นับถอยหลัง ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ปี 2558 หรือ ASEAN Economic Community: AEC เหลือเวลาอีกไม่ถึง 3 ปี แล้วที่ 10 ประเทศจะมารวมตัวเป็น ตลาดเดียว (single market) ประกอบด้วย ไทย, พม่า, ลาว, เวียดนาม, มาเลเซีย, สิงคโปร์, อินโดนีเซีย, ฟิลิปปินส์, กัมพูชาและบรูไน ซึ่งหลังจากนั้นจะ ไม่มีกำแพงภาษี ทางการค้าระหว่าง ประเทศอีกต่อไป
ทุกธุรกิจจากเดิมที่เคยมองประชากร ของประเทศที่ประมาณ 63 ล้านคน จากนี้ไป จะเพิ่มขึ้นมากกว่า 500 ล้านคน กลายเป็น ตลาดใหม่และใหญ่จากเดิมหลายเท่าตัวในทันที ขณะบางอุตสาหกรรมในประเทศไทยมี มูลค่า ตลาดรวม เหลืออีกมหาศาลให้ครอบครอง แต่ยัง ครองส่วนแบ่งตลาด ได้ไม่ถึงครึ่งหนึ่ง และไม่ถึง 3 ปี นับจากนี้ มูลค่าตลาดใหม่ จะเพิ่มขึ้นอย่างมหาศาล แล้ว ธุรกิจไทย จะปรับตัวและเตรียมพร้อมรับมืออย่างไรกับ ที่กำลังจะเกิดขึ้น
ขณะ ตลาดเดิม ก็ยังต้องรักษาไว้ เพราะ คู่แข่ง ที่แข็งแกร่งกำลังจับจ้องรุกคืบ เข้ามาแชร์ส่วนแบ่งที่มีอยู่!!
"ขายตรงไทย" แห่ปูพรม "ลาว" ก่อนประตู AEC เปิด
ส ป ป . ล า ว หรือ ส า ธ า ร ณ รัฐ ประชาธิปไตยประชาชนลาว ก็เป็นหนึ่ง ประเทศสมาชิก AEC ที่ เนื้อหอม ไม่แพ้ พม่า และ เวียดนาม ที่ หลากหลายธุรกิจต่างทยอย เดินหน้าปักธงในดินแดน ดังกล่าว โดยเฉพาะ ธุรกิจ ขายตรง ที่แม้ว่า ณ วันนี้ สปป.ลาว จะมีประชากร อยู่เพียงแค่ประมาณ 6 ล้าน คนเศษ แต่มีบทบาทเสมือน เป็น แบตเตอรี่แห่งเอเชีย และเป็นเสมือน ไข่แดง ที่มี ประเทศเพื่อนบ้านอยู่ล้อม รอบทั้งไทย จีน เวียดนาม พม่า และกัมพูชา
ทุกคนจึงต่างเดิน หน้าเปิดตลาดก่อนที่กระแส AEC จะมาถึง ตัวอย่างเช่น บริษัท เบทเตอร์เวย์ (ประเทศ ไทย) จำกัด หรือที่รู้จักกันใน นาม มิสทิน ที่บุกตลาด ลาว มาตั้งแต่ปี 2539 ก่อน ที่ ลาว จะเข้าร่วมเป็นสมาชิก ประชาคม AEC คือ ปี 2540 มี ยอดขาย แล้วไม่ต่ำกว่า 50 ล้านบาทต่อปี ตามมาด้วย คังเซน-เคนโก หรือ บริษัท คังเซน-เคนโก อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด เริ่มบุกเบิกเมื่อปี 2543 มี ยอดขาย แล้วประมาณ 160 ล้าน บาท และในปี 2555 นี้ก็ยังมีหลายบริษัท เดินหน้าเข้าสู่ ตลาดลาว ให้เห็นกันอย่าง คึกคัก
อาทิ บริษัท นีโอ ไลฟ์ อินเตอร์ เนชั่นแนล จำกัด ที่ขยายฐานธุรกิจเต็มรูปแบบ ที่ ลาว ก่อนรุกคืบต่อไป เวียดนาม-กัมพูชา และต่อไปประเทศต่างๆ ในกลุ่ม AEC ต่อไป การเอาจริงในการบุกตลาดครั้งนี้ ดร.นพรุจ เวชกุล ประธานกรรมการบริหาร นีโอ ไลฟ์ ยืนยันว่า ทางบริษัทได้ขออนุญาต อย. จาก ทางการของ สปป.ลาว เพื่อส่งสินค้าและ ผลิตภัณฑ์ของบริษัทเข้าไปจำหน่ายที่ ลาว เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ส่วนบริษัท ยูนิ-ซิตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล อิงค์ จำกัด เช่นกันได้เปิดตลาดที่ ลาว เป็นที่เรียบร้อยแล้วเช่นกันเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมา ขณะที่ บริษัท กิฟฟารีน สกายไลน์ ยูนิตี้ จำกัด ได้ฤกษ์เดินหน้าปักธงใน ตลาดลาว ด้วยเช่นกันในปีนี้ โดย พงศ์พสุ อุณาพรหม ผู้อำนวยการใหญ่สายงานการตลาด ระบุว่า กิฟ ฟ า รีน นั้นกำลังอยู่ระหว่างเตรียม ความพร้อมเปิดตลาดที่นี่ เป็นการลงทุนเอง ทั้งหมด ในนามของ บริษัท กิฟฟารีนลาว จำกัด
การเดินหน้าเจาะตลาดลาว ของหลาย บริษัทครั้งนี้ยังไม่นับรวมรายอื่นๆ ที่ไม่ได้เอ่ยถึง อีกมากมายนัก แต่เชื่อไม่นานเกินรอ 2 ปีกว่า จากนี้เปิดประตู AEC คงได้เห็นภาพการแข่งขัน ในตลาด ลาว อย่างรุนแรงไม่แพ้ประเทศไทย ในขณะนี้
เศรษฐกิจลาว สดใสลุ้น "มูลค่าตลาดรวม" ถึง 1,000 ล้านบาท
ทั้งนี้หากเอ่ยถึง มูลค่าตลาดรวม ของธุรกิจขายตรงใน ลาว เคยมีผู้ประมาณกันไม่ต้องมีล่ามแปล อีกทั้งได้รับ อิทธิพล จากดารานักแสดงของไทยด้วย ส่งผลให้ธุรกิจ ที่มีผลิตภัณฑ์เกี่ยวข้องด้านความงามคึกคัก เป็นพิเศษ
การออกมาวิเคราะห์ กลุ่มเป้าหมาย ให้ธุรกิจหรือผู้มองเห็น โอกาส ง่ายต่อการ เข้าถึงตลาดที่เหนื่อยน้อยและถูกจุดมากที่สุด ของ ฑูตพาณิชย์ ครั้งนี้ยังคงเป็นเพียงอณูหนึ่ง ของธุรกิจโดยรวมเท่านั้น เพราะจังหวะ การรุก ของ ธุรกิจขายตรง รายใหม่ที่กำลังแต่งตัวรอ เข้าไปลงทุนใน ลาว อีกหลายราย คงต้องขึ้น อยู่กับการวาง กลยุทธ์การตลาด ของบริษัท เองที่จะ ครองส่วนแบ่งตลาดอย่างไรให้ มัดใจ ชาวลาว ได้
ที่ ณ วันนี้ปฏิเสธไม่ได้ว่า มีกำลังซื้อ สูงเมื่อเทียบกับในอดีตที่ผ่านมา ประกอบกับ ธนาคารโลก หรือ เวิร์ลด์แบงก์ เองก็ได้ วิเคราะห์อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ของ สปป.ลาว หรือ จีดีพี ปี 2555 นี้ว่า อาจเติบโตได้สูงถึงร้อยละ 8.3 อันเป็นผลมา จากการเข้ามาลงทุนในทุกแขนง เนื่องจาก สปป.ลาว เป็นเหมือนเศรษฐกิจในย่านเอเชีย แปซิฟิกที่ในภาพรวมยังคงขยายตัวต่อเนื่อง แม้ว่า เศรษฐกิจโลกโดยรวมจะยังอยู่ในภาวะถดถอย ซึ่งนับเป็นตัวเลขที่สูงกว่า สภาแห่ง ชาติสปป.ลาว คาดการณ์ไว้ว่าจะโตได้ที่ ร้อยละ 8
อีกทั้งองค์การสหประชาชาติ กองทุน สำหรับประชากร (UNFPA) กรมร่วมมือสากล กระทรวงแผนการและการลงทุน ต่างประเมิน ว่า ปี 2558 ประชากร สปป.ลาว ใน วัย ทำงาน มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ร้อยละ 63 ซึ่งจะเป็นกำลังสำคัญในการสร้าง รายรับ และ ความมั่งคั่ง ให้กับประเทศ สืบทอดต่อไป อย่างน้อย 30 ปี
ดังนั้นความเป็นไปได้ที่ ผลิตภัณฑ์ ความงาม ที่กำลังเป็นที่นิยมจนบูมอยู่ใน ตลาดลาว ครั้งนี้ จะไม่ใช่สินค้าจำเป็นขั้น พื้นฐานอีกต่อไป หากแต่เป็นความต้องการ ของ ชาวลาว ซึ่งเป็นกลุ่มวัยทำงานที่เป็น คนรุ่นใหม่ ไปแล้ว เพราะมีปัจจัยสำคัญ ทาง สังคม มาเป็นตัวแปรมากขึ้นอย่าง
ต่อเนื่อง โดยเฉพาะในเรื่องของ ความงาม- ความสำเร็จ ซึ่ง นักธุรกิจขายตรงลาว เคย ระบุไว้ว่า ขณะนี้มี คนรุ่นใหม่ชาวลาว และ ประสบความสำเร็จในการทำ ธุรกิจขายตรง มี รายได้ มากกว่า 100,000 บาทต่อเดือน แล้ว
ฉะนั้นอาชีพ นักธุรกิจขายตรง ถือ เป็นอีกทางเลือกหนึ่งของการสร้างงาน สร้าง อาชีพ หากปริมาณ ธุรกิจขายตรง ที่รุก ตลาดในครั้งนี้โดยถูกต้องตามกฏหมายของ สปป.ลาว ก็มีความเป็นไปได้ที่ ตลาดรวม จะเพิ่มมากขึ้นไปพร้อมๆ กับการหลั่งไหลของ ประชากรในกลุ่มประเทศอาเซียนหลังเปิด AEC ปี 2558 ที่ไหลเข้าไปยัง ลาว แห่งนี้ ถึง ตอนนั้น มูลค่าตลาดขายตรงลาว คงจะทะลุ เกิน 1,000 ล้านบาทไปอย่างแน่นอน
ยึดถูกต้อง "กม.ลาว" ลดอุปสรรค "ขายตรงไทย"
เป็นที่แน่นอนว่าทุกธุรกิจที่เข้าไป ลงทุนในต่างแดนปัญหาแรกที่เป็นอุปสรรค ใหญ่หลวงต่อธุรกิจขายตรงคนไทยนั่นคือเรื่อง ของตัวบทกฏหมาย ซึ่ง ฑูตพาณิชย์ลาว ได้ระบุว่า ทางการ สปป.ลาวนั้นได้ออก มาตรการเข้มงวดกวดขันกับ ธุรกิจขายตรง ไทย ใครไม่มี ทะเบียนการค้า ถูกต้องตาม กฎหมายของ สปป. ลาวก็ขอ ให้ปฏิบัติตามกฏหมายให้ ถูกต้อง
เนื่องจากการเข้าไป ลงทุนใน ลาว ส่วนใหญ่เป็น รูปแบบ พาร์ทเนอร์ ไม่มี การ จดทะเบียนการค้า ให้ ถูกต้องตามกฏหมาย ด้วย นักธุรกิจไทย เข้าใจว่า การ เข้าไปดำเนินธุรกิจ ในรูปแบบ ของ นักท่องเที่ยว โดยใช้ พ า ส ป อ ร์ต ที่ไม่ต้องมี วีซ่า สามารถพำนักอยู่ใน ลาวได้ 30 วัน ซึ่งเป็นความ เข้าใจคลาดเคลื่อน
ฑูตพาณิชย์ลาว ได้ยกตัวอย่าง นักธุรกิจไทย บางราย นัดประชุมระดม ชาวลาว ให้เข้าร่วมรับฟัง แผนธุรกิจขายตรงตามโรงแรม ต่างๆ 1,000 คนขึ้นไป เพื่อหา สมาชิกเครือข่าย ทางการ ลาว ก็ได้ดำเนินการ จับกุม ทันที เพราะถือว่าเป็นการเข้า เมืองในลักษณะของ นักท่องเที่ยว ไม่ได้จด ทะเบียนการค้าให้ถูกต้องตามกฎหมายของ สปป. ลาว จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่ทางการ ลาว มีความระมัดระวังคือ เรื่องการปลุกระดม การนัดหมายชุมนุมคนจำนวนมาก โดยเฉพาะ ช่วงที่มีเทศกาลหรืองานสำคัญระดับประเทศ เช่น กีฬาโอลิมปิกที่ผ่านมา
ดังนั้นการปักธง ธุรกิจขายตรง ใน ลาว ที่นอกเหนือจะมีแผนการตลาด เงินลงทุนและกลยุทธ์การตลาด ที่ยอด เยี่ยมแล้ว แต่ขาดการวิเคราะห์ จุดแข็ง จุดอ่อน โอกาสและอุปสรรค ภายในองค์กร และนอกองค์กรอย่างถ่องแท้แล้ว โอกาส ที่จะดำเนินธุรกิจให้สดใส ยาวนานคงเป็น เรื่องยากตั้งแต่ประตู AEC ยังไม่เปิดกัน เลยทีเดียว
ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.ธุรกิจเครือข่าย ฉบับที่ 233 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 1-16 สิงหาคม 2555
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น