ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันพฤหัสบดีที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2556

4 พันธมิตรผนึกกำลัง เจาะกำแพงขายตรงจีน







55 (Mobile)


4 พันธมิตร TDNA - สคบ.-ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจ-ศูนย์อาเซียน เดินหน้าสังคายนาธุรกิจขายตรงทุกมิติ ทั้งมาตรฐานด้านกฎหมาย และวิชาชีพ เดินหน้าปรับระบบฐานข้อมูล ตัวเลขยอดขายที่เป็นจริง รวมทั้งกลุ่มผู้ประกอบการที่ทำธุรกิจจริง หวังใช้กลยุทธ์แยกนํ้าดีออก จากนํ้าเสีย ยกระดับขายตรงสู่มาตรฐานสากล พร้อมเดินหน้า เจาะ กำแพงขายตรงจีน หลังสี จิ้น ผิง ประกาศไฟเขียวให้ 3 พื้นที่เศรษฐกิจ สำคัญนำร่องธุรกิจ MLM รวมทั้งผลักดันให้ไทยก้าวสู่ ฮับ ขายตรง อาเซียน ตามยุทธศาสตร์ 10+1


หลังการประกาศเปิด ตัวอย่างเป็นทางการของสมาคม ธุรกิจเครือข่ายขายตรงไทยหรือ TDNA เมื่อวันที่ 3 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา ความเคลื่อนไหวในการ ยกระดับธุรกิจขายตรงก็เริ่มเดิน หน้าอย่างเต็มรูปแบบ โดยมีการ ลงนามบันทึกความเข้าใจ MOU จากพันธมิตรจากสถาบันชื่อดัง 3 แห่งด้วยกัน เริ่มตั้งแต่TDNA สำนักงาน คณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค ศูนย์พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย และ ศูนย์อาเซียน สมาคมส่งเสริม พัฒนาเศรษฐกิจ กวางตุ้ง -ฮ่องกง ที่ผนึกกำลังเพื่อเดินหน้ายกระดับ มาตรฐานขายตรงอย่างเป็นระบบ โดยมีตัวแทนจาก 4 พันธมิตรร่วม ลงนามอย่างเป็นทางการ ท่ามกลางสื่อมวลชนจำนวนมาก


แกนนำหลัก ที่เข้าร่วมพิธี ลงนามประกอบด้วย นายนิโรธ เจริญประกอบ นายกสมาคมธุรกิจ เครือข่ายขายตรง (TDNA) นาย จิรชัย มูลทองโร่ย เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครอง ผู้บริโภค (สคบ.) ดร.ธนวรรน์ พลวิชัย ผู้อำนวยการศูนย์พยากรณ์ เศรษฐกิจและธุรกิจ หอการค้าไทย และนายภูสิต เพ็ญศิริ รองประธาน ศูนย์อาเซียน (สมาคม ส่งเสริม พัฒนาเศรษฐกิจ กวางตุ้ง-ฮ่องกง) ถือเป็นการลงนามครั้ง ประวัติศาสตร์ ที่มีหน่วยงานหรือ องค์กรที่มีชื่อเสียง ได้เข้ามามี บทบาทในการบูรณาการธุรกิจ ขายตรงร่วมกันอย่างไม่เคย ปรากฏมาก่อน


ทั้งนี้จากสภาพธุรกิจใน ปัจจุบัน เป็นที่ทราบดีว่ากฎหมาย ธุรกิจขายตรง หรือ พ.ร.บ.ขายตรง และการตลาดแบบตรง ปี พ.ศ. 2545 มีการใช้มากว่า 10 ปีแล้วซึ่ง ในกฎหมายฉบับแก้ไขทั้ง 56 มาตรา ยังมีจุดอ่อน และไม่มีความ ชัดเจนหลายด้านด้วยกัน เริ่มตั้งแต่การกำหนดกรอบ หรือแนวทางการดำเนินธุรกิจขาย ตรง ที่ยังไม่มีการแยกกันอย่างเด็ด ขาดระหว่าง ขายตรงเถื่อน กับ ขายตรงสุจริต รวมไปถึง การทำ ธุรกิจขายตรงกับการตลาดแบบ ตรง ก็ยังไม่มีการแยกออกมาเพื่อ ให้ชัดเจน


ส่งผลทำให้การดำเนินธุรกิจของผู้ประกอบการส่วนใหญ่ ที่ยังคงยืดแนวธุรกิจขายตรง สีขาว ถูกผู้ประกอบการบางกลุ่มบางกิจการ แสวงหาประโยชน์โดย อาศัยช่องโหว่ของกฎหมาย หรืออาศัยการหลบเลี่ยงกฎหมาย ดำเนินธุรกิจ ที่ส่อไปในลักษณะแชร์ลูกโซ่ มีผลทำให้ภาพพจน์ของ ธุรกิจขายตรงกลายเป็นธุรกิจที่ สังคมมองว่าเป็น ธุรกิจสีเทา ที่ เต็มไปด้วยความเสี่ยงต่อการกระ ทำการที่ฝ่าฝืนกฎหมาย ดังนั้น กระบวนการขับ เคลื่อนเพื่อเป็นการสร้างความ มั่นใจแก่ผู้ที่จะเข้ามาทำธุรกิจ เครือข่ายขายตรง รวมไปถึงผู้ บริโภค จึงจำเป็นจะต้องมีการ แก้ไขกฎหมายหลักอยู่ 5 ประการ ด้วยกัน


ประการแรก ต้องสร้าง ความชัดเจนในกรอบหรือหลัก เกณฑ์ในการกำหนดพฤติกรรมผู้ ประกอบการ ไม่ให้เดินออกไป นอกกรอบ จนทำให้เกิดความเสีย หายทั้งผู้บริโภคประชาชน รวมไป ถึงผู้ประกอบการรายอื่น ประการที่สอง ต้องสร้าง ความชัดเจนในอำนาจในการ กำกับดูแลผู้ประกอบการอย่างมี เอกภาพ และมีความพร้อมในการ เข้ามาทำหน้าที่กำกับดูแลอย่าง ทั่วถึง โดยจะต้องมีการยกระดับ องค์กรที่ทำหน้าที่กำกับดูแลขึ้นมา เป็นหน่วยงานเฉพาะเทียบเท่ากรม มีกฎหมายรองรับอย่างชัดเจน ประการที่สาม หน่วยงาน หรือองค์กรที่สถาปนาขึ้นมาจะ ต้องมีความศักดิ์สิทธิ์ในการบังคับ ใช้กฎหมาย โดยจะต้องให้คุณ และให้โทษแก่ผู้ประกอบการได้ ตามสมควร ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันดีว่า ใบอนุญาตธุรกิจขายตรง ที่ได้รับ การอนุญาตจาก สคบ. ประมาณ 900 บริษัท แต่ปัญหาที่เกิดขึ้น ก็คือ ไม่สามารถตรวจสอบได้ว่า ใบอนุญาตที่ได้นำไปประกอบ ธุรกิจขายตรงอย่างจริงจังหรือไม่ ประการต่อมา แม้ว่าจะได้ ใบอนุญาตไปแล้ว ก็ยังมีข่าว ปรากฏว่า มีหลายกิจการที่ยังมี การกระทำการฝ่าฝืนกฎหมายที่ ส่อว่าจะทำธุรกิจที่เกินเลยไปจาก ธุรกิจขายตรง อันเป็นการสุ่มเสี่ยง ต่อการสร้างความเสียหายแก่ ประชาชน


เพราะฉะนั้น เมื่อมีการได้ รับใบอนุญาตไปแล้ว หากไม่มี การประกอบธุรกิจ หรือประกอบธุรกิจในลักษณะที่ส่อว่าจะฝ่าฝืน กฎหมาย ก็สมควรที่จะต้องมีบท ลงโทษ จากสถานเบาไปหาหนัก ซึ่งหากยังมีการฝ่าฝืน ไม่เคารพ กฎกติกา ควรให้อำนาจองค์กร หรือหน่วยงานที่ทำหน้าที่กำกับ ดูแล เพิกถอนใบอนุญาตได้ และที่สำคัญ การสั่งดำเนิน การเอาผิดเอาโทษทางอาญา กับ นิติบุคคลที่คาบเกี่ยวกับตัวบุคคล ในมาตรา 54 ที่ขัดกับหลัก รัฐธรรมนูญ ก็เป็นประเด็นร้อน ที่ หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรวมทั้งภาค รัฐจะต้องเร่งแก้ไขกฎหมายเพื่อให้ สอดคล้องกับหลักกฎหมาย รัฐธรรมนูญ ที่ ณ วันนี้ เป็นที่ ประจักษ์ชัดว่า มาตรา 54 พ.ร.บ. ขายตรงและการตลาดแบบตรง ขัดกับหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญ มาตรา 39 วรรคสอง ว่าด้วยเรื่อง การสันนิษฐานว่าผู้กระทำผิดคือผู้ บริสุทธิ์ ยกเว้นจะมีหลักฐานที่ สมบูรณ์เพียงพอ ประการที่สี่ หากดูตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.ขายตรงและ การตลาดแบบตรง เป้าหมายก็ เพื่อส่งเสริมให้ธุรกิจขายตรงมี ความเติบโตอย่างมั่นคง เป็น การสร้างงานสร้างอาชีพ ให้กับ ประชาชนทั่วไป รวมทั้งยังเป็นการ เสริมสร้างเศรษฐกิจให้มีความเข้ม แข็ง ดังนั้น กระบวนการในการ ส่งเสริมและพัฒนาธุรกิจขายตรง จึงมีความจำเป็นที่จะต้องอาศัยผู้ ที่มีความรู้ความเข้าใจในธุรกิจ ขายตรงอย่างลึกซึ้งเข้ามากำกับ ดูแล ดำเนินการเคียงคูกั่นไปกับ การควบคุมผู้ประกอบการให้เดิน อยู่ในกรอบของกฎหมาย เพราะหากองค์กรที่ทำ หน้าที่กำกับดูแล อ่อนแอ ขาด ประสิทธิภาพ ขาดความชัดเจนใน บทบาทของตนเอง ก็จะเป็น อุปสรรคที่ทำให้การพัฒนาธุรกิจ ขายตรง ไม่สามารถทัดเทียมกับ นานาประเทศได้


ประกอบกับ ในอีก 2 ปีข้าง หน้าประเทศไทยจะเข้าสู่ ประชาคม เศรษฐกิจอาเซียน หรือ AEC ความจำเป็นที่จะต้องสร้าง มาตรฐานทางธุรกิจร่วมกัน ระหว่างหน่วยงานที่กำกับดูแลใน อาเซียน ก็จะต้องมีการหารืออย่าง ใกล้ชิดเพื่อหาทางลดขั้นตอน หรือ ปัญหาที่เป็นอุปสรรคของแต่ละ ประเทศ เพื่อไม่ให้เกิดความได้ เปรียบเสียเปรียบซึ่งกันและกัน ณ วันนี้ ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผล จากการที่ธุรกิจขายตรง ขาด หน่วยงานหรือองค์กรเฉพาะเข้า มาดูแล ทำให้การเตรียมความ พร้อมที่จะเข้าสู่ AEC ขาดการ ประสานงานเพื่อพัฒนาอย่าง จริงจัง ปัญหาหลักของธุรกิจขาย ตรงของไทย ไม่เพียงแต่ความไม่ ชัดเจนด้านกฎหมายเท่านั้น หาก แต่ยังมีปัญหาในเรื่องระบบฐานข้อมูล ซึ่งถือว่าเป็นสิ่งสำคัญใน การที่จะนำมาวิเคราะห์หรือวิจัย เพื่อพัฒนา


ดังนั้น ตรงนี้จึงเป็นเหตุผล ที่มีการดึงเอาสถาบันพยากรณ์ เศรษฐกิจและธุรกิจ หอการค้าไทย เข้ามาร่วมศึกษาปัญหาของธุรกิจ ขายตรง โดยวางบทบาทให้ทำ หน้าที่จัดระบบฐานข้อมูลธุรกิจ ใหม่ เริ่มจากการทำการวิจัยผู้ ประกอบการที่รับใบอนุญาต ทั้งหมด เพื่อศึกษาพฤติกรรมการ ทำธุรกิจ และค้นหาข้อมูลว่า จริง ๆ แล้วในระบบธุรกิจขายตรง มีผู้ประกอบการจริงกี่ราย นอกจากนี้ เพื่อเป็นการ สร้างฐานข้อมูลทางธุรกิจ ในด้าน มูลค่าทางการตลาด รวมไปถึง ยอดขายของผู้ประกอบการ ให้ สอดคล้องกับความเป็นจริง ศูนย์ พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ ก็จะ ทำหน้าที่วิจัย เพื่อสร้างระบบฐาน ข้อมูลที่มีมาตรฐานและความน่า เชื่อถือมากขึ้น


คือเรื่องนี้ เป็นสิ่งที่พูดกัน มานานแล้ว สำหรับตัวเลขมูลค่า ทางการตลาดที่เป็นจริงของธุรกิจ ขายตรง เนื่องจากที่ผ่านมา มีการ ให้ตัวเลขที่คลาดเคลื่อนจากความ เป็นจริง เป็นอันมาก ทำให้ไม่ สามารถรวบรวมข้อมูลภาพรวม ทั้งระบบได้อย่างถูกต้องและ แม่นยำ การที่เรารับอาสาเข้ามาก็ เชื่อว่าน่าจะทำให้การวิเคราะห์ หรือวิจัยการตลาดขายตรงตั้งอยู่ บนฐานข้อมูลที่เป็นจริงมากขึ้น ซึ่งเท่าที่ประเมินดูก็คาดว่า จะใช้ เวลาไม่เกิน 6 เดือน คงจะมี รายงานชิ้นนี้ออกมา ดร.ธนวรรน์ พลวิชัย ผู้อำ นวยการศูนย์ พยากรณ์เศรษฐกิจและธุรกิจ กล่าวกับ ตลาดวิเคราะห์ เป้าหมายหลักของการผลัก ดันเพื่อเสริมสร้างศักยภาพธุรกิจ ขายตรงไทยเข้าสู่มาตรฐานมาก ขึ้น ไม่เพียงแต่เป็นการอำนวย ความสะดวกแก่ผู้ประกอบการ ในการดำเนินธุรกิจเท่านั้น หากแต่ ยังเป็นการเตรียมความพร้อม ทั้งในระดับ AEC หรือรวมไปถึง ตลาดในภูมิภาคอื่น ๆ ที่ ธุรกิจขาย ตรงไทยสามารถเข้าไปเปิดตลาด ได้ โดยเฉพาะที่กำลังเป็นที่ จับตามากที่สุดในเวลานี้ ก็คือ ตลาดขายตรงในประเทศจีน. ตลาดระยะเวลาที่ผ่านมา จีนนับเป็นประเทศที่ ปิดประตูทาง ด้านธุรกิจขายตรงมาช้านาน จน เป็นเหตุทำให้ผู้ประกอบการในจีน ต้องออกไปแสวงหาตลาดใน ประเทศอื่นเป็นจำนวนมาก แต่ ผ่านเข้าสู่ยุคของนาย สี จิ้น ผิง ประธานาธิบดีคนใหม่ ธุรกิจขาย ตรง ดูจะได้รับความสนใจมากขึ้น


นายภูสิต เพ็ญศิริรอง ประธานศูนย์ อาเซียน สมาคมส่ง เสริมพัฒนาเศรษฐกิจ กวางตุ้ง- ฮ่องกง เปิดเผยกับ ตลาด วิเคราะห์ว่า สถานการณ์ทาง เศรษฐกิจของจีนหลังเดือน มีนาคม 2556 เริ่มมีทิศทางที่ เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัด ทางการจีน เริ่มมีการ วางแผนทบทวนและวางนโยบาย ทางเศรษฐกิจระยะยาวใหม่ เกือบ ทุกด้าน โดยเฉพาะการทำธุรกิจ ขายตรงหลายชั้น MLM มีการ ประกาศชัดเจนว่า สามารถเข้ามา ทำธุรกิจในจีนได้ภายในปี 2559 การเปิดนำร่อง เริ่มต้นจาก จุดยุทธศาสตร์ในเขตเศรษฐกิจ พิเศษ 3 พื้นที่ด้วยกัน พื้นที่แรก ประกอบด้วย มา เก๊า เซินเจิ้น จูไห่ และฮ่องกง พื้นที่สอง ประกอบด้วย คุนหมิง และ 12 ปันนา ซึ่งถือเป็น พื้นที่ที่มีคนนับถือศาสนาอิสลาม เป็นจำนวนมาก ประกอบกับ พื้นที่ดังกล่าวอยู่ใกล้เคียงกับ ประเทศไทย ทำให้พื้นที่ดังกล่าว เป็นจุดยุทธศาสตร์ ที่น่าสนใจมาก พื้นที่หนึ่ง พื้นที่สาม ประกอบด้วย ซัว เถา ที่เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษของ จีน เชื่อมต่อกับเกาหลี ไต้หวัน และญี่ปุ่นทำให้ประเทศใกล้เคียง เหล่านี้ มีการเตรียมความพร้อมที่ จะเข้าไปเปิดตลาดขายตรงในจีน มาก่อนไทยแล้วทั้งสิ้น หากทางการจีนให้ธุรกิจ ขายตรง MLM เข้าทำตลาดได้ เชื่อ ว่า จะมีเงินสะพัดไม่ตํ่ากว่า 1 ล้าน ล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี อย่าง แน่นอน เพราะประชาชนในกลุ่ม 3 พื้นที่ มีประชากรรวมกว่า 200 ล้านคน อีกทั้งจีนยังมีแผนผลักดัน ให้ 3 พื้นที่เศรษฐกิจของจีนเชื่อม ทวีปเอเชียไวด้วยกันอีกด้วย นาย ภูสิต กล่าว สิ่งที่ทางการจีน คาดหวัง จากการเปิดธุรกิจขายตรง MLM จากประเทศอื่น ๆ ทั่วโลกนั้น มี การกำหนดเงื่อนไขเอาไว้ว่า ผู้ ประกอบการจะต้องมีการเปิด โรงงานผลิตในประเทศจีน ควบคู่ ไปกับการดำเนินธุรกิจขายตรง เนื่องจากทางการจีนต้องการเห็น การนำเอาเทคโนโลยีต่าง ๆ เข้ามา รวมทั้งเป็นการจ้างงานให้พลเมือง จีนมีงานทำ


ตอนนี้ สหรัฐอเมริกา มี ความพร้อมทั้งทางด้านเทคโนโลยี และโนฮาวน์ รวมทั้งด้านเงินทุน ซึ่งถือว่าเป็นประเทศที่ได้เปรียบในด้านการลงทุนมากที่สุด แต่ อย่างไรก็ดี เมื่อไม่นานมานี้ ทางการจีน ก็เริ่มมีการผ่อนปรนใน เรื่องการเปิดโรงงาน ที่ไม่จำเป็น จะต้องทำควบคู่ไปกับธุรกิจขาย ตรง ดังนั้นตรงนี้จึงเป็นโอกาสที่ ผู้ประกอบการขายตรงสามารถ ที่จะไปขยายตลาดหรือสาขาใน ประเทศจีนได้ นายภูษิต กล่าวถึง นโยบายของจีน ที่เริ่มมีการผ่อน คลายมากขึ้น ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา ทางการจีนมองธุรกิจขายตรง ไม่ ต่างอะไรกับการตั้งลัทธิ ที่มีการ ล้างสมองคนในประเทศ รวมไปถึง มีเรื่องที่ไม่ดีเกิดขึ้นกับธุรกิจขาย ตรงบ่อยครั้งมาก ประกอบกับ วัฒนธรรมทางธุรกิจของขายตรงก็ มีรากเหง้ามาจากสหรัฐอเมริกา ทำให้ไม่เป็นที่ยอมรับจากทางการจีน


ธุรกิจขายตรง ได้รับการต่อ ต้านจากรัฐบาลจีนมาโดยตลอด ประการหนึ่ง เป็นผลมาจากความ หวาดระแวงในเรื่องความมั่นคง ประการต่อมา เป็นผลมาจาก การ ต่อต้านการดำเนินธุรกิจที่มีรูป แบบจากชาติตะวันตก สิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นใน อนาคตนี้ เป็นที่คาดกันว่า ในช่วง ระยะเวลา 3 ปีข้างหน้า การทำ ธุรกิจขายตรง จะเป็นที่ยอมรับ จากทางการจีนมากขึ้น ซึ่งหากยุทธศาสตร์ทางการ ค้า 10 +1 ซึ่งหมายถึงอาเซียน 10 ประเทศ รวมกับ จีน 1 ประเทศ มองในเชิงยุทธศาสตร์จะเห็นว่า ในระดับอาเซียน ไทยจะได้เปรียบ ประเทศอื่นมากที่สุด ประการสำคัญ หากมอง ในด้านความสัมพันธ์ระหว่าง ประเทศ รวมไปถึงความร่วมมือ ทางการค้าไทย-จีน ก็ยังมีความ แน่นแฟ้น สามารถสร้างความ ยอมรับได้ไม่ยาก ปัญหาที่ต้องย้อนกลับมาดู ธุรกิจขายตรงในบ้านเรา ก็คือ จะ ทำอย่างไรให้มาตรฐานการดำเนิน ธุรกิจขายตรง MLM ของไทย เป็น ที่ยอมรับในระดับสากล ทั้งนี้ถ้าจะแยกกลุ่มผู้ประกอบการจากต่างประเทศ ประเทศที่เข้ามาตั้งรกราก ประกอบธุรกิจขายตรงในเมืองไทยมาช้านาน ส่วนใหญ่จะสามารถอาศัยเครดิตจากรัฐบาล ของตนเอง เข้าไปลงทุนได้โดยไม่ จำเป็นต้องพึ่งรัฐบาลไทย แต่สำหรับผู้ประกอบการ ขายตรง ที่เป็นสายเลือดไทยแท้ ๆ ณ วันนี้ ยังต้องมีการปรับตัวกัน ขนานใหญ่ในทุก ๆ ด้านเริ่มตั้งแต่มาตรฐานในด้าน กฎหมาย ที่จะต้องเร่งแก้ไข กฎหมายให้มีความชัดเจน ทั้งใน ด้านกำกับและส่งเสริม เพื่อทำให้ ทิศทางของธุรกิจขายตรงก้าวเดิน ไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ด้านศักยภาพของผู้ประกอบการ จะต้องสร้างองค์ ความรู้ในธุรกิจขายตรง อย่างเป็นระบบเริ่มตั้งแต่การกำหนด แผนการตลาดที่ชัดเจนและเป็นไป อย่างสร้างสรรค์ การกำหนด มาตรฐานสินค้า ที่จะต้องเป็น สินค้าที่มีคุณภาพ การพัฒนาทาง ด้านเทคโนโลยีในด้านการผลิตให้ ได้มาตรฐาน ตามหลักสากล


รวมไปถึงการพัฒนา บุคลากร เพื่อให้มีความรู้ความ เข้าใจ ในธุรกิจขายตรง MLM อย่างถูกต้อง สามารถนำไปใช้ ประโยชน์ในการสร้างเครือข่ายได้ อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนี้ กระบวนการใน การเปิดตลาดขายตรงสู่ประเทศ จีน จำเป็นอย่างยิ่ง ที่หน่วยงาน ภาครัฐ รวมไปถึงสมาคมผู้ ประกอบการขายตรง จะต้องร่วม มือกันในการคัดกรองผู้ประกอบ การดำเนินธุรกิจขายตรงแบบมือ อาชีพ และมีมาตรฐานเข้าไปสูต่างประเทศ เนื่องจากตลาดขายตรงใน ประเทศจีน ยังมีความอ่อนไหว และอยู่ในระหว่างการเรียนรู้หากเกิดความผิดพลาดหรือมีผู้ ประกอบการบางราย สร้างความ เสียหายให้กับประชาชนจีน ก็จะ ส่งผลเสียไปยังผู้ประกอบการที่ สุจริตต้องพลอยได้รับผลกระทบ ไปด้วย การเตรียมความพร้อมของ ผู้ประกอบการไทย เพื่อยกระดับ มาตรฐานระดับสากล ถือเป็นเรื่อง เร่งด่วนที่ผู้ประกอบการและภาค รัฐ จะต้องผนึกกำลังกันในการวาง ยุทธศาสตร์ร่วมกันอย่างเป็นระบบ ในขณะเดียวกัน สิ่งที่จะ ต้องดำเนินควบคูกั่น ก็คือ การ เรียนรู้ในด้านกฎระเบียบหรือข้อ กฎหมายของทางการจีน ที่จะต้อง นำมาศึกษาร่วมกัน


ทั้งนี้ในการเซ็นสัญญา MOU ระหว่าง TDNA กับ ศูนย์ อาเซียนฯ ถือเป็นความร่วมมืออีก ก้าวหนึ่งที่สองฝ่ายจะได้ประโยชน์ ในการแลกเปลี่ยน และขยาย ความร่วมมือทางการค้าร่วมกัน โดยเฉพาะธุรกิจขายตรง ตลาด แบบตรง และแฟรนไชส์ ได้มีการ ทำกรอบข้อตกลงเบื้องต้นเอาไว้ ดังนี้ ประการแรก การลงนาม ว่าด้วยเรื่องการถ่ายทอดข้อมูล ความรู้ด้านเศรษฐกิจจีนที่มีผล ต่อการทำธุรกิจขายตรงและการ ตลาดแบบตรง รวมไปถึงธุรกิจ แฟรนไชส์ของคนไทย ประการที่สอง การคัดเลือก ผู้ประกอบการไทย ไปสำรวจ ตลาดลู่ทางการลงทุนในจีน ประการที่สาม TDNA จะ สนับสนุนช่วยเหลือด้านการ จัดการพี่อาร์ให้ศูนย์อาเซียนใน ประเทศไทย ประการที่สี่ การสนับสนุน ให้สมาชิกของ TDNA เข้าไปใช้ ประโยชน์ด้านสถานที่กับพันธมิตร ศูนย์อาเซียนทั้งในไทยและจีนโดย ได้รับสิทธิในราคาพิเศษเป็นต้น ทั้งนี้คาดว่า ความร่วมมือ ดังกล่าว จะช่วยให้บริษัทสมาชิก TDNA จะสามารถที่จะขยาย ตลาดเข้าสู่อาเซียนรวมทั้งจีนที่ เปิดตลาด MLM ในพื้นที่นำร่อง ทั้ง 3 พื้นที่ได้ง่ายขึ้น นี่คือ ปรากฏการณ์ครั้ง สำคัญของวงการธุรกิจขายตรง ไทย ที่กำลังถูกขับเคลื่อนจาก 4 พันธมิตร ในทุกมิติทุกเนื้อหาของ ธุรกิจ ซึ่งถือเป็นการปรับตัวครั้ง ใหญ่ที่สุดในรอบทศวรรษ


หากปัญหาอุปสรรค ได้รับ การตอบสนองจากภาครัฐ มีการ เอาจริงเอาจังกับผู้กระทำการฝ่าฝืนกฎหมาย รวมไปถึงการวาง กรอบธุรกิจให้มีความชัดเจน ธุรกิจขายตรงจะมีบทบาทสำคัญ อีกช่องทางหนึ่ง ในการเสริมสร้าง เศรษฐกิจของไทยให้เข้มแข็ง ไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าธุรกิจใด


เพียงแต่วันนี้ คงต้องมาล้างบ้านให้สะอาดหมดจดเสีย ก่อนเพื่อประกาศให้ชาวโลกรู้ว่าธุรกิจขายตรงไทยคือ ธุรกิจสีขาว อย่างแท้จริง !!!




ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย นสพ.ตลาดวิเคราะห์ ฉบับที่ 346 ประจำวันที่ 16-30 มิถุนายน 2556

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น