื้อกันเอง


ท้ายรายการ ดร.สมชาย หัชลีฬหา กล่วว่า สำหรับผู้สนใจเข้าร่วมงานกับ J&C ท่านยินดีให้คำปรึกษาเพื่อการตัดสินใจก่อนร่วมงาน โดยเน้นย้ำว่า J&C เป็นบริษัทขายตรงที่มี เครื่องมือ พร้อมสนับสนุนการทำงานให้นักธุรกิจอิสระอย่างสมบูร์ ด้วยความภูมิใจที่ทำให้ทุกคนมีเขี้ยวเล็บจะไปต่อกรกับการแข่งขันที่เข้มข้นในตลาด นอกจากนั้นบริษัทยังเปิดดอกาสให้ทุกคนได้แข่งขันและรับโปรโมชั่นช่วยซ้าย 5 คน ขวา 5 คน เป็นองค์กรเข้ามา รับเพียง 200 คน แล้วเราจะทำให้คนเหล่านั้นประสบความสำเร็จต่อไป!!


ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ธุรกิจเครือข่าย ฉบับที่ 233 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 1-16 สิงหาคม 2555

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น