ติดตามข่าวสารเพิ่มเติมได้ที่ http://www.thaimlmnews.com
เชื่อมต่อทุกข่าวสาร ยิงทุกประเด็นร้อน แหล่วรวมธุรกิจเครือข่าย

วันเสาร์ที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2555

MLM ไทยพีค! ขายตรงข้ามชาติแห่จองพื้นที่รับอาเซียน



จากที่จะมีการเปิดการค้าเสรี-อาเซียนขึ้นในปี 2558 ไม่ใช่เพียงแต่บริษัทขายตรงในประเทศไทยเท่านั้นที่เริ่มขยายตัวออกสู่ตลาดเพื่อนบ้าน แต่บรรดาบริษัทขายตรงจากฝั่งทวีปอื่นๆ ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของอเมริกา หรือยุโรป ก็เล็งเห็นความสำคัญในเรื่องนี้ และเริ่มเข้ามาใช้พื้นที่ของประเทศต่างๆ ในอาเซียนเพื่อเป็นฐานในการขยายแบรนด์สู่โลกตะวันออก

ซึ่งเมื่อดูจากสถิติ และการเก็บข้อมูลในส่วน ต่างๆ ชี้ให้เห็นว่า ธุรกิจขายตรงในบ้านเราเป็นพื้นที่ที่ได้รับความนิยมสูงสุด ทั้งตัวเลขของผู้ที่เป็นสมาชิกทั้งในส่วนของผู้บริโภค และนักธุรกิจในปัจจุบันที่มีอยู่กว่า 16 ล้านคน มีบริษัทขายตรงที่จดทะเบียนอย่างถูกต้องแล้วกว่า 700 บริษัท มูลค่าการตลาดไม่น้อยกว่า 1 แสนล้านบาทต่อปี จากส่วนนี้กลายเป็นสิ่งที่เย้ายวนขายตรงข้ามชาติ ให้มาวางฐานบริษัทที่เมืองไทยในการขยายสู่อาเซียนเพื่อรองรับ AEC ในอนาคตอันใกล้

โดยนายชัยวัฒน์ ชัยจินดาวัธน์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท บีฮิป (ไทยแลนด์) จำกัด เปิดเผยว่า ในช่วงแรกของการเปิดตัวบริษัทจะเน้นไปที่กรุงเทพฯ เป็นตลาดหลักในการทำยอดขาย ซึ่งเป็นเรื่อง ธรรมดาที่หลายบริษัทได้ทำ เพราะกรุงเทพฯจัดเป็นสมรภูมิที่ได้รับความนิยมมากที่สุดของวงการขายตรงส่วนในอนาคตบริษัทก็ต้องการที่จะขยายออกไปตามต่าง จังหวัดที่เป็นหัวเมืองใหญ่ๆ โดยในต่างประเทศ บริษัทสาขาของไทยก็เริ่มมองข้ามไปที่ลาว และเวียดนาม ซึ่งมีการหมายตากันไว้

ทั้งนี้ บีฮิปยังมีการวางกลยุทธ์ที่เป็น เรื่องแปลกใหม่อีกอย่าง นั่นคือ บริษัทต้องการที่จะให้สมาชิกใช้ “แท็บเล็ต” ในการทำงาน ซึ่งบริษัทจะทำการสั่งเทคโนโลยีดังกล่าวเข้ามา แล้วลงโปรแกรมที่เป็นของบริษัท สมาชิกสามารถซื้อได้ด้วยการ ผ่อนในราคา 590 บาท ต่อเดือน รวมทั้งหมด 18 เดือน

นอกจากเรื่องของแท็บเล็ตแล้ว บีฮิป ยังต้องการใช้เทคโนโลยีของโทรศัพท์มือถือ เป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่บริษัทได้วางกลยุทธ์ ส่วนจะเป็นเมื่อไหร่คงต้องใช้เวลา แต่ในส่วนของมือถือ ก็จะให้สมาชิกซื้อเอง แต่บริษัทจะให้บริการในการลงโปรแกรมการทำงานให้

ด้าน มร.แรนดี้ ลาร์เซ่น ประธานผู้ร่วมก่อตั้ง บริษัท โมนาวี จำกัด เปิดเผยว่า หลังบริษัทได้รับใบอนุญาตการประกอบธุรกิจขายตรงจากสำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค หรือ สคบ. ในเดือนมีนาคม2554ที่ผ่านมาล่าสุดได้เปิดตัวบริษัทอย่างเป็นทางการ เมื่อวันที่ 28พฤษภาคม2554

บริษัทเตรียมแผนผลักดันให้ไทยเป็นศูนย์กลางในการขยายตลาดไปยังภูมิภาคอาเซียน เนื่องจากไทยเป็นตลาดที่มีศักยภาพค่อนข้างสูง เมื่อเทียบกับประเทศอื่นๆในแถบอาเซียนโดยที่ผ่านมาบริษัทได้เปิดตลาดขายตรงโมนาวีในมาเลเซีย และสิงคโปร์ไปแล้ว และล่าสุดไทยเป็นประเทศที่3ในแถบอาเซียน

นอกจากนี้ บริษัทมีแผนขยายตลาดไปในกลุ่มประเทศอื่นๆ ได้แก่ อินโดนีเซีย ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, กัมพูชา และลาว ดังนั้นบริษัทเชื่อมั่นว่าอีกประมาณ 2 ปี จากนี้ไปยอดขายโมนาวีไทยจะขึ้นมาเป็น อันดับ 2 ของโมนาวีทั่วโลกที่ปัจจุบันมีจำนวนทั้งสิ้น 19 ประเทศโดยประเทศที่มี ยอดขายสูงสุด3 อันดับแรก ได้แก่ อเมริกา ญี่ปุ่นและมาเลเซีย

โดย มร.อึ้ง เคง เฮียน รองประธานประจำภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ บริษัท ยูซาน่า เฮลท์ ไซเอนซ์ จำกัด เปิดเผยว่า ยูซาน่า เป็นบริษัทจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์อาหารเสริมเพื่อสุขภาพชื่อดังจากอเมริกา โดยได้ทำธุรกิจมาเป็นเวลา 20 ปี จนได้รับความไว้วางใจจากสถาบันต่างๆในความมีประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ นอกจากนี้ ยูซาน่า ยังเป็นธุรกิจเครือข่าย ที่คนทั่วโลกรู้จักเป็นอย่างดี ในฐานะเป็นบริษัทที่ได้รับการโหวตให้เป็นธุรกิจอันดับ 1 ของโลก ต่อเนื่อง 12 ปีซ้อนอีกด้วย

ส่วนสาเหตุที่บริษัทแม่ ตัดสินใจเลือกที่จะเปิดสาขาประเทศไทยนั้น นายอึ้ง เคง เฮียน เปิดเผยว่า เพราะบริษัทเล็งเห็นถึงศักยภาพของนักธุรกิจเครือข่ายในประเทศไทย ที่อยู่ในอันดับต้นของเอเชีย “การที่ยูซาน่าจะตัดสินใจเปิดสาขาที่ประเทศ ใดประเทศหนึ่ง ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะเราเป็นบริษัทระดับโลก ที่มีชื่อเสียงมายาวนาน ดำเนินธุรกิจมากว่า 19 ปี ปัจจุบันเปิดสาขาใน 18 ประเทศ นั่นหมายถึงว่าบริษัทต้องมั่นใจจริงๆ ว่าที่แห่งนั้นจะสร้าง การเติบโตได้อย่างแน่นอน

นักวิชาการห่วง ต่างชาติปั่นเกม

ทั้งนี้ อาจารย์ประสิทธิ์ รัตนพันธ์ อาจารย์ประจำสาขาวิชาการตลาด คณะ บริหารธุรกิจ มหาวิทยาลัยหาดใหญ่ เปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า การเปิดตลาดอาเซียนดังกล่าว จะทำให้มีการลงทุนของ บริษัทไทยออกไปต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เอื้อให้การกระจายตัวของบริษัทขายตรงบ้านเรามีมากขึ้น มีตลาดในการดันรายรับ เพิ่มมากขึ้น ตัวเลือกในการสร้างตลาดขยายตัว แต่ในทางกลับกันการลงทุนจาก ต่างชาติ โดยเฉพาะแบรนด์ขายตรงที่อยู่ในอาเซียน ก็จะเข้ามาสู่ในประเทศเพิ่มขึ้น ตามไป

“การที่บริษัทขายตรงต่างชาติจะเริ่ม เข้ามาขยายตัวในประเทศไทย หลังการเปิดการค้าเสรี สิ่งนี้จะเป็นตัวแปรที่จะทำให้บรรดาผู้ค้าต่างชาติมีส่วนในการร่วมแบ่งเค้กการตลาดรวมของธุรกิจขายตรงเพิ่มขึ้น แต่ด้วยความเชื่อส่วนตัว มองว่าบริษัทขายตรงไทยมีความเข้มแข็งในเรื่อง ของฐานลูกค้า และภาพลักษณ์ที่ดีพอที่จะ รักษาพื้นที่ของตนเอง”

อย่างไรก็ดี ถึงแม้การเปิดการค้าเสรี อาเซียนจะมีเรื่องที่ดีเข้ามา แต่อีกด้านที่ถือว่าเป็นจุดอ่อนของธุรกิจขายตรงบ้านเราในมุมมองของ “อ.ประสิทธิ์” คือ เรื่องของกฎหมายขายตรง ที่ถือว่าเป็นตัวแปร ที่อาจทำให้เกิดปัญหาต่างๆ ตามมา เมื่อบรรดาบริษัทขายตรงต่างชาติเข้ามาในไทยมากยิ่งขึ้น

“จุดอ่อนของธุรกิจขายตรงไทยที่อาจเกิดขึ้น คือ เรื่องของการเข้ามาปั่นเกมของธุรกิจต่างชาติ อีกทั้งยังรวมไปถึงเรื่องของการซื้อตัวนักขาย โดยเฉพาะ นักขายค่ายเล็ก ซึ่งเมื่อบริษัทต่างชาติเข้ามา การหลั่งไหลของทุนต่างชาติย่อมมีมากขึ้น การดึงตัวนักขายย่อมเกิดขึ้น ซึ่งกฎหมายที่มีอยู่ไม่สามารถควบคุมได้ อีกทั้งสมาคมขายตรงที่อยู่ในประเทศทั้ง 3 สมาคม ก็ดูแลกันในกลุ่มเล็กๆ ซึ่งเรื่องนี้จะกลายเป็นปัญหาของธุรกิจขายตรง ไทยในปี 2558”

ขอขอบคุณเนื้อหาข่าว คุณภาพดี โดย: นสพ.สยามธุรกิจ ฉบับที่ 1286 ประจำวันที่ 24-3-2012 ถึง 27-3-2012

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น