ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันจันทร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2555

ยักษ์ขายตรงสหรัฐฯ “ท็อปฟอร์ม” ปิดหีบโต 2 หลัก แอมเวย์ / นู สกิน / เฮอร์บาไลฟ์ / ทัพเพอร์แวร์ ..... ขาขึ้น



ปิดหีบปี 2554 ค่ายขายตรงขนาดใหญ่ของสหรัฐอเมริกาฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจภายในประเทศและยุโรปยังคงเติบโตเป็นตัวเลข 2 หลักได้โดย “อัลติคอร์ อิงค์” บริษัทแม่แอมเวย์ มียอดขาย 10,900 ล้านคอลลาห์สหรัฐ (ประมาณ 327,000 ล้านบาท) เติบโต 17% เทียบกับปีก่อนหน้าที่มียอดขาย 9,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 276,000 ล้านบาท) เป็นการเติบดตต่อเนื่องติดต่อกันเป็นที่ 6 และยอดายแอมเวย์เติบโต 11 ครั้งในรอบ 12 ปีที่ผ่านมา

“แอมเวย์” ชี้ตลาด ท็อปเทน โต 2 หลัก


“สตีฟ แวน แอนนเดล” ประธานบริหาร แอมเวย์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า ในกลุ่มประเทศที่ทำยอดขายมาก 10 อันดับ แรก (ท็อปเทน) มีถึง 9 ประเทศที่มีอัตราเติบโตเป็นที่น่าพอใจปรกอบด้วยจีน อินเดีย เกาหลี มาเลเซีย รัสเซีย ไทย ไต้หวัน ยูเครน และสหรัฐฯ ส่วนตลาดที่มียอดขายเติบโตเป็นเลข 2 หลักในปีนี้ได้แก่ จีน อินเดีย เกาหลี ไต้หวัน ตุรกี เวียดนาม และประเทศในกลุ่มละติน อเมริกา

“ตลาดระยะเวลา 50 ปีที่ผ่านมาของแอมเวย์ทั่วดลก แอมเวย์ถือเป็นผู้นำที่เปี่ยมด้วยประสบการณ์ในตลาดขายตรงที่สำคัญของโลก อาทิ จีน อินเดีย ญี่ปุ่น และไทย ยอดขายที่เพิ่มขึ้นทำให้ส่วนแบ่งตลาดของแอมเวย์เพิ่มขึ้นกว่า 10% ความสำเร็จนี้เกิดจากความพยายามของนักธุรกิจแอมเวย์กว่า 3 ล้านคนในกว่า 80 ประเทศและเขตการปกครองต่างๆ ทั่วโลก”

“ดั๊ก เดอโวส” ประธานบริหาร แอมเวย์ คอร์ปอเรชั่น กล่าวว่า แอมเวย์ เป็นเหมือนศูนย์รวมผู้คนที่มีความหวังและมีความฝันที่แตกต่างกันออกไปผ่านการสร้างธุรกิจของตัวเองที่ใช้ต้นทุนน้อยซึ่งในการทำธุรกิจของแอมเวย์มุ่งสร้างความสัมพันธ์ที่ดีในชุมชนและเพื่อเป้นการสนับสนุนนักธุรกิจแอมเวย์อย่างต่อเนื่องบริษัททุ่มเทเต็มที่เพื่อพัฒนาอุตสาหกรรมขายตรงโลกซึ่งปัจจุบันมีผู้ทำธุรกิจขายตรงมากกว่า 87 ล้านคนทั่วดลก รวมถึงตลาดในประเทศต่างๆ ที่แอมเวย์ดำเนินธุรกิจอยู่ โดยผู้บริหารของแอมเวย์หลายคนได้รับตำแหน่งต่างๆ ในฐานะผู้นำธุรกิจมากกว่า 50 ตำแหน่งทั่วโลก

สำหรับการลงทุนในแบรนด์ผลิตภัณฑ์ระดับโลกอย่างนิวทริไลท์และอาร์ทิสทรีมีส่วนจำเป็นอย่างมากในการสร้งยอดจำหน่ายด้านผลิตภัณฑ์เพื่อสุขภาพและความงามให้กับนักธุรกิจแอมเวย์ ปัจจุบันนิวทริไลท์เป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารประเภทวิตามินอันดับ 1 ของโลก ซึ่งปีที่ผ่านมานิวทริไลท์มียอดจำหน่ายอยู่ที่ 4,700 ล้านดอลลาห์สหรัฐ(ประมาณ 141,000 ล้านบาท) และยอดขายมากกว่า 1 ใน 3 มาจากผลิตภัณฑ์นิวทริไลท์ นิวทรี-โปรตีนและนิวทริไลท์ ดับเบิ้ล เอ็กซ์

ส่วนผลิตภัณฑ์เพื่อความงามและเรือนร่างสามารถสร้างยอดขายได้เกือบ 2,800 ล้านดอลลาห์สหรัฐ(ประมาณ 84,000 ล้านบาท) โดยมีแบรนด์อาร์ทิสทรีซึ่งได้รับการยอมรับว่าเป็นเครื่องสำอางบำรุงผิวระดับพรีเมี่ยมที่มียอดจำหน่ายสูงสุด 1 ใน 5 ของดลกเป็นสินค้าหลัก ซึ่งประเทศที่แบรนด์อาร์ทิสทรีเติบโตสูงสุดคือ จีน

ผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนมีการเติบโตด้วยยอดขาย 2,200 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 66,000 ล้านบาท) โดยผลิตภัณฑ์ที่สร้างรายได้สูงอย่างต่อเนื่องได้แก่ เครื่องกรองน้ำอีสปริง และเครื่องกรองอาหาศแอทโมสเฟียร์รวมถึงผลิตภัณฑ์ในครัวเรือนอื่นๆ ส่วนผลิตภัณฑ์ที่ไม่ได้อยู่ในกลุ่มผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร ความงามและครัวเรือนนั้นมียอดจำหน่ายรวมอยู่ที่ 600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 18,000 ล้านบาท)

“เฮอร์บาไลฟ์” โกย 3.5 พันล้านดอลล์


ด้าน “เฮอร์บาไลฟ์” ขายตรงอันดับ 5 ของโลกประกาศผลประกอบการในปี 2554 มียอดขาย 3,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(105,000 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 26% เทียบกับปี 2553 สูงสุดนับแต่เปิดดำเนินธุรกิจ โดยมีกำไรสุทธิ 413.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 12,399 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 35% เฉพาะไตรมาส 4 มียอดขาย 105.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 3,162 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 20% เทียบกับ 2553 ทำได้ 86.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 2,589 ล้านบาท) หากวัดเป็นเงินท้องถิ่นยอดขายเพิ่มขึ้น 23 %

“ธุรกิจของเรายังคงขับเคลื่อนได้อย่างมีประสิทธิภาพตลอดปีที่ผ่านมา สามารถทถิติใหม่ได้ทั้งยอดขาย รายได้ต่อหุ้นและกระแสเงินสดที่เพิ่มขึ้น ปีนี้เรายังคงตั้งเป้าหมายต้องสร้างสถิติใหม่ โดยกำหนดเป้าหมายการทำงานของนักขายในแต่ละระดับทั้งแอ็คทีฟและแม่ทีม นักขายคือหัวใจสำคัญที่จะส่งเสริมการเติบโตของบริษัทให้ยั่งยืน” ไมเคิลโอจอห์นสัน ประธานและซีอีโอเฮอร์บาไลฟ์กล่าว

ด้านวิลเลี่ยม เอ็ม ราห์น กรรมการผู้จัดการภาคพื้นเอเชีย-แปซิฟิก ของเฮอร์บาไลฟ์ กล่าวว่า สำหรับในภูมิภาค เอเชีย-แปซิฟิก ประเทศที่น่าจับตามากคือ อินเดีย วซึ่งปัจจุบันทำยอดขายมากเป็นอันดับ 2 ของภูมิภาครองจากเกาหลีใต้ คาดว่าภายใน 3 ปีข้างหน้านี้อินเดียจะยึดอันดับ หนึ่ง ในภูมิภาคนี้ได้และภายใน 4 ปีจะก้าวเป็น “เบอร์ 1 “ ของบริษัทแม่แทนที่สหรัฐอเมริกาได้ เนื่องจากผลงานที่ยอดเยี่ยมด้วยอัตราเติบโตสูงกว่า 100% ต่อปีตลอด 3 ปีที่ผ่านมา โดยบริษัทแม่มีแผนที่จะสร้างโรงงานผลิตขึ้นในอินเดียอยู่ระหว่างเจรจากับรัฐบาลอินเดียคาดว่าจะประกาศแผนการเร็วๆนี้

“นู สกิน” โต 13% กวาด 1.7 พันล้านดอลล์


สำหรับบิ๊กขายตรงอันดับ 10 “นู สกิน เอ็นเตอร์ไพรสส์ อิงค์” ในปีที่ผ่านมามียอดขาย 1,740 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 52,200 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 13% ได้ประโยชน์จากอัตราแลกเปลี่ยนที่ทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น 6% ในไตรมาส 4 มียอดขาย 495.3 ล้านออลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 14,859 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 23% ซึ่งในปีที่ผ่านมาบริษัทมีเงินสดเพิ่มขึ้นเป็น 224 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 6,720 ล้านบาท)

“ทรูแมน ฮันต์” ประธานกรรมการและซีอีโอนู สกิน กล่าวว่า ตลาดจีนเติบโตได้แข็งแกร่งมากในไตรมาส 4 มียอดขายเพิ่มขึ้นถึง 66% คิดเป็นมูลค่า 110.6 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 3,318 ล้านบาท) ภูมิภาคเอเชีย-แปซิฟิกเติบโต 27% ด้วยยอดขาย 65.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 1,956 ล้านบาท)

เช่นเดียวกับภูมิภาคอเมริกาที่ขยายตัว 25% ด้วยยอดขาย 76.9 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 2,307 ล้านบาท) เอเชียเหนือเติบโต 13% ด้วยยอดขาย 204.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 6,129 ล้านบาท) มีเพียงยุโรปภูมิภาคเดียวที่มียอดขายลดลง 8% หรือมียอดขาย 38.3 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 1,149 ล้านบาท)

“ทัพเพอร์แวร์” พุ่ง 12% ยอดขาย 2.6 พันล้านลบาท




ส่วน “ทัพเพอร์แวร์ แบรนด์ คอร์ป” ขายตรงอันดับ 7 มียอดขายทั้งปี 2,600 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 78,000 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 12% หากวัดจากอัตราเงินท้องถิ่นเพิ่มขึ้น 9% ส่วนในไตรมาส 4 มีกำไรสุทธิ 86.9 ล้านดอลลาร์สห]รัฐ(ประมาณ 2,607 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 8% จำนวนนักขาย 2.7 ล้านคน

สำหรับขายตรงเบอร์1 “เอวอน” ปีที่ผ่านมาผลงานไม่ค่อยดีอีกทั้งยังเจอเรื่องอื้อฉาวจากการถูกอัยการสหรัฐฯ สอบสวนกรณีติดสินบนในจีน ซึ่งในไตรมาส 4 ขาดทุนต่อหุ้น 400,000 ดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 12 ล้านบาท) เทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไร สุทธิ 229.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 6,885 ล้านบาท) เนื่องจากรายได้ลดลง 4% ทั่วโลกหรือมีรายได้เพียง 3,000 ล้านดอลลาร์สรัญ(ประมาณ 90.000 ล้านบาท) ต่ำกว่าที่ตลาดหุ้นนิวยอร์คคาดการณ์ไว้

ในปีที่ผ่านมา เอวอนมีรายได้รวม 11.300 ล้านดอลลาร์สหรัญ(ประมาณ 339,000 ล้านบาท) เพิ่มขึ้น 4% กำไรจากการดำเนินงาน 1,160 ล้านดอลลาร์สหรัฐ(ประมาณ 34,800 ล้านบาท)

อ้างอิง : หนังสือพิมพ์ "ธุรกิจเครือข่าย" ฉบับที่ 224 ปักษ์หลัง ประจำวันที่ 16-31 มีนาคม 2555

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น